* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เพื่อความสะดวกและเป็นระเบียบผมขออนุญาตเปิดห้อง " จิบกาแฟ แฉ ข่าว "
พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวข่าวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นซีกไหน เก่าใหม่ เป็ดไก่ หมูหมี ได้หมด (ยกเว้นด่าเรื่องการเมืองนะครับ)   :bow:  ขอร้อง  


หลอกสื่อให้ลวงโลก

17 มกราคม 2550 น. พรานข่าว  เล่าขาน กรุงเทพธุรกิจ

ใครเคยมองโลกในแง่ดี นึกว่าประเทศเล็กๆ แบบสิงคโปร์ไม่แสบ คราวนี้คงเจ็บจี๊ดไปถึงกึ๋น!

ขณะที่นายลี เซียน หลุง นายกฯ ไปนั่งเจ๊าะแจ๊ะกับนายกฯ ไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียนที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ รองนายกฯ นายหว่อง กัง เส็ง เป็นเจ้าภาพเลี้ยงข้าวอาคันตุกะพลัดถิ่น ทักษิณ ชินวัตร

วันรุ่งขึ้นรองนายกฯ เอส. จายากุมาร์ ก็ต้อนรับขับสู้ในฐานะส่วนตัว อ้างว่าเป็นเพื่อนฝูงกันมายาวนาน

การเป็นคนร่างเดียวกัน จะให้แยกระหว่างส่วนตัว กับคนมีตำแหน่งได้อย่างไร ทั้งๆ ใช้สมองก้อนเดียวกันคิด ปากเดียวกันพูด

หากจะให้ชัดเจนต้องแขวนป้ายคล้องคอไว้ แยกแยะว่าช่วงแวลานี้ส่วนตัว ช่วงนี้เป็นรองนายกฯ

เอาบทสนทนามาตีแผ่ให้ชาวบ้านฟัง ก็จะรู้ว่าเป็นส่วนตัวหรือส่วนไหน

ยังดีที่ผู้เฒ่าลี กวน ยู รัฐมนตรีอาวุโส และเป็นพ่อผัวของนางโฮ ชิง ซีอีโอ กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ไม่ได้เปิดบ้านต้อนรับ เลี้ยงน้ำชาหัวหน้าครอบครัวผู้ขายหุ้นชิน คอร์ป ให้สิงคโปร์ยึดครองธุรกิจยุทธศาสตร์การสื่อสารในเมืองไทย

การที่กระทรวงการต่างประเทศเรียกทูตสิงคโปร์มาชี้แจงเจตนานั้น มันเป็นขั้นปลายเหตุ หลังจากความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว

อย่าลืมว่าสิงคโปร์นั้นไม่ธรรมดา นอกจากเป็นผู้ถือหุ้นครอบงำกิจการต่างๆ รวมทั้งธนาคาร 3-4 แห่ง ในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นแหล่งฝากเงินและทรัพย์สินให้นักการเมืองระดับสุดยอดกังฉินด้วย

เป็นแหล่งรวมของกองทุนต่างๆ สำหรับให้ฝรั่งหัวแดง และฝรั่งหัวดำ ตาตี่ ตาหยี หน้ากลม หน้าเหลี่ยม จมูกโด่ง ดั้งแฟบ ให้ทำมาหากินสบายๆ

ใช้เป็นฐานเงินสำหรับทุบหุ้น ทุบค่าเงิน ปั่นกระแสข่าวด้านลบ ในตลาดการเงิน ตลาดทุน ในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

นักการเมืองไทย กังฉินน้อยใหญ่ทั้งหลาย ล้วนแต่มีเงินและทรัพย์สินฝากไว้ในรูปแบบต่างๆ ในธนาคาร สถาบันการเงินสิงคโปร์จำนวนมหาศาล

รวมทั้งบริษัทนายหน้าค้าน้ำมัน ฟันหัวคิวทั้งการซื้อขาย ขนส่งน้ำมัน สร้างความร่ำรวยจากการกินเปอร์เซ็นต์ให้พวกจอมอิทธิพลมายาวนาน

ทรัพย์สินนอกประเทศส่วนใหญ่ของนักการเมืองไทยไม่ได้อยู่ในสวิส หรือยุโรป แต่อยู่ในสิงคโปร์นี่แหละ เพราะเป็นแหล่งฟอก และฝากเงิน ใครก็ไปขอตรวจสอบ ขอดูบัญชีไม่ได้ กฎหมายสิงคโปร์ไม่ยอม

จากนี้ไป รัฐบาลไทยต้องจับตาเฝ้าดูว่าจะมีการถล่มค่าเงิน หุ้น หรือตราสารอะไรในเมืองไทยหรือไม่ โดยใช้เงินกองทุนรวมหัวกันรุมกินโต๊ะ

อย่าประมาทคนมีเงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านบาท!

"ทักษิณ" และหุ้นส่วน พรรคพวกตามกองทุนต่างๆ มีศักยภาพแน่นอน ไม่ต้องใช้กำลังอาวุธ แต่ใช้อำนาจเงินทำสงครามบ่อนทำลายเศรษฐกิจ

ถ้าจะป่วนเมืองไทย ให้เสียดุลเสถียรภาพ ทุ่มเงินไม่กี่หมื่นล้านบาททุบตลาดหุ้น ตลาดการเงินก็ได้ ดังที่เกิดขึ้นให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว

รัฐบาลหรือ คมช. ยังตามเกมการเมืองไม่ทัน ถูก "ทักษิณ" ขีดเส้นให้เดิน เพราะความใจอ่อน เอื้ออาทร ตีงูให้หลังหักนั่นเอง

"ทักษิณ" ใช้ซีเอ็นเอ็น และเอเชียน วอลล์สตรีท นำร่องเผาบ้านตัวเองไปแล้ว แต่ไม่ยอมเอ่ยปากสักแอะ ว่าทำไม อะไร เป็นสาเหตุของการทำรัฐประหาร แปรสภาพตนเองให้เป็นคนไร้แผ่นดิน

ไม่บอกสื่อต่างประเทศว่าทำไมคนเป็นแสนๆ จึงชุมนุมเดินขบวนขับไล่ และทุกวันนี้ทำไมตัวเอง ลูกเมีย ญาติพี่น้อง พวกพ้อง ลูกน้อง ข้าราชการ จึงถูกตรวจสอบ ดำเนินคดีด้วยข้อหาว่าโกงบ้าน กินเมือง

สื่อต่างประเทศ ก็ยังตกเป็นเหยื่อ "ทักษิณ" ให้เป็นพื้นที่ตีกินคะแนน เพราะสื่อตะวันตกนั้นดูเพียงแต่ว่ารัฐประหารนั้นทำลายประชาธิปไตย

ไม่คิดว่าประชาธิปไตยยุคทักษิณนั้นไม่ต่างจากเผด็จการ


ทักษิณบอกซีเอ็นเอ็นว่าอยากกลับบ้าน ขอเลิกราการเมือง แต่ใครจะเชื่อ เพราะพฤติกรรมพูดอย่าง ทำอย่าง ต่างกรรม ต่างวาระ

ประกาศเว้นวรรค แล้วกลับไปทำงานหน้าตาเฉย ถ้าเว้นวรรคจริง ทหารคงไม่เอารถถังมาขับไล่ให้ตกจากเก้าอี้!

เรื่องพรรค์นี้ "ทักษิณ" ไม่เคยอธิบายให้ชาวโลกได้รับรู้

มีใครในประวัติศาสตร์ สามารถเล่นบทลวงโลกได้เนียนสุดๆ
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ไทยยังตอบโต้สิงคโปร์น้อยไป

17 มกราคม 2550 น. บทบรรณาธิการ กรุงทพธุรกิจ

กระทรวงต่างประเทศดำเนินการถูกต้องแล้ว ที่ตอบโต้รัฐบาลสิงคโปร์ ที่ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พบปะกับ นายเอส.จายากูมาร์ รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์

แม้รัฐบาลสิงคโปร์จะแจ้งมาว่าเป็นการเจอกันอย่างไม่เป็นทางการก็ตาม แต่ในทางการทูตถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งกลุ่มเทมาเส็ก ของรัฐบาลสิงคโปร์กำลังมีปัญหากับกระทรวงพาณิชย์ของไทย หลังซื้อหุ้นชินคอร์ป ที่เข้าข่ายใช้นอมินี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของตำรวจ และที่สำคัญผู้ขายหุ้นชินคอร์ป คือคนในตระกูลชินวัตร ดังนั้นการพบปะกันระหว่าง รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ที่สำคัญพ.ต.ท.ทักษิณ ยังใช้สถานที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นที่แถลงข่าวผ่านซีเอ็นเอ็น โจมตีรัฐบาลไทยด้วยซ้ำ ซึ่งหากย้อนไปดูรัฐบาลจีน เมื่อครั้งพ.ต.ท.ทักษิณ พักผ่อนที่จีน ระดับผู้นำของประเทศ ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องพ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด

สำหรับมาตรการตอบโต้ที่ออกมาวานนี้ เป็นผลพวง หลังจากที่ นายกฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เชิญนายปีเตอร์ ชาน เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย เข้าพบเป็นเวลาประมาณ 30 นาที เพื่อชี้แจง แต่ผลที่ออกมาฟังไม่ขึ้นจึงได้ผลสรุปว่า "กระทบกระเทือนต่อความเข้าใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน" ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตอบโต้ เริ่มจาก ระงับความร่วมมือโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการพลเรือนไทย-สิงคโปร์ หรือ ซีเสป ครั้งที่ 8 ซึ่งโยงไปถึง ยกเลิกการประชุมซีเสปที่จะมีขึ้นในวันที่ 29-30 มกราคม และถอนคำเชิญ นายจอร์จ เยียว รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ที่จะเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมซีเสปและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับซีเสป ดังกล่าว ซึ่งจะขยายการตอบโต้ไปมากกว่านี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ ว่าจะออกมาอย่างไร

เราเห็นว่าหากนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ไม่ออกมาแสดงความชัดเจนกรณีดังกล่าว รัฐบาลไทยจำเป็น ต้องออกมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นมากกว่านี้ โดยเฉพาะสัญญาที่สิงคโปร์เช่าสนามบินจังหวัดอุดรฝึกรบ หรือสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทหารอื่นๆ ที่ฝ่ายความมั่นคงน่าจะหยิบมาทบทวน แทนที่จะปล่อยให้กระทรวงต่างประเทศออกมาตอบโต้ด้านเดียว เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำสัญญากับรัฐบาลสิงคโปร์หลายโครงการ ซึ่งยังไม่มีใครตรวจสอบอย่างจริงจังว่าชอบธรรมและกระทบต่อความมั่นคงแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็มีความชัดเจนว่าการขายหุ้นชินคอร์ป ในกิจการ ทีวี และดาวเทียม ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ให้กับกองทุนรัฐบาลสิงคโปร์นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า "ไม่ถูกต้อง" ซึ่งหากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอื่นต้องยับยั้งดีลนี้แน่นอน

เพราะหากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการตอบโต้ ดูสถานการณ์แล้วอดีตนายกรัฐมนตรี มีแนวโน้มจะใช้ฐานที่มั่นประเทศสิงคโปร์ เป็นกระบอกเสียง ที่อาจจะเพิ่มความแตกแยกของคนในสังคมได้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่อยากเห็นในภาวะที่ประเทศต้องการความสมานฉันท์

เพราะการออกมายืนยันของอดีตนายกรัฐมนตรีว่า จะวางมือทางการเมืองนั้น มิใช่คำตอบสุดท้ายหากย้อนดูคำพูดในอดีต หลายกรณีในการบริหารประเทศ 5 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเชื่อว่าทุนสิงคโปร์ จำนวนมากที่ลงทุนในไทยเอง ก็ไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกของสองประเทศขยายไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติ กลุ่มสิงคโปร์ ถือครองหุ้นสูงถึง 1.07 หมื่นล้านหุ้น เป็นรองเพียง นักลงทุนจากหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ดังนั้นเราเชื่อว่า 1-2 วันนี้ น่าจะมีความชัดเจนขึ้นทั้งจากรัฐบาลไทยและสิงคโปร์
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ใช่...คนไทยก็กำลังบอกทักษิณ"Enough is enough"

17 มกราคม 2550 น. กาแฟดำ กรุงเทพธุรกิจ

คำว่า "Enough is enough" ที่ทักษิณ ชินวัตร พูดในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันจันทร์ จากสิงคโปร์ นั้นถ้าแปลจากความหมายของเจ้าตัวเองก็คือการขอความเห็นใจ และความสงสารจากคนอื่น

แปลว่าทำอะไรมามากพอแล้ว ได้เวลาจะหยุดแล้ว

แต่ถ้าประธาน คมช. พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หรือนายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นคนอุทานวลี "Enough is enough" กับทักษิณ ละก้อ ความหมายจะออกไปอีกทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง

แปลว่านายกฯ คนปัจจุบันกำลังบอกกับอดีตนายกฯ ว่า "พูดจาสร้างกระแสคลื่นใต้น้ำในประเทศจากข้างนอกพอแล้ว หยุดการกระทำอันไม่พึงประสงค์เช่นนั้นได้แล้ว"

ถ้าคำนี้มาจากประชาชนคนไทยต่อทักษิณ ก็แปลว่าคนไทยต้องการให้ทักษิณ หยุดทำตัวเป็นนกขมิ้นที่ทัวร์อย่างเศรษฐี บินไปโน่นมานี่เพื่อจะทำตัวเป็นผู้ยั่วยุให้บ้านเมืองไทยวุ่นวายใจไม่หยุด

ถ้ารัฐบาลไทยเรียกทูตสิงคโปร์ ประจำกรุงเทพฯ มาแล้วก็บอกว่ารัฐบาลของเขาควรจะต้องระงับการกระทำอันไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลไทยด้วยการยอมให้ทักษิณไปทำอะไรๆ ที่ก่อกวนรัฐบาลไทยอย่างนั้น และลงท้ายด้วยการกระซิบกับทูตสิงคโปร์ว่า "Enough is enough" ก็แปลว่าไทยเรากำลังใช้การทูตแบบขึงขังอย่างผู้มีจุดยืนชัดเจนขึ้น

สรุปว่าการที่ทักษิณ ลั่นคำว่า "Enough is enough" ในการให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น วันก่อนนั้นไม่ได้สะท้อนว่าเขาต้องการจะก้าวลงจากเวทีการเมืองหรือต้องการจะทำตัวเป็น "ประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง" ที่จะไม่เป็นตัวการที่จะก่อความวุ่นวายในประเทศอีกต่อไป

เพราะคำว่า "enough" ของทักษิณนั้นไม่ได้แปลว่า "enough" ที่มีความหมายว่าพอจริงๆ...หากแต่เป็นการเล่นคำฝรั่งที่ตัวเองก็ไม่ได้สันทัดอะไรมากมายนัก

ทักษิณต้องการหลอกฝรั่งคนสัมภาษณ์ว่ากำลังจะ "วางมือ" จากการเมืองไทย แต่คนไทยที่ได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ที่ทักษิณทั้งแขวะ และต่อว่าต่อขานอีกทั้งยังอ้างว่าเคยมีความพยายามจะลอบสังหารเขาถึงสามครั้งสามคราก่อนถูกปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าทักษิณ ก็ยังคือทักษิณ คนเดิม

คือพูดอะไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนเดิม...คือยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น...ปากบอกว่าเลิก แต่ใจยังทุรนร่านต้องการจะกลับมามีอำนาจ...ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องการเป็นนายกฯ อีก แต่อีกใจหนึ่งก็ยังแค้นเคืองไม่หาย ต้องการจะเอาอำนาจ อิทธิพล และบารมีกลับคืนมาเป็นของตน และพรรคพวกอีก

เพราะถ้าทักษิณ ต้องการวางมือทางการเมืองจริงๆ เขาก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ด้วยการบอกผ่าน CNN หรือ The Asian Wall Street Journal ที่สิงคโปร์

จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองส่งผ่านทนายความให้คนไทยได้อ่านนั้นไม่ได้แสดงถึงเจตนารมณ์ที่จะ "วางมือทางการเมือง" แต่ประการใด มีแต่ลีลาของการพยายามหาเสียง และขอคะแนนความนิยมจากคนไทยด้วยการแก้ไขทั่วไปมากกว่า

ภาพทางจอซีเอ็นเอ็น ระหว่างสัมภาษณ์ทักษิณ นั้น มีโลโก้ CNN Exclusive Interview เพื่อแจ้งว่าเป็นการสัมภาษณ์พิเศษ และใต้ภาพทักษิณเขียนเป็นประโยคใหญ่อ่านได้ชัดๆ ว่า

"Thai PM ousted amid charges of corruption" ซึ่งแปลว่า "นายกฯไทยที่ถูกขับไล่ท่ามกลางข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน"


นักข่าวฝรั่งอาจจะไม่ได้ทำการบ้านพอ หรือซีเอ็นเอ็นอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอ ที่จะมีการถามในสิ่งที่ควรจะถามทักษิณว่า

ที่เขาถูกขับไล่นั้นเพราะมีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลระดับสูงจนประชาชนคนไทยทนไม่ไหวต้องออกมาตะโกน

"Enough is enough" ไม่ใช่หรือ
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 4

โพสต์

รองนายกฯสิงคโปร์พบกับทักษิณ...ภาษาการทูตเรียกว่า"หยาบคาย"

16 มกราคม 2550 น. กาแฟดำ กรุงเทพธุรกิจ

จะเป็นเรื่อง "ทางการ" หรือ "ไม่ทางการ" ก็ตาม หากรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เอส.จายากูมาร์ ให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าพบเพื่อ "ปรึกษาหารือกัน" ระหว่างที่อดีตนายกฯ ไทยคนนี้อยู่สิงคโปร์ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อรัฐบาลไทย อย่างไม่ต้องสงสัย

สะท้อนด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์ "แคร์" ต่อความรู้สึกของคนไทยในกรณีเทมาเส็กซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลของทักษิณ จนกลายเป็น "วิกฤติการเมือง" ของไทยมากน้อยเพียงใดอีกด้วย

รัฐมนตรีต่างประเทศนิตย์ พิบูลสงคราม บอกนักข่าวที่ เซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อวันเสาร์ระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนว่า "เราเชื่อมั่นว่าจะไม่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ เพราะทางสิงคโปร์ได้เกริ่นให้นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ของไทยทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป และบอกว่าการพบกันจะไม่เป็นทางการ..."

แน่นอนว่ารองนายกฯ ของประเทศหนึ่งจะพบกับอดีตนายกฯ ของอีกประเทศหนึ่ง "อย่างเป็นทางการ" ย่อมจะไม่มี

ถ้าทักษิณ พบรองนายกฯ สิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" ซิจะเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ เพราะอดีตผู้นำประเทศไหนจะไปพบกับผู้นำของประเทศอื่นอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องอะไรได้เล่า

ดังนั้น ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณพบกับรองนายกฯ ของสิงคโปร์ "อย่างเป็นทางการ" หรือไม่...แต่อยู่ที่ว่า "พบกัน" ทำไม

หาก ทักษิณ เป็นคนไร้มารยาทการทูต ไม่สนใจกติกาสากลว่าด้วยประเพณีการติดต่อระหว่างประเทศ เพราะมี "วาระซ่อนเร้น" เฉพาะของตัวเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่รัฐบาลสิงคโปร์ ควรจะต้องสำนึกในความละเอียดอ่อนของการที่ปล่อยให้ทักษิณ "เพ่นพ่าน" กับระดับผู้นำของเขา เพราะนั่นย่อมแสดงว่าระดับรัฐบาลสิงคโปร์ ยังไม่สำนึกว่าได้สร้างความเสียหายในความสัมพันธ์กับไทยเพราะเรื่องเทมาเส็ก และชินคอร์ป อย่างไรเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ

สิงคโปร์ ประเมินการเมืองไทยช่วงทักษิณเป็นใหญ่ผิดพลาด จนกลายเป็นวิกฤติสำหรับความน่าเชื่อถือของตัวเอง แล้วยังไม่สำเหนียกว่าจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและอย่างจริงจัง เพื่อเอาตัวเองรอดจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกกับกฎหมายไทยที่ผูกพันกับสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ทุกขั้นตอนที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำเกี่ยวกับเรื่องเทมาเส็ก กับ ชินคอร์ป นั้น ผิดแล้วผิดอีก พลาดแล้วพลาดซ้ำเหมือนจงใจจะไม่แก้ไขไม่เยียวยาปัญหานี้กับไทยเลยแม้แต่น้อย

ทักษิณ ในฐานะนักท่องเที่ยวในสิงคโปร์ กับ ทักษิณ ในฐานะผู้ขอเข้าพบรองนายกฯ สิงคโปร์ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...และรัฐบาลไทยจะต้องแสดงจุดยืนที่ไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลสิงคโปร์ในเรื่องนี้ อย่างชัดเจน

ต้องไม่ลืมว่าทักษิณ กับ เทมาเส็ก (ที่อยู่ใต้กระทรวงการคลัง ของรัฐบาลสิงคโปร์และมีเมียนายกฯ เป็นผู้บริหารสูงสุด) นั้น มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ และเทมาเส็กวันนี้กำลังมีปัญหาหลายด้านในประเทศไทย การที่รองนายกฯสิงคโปร์ พบปะกับอดีตผู้นำไทยเสมือนหนึ่งทุกอย่างเป็นปกตินั้น จึงเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

สังเกตไหมครับว่าตลอดเวลาที่ทักษิณอยู่ปักกิ่งนั้น ไม่เคยมีข่าวปรากฏว่าคนระดับรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ของจีน จะยอมให้ทักษิณเข้าพบเลยแม้แต่น้อย

นี่คือ ความแตกต่างของท่าทีของมิตรประเทศที่มีระดับความจริงใจและการเคารพในความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดแจ้ง


สิงคโปร์ไม่เข้าใจหรือว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไทยจึงยกเลิก "หนังสือเดินทางสีแดง" ของทักษิณ และของเมีย

สิงคโปร์ ไม่รู้จักคำว่า "เกรงใจ" ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่รู้จักคำว่า "เสียมารยาททางการทูต" และ "ไม่เคารพในความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ" ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องได้รับคำประท้วงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศไทย

ข่าวล่าสุดบอกว่าทักษิณบินออกจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์...จะไปขอพบรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนไหนอีก เพื่อ "ยังทำตัวอยู่ในข่าว" หรือไม่ ต้องคอยดู...แต่เชื่อเถอะว่า มารยาททางการทูตของญี่ปุ่นนั้นเหนือ

ชั้นกว่าสิงคโปร์มากมายหลายขุมนัก

เพราะวิถีการทูตของจีนและญี่ปุ่นนั้น เขายึดหลักของความถูกต้องชอบธรรมเป็นเกณฑ์ ไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อ "หลับหูหลับตาทำมาหากิน" อย่างเดียว
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รัฐเตรียมเป็นภาคีอนุสัญญาก่อการร้าย 'ป่วนรัฐ'โทษขั้นประหาร

17 มกราคม 2550 08:17 น. กรุงเทพธุรกิจ

ครม.อนุมัติเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสากล ป้องกันและลงโทษอาชญากรรมทำต่อบุคคลสำคัญ เป็นปฏิปักษ์ต่อ"ประมุข-ผู้แทนรัฐ" และป่วนบ้านเมือง ผิดฐาน"ก่อการร้าย" มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 3-20ปี ปรับ6หมื่น-1ล้านบาท

แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติอนุมัติในวาระเร่งด่วน เรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอ "การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรม ที่กระทำต่อบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศ รวมทั้งตัวแทนทางทูต ค.ศ. 1973"

รายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน ได้พิจารณาเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ

โดยคณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า อนุสัญญาฯ ดังกล่าวถือเป็นกรอบทางกฎหมายในการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมีวัตถุประสงค์หลักคือ การคุ้มครองบุคคลผู้ที่ได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ ซึ่งได้แก่ ประมุขของรัฐ ผู้แทนทางทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ

"ดังนั้นการกระทำใดๆ ที่เป็นปฎิปักษ์กับบุคคลดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อข่มขู่หรือขู่เข็ญรัฐบาล ซึ่งเป็นบริบทของการก่อร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 และ135/2 ประเทศไทยจึงสามารถเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมแต่อย่างใด"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อกฎหมาย และมติครม.ที่สามารถนำมาใช้ตามอนุสัญญาฯ โดยไม่ต้องแก้ไขใหม่ มีอาทิ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2546 มาตรา 135/1 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญา" ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ การกระทำใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ การกระทำใดอันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

"ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใด อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วน โดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท"

และมาตรา 135/2 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำตามที่ขู่เข็นจริง หรือสะสมกำลังพล หรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการก่อการร้ายหรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนร่วมในการก่อการร้าย หรือรู้ว่า มีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใด อันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-200,000 บาท"
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 6

โพสต์

คนชังทักษิณเริ่ม"หดหู่" คนรักทักษิณกำลัง"เริงร่า"

14 มกราคม 2550 น.
สิ้นเสียงระเบิด 8 จุดในวันสิ้นปี 31 ธันวาคม 2549 สังคมไทยในปี 2550 จะไม่มีวันเหมือนเดิมแล้วจริงๆ

โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่สอง หลังจากควันระเบิดเริ่มจางลงเหลือแต่เสียงขู่ระเบิดเป็นระยะๆ คนไทยเริ่มหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ปรับทุกข์กันถึงความไม่แน่นอนในอนาคตของประเทศกันอีกแล้ว

เพราะหลายเรื่องกำลังเริ่มออกอาการ "กลับตาลปัตร" รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กำลังเริ่มพลาดหลายอย่าง ที่ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะการ "ทำงานไม่เป็น" เลือก Timing ไม่เหมาะสม แม้ว่าเจตนาจะดีก็ตาม จึงทำให้เสียงตอบรับออกมาในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก อาทิเช่น

การเสนอร่างพระราชบัญญัติธุรกิจแก้นิยมธุรกิจต่างด้าวของรองนายกฯ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล แนวทางหลักการแก้ไขดีจะได้โปร่งใส แต่มาผิดเวลา คือเร็วไปหน่อย ขาดการสื่อสารทำความเข้าใจกันก่อนกับกลุ่มหอการค้าต่างชาติ เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนก

ประธานคมช.บอกว่าจะเลิก "หน่อมแน้ม" แล้ว เริ่มคลำถูกทางแล้ว แต่ผิดเวลา คือช้าไปหน่อย กว่าถั่วจะสุกงาไหม้ไปหมดแล้ว กลุ่มอำนาจเก่าเริ่มต่อท่อน้ำเลี้ยงส่งเสบียงตั้งหลักได้แล้ว คลื่นใต้น้ำกล้าขึ้นมาก่อเหตุเป็นคลื่นเหนือน้ำ เล่นกันซึ่งๆ หน้า วางระเบิด 8 จุดที่ผ่านมาแล้ว 13 วัน ที่ตำรวจเพิ่งบอกว่าคืบหน้ามาเกิน 50%

นายกฯ สุรยุทธ์บอกว่าคนเข้าใจผิดว่า เป็นคนธัมมะธัมโม แท้จริงเป็น "โจรกลับใจ" ขอสาธุให้เป็น "โจรกลับใจ" จริงๆ "นิวสุรยุทธ์" ที่เลิกมัวแต่เกรงใจปกป้องรัฐมนตรี "ขิงแก่" ที่ร้อนวิชาออกหมัดกันชุลมุนตามความถนัดของตัวเอง

ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่ไม่ตำหนิ แต่กลับออกมา "อุ้ม" อยู่หลายเรื่องแล้ว โดยรัฐมนตรีขิงแก่ร้อนวิชาไม่ได้รู้เหนือรู้ใต้ว่า รัฐบาลชุดนี้ควรจะบริหารแบบ Crisis Management มีเวลาทำงานเหลืออีกเพียง 10 เดือนกว่าๆ ควรจะเลือกลงมือ "ผ่าตัดปัญหาใหญ่ๆ" ที่รัฐบาลทักษิณทำผิดพลาดไว้ก็พอแล้ว


กรุณาอย่าแข่งกันเสนอโครงการไม่เร่งด่วน ที่ล้วนมาจาก "ตัณหาตัวเอง" อยากจะให้ประเทศไทยเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาใหญ่ๆ ที่สมควรจะสะสางเร่งด่วนในเวลาจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการทุจริตและทุจริตเชิงนโยบายในทุกกระทรวง ที่ยังฝังรากอยู่ ที่เป็นความเก่งของคุณทักษิณในการ "ผลิตโครงการใหม่" เพื่อผลาญงบประมาณเข้าพวกพ้องอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

"กลุ่มขาเชียร์" นายกฯ สุรยุทธ์ที่ส่วนใหญ่ชิงชังคุณทักษิณ ชินวัตร จึงเริ่มตกอยู่ในภาวะจิตใจหดหู่ หม่นหมอง ไม่มีกะจิตกะใจฉลองปีใหม่ หวั่นวิตกว่ารัฐบาลกับคมช.คงจะพลาดล้มคะมำเข้าสักวัน แล้วคุณทักษิณจะกลับมาเป็นใหญ่ได้อีก

กรณีกลับตาลปัตรตลกร้ายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นตัวอย่างของอีกความพยายามลบล้างคำสบประมาท "หน่อมแน้ม" ของคมช. 3 คนใน 8 คน ด้วยรูปแบบ "การคุกคามสื่อ" แบบเหวี่ยงแห ซึ่งได้ผลลบตรงกันข้ามกับเป้าหมายเชิงรุก

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นตำแหน่งไป "อย่างไม่เต็มใจ" กลายเป็น "ผู้ลี้ภัยโดยพฤตินัย" ไปแล้ว หลังจากถูกกระทรวงการต่างประเทศ ถอนสิทธิถือพาสปอร์ตปกสีแดง

ฝากบอก ทนายความคุณนพดล ปัทมะ ที่ได้เรียนหนังสือจบเมืองนอก จนได้ดิบได้ดีจากทุนอานันทมหิดล แต่กลับมารับจ้างคุณทักษิณ หลังจาก 3 นายพลเอกแห่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ออกมา Exercise ยืดแข้งยืดขา เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ "หน่อมแน้ม" ออกปากขอร้องแกมบังคับห้ามสื่อโทรทัศน์กับวิทยุออกข่าวคุณทักษิณและบริวารในลักษณะ "กระบอกเสียง"


คุณนพดลบอกว่า "คุณทักษิณทราบเรื่องนี้แล้ว อยากให้เสรีภาพสื่อกลับมาเหมือนเดิมเพราะการเสนอข่าวที่ทำได้ยากขึ้น จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศถูกมองในทางลบ หวังว่ามาตรการนี้จะมีไม่นาน โดยจะมีการคืนเสรีภาพนี้โดยเร็ว"

ฟังคุณนพดลแล้ว ต้องร้องอุทานดังๆ "โอ...พระเจ้าจอร์จ" มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ คุณทักษิณห่วงการปิดกั้นเสรีภาพสื่อในประเทศไทย จะทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย

ธาตุแท้ของคุณทักษิณไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ คุณทักษิณห่วงตัวเองว่า จะไม่ได้กลับมาเป็นใหญ่ในประเทศไทยอีก ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ของประเทศจริงๆ หรอก

เพราะพฤติกรรมของคุณทักษิณในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เต็มไปด้วยการแทรกแซง แทรกซื้อ แทรกซึม คุกคามและขู่เข็ญสื่อมวลชนรายใดก็ตาม ที่วิพากษ์วิจารณ์คุณทักษิณแม้เพียงเล็กน้อยก็โดนทั่วหน้า

แต่เชื่อหรือไม่ว่า วิธีการแทรกแซงสื่อของคุณทักษิณแยบยลกว่าคมช.อย่างเทียบกันไม่ได้ "บ่าวผมขาว" คนเดียว สามารถกระทำการร้ายกาจและอุบาทว์สิ้นดีด้วย "โทรศัพท์" สั่งเป็นส่วนใหญ่ แต่สามารถคุมสื่อได้เบ็ดเสร็จอย่างเหลือเชื่อ

แสนสงสารและเห็นใจ "บิ๊กตุ่น" นายพลผมขาว พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และปลัดกระทรวงกลาโหม กับผู้ช่วยเลขาธิการอีก 2 คน คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ที่ล้วนเป็น "มือใหม่หัดขับ" ในการแทรกแซงสื่อ ที่ "ไม่เนียน" เอามากๆ

Timing และวิธีการเชิญประชุมแบบ "ด่วนที่สุด" ไล่โทรศัพท์กันในตอนเช้าวันที่ 10 มกราคม เรียกบรรณาธิการข่าวสื่อโทรทัศน์และวิทยุกว่า 50 คน ไปฟังการระบายความในใจของ "บิ๊กตุ่น" ที่สื่อโทรทัศน์และวิทยุบางช่อง ได้โพนทะนา "จดหมายจากปักกิ่ง" ของคุณทักษิณ ที่บอกว่าให้เวลาคมช.กับรัฐบาลมามากพอแล้ว กับคำสัมภาษณ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ปรามาส คมช.กับรัฐบาลว่า ปกครองประเทศไม่เป็น

วาทะเด็ดของพล.อ.วินัย "ใครจะว่าเป็นเผด็จการก็ยอม.....ถ้าไม่เชื่อฟังก็ให้ตัดรายการออกไปจากสถานี ถ้าท่านยังใช้วิจารณญาณไม่เหมาะสม ผมจะใช้วิจารณญาณของผมช่วยท่านบริหารงานเอง"

ตรงกันข้ามกลับตาลปัตรกับท่าทีของคมช.ในช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างแสดงกัลยาณมิตรกับสื่อทุกแขนง แม้ว่าจะส่งทหารไปประจำการสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง แต่คราวนี้กลับตาลปัตรกลายเป็นการคุกคามสื่ออย่างโจ่งแจ้ง

พิสูจน์ได้ว่า ความรอบจัดของ "บ่าวผมขาว" กับมือใหม่หัดขับ ของ "นายพลผมขาว" ได้ผลลัพธ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

สมัยคุณทักษิณ สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนได้ออกแถลงการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่านับไม่ถ้วนด้วยถ้อยคำรุนแรงสุดๆ จนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาประณามการแทรกแซง กดขี่เสรีภาพสื่อยุคทักษิณว่าเลวร้ายบัดซบแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าไม่เคยมีหลักฐานแบบจะจะอย่างที่พล.อ.วินัย เรียกผู้บริหารสื่อโทรทัศน์และวิทยุไปขอร้องแกมบังคับ

สมัยคุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ กับคุณสนธิ บุญยรัตกลิน แถลงการณ์ของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่ออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยในวันที่ 11 มกราคม กลับเขียนด้วยถ้อยคำสุดแสนจะนุ่มนวล ถ้อยทีถ้อยอาศัยกับคมช.

จนพอจะอนุมานได้ว่า ตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อหลัก 2 องค์กร ยังแสดงกัลยาณมิตรให้โอกาสแก้ตัวกับความหน่อมแน้มของคมช. แม้ว่าถ้อยคำของพล.อ.วินัยคือการคุกคามสื่อโดยตรงก็ตาม

สิ่งที่ พล.อ.วินัยควรจะทำอย่างยิ่ง (คิดว่ายังไม่สาย หากคิดว่าจะทำ) คือเมื่อเห็นว่าโทรทัศน์หรือวิทยุรายการไหนทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้คุณทักษิณแบบเดียวกับการอ่านจดหมายจากปักกิ่งวันละ 3 เวลา ควรจะเชิญ "บรรณาธิการ" มาพูดคุย ขอทำความเข้าใจ และขอโอกาส คมช.และรัฐบาล ในการชี้แจงในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน

วิธีการนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด ในสถานการณ์ "สมานฉันท์" ที่คมช.กับรัฐบาลเรียกร้องซ้ำซาก จนคนฟังเริ่มไม่ "อิน" เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือความสมานฉันท์ หากถูกขอร้องแกมบังคับว่า จะย้อนกลับไปใช้อำนาจคณะปฏิวัติเมื่อปีมะโว้ ที่สามารถปิดทีวียึดคลื่น ประกาศเคอร์ฟิวได้

ผมยังเชื่อว่า บรรณาธิการข่าวของสื่อโทรทัศน์ช่องนั้น (คงไม่ต้องเอ่ยก็น่าจะนึกออกว่าช่องไหน) ยังมีจิตวิญญาณของคนทำสื่ออยู่พอสมควร ในการให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมในการแก้ข้อกล่าวหา แม้ว่า "ใจ" ยังฝักใฝ่อยู่กับคุณทักษิณที่เป็นนายจ้างเก่า

การขอเปิดพื้นที่สื่อใน "สื่อของฝ่ายตรงกันข้าม" น่าจะเกิดประสิทธิผลในการสื่อสารทำความเข้าใจกับมวลชนระดับรากหญ้าอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ยังจงรักภักดีกับคุณทักษิณที่มักนิยมดูช่องนี้อยู่แล้ว มากกว่าขอร้องแกมบังคับแบบมือใหม่หัดขับ ไม่ให้เผยแพร่ในช่องทางเดิมนั้น

แล้วในที่สุด ด้วยสัจธรรมความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ข่าวเรื่องใดยิ่งถูกปิดกั้น ไม่ให้เผยแพร่ จะยิ่งยั่วยวนใจเสาะหา เพื่อรับรู้จากช่องทางอื่น ที่ยุคนี้มีสื่อทางเลือกเกิดขึ้นมากมาย

ในช่วงแรกๆ ของการรัฐประหาร คมช.เคยเชิญแกนนำของพรรคไทยรักไทย ที่เป็นวงในของคุณทักษิณมาทำความเข้าใจ ค่อนข้างได้ผลในแง่จิตวิทยา อย่างน้อยที่สุดบางรายจำใจหลบหน้าหลบตาจากวงสังคม บางรายเริ่มออกอาการถอดใจจะเลิกยุ่งการเมืองอีก บางรายถูกสะกดรอยจับตาความเคลื่อนไหว ฯลฯ

แต่เหตุใด คมช.และรัฐบาล 07'ค่อนข้างล้มเหลว ใน "ยุทธการชิงพื้นที่สื่อ" โดยสิ้นเชิงในการสื่อสารกับประชาชน เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุผลการรัฐประหาร 4 ข้ออย่างต่อเนื่อง

ทำไมไม่เปิดพื้นที่สื่อโทรทัศน์ให้กว้างขวางกว่านี้ ในการเปิดโปงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีต่างๆ ที่คตส.กับป.ป.ช.กำลังเดินหน้าอย่างขึงขัง ควรจะให้เวลาโทรทัศน์กับคตส.และป.ป.ช.ชี้แจงหลักฐานการกล่าวโทษคุณทักษิณกับพวกพ้องในทุกคดี

ตรงกันข้ามกับคุณทักษิณ ที่มีเพียง "ทนายรับจ้าง" เพียงคนเดียว แต่สามารถเอาชนะใน "ยุทธการชิงพื้นที่สื่อ" เพื่อส่งสัญญาณไปถึง "คนรักทักษิณ" ว่า อย่าเพิ่งท้อถอย หมดกำลังใจ แล้ว "ทักษิณ" จะกลับมาในเร็ววันนี้ จะเห็นได้ว่างานเลี้ยงพระทำบุญปีใหม่ของพรรคไทยรักไทยคึกคักอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 3-4 เดือน

ขอร้องคมช.และรัฐบาลอย่าไป "หมกหมุ่น" กับคำสบประมาท "หน่อมแน้ม" แล้วต้องออกมาแสดงบทเข้มแข็งเด็ดขาดให้สังคมเห็น แต่กลับทำไม่ถูกที่ เลือกไม่ถูกเวลา จะได้ไม่ตรงเป้าหมาย มิหนำซ้ำจะแย่กว่าเดิม

วิธีการฮึ่มๆ "โฉ่งฉ่าง" เหวี่ยงแหหลงยุค คือการคุกคามสื่อขนานแท้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายความสมานฉันท์กับสื่อมวลชน ที่ส่วนใหญ่อยากให้ประเทศไทยผ่านพ้นยุคทักษิณไปแล้วไม่หวนคืนกลับอีก ขอเถอะอย่าให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
กล้วยทอด
Verified User
โพสต์: 1468
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 7

โพสต์

พี่ matrix คะ เอ่อ...กล้วยทอดว่า
ที่สื่อออกมามันดูไม่เป็นกลางแล้วนี่คะ

จริงๆ นี่เป็นข่าวการเมือง (ไม่ใช่สังคมนี่คะ)
อนุญาตเขียนได้โดยเสรี เพราะไม่ขัดกับรัฐบาลแน่ๆ  :lol:
แต่อ่านแล้วไม่ค่อยแฟร์ เพราะอีกความคิดอีกด้าน
โดน band ไม่ให้ตีพิมพ์

ยิ่งพี่แมทเน้นสีแดง ตัวเข้มด้วย
แหม... มันก็ดูแปลกๆ จริงๆ นิ
ขออภัยที่ขัดค่ะ
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณๆๆๆๆ ที่หามาให้อ่านครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เห็นคุณกล้วยทอดขัดใจ  สงสัยเราเองก็ขัดใจ  อิอิอิ
ใจเขาใจเรา

คุณกล้วยทอดครับ

รู้เรื่องที่   ทักษิณทำอะไรไม่ดีๆ สะสมมา ช่วงก่อนปฏิวัติ รึป่าวครับ

รู้เรื่อง   สาเหตุที่ทักษิณโดนปฏิวัติ รึป่าวครับ

รู้เรื่องว่าสนามบินหนองงูเห่านี่    ราคามันแพงมหาศาลมาก  แพงจนน่าจะสร้างได้เกือบ  2 สนามบิน  อ่ะครับ  รู้เรื่อง  รึป่าวครับ

อ่า........ถ้ารู้.....เล่าให้ฟังบ้างสิ  
ผมเองอยากรู้เพิ่มเติมครับ  
อยากรู้จากมุมมองของสายตาที่บอกว่าสื่ออันนี้ที่คุณ matrix  เอามาลงที่ว่า มัน bias  ครับ
หรือว่ามีสื่อไหนที่ไม่  bias  ไปในทิศทางเดียวกับสื่อที่ คุณ  matrix  เอามาลงนะครับ

ขอรออ่านนะคัรบ  อิอิอิ

เด็กๆผมชอบกินกล้วยทอดมากครับ  กินแล้วร้อนในก็กิน  กล้วยทอดใส่ถุงกระดาษ ถุงละไม่กี่ตัง     ก็เต็มถุงจนล้นเลย    
อยากรู้ว่าทำไมใช้นิค กล้วยทอดครับ   ชอบกินกล้วยทอดเหรอครับ   บอกหน่อยสิครับ
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 10

โพสต์

[quote="กล้วยทอด"]พี่ matrix คะ เอ่อ...กล้วยทอดว่า
ที่สื่อออกมามันดูไม่เป็นกลางแล้วนี่คะ

จริงๆ นี่เป็นข่าวการเมือง (ไม่ใช่สังคมนี่คะ)
อนุญาตเขียนได้โดยเสรี เพราะไม่ขัดกับรัฐบาลแน่ๆ
MisterK
Verified User
โพสต์: 857
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 11

โพสต์

คือพูดอะไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนเดิม...คือยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น
อ่านบทความของกาแฟดำ   เห็นด้วยจริง ๆ ว่าท่าทางยังแค้นทักกี้ไม่เลิกจริง ๆ  :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 12

โพสต์

san เขียน:
เด็กๆผมชอบกินกล้วยทอดมากครับ  กินแล้วร้อนในก็กิน  กล้วยทอดใส่ถุงกระดาษ ถุงละไม่กี่ตัง     ก็เต็มถุงจนล้นเลย    
อยากรู้ว่าทำไมใช้นิค กล้วยทอดครับ   ชอบกินกล้วยทอดเหรอครับ   บอกหน่อยสิครับ
8) กล้วยแขกทอดที่สี่แยกจักรพรรดิพงษ์ อร่อยดีครับ
    แรกๆมีเจ้าเดียวเป็นพี่น้องกัน แบ่งกันขายคนละวัน2วัน
    ใครอยากกินต้องจอดรถลงมาซื้อ
    เห็นซื้อกันทีนึง10ถุง15ถุง
    หลังๆพี่น้องทะเลาะกันแยกร้าน
    ซ้ายขวาของซอยเดิมก่อน
    แยกสีเอี๊ยม
    เริ่มเดินขายตามสี่แยก
    จากขายวันละหมื่นกว่า
    แยกเป็น2ร้านคราวนี้ขายร้านละ2หมื่นกว่า
    คงนึกว่าได้รวยกันบ้างละฟ่ะ
    รวมอยู่ตั้งนานทำไม
    น่าจะแยกกันตั้งนานแล้ว
    ฮ่า...
    แต่ลืมไปพวกเอ็งขายดีนักหรือ
    ร้านที่3ที่4ที่5ที่6ก็มาสิครับ
    พวกลูกจ้างเก่า ใครก็ทำเป็นไม่ได้ซับซ้อนอะไร
    ที่อร่อยก็เพราะทอด2ครั้งทำให้กรอบนาน
    เป็นเคล็ดที่ไม่ได้ลับอะไร
    ทีนี้ก็เดินกันพล่านสี่แยกสิครับ
    รถราน้อยกว่าคนขายกล้วยทอดอีกครับทีนี้
    ตำรวจจึีงต้องมาจัดระบบ ห้ามขายบนถนน
    อือม ทีนี้ก็แย่สิครับ
    นั่งจ๋องอยู่ทีีร้านเหมือนก่อน
    ถือนานๆไปกล้วยทอดที่กรอบก็เริ่มไม่กรอบ
    ทีนี้ก็ไม่อร่อยสิครับ
    ไหนจะเจ้าใหม่ที่ไม่พิถีพิถันเท่าเจ้าเก่า
    ความอร่อยหรือคุณภาพก็ลดลง
    คนขับรถเขาไม่รู้หรอกครับ เอี๊ยมสีไหน ของร้านไหน
    ทุกเอี๊ยมก็โฆษณาว่าเจ้าเก่า(กว่า)ทั้งนั้น
    ทีนี้ก็เริ่มไม่ซื้อสิครับ
    เป็ดที่กะจะฆ่าเอาไข่ทองคำกินทีเดียวเพราะความโลภนั้น
    ได้ทำให้เป็ดวิเศษที่ออกไข่ทุกวันตัวนั้นได้ตายไปเสียแล้ว

    พระเจ้าช่วย กล้วยทอดด้วย ที่มาโพสเรื่องการเมือง
    แล้วโดนพี่ๆเขาแซวเอา
   
    เห็นดร.แกเล่าเรื่องแอนิมอล ฟาร์ม
    ผมเลยมาเล่าเรื่องกล้วยทอดด้วย
    เนื่องด้วยไปซื้อหนังสือแถวย่านนั้นมาขายนับสิบปี
    เห็นความเป็นไปเป็นมา ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง......
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 13

โพสต์

พบทำชาติพังอีกแสนล้าน รมว.ไอทีซีลั่นตามเอาผิด  

โดย ผู้จัดการรายวัน 17 มกราคม 2550 09:20 น.


      รมว.ไอซีที พะบู๊เดินหน้าเอาผิด ครม.แม้วออกมติอัปยศเอื้อธุรกิจมือถือทำชาติสูญเงิน 5 หมื่นล้าน เตรียมยกเลิกสัปดาห์หน้า ประกาศพร้อมส่งคสต.เอาผิดยกแก๊ง ขู่อีกระลอกอย่านึกว่ารัฐบาลอื่นจะรอด เหตุพบข้อมูลเด็ดซุกใต้พรมไอซีที ทำชาติพังกว่าแสนล้าน ขอเวลา1-2สัปดาห์นี้เปิดให้สังคมรับรู้
     
      นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)กล่าวถึงความคืบหน้าในการยกเลิกมติครม.ที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจสัมปทานสัญญาณโทรศัพท์มือว่า ในวันพฤหัสที่ 18 ม.ค.นี้ จะประชุมร่วมกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ และรมว.คลัง ซึ่งมีคำสั่งให้นำเรื่องการยกเลิกมติครม.เมื่อ 11 ก.พ.46 เข้าคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อหาข้อสรุป หากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการฯแล้ว ก็สามารถนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ยกเลิกมติครม.ดังกล่าวได้ เนื่องจากมติครม.ดังกล่าวเป็นมติที่ไม่มีความชอบธรรม โดยขอยกตัวอย่าง เช่น มติครม.นั้นได้เขียนให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้จ่ายภาษีให้กับเอกชน ถ้อยคำในมติครม.นั้น ให้โรงงานยาสูบจ่ายภาษีสรรพสามิตแทนบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ เป็นต้น
     
     "มติครม.วันที่ 11 ก.พ.46 ถือว่าไม่มีความชอบธรรม และจากที่มติครม.นี้มีผลใช้บังคับ ได้สร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานของรัฐนับถึงตอนนี้กว่า 5 หมื่นล้านบาท ถ้าปีนี้ไม่รีบยกเลิกก็จะเสียหายอีกกว่า 1 หมื่นล้าน และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนอย่างเห็นได้ชัด เพราะถ้าไม่บังคับให้ CAT และ TOT เสียภาษีสรรพสามิตแทน บริษัทเอกชนก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิตประมาณ 5 หมื่นล้าน แต่ที่ผ่านมา บริษัทเอกชนไม่ได้เสียภาษีเลย ผมเห็นแล้วรู้สึกตลกและตะลึงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร"นายสิทธิชัย กล่าว
     
      ผู้สื่อข่าวถามว่า หากยกเลิกมติครม.นี้แล้ว ผู้ที่ออกมติครม.ที่ไม่ชอบธรรมนี้ จะรับผิดชอบอย่างไร รมว.ไอซีที กล่าวว่า ต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายว่า อดีต ครม.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ หรือจะต้องรับผิดชอบเพียงผู้ที่เสนอให้ออกมติเท่านั้น
     
      อย่างไรก็ตาม ต้องขอออกตัวว่าตนไม่ได้เป็นนักกฎหมาย จึงต้องพึ่งนักกฎหมายให้เป็นผู้วินิจฉัย บางทีเรื่องนี้อาจจะเหมือนกรณีการตรวจสอบเรื่องกล้ายาง ที่อดีตครม.มีมติไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยตนจะส่งเรื่องให้คตส.ดำเนินการเอาผิดต่อไป ส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมาจะถือเป็นโมฆะหรือไม่นั้น ต้องให้ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ชี้แจง เพราะตนไม่ทราบ
     
      เมื่อถามว่าได้เข้าชี้แจ้งกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.)ถึงเรื่องการเอาผิดกับออกมติครม.หรือไม่ นายสิทธิชัยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 15ม.ค.ที่ตนไปชี้แจงต่อคตส.ไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าชี้แจง แต่เป็นการหารือเรื่องอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ การยกเลิกมติครม.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องถึงมือ คตส.เพราะเห็นชัดๆว่า มีความไม่ชอบธรรม
     
      ผู้สื่อข่าวซักว่า การหารือใน คตส.เป็นเรื่องเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในกระทรวงไอซีที หรือไม่ รมว.ไอซีทีกล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน หากไม่เกี่ยวคงไม่ไปคตส. ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ตนคงสามารถสอบสวนในระดับกระทรวงเองได้ เป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดความเสียหายกับประเทศชาติเป็นจำนวนเงินกว่าแสนล้าน เราจึงจำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนให้เป็นที่รับรู้
     
      ทั้งนี้จะสามารถเปิดเผยได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ความผิดที่เกิดขึ้นนั้น จะสามารถสาวไปถึงผู้กำกับเชิงนโยบายหรือไม่นั้นต้องตรวจสอบจากเอกสารเป็นหลัก เพราะสิ่งที่ตรวจสอบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐบาลที่แล้วอย่างเดียว เพราะยังได้ตรวจสอบเรื่องความเป็นธรรมด้วย ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่า เรื่องที่ตรวจสอบนี้อาจจะเกี่ยวโยงไปถึงรัฐบาลที่แล้ว หรือรัฐบาลก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ ซึ่งต้องดูตามหลักฐาน ไม่ได้เลือกปฏิบัติ
     
      นายสิทธิชัย กล่าวเพิ่มเติมในภายหลังอีกว่า ระหว่างนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดในมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นถึงจำนวนกว่าแสนล้านบาทได้ คาดว่ามีประมาณ 2-3 เรื่อง จาก ของ บริษัท ทีโอที และ บริษัท กสท โทรคมนาคม รวมกัน โดยการเข้าพบครั้งนี้ เป็นการนำรายละเอียดในส่วนประเด็นเพิ่มเติม จากการที่ นายแก้วสรร ได้มาเข้าพบเมื่อ 12 มกราคม ที่ผ่านมา
     
      การตรวจสอบ คตส. โดยหลักจะเป็นประเด็น เรื่องการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ลงมติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 ให้เอกชนคู่สัญญาสามารถหักภาษีสรรพสามิตและนำไปรวมกับส่วนแบ่งที่ต้องนำส่งให้แก่ บริษัท ทีโอที ซึ่งส่วนนี้ คตส.จะตีความว่าทำให้รัฐเสียหายหรือไม่ เนื่องจากจำนวนเงินที่เข้าสู่รัฐยังมีเท่าเดิม เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการนำส่ง
     
      การตรวจสอบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือของที่ทำกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส โดยมติบอร์ดทีโอที ได้ปรับเปลี่ยนค่าสัมปทานจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 20 สำหรับโทรศัพท์มือถือในระบบพรีเพด(เติมเงิน) โดย คตส. จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปตรวจสอบต่อไป
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ออก กม.คุมนักการเมืองโกง สาว 7 ชั่วโคตรโทษคุก 15 ปี

โดย ผู้จัดการรายวัน 16 มกราคม 2550 21:21 น.


      ครม.ขิงแก่ออกกฎหมายใหม่สกัดผลประโยชน์ทับซ้อน เล่นหุ้นในลักษณะอินไซเดอร์ ปิดทางโกงทั้งโคตร โยงใยเอาผิด 3 เจเนอเรชั่น ตั้งแต่ทวดยันเหลน นักการเมืองโทษหนักจำคุก 15 ปี ไม่สนกลุ่มอำนาจเก่าจะออกมาโวย แนะพวกธนกิจการเมืองต้องปรับตัวรองรับกฎหมายใหม่
     
      นายธีรภัทร เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะมนตรี(ครม.)เมื่อวานนี้(16ม.ค.)ว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือกฎหมายป้องกันการกระทำที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน
     
      ทั้งนี้ หลักการของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้บัญญัติฐานความผิดไว้ 5 ประการ คือ 1.ความผิดตามกฎหมายคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)พ.ศ.2542 มาตรา 100,101 และ 103
     
      2. การใช้ข้อมูลวงในที่ได้รับรู้จากการปฏิบัติราชการในตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่น 3. การใช้ทรัพย์สินของทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่นที่ไม่มีสิทธิ์ โดยชอบตามกฎหมาย
     
      4. การริเริ่มเสนอหรือจัดทำโครงการของรัฐโดยเจตนา ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ และ 5. การใช้อำนาจหน้าที่ที่ตนมีอยู่ไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น โดยทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
     
      สำหรับโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายนี้ คือ จำคุก 1-10 ปี และปรับ 4 หมื่นถึง 4 แสนบาท แต่ถ้าเป็นการกระทำความผิดของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะต้องระวางโทษจำคุก 2-15 ปี และมีโทษปรับ 8 หมื่นถึง 6 แสนบาท โดยความผิดใน พ.ร.บ.นี้ จะรวมถึงคู่สมรส หรือญาติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
     
      อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีข้อสังเกตจากหน่วยงานต่างๆ จึงต้องนำไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
     
      เมื่อถามว่า สาระที่เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลวงใน รวมถึงการนำไปซื้อหุ้นในลักษณะอินไซเดอร์เทรดหรือไม่ นายธีรภัทร กล่าวว่า เป็นการรวมความทั้งหมด เพราะการใช้ข้อมูลวงในเพื่อหาประโยชน์ทำได้หลายวิธี เกี่ยวพันกับหลายเรื่อง
     
      สำหรับการตีความคำว่า "ญาติ"ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย จะตีความได้กว้างแค่ไหนนั้น รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในคำนิยามกฎหมายกำหนดไว้ว่า สามารถเอาผิดญาติ 3 ชั้น คือในทางดิ่งประกอบด้วย ลูก หลาน เหลน ถ้าไล่ขึ้นไปหมายถึง พ่อ ปู่ ทวด ส่วนคู่สมรสให้นับ 2 ชั้น คือ ลูกกับหลาน ส่วนในทางขึ้นของคู่สมรสให้นับ พ่อ กับตา บุพการี ทั้งนี้ เหตุที่เขียนไว้เช่นนี้เพราะเราอิงจากกฎหมายอื่นที่ได้วางมาตรฐานไว้ก่อนหน้านี้ โดยกฎหมายไม่สามารถเขียนรวมไปเอาผิดบุคคลใกล้ชิดได้
     
      ทั้งนี้มีข้อสังเกตจากคณะกรรมการกลั่นกรองฯบางประการ ทำให้ต้องเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ในบางส่วน เพราะมีหลายจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ โดยคาดว่ากฤษฎีกาจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 1 เดือน
     
      "ประเทศที่มีมาตรฐานสากลที่มีการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ แคนาดา หรือยุโรป ล้วนมีกฎหมายฉบับนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตเชิงนโยบาย และผลประโยชน์ทับซ้อน เชื่อว่าหากกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ได้จะช่วยยกระดับประชาธิปไตยและป้องกันการทุจริตได้
     
      ผู้สื่อข่าวถามว่า มีหลักประกันหรือไม่ว่ารัฐบาลสมัยหน้าจะยกเลิก พ.ร.บ.ฉบับนี้ นายธีรภัทร กล่าวว่า ไม่สามารถตอบแทนรัฐบาลหน้าได้ แต่เชื่อว่ากฎหมายที่มีสาระสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนคือหลักประกันที่รัฐบาลใดหากจะยกเลิกต้องมีเหตุผลในการชี้แจง ทั้งนี้ ไม่กลัวว่าเมื่อมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้วกลุ่มผู้เสียประโยชน์ที่อยู่ในรัฐบาลเก่าจะออกมาคัดค้าน หรือต่อต้านจนเกิดความวุ่นวาย เพราะกฎหมายฉบับนี้เป็นสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจอื่นๆ หากนักการเมืองเห็นว่ากระทบต่อตัวเองก็ต้องปรับตัว
     
      ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงการออกกฎหมายใหม่นี้ว่า เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการป้องกันการใช้ข้อมูลภายในของคนสนิท ญาติพี่น้อง ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อนำไปใช้หาผลประโยชน์ทางด้านตลาดเงินตลาดทุนด้วย
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 15

โพสต์

นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)กล่าวถึงความคืบหน้าในการยกเลิกมติครม.ที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจสัมปทานสัญญาณโทรศัพท์มือว่า ในวันพฤหัสที่ 18 ม.ค.นี้ จะประชุมร่วมกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ และรมว.คลัง ซึ่งมีคำสั่งให้นำเรื่องการยกเลิกมติครม.เมื่อ 11 ก.พ.46 เข้าคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อหาข้อสรุป หากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการฯแล้ว ก็สามารถนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ยกเลิกมติครม.ดังกล่าวได้ เนื่องจากมติครม.ดังกล่าวเป็นมติที่ไม่มีความชอบธรรม โดยขอยกตัวอย่าง เช่น มติครม.นั้นได้เขียนให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้จ่ายภาษีให้กับเอกชน ถ้อยคำในมติครม.นั้น ให้โรงงานยาสูบจ่ายภาษีสรรพสามิตแทนบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ เป็นต้น
     
   "มติครม.วันที่ 11 ก.พ.46 ถือว่าไม่มีความชอบธรรม และจากที่มติครม.นี้มีผลใช้บังคับ ได้สร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานของรัฐนับถึงตอนนี้กว่า 5 หมื่นล้านบาท ถ้าปีนี้ไม่รีบยกเลิกก็จะเสียหายอีกกว่า 1 หมื่นล้าน และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนอย่างเห็นได้ชัด เพราะถ้าไม่บังคับให้ CAT และ TOT เสียภาษีสรรพสามิตแทน บริษัทเอกชนก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิตประมาณ 5 หมื่นล้าน แต่ที่ผ่านมา บริษัทเอกชนไม่ได้เสียภาษีเลย ผมเห็นแล้วรู้สึกตลกและตะลึงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร"นายสิทธิชัย กล่าว

อยากทราบจังว่า นายสิทธิชัย คนนี้ในวันที่ 11 กพ.46 ทำงานอยู่ที่ไหน คืออยากทราบจริงๆ ผมไม่ได้มีข้อมูลอะไร

เมื่องไทยนี่ เล่นอย่างงี้กันประจำ

มิน่าแม่สอนไว้ อย่าไปรับราชการ โดยเฉพาะตำรวจนี่ ห้ามเด็ดขาด
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 16

โพสต์

มาเป็นชุดๆ....  เหนื่อยแทนเลย   :wink:


บัญชีดำซีพีพัวพันทุจริตกล้ายาง

โดย ผู้จัดการรายวัน 16 มกราคม 2550 21:15 น.


     กระทรวงเกษตรฯ ขึ้นบัญชีดำยักษ์ซีพีห้ามร่วมงานกับรัฐหลังคตส.ชี้มูลความผิดร่วมทุจริตกล้ายาง ฝ่ายซีพีแถลงเดินหน้าสู้วันนี้ จับตาเกมซื้อเวลาด้วยการตั้งคณะกก.สอบวินัยร้ายแรงกลุ่มขรก.ที่โยงถึงปลัดกระทรวง ด้านทอท.วิ่งแจ้นกล่าวโทษแก๊งงาบซีทีเอ็กซ์-ท่อร้อยสาย ต่อคตส. ขณะที่กองทุนฟื้นฟู รุดร้องทุกข์ "ทักษิณ-ภรรยา"ประพฤติไม่ชอบซื้อที่ดินย่านรัชดา "นาม"เตรียมเซ็นตั้งอนุไต่สวน 17 ม.ค.นี้ อนุซีทีเอ็กซ์ ปิดประตู ทักษิณกลับไทย พร้อมบินไต่สวนถึงเมืองนอก
     
      นายรุ่งเรือง อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณี คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน การทุจริตในโครงการขยายพื้นที่ปลูกยาง 1 ล้านไร่ว่า ทันทีที่ได้รับหนังสือจาก คตส. ทางกระทรวงเกษตรจะร้องทุกข์กล่าวโทษผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทันที โดยหลักการหน่วยงานทุกกระทรวงต้องให้ความร่วมมือกับ คตส. ในทุกกรณี
     
      สำหรับ ข้าราชการภายในกระทรวงเกษตรฯ หลายท่านที่มีชื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว และในปัจจุบันยังปฏิบัติราชการอยู่ในกระทรวง โดยหลักการต้อง ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ทันทีเช่นกัน ในส่วนของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เมล็ดภัณฑ์ จำกัด หากผลสรุปพบว่า เป็นบริษัทที่ทำให้โครงการของรัฐเสียหาย ตามระเบียบต้องถูกขึ้นบัญชีดำห้ามร่วมงานของรัฐต่อไป
     
      นายรุ่งเรือง ยังกล่าวถึงกรณีที่ กรมวิชาการเกษตร ต่ออายุให้ทางบริษัทซีพี ส่งมอบกล้ายางต่อไป ว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าเมื่อทาง คตส. ได้มีความเห็นออกมาอย่างนี้แล้ว ทางกรมวิชาการเกษตร ควรชะลอเรื่องไว้ก่อน ไม่ควรขยายสัญญาให้กับทางบริษัท จากนั้นให้ทางบริษัทจ่ายค่าชดเชยตามสัญญา โดยให้ทาง สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ดำเนินงานแทนต่อไป
     
      แหล่งข่าวจาก คตส. เปิดเผยว่า การชี้มูลความผิดของ คตส. เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้ว กระทรวงฯ ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบวินัยร้ายแรงอีก ซึ่งสังคมอาจมองว่าเป็นการยื้อเวลาของนักการเมืองผู้บริหารกระทรวงฯ เรื่องนี้ คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงเกษตรฯ สามารถพิจารณาลงโทษตามการชี้มูลความผิดของ คตส. ได้ทันที
     
      สำหรับกลุ่มข้าราชการที่ถูก คตส. ชี้มูลความผิด นอกเหนือจาก นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร แล้ว ยังมีชื่อของนายบรรพต หงษ์ทอง ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ที่อยู่ในส่วนของคณะกรรมการนโยบายและช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ส่วนคณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ และคณะกรรมการพิจารณาผลการประมูล ประกอบด้วย นายจิราโก โกศัยเสวี, นายอนันต์ สุวรรณรัตน์, นายสุจินต์ แม้นเหมือน, นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์, นายสมชาย ชาญณรงค์กุล, นายสมบัติ ยั่งยืน เป็นต้น
     
     **กรมวิชาการฯแปลกยันต่อสัญญาซีพี  
     
      ทางด้านแหล่งข่าวกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า หลังจากคตส.ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตกล้ายางออกมาแล้ว แต่ทางผู้บริหารกรมวิชาการเกษตร กลับทำหนังสือมายังกระทรวงฯ ยืนยันการต่อสัญญากับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด เพื่อส่งมอบกล้ายางให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้รับกล้ายาง โดยอ้างเหตุผลว่าการผิดสัญญาของเอกชนเป็นเรื่องสุดวิสัย ความจริงแล้วเรื่องนี้กรมวิชาการเกษตร ควรทำหนังสือหารือไปยัง คตส. ว่าจะต้องดำเนินต่อในเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งกรมวิชาการฯ ไม่ควรต่อสัญญา
     
      นอกจากนั้น ยังมีคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งที่ควรจะถูกตรวจสอบด้วย คือ คณะกรรมการชุดที่ตรวจรับกล้ายางที่ไม่เป็นไปตามสัญญา ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน
     
     **ซีพีเตรียมแถลงข่าววันนี้
     
      นายขุนศรี ทองย้อย รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวถึงกรณีที่ ทางคณะกรรมการ การตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.มีมติรับเรื่องการทุจริตในโครงการกล้ายางว่า ทางบริษัทกำลังตั้งตัวแทน ฝ่ายกฎหมาย เข้ามาศึกษากรณีดังกล่าว โดยในวันนี้ (17 มกราคม) จะเปิดแถลงข่าว ต่อสาธารณชนว่าบริษัทจะดำเนินการต่อไป
     
      ส่วนกรณีที่ทางกรมวิชาการเกษตร จะต่อสัญญาให้ทางบริษัทแจกกล้ายางให้เกษตรกรนั้น บริษัทเห็นว่าควรต้องให้บริษัทดำเนินการต่อไป เพราะถือว่าเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการควรจะได้รับกล้ายางทุกคน แต่อยากจะฝากให้ภาครัฐให้ความเป็นธรรมกับบริษัทด้วย เนื่องจากมีเกษตรกรบางส่วนที่ไม่ได้เสียหายจริง ทางบริษัทก็ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้ได้
     
      **กล่าวโทษทักษิณคดีที่ดินรัชดาฯ
     
      นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตที่คตส.ชี้มูลไปแล้ว 3 คดี คือ คดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 คดีท่อร้อยสายไฟฟ้าสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากที่ ทอท.ได้มายื่นร้องทุกข์เพิ่มเติม โดยระบุรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อคตส.เรียบร้อยแล้ว โดยมีการระบุชื่อผู้ถูกกล่าวโทษคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการประพฤติมิชอบ
     
      ดังนั้น ในวันนี้ (17ม.ค.) ตนจะลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนทั้งหมด และจะส่งหนังสือให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คดี ได้คัดค้านรายชื่อคณะอนุกรรมการไต่สวนโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการแจ้งที่อยู่
     
      ส่วนกรณีที่ คตส.ได้ชี้มูลการทุจริตการจัดซื้อกล้ายาง 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตรนั้น ในสัปดาห์นี้ คตส.จะส่งหนังสืออย่างเป็นทางการไปถึงหน่วยงานรัฐที่เสียหายคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ให้มาร้องทุกข์โดยเร็ว
     
      เมื่อถามถึงผลการหารือกับ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ.ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ในช่วงเช้า นายนาม กล่าวว่า มีการถามสารทุกข์สุขดิบเป็นธรรมดา และได้มอบของขวัญให้กับคตส. ซึ่งพล.อ.สนธิ เป็นสุภาพบุรุษมาก ไม่ได้เร่งรัดให้คตส.ต้องทำงานโดยเร็ว แต่ก็มีการพูดคุยกันบ้างถึงความคืบหน้าในการดำเนินการตรวจสอบในแต่ละคดี ซึ่งพล.อ.สนธิ ก็เข้าใจดี เพราะส่วนหนึ่งได้ติดตามการทำงานของคตส.จากสื่อมวลชนเป็นประจำ
     
      เมื่อถามว่าได้มีการหารือถึงแนวทางการรับมือกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการกลับมาสู้คดีในประเทศไทยหรือไม่ นายนาม กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคมช.ว่าจะจำเป็นหรือไม่ เพราะการชี้แจงและการต่อสู้คดีทำได้หลายวิธี เช่น การชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร หรือจะมีการชี้แจงผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ก็ได้ อย่างไรก็ตาม คตส.ได้เตรียมแนวทางการที่จะให้คณะอนุกรรมการไต่สวนเดินทางไปสอบพ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศ เอาไว้ด้วย แต่เป็นเรื่องของอนาคตที่จะต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ว่าจำเป็นหรือไม่
     
      **ยัน คตส.มีอำนาจอายัดทรัพย์
     
      นายนาม ยังกล่าวชี้แจงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส.ว่า คตส.มีอำนาจตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 และ คตส.ก็มีระเบียบในการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อมีการตรวจสอบและพบว่ามีความผิด คตส.ก็สามารถสรุปเรื่องและส่งอัยการฟ้องศาลได้เลย โดยไม่ต้องไปชี้แจงให้ ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ให้ทราบแต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้ถือเป็นอำนาจของคตส.อยู่แล้ว
     
      "เช่นเดียวกัน ในเรื่องของการอายัดทรัพย์สินนั้นก็ถือเป็นอำนาจโดยตรงของคตส.เช่นกัน เนื่องจากในประกาศ คปค.ฉบับที่30 ได้ให้อำนาจแก่คตส.ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอำนาจของตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ของ ปปง. ที่สามารถอายัดทรัพย์ได้ ซึ่งการใช้อำนาจคตส.ในส่วนนี้สามารถขอความร่วมมือไปยังปปง.หรือสามารถใช้อำนาจเองได้เองทันที ที่คตส.ตรวจพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินอย่างผิดกฎหมาย โดยที่ไม่ต้องไปขอความเห็นจากคมช."
     
      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา มีความพยายามจะหารือกันระหว่าง พล.อ.สนธิ กับ คตส. โดยพล.อ.สนธิ ได้เดินทางมาถึงถนนหน้าอาคารสตง.แล้ว แต่พบว่ามีสื่อมวลชนดักรอทำข่าวจำนวนมาก ทำให้พล.อ.สนธิ เปลี่ยนใจ และนัดให้ 3 คตส.เข้าพบในเช้าวันที่ 16 ม.ค.แทน คาดว่าจะหารือถึงแนวทางการเตรียมรับมือกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการกลับเข้าประเทศ โดยอ้างว่าจะต่อสู้คดีที่คตส.กำลังสอบสวนอยู่ พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าในการตรวจสอบ รวมถึงปัญหาที่หน่วยงานรัฐไม่ให้ความร่วมมือ
     
      ทางด้านพล.อ.สนธิ เปิดเผยถึงการพบปะกับ คตส.ว่า ความจริงตนจะเดินทางไปสวัสดีปีใหม่ แต่ท่านบอกว่าไม่ต้องไป และท่านก็ได้เดินทางมาหา ก็ได้มีการพูดคุยกัน โอกาสนี้ ท่านก็ได้เล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งมีเยอะมาก และมีความคืบหน้าไปมากแล้ว
     
      "ผมได้บอกกับคตส.ว่า หากคดีเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใด แล้วมีปัญหาขอให้เขาบอกมา แต่ขณะนี้ยังไม่มี ซึ่งมีหน่วยงานรัฐให้ความร่วมมืออย่างดี ทั้งนี้เราไม่สามารถเข้าไปชี้นำการทำงานของ คตส.ได้ เพราะเราไม่มีความสามารถ ซึ่งสิ่งที่ทำได้คือ ติดตามการทำงาน ยอมรับว่าขณะนี้เราเป็นฝ่ายตั้งรับ เพราะข้อมูลบางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเกรงจะส่งผลกระทบต่อการสืบสวนสอบสวน แต่เชื่อว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้น"ประธาน คมช.กล่าว
     
      **เอ็มดี ทอท.แจ้นกล่าวโทษแก๊งงาบซีทีเอ็กซ์
     
      ด้านนายอำนวย ธันธรา หนึ่งในคณะกรรมการ คตส.ในฐานะผู้รับผิดชอบการตรวจสอบโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 เปิดเผยว่า นายโชติศักดิ์ อาสภวิริยะ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ได้เข้ามายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นครั้งที่สอง โดยมีการระบุรายชื่อผู้ที่ถูกกล่าวหาไว้ชัดเจนแล้ว จึงถือว่าการร้องทุกข์กล่าวโทษได้ครบสมบูรณ์แล้ว ทำให้คตส.สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้
     
      สำหรับขั้นตอนต่อไปคือ อนุกรรมการไต่สวน จะส่งรายชื่อผู้ที่ถูกกล่าวหาให้มาทำการคัดค้าน จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการแก้ข้อกล่าวหา โดยส่วนตัวรู้สึกหนักใจในเรื่องระยะเวลาในการทำงาน เพราะสำนวนของอนุกรรมการตรวจสอบที่สรุปในเบื้องต้น สามารถรวบรวมข้อมูลได้เพียง 80% ยังมีประเด็นที่ต้องรวบรวมเพิ่มเติม โดยตนต้องการให้มีข้อมูลครบ 100% เพราะไม่อยากให้เป็นจุดอ่อนให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ในชั้นศาลได้
     
      "สำหรับประเด็นที่ต้องการรวบรวมเพิ่มเติมนั้น เป็นข้อมูลเกี่ยวกับบางบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งคณะอนุกรรมการต้องการทราบความเป็นมาของบริษัทดังกล่าว แต่จะต้องขอความร่วมมือผ่านทางอัยการสูงสุด ตามสนธิ ความร่วมมือระหว่างประเทศในคดีอาญาเพื่อประสานให้รัฐบาลสหรัฐฯ สอบสวนในประเด็นที่เราต้องการ โดยตนได้ร่างหนังสือ และประเด็นคำถามเอาไว้แล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ จะสอบสวนให้ได้เมื่อใด และจะใช้เวลานานเท่าใดด้วย"นายอำนวย กล่าว
     
      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด ทอท.แสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อมติเสียงข้างมาก ของคณะกรรมการบริหารทอท.ที่มีมติให้ทอท.ไปกล่าวโทษกับคตส.โดยไม่ยอมระบุชื่อบุคคล ที่มีความผิดทั้งสองคดี ที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม ที่ถูกคตส.ตั้งข้อกล่าวหา
     
      แหล่งข่าวจาก คตส.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ อนุกรรมการได้มีมติชี้มูลความผิดไปที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรงจากกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และ การซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ระหว่างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันทางการเงิน กับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการ ได้มีการหารือกันตลอด ตั้งแต่รับทั้งสองเรื่องมาพิจารณาแล้วว่า จะต้องเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ มาชี้แจงต่อคตส.ในขั้นตอนการตรวจสอบด้วยตัวเองหรือไม่ โดยระหว่างช่วงนั้นคณะอนุกรรมการมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ มาชี้แจง
     
      ทั้งนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า ถ้าคตส.มีมติให้เชิญอดีตนายกฯมาชี้แจง อาจจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นได้ และเห็นว่าแม้จะเชิญมา ก็เชื่อว่าคำตอบที่ได้ก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคตส.มากนัก ดังนั้นจึงมติไม่เชิญมาชี้แจงด้วยตัวเองในขั้นตอนดังกล่าว เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถใช้สิทธิในการแก้ข้อกล่าวหาในขั้นตอนของการไต่สวนได้อยู่แล้ว และไม่มีผลกระทบต่อรูปคดีต่อไป เมื่อถึงขั้นตอนการต่อสู้ในชั้นศาล
     
      "กรณีนี้ต่างกับการที่คณะอนุกรรมการตรวสอบการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีมติเชิญ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร มาชี้แจงเรื่องการซื้อขายหุ้นของบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เม้นต์ จำกัด เพราะทั้งสองถือว่าเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงจากการซื้อขาย และมีการรายงานการซื้อขายไปยังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ในฐานะกรรมการบริษัทจึงผู้ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร ทำให้อนุกรรมการมีความจำเป็นอย่างสูงที่ต้องเชิญทั้งสองคนมาชี้แจง เพื่อให้สำนวนมีความครบถ้วนในทุกด้าน"แหล่งข่าว คตส.กล่าว
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 17

โพสต์

Jeng เขียน:อยากทราบจังว่า นายสิทธิชัย คนนี้ในวันที่ 11 กพ.46 ทำงานอยู่ที่ไหน คืออยากทราบจริงๆ ผมไม่ได้มีข้อมูลอะไร
เป็นคนเก่งมากคนหนึ่ง
เป็นอาจารย์มาโดยตลอด

ประวัติท่านน่าทึ่งครับ

ประวัติ ดร.โภไคอุดม 1

ประวัติ ดร.โภไคอุดม 2
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 18

โพสต์

อืมน่าทึ่งจริงๆ ครับ
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 19

โพสต์

'กฤษณ์'โต้สิงคโปร์...ไหนว่าเป็นมิตร !

รูปภาพ
กฤษณ์ กาญจนกุญชร  


17 มกราคม 2550 12:05 น.กรุงเทพธุรกิจ

หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แม้ว่าสิงคโปร์จะแจงว่า..เป็นการพบกันอย่างไม่เป็นทางการก็ตาม แต่"สถานะ" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ หลังถูกยกเลิกหนังสือเดินทางทางการฑูต ก็เป็นที่รับรู้กันโดยสาธารณะ
 

และยิ่งไปกว่านั้น การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ประเทศสิงคโปร์ เป็นฐานให้สัมภาษณ์สื่อโจมตีการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ยิ่งตอกย้ำมิตรประเทศสิงคโปร์ที่มีต่อรัฐบาลไทยมากขึ้น

ทันที่ที่สิ้นเสียงการให้สัมภาษณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้นโยบายต่างประเทศของไทยกับสิงคโปร์ ที่ดำเนินนโยบายทางการฑูตของสองประเทศ ที่เปราะบางมาก่อนหน้านี้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น

เมื่อ กฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เชิญ" ปีเตอร์ ชาน" เอกอัครราชทูตสิคโปร์ประจำประเทศไทย เข้าพบ เพื่อแจ้งท่าทีของไทยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับแจ้งให้สิงคโปร์ทราบว่า ทางการไทยมีความไม่พอใจกับเหตุการณ์ และคำอธิบายที่มีมา ซึ่งเห็นว่ากระทบกระเทือนต่อความเข้าใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน

พร้อมกับแสดงจุดยืนทีชัดเจนดังนี้

1. แจ้งให้เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ทราบว่าทางการไทยได้สั่งระงับความร่วมมือโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการพลเรือนไทย-สิงคโปร์ (Civil Service Exchange Programme) หรือ ซีเสป ครั้งที่ 8

2. สั่งยกเลิกการประชุมซีเสป ครั้งที่ 8 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29-31 ม.ค.นี้

และ3. ถอนคำเชิญ นายจอร์จ เยียว รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ที่จะเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมซีเสป และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับซีเสป ระหว่างวันที่ 29-30 ม.ค.


" กฤษณ์ กาญจนกุญชร " เกิดวันที่14 ตุลาคม 2491 คู่สมรสชื่อนางระวีวรรณ กาญจนกุญชร (จารุสุนทรศรี)

จบการศึกษา B.A. (Law), Queen's College, University of Oxford สหราชอาณาจักร Diploma in International Law, University of Manchester สหราชอาณาจักร Ph.D (International Law), University of Manchester สหราชอาณาจักร และยังจบหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 37 ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2537

กฤษณ์ เริ่มเข้าทำงานตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2521 ในตำแหน่งเลขานุการตรี (เจ้าหน้าที่การทูต 4) กองสนธิสัญญา กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ก่อนจะไต่เต้าหน้าที่ราชการเรื่อยๆโดยในปี พ.ศ. 2532 ดำรงตำแหน่งอัครราชทูต (เจ้าหน้าที่การทูต 9) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ไปนั่งเป็น เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสำนักงานสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ณ นครเจนีวา (เจ้าหน้าที่การทูต 10)

และในปี พ.ศ. 2547 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน

.การตัดสินใจดำเนินนโยบายต่างประเทศของ" กฤษณ์ กาญจนกุญชร"ในฐานะบิ๊ก"กระทรวงบัวแก้ว"ได้เรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมาได้มากหลังจากที่ก่อนหน้านี้มักจะถูกวิจารณ์เสมอว่า "ไทยตามก้นสิงคโปร์"

...แต่หลายคนกระซิบบอกว่า.....ยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำครับ !


: จันทร์เสี้ยว บางนรา


กาแฟแก้วนี้เริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วครับ   :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
ก้อนหิน
Verified User
โพสต์: 2344
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 20

โพสต์

matrix เขียน: เป็นคนเก่งมากคนหนึ่ง
เป็นอาจารย์มาโดยตลอด

ประวัติท่านน่าทึ่งครับ

ประวัติ ดร.โภไคอุดม 1

ประวัติ ดร.โภไคอุดม 2
ยกเว้น ตอนนึงที่ท่านมาออกข่าวเกี่ยวกับ Software Open Source อะครับ ท่านเผยวิสัยทัศน์ที่ไม่ค่อยจะกว้างเท่าไหร่ออกมาครับ เสียดายที่ link มันลบไปแล้วไม่งั้นจะเอามา post ให้ดูครับ
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ก้อนหิน เขียน: ยกเว้น ตอนนึงที่ท่านมาออกข่าวเกี่ยวกับ Software Open Source อะครับ ท่านเผยวิสัยทัศน์ที่ไม่ค่อยจะกว้างเท่าไหร่ออกมาครับ เสียดายที่ link มันลบไปแล้วไม่งั้นจะเอามา post ให้ดูครับ

For P'Jeng & k.ก้อนหิน -> http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?p=233826
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 22

โพสต์

อดีตทูตอาวุโสสิงคโปร์จวก'ทักษิณ' นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม

17 มกราคม 2550 19:29 น. กรุงเทพธุรกิจ

อดีตทูตอาวุโสของสิงคโปร์ จวก"ทักษิณ"นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม ไม่เป็นธรรม-เมตตากับสิงคโปร์ ระบุควรไปสัมภาษณ์ที่อื่น

หนังสือพิมพ์ Today ซึ่งเป็นสื่อของสิงคโปร์ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2550 ได้รายงานข่าวที่มีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า นายกีชอร์ มาห์บูบานิ อดีตนักการทูตอาวุโส และผู้อำนวยการโรงเรียนลี กวน ยิว ซึ่งพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นธรรมกับสิงคโปร์ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิงคโปร์ไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความเมตตาต่อสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นที่อื่นซึ่งไม่ใช่ที่สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ก็ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ดร.สิทธินี่แกนักเลงมากครับ ผมเคยยืนทะเลาะด้วยสมัยผมเรียนปริญญาโทที่มหานคร เออ...ท่านอธิการบดี(เจ้าของ)

จ่ายค่าเทอมช้าไปสองวันพวกจะไล่ออกแน่ะ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
MisterK
Verified User
โพสต์: 857
ผู้ติดตาม: 0

* * * " จิบกาแฟ แฉ ข่าว " * * *

โพสต์ที่ 24

โพสต์

matrix เขียน:อดีตทูตอาวุโสสิงคโปร์จวก'ทักษิณ' นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม

17 มกราคม 2550 19:29 น. กรุงเทพธุรกิจ

อดีตทูตอาวุโสของสิงคโปร์ จวก"ทักษิณ"นำสิงคโปร์ไปสู่จุดล่อแหลม ไม่เป็นธรรม-เมตตากับสิงคโปร์ ระบุควรไปสัมภาษณ์ที่อื่น

หนังสือพิมพ์ Today ซึ่งเป็นสื่อของสิงคโปร์ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2550 ได้รายงานข่าวที่มีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า นายกีชอร์ มาห์บูบานิ อดีตนักการทูตอาวุโส และผู้อำนวยการโรงเรียนลี กวน ยิว ซึ่งพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นธรรมกับสิงคโปร์ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิงคโปร์ไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความเมตตาต่อสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นที่อื่นซึ่งไม่ใช่ที่สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ก็ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

กรุงเทพธุรกิจของใครบางคนแกเก่งนะ   อุตสาห์ขุดหาคนพูดสนับสนุนจากสิงคโปร์มาได้   หนึ่งในไม่รู้กี่ล้านเลยนะนี่    สนองนโยบาย "ขอความร่วมมือเสนอแต่สิ่งดี ๆ " ได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ :cheers:
โพสต์โพสต์