
ชื่อ : เอียน รัช
วัน เดือน ปีเกิด : 20 ตุลาคม 1961
สถานที่เกิด : เซนท์ เอซาฟ
ปีที่อยู่กับลิเวอร์พูล : 1980 ถึง 1987 และ 1988 ถึง 1996
ตำแหน่ง : กองหน้า
จำนวนเกมที่ลงเล่น : 660 เกม
จำนวนประตูที่ทำได้ : 346 ประตู
ทักษะในการจับบอล การหาช่องว่าง และการทำประตูของรัชนั้น ถือเป็นจุดเด่นของเขาครับ และเมื่อเขาได้ดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตูแล้ว พนันได้เลยครับ มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ ว่าเขาจะยิงเข้าแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นสุดยอดในการทำประตูนั้น คือ การที่เขาสามารถยิงได้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระยะเผาขน,การยิงไกล,การวอลเล่ย์ในระยะกว่า25หลา หรือกระทั่ง การโหม่งในทุกรูปแบบ...........
ผลโหวตล่าสุด '100 ผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลต่อเหล่า เดอะ ค็อป มากที่สุด' อันดับที่ 3 ได้แก่ ตัวยิงสูงสุดตลอดกาลของลิเวอร์พูล
'เอียน รัช'
ท่านมัจจุราชหน้าติดหนวดผู้นี้ถึงกับได้รับพระราชทาน เครื่องราช ฯชั้น MBE ครับ......
คงจะมีเพียงคำเดียวเท่านั้นครับ........
ที่ให้คำอธิบายถึงการค้าแข้ง เอียน รัช ในลิเวอร์พูลได้ ด้วยจำนวนประตูอันมหาศาล หรือจะให้พูดกันง่ายๆเลยว่า.......
ไม่มีผู้เล่นคนไหนเลย ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ที่สามารถทำประตูได้มากกว่าเขา
ในยุค 80sนั้น เขาเป็นที่รักอย่างยิ่งในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อเขาอยู่ในสนาม ทุกๆพื้นที่ในสนามดูอันตรายไปเสียหมด และกิตติศัพท์ของเขา ก็ได้กระฉ่อนไปทั่วทั้งยุโรปเช่นกัน
ดาวซัลโวในตำนานผู้นี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ชีวิตในช่วงแรกเริ่มการค้าแข้งกับหงส์แดงนั้นในช่วงปลายฤดูกาล 1979/80 จะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดี รัชรู้สึกว่า เขาไม่ค่อยได้โอกาสในการลงเล่นมากนัก จากผู้จัดการทีม บ็อบ เพสลี่ย์ จนต้องขอย้ายทีม
ความเป็นไปได้ในการที่รัชกำลังจะย้ายไปอยู่กับคริสตัล พาเลช ครั้งนั้น ถูกยับยั้งโดย บ็อบ เพสลี่ย์ ที่ไม่มีความต้องการที่จะปล่อยดาวยิงผู้นี้ไปไหน และการตัดสินใจครั้งนั้น ก็ถึงกับทำให้เหล่าแฟนๆหงส์ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยความสบายใจ และมันก็ทำให้รัชนั้นคิดได้ ว่าทุกคนต้องการเขา และสุดท้าย มันก็ตามมาด้วยการระเบิดตาข่ายอย่างไม่ปราณีในเวลาต่อมา
ความสูง,ผอม และเก้งก้างของเขานั้น มันอาจจะทำให้ดาวยิงวัยรุ่นผู้นี้มีรูปลักษณ์ที่ดูไม่ค่อยดีนัก เมื่อครั้งที่อนาคตยอดดาวยิงผู้นี้ ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ มันช่างจินตนาการอนาคตได้ยากจริงๆ และมันก็ต้องใช้เวลาในการลงเล่นถึง 9 เกม ก่อนที่จะกระทุ้งประตูจากคู่แข่งได้ แต่หลังจากนั้น มันก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่จะหยุดเขาได้
และมันก็เป็นฤดูกาล 1981/82 ที่เขาได้ลงเล่นให้กับ เดอะ ค๊อป อย่างสม่ำเสมอ ในยุคที่เพสลี่ย์กำลังสร้างทีมขึ้นมาใหม่ และ รัชชี่ก็กระทุ้งไปแล้ว 30 ประตูในการลงเล่น 49 นัด ถือเป็นการส่งสาห์นเตือนให้กับเหล่าคู่แข่งของลิเวอร์พูลทุกๆทีม และในปีนั้น เขาก็เป็นส่วนสำคัญในการคว้ารางวัล 2 โทรฟี่ เขามาสู่ตู้โชว์ที่แอนฟิลด์ได้สำเร็จ
ในเดือนพฤศจิกายน 1982 ความสุดยอดในการจบสกอร์ของดาวยิงผู้ที่เคยเป็นเอฟเวอร์โตเนี่ยนในสมัยเด็กๆผู้นี้ ก็ทำให้เหล่าเอฟเวอร์โตเนี่ยนทุกคน ถึงกับช็อคไปตามๆกัน ในเกมสุดคลาสสิค ในตอนบ่ายของกู้ดดิสัน ปาค์ และมันก็ทำให้ชื่อของรัชชี่ ถูกบรรจุเข้าไปในความทรงจำแห่งเมอร์ซี่ไซด์ทันที เมื่อดาวยิงหมายเลข 9 คนใหม่ผู้นี้ กระซวกประตูราวกับทำการฆาตรกรรมหมู่ ต่อหน้าแฟนบอลของเอฟเวอร์ตัน บนฝั่งอัฒจรรย์ กอว์เลดี้ส์ สตรีท และทำลายสถิติการยำท็อฟฟี่ในเกมดาร์บี้แมตช์ได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่ปี 1965 ลงได้....
และมันก็กลายเป็นสิ่งยืนยันถึงชื่อเสียงของเขาที่กระฉ่อนไปทันที ในฐานะกองหน้าไฟแรง และเป็นอันตรายต่อทุกสโมสรใหญ่ในยุโรป หลังจากที่เขาทำประตูจากลูกโอเวอร์เฮ้ดคิ้ก ได้เป็นครั้งแรก และเขาก็ยังเป็นเหมือนด่านแรกในเกมรับของลิเวอร์พูลเสมอๆ รัช ไม่ใช่แค่รอทำประตู แต่เขาทุ่มเทอย่างมาก เขาคือนักวิ่งที่วิ่งไม่คิดชีวิต และไม่เคยยอมแพ้ในการไล่บอล
ความเร็วประดุจสายฟ้า และนัยน์ตาอันเฉียบคมนั้น ก็สามารถสื่อได้แล้ว ว่าเหมือนฝันร้ายของผู้ที่ต้องทำหน้าที่ประกบแค่ไหน และการประกบคู่เขา กับเคนนี่ ดัลกลิช นั้น ก็ถือเป็นคู่กองหน้าที่แจ่มที่สุด ที่เราเคยมีมาเลยทีเดียว
ความสามารถในการสร้างความหวาดผวาต่อแนวรับของฝ่ายตรงข้ามนั้น ก็ยังคงเป็นที่ลือเลื่องอย่างยาวนาน จากความแม่นยำอันสุดยอดของเขาในการยิงประตู ซึ่งไม่มีฤดูกาลไหนที่จะสามารถอธิบายความสุดยอดนี้ได้เท่ากับฤดูกาลต่อมาได้อีกแล้ว ซึ่งเป็นฤดูกาลที่เขาได้รับการยอมรับมากที่สุดถึงพลังอันสุดยอดของเขา
การทำประตู 47 ประตูในฤดูกาลเดียว -- อาจจะเป็น 48 ประตูก็ได้ ถ้าคุณจะนับลูกจุดโทษของเขาที่โรมด้วย และนั่นมันก็เพียงพอที่เขาจะกลายเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรก ที่ได้รับรางวัล รองเท้าทองคำของยุโรป แถมพ่วงมาด้วยการกระชากทริปเปิ้ลแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งแชมป์ลีก,แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ และ มิลค์ คัพ นั่นยังไม่ได้รวมรางวัล ผู้เล่นแห่งปี ไปด้วยนะเนี่ย..
และหนึ่งในฟอร์มที่แจ่มที่สุดในการโชว์ทักษะการถลุงประตูของเขาก็คือเกมในค่ำคืนที่หนาวเย็นที่วิลลี่ ปาร์ค ในเดือนมกราคม 1984 เมื่อเขาซัดแฮททริค และก้าวออกมาจากสนามในฐานะมัจจุราชก็ไม่ปาน และปรมาจารย์ในการทำประตูผู้นี้ ก็พังตาข่ายเกือบๆทุกทีม ที่โชคร้ายที่ต้องมาเจอกับเขา และก็เป็นที่มบ้านใกล้เรือนเคียงของลิเวอร์พูล อย่างเอฟเวอร์ตันนี่เอง ที่ถือเป็นเหยื่อที่เคราะห์ร้ายที่สุดของมัจจุราชหน้าติดหนวดผู้นี้ เมื่อโดนไปถึง 2 ตุง ในนัดชิงเอฟเอ คัพ เมื่อปี 1986
ในความประสบความสำเร็จ จากการได้แชมป์ลีก และแชมป์บอลถ้วย เป็นดับเบิ้ลแชมป์นั้น รัชชี่ ก็ทำให้เหล่าเอฟเวอร์โตเนี่ยน ต้องอกหักอีกครั้ง ด้วยการกระทุ้งไป2 ประตู ในนัดที่หงส์แดง ได้รับชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตันไป 3-1 แต่หลังจากฤดูกาลนั้นแล้ว เหล่ากลุ่มผู้ที่มีเลือดสีน้ำเงินกว่าครึ่งเมือง ก็ได้ดีใจกันยกใหญ่ เมื่อเครื่องจักรทำประตูของลิเวอร์พูล ตัดสินใจย้ายไปยัง ยูเวนตุส
ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อข่าวเรื่องการย้ายทีมของเขาถูกแพร่ออกไป ไม่จำเป็นต้องรอถึงช่วงซัมเมอร์ ก็เกิดความอกสั่นขวัญแขวนขึ้นทั่วทุกพื้นที่ที่มีเดอะ ค็อปอยู่ และเหล่าเดอะ ค็อป ก็พยายามอ้อนวอน เพื่อที่จะให้ เพชรฆาตรหน้าติดหนวดผู้นี้ อยู่กับทีมต่อไป แต่สุดท้าย รัช ก็จากไป โดยทิ้งสถิติที่ทำประตูมากกว่า40ประตูต่อฤดูกาลได้ถึง2ครั้งในชีวิตการเล่น และสุดท้าย เขาก็ออกเดินทางไปยังแดนมักโรนีในที่สุด
หลังจากหนึ่งฤดูกาลในอิตาลี่ได้ผ่านไป สุดท้าย รัชชี่ก็กลับมา ด้วยสภาพของดาวร่วง ที่ไม่สามารถสร้างชื่อที่ตูรินได้ และลิเวอร์พูล ก็ยื่นโอกาสให้เขา ในการกลับบ้าน และ รัชชี่ ก็ตอบรับด้วยการคว้าโอกาสนั้นมา เพื่อกลับมากระทุ้งประตูทำลายสถิติของตัวเองต่อไปอีกครั้ง
เขากลับมาเป็นยอดดาวยิงแห่งเกาะอังกฤษอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอ คัพ ปี 1989 ในชัยชนะเหนือซันเดอร์แลนด์ 2-0 ในครั้งนั้น เขาก็กลายเป็นนักเตะที่ทำประตูได้สูงที่สุดในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เมื่อกระทุ้งไปทั้งหมด 5 ประตู
ในเดือนตุลาคม 1992 เขาก็ได้ค้นพบว่า เขาสามารถกระทุ้งประตูให้ลิเวอร์พูลไป 287 ประตูแล้วในสีเสื้อของลิเวอร์พูล และนั่น ก็ข้ามผ่านสถิติของ โรเจอร์ ฮันท์ ไปเรียบร้อย และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้รับอีกหนึ่งตำแหน่งในฐานะผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากที่สุดคนหนึ่งของทีม ด้วยการได้รับปลอดแขนกัปตันทีม โดยผู้จัดการทีมในขนาดนั้น แกรม ซูเนส และในปี 1995 เขาก็ทำความฝันส่วนตัวให้เป็นจริง ด้วยการได้ชูถ้วย โคคา โคล่า คัพ ในฐานะกัปตันทีมได้สำเร็จ
หน้าที่ของเขาในแอนฟิลด์นั้น ยังไม่จบ จนกระทั่งก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่กับลีดส์ แบบไร้ค่าตัว หลังจากเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศในปี 1996 โดยการที่ทีม ได้ทายาทการสืบทอดตำแหน่งดาวยิงอัจฉริยะคนต่อไป นั่นก็คือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
คำที่ว่า สถิติ มีไว้ให้ทำลายนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะพูดได้ เมื่อรัชชี่ ได้สร้างปรากฎการณ์ในการทำประตูอย่างมหาศาลภายใต้สีเสื้อของลิเวอร์พูล และมันก็กลายเป็นบททดสอบสุดหิน ของดาวยิงรุ่นต่อๆไปเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไร ครั้งหนึ่ง เขาก็ทำให้ทุกๆคน ยอมรับในการที่เขาคือผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาล และทำให้ให้เดอะ ค็อปประทับใจ ด้วยการซัดไป 346 ประตูนั้น ก็หมายความว่า เขาจะเป็นที่จดจำไปตลอดกาล ในฐานะ สุดยอดตำนานของลิเวอร์พูล
"I couldn't settle in Italy - it was like living in a foreign country."
Ian Rush
จาก liverpoolfc.tv
แปลโดย ThePop