เสียงเรียกร้องจากท้องถนน (บทความ)

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

เสียงเรียกร้องจากท้องถนน (บทความ)

โพสต์ที่ 1

โพสต์

La France : Le pays où la rue joue le rôle important (เสียงเรียกร้องจากท้องถนน)
 
โดย นางสาวกิตยาภรณ์ ประยูรพรหม นักศึกษากฎหมายระดับปริญญาเอกสาขากฎหมายมหาชนเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยปารีส12 ประเทศฝรั่งเศส  


     การชุมนุม การเดินขบวนและการประท้วงนัดหยุดงานถือได้ว่าเป็นวิธีการหนึ่งของการแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย จุดประสงค์ในการชุมนุมนั้นอาจจะเพื่อคัดค้านในตัวบทกฎหมาย ในนโยบายของประเทศ และอาจรวมไปถึงการคัดค้านขับไล่ผู้นำประเทศ บรรยากาศการชุมนุมอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น การชุมนุมประท้วงของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย ทักษิณ..ออกไป หรือ ฝ่ายทักษิณสู้ๆ ต่างฝ่ายต่างก็ชุมนุมกันอย่างสงบ ไม่เกิดการปะทะหรือเผชิญหน้ากัน
     
      ในระหว่างที่คนไทยกำลังเกาะติดกับสถานการณ์การประท้วงในประเทศนั้น ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่างฝรั่งเศสก็มีการชุมนุมประท้วงเช่นกัน หากกล่าวถึงการชุมนุมประท้วงและการนัดหยุดงานในฝรั่งเศสนั้น อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ในปีหนึ่งๆจะมีการชุมนุมและนัดหยุดงานกันเสมอโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จลาจลเริ่มจากชานเมืองปารีสลุกลามไปเมืองต่างๆทั่วประเทศเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา มีการเผารถยนต์ สถานที่ราชการ ห้างร้าน อาคารบ้านเรือน ทำให้เกิดความเสียเป็นอย่างมากต่อภาครัฐและภาคเอกชน จนรัฐบาลตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์การชุมนุมประท้วงและนัดหยุดงานของชาวฝรั่งเศสต่อสายตาชาวโลกเต็มไปด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง
     
      สำหรับการชุมนุมประท้วงใหญ่ครั้งล่าสุดที่ยืดเยื้อตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์และเพิ่งเริ่มจะบางเบาเมื่อไม่กี่วันมานี้นั้น เกิดจากการที่นายกรัฐมนตรี Dominique De Villepin ใช้อำนาจตามมาตรา 49-3 รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ค.ศ. 1958 (1) ให้รัฐสภาผ่านร่างกฎหมาย ความเสมอภาคทางด้านโอกาส (Le projet-loi sur légalité des chances) (2) โดยที่รัฐสภาไม่ต้องทำการลงมติ หากภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากที่นายกรัฐมนตรีขอผ่านร่างกฏหมายตามมาตรา 49-3 ไม่มีการเสนอและลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ถือว่าผ่านสภา ประเด็นที่น่าสนใจคือ ร่างกฎหมายความเสมอภาคทางด้านโอกาส ยังไม่มีการทำประชาพิจารณ์หรือปรึกษาสหภาพแรงงานแต่อย่างใดทั้งนี้รัฐบาลให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรได้รับการอนุมัติโดยเร็ว ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวก็ผ่านสภา และประกาศในรัฐกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นที่เรียบร้อย
     
      เหตุที่นายกรัฐมนตรี De Villepin เร่งให้สภาผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้เพราะในสังคมฝรั่งเศสนั้นมีเรื่องให้แก้ไขเร่งด่วนไม่เฉพาะแต่ปัญหาด้านเศรษฐกิจ (การว่างงาน การย้ายการลงทุนไปยังประเทศยุโรปตะวันออก ฯลฯ) แต่ยังมีปัญหาเรื่องความสมานฉันท์ของคนในชาติ กล่าวคือ หากพิจารณาถึงบริบททางด้านสังคมและวัฒนธรรมของฝรั่งเศสจะพบว่าปมปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่าง คนฝรั่งเศสแท้ๆ กับ คนฝรั่งเศสที่มีเชื้อสายอื่นๆยังคงค้างคาอยู่ในใจชาวฝรั่งเศสหลายๆคน โดยเฉพาะคนฝรั่งเศสที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวประเทศอาณานิคมนั้นยังคงคิดว่าตนเองได้รับการเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐและนายจ้าง เพื่อคลี่คลายปมปัญหาดังกล่าวจึงมีการเสนอให้ผ่านร่างกฎหมายว่าด้วย ความภาคทางด้านโอกาส (Le projet-loi sur légalité des chances) ฉบับนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกันทั้งในเรื่องโอกาสในการศึกษาและโอกาสในการทำงาน ลดการเลือกปฏิบัติจากอำนาจรัฐ อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน อันนำไปสู่การลดปัญหาการว่างงานของบัณทิต อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีประกาศจะเสนอผ่านร่างกฎหมายจนถึงวันนี้ได้เกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงไม่ยอมรับร่างกฎหมายและกฏหมายฉบับดังกล่าวโดยนักเรียน นักศึกษา หนึ่งในสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ซึ่งเป็นชนวนของการประท้วงและเกิดความรุนแรง คือ มาตรา 8 ว่าด้วย สัญญาการจ้างงานครั้งแรก ( Le Contrat Première Embauche CPE)
     
      ตามกฎหมายแรงงานฝรั่งเศส สัญญาจ้างงานอาจแบ่งได้เป็นสัญญาที่ระบุระยะการจ้างงาน (Le Contrat à Durée Déterminée CDD) และสัญญาที่ไม่ระบุระยะการจ้างงาน (Le Contrat à Durée Indéterminée CDI) ในสัญญาทั้งสองประเภทนี้นายจ้างสามารถบอกเลิกจ้างได้โดยที่ต้องระบุเหตุผลในการเลิกจ้างนั้นๆ และลูกจ้างยังได้รับเงินชดเชยจากการเลิกจ้างในอัตราอย่างน้อยร้อยละ 10 ของค่าตอบแทนทั้งหมด รวมถึงได้รับค่าชดเชยหากลูกจ้างไม่ได้ใช้สิทธิลาพักร้อน
      แต่ สัญญาการจ้างงานครั้งแรก หรือ CPE นั้น เป็นสัญญาที่บริษัทของเอกชนที่มีลูกจ้างมากกว่า 20 คน สามารถเสนอแก่ผู้สมัครงานที่อายุต่ำกว่า 26 ปีได้ สัญญาชนิดนี้ไม่ระบุระยะเวลาการจ้างงาน แต่ประเด็นที่ก่อให้เกิดการประท้วงและจลาจล คือ กฎหมายได้กำหนดว่าในระยะสองปีแรกของการทำงานถือเป็นช่วง ทดลองงาน ซึ่งนายจ้างสามารถบอกเลิกงานได้ทุกเมื่อแต่ต้องแจ้งล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กฎหมายระบุ (สองสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเริ่มต้นสัญญา) โดยที่ไม่ต้องให้เหตุผลของการเลิกจ้าง แต่ลูกจ้างจะยังได้รับค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้าง เป็นจำนวนร้อยละ 8 ของค่าตอบแทนที่ได้รับตั้งแต่การเริ่มสัญญาจ้างงาน หากถูกเลิกจ้างหลังจากทำงานมากกว่าสี่เดือนก็จะได้รับเงินชดเชยเพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อผ่านระยะสองปีแรกไปแล้วสิทธิของลูกจ้างตามสัญญา CPE ก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานเฉกเช่นลูกจ้างตามสัญญาที่ไม่ระบุระยะการเลิกจ้าง (Le Contrat à Durée Indéterminée CDI)
     
      หากมองถึงกฎหมายฉบับนี้ในมุมมองของรัฐบาล รัฐบาลคาดการว่ากฎหมายใหม่นี้จะสร้างงานใหม่ได้ถึง 80,000 ตำแหน่ง โดยเฉพาะมาตรา 8 ที่ถือว่าเป็นปัญหา จะเห็นว่า สัญญาการจ้างงานครั้งแรก (CPE) จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของแรงงานอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถลดอัตราการว่างงานในบรรดาผู้เพิ่งจบการศึกษาได้ สร้างความมั่นคงในระยะยาวให้แก่ลูกจ้างเพราะสัญญานี้เมื่อพ้นระยะสองปีแรกก็จะถือว่าเป็นสัญญาที่ไม่ระบุระยะการจ้างงานได้ อีกทั้งจะทำให้เกิดการแข่งขันในการพัฒนาฝีมือและศักยภาพการทำงานของแรงงานมากขึ้น อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
     
      หากมองในมุมของประชาชน เนื่องด้วยความที่ฝรั่งเศสเป็นรัฐสวัสดิการ ดังนั้น แม้เพียงมีการออกกฎหมายที่เอื้อผลประโยชน์ต่อผู้ประกอบการหรือนายจ้างเพียงเล็กน้อยและมีการริดรอนสิทธิของแรงงาน ประชาชนก็มักจะออกมาแสดงพลังเสียงของเจ้าของประเทศที่แท้จริงในทันที เช่น กฎหมายฉบับว่าด้วย ความเสมอภาคทางโอกาส (Le projet-loi sur légalité des chances)นี้ ที่ประชาชนเห็นว่าได้เอื้อผลประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ กล่าวคือ หากบริษัทต้องการเพิ่มผลผลิตในระยะสั้นๆ เช่น สินค้าจำพวกที่ใช้เป็นฤดูกาล ก็สามารถว่าจ้างแรงงานมาเพิ่มผลผลิตเป็นการเร่งด่วนได้ทุกเมื่อและเมื่อไม่ต้องการแรงงานเหล่านั้นแล้วก็สามารถบอกเลิกได้โดยไม่ต้องให้เหตุผล ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องในการบริหารแรงงานและบุคลากร ข้อดีอีกประการสำหรับผู้ประกอบการและนายจ้างคือ รัฐบาลได้สนับสนุนให้เกิดการจ้างงานแก่ผู้สมัครงานที่อายุต่ำกว่า 26 ปี ด้วยสัญญาการจ้างงาน CPE ดังกล่าว ดังนั้นหากบริษัทใดมีการจ้างแรงงานด้วยสัญญาประเภทนี้ก็จะได้รับการลดหย่อนเงินภาษีที่นายจ้างต้องจ่ายให้รัฐเป็นเวลาสามปีอีกด้วย
     
      เป็นที่น่าสังเกตว่าการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ ผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่คือนักเรียนและนักศึกษา เหตุเพราะผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ คือ ผู้สมัครงานที่อายุต่ำกว่า 26 ปี ซึ่งก็คือบัณฑิตจบใหม่นั่นเอง ในมุมมองของกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มนี้อาจพิจารณาได้ในหลายประเด็น
     
      ประเด็นแรก การที่กฎหมายให้สิทธิแก่นายจ้างในการที่จะสามารถบอกเลิกการจ้างงานได้ตลอดระยะเวลาการทดลองงานสองปีแรกนั้นก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในอาชีพต่อลูกจ้าง อาจกล่าวได้ว่า สัญญาการจ้างงานครั้งแรก (CPE) นั้นสร้างความไม่มั่นคงในอาชีพให้แก่ลูกจ้างมากกว่าสัญญาที่ระบุระยะการจ้างงาน (CDD) กล่าวคือ สัญญาการจ้างงานครั้งแรกนั้นแม้ว่าเมื่อผ่านพ้นระยะทดลองงานสองปีแรกไปแล้วจะมีคุณสมบัติเหมือนสัญญาที่ไม่ระบุระยะการเลิกจ้าง (CDI) แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าลูกจ้างจะไม่ถูกไล่ออก แม้ไม่ได้กระทำความผิดแต่ก็อาจจะถูกให้ออกได้ทุกเมื่อภายในระยะสองปีแรก
     
      นอกไปจากนี้ แม้ว่าในทางกฏหมายลูกจ้างจะได้รับสิทธิและมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองได้ภายใต้กฏหมายแรงงาน แต่ในทางปฏิบัติลูกจ้างจะไม่มีสามารถออกมาเรียกร้องสิทธิของตนเองตามกฏหมายแรงงานระหว่างช่วงทดลองงานได้ ทั้งนี้เพราะกฏหมายได้ให้สิทธิแก่นายจ้างในการบอกเลิกจ้างได้โดยที่ไม่ต้องให้เหตุผล อันก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมแก่ลูกจ้างภายใต้สัญญาCPE ซึ่งแตกต่างกับสัญญาที่ระบุระยะการจ้างงาน (CDD)ในจุดที่ว่าแม้สัญญา CDDจะเป็นสัญญาที่ระบุระยะเวลาการจ้างงานในระยะสั้นๆ คือไม่เกินสิบแปดเดือน แต่ตลอดระยะเวลาของการทำสัญญาจ้างนั้น นายจ้างไม่สามารถให้ลูกจ้างออกจากงานโดยปราศจากเหตุผลที่เหมาะสม
     
      อีกประการหนึ่ง สมาชิกวุฒิสภาจำนวนหกสิบคนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหกสิบคนได้ร้องขอต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างกฎหมายดังกล่าว เช่น ในประเด็นว่าด้วยความไม่ชอบด้วยกฎหมายแรงงานเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง (ระยะเวลาทดลองงานกว่าสองปี สามารถให้ออกงานโดยไม่ต้องระบุเหตุผล ฯลฯ) และในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2549 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าร่างกฏหมายว่าด้วย ความเสมอภาคทางโอกาส ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (3) โดยเฉพาะต่อย่อหน้าที่ 5 ของคำปรารถของรัฐธรรมนูญลงวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ.1946ที่ว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะมีงานทำ บุคคลไม่อาจถูกกระทบสิทธิต่อการทำงานหรือต่องานที่ได้รับจ้าง เพราะเหตุผลของชาติกำเนิด ความคิดเห็น ความเชื่อของบุคคลนั้น (4) นอกจากนี้คณะตุลาการศาลยังให้เหตุผลว่า เนื่องด้วยเยาวชนและบัณฑิตจบใหม่จัดเป็นบุคคลด้อยโอกาส ( Des personnes défavorisées) อีกทั้งยังไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญข้อใดห้ามฝ่ายนิติบัญญัติในการออกมาตรการพิเศษเพื่อช่วยเหลือบุคคลด้อยโอกาส (des personnes défavorisées) จึงสมควรเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะเสนอสัญญาการจ้างงานชนิดใหม่เพื่อเอื้อให้เยาวชนสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ง่ายขึ้น และหากลูกจ้างจากสัญญา CPE จะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากลูกจ้างอื่นๆก็เพื่อที่จะบรรลุจุดประสงค์ที่ฝ่ายนิติบัญญัติประสงค์ คือ ก่อให้เกิดการจ้างงานเยาวชนและบัณฑิตจบใหม่มากที่สุด
     
      นับแต่การประกาศความประสงค์ของนายกรัฐมนตรีที่จะเสนอร่างกฎหมายจนถึงวันที่ประกาศใช้บังคับกฎหมายว่าด้วย ความเสมอภาคทางด้านโอกาส กลุ่มนักเรียน นักศึกษาได้ออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างรุนแรง มีการปิดสถานศึกษาเป็นเวลาเกือบสองเดือน สร้างความวุ่นวายให้แก่สังคมฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ในท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีฌากส์ ชีรักได้ประกาศยกเลิกมาตรา 8 ว่าด้วย สัญญาการจ้างงานครั้งแรก ในวันที่ 13 เมษายนรัฐสภาได้ผ่านร่างกฎหมาย การเข้าสู่ตลาดแรงงานในบริษัทของเยาวชน ( Loi sur l'accès des jeunes à la vie active en entreprise) เพื่อใช้แทนมาตรา 8 ข้างต้น
     
      ข้อเสนอและวิธีการเพื่อยุติปัญหาดังกล่าวของรัฐบาลส่งผลให้ในหลายโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่งลงมติที่จะกลับมาทำการเรียนการสอนแล้ว แต่ยังมีอีกหลายๆแห่งที่ยังยืนยันที่จะให้รัฐบาลประกาศยกเลิกกฎหมายทั้งฉบับมิใช่เพียงมาตรา 8 เพียงข้อเดียว อย่างไรก็ตามการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ก็เป็นผลดีต่อโรงเรียนกวดวิชาต่างๆโดยเฉพาะหลักสูตรกวดวิชาของนักเรียนที่จะต้องสอบเพื่อรับประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาที่หลายๆแห่งมีนักเรียนมาสมัครเพิ่มกว่าปีก่อนๆ สูงถึงสองถึงสามเท่า
     
      ผลพวงอีกประการหนึ่งของ การเห็นแย้งกับความคิดเห็นของประชาชน ที่มีต่อรัฐบาลคือ รัฐบาลไม่กล้าที่จะเสนอร่างกฎหมายห้ามการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ทั้งนี้เพราะเกรงว่าเพิ่งจะสงบศึกสัญญา CPEไปได้ไม่นาน ก็ต้องมาเตรียมรับมือกับผู้ชุมนุมประท้วงเรื่องการสูบบุหรี่อีก ที่สำคัญ ประเทศฝรั่งเศสจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2007 ที่จะถึงนี้ จึงไม่เป็นการดีแน่ต่อผู้ที่ฝันใฝ่ตำแหน่งผู้นำประเทศที่จะดำเนินนโยบายประชาไม่นิยม และหลังจากการประท้วงเรื่องสัญญาการจ้างงานครั้งแรกผ่านไป นักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายๆ คนได้ให้ความเห็นว่าอนาคตทางการเมืองที่เคยทำท่าจะรุ่งโรจน์ของนายก De Villepin ได้ดับสนิทเสียแล้ว
     
      เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสคงจะสะท้อนให้หลายๆ ฝ่ายได้ตระหนักว่า วันใดที่เจ้าของประเทศที่แท้จริง รวมพลังกันออกมาร้องตะโกนบนถนน คนที่มีเสียงข้างมากในสภาควรจะรับฟังไว้บ้างก็น่าจะดีไม่น้อย
     
      เชิงอรรถ
      1. มาตรา 49-3 รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ค.ศ. 1985 นายกรัฐมนตรีหลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว อาจขอผูกพันความรับผิดชอบของรัฐบาลต่อสภาผู้แทนราษฎรไว้กับการลงมติผ่านร่างรัฐบัญญัติฉบับใดฉบับหนึ่งได้ ในกรณีดังกล่าวถือว่าสภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบร่างรัฐบัญญัติฉบับนั้นแล้ว เว้นแต่จะมีการเสนอญัตติไม่ไว้ใจรัฐบาลภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากนั้น และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในวรรคก่อน ( ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์, คำแปลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ค.ศ. 1985, วิญญูชน, 2549.)
      2. Loi n° 2006-396 du 31 mars 2006 pour l'égalité des chances (JO 02/04/2006, p. 4950)
      http://www.legifrance.gouv.fr/citoyen/j ... CX0500298L
      3. Conseil Constitutionnel Décision n° 2006-535 DC - 30 mars 2006 Loi pour l'égalité des chances
      4. ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์, คำแปลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ค.ศ. 1985, วิญญูชน, 2549

มีคำในภาษาฝรั่งเศสที่อาจผิดเพี้ยนไปไกลเมื่อตัดมาแปะ  สามารถอ่านต้นฉบับได้ที่...

http://www.pub-law.net/publaw/View.asp?publawIDs=903
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

เสียงเรียกร้องจากท้องถนน (บทความ)

โพสต์ที่ 2

โพสต์

บทเกี่ยวเนื่อง....
ความเข้าใจ เรื่องความสงบ

บทนำมติชน 22-4-49

ไม่มีใครหรือสังคมไหนที่ชอบให้เกิดความวุ่นวายโกลาหล หรือปัญหารุนแรงลักษณะต่างๆ ขึ้น ทุกคนย่อมต้องการบ้านเมืองที่สงบสุข ผู้คนทำมาหากินกันไปตามปกติ แต่สังคมเช่นที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ สังคมนั้นมีกฎกติกาในธรรม ที่จะรักษาความเสมอภาคเท่าเทียมของประชาชนได้เป็นอย่างดี ฝ่ายบริหารและตัวแทนประชาชนทำหน้าที่รับผิดชอบ อยู่ในสายตาประชาชนโดยใกล้ชิด ทำให้มาตรฐานผู้คนเรื่องความตระหนักในผิดชอบชั่วดีไม่ห่างไกลกันนัก

แต่จะไม่มีสังคมใดเลย โดยเฉพาะที่เติบโตมาในระบอบประชาธิปไตย จะสงบสุขอยู่ได้ท่ามกลางฝ่ายบริหารและตัวแทน ที่มุ่งเข้าสู่อำนาจการเมืองเพื่อฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นหลัก มิได้คำนึงถึงหน้าที่รับผิดชอบของการเป็นนักการเมืองแต่อย่างใด สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยความยากจน ป่วยไข้ และคนไร้การศึกษา ง่ายต่อการใช้เงินปลุกปั่นให้ประจันหน้ากันอย่างไร้สติ อันเป็นวิธีที่นักโกงกินบ้านเมืองทั้งหลายทั่วโลกทำกันราวกับลอกเลียน ในการสูบเลือดเนื้อประชาชน

สังคมเช่นนั้นย่อมเกิดการเรียนรู้ที่จะประท้วง ต่อต้าน และขับไล่ให้กาฝากสังคมเหล่านั้นพ้นวงจรไปให้ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีช่วงเวลาหนึ่ง ที่ประชาชนด้วยกันต้องอดทนเรียนรู้เล่ห์กลการเมืองสามานย์ โดยพยายามกำจัดกาฝากให้สิ้น ด้วยการร่วมมือกันชุมนุมขับไล่ ในเมื่อองคพายพต่างๆ ที่ต้องบำรุงประชาชนถูกครอบงำเสียแล้ว ก็ย่อมไม่มีทางอื่นที่จะแสดงออก เพราะประชาชนมีเพียงชีวิตเป็นเครื่องมือเดียว ที่จะนำออกต่อสู้ความชั่วร้ายของนักโกงกินได้

เพราะฉะนั้น ก่อนที่บ้านเมืองจะเข้ารูปเข้ารอย มีกติกาที่เอื้อสังคมอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ผู้คนมีสติปัญญาและประสิทธิภาพ ที่จะอาสาทำงานสาธารณะเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องผ่านเวลาที่โกลาหลหรือรุนแรงไปทั้งสิ้น เนื่องจากกาฝากที่อยู่ในศูนย์อำนาจทั้งหลาย ก็ย่อมต้องดึงดันตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน ที่จะปล่อยให้โอกาสร่ำรวยจากการโกงกินหลุดลอยไป สภาพการณ์เช่นนี้คงไม่มีใครพาซื่อเรียกร้องหาความสงบกันอย่างไร้เดียงสา

ที่จริง สภาพแวดล้อมของสังคมไทยก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า แม้ขณะที่คนจำนวนมากยังชมรัฐบาลเก่าว่ามีความสามารถทางเศรษฐกิจ แต่การเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมาก็มิได้แก้ปัญหาตรงรากได้แท้จริง ช่องว่างคนรวยคนจนยิ่งถ่างกว้างออกเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับถ้อยคำหาเสียงของผู้นำ ปัญหาสังคมทับถมกันหนักหนา ชั้นแต่ปัญหาอาชญากรรมที่ฆ่าฟันกันทุกวัน ก็ไม่ทำให้สังคมสงบสุขเสียแล้ว การประจันหน้ากับนักเลือกตั้งโกงกินบ้านเมืองจึงยิ่งเป็นเรื่องธรรมดา

การถูกเป่าหูเรื่องความสงบที่ไม่แก้ไขปัญหา หรือความสามัคคีที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้ หากฝ่ายหนึ่งยังกดขี่ขูดรีดคนส่วนมากอีกฝ่ายอยู่ ประชาชนจึงต้องไม่หลงไปกับการชักจูงดังกล่าว ตรงกันข้าม กลับต้องสนับสนุนเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ให้บรรดานักโกงกินเห็นว่าหมดสมัยที่จะใช้เล่ห์กลของตรรกถ้อยคำหลบหนีทัณฑ์สังคมอีกต่อไป ด้วยการชุมนุมประท้วงตามกฎหมายทุกครั้งที่จับได้ไล่ทันพิรุธนักโกงกินบ้านเมือง ไม่ให้หลุดรอดลอยนวลอีกต่อไปได้

http://www.matichon.co.th/matichon/mati ... 2006/04/22
โพสต์โพสต์