อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
โพสต์ที่ 1
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
คือเมื่อปลายเมษา 2549 มีญาติผู้ใหญ่ของผมท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิง อายุประมาณ 70 เกิดภาวะเส้นโลหิตในสมองตีบตัน เนื่องความดันโลหิตสูง ส่งผลให้เป็นอัมพฤกษ์ด้านซ้าย แต่ไม่หนักมาก (Motor Response ด้านซ้ายระดับ 4++) และสูญเสียการมองเห็นบางส่วน (ซีกซ้ายของตาทั้งสองข้าง) หลังจากได้รับการรักษาอยู่ช่วงหนึ่งก็ออกจากโรงพยาบาลมาเริ่มทำกายภาพบำบัดที่บ้าน พอเดินเหินได้ แต่ความดันโลหิตก็ยังเดี๋ยวสูงเดี๋ยวพอดี จนปรับยาให้เข้าที่ความดันจึงอยู่ในระดับประมาณ 140-150/80-90
ยาที่รับประทานปัจจุบันคือ
เช้า Plavix 75 mg 1 เม็ด
Enaril 5 mg 2 เม็ด (=10 mg)
Amlopine 5 mg 1 เม็ด
Nootropil 800 mg 1 เม็ด
Vanta 1 เม็ด (วิตามิน B1-6-12)
กลางวัน ICAPS 1 เม็ด (วิตามิน)
Vanta 1 เม็ด (วิตามิน B1-6-12)
เย็น Zimmex 10 mg เม็ด
Enaril 5 mg 2 เม็ด (=10 mg)
Amlopine 5 mg 1 เม็ด
Nootropil 800 mg 1 เม็ด
Vanta 1 เม็ด (วิตามิน B1-6-12)
ช่วงที่รักษาในโรงพยาบาล ก็มี Trigyceride สูงถึง 343 คุณหมอก็เลยให้ Zimmex ทานตั้งแต่ตอนนั้น เช็คหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน TG อยู่ที่ประมาณ 119 LDL อยู่ที่ประมาณ 70 กว่าๆ
1. อยากทราบว่าผลข้างเคียงของยามีอะไรที่ควรระวังหรือไม่
2. ช่วงนี้ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ปวดหัวบ่อย มีอะไรน่าเป็นห่วงไหมครับ ถามคุณหมอที่รักษาเขาก็บอกว่าเกิดขึ้นได้ แต่อาการอย่างอื่นเช่นวิงเวียนหรืออาเจียนไม่มี
3. มีอาการปวด[กล้ามเนื้อ]แขนขาด้านที่เป็นด้วย ท่านก็ทายาจำพวก counter pain เองบ่อยๆ (จริงๆแล้วยาที่ใช้คือ Sancago) อยากทราบว่าอาการนี้เป็นอาการปกติของคนเป็นอัมพฤกษ์หรือเปล่าครับ เป็นอาการชั่วคราวหรือเปล่าครับ หรือเป็นอาการถาวร มีวิธีรักษาให้หายไหมครับ
4. ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ รู้สึกว่าแขนขาด้านที่เป็นจะกระตุกตลอดเวลา ทั้งที่คนอื่นเห็นว่าปกติดี อาการนี้จะยิ่งถูกกระตุ้นด้วย ลม หรือ แอร์ ปกติท่านนี้ก็ค่อนข้างจะไม่ชอบความเย็นอยู่แล้ว แต่ก่อนก็ไม่ชอบนอนแอร์ อยากทราบว่าเท่าที่พี่หมอทั้งหลายเคยผ่านมา เคยเจออาการแบบนี้ไหมครับ มีคำแนะนำไหมครับ เป็นอาการช่วงร่างกายฟื้นตัวหรือเปล่าครับ หรือเป็นอาการที่หายยาก เป็นอาการเกี่ยวกับระบบประสาทหรือเปล่าครับ (อย่าง Parkinsons จะมีอาการที่กล้ามเนื้อสั่น แต่นี่กล้ามเนื้อไม่สั่นแต่ท่านรู้สึกเองว่าสั่น) มีวิธีรักษาให้หายไหมครับ
5. หมอที่ดูแลท่านหนึ่ง (มีมากกว่าหนึ่งท่าน) เคยแนะนำว่า เนื่องจากเป็นอาการนี้แล้ว ความดันควรคุมให้ได้ในระดับนี้ นอกจากไม่ให้สูงกว่านี้แล้ว ยังไม่ควรต่ำกว่า 140/80 ด้วย (เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ) คำถามคือ บางที (แต่ไม่บ่อย) ความดันอยู่ที่ 120/70 อยากทราบว่าเป็นอันตรายไหมครับ ควรปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานะการณ์นั้นครับ
6. ช่วยแนะนำเรื่องโภชนาการด้วยครับ เท่าที่ทราบคือการทานผักและผลไม้จะมีประโยชน์มาก หลีกเลี่ยงเกลือ (ตอนนี้ก็แทบจะงดอยู่แล้ว) ไข่แดงก็ไม่ทาน ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก ช่วยแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ
7. ปัญหาของตานี้ได้ยินมาว่าจะฟื้นฟูได้น้อยกว่าของแขนขา จริงแค่ไหนครับ โอกาสการมองเห็นดีขึ้นจะมีไหมครับ ช่วยให้คำแนะนำด้วยครับ
8. อยากทราบว่าการใช้ Alternative Method of Treatment เข้าช่วยโดยไม่ทิ้งการรักษาแบบแผนปัจจุบันจะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพได้ไหมครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ (และถ้าช่วย ควรใช้ Method ไหนบ้างครับ)
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ อยากให้พี่หมอทุกท่านช่วยๆกันตอบครับ
ป.ล. มี website ไหนให้ศึกษาเพิ่มเติมไหมครับ
คือเมื่อปลายเมษา 2549 มีญาติผู้ใหญ่ของผมท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิง อายุประมาณ 70 เกิดภาวะเส้นโลหิตในสมองตีบตัน เนื่องความดันโลหิตสูง ส่งผลให้เป็นอัมพฤกษ์ด้านซ้าย แต่ไม่หนักมาก (Motor Response ด้านซ้ายระดับ 4++) และสูญเสียการมองเห็นบางส่วน (ซีกซ้ายของตาทั้งสองข้าง) หลังจากได้รับการรักษาอยู่ช่วงหนึ่งก็ออกจากโรงพยาบาลมาเริ่มทำกายภาพบำบัดที่บ้าน พอเดินเหินได้ แต่ความดันโลหิตก็ยังเดี๋ยวสูงเดี๋ยวพอดี จนปรับยาให้เข้าที่ความดันจึงอยู่ในระดับประมาณ 140-150/80-90
ยาที่รับประทานปัจจุบันคือ
เช้า Plavix 75 mg 1 เม็ด
Enaril 5 mg 2 เม็ด (=10 mg)
Amlopine 5 mg 1 เม็ด
Nootropil 800 mg 1 เม็ด
Vanta 1 เม็ด (วิตามิน B1-6-12)
กลางวัน ICAPS 1 เม็ด (วิตามิน)
Vanta 1 เม็ด (วิตามิน B1-6-12)
เย็น Zimmex 10 mg เม็ด
Enaril 5 mg 2 เม็ด (=10 mg)
Amlopine 5 mg 1 เม็ด
Nootropil 800 mg 1 เม็ด
Vanta 1 เม็ด (วิตามิน B1-6-12)
ช่วงที่รักษาในโรงพยาบาล ก็มี Trigyceride สูงถึง 343 คุณหมอก็เลยให้ Zimmex ทานตั้งแต่ตอนนั้น เช็คหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน TG อยู่ที่ประมาณ 119 LDL อยู่ที่ประมาณ 70 กว่าๆ
1. อยากทราบว่าผลข้างเคียงของยามีอะไรที่ควรระวังหรือไม่
2. ช่วงนี้ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ปวดหัวบ่อย มีอะไรน่าเป็นห่วงไหมครับ ถามคุณหมอที่รักษาเขาก็บอกว่าเกิดขึ้นได้ แต่อาการอย่างอื่นเช่นวิงเวียนหรืออาเจียนไม่มี
3. มีอาการปวด[กล้ามเนื้อ]แขนขาด้านที่เป็นด้วย ท่านก็ทายาจำพวก counter pain เองบ่อยๆ (จริงๆแล้วยาที่ใช้คือ Sancago) อยากทราบว่าอาการนี้เป็นอาการปกติของคนเป็นอัมพฤกษ์หรือเปล่าครับ เป็นอาการชั่วคราวหรือเปล่าครับ หรือเป็นอาการถาวร มีวิธีรักษาให้หายไหมครับ
4. ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ รู้สึกว่าแขนขาด้านที่เป็นจะกระตุกตลอดเวลา ทั้งที่คนอื่นเห็นว่าปกติดี อาการนี้จะยิ่งถูกกระตุ้นด้วย ลม หรือ แอร์ ปกติท่านนี้ก็ค่อนข้างจะไม่ชอบความเย็นอยู่แล้ว แต่ก่อนก็ไม่ชอบนอนแอร์ อยากทราบว่าเท่าที่พี่หมอทั้งหลายเคยผ่านมา เคยเจออาการแบบนี้ไหมครับ มีคำแนะนำไหมครับ เป็นอาการช่วงร่างกายฟื้นตัวหรือเปล่าครับ หรือเป็นอาการที่หายยาก เป็นอาการเกี่ยวกับระบบประสาทหรือเปล่าครับ (อย่าง Parkinsons จะมีอาการที่กล้ามเนื้อสั่น แต่นี่กล้ามเนื้อไม่สั่นแต่ท่านรู้สึกเองว่าสั่น) มีวิธีรักษาให้หายไหมครับ
5. หมอที่ดูแลท่านหนึ่ง (มีมากกว่าหนึ่งท่าน) เคยแนะนำว่า เนื่องจากเป็นอาการนี้แล้ว ความดันควรคุมให้ได้ในระดับนี้ นอกจากไม่ให้สูงกว่านี้แล้ว ยังไม่ควรต่ำกว่า 140/80 ด้วย (เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ) คำถามคือ บางที (แต่ไม่บ่อย) ความดันอยู่ที่ 120/70 อยากทราบว่าเป็นอันตรายไหมครับ ควรปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานะการณ์นั้นครับ
6. ช่วยแนะนำเรื่องโภชนาการด้วยครับ เท่าที่ทราบคือการทานผักและผลไม้จะมีประโยชน์มาก หลีกเลี่ยงเกลือ (ตอนนี้ก็แทบจะงดอยู่แล้ว) ไข่แดงก็ไม่ทาน ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก ช่วยแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ
7. ปัญหาของตานี้ได้ยินมาว่าจะฟื้นฟูได้น้อยกว่าของแขนขา จริงแค่ไหนครับ โอกาสการมองเห็นดีขึ้นจะมีไหมครับ ช่วยให้คำแนะนำด้วยครับ
8. อยากทราบว่าการใช้ Alternative Method of Treatment เข้าช่วยโดยไม่ทิ้งการรักษาแบบแผนปัจจุบันจะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพได้ไหมครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ (และถ้าช่วย ควรใช้ Method ไหนบ้างครับ)
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ อยากให้พี่หมอทุกท่านช่วยๆกันตอบครับ
ป.ล. มี website ไหนให้ศึกษาเพิ่มเติมไหมครับ
รักในหลวงครับ
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
โพสต์ที่ 2
รอพี่หมอมาตอบครับ
ท่านละข้อ สองข้อก็ยังดี
ท่านละข้อ สองข้อก็ยังดี
รักในหลวงครับ
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
โพสต์ที่ 4
ผมไม่ใช่ Neurologist เป็นเพียงอายุรแพทย์ทั่งไป แต่พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ขออนุญาตตอบแล้วกันนะครับ 8)
1.ผลข้างเคียงของยา.. -กลุ่มวิตามิน คงไม่มีปัญหาใดๆ โดยเฉพาะวิตามินส่วนใหญ่ที่ใช้นี้เป็นวิตามินบี ซึ่งละลายได้ในน้ำ สามารถปัสสาวะทิ้งออกมาได้ไม่มีสะสม
-Plavix ชื่อสามัญทางยา คือ Clopidogrel เป็นยากลุ่มที่เรียกว่า ยาต้านเกล็ดเลือด( Antiplatelet aggregation) ซึ่งเป็นยาที่ออกใหม่ไม่นานมานี้ จะมีที่ใช้บ่อยมากคืทางด้านโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่มำหรับโรคเส้นเลือดในสมองตีบ โดยทั่งไปเรายังมักใช้ยา Aspirin มากกว่า เนื่องจากราคาถูกกว่ามาก แต่ได้ผลการรักษาไม่แตกต่างกัน (ปัจจุบันเท่าที่ทราบ ยังไม่มียาต้านเกร็ดเลือดใด ได้ผลการป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ดีกว่ากันในทางคลินิก จะเลือกใช้ตัวใดก็ได้) ข้อที่จะพิจารณาเลือกใช้ก็คือ ผู้ป่วยไม่สามารถกินยา Aspirin ได้เนื่องจากเกิดอาการข้างเคียงทางกระเพาะอาหาร สำหรับอาการข้างเคียงของ Plavix นั้นเท่าที่ดูจากข้อมูลมีน้อย ยกเว้นเรื่องของต้องระวังภาวะเลือดออกง่าย ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงประจำกลุ่มยาอยู่แล้ว ลองศึกษาเพิ่มเติมจาก http://www.drugs.com/plavix.html
-Nootropril เป็นยากลุ่มที่เรียกว่า Nootropics ชื่อสามัญทางยาคือ Piracetam มีหลักฐานว่าช่วยเรื่อง การทำงานของสมองในหลายๆด้าน เช่นความจำ ความคิดต่างๆ ในผู้สูงอายุที่เริ่มมีภาวะสมองเสื่อม เส้นโลหิตในสมองตีบ อาการข้างเคียง นั้นน้อยมาก ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question ... 2584&gid=7
http://www.piracetam.com/
-Enalapril เป็นยาลดความดัน ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง อาการข้างเคียงประจำกลุ่มยา( เป็นยากลุ่มที่เรียกว่าACE inhibitor) คือ อาการไอ เจอได้บ่อยพอควร(จากประสบการผมคิดว่าราวๆ 20-30%) แต่หลังจากการกินยาต่อเนื่องผ่านไปราว 1-2เดือน ส่วนใหญ่จะทนต่อยาได้ และอาการหายไปในที่สุด มีเพียงบางรายเท่านั้นต้องหยุดใช้ยา อาการไอดังกล่าวต้องแยกจากโรคของระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ก่อน ไม่ใช่คิดว่าเป็นจากยาแล้วให้หยุดเลย เพราะถึงจะมีอาการข้างเคียงอย่างที่ว่าแต่ก็เป็นยาที่มีประโยชน์มากในการรักษา เช่นในผผู้ป่วยเบาหวานทีเริ่มมีภาวะไตเสื่อมการทำงานจากโรคเบาหวาน การใช้ยาตัวนี้มีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้ ในโรคเส้นโลหิตในสมองตีบ ก็มีประโยชน์ช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ มีข้อห้ามใช้เลยคือในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงที่ไตตีบทั้งสองข้าง(Bilateral arterial stenosis) http://www.drugs.com/enalapril.html
-Amlodipine เป็นยาลดความดันกลุ่มที่เรียกว่า Calcium channel blocker ยาตัวนี้เป็นยารุ่นใหม่ในกลุ่มนี้ที่ออกมาลบล้างข้อด้อยของยารุ่มเก่า เช่นAdalat(ชื่อสามัญคือ Nifedipine) เพราะยาออกฤทธิ์นาน กินแค่วันละครั้งจึงไม่ทำให้ความดัน สวิงขึ้นลง ลดปัญหาการเกิดอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง(Flushing) อาการใจสั่น อาการวูบเพราะความดันโลหิตต่ำเร็วไป และไม่มีข้อเสียที่สำคัญคือไม่เพิ่มอัตราการเสียชีวิตในรายที่ผู้ป่วยมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย( มีการศึกษาในระยะหลัง หลังจากที่มีการใช้ยา Nifedipine มาระยะหนึ่งพบว่าเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มคนไข้โรคความดันโลหิตสูงที่มีโรคเส้นเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย เนื่องจากยาไปทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียเท่ากับไป เฆี่ยนหัวใจ ให้วิ่งเร็วขึ้น เลยกระตุ้นให้เกิด Heart attack มากขึ้น) จึงเป็นยาตัวหนึ่งที่ปัจจุบันใช้กันมาก และมียา local made ให้แพทย์ใช้ ซึ่งยามีราคาประหยัด อาการข้างเคียงมีเจอบ้างแต่น้อยมากครับ เช่น ปวดหัว บวม อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ http://search.drugs.com/search.php
-Zimmex ชื่อสามัญทางยาคือ Simvastatin เป็นยาลดไขมันกลุ่มที่เรียกว่า HMG-coA reductase inhibitor เป็นยาลดไขมันทีมีประสิทธิภาพดี ราคาประหยัด(มียา local made ราคาไม่แพงให้แพทย์ใช้ และอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ) จะลดไขมันคลอเรสเตอรอลได้ดีกว่าลดไตรกลีเซอร์ไรด์ มีหลักฐานยืนยันว่า ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบกลับเป็นซ้ำได้ มีข้อต้องระวังคือ บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออักเสบที่เรียกว่า Rhabdomyositis ซึ่งจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะตามแขนขา กล้ามเนื้อต้นแขนต้นขาอ่อนแรง เช่นนั่งยองๆแล้วลุกขึ้นจะลุกลำบาก ยกมือหวีผมลำบาก และตรวจเลือดจะพบเอนไซม์ของกล้ามเนื้อคือ CPK สูงขึ้น บางรายอาจมีอาการตับอักเสบ และเอนไซม์ของตับ สูงขึ้น จึงเป็นข้อควรระวังสำหรับยาตัวนี้ โดยเฉพาะการเริ่มใช้ยาช่วงแรกๆ คงต้องคอยตรวจดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ของผม คิดว่าน้อยมากครับ สำหรับยากลุ่มที่ลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ดีกว่า คือยากลุ่ม Gemfibrozil หรือ Lopid แต่ประโยชน์เรื่องป้องกันเส้นเลือดสมองตีบเป็นซ้ำจะน้อยกว่ายากลุ่ม Statin
2.และข้อ 5. ขอตอบไปพร้อมกัน เรื่องอาการปวดศรีษะ คงมีสาเหตุได้มากมายต้องขึ้นอยู่กับการซักประวัติให้ได้ข้อมูลมากที่สุดจึงจะพอแยกแยะได้ว่าเป็นจากอะไรครับ แต่สำหรับคุณยาย อาจต้องมาดู เช่นอาจจะมีความเครียดและซึมเศร้าได้ครับ คนที่เป็นอัมพฤกษ์ และเป็นซีกซ้าย แสดงว่าสมองส่วนที่เป็นคือซีกขวา(สมองคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะถนัดซ้ายหรือถนัดขวาก็ตาม จะมีสมองซีกซ้ายเป็นสมองส่วนหลัก ที่เราเรียกว่า Dominant hemisphere ) ดังนั้นคุณยายจะยังพูดคุยได้ รู้เรื่องหมด บางครั้งคนเคยทำอะไรได้แล้วมาเกิดภาวะพิการก้ทำให้เกิดความเครียดได้ บางรายก็มีอารณ์แปรปรวน เป็นเรื่องที่หมอที่ดูแล และญาติต้องเข้าใจ และช่วย support ด้านจิตใจมากๆ และที่สำคัญคืออย่าให้อุดอู้อยู่แต่บนเตียง และในบ้าน ต้องพาออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์บ่อยๆ ส่วนปัญหาอื่นที่อาจเป็นสาเหตุ ก็คือเรื่องความดันโลหิตสูง ที่ยังอาจควบคุมได้ไม่เข้าเป้าหมาย โดยปกติ เป้าหมายในการควบคุมความดันโลหิต ควรจะให้ต่ำกว่า 140/90mmHg โดยเฉพาะในรายที่เป็นโรคเบาหวานควรต่ำกว่า 130/85 ยิ่งในรายที่เป็นเบาหวานร่วมกับการเสื่อมของไตไปแล้ว ยิ่งต้องควบคุมให้ต่ำกว่า 120/75 ด้วย เนื่องจากการปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่นานๆ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำของโรคหลอเลือสมองตีบ อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับแต่ละรายด้วยครับ เพราะบางคนหมอพยายามลดความดันลงสู่เป้าหมายแล้ว ผู้ป่วยบ่นเรื่องเวียนศีรษะหน้ามืดบ่อยๆ ก็อาจต้องระวัง และค่อยๆ ลดลง หรืออาจต้องให้ไม่ต่ำเกินไป สำหรับที่ของคุณยายที่น้องเล่ามา ผมว่าก็ดีแล้วนะครับ ออกจะสูงไปหน่อยด้วยซ้ำ คงไม่ต้องกังวลว่าจะต่ำเกินไป อีกเรื่องหนึ่งคือ การวัดความดันควรวัดอย่างถูกต้อง เช่นวัดในที่สงบ ต้องนอนพักหรือนั่งพักไม่น้อยกว่า 15-20นาทีก่อนการวัด ต้องไม่กินอาหารที่มีคาเฟอีน วัดในท่านอนราบหรือนั่งก็ได้โดยเครื่องวัดต้องอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ จึงจะได้ตัวเลขที่ถูกต้อง และความดันโดยปกติก็จะไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลาอยู่แล้วครับ คือความดันในตอนเช้ามักจะต่ำที่สุด
ข้อ 3 และ 4 ขอตอบไปด้วยกัน เรื่องอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อนั้น โดยเฉพาะด้านที่เป็นอ่อนแรงจะต้องพบอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติครับ เราเรียกว่า อาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง( Spasticity) และภาวะกล้ามเนื้อยึด( Contracture) โดยแขนขาข้างที่อ่อนแรงจะพบว่ามีอาการเกร็งยึดอยู่ในท่างอศอก งอมือ และกำมือ รวมทั้งขาจะเหยียดเกร็งทั้งบริเวณสะโพก เข่า และข้อเท้า(แต่บางราย งอสะโพก งอเข่าก็มี) ภาวะเกร็งนี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะพยายามแก้ไขภาวะอ่อนแรง จะเห็นได้ว่าการมี spasticity จะช่วยให้ผู้ป่วยเดินได้กว่าผู้ที่มีอาการตึงของกล้ามเนื้อลดลงทั้งที่มีการอ่อนแรงเท่าๆ กัน ดังนั้นการทีมี spasticity ในขนาดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีนะครับ น้องไพรวัลย์ อย่างไรก็ตาม หากกาเกร็งมีมากเกินไป อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดเกร็งได้ และทำให้การทำกายภาพบำบัดทำได้ลำบาก และเกิดการยึ้ดติดของข้อได้ หากพบว่ามีอาการปวดเกร็งมากไป อาจพิจารณาใช้ยาลดเกร็ง เช่น Clonazepam หรือกลุ่ม benzodiazepine หรือ Baclofen ได้ แต่ข้อเสียคือต้องระวัง ง่วงซึม นอกจากนั้นยังต้องคอยพยายามขยับเขยื่อนข้อและกล้ามเนื้อบ่อยๆ ครับจึงจะป้องกันได้ดีที่สุด ประเด็นอื่นๆ ก็อย่างที่เล่าไปแล้วว่า ยากลุ่ม Statin อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออักเสบได้ หากสงสัยอาจต้องลองเจาะเลือดตรวจเอนไซม์ของกล้ามเนื้อ คือ CPK ดูครับ หากพบว่ามี อาจต้องหยุดยา
6.เรื่องโภชนาการ ก็ทั่วๆไปครับ พยายามกินอาหารครบห้าหมู่ แต่ต้องระวัง หวานมัน เค็มรสจัด เพราะเสี่ยงต่อการเป็นมากขึ้นของโรคเส้นเลือดตีบ เรื่องเกลือไม่เติมเพิ่มเลยก็ดีแล้ว เพราะจะช่วยเรื่องการคุมความดัน แต่ต้องระวังเหมือนกัน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางสมองโดยเฉพาะในระยะแรกๆ ที่การทำงานของสมองยังไม่เข้าที่ อาจพบภาวะเกลือ Sodium ในร่ายกายต่ำ อันอาจเกิดจากภาวะที่เรียกว่า SIADH(Syndrome of Inapprpriated ADH secretion) ซึ่งเป็นภาวะที่มีการหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า ADH สูงกว่าระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้มีการดูดน้ำกลับที่ไตมากขึ้น แล้วไปเจือจางเกลือในร่างกาย จนต่ำลง หากต่ำมากๆ จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตระคิว จนถึงชักหมดสติได้ ต้องลองตรวจเลือดดูระดับโซเดียมครับ หากพบว่ามีภาวะนี้ กลับต้องพยายามกินเกลือเพิ่มขึ้น และต้องลดปริมาณการกินน้ำในแต่ละวันให้น้อยลง อื่นๆก็ผักสด ผลไม้ ก็จะทำให้ได้โฟเลทสูง บำรุงประสาทและสมอง ช่วยไม่ให้ขาดแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ และกล้ามเนื้อมีแรง
ข้อ 7 ผมคิดว่าโอกาสฟื้นตัวจะยากครับ เพราะน่าจะโดยเส้นใยประสาทที่เป็นเส้นทางนำกระแสประสาทการรับภาพจากบริเวณเรตินามาแปลผลที่สมองเสียไป จากความกระทบกระเทือนของรอยโรคบริเวณนั้น สิ่งที่ต้องระวังคือ คุณยายท่านจะมองไม่เห็นวัตถุที่มาทางด้านที่ตาดับ เช่นรถยนต์ คนที่วิ่งมาชนจากด้านข้าง คงต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะปรับตัว เช่น ระมัดระวังด้านที่ตาดับเป็นพิเศษ อาจต้องสอนให้พยายามหันไปมองด้านนั้นเพื่อให้ครอบคลุมองศาการมองที่เสียไป (คล้ายๆ คนที่ตาข้าใดข้างหนึ่งบอด ก็จะมีจุดบอดที่พื้นที่การมองเห็นด้านข้างด้านนั้นจะลดลง แต่ของผู้ป่วยรายนี้จะมองเห็นทั้งสองตา แต่เห็นตาละแค่ครึ่งเดียวเรียกว่า Visual feild defect)
8.เรื่องการแพทย์ทางเลือก หรือ Alternative Medicine หรืออาหารเสริมทั้งหลาย เป็นเรื่องของความเชื่อมากกว่าครับ ผมขอนำใจความบางส่วนที่ได้อ่านมาจากหนังสือ Ambulatory Medicine ของจุฬาฯ เรื่องสารสกัด และอาหารเสริมสุขภาพ เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.มนต์ชัย ชาลาประวรรตน์ มาเล่าสู่กันฟัง
การแพทย์หลอกลวง(Quackery) หมายถึง การส่งเสริมมุ่งหวังผลกำไรจากการรักษาหรือการแพทย์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์หรือเป็นที่ทราบกันว่าไม่จริง แยกจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปฏิบัติกันมานาน แพทย์พื้นบ้านและพื้นเมือง และคำแนะนำในฐานะเพื่อนบ้านซึ่งไม่มุ่งหวังผลกำไรประโยชน์เงินทอง ในลักษณะของการมุ่งหวังผลกำไรนี้ ถ้ามีความพยายามอย่างจริงจังที่จะลวงให้เชื่อ อาจถือได้ว่าเป็นการฉ้อฉนทางการแพทย์( Health fraud) ซึ่งอีกชื่อหนึ่งที่มักใช้กันคือ การแพทย์ทางเลือก( Alternative Medicine) หมายถึงวิธีการดูแลรักษาที่ใช้ต่างไปจากแพทย์แผนปัจจุบันตามมาตรฐานของโลกตะวันตก ปัญหาของแพทย์ทางเลือกคือ ทางเลือกในการดูแลสุขภาพที่เสนอให้สังคมและประชาชนนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่เทียบเคียงเท่ากับวิธีการดูแลสุขภาพที่ใช้กันอยู่ตามมาตรฐานแพทย์แผนปัจจุบันแบบโลกตะวันตก บ่อยครั้งไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ในปัจจุบันจึงหันไปใช้คำว่า Complimentary medicine แทน เส้นแบ่งระหว่างอาหารเสริมสุขภาพ สารสกัดจากอาหาร และการหลอกลวงฉ้อฉน และการหลงเชื่อเรื่องอาหารเป็นเส้นที่บางมาก ถ้าตั้งมั่นในหลักกการที่ว่า อาหารเสริมสุขภาพหรือสารสกัดจากอาหาร ต้องมีหลักฐานจากการศึกษาวิจัยมาสนับสนุนข้ออ้างทางสุขภาพแล้ว เส้นแบ่งจะชัดเจนขึ้น สามรถบอกได้ว่า อาหารเสริมสุขภาพใดมีหลักฐานมากพอ น่าเชื่อถือมากพอที่จะแนะนำ หรือชี้ชวนให้บริโภคอาหารกลุ่มใดที่ควรรอให้หลักฐานมากขึ้น หนักแน่นมากขึ้น ก่อนที่จะแนะนำหรือชี้ชวนให้บริโภค และอาหารกลุ่มใดไม่ควรแนะนำหรือชี้ชวนเลย
สรุปว่าถ้าจะเลือกใช้วิธีนี้ก็ต้องพิจารณารอบคอบ ควรมีหลักฐานมากพอ อย่าตกเป็นเหยื่อง่ายๆนะครับ ในมุมมองผมไม่ถึงกับคัดค้าน แต่ต้องพิจารณาดีๆ อะไรที่ไม่เป็นโทษ ทำแล้วสบายใจ ผมว่าทำไปเถอะครับ อย่างผมมักแนะนำคนไข้ทำบุญ นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ ศึกษาธรรมะ คนไข้อยากกินอาหารเสริมใดๆ ถ้าผ่าน อย. ดูแล้วไม่มีข้อเสีย(ยกตัวอย่างพวกโสมต้องระวังในคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอย่างนี้เป็นต้น) ก็ไม่ห้ามครับ เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ขออย่าทิ้งการรักษาที่เราให้ก็พอ
ผมพยายามตอบเท่าที่ตอบได้หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากแพทย์ท่านใดจะเข้ามาตอบเพิ่มเติมเป็นวิทยาทานก็จะดีไม่น้อย ยินดีรับใช้เพื่อนๆ ชาวTVI เสมอ
1.ผลข้างเคียงของยา.. -กลุ่มวิตามิน คงไม่มีปัญหาใดๆ โดยเฉพาะวิตามินส่วนใหญ่ที่ใช้นี้เป็นวิตามินบี ซึ่งละลายได้ในน้ำ สามารถปัสสาวะทิ้งออกมาได้ไม่มีสะสม
-Plavix ชื่อสามัญทางยา คือ Clopidogrel เป็นยากลุ่มที่เรียกว่า ยาต้านเกล็ดเลือด( Antiplatelet aggregation) ซึ่งเป็นยาที่ออกใหม่ไม่นานมานี้ จะมีที่ใช้บ่อยมากคืทางด้านโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่มำหรับโรคเส้นเลือดในสมองตีบ โดยทั่งไปเรายังมักใช้ยา Aspirin มากกว่า เนื่องจากราคาถูกกว่ามาก แต่ได้ผลการรักษาไม่แตกต่างกัน (ปัจจุบันเท่าที่ทราบ ยังไม่มียาต้านเกร็ดเลือดใด ได้ผลการป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ดีกว่ากันในทางคลินิก จะเลือกใช้ตัวใดก็ได้) ข้อที่จะพิจารณาเลือกใช้ก็คือ ผู้ป่วยไม่สามารถกินยา Aspirin ได้เนื่องจากเกิดอาการข้างเคียงทางกระเพาะอาหาร สำหรับอาการข้างเคียงของ Plavix นั้นเท่าที่ดูจากข้อมูลมีน้อย ยกเว้นเรื่องของต้องระวังภาวะเลือดออกง่าย ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงประจำกลุ่มยาอยู่แล้ว ลองศึกษาเพิ่มเติมจาก http://www.drugs.com/plavix.html
-Nootropril เป็นยากลุ่มที่เรียกว่า Nootropics ชื่อสามัญทางยาคือ Piracetam มีหลักฐานว่าช่วยเรื่อง การทำงานของสมองในหลายๆด้าน เช่นความจำ ความคิดต่างๆ ในผู้สูงอายุที่เริ่มมีภาวะสมองเสื่อม เส้นโลหิตในสมองตีบ อาการข้างเคียง นั้นน้อยมาก ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question ... 2584&gid=7
http://www.piracetam.com/
-Enalapril เป็นยาลดความดัน ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง อาการข้างเคียงประจำกลุ่มยา( เป็นยากลุ่มที่เรียกว่าACE inhibitor) คือ อาการไอ เจอได้บ่อยพอควร(จากประสบการผมคิดว่าราวๆ 20-30%) แต่หลังจากการกินยาต่อเนื่องผ่านไปราว 1-2เดือน ส่วนใหญ่จะทนต่อยาได้ และอาการหายไปในที่สุด มีเพียงบางรายเท่านั้นต้องหยุดใช้ยา อาการไอดังกล่าวต้องแยกจากโรคของระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ก่อน ไม่ใช่คิดว่าเป็นจากยาแล้วให้หยุดเลย เพราะถึงจะมีอาการข้างเคียงอย่างที่ว่าแต่ก็เป็นยาที่มีประโยชน์มากในการรักษา เช่นในผผู้ป่วยเบาหวานทีเริ่มมีภาวะไตเสื่อมการทำงานจากโรคเบาหวาน การใช้ยาตัวนี้มีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้ ในโรคเส้นโลหิตในสมองตีบ ก็มีประโยชน์ช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ มีข้อห้ามใช้เลยคือในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงที่ไตตีบทั้งสองข้าง(Bilateral arterial stenosis) http://www.drugs.com/enalapril.html
-Amlodipine เป็นยาลดความดันกลุ่มที่เรียกว่า Calcium channel blocker ยาตัวนี้เป็นยารุ่นใหม่ในกลุ่มนี้ที่ออกมาลบล้างข้อด้อยของยารุ่มเก่า เช่นAdalat(ชื่อสามัญคือ Nifedipine) เพราะยาออกฤทธิ์นาน กินแค่วันละครั้งจึงไม่ทำให้ความดัน สวิงขึ้นลง ลดปัญหาการเกิดอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง(Flushing) อาการใจสั่น อาการวูบเพราะความดันโลหิตต่ำเร็วไป และไม่มีข้อเสียที่สำคัญคือไม่เพิ่มอัตราการเสียชีวิตในรายที่ผู้ป่วยมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย( มีการศึกษาในระยะหลัง หลังจากที่มีการใช้ยา Nifedipine มาระยะหนึ่งพบว่าเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มคนไข้โรคความดันโลหิตสูงที่มีโรคเส้นเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย เนื่องจากยาไปทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียเท่ากับไป เฆี่ยนหัวใจ ให้วิ่งเร็วขึ้น เลยกระตุ้นให้เกิด Heart attack มากขึ้น) จึงเป็นยาตัวหนึ่งที่ปัจจุบันใช้กันมาก และมียา local made ให้แพทย์ใช้ ซึ่งยามีราคาประหยัด อาการข้างเคียงมีเจอบ้างแต่น้อยมากครับ เช่น ปวดหัว บวม อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ http://search.drugs.com/search.php
-Zimmex ชื่อสามัญทางยาคือ Simvastatin เป็นยาลดไขมันกลุ่มที่เรียกว่า HMG-coA reductase inhibitor เป็นยาลดไขมันทีมีประสิทธิภาพดี ราคาประหยัด(มียา local made ราคาไม่แพงให้แพทย์ใช้ และอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ) จะลดไขมันคลอเรสเตอรอลได้ดีกว่าลดไตรกลีเซอร์ไรด์ มีหลักฐานยืนยันว่า ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบกลับเป็นซ้ำได้ มีข้อต้องระวังคือ บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออักเสบที่เรียกว่า Rhabdomyositis ซึ่งจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะตามแขนขา กล้ามเนื้อต้นแขนต้นขาอ่อนแรง เช่นนั่งยองๆแล้วลุกขึ้นจะลุกลำบาก ยกมือหวีผมลำบาก และตรวจเลือดจะพบเอนไซม์ของกล้ามเนื้อคือ CPK สูงขึ้น บางรายอาจมีอาการตับอักเสบ และเอนไซม์ของตับ สูงขึ้น จึงเป็นข้อควรระวังสำหรับยาตัวนี้ โดยเฉพาะการเริ่มใช้ยาช่วงแรกๆ คงต้องคอยตรวจดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ของผม คิดว่าน้อยมากครับ สำหรับยากลุ่มที่ลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ดีกว่า คือยากลุ่ม Gemfibrozil หรือ Lopid แต่ประโยชน์เรื่องป้องกันเส้นเลือดสมองตีบเป็นซ้ำจะน้อยกว่ายากลุ่ม Statin
2.และข้อ 5. ขอตอบไปพร้อมกัน เรื่องอาการปวดศรีษะ คงมีสาเหตุได้มากมายต้องขึ้นอยู่กับการซักประวัติให้ได้ข้อมูลมากที่สุดจึงจะพอแยกแยะได้ว่าเป็นจากอะไรครับ แต่สำหรับคุณยาย อาจต้องมาดู เช่นอาจจะมีความเครียดและซึมเศร้าได้ครับ คนที่เป็นอัมพฤกษ์ และเป็นซีกซ้าย แสดงว่าสมองส่วนที่เป็นคือซีกขวา(สมองคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะถนัดซ้ายหรือถนัดขวาก็ตาม จะมีสมองซีกซ้ายเป็นสมองส่วนหลัก ที่เราเรียกว่า Dominant hemisphere ) ดังนั้นคุณยายจะยังพูดคุยได้ รู้เรื่องหมด บางครั้งคนเคยทำอะไรได้แล้วมาเกิดภาวะพิการก้ทำให้เกิดความเครียดได้ บางรายก็มีอารณ์แปรปรวน เป็นเรื่องที่หมอที่ดูแล และญาติต้องเข้าใจ และช่วย support ด้านจิตใจมากๆ และที่สำคัญคืออย่าให้อุดอู้อยู่แต่บนเตียง และในบ้าน ต้องพาออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์บ่อยๆ ส่วนปัญหาอื่นที่อาจเป็นสาเหตุ ก็คือเรื่องความดันโลหิตสูง ที่ยังอาจควบคุมได้ไม่เข้าเป้าหมาย โดยปกติ เป้าหมายในการควบคุมความดันโลหิต ควรจะให้ต่ำกว่า 140/90mmHg โดยเฉพาะในรายที่เป็นโรคเบาหวานควรต่ำกว่า 130/85 ยิ่งในรายที่เป็นเบาหวานร่วมกับการเสื่อมของไตไปแล้ว ยิ่งต้องควบคุมให้ต่ำกว่า 120/75 ด้วย เนื่องจากการปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่นานๆ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำของโรคหลอเลือสมองตีบ อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับแต่ละรายด้วยครับ เพราะบางคนหมอพยายามลดความดันลงสู่เป้าหมายแล้ว ผู้ป่วยบ่นเรื่องเวียนศีรษะหน้ามืดบ่อยๆ ก็อาจต้องระวัง และค่อยๆ ลดลง หรืออาจต้องให้ไม่ต่ำเกินไป สำหรับที่ของคุณยายที่น้องเล่ามา ผมว่าก็ดีแล้วนะครับ ออกจะสูงไปหน่อยด้วยซ้ำ คงไม่ต้องกังวลว่าจะต่ำเกินไป อีกเรื่องหนึ่งคือ การวัดความดันควรวัดอย่างถูกต้อง เช่นวัดในที่สงบ ต้องนอนพักหรือนั่งพักไม่น้อยกว่า 15-20นาทีก่อนการวัด ต้องไม่กินอาหารที่มีคาเฟอีน วัดในท่านอนราบหรือนั่งก็ได้โดยเครื่องวัดต้องอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ จึงจะได้ตัวเลขที่ถูกต้อง และความดันโดยปกติก็จะไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลาอยู่แล้วครับ คือความดันในตอนเช้ามักจะต่ำที่สุด
ข้อ 3 และ 4 ขอตอบไปด้วยกัน เรื่องอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อนั้น โดยเฉพาะด้านที่เป็นอ่อนแรงจะต้องพบอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติครับ เราเรียกว่า อาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง( Spasticity) และภาวะกล้ามเนื้อยึด( Contracture) โดยแขนขาข้างที่อ่อนแรงจะพบว่ามีอาการเกร็งยึดอยู่ในท่างอศอก งอมือ และกำมือ รวมทั้งขาจะเหยียดเกร็งทั้งบริเวณสะโพก เข่า และข้อเท้า(แต่บางราย งอสะโพก งอเข่าก็มี) ภาวะเกร็งนี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะพยายามแก้ไขภาวะอ่อนแรง จะเห็นได้ว่าการมี spasticity จะช่วยให้ผู้ป่วยเดินได้กว่าผู้ที่มีอาการตึงของกล้ามเนื้อลดลงทั้งที่มีการอ่อนแรงเท่าๆ กัน ดังนั้นการทีมี spasticity ในขนาดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีนะครับ น้องไพรวัลย์ อย่างไรก็ตาม หากกาเกร็งมีมากเกินไป อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดเกร็งได้ และทำให้การทำกายภาพบำบัดทำได้ลำบาก และเกิดการยึ้ดติดของข้อได้ หากพบว่ามีอาการปวดเกร็งมากไป อาจพิจารณาใช้ยาลดเกร็ง เช่น Clonazepam หรือกลุ่ม benzodiazepine หรือ Baclofen ได้ แต่ข้อเสียคือต้องระวัง ง่วงซึม นอกจากนั้นยังต้องคอยพยายามขยับเขยื่อนข้อและกล้ามเนื้อบ่อยๆ ครับจึงจะป้องกันได้ดีที่สุด ประเด็นอื่นๆ ก็อย่างที่เล่าไปแล้วว่า ยากลุ่ม Statin อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออักเสบได้ หากสงสัยอาจต้องลองเจาะเลือดตรวจเอนไซม์ของกล้ามเนื้อ คือ CPK ดูครับ หากพบว่ามี อาจต้องหยุดยา
6.เรื่องโภชนาการ ก็ทั่วๆไปครับ พยายามกินอาหารครบห้าหมู่ แต่ต้องระวัง หวานมัน เค็มรสจัด เพราะเสี่ยงต่อการเป็นมากขึ้นของโรคเส้นเลือดตีบ เรื่องเกลือไม่เติมเพิ่มเลยก็ดีแล้ว เพราะจะช่วยเรื่องการคุมความดัน แต่ต้องระวังเหมือนกัน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางสมองโดยเฉพาะในระยะแรกๆ ที่การทำงานของสมองยังไม่เข้าที่ อาจพบภาวะเกลือ Sodium ในร่ายกายต่ำ อันอาจเกิดจากภาวะที่เรียกว่า SIADH(Syndrome of Inapprpriated ADH secretion) ซึ่งเป็นภาวะที่มีการหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า ADH สูงกว่าระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้มีการดูดน้ำกลับที่ไตมากขึ้น แล้วไปเจือจางเกลือในร่างกาย จนต่ำลง หากต่ำมากๆ จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตระคิว จนถึงชักหมดสติได้ ต้องลองตรวจเลือดดูระดับโซเดียมครับ หากพบว่ามีภาวะนี้ กลับต้องพยายามกินเกลือเพิ่มขึ้น และต้องลดปริมาณการกินน้ำในแต่ละวันให้น้อยลง อื่นๆก็ผักสด ผลไม้ ก็จะทำให้ได้โฟเลทสูง บำรุงประสาทและสมอง ช่วยไม่ให้ขาดแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ และกล้ามเนื้อมีแรง
ข้อ 7 ผมคิดว่าโอกาสฟื้นตัวจะยากครับ เพราะน่าจะโดยเส้นใยประสาทที่เป็นเส้นทางนำกระแสประสาทการรับภาพจากบริเวณเรตินามาแปลผลที่สมองเสียไป จากความกระทบกระเทือนของรอยโรคบริเวณนั้น สิ่งที่ต้องระวังคือ คุณยายท่านจะมองไม่เห็นวัตถุที่มาทางด้านที่ตาดับ เช่นรถยนต์ คนที่วิ่งมาชนจากด้านข้าง คงต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะปรับตัว เช่น ระมัดระวังด้านที่ตาดับเป็นพิเศษ อาจต้องสอนให้พยายามหันไปมองด้านนั้นเพื่อให้ครอบคลุมองศาการมองที่เสียไป (คล้ายๆ คนที่ตาข้าใดข้างหนึ่งบอด ก็จะมีจุดบอดที่พื้นที่การมองเห็นด้านข้างด้านนั้นจะลดลง แต่ของผู้ป่วยรายนี้จะมองเห็นทั้งสองตา แต่เห็นตาละแค่ครึ่งเดียวเรียกว่า Visual feild defect)
8.เรื่องการแพทย์ทางเลือก หรือ Alternative Medicine หรืออาหารเสริมทั้งหลาย เป็นเรื่องของความเชื่อมากกว่าครับ ผมขอนำใจความบางส่วนที่ได้อ่านมาจากหนังสือ Ambulatory Medicine ของจุฬาฯ เรื่องสารสกัด และอาหารเสริมสุขภาพ เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.มนต์ชัย ชาลาประวรรตน์ มาเล่าสู่กันฟัง
การแพทย์หลอกลวง(Quackery) หมายถึง การส่งเสริมมุ่งหวังผลกำไรจากการรักษาหรือการแพทย์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์หรือเป็นที่ทราบกันว่าไม่จริง แยกจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปฏิบัติกันมานาน แพทย์พื้นบ้านและพื้นเมือง และคำแนะนำในฐานะเพื่อนบ้านซึ่งไม่มุ่งหวังผลกำไรประโยชน์เงินทอง ในลักษณะของการมุ่งหวังผลกำไรนี้ ถ้ามีความพยายามอย่างจริงจังที่จะลวงให้เชื่อ อาจถือได้ว่าเป็นการฉ้อฉนทางการแพทย์( Health fraud) ซึ่งอีกชื่อหนึ่งที่มักใช้กันคือ การแพทย์ทางเลือก( Alternative Medicine) หมายถึงวิธีการดูแลรักษาที่ใช้ต่างไปจากแพทย์แผนปัจจุบันตามมาตรฐานของโลกตะวันตก ปัญหาของแพทย์ทางเลือกคือ ทางเลือกในการดูแลสุขภาพที่เสนอให้สังคมและประชาชนนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่เทียบเคียงเท่ากับวิธีการดูแลสุขภาพที่ใช้กันอยู่ตามมาตรฐานแพทย์แผนปัจจุบันแบบโลกตะวันตก บ่อยครั้งไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ในปัจจุบันจึงหันไปใช้คำว่า Complimentary medicine แทน เส้นแบ่งระหว่างอาหารเสริมสุขภาพ สารสกัดจากอาหาร และการหลอกลวงฉ้อฉน และการหลงเชื่อเรื่องอาหารเป็นเส้นที่บางมาก ถ้าตั้งมั่นในหลักกการที่ว่า อาหารเสริมสุขภาพหรือสารสกัดจากอาหาร ต้องมีหลักฐานจากการศึกษาวิจัยมาสนับสนุนข้ออ้างทางสุขภาพแล้ว เส้นแบ่งจะชัดเจนขึ้น สามรถบอกได้ว่า อาหารเสริมสุขภาพใดมีหลักฐานมากพอ น่าเชื่อถือมากพอที่จะแนะนำ หรือชี้ชวนให้บริโภคอาหารกลุ่มใดที่ควรรอให้หลักฐานมากขึ้น หนักแน่นมากขึ้น ก่อนที่จะแนะนำหรือชี้ชวนให้บริโภค และอาหารกลุ่มใดไม่ควรแนะนำหรือชี้ชวนเลย
สรุปว่าถ้าจะเลือกใช้วิธีนี้ก็ต้องพิจารณารอบคอบ ควรมีหลักฐานมากพอ อย่าตกเป็นเหยื่อง่ายๆนะครับ ในมุมมองผมไม่ถึงกับคัดค้าน แต่ต้องพิจารณาดีๆ อะไรที่ไม่เป็นโทษ ทำแล้วสบายใจ ผมว่าทำไปเถอะครับ อย่างผมมักแนะนำคนไข้ทำบุญ นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ ศึกษาธรรมะ คนไข้อยากกินอาหารเสริมใดๆ ถ้าผ่าน อย. ดูแล้วไม่มีข้อเสีย(ยกตัวอย่างพวกโสมต้องระวังในคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอย่างนี้เป็นต้น) ก็ไม่ห้ามครับ เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ขออย่าทิ้งการรักษาที่เราให้ก็พอ
ผมพยายามตอบเท่าที่ตอบได้หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากแพทย์ท่านใดจะเข้ามาตอบเพิ่มเติมเป็นวิทยาทานก็จะดีไม่น้อย ยินดีรับใช้เพื่อนๆ ชาวTVI เสมอ

- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับพี่หมอชาตรี (ซาบซึ้ง) (จริงๆแล้วแอบลุ้นว่าถามไปซะยืดยาวจะมีคนมาตอบไหมหนอ)
อ่านคร่าวๆแล้วครับหนึ่งที เดี๋ยวจะกลับมาอ่านใหม่อย่างตั้งใจเวลามี'มาธิมากกว่านี้ครับ
พี่หมอท่านอื่นๆช่วยเสริมด้วยก็ได้ครับ

อ่านคร่าวๆแล้วครับหนึ่งที เดี๋ยวจะกลับมาอ่านใหม่อย่างตั้งใจเวลามี'มาธิมากกว่านี้ครับ
พี่หมอท่านอื่นๆช่วยเสริมด้วยก็ได้ครับ

รักในหลวงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
โพสต์ที่ 7
เคยได้คุยกับคุณหมอท่านหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าผมจำมาถูกหรือไม่นะครับ
มันเป็นอาการที่เกิดจากระบบเลือดไม่สามารถไปถึงระบบต่างๆของอวัยวะส่วนนั้นไม่ได้ดี ทำให้ส่งผลถึงระบบอื่นๆ เช่น ระบบประสาท และเมื่อเวลานานขึ้นก็ทำให้ กลายเป็นอาการที่ขยับไม่ได้
เค้าก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องกินยาก็ได้ และให้หาผลไม้ที่บำรุงเลือดมากินแทน พอระบบเลือดดี ทุกอย่างก็จะดีด้วย
ก็ฟังมาอ่ะครับ ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร
มันเป็นอาการที่เกิดจากระบบเลือดไม่สามารถไปถึงระบบต่างๆของอวัยวะส่วนนั้นไม่ได้ดี ทำให้ส่งผลถึงระบบอื่นๆ เช่น ระบบประสาท และเมื่อเวลานานขึ้นก็ทำให้ กลายเป็นอาการที่ขยับไม่ได้
เค้าก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องกินยาก็ได้ และให้หาผลไม้ที่บำรุงเลือดมากินแทน พอระบบเลือดดี ทุกอย่างก็จะดีด้วย
ก็ฟังมาอ่ะครับ ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
อยากสอบถามพี่ๆที่เป็นหมอทุกท่านด้วยครับ (อัมพฤกษ์)
โพสต์ที่ 8
เอามาฝากเพิ่มครับ นพ.เขตม์ชัย รุ่นพี่ผมเองจบรามาฯ ปัจจุบันเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ รพ.สถาบันประสาทครับ
http://www.thaiclinic.com/braininfarct.html
http://www.thaiclinic.com/news_wine.html
8) :D
http://www.thaiclinic.com/braininfarct.html
http://www.thaiclinic.com/news_wine.html
8) :D