วันเด็กกับอสุจินิรนาม

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

วันเด็กกับอสุจินิรนาม

โพสต์ที่ 1

โพสต์

วันเด็กกับอสุจินิรนาม
บ้านเขาเมืองเรา : ไสว บุญมา  
กรุงเทพธุรกิจ  วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550


พรุ่งนี้เป็นวันเด็ก เราจะฉลองวันอันสำคัญยิ่งนี้กันอีกครั้ง แต่ความคิดและกิจกรรมในปีนี้คงเปลี่ยนไปบ้างหลังเหตุการณ์วางระเบิด 8 แห่งในกรุงเทพฯ เพื่อส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม

สำหรับผมอดคิดถึงบทความบทหนึ่งซึ่งเขียนโดยวัยรุ่นสาวชาวอเมริกันในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ฉบับประจำวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2006 ไม่ได้ ผมเก็บบทความนั้นไว้เนื่องจากรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรงเมื่ออ่านครั้งแรก ผมกลับไปอ่านบทความนั้นอีกครั้งหลังจากอ่านวอชิงตันโพสต์ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับธุรกิจแห่งหนึ่งซึ่งโฆษณาว่าเขาเป็นแห่งแรกในโลกที่เสนอขาย "ตัวอ่อนของมนุษย์" (Embryo) ให้แก่ผู้ที่อยากมีลูก บทความดังกล่าวยังสร้างความสะเทือนใจไม่น้อยกว่าการอ่านครั้งแรกและทำให้เกิดความคิดว่าโอกาสหน้าถ้าตัวเองทั้งกล้าและมีความสามารถพอก็จะแปลให้คนไทยอ่าน

สำหรับผู้ที่อาจลืมวิชาชีววิทยาไปบ้างแล้ว ขอเรียนว่าตัวอ่อน หรือ Embryo เป็นชีวิตแรกเกิดในช่วง 8 สัปดาห์หลังจากไข่และอสุจิผสมกันก่อนที่ชีวิตนั้นจะพัฒนาขึ้นมาเป็นทารก ตามรายงานข่าว ธุรกิจดังกล่าวจะไปกว้านหาไข่และอสุจิจากผู้ที่มีลักษณะตรงความต้องการของผู้อยากมีลูก นำมาผสมกันในถ้วยแก้วแล้วขายตัวอ่อนที่ได้ให้กับผู้ซื้อโดยวิธีฝังเข้าไปในมดลูกของเธอ หากการฝังตัวอ่อนนั้นประสบผลสำเร็จ คาดว่าผู้ซื้อจะได้ลูกที่มีลักษณะตามต้องการ เช่น สีผิว สีผม สีตาและระดับสติปัญญาซึ่งน่าจะถอดมาจากพ่อแม่ที่ต้องมีการศึกษาอย่างต่ำขั้นปริญญาตรี

เรื่องราวของธุรกิจนี้ถือเป็นข่าวดีของผู้อยากมีลูกแต่มีไม่ได้เพราะปัจจัยบางอย่างและผู้ที่ต้องการมีลูกที่มีลักษณะตามสั่ง แต่มันสร้างข้อโต้แย้งอันเผ็ดร้อนจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาคิดว่าการทำให้การมีลูกเป็นเสมือนการซื้อขายสินค้าผิดจรรยาบรรณและหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

ผู้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์คนนั้นอายุเพียง 18 ปี จึงนับว่ามีความเป็นเลิศในการใช้ภาษาที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของเธอออกมาได้อย่างจะแจ้ง กระชับและสะเทือนใจ

เธอเริ่มเล่าเรื่องว่าเมื่อต้นปีที่แล้วเธอส่งจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล ไปหาชายคนหนึ่งซึ่งเธอค้นพบในอินเทอร์เน็ตและเดาว่าเขาน่าจะเป็นพ่อของเธอ ทั้งที่ไม่หวังจะได้รับคำตอบเพราะเธอเพิ่งส่งอีเมลแนวนั้นออกไปเป็นครั้งแรก แต่เธอได้รับคำตอบทางอีเมลอย่างไม่คาดฝันและที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ชายคนนั้นแนบรูปของเขามาด้วยและหน้าที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ของเธอมีความละม้ายคล้ายหน้าของเธอเองทุกประการ

จากนั้นเธอจึงเล่ารายละเอียดว่าเป็นเวลากว่า 17 ปีที่เธอไม่รู้ที่มาของตัวเอง ในขณะที่เธอรู้ว่าลักษณะฟันของเธอนั้นมาจากแม่ แต่ไม่รู้ว่าลักษณะของขากรรไกรและจมูกมาจากไหน เธอเดาว่าเธอได้มาจากพ่อ แต่เธอไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย ไม่เคยเห็นแม้แต่รูปภาพของเขาและก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเขาจากแม่ด้วย ทั้งนี้เพราะแม่เองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร !

เธอเล่าต่อไปว่าเมื่อแม่ของเธออายุ 32 ปี แม่ยังเป็นโสดแต่วิตกว่าโอกาสแต่งงานและการมีลูกใกล้จะหมดลง ทั้งที่ไม่ค่อยจะมีเงินแม่ได้ตัดสินใจให้หมอใช้กระบอกฉีดยาสอดใส่อสุจิซึ่งชายนิรนามบริจาคไว้ในธนาคารอสุจิเข้าไปในมดลูก เธอคือผลลัพธ์

ผู้เขียนสารภาพว่าเธอรู้สึกเคืองขุ่นอยู่เป็นเวลานาน เคืองที่ผู้ใหญ่ใส่ใจแต่เฉพาะแก่ตัวเอง ฝ่ายแม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจในความอยากมีลูก ฝ่ายพ่อได้รับการประกันว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครและจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อลูกที่เกิดขึ้น ฝ่ายหมอก็ได้เงิน ความใจแคบและเห็นแก่ตัวทำให้พวกเขาลืมคิดไปว่าลูกที่เกิดมานั้นต้องการอะไรบ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเห็นว่าเด็กทุกคนมีสิทธิที่จะรู้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใครและต้องการมีความสัมพันธ์กับทั้งพ่อและแม่ เนื่องจากเด็กที่เกิดจากกระบวนการสืบพันธุ์ดังกล่าวเติบโตขึ้นในสภาพที่เปล่าเปลี่ยวและโหยหาผู้เป็นพ่อ จำนวนมากจึงมีปัญหาทางอารมณ์อย่างร้ายแรง


ผู้เขียนบรรยายความรู้สึกของเธอว่าในตอนที่เธอกำลังเติบโตขึ้นนั้น เธอมักบอกตัวเองว่าการไม่มีพ่อนั้นไม่สำคัญอะไร แต่บางทีเธอก็เคลิ้มฝันกลางวันไปว่าน่าจะรู้สึกดีถ้าได้มีพ่อโอบกอดและอุ้มขึ้นฟัดเหวี่ยงเป็นครั้งคราว จริงอยู่เธอมีเพื่อนที่ไม่มีพ่ออยู่ในบ้านเพราะพ่อแม่หย่าร้างกัน แต่อย่างน้อยเขาก็มีพ่อมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว บางที่เธอพยายามปลอบใจตัวเองว่าพ่อได้ตายไปแล้ว ต่อมาเมื่อแม่ได้แต่งงาน เธอเข้าหน้ากับสามีของแม่ไม่ค่อยได้ทำให้เธอรู้สึกเป็นผู้อยู่นอกความต้องการเสมอ ทุกครั้งที่เธอกับแม่ขัดแย้งกันผู้ชายคนนั้นมักจะให้คำแนะนำที่เธอไม่ต้องการ

อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก เธอเกรี้ยวมากจนลืมตัวและตะโกนใส่หน้าเขาไปว่า เขาไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น เขาไม่ใช่พ่อของเธอเพราะเธอไม่มีพ่อ หลังจากหลุดคำนั้นออกไปความรู้สึกว้าเหว่ว่างเปล่าก็ประดังเข้ามาในห้วงความรู้สึกของเธอ เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งประหลาด ชาตินี้จะไม่มีวันมีพ่อและแล้วเธอก็เข้าใจว่าการเกิดจากอสุจิบริจาคของชายนิรนามหมายความว่าอะไรทำให้เธอรู้สึกคับแค้นเป็นที่สุด

เธอเล่าต่อไปว่าชีวิตของเธอคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไปถ้าเธอไม่ได้ดูโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงคนหนึ่งซึ่งตายด้วยโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย หญิงผู้นั้นไม่รู้ว่าเธอเป็นโรคหัวใจที่เธอได้มาทางกรรมพันธุ์เพราะเธอไม่รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงเนื่องจากเธอเป็นลูกบุญธรรม รายการนั้นทำให้ผู้เขียนฉุกคิดขึ้นได้ว่าเธอก็ไม่รู้ประวัติกรรมพันธุ์ของเธอทั้งหมด ตั้งแต่วันนั้นเธอจึงเริ่มค้นหาพ่อของเธอจากข้อมูลที่พอจะหาได้ในระบบอินเทอร์เน็ต

เธอคิดว่าถ้าเธอพยายามจริงๆ เธออาจใช้เวลากว่า 10 ปีก่อนที่จะค้นพบพ่อ แต่เธอกลับโชคดีที่ใช้เวลาเพียงราวหนึ่งเดือนก่อนที่จะเห็นหน้าพ่อบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดังกล่าว เธอเล่าต่อไปถึงการติดต่อกัน ถึงกระบวนการทดสอบเลือดเพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อลูก ถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ถึงความห่วงใยต่อบรรดาเด็กที่เกิดจากอสุจิของชายนิรนามและถึงแนวคิดว่าสังคมควรจะทำอย่างไร

ณ วันนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าจนสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้สารพัด แต่เทคโนโลยียังไม่มีความสามารถพอที่จะคิดถึงเรื่องจริยธรรมและมนุษยธรรม ในวันเด็กนี้เทคโนโลยีคงมีส่วนทำให้เด็กมีความสุขและสนุกสนานกันเกือบถ้วนหน้า แต่บทความที่นำมาเล่านี้ยืนยันว่า เทคโนโลยีไม่มีความสามารถพอที่จะทดแทนบางสิ่งที่เด็กต้องการจากพ่อแม่ ในวันเด็กครั้งนี้คนไทยจึงน่าจะตั้งปณิธานว่าเราจะพิจารณามุมมองของเด็กกันอย่างจริงจังและสังคมไทยจะไม่มีเด็กซึ่งเกิดจากอสุจินิรนาม
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

วันเด็กกับอสุจินิรนาม

โพสต์ที่ 2

โพสต์

พ่อของหนู คือ อสุจินิรนาม (1)

บทความชิ้นนี้ถอดความและเรียบเรียงโดย ดร.ไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก จากบทความเรื่อง Who"s Your Daddy? : My Father Was an Anonymous Sperm Donor ของแคทรินา คลาร์ก ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ 17 ธันวาคม 2549


หนูไม่ได้หวังอะไรในวันที่หนูส่งจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ไปหาชายคนหนึ่งซึ่งหนูพบชื่อในอินเทอร์เน็ต หนูกำลังค้นหาพ่อและชายคนนั้นดู จะมีอะไรที่ทำให้หนูคิดว่าเขาน่าจะเป็นพ่อของหนู แต่หนูไม่หวังจะได้รับคำตอบที่มีค่ายิ่งหลังจากส่งจดหมายออกไปเพียงครั้งเดียว แล้วหนูก็ได้รับคำตอบ -- พร้อมกับรูปที่แนบมา

จากจอคอมพิวเตอร์ ดูเหมือนว่าหน้าของหนูเองกำลังเพ่งดูหนูอย่างพินิจ และเพียงเท่านั้น ปริศนาที่หนูหาคำตอบอยู่ 17 ปีก็มี คำตอบ

ปริศนาที่ว่าหนูคือใคร

หนูอายุ 18 ปี เกือบตลอดชีวิตหนูไม่รู้ว่าครึ่งหนึ่งของหนูมาจากไหน หนูไม่รู้ว่าจมูก ขากรรไกร หรือความสนใจในวัฒนธรรมต่างแดนของหนูมาจากไหน หนูแน่ใจว่าหนูได้ฟันและการชอบพูดตลกโปกฮาแบบสองแง่สองง่าม การมองโลกจากมุมมองของสตรีที่ถือเอาความเสมอภาคเป็นหลักยึดมาจากแม่ แต่ส่วนที่เหลือของหนูไม่รู้ว่ามาจากไหน

ส่วนนั้นมาจากพ่อของหนู แต่หนูไม่เคยเจอเขาเลย ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขา ไม่เคยเห็นรูปของเขา ไม่รู้จักชื่อของเขา แม่ไม่เคยพูดถึงเขา -- เพราะแม่ก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร

เมื่อแม่อายุ 32 ปี -- ยังเป็นโสด แต่วิตกว่าจะขาดโอกาสแต่งงานและการมีครอบครัว -- แม่จึงยอมให้หมอคนหนึ่งซึ่งใช้มือที่สวมถุงยางฉีดอสุจิของชายไร้นามเต็มกระบอกฉีดยาเข้าไปในมดลูกเพื่อจะให้เธอได้มีลูก ผลลัพธ์คือหนู ผู้เกิดจากอสุจิบริจาค

มีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งหนูรู้สึกเคียดแค้นมาก

หนูเคียดแค้นเพราะในเรื่องของการสืบพันธุ์แบบอสุจิบริจาค ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่ "พ่อแม่" -- ผู้ใหญ่ซึ่งสามารถตัดสินใจเลือกทำอะไรกับชีวิตของตนก็ได้ ผู้รับอสุจิได้รับความเห็นอกเห็นใจในความอยากมีลูก ผู้บริจาคอสุจิได้รับการค้ำประกันในความนิรนามและความไม่ต้องรับผิดชอบต่อลูกที่เกิดขึ้นจากการ "บริจาค" ของเขา ตราบใดที่ผู้ใหญ่มีความสุข การสืบพันธุ์แบบนี้ถือว่ามีผลสำเร็จ ถูกไหม ?

ไม่ถูกค่ะ เพราะเด็กที่เกิดขึ้นมาจากกระบวนการนี้ก็เป็นคนด้วยเช่นกัน พวกหนูที่เกิดแบบนี้รุ่นแรก -- ครอบคลุมช่วงเวลาในตอนก่อนและหลังปี ค.ศ.1980 เล็กน้อย อันเป็นช่วงที่ธนาคารอสุจิเริ่มแพร่หลายและการผสมเทียมกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง -- กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเรามีอะไรที่เราอยากจะพูด

หนูอยากจะบอกว่า พวกเราจำนวนมากมีปัญหาทางอารมณ์ พวกเราไม่ได้ขอมาเกิดในสภาพเช่นนี้ซึ่งมีทั้งข้อจำกัดและความสับสน มันเป็นความกำมะลอของพ่อแม่และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ตั้งสมมติฐานกันเอาเองว่า รากเหง้าทางชีวะไม่มีความสำคัญต่อ "ผลผลิต" อันเกิดจากบริการของธนาคารอสุจิในเมื่อความโหยหาถึงความสัมพันธ์ทางด้านชีวะนั่นเองที่เป็นตัวผลักดันให้ลูกค้าวิ่งไปหาธนาคารดังกล่าว

พวกเรารู้ดีถึงสิทธิที่ถูกกระชากไปจากเราเมื่อตอนเราเกิด -- สิทธิที่จะรู้ว่าทั้งพ่อและแม่ของเราเป็นใคร

และเราพร้อมที่จะเรียกร้องเอาสิทธินั้นคืน

ในตอนที่หนูกำลังเจริญวัย การมีพ่อ ดูจะไม่สำคัญนัก -- หรืออย่างน้อยหนูบอก ตัวเองว่าอย่างนั้น แต่บางครั้งเมื่อหนูยังเล็กๆ หนูจะจินตนาการถึงชายรูปร่างผอมสูงยกหนู ขึ้นชูแล้วหมุนหนูไปรอบๆ ที่สนามหน้าบ้าน ชายที่อ่อนโยนอย่างลูกผู้ชายที่ได้สัมผัสลูกสาวตัวน้อยๆ แม้เขาจะไม่ได้อยู่กับหนูด้วยตลอดเวลาก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่หนูได้อยู่ในอ้อมกอดและเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของเขาบ้างเป็นครั้งคราว จินตนาการของหนูจบลงอย่างกะทันหันทุกครั้งเพราะหนูรู้อยู่แก่ใจว่าหนูไม่มีทางจะมีพ่อ เพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง หนูเคยคิดว่าเขาตายไปแล้ว นั่นเป็นการทำให้มันง่ายขึ้น

หนูไม่เคยโกรธแม่ -- ตลอดชีวิตของหนู แม่เป็นวีรสตรีของหนู เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหนู แม่เสียสละสารพัดเพื่อเลี้ยงลูกตามลำพังเพียงคนเดียว พยายามชักหน้าให้ถึงหลังโดยอาศัยคูปองปันอาหารจากรัฐบาล หนูรู้ว่าคนจำนวนมากยกย่องเธอว่าเป็นผู้บุกเบิกที่ถากถางขยายทางออกไปจากกระบวนการเคลื่อนไหวของสตรีที่มีหัวก้าวหน้า เมื่อหนูยังเล็กแม่อธิบายให้หนูฟังว่า เพราะอะไรหนูจึงไม่มี "คุณพ่อ" หากมีเพียง "พ่อทางชีวะ" เท่านั้น หนูเคยชอบพูดคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา -- คำว่าทางชีวะ -- เพราะมันทำให้หนูรู้สึกว่าหนูเก่งทั้งที่หนูไม่รู้หรอกว่าความหมายของมันคืออะไรกันแน่
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

วันเด็กกับอสุจินิรนาม

โพสต์ที่ 3

โพสต์

พ่อของหนู คือ อสุจินิรนาม (2)


เมื่อตอนหนูอายุ 9 ขวบ แม่ของเพื่อนร่วมชั้นของหนูคนหนึ่งสมัครเข้าชิงตำแหน่งทางการเมือง หนูจำได้ว่าเมื่อตอนหนูดูโฆษณาของเขาทางโทรทัศน์ ครอบครัวของเขาปรากฏในตอนก่อนจบการโฆษณา... ครอบครัวเล็กๆ ที่สมบูรณ์กำลังใช้ชีวิตร่วมกันที่สนามหลังบ้านอันมีเด็กๆ โยนชิงช้าที่ห้อยลงมาจากกิ่งไม้พร้อมกับกินอาหารที่พ่อย่างให้จากเตาบาร์บีคิว หนูหันไปดูแม่ก็เห็นแต่ความหงอยเหงา เหน็ดเหนื่อยและยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้า

ในตอนกลางปีที่หนูอยู่ชั้น ป.5 หนูได้เพื่อนใหม่ซึ่งมีอะไรต่อมิอะไรคล้ายกับหนูคือ เรามีแม่ที่เป็นโสด แม่ของเธอผ่านการหย่าร้างมา สองครั้งแล้ว เพื่อนของหนูไม่ค่อยพูดถึงเรื่องพ่อเนื่องจากส่วนใหญ่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขานัก แต่ยังดีที่เธอมีโอกาสไปเยี่ยมพ่อและก็ครอบครัวใหม่ของเขาด้วย หนูรู้สึกอิจฉา ต่อมาเมื่อหนูอยู่ ม.2 พ่อของเพื่อนอีกคนหนึ่งไปติดพันหญิงใหม่ ยังผลให้พ่อแม่ของเธอหย่าร้างกัน เธอรู้สึกร้าวรานและฉันก็รู้สึกเห็นใจในการสูญเสียคุณพ่อของเธอ แต่หนูก็ยังอิจฉาเธออยู่ดี ที่เธอได้รับความสนใจออกเป็นก่ายเป็นกอง ไม่เคยมีใครเห็นใจหรือให้ความสงสารเช่นนั้นแก่หนูเลย

ในตอนนี้เองที่แม่และหนูย้ายเข้าไปอยู่กับเพื่อนและอยู่ที่นั่น...พร้อมกับวัยรุ่นหลายคน ทารกหนึ่งคนและผู้ใหญ่อีกหลายคน...เป็นเวลาเกือบปี ตอนนี้เป็นช่วงที่หนูเดินเข้าสู่ความ กระสับกระส่ายของวัยรุ่น หนูมักจะอยู่ในห้องคนเดียวเพื่อฟังเพลงของแอฟริล ลาวีน และเอมอินเอม เกี่ยวกับความล่มสลายของครอบ ครัวและของคนที่หมดอาลัยในชีวิต หนูก็รู้สึกหมดอาลัยไปด้วย วัยรุ่นทุกคนในบ้านมีปัญหากับพ่อ เมื่อพวกเขาร้องไห้หนูจะเป็นผู้ปลอบใจเขา เสร็จแล้วหนูจะเข้าห้องไปฟังเอมอินเอมอีก หนูรู้สึกเคียดแค้นด้วย และก็เคียดแค้นที่ไม่รู้ว่าจะไประบายความเคียดแค้นนั้นให้ใครฟัง

เมื่อแม่แต่งงานในที่สุด หนูเข้ากับสามีของแม่ไม่ได้ เป็นเวลานานที่เรามีกันเพียงสองคน แม่กับหนู แต่ตอนนี้หนูรู้สึกว่าหนูเป็นผู้อยู่นอกวงจร เมื่อแม่กับหนูถกเถียงกัน ชายคนนั้นจะต้องแส่เสนอหน้าเขามาให้ความเห็นเสมอ ซึ่งหนูไม่ชอบเลย วันหนึ่งหนูรู้สึกโกรธจนตัวสั่นและตะโกนจนสุดเสียงออกมาว่า เขาไม่มีอำนาจเหนือหนู เขาไม่ใช่พ่อหนู...เพราะหนูไม่มีพ่อ

ตอนนั้นเองที่หนูรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่าอย่างท่วมท้น หนูรู้ตัวว่าในแง่หนึ่งหนูเป็นตัวประหลาด เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไม่มีวันที่หนูจะมีพ่อ หนูเข้าใจในที่สุดว่าการเกิดจากอสุจิบริจาคนั้นหมายความว่าอะไร และหนูรู้สึกชังความหมายนั้นมาก

ชีวิตของหนูคงจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปหากหนูไม่ได้ดูโทรทัศน์โดยบังเอิญเมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งตายด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน โรคทางกรรมพันธุ์ทำให้หัวใจของเธอชำรุด แต่เธอไม่ทราบว่าเธอมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นเพราะเธอเป็นลูกบุญธรรมมาตั้งแต่ยังเป็นทารกและไม่รู้ประวัติด้านสุขภาพของพ่อแม่ที่แท้จริง หนูรู้ทันทีว่าหนูก็ไม่รู้ประวัติของหนูเองเช่นกัน หรือครึ่งหนึ่งของประวัตินั้นเป็นอย่างน้อย

หนูจึงเริ่มค้นหาข้อมูลจากธนาคารอสุจิที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐเวอร์จิเนียอันเป็นแหล่งที่แม่ของหนูได้รับการผสมเทียม หนูรู้ว่าผู้บริจาคอสุจิได้รับการตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน แต่หนูก็อดกังวลไม่ได้ ธนาคาร ดังกล่าวก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1986 หรือเพียงสองปีก่อนที่หนูจะถือกำเนิดโรคร้ายหลายอย่างปรากฏตัวออกมาหลังจากปีนั้น

หนูส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปหาธนาคารนั้น 5 ครั้งในช่วงเวลาหนึ่งปีเพื่อขอข้อมูลทางการแพทย์ของผู้บริจาคของหนู แต่ไม่มีใครตอบ ในวันศุกร์หนึ่งของฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา หนูเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและพบบันทึกรายการโทรทัศน์เก่าๆ ของ "โอปราห์" รายการหนึ่งพูดถึงการผสมเทียมโดยใช้อสุจิของผู้บริจาคนิรนาม มีเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งด้วยท่าทางสบายๆ อยู่บนโซฟาของโอปราห์ คนนั่งถัดไปได้แก่ "ผู้บริจาค" ซึ่งเป็นพ่อทางชีวะของเธอ

หนูรู้สึกเอะใจ ทำไมหนูจึงไม่คิดมาก่อนนะ ? หากหนูต้องการข้อมูลทางการแพทย์และรากเหง้าของหนู จะมีใครรู้เกินผู้ชายที่ให้อสุจิไม่ได้แน่

หนูเริ่มค้นหาผู้บริจาคของหนู จากข้อมูลที่แม่ได้รับ...กลุ่มเลือดของเขา เผ่าพันธุ์ พื้นเพ สีตา สีผม ลักษณะของผม ความสูง น้ำหนัก รูปร่าง ปีที่เขาอยู่ในมหาวิทยาลัยและวิชาเอกที่เขาเรียน...หนูพอสรุปได้ว่าเขาต้องจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในทางตอนเหนือของรัฐเวอร์จิเนียหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยในกรุงวอชิงตันในระหว่างช่วงเวลาสามปี ฉะนั้นสิ่งที่หนูจะต้องทำก็คือ ค้นหาข้อมูลจากเอกสารและหนังสือประจำรุ่นของมหาวิทยาลัยเหล่านั้นและด้านหน้าโทรศัพท์ไปหาผู้ที่หนูคิดว่าเขาน่าจะเป็นพ่อของหนู หนูคำนวณเอาคร่าวๆ ว่า ถ้าหนูตั้งอกตั้งใจ หนูจะใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีก่อนที่ความพยายามของหนูจะเกิดผล แต่หนูก็พร้อมที่จะทำด้วยความเต็มใจ

หลังจากนั้นไม่กี่วันหนูเปิดดูข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ที่ถือกำเนิดจากอสุจิบริจาค หนูเห็นบัญชีทะเบียนของผู้บริจาคและลูกที่เกิดขึ้น หนูเปิดไปดูผู้บริจาคในช่วงหลังๆ และพบวันบริจาควันหนึ่งซึ่งใกล้กับวันที่หนูค้นหา หนูส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปหาชายซึ่งลงทะเบียนไว้ในวันนั้น อีกสองสามวันต่อมาเขาก็ตอบจดหมายด้วยถ้อยคำที่มีไมตรีจิตพร้อมกับแนบรูปถ่ายของตัวเองมาด้วย หนูอ่านถ้อยคำอันสุภาพของเขาแล้วพลิกไปดูรูปถ่ายที่เขาแนบมา หัวใจของหนูหยุดเต้น หนูร้องหาแม่ซึ่งกระหืดกระหอบเข้ามาเพราะคิดว่าหนูมีปัญหาฉุกเฉิน "หนูคิดว่าหนูเจอพ่อทางชีวะของหนูแล้วค่ะ" หนูละล่ำละลักออกมาในระหว่างที่ยังสะอึกสะอื้นอยู่ "ดูรูปนั่นสิ...นั่นมันหน้าของหนูนี่"

หลังจากติดต่อกันผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์อยู่สองสามสัปดาห์ ชายแปลกหน้าคนนั้นและหนูก็พากันไปตรวจพันธุกรรม เมื่อผลของการตรวจนั้นส่งมาถึง หนูลนลานฉีกซองจดหมายออกดูด้วยความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในละครน้ำเน่า หนูไม่ค่อยเข้าใจภาษาทางวิทยาศาสตร์นัก แต่เข้าใจความหมายของข้อมูลข้อหนึ่งซึ่งหนูไม่เคยเข้าใจอะไรอย่างจะแจ้งเช่นนั้นมาก่อน นั่นคือ จดหมายนั้นบอกหนูว่า ชายแปลกหน้าคนนั้นมีโอกาสเป็นพ่อของหนูสูงถึง 99.9902% หลังจาก 17 ปี หนูถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

วันเด็กกับอสุจินิรนาม

โพสต์ที่ 4

โพสต์

พ่อของหนู คือ อสุจินิรนาม (จบ)

บทความชิ้นนี้ถอดความและเรียบเรียงโดย ดร.ไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก จากบทความเรื่อง Who"s Your Daddy? : My Father Was an Anonymous Sperm Donor ของแคทรินา คลาร์ก ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ 17 ธันวาคม 2549

หนูพบผู้ชายที่ให้ตาสีฟ้าและผมสีทองแก่หนู และหนูใช้เวลาเพียงเดือนเดียว

ชีวิตของหนูเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น หลังจากความรู้สึกในความเหลือเชื่อของการได้เจอพ่อจางลง หนูเริ่มคิดถึงพวกเด็กที่เกิดจากอสุจิบริจาคจำนวนมากซึ่งได้รอคอย หรือจะต้อง รอคอยเป็นเวลานานกว่าหนู การค้นหาพ่อของหนูประสบความสำเร็จเกินความคาดหวัง เด็กเหล่านั้นส่วนใหญ่จะต้องใช้เวลาเป็นแรมปีก่อนที่จะประสบความสำเร็จ หรืออาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้

หนูรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่หนูได้เข้าร่วมวงเสวนากับพวกเขาทางอินเทอร์เน็ต เมื่อหนูอ่านความคิดของแม่บางคนเกี่ยวกับทางเลือกของการตั้งครรภ์ มันทำให้หนูรู้สึกว่าน่าอับอายที่หนูดู จะไม่ต่างจากหลอดแก้วหลอดหนึ่งซึ่งบรรจุอสุจิแช่แข็ง ดูเหมือนว่าแม่และผู้บริจาคอสุจิส่วนใหญ่แทบไม่ได้ใส่ใจต่อความรู้สึกของเด็กที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของพวกเขาเลย ความใจจืดของพวกเขายังไม่ร้ายเท่าการที่ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเด็กที่เกิดขึ้นมาจะคิดอย่างไรเมื่อพวกเขาโตขึ้น

พวกเราที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอสุจิบริจาคจะไม่เป็นเด็กที่ฉอเลาะน่าเอ็นดูอยู่ตลอดไป เราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และจะมีความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ทำให้เราเกิดขึ้นมาในโลกด้วยวิธีที่ลิดรอนสิทธิเบื้องต้นที่คนเราจะต้องรู้ว่าเรามาจากไหน มีประวัติอย่างไร และทั้งพ่อและแม่ของเราเป็นใคร

บางประเทศ เช่น ออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร กำลังจะยกเลิกการจ่ายเงินให้ผู้บริจาคและการประกันความนิรนามของเขาเพื่อจะเอื้อให้การค้นหาพ่อทางชีวะสะดวกขึ้น หนูเข้าใจในแรงจูงใจของความนิรนามของชายจำนวนมาก นั่นคือ ถ้าในวันหนึ่งข้างหน้าเด็กที่เกิดขึ้นมาค้นหาพวกเขาจนพบ...ซึ่งนับวันจะยิ่งทำได้ง่ายขึ้น...พวกเขาจะไม่ต้องมีพันธะต่อเด็ก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกฎหมาย ด้านสังคม ด้านการเงิน หรือด้านจริยธรรม

แต่หากไม่มีการจ่ายเงินให้และไม่มีการ ประกันความนิรนามแก่ผู้บริจาค ผู้ที่ยังเต็มใจ ที่จะมีส่วนร่วมอาจต้องคิดหนักถึงผลที่จะตามมา พวกเขาจะต้องพร้อมที่จะพบกับผู้ที่พวกเขา มีส่วนช่วยสร้างขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้า ตอบคำถามและเผชิญกับความอ่อนไหวทางอารมณ์ของ พวกลูกๆ ของเขา หนูเชื่อว่าหนูได้ลืมความขุ่นเคืองใจในวิธีถือกำเนิดของหนูหมดแล้ว หนูพยายามดำเนินชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดจากสิ่งที่หนูได้รับมา ทว่าผู้ที่เกิดมาแบบเดียวกับหนูไม่ได้คิด เช่นนั้นกันทุกคน

หลังจากหนูรู้สึกโล่งอกแล้ว หนูได้ไปพูดคุยเกี่ยวกับการถือกำเนิดจากอสุจิบริจาคอย่างเปิดเผยและบ่อยๆ ในที่สาธารณะและเป็นการส่วนตัว ในตอนต้นหนูพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียมากมายกับพ่อทางชีวะของหนูด้วย

แต่หลังจากชั่วระยะหนึ่งหนูสังเกตว่าความกระตือรือร้นของเขาที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนค่อยๆ ลดลง เมื่อหนูบอกเขาถึงข้อสังเกตของหนู เขาก็ยืนยันว่า เขาแสนจะเหนื่อยหน่ายกับ "เรื่องผู้บริจาคอสุจิทั้งเพนี้" หนูรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นทุกครั้งที่หนูคิดถึงคำพูดนั้นของเขา สิ่งที่นำให้เรามาพบกันกำลังผลักดันให้เราเดินไปคนละทิศ

แม้ว่าหนูจะเพิ่งได้พบเขา หนูคงทำใจไม่ได้ถ้าเขาเลิกติดต่อกับหนู หนูยังอยากรู้อะไร ต่อมิอะไรอีกมาก หนูอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร หนูอยากรู้จักครอบครัวของเขา หนูแน่ใจว่า เขาไม่รู้เลยว่าเขามีบทบาทมากแค่ไหนในชีวิตของหนูทั้งที่เขาไม่ได้อยู่กับหนูเลย... หรือเพราะการที่เขาไม่ได้อยู่กับหนูเลยนั่นแหละ หากหนูจะไม่ได้ใกล้ชิดเขาในฐานะพ่อ หนูก็จะยังรู้สึกว่าใกล้ชิดกับความรู้สึกที่ตอนนี้หนูมีอยู่เสมอ นั่นคือ ความรู้สึกที่ว่าตอนนี้ หนูมีพ่อแล้ว

หนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนโดยสมบูรณ์ มากกว่าที่หนูเคยรู้สึกมาก่อน หนูชอบการสนทนากับเขาแม้จะเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระก็ตาม หนูไม่ได้รักเขาและก็ไม่รู้ว่าจะรักเขาเข้าสักวันหรือไม่ แต่หนูรู้สึกว่าเขามีความสำคัญมาก

ตอนนี้หนูรู้แล้วว่าหนูเป็นผู้มีชีวิต ไม่เป็นไรถ้าเขาจะไม่คิดถึงหนูแบบหนูคิดถึงเขา แต่หนูหวังว่าอย่างน้อยเขาจะคิดถึงหนูบ้างเป็นครั้งคราว
โพสต์โพสต์