เรื่องของวาสนา
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
สาบานได้ข้อเขียนวันนี้ ไม่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับ "คนทั้งหลาย" อย่างเราท่าน เพราะ"วาสนา" นี้เป็นกิเลสของปุถุชนทั้งหมด ใครที่อยู่ในข่าย"ปุถุชน" หนีไม่พ้นวาสนาดอกครับ
เห็นหรือยัง วาสนามันหนาขนาดไหน
วาสนา เป็นศัพท์บาลี และสันสกฤต ที่มีความหมายอย่างหนึ่ง แต่คนไทยนำเอามาใช้ในความหมายอีกอย่าง เดิมทีมีความหมายในแง่ลบอย่างเดียว แต่ไทยเอามาใช้ในแง่บวก แง่บวกย่างไรไว้ค่อยเล่าภายหลัง คราวนี้ขอ"ประหน้าธรรมาสน์"ไปก่อน
เมื่อศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะทราบว่า เดิมทีพระพุทธศาสนาหินยาน (เถรวาท) ซึ่งใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาศาสนาได้แพร่เข้ามาก่อน ในราวพุทธศตวรรษที่ 3 ในยุคนั้นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาอยู่ที่จังหวัดนครปฐมในปัจจุบัน (สันนิษฐานกันอย่างนั้น)
ต่อมาพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานตามเข้ามา มหายานถือภาษาสันสกฤตเป็นภาษาศาสนา คนไทยก็เลยได้อิทธิพลจากภาษาสันสกฤตอีก กอปรกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งใช้ภาษาสันสกฤตก็แพร่เข้าสมทบอีก ภาษาสันสกฤตจึงหยั่งรากลงลึกยิ่งขึ้น
แม้ว่าจากสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา พระพุทธศาสนาที่ประชาชนคนไทยนับถือจะเป็นเถรวาท ภาษาบาลีเอง พระภิกษุสามเณรก็เล่าเรียนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็ตาม ยังมีอิทธิพลต่อภาษาไทยน้อยกว่าภาษาสันสกฤตอยู่ดี
พูดง่ายๆ ก็ว่า ภาษาสันสกฤตครองความเป็นแชมป์ว่าอย่างนั้นเถอะ
การนำภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาของตนของคนไทย มิได้เอามาทั้งดุ้น หากเปลี่ยนแปลงรูปและเสียง พร้อมทั้งเปลี่ยนความหมายด้วยในบางครั้ง ยกตัวอย่างเช่น คำข้างต้นนั้น (วาสนา)
วาสนา เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต อ่านว่า "วาสะนา" ไทยอ่านเพื่อเข้ากับหูไทยว่า "วาดสะหนา"
ความหมายเดิมเขาหมายถึง "สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตสันดานมายาวนานมาก" นอนเนื่องอยู่ภายในจิตเราแน่นแฟ้นมาก จนแกะไม่อก เทียบกับคำไทยว่า "สันดาน" นั่นแหละครับ
ในทางพระพุทธศาสนา วาสนามิใช่เรื่องดีนัก ว่ากันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงละวาสนาได้พร้อมทั้งกิเลสทั้งปวง พระอรหันต์นั้น ละได้แต่กิเลสเท่านั้น ไม่สามารถละวาสนาได้ ว่ากันอย่างนั้น
เห็นยังว่ามัน "หนา"ปานใด หนายิ่งกว่าตราช้งอีก ป่วยการเอาโทมาโต โปเตโต้ปาใส่
ไม่คระนามือดอก ต้องโละทิ้งให้เด็ดขาด ดุจดังสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงทำนั่นแหละ
แต่ "วาสนา"ในความหมายไทยๆ กลับเป็นเรื่องดีแฮะ คือหมายถึง บุญบารมี บางทีพูดควบคู่กันว่า "บุญวาสนา" ใครที่ประสบความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน คนเขาก็กล่าวขานกันว่า "เขามีวาสนาฮิ" หรือ "เป็นวาสนาของเขาฮิ" อะไรทำนองนี้
มีเรื่องเล่าในแวดวงผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่ 2 เรื่อง แสดงถึงอิทธิพลของวาสนา ทั้งสองเรื่องเคยพูดเคยเขียนถึงมาแล้วหลายครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน เมื่อไร วันนี้นำมา"ฉายซ้ำ"อีก คงไม่ว่ากันนะครับ
เรื่องแรก พระปิลินทวัจฉะ ท่านรูปนี้เป็นพระอรหันต์แต่มีคำพูดติดปากว่า "วสลิ"(ไอ้ถ่อย) พบใครจะถามว่า "ไปไหนมา ไอ้ถ่อย" สบายดีหรือ "ไอ้ถ่อย" อย่างนี้เสมอ คำพูดถึงจะฟังดูหยาบแต่จิตใจท่านมิได้หยาบไปด้วย ท่านพูดด้วยจิตเมตตา เป็นคำพูด "ติดปาก"ท่าน แก้ไม่หาย ชาวบ้านรู้อะไรเป็นอะไรก็ไม่ถือสา ยกให้ท่าน ทางศาสนาเรียกว่า ท่านเป็น "ปาปมุต" (คนเขาไม่ถือกัน)
แน่นอน ชาวบ้านเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่ถือสา แต่คนต่างถิ่นได้ยินเข้า อาจฉุนว่า พระอะไร(วะ) พูดคำหยาบ แต่ถ้ารู้ความจริงก็ไม่ถือสาเช่นกัน
คงเหมือนกับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ เมืองโคราช กระมังครับ ท่านติดคำพูดว่า "กู" "xx" เวลาสนทนา หลวงพ่อคูณนั้นเป็นที่รู้กันว่าท่านมีเมตตามาก การพูด การกระทำของ่าน "ปริสุทฺโธ" (บริสุทธิ์) สมฉายาท่านจริงๆ ท่านพูด "กู" "xx" กับใครเขาก็ไม่ถือว่าเป็นคำหยาบ กลับฟังแล้วน่ารักเสียอีก
ตรงข้าม ถ้าหลวงพ่อคูณท่านเปลี่ยนมาพูดไพเราะกับใครเข้า ใครคนนั้นคงตกใจ นึกว่าหลวงพ่อด่าแน่นอน ฮิฮิ
เรื่องของวาสนา
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่องของวาสนา
โพสต์ที่ 1
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่องของวาสนา
โพสต์ที่ 2
ย้อนมาพูดถึงพระปิลินทวัจฉะต่อ วันหนึ่งท่านเห็นพ่อค้าคนหนึ่งขับเกวียนบรรทุกดีปลีผ่านมา จึงถามว่า "บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย" ชายคนนั้น พอได้ยินก็ฉุนกึกทันที พระอะไร(วะ) พูดจาไม่เข้ารูหูคน จึงตะโกนตอบด้วยเสียงขุ่นๆ ว่า "บรรทุกขี้หนู เว้ย ไอ้ถ่อย"
เขาขับเกวียนไปเรื่อยๆ หารู้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดีปลีของตน พอถึงตลาดนัดกลางเมือง ก็จอดเกวียนเตรียมขนดีปลีลงมาขาย
ก็เบิกตาด้วยความตกใจสุดขีด ดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูหมดเลย !
ประชาชนมุงดูด้วยความประหลาดใจ คนพิเรน (ไม่มี ทร การันต์นะครับ) อะไรวะเอาขี้หนูมาขาย
เจ้าหนุ่มเจ้าของดีปลีทำอะไรไม่ถูก ยืนเซ่ออยู่ตั้งนาน เล่าเรื่องราวให้ประดา"แขกมุง" ทั้งหลายฟัง ชายคนหนึ่งในกลุ่มชนนั้นกล่าวว่า เขา (ชายหนุ่ม) คงล่วงเกินพระอรหันต์เข้าแล้ว จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ ทางที่ดีควรไปกราบขอขมาท่านเสีย
ไม่รอช้า เขากลับไปขอขมาท่าน ท่านยิ้ม กล่าวว่า "ไม่เป็นไร ไอ้ถ่อย อาตมายกโทษให้"
เมื่อเขากลับมา ขี้หนูได้กลับเป็นดีปลีตามเดิม
อีกเรื่องหนึ่ง พระสารีบุตรอัครสาวก ว่ากันว่าท่านมีอารมณ์ศิลปิน หรือถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็ว่าท่านมีอารมณ์โรแมนติคมิใช่น้อย คือเวลาท่านพบสถานที่สวยงาม ท่านคล้ายจะ "ลืมตัว" ไปพักหนึ่ง
วันหนึ่งท่านเดินทางผ่านป่าแห่งหนึ่ง พร้อมภิกษุจำนวนมาก เห็นลำธารใส ไหลเย็น ผ่านโขดหิน กลางป่าเขาลำเนาไพรอันร่มรื่น ท่านกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
พระสงฆ์ที่ติดตามเห็นเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่นึกตำหนิในใจว่า พระอัครสาวกผู้ใหญ่อะไร ทำไมทำอย่างนี้ ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระภิกษุเหล่านั้นคิดอะไรอยู่ จึงตรัสกับพวกเธอว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เราทราบว่าเธอคิดอย่างไรกับสารีบุตร สารีบุตรทำอย่างนั้น มิใช่เพราะ "ติด" ในความสุนทรีย์ของบรรยากาศแห่งภูมิประเทศที่เธอพบเห็นดอก หากแต่เป็น "วาสนา" ของเธอ"
พระพุทธองค์ตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า ในอดีตกาลอันไกลโพ้น พระสารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกันหลายร้อยหลายพันชาติ มาชาตินี้จึงติด "วาสนา" ของลิงมา คือชอบโลดเต้นเมื่อดีใจ
เรื่องอย่างนี้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ทางศาสนา (ขอบอไว้ก่อนว่า ไม่มีในพระไตรปิฎกหรอก แต่มีในหนังสือระดับอรรถกถา) ถึงจะเป็นคัมภีร์รุ่นหลังพระไตรปิฎก ก็ฟังๆ ไว้ไม่เสียหลาย ปุถุชนคนกิเลสหนาอย่างเราท่าน ภูมิปัญญาหรือความสามารถยังห่างไกลเกินกว่าจะชี้ว่า เรื่องนี้จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ จริงไหมครับ
ว่าไปแล้ว เรื่องอย่างนี้เป็นวิบากแห่งกรรมที่ทำสืบเนื่องยาวนานจน "ติด"ตัวไม่รู้กี่อสงไขยกัป ว่าอย่างนั้นเถอะ ติดจนแกะไม่ออก แม้ว่ากิเลสตัณหาจะละได้ดังกรณีพระอรหันต์ แต่ "สิ่ง"ที่ว่านี้กลับละไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
เพราะฉะนั้นบางคนจึงมี "วาสนา"แปลกๆ แก้ไม่หาย ดังพระปิลินทวัจฉะ พระสารีบุตร เป็นต้น
ที่นี้มาว่าถึงหลักวิชา พระท่านว่าบรรดากิเลสทั้งหลาย มีอยู่สาม ตัว ที่ละได้ยากมากคือ
(1) ตัณหา ความทะยานอยาก ความอยากได้ อยากจะเอามาเพื่อตัวเอง และโคตรเหง้าของตัว
(2)มานะ ความต้องการให้ตัวเด่น อยากเด่นอยากดัง อยากให้ตัวเองเป็นคนสำคัญ
(3)ทิฐิ ความเห็น ความดื้อร้นในความเห็นของตัว คนอื่นจะว่ากูผิด กูควรแสดงคามรับผิดชอบจะด้วยการถอนตัวหรืออย่างไรก็ตามที แต่กูถูก กูไม่เห็นผิดกฎเกณฑ์อะไร ทำถูกต้อง ยุติธรรม (ตามแบบกู) ทุกอย่าง ประมาณนั้น
เพรามันละยากปานนี้ ท่านจึงเรียกว่า "ปปัญจธรรม" (สิ่งที่ทำให้เนิ่นช้า หรือสิ่งทำให้ล่าช้า) เพราะตัณหา มานะ ทิฐิ ทั้ง สามนี้แล จึงทำให้เกิดความวกวนวุ่นวาย นัวเนีย อีนุงตุงนังอยู่กับเรื่อง "ตัวตน"ทั้งนั้น ตัณหาก็เห็นแก่ตัว เอาเพื่อตัว มานะ ก็ถือตัว มุ่งให้ตัวเด่นดัง ทิฐิ ก็ถือความเห็นของตัว รั้น เชื่อแต่ตัว ไม่ฟังใคร
คนไทยชอบพูดกันแต่ โลภะ โทสะ โมหะ ควรหันมาสนใจกิเลสที่อีกพวกหนึ่งที่สร้างความวุ่นวายไม่แพ้กันคือ ตัณหา มานะ และทิฐิ และหาทางลดๆ กั้นบ้าง
เหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เป็นเครื่องชี้ถึงบทบาทของ ตัณหา มานะ ทิฐิ ได้ดีที่สุด เพราะคนที่เกี่ยวข้องบางคน บางกลุ่มถือเอา "ตัวตน"เป็นที่ตั้ง กูเห็นอย่างนี้ กูจะเอาอย่างนี้ มันก็เลยติดล็อค ติดหล่ม แก้ไม่ได้ เดินหน้าไม่ได้
แม้ศาลทั้งสามศาลจะช่วยกันชี้ทางออกตามตัวบทกฎหมาย ตามความถูกต้องยุติธรรม เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง เพื่อสนองกระแสพระราชดำรัสที่ทรงวางพระทัยในการแก้ปัญหาของชาติ แต่ก็ติดขัดที่ตัณหา มานะ ทิฐิ ของบางคนบางกลุ่ม ทำให้การแก้ปัญหาทำท่าจะ "ติดหล่ม ติดล็อค" ต่อไปอีก
สมแล้ว ที่ตัณหา มานะ ทิฐิ ทั้งสามนี้เป็นต้นตอของ "วาสนา" (ในความหมายของคำ) จริงๆ เพราะมันพอกในจิตใจปุถุชนแน่นหนามาก หนายิ่งกว่ากระเบื้องตราช้างหลายร้อยเท่า กะเทาะ กระทืบอย่างไรก็ดูจะสุดวิสัย
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
"เราจะบอกทางเจริญแก่พวกเธอที่มาประชุมกันในที่นี้ ขอให้ขุดรากถอนโคนตัณหา (มานะ ทิฐิ) ดุจถอนหญ้ารก เมื่อรากมันแข็งแรง มันก็จะงอกขึ้นใหม่อีก ทางที่ดีต้องขุดรากถอนโคนมันให้หมด เมื่อตัณหา (มานะ ทิฐิ) ที่ฝังแน่นในจิตสันดานถูกขจัดทำลายสิ้น พวกเธอก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป" (พุทธวจนะในขุททกนิกาย ธรรมบท)
เด็ดแค่ใบ แค่กิ่งคงไม่พอนะครับ ต้องขุดทิ้งทั้งต้นทั้งกอเลยทีเดียว ฮิ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่องของวาสนา
โพสต์ที่ 3
วาสนา อ่านว่า "วาสะนา" เทียบกับคำไทยว่า "สันดาน" :shock:
(คัดลอกมาจากบทความ ไม่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง)
"ไปไหนมา ไอ้ถ่อย" สบายดีหรือ "ไอ้ถ่อย" :shock:
(คัดลอกมาจากบทความ ไม่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง)
"ไปไหนมา ไอ้ถ่อย" สบายดีหรือ "ไอ้ถ่อย" :shock:
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่องของวาสนา
โพสต์ที่ 4
วันหลังก็เป็นศัพท์ใหม่นะครับ
ว่าถ้าใคร หน้าด้าน หน้าทน ดันทุรัง ไม่สนคนด่าทั้งที่ทำเรื่องไม่ถูกต้องมากๆ แล้วยังไม่เลิกทำ
ก็บอกว่า นี่คุณยังจะ "วาสนา" อีกเหรอ? คนอะไร๊ "วาสนา" ซะจริง
แบบนี้น่าจะดี
ปล. อ้อ จำนามสกุล "เพิ่มลาภ" ไว้ดีๆ ด้วยนะครับ ตระกูลมี คนชื่อ วาสนา ทำอะไร "วาสนาๆ" ไว้
ว่าถ้าใคร หน้าด้าน หน้าทน ดันทุรัง ไม่สนคนด่าทั้งที่ทำเรื่องไม่ถูกต้องมากๆ แล้วยังไม่เลิกทำ
ก็บอกว่า นี่คุณยังจะ "วาสนา" อีกเหรอ? คนอะไร๊ "วาสนา" ซะจริง
แบบนี้น่าจะดี
ปล. อ้อ จำนามสกุล "เพิ่มลาภ" ไว้ดีๆ ด้วยนะครับ ตระกูลมี คนชื่อ วาสนา ทำอะไร "วาสนาๆ" ไว้
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่องของวาสนา
โพสต์ที่ 5
อืม... คุณ Gump ระวังหน่อยนา
หลีกเลี่ยงการอ้างถึงตัวบุคคล โดยการใช้ชื่อ สกุล จริงเพื่อ safe ตัวเองดีกว่านะครับ
บทความของอาจารย์เสถียรพงษ์ ปราชญ์ด้านพุทธศาสนา
เขาพูดคำว่า "วาสนา" โดยยกพุทธประวัติ
ผมก็ comment ตามบทความนั้น
ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยจริงๆ ... :lol:
หลีกเลี่ยงการอ้างถึงตัวบุคคล โดยการใช้ชื่อ สกุล จริงเพื่อ safe ตัวเองดีกว่านะครับ
บทความของอาจารย์เสถียรพงษ์ ปราชญ์ด้านพุทธศาสนา
เขาพูดคำว่า "วาสนา" โดยยกพุทธประวัติ
ผมก็ comment ตามบทความนั้น
ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยจริงๆ ... :lol:
"Winners never quit, and quitters never win."