คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ผู้ถือหุ้นแบบผมควรดีใจหรือเสียใจกันครับเนี่ย  :lol:  :lol:  :lol:

................ กำไร vs. จริยธรรม

http://news.sanook.com/crime/crime_12111.php

เล่ห์รพ.ดูดเงินคนไข้ตรวจถี่ยิบเกินอาการ
โดย komchadluek วัน จันทร์ ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 05:34 น.

แฉกลยุทธ์โรงพยาบาลเอกชนสูบเงินคนไข้ ทั้งตรวจเกินจริง เลี้ยงไข้ ยันรักษาลูกโซ่ ระดมแพทย์วันละ 7 คน ตรวจจริงไม่เกิน 1 นาที อดีตแพทย์พิเศษเผยวิธีหารายได้แบ่งเปอร์เซ็นต์ กดดันหมอทำได้ไม่ตามเป้าให้ลาออก ทนายลำพูนจ่อฟ้องโรงพยาบาลดัง แนะแม่ป่วยเบาหวานผ่าเส้นเลือดหัวใจ จนติดเชื้อตายคามีดหมอ

ความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับผู้รับการรักษามีมากขึ้นในปัจจุบัน ไม่เฉพาะแต่โรงพยาบาลรัฐเท่านั้น แม้แต่โรงพยาบาลเอกชนเองก็เช่นเดียวกัน ล่าสุด "คม ชัด ลึก" ได้รับการร้องเรียนจากผู้ป่วยและญาติ ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนจำนวนหนึ่งว่า ต้องหมดเงินไปกับค่ารักษาทั้งที่ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลจากผู้เสียหายทางการแพทย์ ที่ประสบปัญหากับโรงพยาบาลเอกชนหลายกรณี ซึ่งส่วนใหญ่ร้องเรียนไปยังแพทยสภาสามารถสรุปได้ว่ามี 3 กลยุทธ์ ที่แพทย์โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งใช้หาผลประโยชน์เพิ่มจากคนไข้คือ


1.เทคนิคการตรวจรักษาเกินความจำเป็น (Over Treatment) หรือการแนะนำให้คนไข้ใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพง เช่น เครื่องตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI Scan) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เครื่องอัลตราซาวนด์ 4 มิติ ฯลฯ ซึ่งค่าตรวจแต่ละครั้งมีราคาตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หากคนไข้ต้องผ่าตัดก็จะแนะนำให้ใช้แพทย์หลายสาขาเข้าไปในห้องผ่าตัดพร้อมกัน

2.เทคนิคการรักษาแบบเลี้ยงไข้ (UNDER TREATMENT) หรือการรักษาแบบไม่วินิจฉัยโรคให้แน่ชัดแต่แรก แต่จะใช้วิธีเกลี้ยกล่อมให้คนไข้แอดมิท (ค้างคืน) ที่โรงพยาบาล เพื่อดูอาการโดยละเอียด หรือแนะนำคนไข้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ทั้งที่คนไข้เป็นโรคขั้นพื้นฐาน เช่น ไทฟอยด์ กระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ฯลฯ

3.เทคนิคการรักษาแบบลูกโซ่ (Over Admitting) หรือการเกลี้ยกล่อมให้ผู้ป่วยไปตรวจรักษาโรคอื่นเพิ่มเติมจากโรคที่ตั้งใจมารักษา เช่น แนะผู้ป่วยเบาหวานรักษาโรคหัวใจ หรือกรณีผู้มารักษาอาการปวดประจำเดือน แต่แพทย์แนะนำให้ผ่าตัดไส้ติ่ง ฯลฯ


น.ส.เพชรา หนึ่งในญาติผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากการตรวจรักษาเกินความจำเป็น ให้ข้อมูลว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ได้พาพ่อวัย 69 ปี ที่มีอาการเจ็บหลังเนื่องจากหกล้ม ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งแพทย์แนะนำให้ผ่าตัดและจองห้องพักให้ทันที ซึ่งการผ่าตัดใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ผู้ช่วยถึง 4 รายด้วยกัน คือ แพทย์ผ่าตัดกระดูกสันหลัง, แพทย์ผู้ช่วยซึ่งเป็นอดีตกรรมการโรงพยาบาลที่เกษียณแล้ว, แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง และวิสัญญีแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้นหลังผ่าตัดก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ผลัดเปลี่ยนมาเยี่ยมไข้ถึงวันละ 7 ราย

"หมดค่าใช้จ่ายไป 3 แสนกว่าบาท ก็พยายามถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า จำเป็นหรือไม่ที่การผ่าตัดต้องใช้แพทย์ผู้ช่วยที่เกษียณแล้ว รวมถึงแพทย์เชี่ยวชาญด้านสมอง และทำไมต้องมีแพทย์ผลัดเปลี่ยนมาเยี่ยมถึงวันละ 7 ราย เพราะแต่ละครั้งที่มาต้องเสีย 500 บาท เท่าที่จับเวลาดูเข้ามาครั้งละไม่เคยเกิน 1 นาที พอเราบ่น พยาบาลก็บอกว่าเข้าใจดี แต่ไม่กล้าและไม่รู้จะบอกหมอว่าอย่างไร เพราะคนไข้แอดมิททุกรายก็บ่นคล้ายกัน ส่วนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็อ้างว่า เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ที่อายุมากแล้ว แต่จากการสอบถามหมอที่รู้จักก็บอกว่า หากคนป่วยไม่เคยมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับสมองก็ไม่จำเป็น" น.ส.เพชรา กล่าว

เช่นเดียวกับ นางวารุณี แม่บ้านวัย 40 ปี ซึ่งมีประสบการณ์ถูกโรงพยาบาลเอกชนรักษาแบบเลี้ยงไข้ ให้ข้อมูลว่า เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2549 มีอาการท้องร่วงและมีไข้สูง จึงเข้าตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แพทย์แนะนำให้แอดมิท ไม่เช่นนั้นอาการอาจเหมือนพระเอกดัง ที่เชื้อโรคขึ้นสมองได้ ด้วยความกลัวจึงตัดสินใจนอนโรงพยาบาลทันที

นางวารุณี บอกว่า ระหว่างอยู่โรงพยาบาล มีแพทย์หลายคนมาตรวจ แล้วเจาะเลือดไปเพาะเชื้อหาสาเหตุ ผ่านไป 3 วัน อาการไข้ก็ยังไม่ดีขึ้น แพทย์อ้างว่าหาเชื้อโรคไม่เจอ พร้อมกับแนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องตับ และผู้เชี่ยวชาญเรื่องไต แต่ก็หาสาเหตุไม่เจอ เมื่อล่วงเข้าวันที่สี่ จึงบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก อาจเป็นแค่โรคไทฟอยด์ แต่ให้นอนพักรักษาต่อไปอีก 7 วัน ให้พยาบาลฉีดยา เนื่องจากไม่มียาชนิดรับประทาน คนไข้จึงไม่สามารถกลับบ้านได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกวันละ 5,000 กว่าบาท

ด้าน นายสมศักดิ์ (นามสมมติ) ทนายความจาก จ.ลำพูน เป็นผู้เสียหายอีกรายที่เกิดจากการรักษาแบบลูกโซ่ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ได้พาแม่วัย 67 ปี ไปรักษาโรคเบาหวานและทางเดินปัสสาวะติดเชื้อที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ระหว่างที่นอนโรงพยาบาล แพทย์ตรวจร่างกายและบอกแม่ว่า มีอาการของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของคนชรา แต่ไม่น่าเป็นห่วง ต่อมามีแพทย์คนหนึ่งเข้ามาตีสนิท และชักชวนให้ผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดหัวใจ อ้างว่าจะทำให้แข็งแรงอยู่ได้อีกหลายสิบปี แม่จึงมารบเร้าให้อนุญาตผ่าตัด

"แม่ผมเข้าห้องผ่าตัดวันที่ 9 พฤศจิกายน 2547 ปรากฏว่าติดเชื้อตัวใหม่สุดท้ายก็เสียชีวิต ยังต้องจ่ายค่ารักษาอีก 5 แสนบาท ตอนแรกก็งงและสับสน พอมานั่งคิดดีๆ จึงเกิดความสงสัยว่า ก่อนเข้าโรงพยาบาลแม่เป็นปกติทุกอย่าง เป็นโรคไม่ร้ายแรงทำไมต้องมาเสียชีวิตด้วย ตอนนี้กำลังทำเรื่องเรียกค่าเสียหายโรงพยาบาลเอกชนต้นเหตุต่อศาล" นายสมศักดิ์ กล่าว

อดีตแพทย์ศัลยกรรมพิเศษโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังหลายแห่ง เปิดเผยกับ "คม ชัด ลึก" ว่าตามปกติแล้วโรงพยาบาลเอกชน จะมีนโยบายแบ่งรายได้ให้แพทย์ทุกคน แบ่งเป็นเงินพิเศษสำหรับคนไข้นอกและคนไข้แอดมิท สำหรับคนไข้นอกจะมีส่วนแบ่งรายได้จากค่ารักษาทั่วไปของแพทย์ ซึ่งจะแยกรายการชัดเจนในใบเสร็จรับเงิน, ค่ายา ซึ่งได้เป็นเปอร์เซ็นต์ โรงพยาบาลแต่ละแห่งจะให้ไม่เท่ากัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 10% จากยาที่สั่งแต่ละครั้ง หากสั่งให้ใช้เครื่องตรวจเอกซเรย์หรือเครื่องมือตรวจคอมพิวเตอร์ก็จะได้ส่วนแบ่งอีกต่างหาก

แพทย์รายเดิมยังบอกด้วยว่า โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่าห้องผู้ป่วยด้วย เช่น ค่าห้องคืนละ 2,000 บาท จะได้ 500 บาท เช่นเดียวกับค่าเยี่ยมไข้อีกครั้งละ 500 บาท ส่วนค่าตรวจรักษาค่าผ่าตัดก็จะได้ต่างหาก

อดีตนายแพทย์พิเศษโรงพยาบาลเอกชนยังเปิดเผยอีกว่า โรงพยาบาลเอกชนเกือบทุกแห่งจะมีการประเมินผลงานหารายได้ของหมอ หากหมอที่ทำยอดรายได้มาก มีการสั่งเจาะตรวจโน่นตรวจนี่ทำยอดกำไรให้โรงพยายาลสูงก็จะไม่มีปัญหา ส่วนหมอที่ผลงานไม่ดี ไม่มีรายได้เสริมให้โรงพยาบาลจะถูกประเมินไม่ค่อยดีนัก สร้างความอึดอัดใจให้กับหมอที่มีคุณธรรมไม่ต้องการให้ผู้ป่วยสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุเป็นอย่างมาก

การตรวจรักษาและสั่งยาอยู่ที่การวินิจฉัยของหมอแต่ละคน ซึ่งหมอส่วนใหญ่จะเป็นคนดีมีคุณธรรม แม้ว่าผู้บริหารไม่มีนโยบายชัดเจนในเรื่องวิธีการหาเงินเข้าโรงพยาบาล แต่หมอก็จะรู้กันเองว่าต้องทำอย่างไร โดยเฉพาะพวกหมอที่เห็นแก่เงิน มองงานเป็นธุรกิจรายได้และค่าเสียเวลา เช่น มีคนกระดูกแขนหักมา หากเข้าเฝือกจะได้ค่ารักษาแค่ 1,000 บาท แต่ถ้าแนะนำให้ผ่าตัดจะได้ไม่ต่ำกว่าครั้งละ 3 หมื่นบาท ยิ่งถ้าคนไข้มีบริษัทประกันจ่าย หรือมีประกันสังคม หมอก็จะสั่งตรวจสั่งยาเต็มที่ โรงพยาบาลแต่ละแห่งจะมีวิธีกดดันหมอ โดยเฉพาะหมอที่หาเงินไม่ได้ตามเป้า ถ้าหมอคนไหนทนไม่ไหวก็จะลาออกเอง แหล่งข่าว กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2549 ศูนย์ประชามติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจำนวน 1,500 คน ในหัวข้อ ศรัทธาต่อแพทย์ พยาบาลและครูในโลก ผลปรากฏว่าร้อยละ 72 ไม่เชื่อมั่นว่าจะได้รับการรักษาจากแพทย์และพยาบาลอย่างเต็มที่โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ผู้ถูกสำรวจร้อยละ 66 ไม่เชื่อว่าโครงการ 30 บาทจะทำให้ตัวเองได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ และมีเพียงร้อยละ 34 เท่านั้นที่เชื่อว่าจะมีจำนวนทันตแพทย์เพียงพอสำหรับการให้บริการตรวจรักษาฟันประชาชนอย่างมีคุณภาพ

ด้าน พ.ญ.ประภา วงศ์แพทย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า การประกอบวิชาชีพแพทย์ถือเป็นการประกอบโรคศิลปะ เพราะคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน แพทย์แต่ละคนก็วินิจฉัยคนไข้ไม่เหมือนกัน ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนแล้วประมาณ 400 แห่ง สำหรับกลยุทธ์หาเงินของแพทย์โรงพยาบาลเอกชน 3 วิธีนั้น พ.ญ.ประภา กล่าวอธิบายว่า การตรวจรักษาเกินความจำเป็น (OVER TREATMENT) นั้น ที่จริงแล้วเป็นการตรวจรักษาที่เน้นวิธีป้องกัน เนื่องจากปัจจุบันมีเครื่องมือคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคร้าย ที่มีความหลากหลายได้รวดเร็วและปลอดภัยขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังช่วยค้นหาความผิดปกติของอวัยวะภายในได้ถูกต้องแม่นยำ คนไข้ที่มาโรงพยาบาลเอกชนต่างคาดหวังว่าจะได้รับการตรวจรักษาอย่างเต็มที่ แพทย์จึงสั่งให้ตรวจ ไม่เช่นนั้นคนไข้ส่วนใหญ่จะทักท้วงว่าทำไมไม่ตรวจ โดยเฉพาะคนไข้ที่มีประกันช่วยจ่ายค่ารักษา

พ.ญ ประภา กล่าวถึงเทคนิคการรักษาแบบเลี้ยงไข้ว่า โดยปกติแล้วหมอแต่ละท่านจะมีวิธีการสั่งยารักษาคนไข้ไม่เหมือนกัน เช่น คนไข้บางรายเป็นไข้สูง หากวินิจฉัยไม่ได้ก็ต้องสั่งเจาะเลือดตรวจดูว่าติดเชื้ออะไร หากรู้ก็สั่งยาได้ แต่ถ้าผลตรวจเชื้อโรคไม่ชัดเจนหรือไม่แน่ชัดว่าเป็นโรคอะไร หมอก็ต้องสั่งแอดมิทดูอาการ แต่หมอบางคนอาจมีวิธีการที่แตกต่าง เมื่อเห็นเป็นไข้สูงก็อาจสั่งยาปฏิชีวนะให้เลย กรณีคนไข้เป็นเด็กก็อาจสั่งให้นอนโรงพยาบาล เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อกลับบ้านจะมีผู้ดูแลที่ดีหรือไม่ ส่วนเรื่องการรักษาแบบลูกโซ่นั้นเชื่อว่า เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะบอกคนไข้ว่าเป็นโรคอะไรบ้าง โดยเฉพาะหากตรวจพบโรคอื่นเพิ่มเติม และแนะนำว่าต้องรักษาอย่างไร การตัดสินใจจะรักษาหรือไม่เป็นสิทธิของคนไข้
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

Re: คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าคร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

[quote
การตรวจรักษาและสั่งยาอยู่ที่การวินิจฉัยของหมอแต่ละคน ซึ่งหมอส่วนใหญ่จะเป็นคนดีมีคุณธรรม แม้ว่าผู้บริหารไม่มีนโยบายชัดเจนในเรื่องวิธีการหาเงินเข้าโรงพยาบาล แต่หมอก็จะรู้กันเองว่าต้องทำอย่างไร โดยเฉพาะพวกหมอที่เห็นแก่เงิน มองงานเป็นธุรกิจรายได้และค่าเสียเวลา เช่น มีคนกระดูกแขนหักมา หากเข้าเฝือกจะได้ค่ารักษาแค่ 1,000 บาท แต่ถ้าแนะนำให้ผ่าตัดจะได้ไม่ต่ำกว่าครั้งละ 3 หมื่นบาท ยิ่งถ้าคนไข้มีบริษัทประกันจ่าย หรือมีประกันสังคม หมอก็จะสั่งตรวจสั่งยาเต็มที่ โรงพยาบาลแต่ละแห่งจะมีวิธีกดดันหมอ โดยเฉพาะหมอที่หาเงินไม่ได้ตามเป้า ถ้าหมอคนไหนทนไม่ไหวก็จะลาออกเอง แหล่งข่าว กล่าว
[/quote]

มีการทำแบบนี้จริงๆเหรอครับ ????
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ประสบการณ์ที่เคยได้ยินในการพาเด็กไปหาหมอนะครับ

คุณหมอมักจะจ่ายยาแรงๆให้เด็กเกินความจำเป็น

เพราะถ้าจ่ายยาตามอาการ  เด็กอาจจะไม่หายทันที  พ่อแม่เด็กก็จะคิดว่าคุณหมอไม่เก่ง  แล้วก็เปลี่ยนให้คุณหมอท่านอื่นรักษา

คุณหมอท่านไหนที่จ่ายยาแรงๆ  เด็กก็มักจะหายทันที  คนไข้ก็จะติด  คิดว่าหมอเก่ง

แต่หารู้ไม่ว่า  เสียเงินเกินความจำเป็น  และมีโทษต่อเด็กที่ยาจะไปสะสมในร่างกาย
Dr.T
Verified User
โพสต์: 1608
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

I'm sorry to say it is true in some hospital..
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Dr.T เขียน:I'm sorry to say it is true in some hospital..
Please elaborate
ภาพประจำตัวสมาชิก
เพื่อน
Verified User
โพสต์: 1826
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เรื่องหมอผลัดกันเข้ามาตรวจ7คน/วัน นี่ญาติผมเพิ่งโดนมาไม่กี่เดือนนี่เอง ทั้งๆที่เป็นเคสธรรมดาๆของผู้ใหญ่ป่วยคนหนึ่ง มีหมอคนหนึ่งพานักศึกษาแพทย์เข้ามาดูเป็นกลุ่ม แล้วก็เซ็นต์ชื่อเก็บค่าตรวจด้วย... :roll:
Ano
Verified User
โพสต์: 306
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอ copy  บางความคิดเห็นของแพทย์จาก Thaiclinic, doctorroom มาให้อ่านแล้วกัน  

"เกิดเป็นหมอยุคนี้แสนลำบาก ถ้าผ่าคนเดียว ดูคนเดียว เกิดอะไรขึ้นก็จะโทษหมอว่าไม่ใช่โรคที่หมอเชี่ยวชาญทำไมไม่ปรึกษาหมออื่นบ้า ง ครั้นปรึกษาหาหมอคนอื่นมาช่วยก็หาว่าเป็นเล่ฆ์หาเงิน รักษาพ่อหายดีกลับบข้านได้จ่าย 3 แสนบาทก็ว่าแพง ถ้ารักษาไม่หายจะฟ้องกี่ล้านละนี่  
ส่งโดย: s,vg "

"      
สังคมมนุษย์ขี้เหม็นก็เป็นอย่างนี้แหละอยากได้ของดีที่สุดอยากได้มากๆแต่ไม่ อยากจ่าย หมอรพ.รัฐก็เจอคนไข้จ่าย30บาทแต่จะเอาทุกอย่างที่อยากได้ อยากตรวจโน่นตรวจนี่ หมอรพ.เอกชนสามารถสั่งตรวจได้สะดวกกว่าตามใจคนไข้และญาติได้มากกว่าแต่มีข้อ แม้ว่าต้องควักจ่ายเงินเป็นหลักหมื่นหลักแสน เข้ารพ.เอกชนจ่ายแพงก็สมควรแล้ว ส่วนเรื่องตรวจเกินจำเป็นยุคคนไข้ขี้ฟ้องหมอก็ตรวจหลายๆอย่างใช้หมอหลายๆคนจ ะได้ช่วยกันจ่ายเวลาถูกฟ้องไงล่ะ ...
ส่งโดย: ก็มันเป็นซะอย่างนี้"  

ส่วนเรื่องจากใช้แพทย์หลายคนในการผ่าตัดนั้นน่ะ  บางกรณีมีความจำเป็นจริง   ตามแต่ละ case    ใน รพ.ใหญ่อย่างเช่น ศิริราช  รามา จุฬา  บาง case ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 4-5 คนเข้าผ่าตัด  ไม่รวมแพทย์ดมยาอีก 2 คน   แต่ชาวบ้านไม่รู้    อย่างเช่นเด็กคนนึงจะคลอดคุณคิดว่าใช้หมอกี่คน   ในกรณีเด็กธรรมดา ใช้อย่างน้อย 3 คน  ได้แก่  หมอสูติ  หมอดมยา  หมอเด็ก
ในกรณีเด็กหรือแม่มีความผิดปกติ  อาจใช้หมอสูติ 2 คน  หมอเด็ก 2 คน  เพื่อช่วยกู้ชีวิตเด็กหลังผ่าออกมา   เรื่องนี้ชาวบ้านก็ไม่รู้เพราะตอนอยู่ในห้องผ่าตัดคนไข้ก็สลบ   ตอนตื่นมาก็ไม่มีหมอดมยา  หรือ หมอคนอื่นมาพูดหรอกว่าตัวเองก็เข้าไปช่วยด้วย  มีแต่หมอเจ้าของไข้เท่านั้นที่ไปตรวจเป็นประจำ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เรื่องหมอทำพลาดก็ต้องมีเป็นธรรมดา สาเหตุหลักเกิดจาก พวกเรากันเองแหละ ที่เชื่อแต่หมอ

อย่าไปโทษใครเลย

จริงๆเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องของตัวเราเอง และคุณหมอก็มีหน้าที่แนะนำ จนกระทั่งถึงการช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีเวลามากพอ กรณีไม่ฉุกเฉิน กรุณา สอบสองสามหมอก็ดี

เรื่องแบบนี้ น่าเสียดาย ที่คนไทย วางใจแต่หมอ ยกเรื่องสุขภาพให้หมอรับผิดชอบหมดเลย ซึ่งผิด

เพราะหมอเองยังดูแลตัวเองได้ ไม่ 100 % เลย

อืม คิดไปคิด มาผมก็โชคดีนะ ที่ตกชีวะ ไม่งั้นป่านนี้แย่เหมือนกัน
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ส่วนเรื่องขบวนการในการรักษา เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องศึกษา เคสตัวอย่างด้านบนถือว่าดีมาก และผมเองก็โชคดี ที่เพื่อนหมอเยอะ มีอะไรก็ถามเพื่อนๆเป็นประจำ

เรื่องที่ค้นพบ คือพวกหมอ ไม่เคยไว้ใจหมอด้วยกัน มักจะถามแล้วถามอีก จนกระทั่ง

การรักษาที่จำเป็นบางครั้งก็โดนเลื่อนออกไป เพราะไม่มีใครอยากทำ เนื่องจากรู้มากไป

555

โลก สมดุล
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

กรณี จ่ายยาให้เด็ก ผมเจอประจำ เพราะตัวแม่เอง ชอบอะไรที่ปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากความกลัวเกินเหตุ

ผมเองเคยพาลูกไปหาหมอ เพราะเป็นไข้ สุดท้ายเอายาวางไว้ และรอดูอาการ ผลคือ หายเอง

แต่ผมก็พาไปหาหมอเพื่อตัดโรคร้ายแรง หากมัวแต่คิดเองว่า เป็นหวัด อย่างนี้ก็อาจจะผิดได้ เนื่องจาก อาการไข้ อาจจะไม่ใช่หวัดก็ได้

และตัวผมเอง ก็เคยไปหาหมอ เกียวกับผิวหนัง หมอบอกว่า เป็นโรค xyz ชัวร์ ผมให้จดมาว่าโรคอะไร โห อะไรกัน บอกเราเป็น amyroid อาจจะสะกดผิด ประมาณว่าโรคเกียวกับ คอลลาเจน ผิดปกติ

สุดท้าย ผมไม่ใช่ยา ที่ให้คือสเตรีลอย แล้วก็หายเอง มานึกขึ้นได้ ก่อนไปหาหมอ ดันไปทาสกินเดียว ผลคือ ผิวมันเปลี่ยนไป หมอมองไม่ออก

โอย ซับซ้อนนะวงการแพทย์

อยากจะสรุปสำหรับประชาชนว่า หากเจ็บป่วย แล้วไม่มีประกันสังคม หรือไม่มีประกันสุขภาพ ที่มีค่ารักษาพยาบาล ก็ให้ไป จุฬา รามา ศิริราช

แค่นี้ค่ารักษาก็น่าจะสมเหตุสมผล

แต่ถ้ามีเงิน และอยากเข้าเอกชน และอยากประหยัด และได้ผลคุ้มค่า ก็ควรถามก่อนให้เรียบร้อย

ถ้าหมอรีบมาก ก็บอกหมอไปว่า ผมเป็นคนจ่ายเงิน คุณหมอมีหน้าที่ช่วยให้ผมหาย ผมอยากรู้ว่า ผมต้องเสียเงินเท่าไร ถ้าคุณหมอจะกรุณา ก็กรุณาอธิบายมาด้วยว่า ขั้นตอนทั้งหมดเป็นอย่างไร

เราเสียเงิน เป็นแสน เป็นล้าน จะได้ไม่ต้องมานั่งฟ้องหมอ และหมอเองเมื่อโดนถามมากๆ และมีเวลาตอบ หมอก็จะโดนฟ้องน้อยลง
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

[quote="Ano"]ขอ copy
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ผมเห็นมาเยอะแล้ว 
    ผมว่าคนเรียนหมอมา ก็เพื่อนๆก็เป็นหมอหลายคน 
    ผมไม่ค่อยเห็นว่าเค้าเป็นพ่อค้าซักเท่าไหร่ 
เห็นยากมากพี่พอใจ ถ้าไม่คลุกวงใน

และที่สำคัญ ระบบกำลังพาไป หมอไม่ต้องพูดเอง ระบบจัดให้

ถ้าเป็นตัวบุคคล ภาพรวมคงเสียไม่มาก แต่ถ้าเป็นแบบระบบพาไป ภาพรวมเสียหาย ตามกระทู้ครับ

...........................................

ยกตัวอย่างตัวบุคคล สมัยผมเรียน อาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิง สั่ง CT SCAN สมัยนั้น 6000 บาท เห็นท่านเปรยๆ ว่า ท่านได้ 3000 บาท

ทั้งๆที่ตอนนั้น ปี 2530 พวกเรากำลังเรียนกันว่า เมืองไทย ใช้ CT SCAN มากว่าเกาะอังกฤษ ซึ่ง อังกฤษผลิต CT SCAN ได้นะครับ

แต่พี่ไทย ผลิตไม่ได้ แถมใช้แหลก กว่า ประเทศที่เป็นต้นแบบทางการแพทย์

( ตำราสมัยนั้น บางส่วนยึดตามอังกฤษ )
Zionism
Verified User
โพสต์: 1260
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

คงต้องฝึกหมอ ให้ได้แบบ หมอยู หรือหมอโฮ อ่ะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

รพ.เอกชนที่ capacity utilization ต่ำก็จะเป็นแบบนี้แหละ ห้องว่างมากก็จะหาเรื่องให้ค้างคืนทั้งที่เจ็บป่วยเล็กน้อย หรือไม่ก็จ่ายยามากเกินความจำเป็นเพื่อล้างสต๊อกยา

มันเป็นอาชีพจรรยาบรรณน่ะ ถ้าตัวเขาไม่มีจรรยาบรรณมันก็เป็นคราวซวยของเรา
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
Dr.T
Verified User
โพสต์: 1608
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ขยายมากไม่ได้พี่ CK มันน้ำท่วมปาก
คร่าว ๆ คือคล้าย ๆ อย่างที่ท่านสุมาอี้ว่า
โรงพยาบาลเอกชนเป็นบริษัท มีผู้ถือหุ้น
สิ่งสำคัญสูงสุด คือ ROE ครับ
ผลการรักษาเป็นสิ่งที่สอดแทรกมาในการทำให้ return มากที่สุด

ผลการรักษาดี --> คนไข้มาก--> ยอดขายมาก

overinvestigation + overtreatment --> ความเสี่ยงต่ำ

มันก็เป็นเช่นนี้แหละครับ

ไม่มช่หมอเอกชนไม่มีจรรยาบรรณ แต่หมอที่ practice เอกชน ต้อง blend จรรยาบรรณ + return เข้าด้วยกันได้
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

overinvestigation + overtreatment --> ความเสี่ยงต่ำ 

มันก็เป็นเช่นนี้แหละครับ 

ไม่ใช่หมอเอกชนไม่มีจรรยาบรรณ แต่หมอที่ practice เอกชน ต้อง blend จรรยาบรรณ + return เข้าด้วยกันได้
ถ้า Blend ได้ดี ก็คงไม่มีปัญหา หากว่า มีปัญหา แสดงว่า Blend ได้ไม่ดีแน่ๆ ต้องแก้ไข

เรื่อง overinvestigation + overtreatment  เป็นหน้าที่ของ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ที่ต้องไป ต่อสู้กับ ระดับสูง ต่อไป เช่น การบริหารให้มีกำไรสูงสุด ไม่ได้แปลว่าจะสูงสุดในระยะยาวหาก มีแต่ลูกค้าไม่พอใจเพิ่มขึ้นมากทุกวัน

ผมคิดว่า ในวงการแพทย์ ก็ไม่ต่างจากวงการอื่น คือ ต้องสร้างระบบเน้นคุณค่า เกินราคา เพื่อลูกค้า บอกต่อ
ต.หยวนเปียว
Verified User
โพสต์: 1688
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ไปหาหมอโฮจุนดีกว่า  :lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eyore
Verified User
โพสต์: 606
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

1.เทคนิคการตรวจรักษาเกินความจำเป็น (Over Treatment) หรือการแนะนำให้คนไข้ใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพง เช่น เครื่องตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI Scan) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เครื่องอัลตราซาวนด์ 4 มิติ ฯลฯ ซึ่งค่าตรวจแต่ละครั้งมีราคาตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หากคนไข้ต้องผ่าตัดก็จะแนะนำให้ใช้แพทย์หลายสาขาเข้าไปในห้องผ่าตัดพร้อมกัน
ผมว่ามันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ที่มันต้องเกิด Over treatment
ก็เพราะตัวคนไข้เองนั่นแหละ ที่ต้องการการรักษาที่ perfect ที่สุด
ยิ่งเดี๋ยวนี้ถ้าผลการรักษาไม่ได้ดังใจก็ฟ้องร้องไว้ก่อน หมอก็จำเป็นต้องป้องกันตัว
มีสุภาษิตในวงการแพทย์ว่า "ไม่มีอะไร 100% in medicene"
หมายความว่า ในทางการแพทย์ ไม่มีอะไรที่จะ "ฟันธง" ได้ว่าเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ 100%
หมอคนไหนบอกว่า 100% แปลว่าหมอคนนั้นโกหก
ทั้งในด้านการวินิจฉัย และการรักษา

ถึงแม้ว่าจะตรวจอย่างดีที่สุด วินิจฉัยอย่างดีที่สุด รักษาอย่างดีที่สุด
ก็ยังไม่สามารถรับรองผลการรักษาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหมอที่เก่งขนาดไหนก็ตาม
เพราะฉะนั้นมีทางเดียวที่จะป้องกันการถูกฟ้องร้องได้ ก็คือ
ตรวจให้มากที่สุด ละเอียดที่สุด รักษาอย่างดีที่สุด
ซึ่งมันก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายมากที่สุดเช่นกัน

อีกอย่างหนึ่ง ต้องเข้าใจด้วยว่า ความรู้ทางการแพทย์นั้นมีมากมายไม่สิ้นสุด
ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสามารถรู้ทุกอย่าง และรักษาทุกอย่างในโลกนี้ได้
หมอแต่ละคนจะชำนาญเฉพาะด้านต่างๆกันไป ไม่มีใครจะไปรักษาทุกโรคได้
มันก็จำเป็นต้องมีระบบ Consultation เพื่อให้หมอที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน
มาดูแลในเรื่องที่ตนเองถนัด
ไม่งั้นขืนไปทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด OK พอทำได้ เคยเรียนมาแล้ว
แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมา ก็ต้องโดนถามว่า
"ทำไมไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ"

ผมเป็นหมอนรีเวช คนไข้จะมาตัดมดลูก
ตรวจพบเบาหวาน -> consult Endocrine ต่อมไร้ท่อมาช่วยคุมน้ำตาล
ตรวจพบคลื่นหัวใจผิดปกติ -> consult Cardiologist หมอโรคหัวใจมาช่วยดู EKG
ตรวจ Xray ปอด มีปื้นขาวในปอด -> consult Pulmo หมอโรคปอดมาช่วยดู

แค่นี้ก็ปาเข้าไป 3 แล้ว
ถ้าคนใดคนหนึ่งเห็นว่าเสี่ยงเกินไปที่จะผ่าตอนนี้ ผมก็ต้องเลือนการผ่าตัดไปก่อน
รอให้ควบคุมอาการให้อยู่ในระดับที่ไม่มีความเสี่ยงเสียก่อน

ถ้าทั้งสามคน ลงความเห็นว่าสามารถผ่าตัดได้ ไม่มีปัญหา
คนต่อไปคือ หมอดมยา ที่จะเป็นผู้คอยดูแลสภาพคนไข้ระหว่างผ่าตัด

รวมคนผ่าด้วย ตอนนี้ก็ 5 คนเข้าไปแล้ว

ถึงวันผ่าตัด
ถ้าคนไข้เป็นแค่เนี้องอกธรรมดา ผมก็คงผ่าได้ง่ายๆ
แต่ถ้าเปิดเข้าไปแล้ว กลายเป็นมะเร็งชนิดแปลกๆ หรือมีพังผืดจำนวนมาก
ไม่สามารถผ่าเองได้หมด
ผมอาจจะต้องเรียนปรึกษาอาจารย์อาวุโสที่เชี่ยวชาญทางด้านการผ่าตัดมะเร็งมาช่วย
เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งนรีเวช
ถ้าฝืนผ่าต่อไปด้วยตนเองอาจพลาดไปตัดเอาลำไส้ หรือท่อปัสสาวะ โดยไม่จำเป็น
ซึ่งก็พบได้เรื่อยๆ กรณีนั้นก็ต้องตามหมอผ่าตัดลำใส้ หรือหมอระบบทางเดินปัสสาวะมาด้วย
ซึ่งถ้าเป็นอย่างงั้น
พรุ่งนี้เช้าก็คงมีหมอไปตรวจ 7 คนอย่างที่ว่าแหละครับ

ถ้าไม่ทำอย่างงี้ อยากให้หมอประจำตัวคุณทำยังไงครับ
ก. ปรับยาเบาหวาน งูๆปลาๆเท่าที่จำได้
ข. อ่านผลตรวจคลื่นหัวใจ งูๆปลาๆเท่าที่จำได้
ค. อ่านฟิล์มX-ray งูๆปลาๆเท่าที่จำได้
ง. บล๊อคหลังคนไข้เอง แล้วก็ผ่าตัดเอง
จ. ทำทุกข้อ <- เคยมีคนทำแล้วครับ โดนฟ้องหมดอนาคตไปแล้ว บางคนโดนฟ้องอาญาด้วย (ข้อ ง.)(ทำยังกะหมอเป็นฆาตรกรฆ่าหั่นศพ)

แล้วผมจะทำยังไงดีเนี่ยยยยยยยยยยยยยย

แค่ข้อเดียวก็จะเป็นลม วันหลังจะมาเขียนใหม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
drchatri
Verified User
โพสต์: 767
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

จริงๆ แล้วตอนแรกแค่อ่านดูอย่างเดียว ไม่อยากเข้ามาโพสต์ตอบในกระทู้แบบนี้เลย เพราะเสี่ยงต่อการถูกขึงพืด และถูกยำเละคาเวที ในยุคนี้ที่เป็นยุคแห่งความไม่ไว้วางใจ และขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรง ไล่กันตั้งแต่ระดับประเทศคือการเมือง จนมาถึงวงการแพทย์ ที่ยุคนี้ถูกมองอย่างหวาดระแวงไว้ก่อน ไม่ว่าจะอยู่ภาครัฐ หรือเอกชน แต่พอเห็นกระทู้ของพี่พอใจแล้ว ผมต้องขอกราบขอบพระคุณมาที่ตักงามๆซักครั้ง  :pray:  :bow: เพราะโดนใจผมเหลือการ เป็นสิ่งที่อยากจะสื่อสารไปถึงประชาชนทั่วไป เป็นมุมมองของฝ่ายประชาชนทั่งไป ที่รับรู้ข่าวสาร และรู้จักวิเคราะห์ไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตามกระแส เอามัน ส่วนคุณหมอ Eyore ต้องขอขอบคุณในสปิริตของคุณหมอ ที่กล้าแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องตรงไปตรงมา สิ่งที่คุณหมอพูดนั้น ถูกต้องทุกอย่าง  :pray:  :bow:
    ผมอยากจะให้มองแพทย์เป็นเหมือนคนทั่วๆไปบ้าง ที่แน่นอนว่า ในสังคมๆหนึ่งไม่มีทางที่เราจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ มันก็ต้องมี variation คนดีคนธรรมดา คนเลวๆ ปะปนกันไป หรือว่าในอาชีพอื่นๆ จะปฏิเสธหล่ะครับว่าไม่มีเช่นนี้เลย ผมเชื่อว่าหมอที่เลวๆ และมีพฤติกรรมอย่างที่ว่า น่าจะมีอยู่บ้าง แต่ผมบอกได้เลยว่าไม่มาก การที่พูดเหวี่ยงแหครอบคลุมแบบนี้ มันไม่เป็นธรรมเลยจริงๆ อย่างน้อยตัวผมเองและเพื่อนๆ หรือแพทย์ที่ผมทำงานคลุกคลีด้วยก็ยังไม่เห็นมีพฤติกรรมเช่นนี้ ผมเองเป็นหมออายุรกรรม อยู่ รพ.เอกชนก็ไม่เคยคิดจะมาทำการค้าขายอะไรทำนองนี้ให้ตายเถอะ..ทุกวันนี้ทำงานกันก็กลัวคนไข้ฟ้องวันละสีเวลา เช้ากลางวันเย็น ก่อนนอน with prn จนอุจจาระหดตดหาย นอนกระสับกระส่าย มือก่ายหน้าผากกันทุกวันอยู่แล้ว น้อยมากครับที่หมอจะมามีความคิดอยากทำการค้าหารายได้ด้วย concept แบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีแกะดำ มันก็ต้องมีทุกวงการซึ่งไอ้คนอย่างนั้น ก็สมควรถูกลงโทษไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
  ผมขอยกตัวอย่างเพิ่มแล้วันนะครับ เรื่อง over investigation (ตรวจมากเกินความจำเป็น) มันจะเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดหล่ะครับ อย่างถ้ามีคนไข้คนหนึ่งมาหาผมด้วยปัญหาปวดศีรษะมาหลายวันไม่หาย พอผมซักประวัติ ตรวจร่างกายเสร็จ ไม่พบความผิดปรกติใดๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นอาการปวดหัวไมเกรนธรรมดา ซึ่งไม่จำเป็นต้องส่งตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ทุกราย แต่พอผมบอกคนไข้ว่าเป็นแค่ไมเกรน คนไข้ก็ถามผมว่า "แล้วหมอแน่ใจนะว่าไม่ใช่อย่างอื่น อย่างเช่นเนื้องอกในสมอง เส้นเลือดโป่องพองในสมอง เลือดคั่งในสมอง ฯลฯ" ผมมีทางเลือกอย่างไรครับ ถ้าผมบอก "แน่นอน หมอซักประวัติตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว รับประกันว่าไม่เป็นแน่ๆ 100% " (ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีอะไรแน่นอนขนาดนั้น) แล้วถ้าอีกไม่นานคนไข้เกิดไปทำ CT สมองที่อื่นแล้วเจอ ผมจะเป็นยังไง ผมบอกได้เลยนะว่าถ้าคนไข้ถือบัตรฟรี คือ 30บาท และปกส. พวกนี้แหล่ะที่จะชอบขอให้หมอทำการตรวจ เกินความจำเป็นไว้ก่อน เพราะตนเองไม่ได้ต้องรับผิดชอบที่จะจ่ายค่ารักษา และมักจะมองหมอในแง่มุมร้ายไว้ก่อนว่าจะตรวจรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งพวกหมอก็ต้องปวดหัวมากกับเคสแบบนี้ คือ ไม่มีข้อบ่งชี้ที่จะตรวจแต่ขอตรวจ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จะเป็น เพราะทุกคนต้องการแต่จะเอาดีที่สุดเท่าที่จะเรียกร้องได้ ผิดกับหลักการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และแน่นอนซึ่งถ้าหมอใจแข็งเล่นบทตรงไปตรงมากับเคสแบบนี้ ก็มีแต่เสีย เพราะจะถูกร้องเรียน หรือถ้าดวงซวยแจ๊กพ็อตขึ้นมาจริงๆ ก็คือมันไม่ใช่แค่ไมเกรนธรรมดา แต่ดันมีอะไรในสมองจริงๆ แล้วหมอไม่ส่งตรวจก็จะโดนเล่นงานอย่างแน่นอน ถามว่า แล้วทำไมหมอตรวจดูแล้วไม่รู้หล่ะว่าเคสไหนส่งแล้วจะเจอ หรือไม่เจอ อุป๊ะ :!:  ถ้าหากเก่งขนาดมีตาทิพย์อย่างนั้นแล้วจะส่งไปทำไม ก็เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ หมอก็แค่บอกจากข้อมูลการซักประวัติตรวจร่างกาย ว่ารายใดมีข้อบ่งชี้เท่านั้น หากไม่มีก็อาจต้องสังเกตุอาการไปก่อน หากมีการเปลี่ยนแปลงของอาการค่อยว่ากันอีกที มันเป็นข้อจำกัดทางการตรวจโรค ไม่เช่นนั้น เคสอย่างนี้ เดินเข้ามาหาหมอด้วยอาการปวดหัวและกลัวเป็นอะไรในสมองก็ต้องส่งตรวจทุกราย แล้วผมถามว่า เราจะเอางบประมาณมากมายแค่ไหน จึงจะสามารถตอบสนองความต้องการที่ไม่มีขีดจำกัด ของคนที่ไร้เหตุผลเพียงไม่กี่คน(ผมไม่ได้ว่าคนที่มีเหตุผลนะครับ คนดีๆ อธิบายแล้วเข้าใจก็มีมาก และมากกว่าเยอะด้วย ผมขอชื่นชม)
  ในทางตรงข้ามนะครับ เป็นกรณีเดียวกัน แต่เป็นเคส walk in เดินเข้ามาตรวจใน รพ.เอกชน ผมบอกว่า น่าจะเป็นแค่ไมเกรนธรรมดา คนไข้ก็ถามกลับอย่างที่ว่า ไม่เป็นอย่างอื่นแน่นะหมอ ผมก็บอกว่า ถ้าคุณต้องการความมั่นใจ 100% ถ้างั้นผมขอตรวจ CT สมองคุณหน่อย ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคนนั้น คิดลบกับแพทย์ในทางเลวร้ายอยู่แล้ว ก็อาจจะคิดว่า ผมจงใจเชียร์ หรือขู่ให้ตรวจ เพื่อหายอดเอาเงินให้ รพ.และตนเอง ถ้าเขามีเงินและกลัวก็อาจทำตามคำแนะนำคือทำ CT พอผลออกมาว่าปรกติ พอเขาเจอบิลค่าตรวจ ก้อาจจะโวยว่า "อ้าว..ก็ตอนแรกหมอก็บอกแล้วว่าเป็นแค่ไมเกรนธรรมดา แล้วหมอส่งตรวจทำไมหล่ะ ทำให้ผมต้องเสียเงินตรวจเกินความจำเป็น"        หมอ:___แบ๊ะๆๆ พูดไม่ออกครับ แบบนี้  
หรือถ้าเขาไม่ค่อยมีเงิน เขาอาจพูดกับผมว่า "เอ่อหมอ แล้วค่าตรวจมันแพงไหม หล่ะ"    หมอ :"เอ่อก็ ราวๆ 4000"    คนไข้" เอ่องั้นผมไม่ตรวจดีกว่า ผมไม่อยากเสียเงินโดยไม่จำเป็น(เห็นไหมครับ..พอเป็นเงินในกระเป๋าตัวเองต้องควักจ่าย เลยต้องคิดหน้าคิดหลังซะก่อน   แต่ยังไม่วาย เพราะย้อนกลับมาคาดคั้นเอากับหมออีกว่า....) "แต่หมอต้องยืนยันให้ผมสบายใจ ด้วยนะ ว่าไม่มีปัญหาอะไรในสมองผมแน่ๆ นะถ้าผมไม่ได้ทำ CT" (อ้าว...ตายละหว่าตู..แล้ว จะเอายังไงดีวะ บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่สบายใจ แต่พอบอกว่าให้ทำก็เสียดายเงินไม่ยอมทำ แล้วยังมาคาดคั้นจะให้รับรองผลการตรวจ ใครมันจะไปรับรองขนาดนั้นได้ เพราะมันไม่มีทางจะรู้ และยืนยันได้จนกว่าจะตรวจจริง)    หมอ:"คุณก็ทำสิครับ จะได้มั่นใจ"     คนไข้:"ไม่เอาหรอก..เรื่องอะไร ก็ค่าตรวจแพงขนาดนั้นผมเสียดาย ก็หมอบอกเองว่ามันไม่จำเป็น แล้วผมจะให้ผมตรวจให้เสียเงินอีก  อ๊ะๆๆ..หรือหมอมีเอี่ยวกับการส่งตรวจแน่ๆเลย หมอได้ค่าคอมฯหล่ะซิ ถึงขู่เชียร์ให้ผมทำ ไม่รู้หล่ะ..ผมไม่ยอมให้หมอมาหลอกกินค่าตรวจจากผมอย่างนี้หรอก  หมอบอกเองว่ามันไม่จำเป็นต้องตรวจ ผมก็จะเชื่อหมอจะได้ประหยัดเงินของผม แต่.....ถ้าผมเป็นอะไรไปหล่ะก็ หมอต้องรับผิดชอบก็แล้วกัน ก็หมอยืนยันกับผมแล้วหนิ ว่าผมเป็นแค่ไมเกรน.."     หมอ:.. :?:  :!:  :'O  :ohno:  :pray:  :(
   โอ้..ผมต๊กกะใจ ตื่นขึ้นมาพอดี โอทำไมคืนนี้ผมฝันร้ายขนาดนี้เชียวเหรอ..(ลืมบอกไปว่า ที่เล่ามาเมื่อกี้นี้แค่ความฝันนะครับ 8) )
keng56
Verified User
โพสต์: 431
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 20

โพสต์

เห็นใจและเข้าใจคุณหมอทุกท่านครับ..... 8)
Dr.T
Verified User
โพสต์: 1608
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ผมเริ่มเล่นหุ้นเพราะผมฝันว่า สักวันหนึ่ง ผมจะได้เกษียณจากงานหมอก่อนคนอื่น จะได้ไม่ต้องเจออะไรอย่างที่พี่หมอชาตรีเล่ามานั่นแหละครับ  8)
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 22

โพสต์

จาก ประสปการณ์ ส่วนตัว  เมื่อต้นปี ที่เป็นตับอักเสบ โทรศัพท์ทางไกลปรึกษาหมอ

และบินกลับไปหาหมอ ที่เมืองไทย ได้ตรวจกับ หมอ 3 ท่าน รพ.เอกชน 2 รพ. ขอบอกเลยว่าประทับใจครับ

ตอนนั้น รู้เลยว่า เงินทองของนอกกาย จริงๆ ถึงมีเงิน แต่เป็นอะไรไป ก็ไม่ได้ใช้เงินอยู่ดี
Viewtiful Investor
Verified User
โพสต์: 1477
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เข้ามาเห็นใจหมอด้วยคน
งานที่ต้องพบปะคนเป็นๆความเครียดสูงจริงๆ น่าห่วง -_-'
I do not sleep. I dream.
booklover
Verified User
โพสต์: 1061
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 24

โพสต์

อ่านความเห็นคุณหมอหลายๆท่านแล้วได้เปิดโลกอีก

มุมจริงๆครับ เห็นใจครับอาชึพที่ต้องแบกรับความกดดัน

จากชีวิตคนไข้ :?
ภาพประจำตัวสมาชิก
drchatri
Verified User
โพสต์: 767
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 25

โพสต์

chatchai เขียน:ประสบการณ์ที่เคยได้ยินในการพาเด็กไปหาหมอนะครับ

คุณหมอมักจะจ่ายยาแรงๆให้เด็กเกินความจำเป็น

เพราะถ้าจ่ายยาตามอาการ  เด็กอาจจะไม่หายทันที  พ่อแม่เด็กก็จะคิดว่าคุณหมอไม่เก่ง  แล้วก็เปลี่ยนให้คุณหมอท่านอื่นรักษา

คุณหมอท่านไหนที่จ่ายยาแรงๆ  เด็กก็มักจะหายทันที  คนไข้ก็จะติด  คิดว่าหมอเก่ง

แต่หารู้ไม่ว่า  เสียเงินเกินความจำเป็น  และมีโทษต่อเด็กที่ยาจะไปสะสมในร่างกาย
 
   เรื่องนี้นะครับพี่ฉัตรชัย แฟนผมก็เป็นหมอเด็ก อยู่ รพ.เอกชน รับรองว่าไม่เคยมี concept แบบนี้แน่นอน เราให้ยาและรักษาตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ รวมถึงการประเมิณผู้ป่วยแบบองค์รวม เช่น การประเมิณด้านการศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการให้คำแนะนำให้เหมาะสม เพราะการศึกษาที่แตกต่างกันมีผลอย่างยิ่งต่อการสื่อสารระหว่างแพทย์และคนไข้ โดยเฉพาะคนไข้เด็ก เราต้องใส่ใจอธิบายพ่อแม่ของเด็ก อย่างละเอียดละออ การประเมิณด้านเศรษฐานะเนื่องจากมีผลต่อการสั่งการรักษา เช่นอาการแบบนี้ต้องจ่ายยาแบบนี้ แต่ถ้ามีฐานะดี มีกำลังจ่ายก็อาจใช้ยาที่เรียกว่า Original หรือยาที่ผลิตโดย license จาก ตปท. แต่หากมีเงินน้อย support ได้น้อย แพทย์ก็ต้องหาวิธีรักษาให้โรคหายเหมือนกัน โดยมาตรฐานเดียวกัน แต่ประหยัดกว่าเช่น อาจสั่งยาที่มีเนื้อยาตัวเดียวกัน แต่ เป็นยาที่ผลิตเองในประเทศที่เรียกว่า Local made ซึ่งยาพวกนี้เป็นยาตัวเดียวกับ Original แต่มีราคาถูกกว่ามาก โดยที่มีประสิทธิภาพการรักษาเท่าเทียมกัน ส่วนคนที่เขาเลือกใช้ยาOriginal เขาก็ซื้อความสบายใจ มั่นใจ
การประเมิณเรื่องระยะทางใกล้ใกลจาก รพ.  เช่น หากเด็กไข้สูงและชักมาหาหมอ เคยมีประวัติชักอย่างนี้มาหลายครั้ง คือมีความเสี่ยงสูงที่จะชักซ้ำ บ้านอยู่ไกลมาก เดินทางลำบาก หรืออย่าง ตจว.ไม่มีรถส่วนตัว เวลาเป็นอะไรกลางคืนต้องหาเหมารถมา พ่อแม่เด็กความรู้น้อย หรือขี้กลัว ไม่สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดเหตุขึ้น แม้หมอจะเพียรพยายามสอนอย่างไรก็ตาม อย่างนี้ก็เป็นเหตุปัจจัยให้หมอต้องนำมาพิจารณา และแนะนำให้คนไข้เข้ารับการรักษาตัวใน รพ. ไม่ใช่เพราะหมอมีเจตนาตั้งใจจะ Over Admit เพื่อหาเงินเข้า รพ. หรือถ้าคนไข้ไม่มีเงินพอจะ sopport ค่าใช้จ่ายได้ พวกเราก็จะต้องแนะนำให้ไปรับการักษายัง รพ.ของรัฐซึ่งจะมีสิทธิ 30 บาทคุ้มครองอยู่ โดยพวกเราจะต้องเขียน จดหมาย refer กันอย่างละเอียด ซึ่งส่วนใหญ่บอกได้เลยว่ากรณีแบบนี้ หมอจะเหนื่อยฟรี เพราะไม่เคยเก็บเงินค่าเขียนใบพวกนี้เลย(ผม เวลาเขียน ผมเขียน เป็นหน้าๆ อย่างละเอียด ) บางครั้ง เจอคนไข้ไม่มีเงินจริงๆ ไม่มี รถ รพ.ยังต้องเอารถไปส่งให้ก็มี
  คือที่เล่ามายืดยาวนี่นะครับ พี่ฉัตรชัยที่เคารพรัก และเพื่อนๆ จริงๆ ยังมีอีกยาว แต่คงเล่าไม่จบ ผมเล่าพอเป็นตัวอย่างว่า กว่าพวกกระผมจะจบมาเป็น "คุณหมอ" (ผมคิดว่าส่วนใหญ่ยัง เรียกพวกผมอย่างนั้นกันอยู่ และผมก็ซาบซึ้งและอิ่มเอมใจ และภูมิใจทุกๆครั้ง ที่คนไข้เรียกผมอย่างนั้น และผมก็คิดว่าคนไข้ส่วนใหญ่ก็ยัง เรียก และรู้สึกกับหมอประจำตัวเขากันอย่างนั้นกันอยู่ คงจะไม่ได้เรียกว่า "ไอ้...หม.." )  นั้น..ต้องผ่านการร่ำเรียนมาอย่างหนัก ทั้งทางด้านวิชาการ จริยธรรม และศิลปะการรักษา(ถึงได้เรียกว่า ใบประกอบโรคศิลป..) กว่าที่จะพัฒนามาเป็นทักษะในการตรวจและรักษา พวกเราถูกหล่อหลอมมาอย่างดี และต้องผ่าน ชม.การทำงานมาอย่างตรากตรำ จะเห็นได้ว่าแค่เรื่องคนไข้คนเดียว ก็มีเรื่องที่พวกเราต้องพิจารณามากมาย นอกเหนือจากเรื่องตัวโรคที่พวกเราต้องรักษา สิ่งที่อยู่ในหัวของพวกเราส่วนใหญ่ในตอนที่ตรวจคนไข้ก็คือ "เราจะช่วยเหลือเขาได้ยังไงนะ เขาถึงจะพ้นทุกข์" ไม่ใช่ "เราจะเอาเงินจาก อีตาแก่ขี้เหนียวนี้ได้อย่างไรนะ" ผมกับภรรยาจบจากมหิดลครับ (จบแพทยศาสตร์บัณฑิตจาก รามาฯ และจบเฉพาะทางวุฒิบัตรจาก ศิริราชพยาบาล ที่ๆ พระองค์ท่านในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยเราไว้วางพระทัยมาทรงใช้บริการรับถวายการรักษาครั้งแล้วครั้งเล่านั่นแหละครับ ) พวกผมมีวิญญาณของมหิดลอยู่เต็มตัว พระราชปณิธานของ สมเด็จพระราชบิดา พวกผมยังร่ำใส่เกล้าใส่กระหม่อม และนำเป็นประทีปส่องทางในเส้นทางการเป็นแพทย์ของพวกเราอยู่เสมอ และจะตลอดไปไม่มีวันลืมเลือน และผมก็เชื่อว่า ไม่ว่าแพทย์ท่านใด จะจบจากสถาบันใด ก็คงคิดไม่แตกต่างจากผมและภรรยา เพราะ เรามีพระราชบิดา องค์เดียวกัน (ส่วนแกะดำไม่กี่ตัว ผมไม่นับนะครับ)   ทุกวันนี้สังคมเราแตกแยกกันมากแล้วครับ ความขัดแย้งก็มีทุกหนแห่ง หากเราไม่ไว้วางใจคนไทยกันเอง แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร โดยเฉพาะรุ่นลูกรุ่นหลานเรา ผมจะฝ้ารอวันนั้น วันที่สงบสุข มีแต่รอยยิ้ม และความเข้าใจ ช่วยเหลืออื้ออาทรกัน และผม(รวมถึงหมอคนอื่นๆอีกหลายคน) ก็จะยังขออนุญาต ทำงาน รับใช้ประชาชนตามมาตรฐานวิชาชีพ ด้วยความทุ่มเทอย่างเต็มที่ เท่าที่แรงกาย แรงใจ และพลังสมองจะมี แม้ว่าวันนี้ จะต้องกล้ำกลืนอดทน ทำงานอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวง ความเกลียดชัง ก็ตาม ผมเชื่อว่า ความจริงใจ ความตั้งใจ และความซื่อสัตย์ จะต้องชนะอุปสรรคทั้งปวงไปได้อย่างแน่นอน... :D  :pray:  :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
drchatri
Verified User
โพสต์: 767
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

[quote="Dr.T"]ผมเริ่มเล่นหุ้นเพราะผมฝันว่า สักวันหนึ่ง ผมจะได้เกษียณจากงานหมอก่อนคนอื่น จะได้ไม่ต้องเจออะไรอย่างที่พี่หมอชาตรีเล่ามานั่นแหละครับ
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 27

โพสต์

8) เยี่ยมมากครับ ขอบคุณคุณหมอทุกท่าน 8)

รพ.ไหนเป็นไงไม่รู้ครับ

แต่หมอเด็กที่ประจำ BH ที่ผมพาลูกไปหาทั้งสองคน
คนอื่นๆ มักบ่นว่า หมอไม่ค่อยดูแล เอะอะก็ยาแก้อักเสบ

แต่ผมกลับชอบคุณหมอคนนี้มาก

เพราะรู้สึกว่าแกตรวจเร็วก็จริง แต่ใส่ใจรายละเอียด

เคยต้องไปรพ.อื่นครั้งนึง (ขอสงวนนาม)
หมอบอกทันที ลูกคุณมีอาการหอบ
ไข้สูง ควรฉีดยากันชัก และแอดมิทสักคืน

ผมก็ขอ second opinion ไว้ก่อนเลยครับ
ลูกแค่ขวบเดียว และไม่เคยมีประวัติชักเลย
ไข้ก็แค่ 38.7 มั๊ง

ปรากฎว่า หมอเด็กอีกท่านที่ BH
ตรวจเสร็จก็บอกว่าไม่ต้องห่วง น่าจะหายเองได้
คอยเช็ดตัวลดไข้ก็พอ

อืมม์ คิดๆ แล้วก็ชักอยากจะขายหุ้น BH ซะแล้ว


เอ ขายไปหมดแล้วนี่หว่า 5555
ภาพประจำตัวสมาชิก
เพื่อน
Verified User
โพสต์: 1826
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 28

โพสต์

CK เขียน:8) เยี่ยมมากครับ ขอบคุณคุณหมอทุกท่าน 8)

รพ.ไหนเป็นไงไม่รู้ครับ

แต่หมอเด็กที่ประจำ BH ที่ผมพาลูกไปหาทั้งสองคน
คนอื่นๆ มักบ่นว่า หมอไม่ค่อยดูแล เอะอะก็ยาแก้อักเสบ

แต่ผมกลับชอบคุณหมอคนนี้มาก

เพราะรู้สึกว่าแกตรวจเร็วก็จริง แต่ใส่ใจรายละเอียด
ประสบการณ์ผมคล้ายๆคุณCK
หมอประจำที่ลูกๆผมรักษาก็BHเหมือนกันครับ เป็นคุณหมอผู้หญิงใจดีคนหนึ่ง(เห็นแกบ่นว่าไม่น่ามาเป็นหมอเด็กเลย เพราะต้องมารักษาแก้วตาดวงใจของแต่ละคน โดนเพ่งเล็งมากกว่าปรกติ)

เมื่อก่อนเคยพาลูกไปรักษาประจำที่ ?H (ก่อนเข้าตลาด) เป็นหวัดไปทีไร คุณหมอก็มักจะเอาลูกผมไปตมยา(แกจะบอกว่าซีเรียส ต้องทำ) สังเกตุว่าเด็กๆต้องเข้าคิวรอกันพอสมควร ข้างๆก็เป็นห้องรอ มีการเคาะปอดเด็กกันระหว่างนั่งรอ

ไม่ว่าลูกชายลูกสาว โดนจับดมยาประจำถ้าไปที่นี่

มีครั้งหนึ่ง คุณหมอสั่งแอตมิดลูกสาว หมอบอกว่าอาการไม่น่าใว้ใจ ต้องแอดมิตเสี่ยงเกินไปที่จะกลับบ้าน และต้องคอยดมยาและเข้าใช้เครื่องดูดเสมหะเป็นระยะๆ
ผมเกือบจะไม่ยอมแอดมิตด้วยแล้วเพราะเอกสารโรงพยาบาลให้เซ็นต์รับรอง มีข้อหนึ่งระบุว่าจะไม่มีการฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาลไม่ว่ากรณีใดๆ....ดีที่คุณหมอแกมาคุยด้วยแล้วบอกว่าถ้าเห็นว่าไม่สมควรก็ขีดข้อนั้นทิ้งได้(ชาวบ้านจะรู้มั้ยเนี่ย)

ก่อนที่คุณหมอจะยอม ผมก็ได้อธิบายไปว่า อาชีพที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นอาชีพProffesionalพอๆกับคุณหมอแต่อาจจะคนละหน้าที่กัน ต้องรับผิดชอบกับชีวิตคนเหมือนกันมีใบประกอบวิชาชีพเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยบังคับให้ลูกค้าเซ็นต์ยินยอมว่าจะไม่ฟ้องร้องในกรณีที่ผมทำผิด....เพราะการฟ้องร้องสามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้วในชั้นศาลว่าถูกหรือผิด ผมไม่เคยกลัวที่จะรับผิดชอบ และไม่คิดจะเอาเปรียบคู่สัญญา....คุณหมอก็นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วถามว่าผมมีอาชีพอะไร พอเข้าใจแล้วก็เลยยอมให้แก้ใขได้

จนปัจจุบันนี้ผมยังไม่เคยเจอเอกสารแบบนี้ที่โรงพยาบาลไหนอีกเลยครับ ไม่รู้ว่าที่ ?h เค้าแก้ใขรึยัง

กลับมาเล่าเรื่องลูกสาวแอดมิตต่อ....เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมรู้จักเครื่องดูดเสมหะ....และเป็นครั้งที่ผมได้รู้ว่ามันทรมานเด็กมากที่สุด
ในขณะที่ผมนอนรอในห้องward (เพราะเค้าไม่อยากให้พ่อแม่เข้าไปด้วย) ห้องดูดเสมหะที่อยู่ห่างไปหลายช่วงห้อง ผมได้ยินลูกผมร้องหาพ่อให้มาช่วยด้วยผ่านทางฝ้าเพดานโรงพยาบาล จนผมทนไม่ไหว ต้องขอเข้าไปดู เค้าใช้วิธีสอดสายดูดเข้าไปทางจมูกในขณะที่ลูกผมเพิ่ง2-3ขวบ ก็ดิ้น พยาบาลก็พยายามสอดเข้าไปให้ลึกๆ ลูกทั้งร้องทั้งดิ้น เลือดก็ยิ่งไหลออมา ผมก็ได้แต่คอยจับลูกไว้ปลอบลูกไปด้วย...ตอนนั้นสงสารลูกมากจริงๆ
เค้าทำแบบนี้อยู่3-4ครั้ง จนผมขอเอาเค้ากลับบ้านไปดูแลต่อเอง

หลายเดือนต่อมา ผมพาลูกชายมารักษาอาการหวัด ก็ได้รับความเห็นคุณหมอ(คนเดิม)อีกว่าควรแอดมิต ดมยา ดูดเสมหะอีกคน....แต่ประสบการณ์ผม ขอคุณหมอแค่ ดมยา แล้วผมจะคอยดูแลอาการแกเองที่บ้าน ถ้าดูอาการไม่ดีผมจะรีบพามาโรงพยาบาลทันที(บ้านอยู่ไม่ไกล)....ในที่สุดลูกผมก็หาย ผมก็ยังคิดว่าอาจจะบังเอิญ พร้อมกับเริ่มลังเลนิดๆ

มาถึงช่วงสำคัญที่ผมตัดสินใจเลิกไปโรงพยสบาลนี้ เนื่องจากผมจะทำประกันให้ลูกๆผม ทางประกันเค้าขอประวัติจากโรงพยาบาล พบว่าคุณหมอลงความเห็นว่าลูกผมทั้ง2คนเป็นหอบหืดขั้นเริ่มต้น....ทางประกันเค้าจะไม่ยอมคุ้มครองระบบทางเดินหายใจ(แล้วผมจะไปทำทำไม?) เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาบ้างว่าเด็กเล็กขนาดนี้ หลอดลมยังไม่แข็งแรง บางคนอาจมีเสียงดังถือเป็นเรื่องปรกติทั่วไป พอโตขึ้นก็จะหายเอง ....ผมเลยไปขอพบคุณหมอพร้อมกับขอให้คุณหมอช่วยวิเคราะห์ทบทวนการเขียนความเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าจำเป็นต้องระบุชัดเจนว่าเป็นหอบหืดเลยหรือ เพราะลูกๆผมก็ไม่เคยมีอาการหอบหืดเลย ยกเว้นอาการหายใจขัดช่วงเป็นหวัดมารักษากับคุณหมอเท่านั้น
คุณหมอโกรธมากครับ...ที่บังอาจไปคิดแย้งกับท่าน พูดจาโผงผางมาก ผมเลยลากลับ และไม่ไปที่นั่นอีกเลย
ต่อมาก็ไปรักษากับคุณหมอที่BH ก็เล่าเรื่องให้ท่านฟัง....คุณหมอท่านก็อธิบายให้ฟังครับว่าโดยปรกติจะไม่มีการบันทึกว่าเด็กเล็กขนาดนี้เป็นหอบหืด เพราะมันยากที่จะแยกได้จากอาการปรกติทั่วไป....ถ้าเด็กโตแล้วจึงจะแยกแยะได้แน่นอน ตรวจดูอาการลูกผมแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการหอบหืดที่ผิดปรกติจากเด็กทั่วๆไป

ทุกวันนี้ลูกๆผมก็ยังปรกติดี ไม่มีอาการหอบหืด และไม่เห็นคุณหมอที่นี่พยามให้เด็กดมยาดูดเสมหะเลย ในขณะที่เก่า เห็นเด็กรอคิวดมยากันแน่นขนัด

เขียนบรรยายมายาว ไม่ได้หมายความว่าคุณหมอส่วนใหญ่จะไม่น่าไว้ใจนะครับ สำหรับผมอาจจะเป็นการบังเอิญหลายๆอย่างก็ได้...หรือไม่ก็อาจเป็นความเข้าใจผิดของผมเอง

เท่าที่คุยๆและอ่านความเห็นต่างๆของคุณหมอหลายๆท่านที่เวปนี้ ก็ดูน่านับถือและมีความเสียสละสูงแทบทุกคนเลยครับ คุณหมอที่ดีน่าจะมีอยู่มากครับ บางคนอาจจะยังกล่าวไม่ได้ว่าเป็นคนเอาเปรียบ แต่อาจจะบกพร่องเฉพาะเหตุการณ์ก็เป็นได้ ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ บางทีก็สภาพหรือระบบพาไป....ยังไงผมก็ยังคิดว่าหมอส่วนใหญ่แล้วเป็นคนดีและมีความตั้งใจสูงต่อการรับผิดชอบคนใข้และวิชาชีพครับ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 29

โพสต์

โอ อ่านดูแล้ว เริ่มเข้าใจนิดๆ

1. ปัญหา อยู่ที่ระบบโรงพยาบาลเอกชน ที่ต้องทำเพื่อกำไร ต้องจ่ายเพื่อให้ได้หมอเก่งๆมาอยู่ด้วย

2. การอธิบาย โดยส่วนใหญ่ คนไข้จะเชื่อหมอ รักหมอ และโกรธหมอ

3. เรื่องที่ผิดพลาด เทียบ แล้วน่าจะมีไม่ถึง .01 % ของเรื่องที่รับได้ แต่บังเอิญเป็นเรื่องคนที่เค๊ารัก ก็เลยเจ็บแค้น และมาเล่าหลายรอบ

4. หมอไม่ดี มีแน่นอน แต่ก็ไม่น่าจะถึง .1 %

ผมสรุปได้ว่า

ระบบต้องให้การเรียนรู้ ก่อนการพบแพทย์ หลังการพบแพทย์ เนื่องจากหมอมีน้อยเมื่อเทียบกับประชากร ต้องมีส่วนเสริม ทำความเข้าใจว่า

1. หมอไม่ใช่พระเจ้า โรคแต่ละโรค บางที่มันผสมกัน มาบดบังอาการ ทำให้วินิจฉัยผิด ซึ่ง คนที่เข้าใจจะรับได้ คนที่ไม่เข้าใจรับไม่ได้ ตรงนี้ต้องให้ความรู้ ผ่านทางกระทรวงสาธารณสุข เรียกว่า บริหารความคาดหวัง ซึ่งเป็นศาสตร์แนวใหม่ต้นๆ สำหรับการทำธุรกิจ

2. โรงพยาบาลเอกชน หวังผลกำไร แต่เมื่อเที่ยบ กับโรงพยาบาลรัฐที่ไม่หวังผลกำไร ทุกคนแห่เข้าไป ทำให้คุณภาพโดยรวมสู้เอกชนไม่ได้บางด้าน

3. การฟ้องหมอจะทำให้ค่าใช้จ่ายราคาโดยรวมแพงขึ้น จะดีกว่าหรือไม่ ว่าคุณต้องแน่ใจ ในการตัดสินใจของคุณ และยินดีรับความเสี่ยง เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักร ที่หยุด แล้วซ่อม แต่คนต้องซ่อมในระหว่างกำลังทำงาน

4. แพทย์สภาควร มีการสอบ การพูดคุยกับคนให้รู้เรื่อง เรียกการสื่อสารภาษามนุษย์ มีหลายหัวข้อ เช่นคนไข้แสดงความเห็น ไม่ได้แปลว่าลบหลู่หมอ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องโมโห ใครสอบไม่ผ่าน ต้องหยุดรักษา 3 เดือน - ไม่เกิน 1 ปี เพื่อไม่ให้ วงการแพทย์เสียหาย

อิอิ ว่าไปเรื่อยๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 30

โพสต์

เริ่มเคลียร์ขึ้นแล้วครับ  พอคุณหมอหลายๆท่านได้มาให้ข้อมูลอีกด้าน อิอิ

ผู้ถือหุ้นอย่างผมก็พลอยสุขใจไปด้วย เพราะได้ทั้งผลกำไร และ จริยะธรรม ...  :D
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
โพสต์โพสต์