.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 1
Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ
Date: Tue, 03 Oct 2006 23:57:25 -0800
(ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับคุณ ปรัชญา ด้วยค่ะ)
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 65419.html
FW: ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิ ทยา นาควัช ระ : วิธี ทำให้ชีวิต ให้โล่ง แ ละ เบาขึ้น
Date: Wed, 27 Sep 2006 02:57:47 -0800
ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิทยา นาควัชระ : วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และเบาขึ้น
ขอโทษด้วยครับ ข้อความที่ส่งไปเมื่อกี้ อาจได้รับไม่ครบถ้วนเลยเอา Original มาให้เลยครับด้วยรักจากใจจริง วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมดเคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักทีเอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที...
ปรากฏว่า รื้อ ค้น ได้เสื้อกางเกงเสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือ ไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้วมีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้นตัวเองก็เบาลงใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ... สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้นคือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้นโล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้าเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆลงบ้างเช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขันและหวัง
ผลสูงถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้บรรยากาศ
ของการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้น่เราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง เลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวัน เช่นรายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3คนดูไปฟังไฟแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลยทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่นและเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด
ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วยเมื่อเวลาผ่านไปเราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจ เวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงินบ้าอำนาจบ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลา จนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร
10.ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมดลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆใจสบายๆความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)
----- จบการส่งต่อข้อความ -----
Date: Tue, 03 Oct 2006 23:57:25 -0800
(ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับคุณ ปรัชญา ด้วยค่ะ)
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 65419.html
FW: ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิ ทยา นาควัช ระ : วิธี ทำให้ชีวิต ให้โล่ง แ ละ เบาขึ้น
Date: Wed, 27 Sep 2006 02:57:47 -0800
ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิทยา นาควัชระ : วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และเบาขึ้น
ขอโทษด้วยครับ ข้อความที่ส่งไปเมื่อกี้ อาจได้รับไม่ครบถ้วนเลยเอา Original มาให้เลยครับด้วยรักจากใจจริง วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมดเคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักทีเอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที...
ปรากฏว่า รื้อ ค้น ได้เสื้อกางเกงเสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือ ไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้วมีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้นตัวเองก็เบาลงใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ... สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้นคือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้นโล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้าเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆลงบ้างเช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขันและหวัง
ผลสูงถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้บรรยากาศ
ของการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้น่เราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง เลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวัน เช่นรายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3คนดูไปฟังไฟแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลยทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่นและเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด
ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วยเมื่อเวลาผ่านไปเราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจ เวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงินบ้าอำนาจบ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลา จนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร
10.ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมดลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆใจสบายๆความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)
----- จบการส่งต่อข้อความ -----
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 2
FW: ถ้าไม่ช่วย อีกไม่เกิน3เดือนวัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง!! ถ้าไม่อ่าน กรุณา Forward ต่อค่ะ
Date: Wed, 27 Sep 2006 02:49:50 -0800
ถ้าไม่ช่วย อีกไม่เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง !!!
ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่มีหลวงพ่ออลงกตเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้อุทิศตัวช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และเด็กกำพร้ามาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งๆที่ท่านมีพร้อมทุกอย่าง จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรจากออสเตรเลีย แต่ท่านก็เสียสละได้ เพียงเพราะท่านเห็นว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นไร้ที่พึ่งจริงๆ ขนาดบางคนพอพ่อแม่รู้ว่าติดเชื้อเอดส์ ยังรังเกียจและทอดทิ้งลูกของตัวเองได้เลย หลวงพ่อท่านเห็นว่า ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขาเหล่านี้ ท่านก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้
ทุกวันนี้ ที่วัดมีผู้ป่วยและเด็กกำพร้าที่หลวงพ่อต้องคอยดูแลรวมถึงพนักงานและอาสาสมัครราวหนึ่งพันคน ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณสามล้านกว่าบาท แต่ยอดบริจาคกลับน้อยลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เห็นว่าลดลงเหลือเพียงเดือนละสองแสนบาทเอง ส่วนรัฐบาลก็ช่วยเหลือเพียงเดือนละหนึ่งแสนบาทเท่านั้น
เคยโทรไปถามที่วัดเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน พนักงานก็บอกว่า รายรับเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน ค่ายารักษาหรือเพิ่มภูมิต้านทานก็แสนจะแพง แถมผู้ป่วยก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ทางวัดจะไม่รับก็ไม่ได้ เนื่องจากมีคนพาผู้บ่วยมาทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดเสมอ ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีทางไป ที่วัดก็เมตตาช่วยเหลือแม้กระทั่งคนชราและเด็กที่คนในครอบครัวเสียชีวิตเพราะเอดส์แล้วไม่มีใครดูแล
ตอนนี้ ต้องมีการส่งผู้ป่วยที่อาการดีแล้วและพอมีฐานะกลับบ้านบ้างแล้ว และอีกสามเดือนอาจต้องปิดตัวลง!!!!!!
หลวงพ่อเองต้องลงมาบิณฑบาตรที่กรุงเทพฯทุกสัปดาห์ ต้องไปหลายที่ต่อหนึ่งวัน เพราะรอคนไปช่วยเหลือถึงวัดไม่ไหว เห็นแล้วก็เหนื่อยแทนจริงๆ
เมืองไทยมีผู้ติดชื้อเอดส์มากเป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว และแนวโน้มก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับอายุของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ซึ่งกลับกลายเป็นว่าอายุน้อยลงทุกที อยากให้พวกเราเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของประเทศชาติและเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน
พวกเราสามารถช่วยได้หลายรูปแบบ
ขณะนี้หลวงพ่อท่านมารับบริจาคทุกวันเสาร์
ตั้งแต่ 8.30 น. -10.00 น. ที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์
ข้างๆอาคารบีอีซี เทโร สามารถบริจาคเป็นเงิน (ดีที่สุด), ยา, ผ้าอ้อม, สำลี, ของอุปโภคบริโภคต่างๆ, หนังสือ, เสื้อผ้า ฯลฯ
หรือบริจาคผ่านธนาคารให้กับ " กองทุนอาทรประชานาถ " ถ้าสามารถทำเป็นรายเดือนได้จะดีมาก รายละเอียดของเบอร์บัญชีมีดังนี้
ธ.กรุงเทพฯ สาขาลพบุรี 289-0-84697-1
ธ.ทหารไทย สาขาลพบุรี 304-2-41277-9
ธ.กสิกรไทย สาขาถนนสุรสงคราม 174-2-39000-0
ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาลพบุรี 579-2-33730-7
ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาลพบุรี 111-1-47300-7
ธ.นครหลวงไทย สาขาลพบุรี 340-2-14976-0
ธ.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0
และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วยได้เดี๋ยวนี้ คือ การบอกต่อถึงเรื่องนี้ และช่วยส่งเมล์นี้ไปให้คนที่รู้จักทุกๆคน
ขอขอบคุณแทนวัดพระบาทน้ำพุล่วงหน้าด้วยค่ะ
Date: Wed, 27 Sep 2006 02:49:50 -0800
ถ้าไม่ช่วย อีกไม่เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง !!!
ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่มีหลวงพ่ออลงกตเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้อุทิศตัวช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และเด็กกำพร้ามาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งๆที่ท่านมีพร้อมทุกอย่าง จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรจากออสเตรเลีย แต่ท่านก็เสียสละได้ เพียงเพราะท่านเห็นว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นไร้ที่พึ่งจริงๆ ขนาดบางคนพอพ่อแม่รู้ว่าติดเชื้อเอดส์ ยังรังเกียจและทอดทิ้งลูกของตัวเองได้เลย หลวงพ่อท่านเห็นว่า ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขาเหล่านี้ ท่านก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้
ทุกวันนี้ ที่วัดมีผู้ป่วยและเด็กกำพร้าที่หลวงพ่อต้องคอยดูแลรวมถึงพนักงานและอาสาสมัครราวหนึ่งพันคน ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณสามล้านกว่าบาท แต่ยอดบริจาคกลับน้อยลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เห็นว่าลดลงเหลือเพียงเดือนละสองแสนบาทเอง ส่วนรัฐบาลก็ช่วยเหลือเพียงเดือนละหนึ่งแสนบาทเท่านั้น
เคยโทรไปถามที่วัดเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน พนักงานก็บอกว่า รายรับเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน ค่ายารักษาหรือเพิ่มภูมิต้านทานก็แสนจะแพง แถมผู้ป่วยก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ทางวัดจะไม่รับก็ไม่ได้ เนื่องจากมีคนพาผู้บ่วยมาทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดเสมอ ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีทางไป ที่วัดก็เมตตาช่วยเหลือแม้กระทั่งคนชราและเด็กที่คนในครอบครัวเสียชีวิตเพราะเอดส์แล้วไม่มีใครดูแล
ตอนนี้ ต้องมีการส่งผู้ป่วยที่อาการดีแล้วและพอมีฐานะกลับบ้านบ้างแล้ว และอีกสามเดือนอาจต้องปิดตัวลง!!!!!!
หลวงพ่อเองต้องลงมาบิณฑบาตรที่กรุงเทพฯทุกสัปดาห์ ต้องไปหลายที่ต่อหนึ่งวัน เพราะรอคนไปช่วยเหลือถึงวัดไม่ไหว เห็นแล้วก็เหนื่อยแทนจริงๆ
เมืองไทยมีผู้ติดชื้อเอดส์มากเป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว และแนวโน้มก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับอายุของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ซึ่งกลับกลายเป็นว่าอายุน้อยลงทุกที อยากให้พวกเราเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของประเทศชาติและเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน
พวกเราสามารถช่วยได้หลายรูปแบบ
ขณะนี้หลวงพ่อท่านมารับบริจาคทุกวันเสาร์
ตั้งแต่ 8.30 น. -10.00 น. ที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์
ข้างๆอาคารบีอีซี เทโร สามารถบริจาคเป็นเงิน (ดีที่สุด), ยา, ผ้าอ้อม, สำลี, ของอุปโภคบริโภคต่างๆ, หนังสือ, เสื้อผ้า ฯลฯ
หรือบริจาคผ่านธนาคารให้กับ " กองทุนอาทรประชานาถ " ถ้าสามารถทำเป็นรายเดือนได้จะดีมาก รายละเอียดของเบอร์บัญชีมีดังนี้
ธ.กรุงเทพฯ สาขาลพบุรี 289-0-84697-1
ธ.ทหารไทย สาขาลพบุรี 304-2-41277-9
ธ.กสิกรไทย สาขาถนนสุรสงคราม 174-2-39000-0
ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาลพบุรี 579-2-33730-7
ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาลพบุรี 111-1-47300-7
ธ.นครหลวงไทย สาขาลพบุรี 340-2-14976-0
ธ.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0
และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วยได้เดี๋ยวนี้ คือ การบอกต่อถึงเรื่องนี้ และช่วยส่งเมล์นี้ไปให้คนที่รู้จักทุกๆคน
ขอขอบคุณแทนวัดพระบาทน้ำพุล่วงหน้าด้วยค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 3
FW: AN INCONVENIENT TRUTH : YOU CAN HELP...
Date: Wed, 27 Sep 2006 02:42:53 -0800
An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก
20 กันยายน 2549 16:16 น.
"เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเวลานักการเมืองพูดอะไรออกมา ต้องเอาสองหารแล้วใส่ตระแกรงร่อน ที่เหลือคือ ความจริง แต่สำหรับ An Inconvenient Truth ที่ออกมาจากปากผู้ที่เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 43 แห่งสหรัฐ คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม ร่วมเปิดเผยความจริง"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
สหรัฐเคยมีประธานาธิบดีที่อดีตเคยเป็นดาราภาพยนตร์อย่างพระเอกคาวบอย โรนัลด์ เรแกน แต่สำหรับอัล กอร์ กลับเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่เปิดโปงความจริงให้โลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อน
อัล กอร์ รับบทเป็นตัวเขาเองในภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth ที่มีความยาว 94 นาที
บางคนอาจจะอยากรู้ว่าหลังจากเขาพ่ายการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับจอร์จ บุช แล้ว วิถีชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างไร หรือไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร เพราะเนื้อเรื่องที่เขานำมาเสนอน่าสนใจกว่า ผีเสื้อขยับปีก
ภาพโคลสอัพจับไปที่ หมีขาวขั้วโลก ที่กำลังพยายามตะเกียก ตะกายว่ายน้ำ เพื่อขึ้นไปอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเล็กๆแผ่นหนึ่ง แต่มันตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นน้ำแข็งที่แตกกระจายออกไป ดูเหมือนว่า
>ความพยายามของมันจะไม่มีที่สิ้นสุด มันว่ายน้ำ ไปหาแผ่นน้ำแข็งแผ่นใหม่ ขณะที่กล้องค่อยๆ แพนภาพให้เห็นในมุมกว้าง แผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กน้อยที่หมีขั้วโลกกำลังปีนปาย เป็นเพียงจุดเล็กกลางมหาสมุทร
...มันต้องว่ายน้ำอีกไกลแค่ไหน
จึงจะถึงแผ่นน้ำแข็งที่เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น ... ความพยายามของหมีขาวขั้วโลก ให้ทั้งความรู้สึกหวาดหวั่น และลุ้นระทึกกับผู้ชมที่เข้ามานั่งดู
หนังสารคดีเล็กๆ An Inconvenient Truth ซึ่งจัดขึ้น โดย ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใครจะไปคิดว่า
น้ำแข็งขั้วโลกที่ติดกันเป็นแผ่นใหญ่สีขาวโพลนจะกลายเป็นเวิ้งมหาสมุทรและมีเศษแผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจาย
หลังจากการพ่ายการแข่งขันชิงประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 อัล กอร์ พลิกบทบาทตัวเองเป็นพระเอกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อนอย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่จุดแรกของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงบทอวสานของโลก ที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี
ต้องยอมรับว่า มีนักการเมืองของสหรัฐไม่กี่คนที่เข้าใจปัญหาโลกร้อน อัล กอร์ คือไม่กี่คนในจำนวนนั้น เขาเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง ในฐานะรองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน เขาผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสารเกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ.1997 เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น
อัล กอร์ ปรากฏตัวบนเวทีด้วยบุคคลิกที่เป็นกันเอง และพกพาอารมณ์ขันเรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้ฟังโดยบอกว่า
" I'm Al Gore. I used to be the next president of the United States" แต่สิ่งเขาตั้งคำถามต่อมา พร้อมกับนำเสนอข้อมูลและต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดในรอบทศวรรษ พลันเสียงในห้องสัมมนาเงียบกริบ สลับกับเสียงถอนลมหายใจ
เขาถามว่า "แล้วเราจะเหลืออะไรเอาไว้ให้ลูก หากว่าชั้นบรรยากาศที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกไม่ทำหน้าที่กรอง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก และนำความอบอุ่นมาให้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกร้อนเกินไป"
เป็นความจริงที่ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้เพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ
ห่อหุ้มโลกไว้ทำให้โลกอบอุ่นและน่าอยู่ แต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน ตลอดจนการหักล้างทำลายป่า ยิ่งเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น และอุณหภูมิโลกยิ่งสูงขึ้น
สารคดี ได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก จากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อน ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย กับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก จนนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป
Date: Wed, 27 Sep 2006 02:42:53 -0800
An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก
20 กันยายน 2549 16:16 น.
"เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเวลานักการเมืองพูดอะไรออกมา ต้องเอาสองหารแล้วใส่ตระแกรงร่อน ที่เหลือคือ ความจริง แต่สำหรับ An Inconvenient Truth ที่ออกมาจากปากผู้ที่เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 43 แห่งสหรัฐ คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม ร่วมเปิดเผยความจริง"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
สหรัฐเคยมีประธานาธิบดีที่อดีตเคยเป็นดาราภาพยนตร์อย่างพระเอกคาวบอย โรนัลด์ เรแกน แต่สำหรับอัล กอร์ กลับเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่เปิดโปงความจริงให้โลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อน
อัล กอร์ รับบทเป็นตัวเขาเองในภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth ที่มีความยาว 94 นาที
บางคนอาจจะอยากรู้ว่าหลังจากเขาพ่ายการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับจอร์จ บุช แล้ว วิถีชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างไร หรือไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร เพราะเนื้อเรื่องที่เขานำมาเสนอน่าสนใจกว่า ผีเสื้อขยับปีก
ภาพโคลสอัพจับไปที่ หมีขาวขั้วโลก ที่กำลังพยายามตะเกียก ตะกายว่ายน้ำ เพื่อขึ้นไปอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเล็กๆแผ่นหนึ่ง แต่มันตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นน้ำแข็งที่แตกกระจายออกไป ดูเหมือนว่า
>ความพยายามของมันจะไม่มีที่สิ้นสุด มันว่ายน้ำ ไปหาแผ่นน้ำแข็งแผ่นใหม่ ขณะที่กล้องค่อยๆ แพนภาพให้เห็นในมุมกว้าง แผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กน้อยที่หมีขั้วโลกกำลังปีนปาย เป็นเพียงจุดเล็กกลางมหาสมุทร
...มันต้องว่ายน้ำอีกไกลแค่ไหน
จึงจะถึงแผ่นน้ำแข็งที่เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น ... ความพยายามของหมีขาวขั้วโลก ให้ทั้งความรู้สึกหวาดหวั่น และลุ้นระทึกกับผู้ชมที่เข้ามานั่งดู
หนังสารคดีเล็กๆ An Inconvenient Truth ซึ่งจัดขึ้น โดย ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใครจะไปคิดว่า
น้ำแข็งขั้วโลกที่ติดกันเป็นแผ่นใหญ่สีขาวโพลนจะกลายเป็นเวิ้งมหาสมุทรและมีเศษแผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจาย
หลังจากการพ่ายการแข่งขันชิงประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 อัล กอร์ พลิกบทบาทตัวเองเป็นพระเอกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อนอย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่จุดแรกของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงบทอวสานของโลก ที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี
ต้องยอมรับว่า มีนักการเมืองของสหรัฐไม่กี่คนที่เข้าใจปัญหาโลกร้อน อัล กอร์ คือไม่กี่คนในจำนวนนั้น เขาเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง ในฐานะรองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน เขาผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสารเกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ.1997 เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น
อัล กอร์ ปรากฏตัวบนเวทีด้วยบุคคลิกที่เป็นกันเอง และพกพาอารมณ์ขันเรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้ฟังโดยบอกว่า
" I'm Al Gore. I used to be the next president of the United States" แต่สิ่งเขาตั้งคำถามต่อมา พร้อมกับนำเสนอข้อมูลและต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดในรอบทศวรรษ พลันเสียงในห้องสัมมนาเงียบกริบ สลับกับเสียงถอนลมหายใจ
เขาถามว่า "แล้วเราจะเหลืออะไรเอาไว้ให้ลูก หากว่าชั้นบรรยากาศที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกไม่ทำหน้าที่กรอง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก และนำความอบอุ่นมาให้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกร้อนเกินไป"
เป็นความจริงที่ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้เพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ
ห่อหุ้มโลกไว้ทำให้โลกอบอุ่นและน่าอยู่ แต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน ตลอดจนการหักล้างทำลายป่า ยิ่งเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น และอุณหภูมิโลกยิ่งสูงขึ้น
สารคดี ได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก จากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อน ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย กับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก จนนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 4
ธารน้ำแข็งตามเทือกเขาต่างๆ ที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เทือกเขาแอนดิสในอาร์เจนตินา ชิลี
ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย
แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี ประชากรที่พึ่งพิงแหล่งน้ำเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง
อัล กอร์ ได้นำภาพเส้นกราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน
อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน ไซโคลน หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม 2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลที่สำคัญคือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 6 เมตร อดีตรองประธานาธิบดีได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า
สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ใส่ลูกเล่นในการนำเสนอเรื่องโดยนำเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่า หากถึงเวลานั้น กรุงเทพฯ นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง บังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก และประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย
โลกร้อน เรื่องจริงหรือนิยาย
อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยสารคดีได้บอกถึง
ความพยายามของ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นจริง และเมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป ถึงตอนนี้หนังได้นำเอาภาพการ์ตูน ที่เปรียบเทียบ กบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว
อัล กอร์ พยายามจะบอกว่า โลกร้อน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้ สารคดีจบลงด้วยคำถาม ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน ซึ่งคำถามจึงย้อนกลับมาที่ประเทศไทยว่า เราพร้อมหรือตระหนักแค่ไหนกับภาวะโลกร้อน "เราจะเป็นกบที่ลอยในหม้อหุงต้มที่เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว หรือจะช่วยกันป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป"
ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย
แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี ประชากรที่พึ่งพิงแหล่งน้ำเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง
อัล กอร์ ได้นำภาพเส้นกราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน
อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน ไซโคลน หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม 2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลที่สำคัญคือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 6 เมตร อดีตรองประธานาธิบดีได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า
สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ใส่ลูกเล่นในการนำเสนอเรื่องโดยนำเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่า หากถึงเวลานั้น กรุงเทพฯ นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง บังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก และประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย
โลกร้อน เรื่องจริงหรือนิยาย
อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยสารคดีได้บอกถึง
ความพยายามของ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นจริง และเมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป ถึงตอนนี้หนังได้นำเอาภาพการ์ตูน ที่เปรียบเทียบ กบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว
อัล กอร์ พยายามจะบอกว่า โลกร้อน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้ สารคดีจบลงด้วยคำถาม ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน ซึ่งคำถามจึงย้อนกลับมาที่ประเทศไทยว่า เราพร้อมหรือตระหนักแค่ไหนกับภาวะโลกร้อน "เราจะเป็นกบที่ลอยในหม้อหุงต้มที่เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว หรือจะช่วยกันป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป"
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 5
คำถามเหล่านี้ถูกไขข้อสงสัย หลังจบสารคดี ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำผู้รู้นักคิดมาช่วยกันถกเถียง เพื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับภาวะโลกร้อนขึ้น มีสัญญาณอะไรที่เตือนภัย ได้ว่า โลกร้อนขึ้นไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี หากเป็นเรื่องจริงที่ต้องระมัดระวัง
รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยาบอกว่า สัญญาณอันตรายเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยจากการศึกษาระดับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกประเทศไทยได้รับผลกระทบแน่นอน โดยจะเกิดภูมิอากาศแปรปวนของฤดูกาล ในช่วงฤดูฝน 6 เดือน จะมีปริมาณฝนตกเยอะขึ้นและจะมีอุทกภัยเพิ่มขึ้นทุก 20% ต่อปีซึ่งในปีนี้เริ่มเห็นแล้วว่า เรามีอุทกภัยมากขึ้น ส่วนฤดูหนาว ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านเข้ามาจะทำให้หนาวจัดในบางปี และในช่วงนั้นจะเกิดฝนตกหนักในภาคใต้อีกด้วย
"อ่าวไทย ฝั่งตะวันออก ฝนจะตกมากในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์
ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติและจะทำให้มีผลต่อพืชผลทางการเกษตรในอนาคต"
รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า ไม่เพียงฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่นเช่น
เดิมมีพายุไต้ฝุ่น 2.8 ลูกต่อปี แต่ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ลูกต่อปี
ซึ่งในส่วนอ่าวไทยเดิมพายุไต้ฝุ่นเคยพัดผ่านประเทศเวียดนามก่อนที่จะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงที่พัดเข้าไทย
โดยจะมีพายุที่พัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรง 3-5 ปีต่อ ลูก แต่ในอนาคต
พายุไต้ฝุ่นจะพัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรงไม่ผ่านเวียดนาม และอาจจะเกิดขึ้น 1-2 ปีต่อลูก
ซึ่งจะทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนฤดูร้อนจะร้อนเร็วขึ้น
ร้อนนานขึ้น และอุณหภูมิสูงขึ้นและยังพบว่าในอีก 10
ปีข้างหน้าจะมีฟ้าผ่ามากขึ้นในช่วงพายุฤดูร้อน
ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในไทย โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ซึ่งในเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จาก จรูญ เลาหเลิศชัย นักอุตุนิยมวิทยา 8
รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยาบอกว่า สัญญาณอันตรายเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยจากการศึกษาระดับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกประเทศไทยได้รับผลกระทบแน่นอน โดยจะเกิดภูมิอากาศแปรปวนของฤดูกาล ในช่วงฤดูฝน 6 เดือน จะมีปริมาณฝนตกเยอะขึ้นและจะมีอุทกภัยเพิ่มขึ้นทุก 20% ต่อปีซึ่งในปีนี้เริ่มเห็นแล้วว่า เรามีอุทกภัยมากขึ้น ส่วนฤดูหนาว ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านเข้ามาจะทำให้หนาวจัดในบางปี และในช่วงนั้นจะเกิดฝนตกหนักในภาคใต้อีกด้วย
"อ่าวไทย ฝั่งตะวันออก ฝนจะตกมากในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์
ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติและจะทำให้มีผลต่อพืชผลทางการเกษตรในอนาคต"
รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า ไม่เพียงฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่นเช่น
เดิมมีพายุไต้ฝุ่น 2.8 ลูกต่อปี แต่ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ลูกต่อปี
ซึ่งในส่วนอ่าวไทยเดิมพายุไต้ฝุ่นเคยพัดผ่านประเทศเวียดนามก่อนที่จะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงที่พัดเข้าไทย
โดยจะมีพายุที่พัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรง 3-5 ปีต่อ ลูก แต่ในอนาคต
พายุไต้ฝุ่นจะพัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรงไม่ผ่านเวียดนาม และอาจจะเกิดขึ้น 1-2 ปีต่อลูก
ซึ่งจะทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนฤดูร้อนจะร้อนเร็วขึ้น
ร้อนนานขึ้น และอุณหภูมิสูงขึ้นและยังพบว่าในอีก 10
ปีข้างหน้าจะมีฟ้าผ่ามากขึ้นในช่วงพายุฤดูร้อน
ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในไทย โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ซึ่งในเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จาก จรูญ เลาหเลิศชัย นักอุตุนิยมวิทยา 8
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 6
กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า จากการเฝ้าดูอากาศพบว่า ผลกระทบจากโลกร้อนเกิดขึ้นแล้ว โดยพบว่าพายุมีความรุนแรงมากขึ้น ถี่ขึ้นแน่นอน ซึ่งที่น่าสังเกตคือ
ทะเลระดับต่ำกว่า 40 เมตรอย่างอ่าวไทยไม่น่าจะเกิดพายุได้
เพราะพายุจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทะเลมีระดับความลึก 50 เมตร แต่ปัจจุบันอ่าวไทยเริ่มมีพายุเกิดขึ้นแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงมีพายุเป็นสัญญาณเตือนเท่านั้น
วราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการส่วนฝนหลวง สำนักฝนหลวงและการบินยังบอกเช่นกันว่าตลอดระยะเวลาของการทำฝนหลวงมานานกว่า 30 ปี พบว่า การรวมตัวของเมฆเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากเดิม
แต่ความแข็งแรงของน้อยลง เพราะเดิมฐานเมฆจะมีความหนาแน่น
เพื่อควบคุมอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในก้อนเมฆไม่ให้ฝนตกเร็วเกินไป
แต่ปัจจุบันจะพบว่า เมฆเริ่มอ่อนแอ รวมกลุ่มเร็วขึ้นและฝนตกกระจายค่อนข้างเร็วแล้วก็หายไป เรียกว่า ก้อนเมฆไม่มีความสมดุล ทำให้ลักษณะของฝนตกแบบพรมๆ แล้วหายไป บางแห่งตกหนัก
ส่วนในระดับใต้ทะเลลึกก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดย ผศ.ดร.ปราโมทย์ โศจิกร ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล บอกว่า
อ่าวไทยเป็นทะเลบริเวณที่เรียกว่าเส้นศูนย์สูตร เป็นทะเลปิดอยู่นอกเขตการไหลของน้ำมหาสมุทร ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำจึงขึ้นอยู่กับกระแสลมเป็นหลัก ซึ่งอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น กระทบต่อปะการังใต้น้ำแน่นอนหากอุณหภูมิสูงเกิน 33 องศา ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ซึ่งเริ่มมีปรากฏการณ์ให้เห็นแล้วในอ่าวไทย ที่ปะการังจำนวนไม่น้อยเริ่มฟอกขาวจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเลตามโขดหิน แท้จริงแล้วสีของปะการังเกิดจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง คือสาหร่ายทะเลขนาดเล็กที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับปะการังแบบพึ่งพาอาศัยกัน สาหร่ายเหล่านี้มีความไวต่ออุณหภูมิน้ำทะเลมาก เพียงอุณหภูมิสูงขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส สาหร่ายจะหยุดสังเคราะห์แสงและตายไป สีของปะการังจึงดูซีดขาว
ถึงแม้จะมีภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่นำเสนอภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยเฉพาะเรื่อง The Day After Tomorrow และ The Core
แต่ทั้งหมดนั้นยังอิงความเป็นดราม่ามากกว่า "ข้อเท็จจริง" แต่สำหรับ An Inconvenient Truth
เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารายงานข่าวหายนะภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกผสมกับข้อมูลจริงเชิงอุตุนิยมวิทยาที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ทะเลระดับต่ำกว่า 40 เมตรอย่างอ่าวไทยไม่น่าจะเกิดพายุได้
เพราะพายุจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทะเลมีระดับความลึก 50 เมตร แต่ปัจจุบันอ่าวไทยเริ่มมีพายุเกิดขึ้นแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงมีพายุเป็นสัญญาณเตือนเท่านั้น
วราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการส่วนฝนหลวง สำนักฝนหลวงและการบินยังบอกเช่นกันว่าตลอดระยะเวลาของการทำฝนหลวงมานานกว่า 30 ปี พบว่า การรวมตัวของเมฆเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากเดิม
แต่ความแข็งแรงของน้อยลง เพราะเดิมฐานเมฆจะมีความหนาแน่น
เพื่อควบคุมอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในก้อนเมฆไม่ให้ฝนตกเร็วเกินไป
แต่ปัจจุบันจะพบว่า เมฆเริ่มอ่อนแอ รวมกลุ่มเร็วขึ้นและฝนตกกระจายค่อนข้างเร็วแล้วก็หายไป เรียกว่า ก้อนเมฆไม่มีความสมดุล ทำให้ลักษณะของฝนตกแบบพรมๆ แล้วหายไป บางแห่งตกหนัก
ส่วนในระดับใต้ทะเลลึกก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดย ผศ.ดร.ปราโมทย์ โศจิกร ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล บอกว่า
อ่าวไทยเป็นทะเลบริเวณที่เรียกว่าเส้นศูนย์สูตร เป็นทะเลปิดอยู่นอกเขตการไหลของน้ำมหาสมุทร ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำจึงขึ้นอยู่กับกระแสลมเป็นหลัก ซึ่งอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น กระทบต่อปะการังใต้น้ำแน่นอนหากอุณหภูมิสูงเกิน 33 องศา ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ซึ่งเริ่มมีปรากฏการณ์ให้เห็นแล้วในอ่าวไทย ที่ปะการังจำนวนไม่น้อยเริ่มฟอกขาวจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเลตามโขดหิน แท้จริงแล้วสีของปะการังเกิดจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง คือสาหร่ายทะเลขนาดเล็กที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับปะการังแบบพึ่งพาอาศัยกัน สาหร่ายเหล่านี้มีความไวต่ออุณหภูมิน้ำทะเลมาก เพียงอุณหภูมิสูงขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส สาหร่ายจะหยุดสังเคราะห์แสงและตายไป สีของปะการังจึงดูซีดขาว
ถึงแม้จะมีภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่นำเสนอภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยเฉพาะเรื่อง The Day After Tomorrow และ The Core
แต่ทั้งหมดนั้นยังอิงความเป็นดราม่ามากกว่า "ข้อเท็จจริง" แต่สำหรับ An Inconvenient Truth
เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารายงานข่าวหายนะภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกผสมกับข้อมูลจริงเชิงอุตุนิยมวิทยาที่ไม่อาจปฏิเสธได้
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 7
ข่าวดีก็คือ มนุษยชาติสามารถแก้ปัญหานี้ได้ และเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำ
เพียงแค่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตบ้างเล็กน้อยในแต่ละวันจะช่วยเพิ่มพูนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อหยุดภาวะโลกร้อน ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาตั้งแต่วันนี้
--------------- --------------------------------------
10 วิธีแก้ปัญหาโลกร้อน ง่ายๆ ทำได้ทุกคน
เปลี่ยนหลอดไฟ จากหลอดกลมหันมาใช้หลอดตะเกียบแทน เชื่อไหมว่าลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
ขับรถน้อยลง หันมาเดิน ขี่จักรยาน บริการขนส่งมวลชน หรือเลือกติดรถเพื่อน ทางเดียวกันไปด้วยกัน แค่นี้
ก็สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ปอนด์ทุกๆ 1 ไมล์ที่เราลดการขับขี่
รีไซเคิลของให้มากขึ้น แค่รีไซเคิลขยะในบ้านเพียงครึ่งหนึ่งก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,400 ปอนด์ต่อปี
เช็คลมยาง รักษาระดับลมยางให้เหมาะสม ช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้ถึง 3% และการประหยัดน้ำมันในทุกๆ แกลลอน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ 20 ปอนด์
ใช้น้ำร้อนน้อยลง เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ละครั้งใช้พลังงานจำนวนมาก อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นน้อยลง
เพียงแค่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตบ้างเล็กน้อยในแต่ละวันจะช่วยเพิ่มพูนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อหยุดภาวะโลกร้อน ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาตั้งแต่วันนี้
--------------- --------------------------------------
10 วิธีแก้ปัญหาโลกร้อน ง่ายๆ ทำได้ทุกคน
เปลี่ยนหลอดไฟ จากหลอดกลมหันมาใช้หลอดตะเกียบแทน เชื่อไหมว่าลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
ขับรถน้อยลง หันมาเดิน ขี่จักรยาน บริการขนส่งมวลชน หรือเลือกติดรถเพื่อน ทางเดียวกันไปด้วยกัน แค่นี้
ก็สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ปอนด์ทุกๆ 1 ไมล์ที่เราลดการขับขี่
รีไซเคิลของให้มากขึ้น แค่รีไซเคิลขยะในบ้านเพียงครึ่งหนึ่งก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,400 ปอนด์ต่อปี
เช็คลมยาง รักษาระดับลมยางให้เหมาะสม ช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้ถึง 3% และการประหยัดน้ำมันในทุกๆ แกลลอน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ 20 ปอนด์
ใช้น้ำร้อนน้อยลง เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ละครั้งใช้พลังงานจำนวนมาก อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นน้อยลง
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 8
FW: พี่เลือดโชก...ที่สถานีรถไฟฟ้า
Date: Mon, 04 Sep 2006 02:59:37 -0800
เพื่อนๆ ...
อยากเม้าท์อะไรให้ฟัง
ศุกร์ที่แล้วหลังเลิกงานชั้นออกไปสะแหลนแป๋นแถวสีลมกับ เพื่อนคนนึง
หลังจากกิน ข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยแยกทางกันกลับทางใครทางมัน
มันเหินฟ้าขึ้นรถไฟฟ้า ส่วนชั้นก็มุดลงดินกลับรถใต้ดิน
ตรงสถานีสีลมรถไฟฟ้า กับรถใต้ดินมันจะเชื่อมกัน ประมาณ 3 ทุ่มกว่าบันไดเลื่อนขาลงก็ปิดไปแล้ว ก็เลย ต้องเดินลงบันไดธรรมดา ระหว่างเดินลงเกือบถึงพื้นแล้ว
ก็สวนกับผู้ชายคนนึง ตัวดำ ๆ ใหญ่ๆ ท่าทาง เป็นคนต่างจังหวัด แต่งตัวโทรมๆ หน่อย ที่ขาของเค้าเลือดโชกเลย
(เค้าใส่แค่ รองเท้าแตะคีบ เพราะฉะนั้นเห็นเลือดเต็มๆ)
เค้าเดินกะโผลกกะเผลกเดินขึ้นบันไดมา
ก็มีผู้ชายคนนึงแต่งตัวดี ชี้บอกเค้าว่าให้ เดินขึ้นลิฟท์สิ แล้วก็เดินจากไปไม่ใส่ใจเค้า
มีอีกหลายๆ คนที่เดินตามขึ้นมา บางๆคนเดินสวนลงไป ที่ได้ แต่มอง
แต่ก็เดินจากไปไม่มีใครสนใจ แต่ชั้นเนี่ย ผอิญว่ามีคุณสมบัติสนใจ เรื่องของชาวบ้านสูงมาก
หลังจากรีๆ รอๆ ยืนมองซักพัก ชั้นก็แถเข้าไปบอกเค้าว่า "พี่ ขึ้นลิฟท์สิคะ"
เค้าๆ(ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกเขาว่า พี่เลือดโชกก็แล้วกัน)
ก็บอก "ไม่เป็นไรครับๆ" ระหว่างนั้นก็เหลือแค่ชั้นกับฝรั่งคู่นึง (เป็นแฟนกันอายุประมาณ 20 ปลายๆ)
ยืนดูเหตุการณ์อยู่
แล้วชั้นก็คะยั้นคะยอพี่เลือดโชกให้ขึ้นลิฟท์ต่อไป
แต่เค้าก็ๆเจียมเนื้อเจียมตนมากเลย
บอกแต่ว่าไม่เป็นไรครับ ผมไม่กล้าไปขึ้นของเค้าหรอก โหย แล้วบันไดตรงนั้นนะสูงชันคอตั้งบ่าเลย ชั้นได้แต่นึกในใจว่า
แล้วเมื่อไหร่พี่เค้าจะปีนขึ้นไปถึงวะ...
หลังจากรีรอซักพัก พี่เลือดโชกก็ถามชั้นว่า หมอชิดไปทางไหน
ชั้นก็โหไม่รู้หรอกว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ก็ี่บอกเค้าไปว่า
เนี่ยพี่ขึ้นลิฟท์ไปนะ
แล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปสุดปลายทางเลยก็ถึงหมอชิด
แล้ว พี่เค้าก็บอกว่า่ไม่เป็นไร กะว่าจะเดินไป ชั้นก็ เฮ้ย จะบ้าเหรอ
เดินไปเมื่อไหร่มันจะถึงล่ะเนี่ย
แถมขาก็เดี้ยงเลือดโชกขนาดนี้
คุยกันซักพักเค้าก็บอกเค้าไม่มีเงินขึ้นรถไฟฟ้าหรอก ชั้นก็ อ๋อ มุขนี้นี่เอง แต่เอาวะ
ด้วย ความสงสารถ้าจะโดนหลอกก็ให้:-)ไปเหอะ ก็เลยควักมาให้เค้า 40 บาท
บอกให้เอาไปขึ้นรถไฟฟ้าไป หมอชิต แต่ขอโทษ ผิดคาดครับผิดคาด
พี่เลือดโชก ไม่เอาตังค์
ยืนกรานว่าไม่ได้ขอตังค์ แค่อยากรู้ว่า
ควรจะไปทางไหน แล้วเดี๋ยวจะเดินไปเอง
เพื่อจะไปขอโบกรถกลับบ้านเอาแถวๆ นั้นเอง
Date: Mon, 04 Sep 2006 02:59:37 -0800
เพื่อนๆ ...
อยากเม้าท์อะไรให้ฟัง
ศุกร์ที่แล้วหลังเลิกงานชั้นออกไปสะแหลนแป๋นแถวสีลมกับ เพื่อนคนนึง
หลังจากกิน ข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยแยกทางกันกลับทางใครทางมัน
มันเหินฟ้าขึ้นรถไฟฟ้า ส่วนชั้นก็มุดลงดินกลับรถใต้ดิน
ตรงสถานีสีลมรถไฟฟ้า กับรถใต้ดินมันจะเชื่อมกัน ประมาณ 3 ทุ่มกว่าบันไดเลื่อนขาลงก็ปิดไปแล้ว ก็เลย ต้องเดินลงบันไดธรรมดา ระหว่างเดินลงเกือบถึงพื้นแล้ว
ก็สวนกับผู้ชายคนนึง ตัวดำ ๆ ใหญ่ๆ ท่าทาง เป็นคนต่างจังหวัด แต่งตัวโทรมๆ หน่อย ที่ขาของเค้าเลือดโชกเลย
(เค้าใส่แค่ รองเท้าแตะคีบ เพราะฉะนั้นเห็นเลือดเต็มๆ)
เค้าเดินกะโผลกกะเผลกเดินขึ้นบันไดมา
ก็มีผู้ชายคนนึงแต่งตัวดี ชี้บอกเค้าว่าให้ เดินขึ้นลิฟท์สิ แล้วก็เดินจากไปไม่ใส่ใจเค้า
มีอีกหลายๆ คนที่เดินตามขึ้นมา บางๆคนเดินสวนลงไป ที่ได้ แต่มอง
แต่ก็เดินจากไปไม่มีใครสนใจ แต่ชั้นเนี่ย ผอิญว่ามีคุณสมบัติสนใจ เรื่องของชาวบ้านสูงมาก
หลังจากรีๆ รอๆ ยืนมองซักพัก ชั้นก็แถเข้าไปบอกเค้าว่า "พี่ ขึ้นลิฟท์สิคะ"
เค้าๆ(ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกเขาว่า พี่เลือดโชกก็แล้วกัน)
ก็บอก "ไม่เป็นไรครับๆ" ระหว่างนั้นก็เหลือแค่ชั้นกับฝรั่งคู่นึง (เป็นแฟนกันอายุประมาณ 20 ปลายๆ)
ยืนดูเหตุการณ์อยู่
แล้วชั้นก็คะยั้นคะยอพี่เลือดโชกให้ขึ้นลิฟท์ต่อไป
แต่เค้าก็ๆเจียมเนื้อเจียมตนมากเลย
บอกแต่ว่าไม่เป็นไรครับ ผมไม่กล้าไปขึ้นของเค้าหรอก โหย แล้วบันไดตรงนั้นนะสูงชันคอตั้งบ่าเลย ชั้นได้แต่นึกในใจว่า
แล้วเมื่อไหร่พี่เค้าจะปีนขึ้นไปถึงวะ...
หลังจากรีรอซักพัก พี่เลือดโชกก็ถามชั้นว่า หมอชิดไปทางไหน
ชั้นก็โหไม่รู้หรอกว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ก็ี่บอกเค้าไปว่า
เนี่ยพี่ขึ้นลิฟท์ไปนะ
แล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปสุดปลายทางเลยก็ถึงหมอชิด
แล้ว พี่เค้าก็บอกว่า่ไม่เป็นไร กะว่าจะเดินไป ชั้นก็ เฮ้ย จะบ้าเหรอ
เดินไปเมื่อไหร่มันจะถึงล่ะเนี่ย
แถมขาก็เดี้ยงเลือดโชกขนาดนี้
คุยกันซักพักเค้าก็บอกเค้าไม่มีเงินขึ้นรถไฟฟ้าหรอก ชั้นก็ อ๋อ มุขนี้นี่เอง แต่เอาวะ
ด้วย ความสงสารถ้าจะโดนหลอกก็ให้:-)ไปเหอะ ก็เลยควักมาให้เค้า 40 บาท
บอกให้เอาไปขึ้นรถไฟฟ้าไป หมอชิต แต่ขอโทษ ผิดคาดครับผิดคาด
พี่เลือดโชก ไม่เอาตังค์
ยืนกรานว่าไม่ได้ขอตังค์ แค่อยากรู้ว่า
ควรจะไปทางไหน แล้วเดี๋ยวจะเดินไปเอง
เพื่อจะไปขอโบกรถกลับบ้านเอาแถวๆ นั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 9
ระหว่างนั้นฝรั่งคู่รักก็ยังไม่ไปไหนนะ คอยถามชั้นว่า
อะไรเหรอ
เค้าว่าอะไรเหรอ
เค้าไม่เอา้เงินเหรอ ชั้นก็เลย ทุลักทุเลมาก ไหนจะต้องคอยสอดรู้เรื่องพี่เลือดโชก
ไหนจะต้องใช้สมองน้อยนิดกลั่นกรองแปลเป็นภาษาฝรั่งให้คู่นี่ฟังอีก
อีก จนถึงตอนนี้พี่เลือดโชกก็ยังไม่ยอมรับเงินจากชั้นนะ
แต่เค้าเล่าเรื่องสนองความอยากรู้อยากเห็นของ
ชั้นว่า เค้าโดนเหล็กทิ่มขา แล้วก็โดนไล่ลงจากรถ อะไรประมาณนี้แหละ
แล้วก็พยายามหาทางกลับบ้านอยู่ ฟังแล้วชั้นน้ำตาซึมเลย คิดดูสิ
ถ้าเป็นเราล่ะ
ถ้าเราอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่มีตังค์ บาดเจ็บ แถม
ไม่มีหมาตัวไหนมาสนใจเลย บ้านก็อยากกลับ ทำไง ทำไงดี
แล้วเค้าก็บอกว่า ไม่เอาตังค์หรอก แต่ช่วยพาข้ามถนนไปหน่อยได้ไหม
ชั้นก็เลยหันไปขอความช่วยเหลือ
จากพี่ฝรั่งเค้า พี่ฝรั่งก็แสนดี รีบ OK
บอกให้พี่เลือดโชกมาเกาะบ่าเค้าเลย
เค้าจะช่วยพยุงข้ามไป พี่เลือดโชกก็ตามเคย เกรงใจ ไม่เป็นไรครับ
ระหว่างกะโผลกกะเผลกกันไป
ชั้นก็สัมภาษณ์ต่อว่า พี่ บ้านพี่อยู่ไหนเนี่ย / อยู่สุรินทร์ครับ / แล้วค่ารถเท่าไหร่ / 345 บาทครับ
พอข้ามฟากไปเสร็จ
ชั้นก็ตัดใจควักกระเป๋าตังค์ออกมายื่นให้พี่เลือดโชกไป 300 บาท
300 บาทสำหรับคนงกๆ อย่างชั้นเนี่ยมันเยอะนะ
(ขอโทษเหอะ ก่อนหน้านั้นน่ะ จะกินเค้กก้อนละ 80 บาทยังเสียดายตังค์เลย)
แต่ก็เป็นครั้ง แรกที่ชั้นบีบบังคับใครให้เอาเงินของชั้นไปใช้ทีเถอะ
แต่พี่เค้าก็ไม่ยอมรับนะ ยืนยัน ว่าจะเดินไปโบกรถไปจนกว่าจะถึงบ้าน โอ้มายก้อด
เมื่อไหร่จะถึงบ้านล่ะเนี่ย
จะตายก่อนไหมเนี่ย แล้วสภาพแบบนี้ใครจะอยากรับขึ้นรถ
ในที่สุดชั้นก็ทำสำเร็จ บีบบังคับให้เค้ารับเงินจากชั้นไป 300
ก่อนจะเดินจากมา ชั้นยังรู้สึกผิดอยู่เลยที่ให้ เค้าอีก 45 บาทไม่ได้
เพราะชั้นเหลือแต่แบงค์ 1000 แล้ว ถ้าให้ก็หมดตัวแล้ว
รู้สึกผิดจังที่ไม่สามารถ ให้เงินครบแบบที่เค้าจะกลับบ้านได้สบายๆ
แต่ก็ได้แต่หวังว่า มันอาจจะให้เค้าไปหาหมอได้ กินข้าว
หรือ อะไรก็ได้ ไอ้จะขอฝรั่งอีก 45 บาท ก็ไม่กล้าซะอีก ก็เลยแยกจากกันไป
พร้อมกับขอให้โชคดีนะพี่
พอข้ามถนนกลับมา แยกกับฝรั่งคู่รักแล้ว ชั้นก็มุดลงรถใต้ดิน
แล้วก็โทรหาไอ้เพื่อนตัวที่แยกกันเมื่อกี้ เพื่อ
เล่าเรื่องสะเทือนใจให้มันฟัง เล่าไปได้แค่ 2 ประโยค
เรื่องรูปร่างหน้าตาลักษณะของพี่เลือดโชก
มันก็ สอดขึ้นมาว่า
"ขาเจ็บใช่มะ เลือดไหลด้วยใช่ปะ
ไม่มีเงินกลับบ้านต่างจังหวัดใช้มั้ย
ไม่ยอมรับเงินแกด้วยล่ะสิ แกต้องคะยั้นคะยอให้เค้ารับเงินแกใช่มั้ย"
โอ้โฮ
เพื่อนเราตาทิพย์มากๆ
ระหว่างอึ้งในความสามารถของเพื่อน
พร้อมกับตระหนักว่า "กูโดนหลอก" อยู่ เพื่อนมันก็ใส่ต่อว่า
ชั้นเจอพี่คนนี้มาแล้ว 2 ครั้ง
คาดว่าแผนการตลาดของพี่เค้าเนี่ย จะใช้่ โลเคชั่นแถวรถไฟฟ้า
ที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายพอจะมีกำลังซื้อหน่อย
กลยุทธ์ก็จะขายภาพพจน์ความเป็นคนดี
ดี
สำนึกรักบ้านเกิด แต่ไม่มีทุนทรัพย์ในการกลับไปรักบ้านได้
แต่ก็หยิ่งมีศักดิ์ศรี
ไม่ยอมรับเงินของใครง่ายๆี
เรียกว่า เล็กๆ ไม่(รับ) ใหญ่ๆ เอา (เอามาเลย:-))
เพื่อนชั้นเคยเจอที่สถานีอ่อนนุช ครั้งนึง
อีกครั้งเจอที่สถานีอะไรจำไม่ได้ ซักประมาณเป็นปีมาแล้ว
ถึงตอนนี้ชั้นเริ่มหายอึ้ง แล้วก็พรั่งพรูความแค้นออกมา
ให้พรพี่เลือดโชกไปหนึ่ง ล็อตใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ สงบ สติอารมณ์ แล้วก็คิดว่า เอาเถอะ ให้เค้าไปแล้ว
ตอนที่ให้ไปชั้นให้ไปด้วยความตั้งใจดีๆ จริงๆ อย่างที่ บอกว่าถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ
ถ้าเป็นเราล่ะ
เราคงอยากให้ใครมีน้ำใจกับเราใช่มั๊ย
สิ่งที่ชั้นทำลงไปไม่ใช่เรื่องผิดเลย อาจมีคนมองว่าโง่ ก็คงใช่ แต่ไม่ใช่เรื่องผิดเลย
ถ้าชั้นไม่ให้สิ จนถึงวันนี้ชั้นคงยังรู้สึกผิด อยู่ เงิน 300 บาทแลกกับความรู้สึกผิดที่จะฝังใจอีกนาน
มันคุ้มแสนคุ้ม
ถูกแสนถูกสำหรับชั้น
แล้วบาปกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นมันตกอยู่กับพี่เลือดโชกคนเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าเงิน 300บาทนั่นจะกลายไปเป็นค่าเหล้า ค่าเล่นไพ่ หรืออาจเป็นค่ากับข้าวให้ลูกๆ ของเค้า
หรืออาจจะเป็นค่ายาของแม่ที่เจ็บป่วยอยู๋ ไม่ืเป็นไรเลย
ไม่ว่าเค้าจะเอาไปใช้ด้วยวัตถุประสงค์ไหนก็ตาม
มันก็ยังตกเป็นผลกรรมของเค้าอยู่ดี
ชั้นทำ สิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ
คิดว่าอาจมีหลายคนที่ตกเป็นลูกค้าของพี่เลือดโชกแล้ว หรืออาจจะกำลังจะเป็นก็ได้
ถ้าเพื่อนๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ลอง forward เมล์นี้ต่อๆ ไปหน่อย
เผื่อว่าใครได้เจอพี่เลือดโชกตามสถานีรถไฟฟ้าไหนๆ
ก็อาจจะได้รู้เท่าทันกลยุทธ์การตลาดของพี่เค้าบ้าง
แล้วถ้าใครเจออีก
ก็ฝากบอกเค้าด้วยว่า ชั้นเป็นห่วง
ยังไม่ถึงบ้านอีกเรอะ นี่มันก็นานพอดูแล้วนะ
คงเดินหลงทางไม่ถึงหมอชิดซักที
เลือดก็คงยังไม่หยุดไหลสิท่า โถคงเจ็บน่าดู
แต่ก็เอาเถอะ ขอให้ขากุดจริงๆ พี่เลือดโชก
หลิง...หลิง
11 ส.ค. 49
อะไรเหรอ
เค้าว่าอะไรเหรอ
เค้าไม่เอา้เงินเหรอ ชั้นก็เลย ทุลักทุเลมาก ไหนจะต้องคอยสอดรู้เรื่องพี่เลือดโชก
ไหนจะต้องใช้สมองน้อยนิดกลั่นกรองแปลเป็นภาษาฝรั่งให้คู่นี่ฟังอีก
อีก จนถึงตอนนี้พี่เลือดโชกก็ยังไม่ยอมรับเงินจากชั้นนะ
แต่เค้าเล่าเรื่องสนองความอยากรู้อยากเห็นของ
ชั้นว่า เค้าโดนเหล็กทิ่มขา แล้วก็โดนไล่ลงจากรถ อะไรประมาณนี้แหละ
แล้วก็พยายามหาทางกลับบ้านอยู่ ฟังแล้วชั้นน้ำตาซึมเลย คิดดูสิ
ถ้าเป็นเราล่ะ
ถ้าเราอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่มีตังค์ บาดเจ็บ แถม
ไม่มีหมาตัวไหนมาสนใจเลย บ้านก็อยากกลับ ทำไง ทำไงดี
แล้วเค้าก็บอกว่า ไม่เอาตังค์หรอก แต่ช่วยพาข้ามถนนไปหน่อยได้ไหม
ชั้นก็เลยหันไปขอความช่วยเหลือ
จากพี่ฝรั่งเค้า พี่ฝรั่งก็แสนดี รีบ OK
บอกให้พี่เลือดโชกมาเกาะบ่าเค้าเลย
เค้าจะช่วยพยุงข้ามไป พี่เลือดโชกก็ตามเคย เกรงใจ ไม่เป็นไรครับ
ระหว่างกะโผลกกะเผลกกันไป
ชั้นก็สัมภาษณ์ต่อว่า พี่ บ้านพี่อยู่ไหนเนี่ย / อยู่สุรินทร์ครับ / แล้วค่ารถเท่าไหร่ / 345 บาทครับ
พอข้ามฟากไปเสร็จ
ชั้นก็ตัดใจควักกระเป๋าตังค์ออกมายื่นให้พี่เลือดโชกไป 300 บาท
300 บาทสำหรับคนงกๆ อย่างชั้นเนี่ยมันเยอะนะ
(ขอโทษเหอะ ก่อนหน้านั้นน่ะ จะกินเค้กก้อนละ 80 บาทยังเสียดายตังค์เลย)
แต่ก็เป็นครั้ง แรกที่ชั้นบีบบังคับใครให้เอาเงินของชั้นไปใช้ทีเถอะ
แต่พี่เค้าก็ไม่ยอมรับนะ ยืนยัน ว่าจะเดินไปโบกรถไปจนกว่าจะถึงบ้าน โอ้มายก้อด
เมื่อไหร่จะถึงบ้านล่ะเนี่ย
จะตายก่อนไหมเนี่ย แล้วสภาพแบบนี้ใครจะอยากรับขึ้นรถ
ในที่สุดชั้นก็ทำสำเร็จ บีบบังคับให้เค้ารับเงินจากชั้นไป 300
ก่อนจะเดินจากมา ชั้นยังรู้สึกผิดอยู่เลยที่ให้ เค้าอีก 45 บาทไม่ได้
เพราะชั้นเหลือแต่แบงค์ 1000 แล้ว ถ้าให้ก็หมดตัวแล้ว
รู้สึกผิดจังที่ไม่สามารถ ให้เงินครบแบบที่เค้าจะกลับบ้านได้สบายๆ
แต่ก็ได้แต่หวังว่า มันอาจจะให้เค้าไปหาหมอได้ กินข้าว
หรือ อะไรก็ได้ ไอ้จะขอฝรั่งอีก 45 บาท ก็ไม่กล้าซะอีก ก็เลยแยกจากกันไป
พร้อมกับขอให้โชคดีนะพี่
พอข้ามถนนกลับมา แยกกับฝรั่งคู่รักแล้ว ชั้นก็มุดลงรถใต้ดิน
แล้วก็โทรหาไอ้เพื่อนตัวที่แยกกันเมื่อกี้ เพื่อ
เล่าเรื่องสะเทือนใจให้มันฟัง เล่าไปได้แค่ 2 ประโยค
เรื่องรูปร่างหน้าตาลักษณะของพี่เลือดโชก
มันก็ สอดขึ้นมาว่า
"ขาเจ็บใช่มะ เลือดไหลด้วยใช่ปะ
ไม่มีเงินกลับบ้านต่างจังหวัดใช้มั้ย
ไม่ยอมรับเงินแกด้วยล่ะสิ แกต้องคะยั้นคะยอให้เค้ารับเงินแกใช่มั้ย"
โอ้โฮ
เพื่อนเราตาทิพย์มากๆ
ระหว่างอึ้งในความสามารถของเพื่อน
พร้อมกับตระหนักว่า "กูโดนหลอก" อยู่ เพื่อนมันก็ใส่ต่อว่า
ชั้นเจอพี่คนนี้มาแล้ว 2 ครั้ง
คาดว่าแผนการตลาดของพี่เค้าเนี่ย จะใช้่ โลเคชั่นแถวรถไฟฟ้า
ที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายพอจะมีกำลังซื้อหน่อย
กลยุทธ์ก็จะขายภาพพจน์ความเป็นคนดี
ดี
สำนึกรักบ้านเกิด แต่ไม่มีทุนทรัพย์ในการกลับไปรักบ้านได้
แต่ก็หยิ่งมีศักดิ์ศรี
ไม่ยอมรับเงินของใครง่ายๆี
เรียกว่า เล็กๆ ไม่(รับ) ใหญ่ๆ เอา (เอามาเลย:-))
เพื่อนชั้นเคยเจอที่สถานีอ่อนนุช ครั้งนึง
อีกครั้งเจอที่สถานีอะไรจำไม่ได้ ซักประมาณเป็นปีมาแล้ว
ถึงตอนนี้ชั้นเริ่มหายอึ้ง แล้วก็พรั่งพรูความแค้นออกมา
ให้พรพี่เลือดโชกไปหนึ่ง ล็อตใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ สงบ สติอารมณ์ แล้วก็คิดว่า เอาเถอะ ให้เค้าไปแล้ว
ตอนที่ให้ไปชั้นให้ไปด้วยความตั้งใจดีๆ จริงๆ อย่างที่ บอกว่าถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ
ถ้าเป็นเราล่ะ
เราคงอยากให้ใครมีน้ำใจกับเราใช่มั๊ย
สิ่งที่ชั้นทำลงไปไม่ใช่เรื่องผิดเลย อาจมีคนมองว่าโง่ ก็คงใช่ แต่ไม่ใช่เรื่องผิดเลย
ถ้าชั้นไม่ให้สิ จนถึงวันนี้ชั้นคงยังรู้สึกผิด อยู่ เงิน 300 บาทแลกกับความรู้สึกผิดที่จะฝังใจอีกนาน
มันคุ้มแสนคุ้ม
ถูกแสนถูกสำหรับชั้น
แล้วบาปกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นมันตกอยู่กับพี่เลือดโชกคนเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าเงิน 300บาทนั่นจะกลายไปเป็นค่าเหล้า ค่าเล่นไพ่ หรืออาจเป็นค่ากับข้าวให้ลูกๆ ของเค้า
หรืออาจจะเป็นค่ายาของแม่ที่เจ็บป่วยอยู๋ ไม่ืเป็นไรเลย
ไม่ว่าเค้าจะเอาไปใช้ด้วยวัตถุประสงค์ไหนก็ตาม
มันก็ยังตกเป็นผลกรรมของเค้าอยู่ดี
ชั้นทำ สิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ
คิดว่าอาจมีหลายคนที่ตกเป็นลูกค้าของพี่เลือดโชกแล้ว หรืออาจจะกำลังจะเป็นก็ได้
ถ้าเพื่อนๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ลอง forward เมล์นี้ต่อๆ ไปหน่อย
เผื่อว่าใครได้เจอพี่เลือดโชกตามสถานีรถไฟฟ้าไหนๆ
ก็อาจจะได้รู้เท่าทันกลยุทธ์การตลาดของพี่เค้าบ้าง
แล้วถ้าใครเจออีก
ก็ฝากบอกเค้าด้วยว่า ชั้นเป็นห่วง
ยังไม่ถึงบ้านอีกเรอะ นี่มันก็นานพอดูแล้วนะ
คงเดินหลงทางไม่ถึงหมอชิดซักที
เลือดก็คงยังไม่หยุดไหลสิท่า โถคงเจ็บน่าดู
แต่ก็เอาเถอะ ขอให้ขากุดจริงๆ พี่เลือดโชก
หลิง...หลิง
11 ส.ค. 49
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
.....Fw: ดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ.....
โพสต์ที่ 10
เซียมซีแม่น ๆ ๆ
Date: Mon, 28 Aug 2006 06:13:20 -0800
http://www.deedeejang.com/zodiac/ziamzee/index.php
เซียมซี เสี่ยงทายทำนายชีวิต
1169-424 ปีก่อนพุทธศักราช ชาวจีนเริ่มต้นการเสี่ยงทายเพื่ออาศัยบารมีของเทพเจ้า ช่วยทำนายโชคเคราะห์ในสมัยราชวงศ์ชาง เกิดคัมภีร์เกี่ยวกับการทำนาย 'อี้จิง' จากนั้นจึงวิวัฒนาการมาเป็นคำทำนายและคำอธิบายคำทำนาย คิดเครื่องเสี่ยงทายโดยใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นซีกบาง เขียนเครื่องหมายตัวเลขหรือตัวอักษรตรงปลายไม้ บรรจุลงในกระบอกหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ' เซียมซี '
เซียมซีในประเทศไทยเริ่มจากชาวจีน ที่เข้ามาค้าขายโดยมาพร้อมกับศาลเจ้าจีน จุดกำเนิดอาจมีตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรืออยุธยา หากยึดจากศาลเจ้า ลิ้มโกเหนี่ยว (หลินกู๊เหนียง) ในจังหวัดปัตตานีซึ่งสร้างขึ้นในพ.ศ.2116 การเสี่ยง เซียมซี ในบ้านเราต้องมีมาไม่ต่ำกว่า 400 ปี
เดิมคำทำนายเขียนเป็นภาษาจีนไว้บนแผ่นไม้เนื้อแข็ง หรือผนังศาลเจ้า คนไทยต้องอาศัยผู้รู้ภาษาจีนอ่านและแปลให้ฟัง กลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเสี่ยงเซียมซีที่ วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี ผู้รู้ได้จัดใบพยากรณ์ภาษาจีนขึ้น ต่อมานาย เปลี่ยน แซ่ซ้อง ได้ริเริ่มแปลเซียมซีภาษาจีนเป็นภาษาไทย
ใบเซียมซีของจีนโบราณจัดสัดส่วนเป็น 4 ประเภทคือ ดีเลิศ ดี ปานกลาง และ ไม่ดี ใบเซียมซีที่แปลเป็นร้อยกรองไทย ได้ผสมผสานพุทธปรัชญาไว้ด้วย ผู้เสี่ยงทายจะหยิบกระบอกเซียมซีขึ้น อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเขย่า ดูหมายเลขของติ้วเซียมซีที่หลุดออกจากกระบอก
แม้ศาสตร์แห่งการทำนายจะเกิดขึ้นมากมาย เซียมซียังคงอยู่กับสังคมไทยจนทุกวันนี
Date: Mon, 28 Aug 2006 06:13:20 -0800
http://www.deedeejang.com/zodiac/ziamzee/index.php
เซียมซี เสี่ยงทายทำนายชีวิต
1169-424 ปีก่อนพุทธศักราช ชาวจีนเริ่มต้นการเสี่ยงทายเพื่ออาศัยบารมีของเทพเจ้า ช่วยทำนายโชคเคราะห์ในสมัยราชวงศ์ชาง เกิดคัมภีร์เกี่ยวกับการทำนาย 'อี้จิง' จากนั้นจึงวิวัฒนาการมาเป็นคำทำนายและคำอธิบายคำทำนาย คิดเครื่องเสี่ยงทายโดยใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นซีกบาง เขียนเครื่องหมายตัวเลขหรือตัวอักษรตรงปลายไม้ บรรจุลงในกระบอกหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ' เซียมซี '
เซียมซีในประเทศไทยเริ่มจากชาวจีน ที่เข้ามาค้าขายโดยมาพร้อมกับศาลเจ้าจีน จุดกำเนิดอาจมีตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรืออยุธยา หากยึดจากศาลเจ้า ลิ้มโกเหนี่ยว (หลินกู๊เหนียง) ในจังหวัดปัตตานีซึ่งสร้างขึ้นในพ.ศ.2116 การเสี่ยง เซียมซี ในบ้านเราต้องมีมาไม่ต่ำกว่า 400 ปี
เดิมคำทำนายเขียนเป็นภาษาจีนไว้บนแผ่นไม้เนื้อแข็ง หรือผนังศาลเจ้า คนไทยต้องอาศัยผู้รู้ภาษาจีนอ่านและแปลให้ฟัง กลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเสี่ยงเซียมซีที่ วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี ผู้รู้ได้จัดใบพยากรณ์ภาษาจีนขึ้น ต่อมานาย เปลี่ยน แซ่ซ้อง ได้ริเริ่มแปลเซียมซีภาษาจีนเป็นภาษาไทย
ใบเซียมซีของจีนโบราณจัดสัดส่วนเป็น 4 ประเภทคือ ดีเลิศ ดี ปานกลาง และ ไม่ดี ใบเซียมซีที่แปลเป็นร้อยกรองไทย ได้ผสมผสานพุทธปรัชญาไว้ด้วย ผู้เสี่ยงทายจะหยิบกระบอกเซียมซีขึ้น อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเขย่า ดูหมายเลขของติ้วเซียมซีที่หลุดออกจากกระบอก
แม้ศาสตร์แห่งการทำนายจะเกิดขึ้นมากมาย เซียมซียังคงอยู่กับสังคมไทยจนทุกวันนี