เมื่อไหร่ไทยมีบอลอาชีพ พี่ๆก็เตรียมตังค์กันไว้เลยนะครับ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
freemind
Verified User
โพสต์: 269
ผู้ติดตาม: 0

เมื่อไหร่ไทยมีบอลอาชีพ พี่ๆก็เตรียมตังค์กันไว้เลยนะครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เช่นพี่ Chatchai อาจต้องขาย WG มาซื้อหุ้นสโมสรท่าเรือ อิอิ

...

จาก

http://www.matichon.co.th/matichon/mati ... 2006/08/24

คลิกเข้าไปดูรูปประกอบด้วยครับ ช่วยกันทำฮิตเรตให้เว็บเขาหน่อย

...

เมื่อสัปดาห์ก่อน ข่าวคราวการเข้าเทกโอเวอร์สโมสร "แอสตัน วิลล่า" ของ "แรนดี้ เลิร์นเนอร์" มหาเศรษฐีชาวอเมริกันได้นำเราไปรู้จักกับสถานการณ์และความเป็นไปของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีที่นับวันยิ่งมีนายทุนชาวต่างชาติเข้าไปถือครองหุ้นเพื่อหวังผลกำไรมากขึ้นเรื่อยๆ

เหล่านี้ย่อมยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงสถานภาพของลีกฟุตบอลอังกฤษซึ่งใครต่อใครก็ยอมรับว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของโลก

ในโลกที่ธุรกิจกับกีฬาดำเนินไปเคียงข้างกันชนิดแยกไม่ออกเช่นในปัจจุบัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลเมืองผู้ดีทุกวันนี้คือสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดหมายว่าจะเกิดตามมาในอนาคต ซึ่งนั่นหมายความว่าจำนวน "เจ้าของชาวต่างชาติ" น่าจะไม่หยุดอยู่ที่จำนวน 5 สโมสร (ฟูแล่ม เชลซี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปอร์ทสมัธ และแอสตัน วิลล่า) เป็นแน่

อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ปัจจุบันยังสามารถมองจากอีกมุมได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกลูกหนังเมื่อธุรกิจกีฬาเข้ามามีบทบาทสำคัญ ดังเช่นข้อมูลที่ "มิเฮียร์ โบส" แห่งหนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ รวบรวมไว้ในที่นี้...

...ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 1983 พ่อค้าน้ำตาลหนุ่มชื่อ "เดวิด ดีน" ทำเอา "ปีเตอร์ ฮิลล์-วู้ด" ประธานสโมสร "อาร์เซน่อล" ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากเขายื่นข้อเสนอที่ไม่ธรรมดาให้กับบิ๊กบอสของทีมปืนใหญ่

ครั้งนั้น ดีนได้ติดต่อขอซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้ชำระของทีมปืนใหญ่ด้วยเงินสูงถึง 290,250 ปอนด์ ซึ่งฮิลล์-วู้ดก็ตอบรับไปตามนั้น...ทั้งที่ยังงงๆ ไม่หาย ก่อนจะให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า "ผมคิดว่าเขาต้องบ้าแน่ๆ ที่คิดลงทุนกับอะไรที่มันไม่น่าจะผลิดอกออกผลอย่างนั้น" เพราะจากประสบการณ์การโลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนังมานานปีทำให้ฮิลล์-วู้ดได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่าการลงทุนไปกับหุ้นสโมสรฟุตบอลก็ไม่ต่างอะไรกับการ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" เลย!

ณ วันนี้ "เดวิด ดีน" คนเดิม กลายเป็น "อดีต" พ่อค้าน้ำตาลผู้นั่งในตำแหน่งรองประธานสโมสรอาร์เซน่อลด้วยหุ้น 16 เปอร์เซ็นต์ในมือ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 45.5 ล้านปอนด์ (กว่า 3,200 ล้านบาท) จากมูลค่ารวมของสโมสร 284.7 ล้านปอนด์ (20,245 ล้านบาท)

อันที่จริง แรกสุดนั้น ดีนเป็นเจ้าของหุ้นของสโมสรถึง 42 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะคิดเป็นมูลค่าถึง 119.5 ล้านปอนด์ (8,500 ล้านปอนด์) แต่ด้วยปัญหาทางการเงินของทีมปืนใหญ่ทำให้เขาไม่อาจครอบครองหุ้นเท่าเดิมได้

เวลา 20 กว่าปีกับการตัดสินใจที่เปลี่ยนเงินของดีนให้ทวีค่ามหาศาลนับเป็นหนึ่งตัวอย่างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีที่ชัดเจนอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับกรณีของ "ดั๊ก เอลลิส" เจ้าของเก่าของแอสตัน วิลล่า ซึ่งเข้าไปลงทุนกับสโมสรแห่งนี้ด้วยเงิน 500,000 ปอนด์ เพียง 1 ปีก่อหน้าดีนจะติดต่อไปยังทีมปืนใหญ่ แต่วันนี้เขากลับเดินตัวปลิวออกจากวิลล่าพาร์คพร้อมเงินกว่า 29 ล้านปอนด์ (2 พันล้านบาท) จากหุ้น 35.9 เปอร์เซ็นต์ หลังบรรลุข้อตกลงกับเลิร์นเนอร์

ขณะที่ "แจ๊ค เพ็ตชีย์" ผู้ถือหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ของวิลล่า รับทรัพย์ไปอิ่มเอม 13 ล้านปอนด์ (925 ล้านบาท) ด้วยกัน

ถอยหลังกลับไปเมื่อปี 1974 เพ็ตชีย์คนนี้หวุดหวิดจะล้มละลายจากการทำธุรกิจส่วนตัว ก่อนจะหันไปลงทุนกับทีม "เวสต์แฮม" แต่ไม่ประสบความสำเร็จและต้องขายหุ้นทิ้งให้ "เทอร์รี่ บราวน์" ประธานคนปัจจุบัน ในมูลค่าเพียง 1.4 ล้านปอนด์เท่านั้น

เพ็ตชีย์ต้องเจ็บตัวอีกครั้งจากการนั่งเก้าอี้ประธานสโมสร "วัตฟอร์ด" ต่อจากนักร้องดัง "เอลตัน จอห์น" ระหว่างปี 1990-1994 ซ้ำยังโดนกระแสแอนตี้จากแฟนๆ ค่อนข้างมาก

ต่อเมื่อตัดสินใจถอยมายืนในตำแหน่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบอร์ดบริหารของสโมสรนั่นเองที่เพ็ตชีย์เริ่มได้ลืมตาอ้าปากใน "ธุรกิจฟุตบอล" อย่างเป็นเรื่องเป็นราว!

เมื่อ 2 ปีก่อน เพ็ตชีย์ให้ "ลีดส์" ซึ่งกำลังประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักยืมเงินผ่าน "เทรฟิค" บริษัทนอกประเทศซึ่งเขาเป็นเจ้าของ และได้รับผลตอบแทนเป็นมูลค่ามหาศาลแม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเป็นที่แน่นอนก็ตาม

บริษัทเทรฟิคแห่งเดียวกันนี้ยังเป็นที่ที่เขาใช้เป็นทางผ่านในการถือหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ของแอสตัน วิลล่า อีกด้วย

...นอกจากกรณีของเพ็ตชีย์ เอลลิส และดีนแล้ว ยังมีการลงทุนอีกมากมายในวงการลูกหนังอังกฤษที่ทำให้นักธุรกิจหลายคนต้องอิจฉา ไม่ว่าจะเป็น "เซอร์อลัน ชูการ์" ที่ลงทุนกับ "สเปอร์ส" ไป 8 ล้านปอนด์ เมื่อปี 1991 และทำกำไรได้ถึง 16.5 ล้านปอนด์ ตอนที่เขาผละจากตำแหน่งประธานสโมสรเมื่อ 4 ปีที่แล้ว อีกทั้งยังถือหุ้นอีก 13 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน
หรือจะเป็น "เคน เบทส์" เจ้าของเก่าของ "เชลซี" ที่ลงทุนไปแค่ 1 ล้านปอนด์ ช่วงทศวรรษที่ 80 ก่อนจะขายหุ้นให้ "โรมัน อับราโมวิช" พร้อมเงินทองกองท่วมหัว 17 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2003

ขณะที่ตระกูล "เอ็ดเวิร์ดส" เจ้าของเก่าของทีม "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" ซึ่งครองตำแหน่งสโมสรฟุตบอลที่ทำเงินสูงสุดมาในอดีตยิ่งเป็นตัวอย่างชั้นเลิศ เพราะเมื่อตอนที่ "หลุยส์ เอ็ดเวิร์ดส" ซื้อหุ้น 54 เปอร์เซ็นต์ของทีมปีศาจแดงด้วยเงิน 31,000-41,000 ปอนด์ เมื่อปี 1964 ก่อนที่ "มาร์ติน" ลูกชายจะเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปอีก 100,000 ปอนด์ในเวลาต่อมา ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าตระกูลนี้จะปลูกต้นเงินต้นทองที่โอลด์แทรฟฟอร์ดคิดเป็นเงินถึง 90 ล้านปอนด์ (6,400 ล้านบาท) ด้วยกัน!!

สถานการณ์คล้ายๆ กันนี้อาจจะเกิดขึ้นกับ "เดวิด มัวร์ส" ประธานสโมสร "ลิเวอร์พูล" ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากเมื่อไรที่เขาตัดสินใจขายหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ที่ตัวเองซื้อมา 12 ล้านปอนด์ เมื่อปี 1991 ไป เพราะทุกวันนี้หงส์แดงมีมูลค่าปาเข้าไป 200 ล้านปอนด์แล้ว!

อย่างไรก็ดี เมื่อมีคน "ได้" ก็ต้องมีคน "เสีย" อยู่บ้างเหมือนกัน เหมือนกับ "ปีเตอร์ จอห์นสัน" ที่ถึงจะขายหุ้นในทีม "เอฟเวอร์ตัน" ได้ก็ยังไม่ได้รับผลกำไรอยู่ดี รวมทั้ง "บ็อบ เมอร์เรย์" ที่ขายหุ้น "ซันเดอร์แลนด์" ให้ "ไนออล ควินน์" ไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ก็ต้องประสบกับการขาดทุนเช่นกัน

แต่ผู้ที่ "สูญเสีย" มากที่สุดจากสถานการณ์เช่นนี้เห็นจะเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหลายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นทีมแอสตัน วิลล่า ซึ่งเมื่อปี 1997 มีมูลค่าต่อหุ้นอยู่ที่ 11 ปอนด์ แต่หลังจากเลิร์นเนอร์เข้ามาเทกโอเวอร์ หุ้นก็ตกลงเหลือหุ้นละ 5.47 ปอนด์เท่านั้นเอง

กระนั้นก็ตาม เรื่องราวและตัวเลขที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งเจ้าของสโมสรหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหลายได้รับก็น่าจะหอมหวนชวนฝันมากพอที่จะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับนักธุรกิจหลายๆ คน

...
โพสต์โพสต์