เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ มี.ค. 04, 2006 5:10 am | 0 คอมเมนต์
ทฤษฎีไร้ระเบียบกับซุนหวู่
โดย ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ 3 มีนาคม 2549 18:25 น.
นักวิชาการหลายคนที่สนใจเรื่องระบบซับซ้อน(complex system) ได้แบ่งประเภทของความซับซ้อนไว้อย่างน่าสนใจว่ามันมีด้วยกัน 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความซับซ้อนที่มีพลวัต(dynamic complexity) ความซับซ้อนทางสังคม( social complexity ) และความซับซ้อนที่บานปลาย(generative complexity) ถ้าระบบใดที่ความซับซ้อนยังมีดีกรีต่ำการแก้ปัญหาแบบวิธีเดิมก็พอจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าระบบใดที่มีความซับซ้อนสูงจนถึงขั้นสูงยิ่ง วิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว เช่นวิธีการ สั่งการและควบคุม(command and control) จะไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะระบบที่มีความซับซ้อนสูงจะไม่ทำงานดุจดังเครื่องจักรที่เดินไปเป็นเส้นตรง และยิ่งความซับซ้อนทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงกันและกัน ระบบมันจะเดินไม่ปกติ มันจะคดเคี้ยวพลิกผันได้ง่าย สถานการณ์และพฤติกรรมของระบบจะขึ้นๆลงๆ มีทิศทางที่คาดเดายาก ระบบใดก็ตามเมื่อเข้ามาอยู่ในสภาวะเช่นนี้จะเปราะบาง กระทบง่ายเรื่องเล็กๆสามารถส่งผลกระทบปฏิกริยาลูกโซ่และมีการป้อนกลับกันไปมาเชิงยกกำลัง(reinforcing feedback) จนบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทฤษฎีไร้ระเบียบหรือบางคนเรียกว่าทฤษฎีโกลาหล(chaos theory) ได้พูดเชิงอุปมา ผลกระทบผีเสื้อ(butterfly effect) ผลกระทบผีเสื้อนั้นคนไทยเราน่าจะยังจดจำกันได้ดีเพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับสังคมไทยมาแล้วสองครั้งในเวลาไม่ถึง10ปี
ครั้งแรกคือเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในกรุงเทพฯแล้วเป็นโรคระบาดลามไปทั่วทั้งทวีปเอเซียจนกระทบไปถึงทวีปอเมริกาใต้ที่ฝรั่งเรียกว่า โรคระบาดต้มยำกุ้ง เหตุการณ์เชิง ผีเสื้อกระพือปีกครั้งที่สองก็เป็นกรณีที่หนังสือพิมพ์เขมรอ้างว่า น้องกบสุวนันท์ คงยิ่งกล่าววาจาดูถูกคนเขมรทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงคนไทยจนเกิดบานปลายถึงขั้นเผาสถานทูตไทยและกิจการร้านค้าของคนไทย จากเรื่องที่ไม่มีอะไรกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงระหว่างประเทศ
ทฤษฎีไร้ระเบียบเตือนให้เราคิดและทำด้วยจิตปัญญา(contemplative thinking) ให้มองเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดของระบบ และตระหนักต่อสภาพอ่อนไหวเปราะบางของระบบเมื่อมันเคลื่อนตัวไกลออกมาจากจุดสมดุลย์(far from equilibrium) ทฤษฎีไร้ระเบียบย้ำอย่าหนักแน่นว่าการจัดการกับสถานการณ์ที่อ่อนไหวยิ่งเช่นนี้ไม่ควรใช้กำลังและความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาเพราะจะยิ่งทำให้ทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงไปกว่าเดิมอีก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ มี.ค. 04, 2006 5:11 am | 0 คอมเมนต์
ผมมีโอกาสได้อ่านบทความของจิม จิเมียน( Jim Gimian) ที่เขียนลงในนิตยสาร Shambhala Sun ฉบับมกราคม 2544 เขาได้ตีความตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ไว้อย่างน่าสนใจ และผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์สังคมและการเมืองที่เปราะบางกระทบง่าย ณ เวลานี้
ซุนหวู่ได้ย้ำ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องทำสงคราม ซึ่งหมายถึงการเอาชนะความขัดแย้งโดยไม่ต้องใช้กำลังนั่นเอง จิมพูดว่าจะทำเช่นนี้ได้ ต้อง taking whole หรือหมายถึงต้องคิดเป็นองค์รวม ต้องเห็นภาพใหญ่ทั้งหมด คือ เห็นทั้งตัวเรา เห็นคู่ต่อสู้และเห็น ฟ้าคือสภาพที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา เป็นอิทธิพลที่เราทำอะไรไม่ได้ แต่เราอาจจะมี ญาณทัศน์(intuition) พอจะสัมผัสได้บางๆ(sense) ว่าจะเป็นอย่างไรหรือไปทิศใด ขณะเดียวกันเมื่อรู้ฟ้า แล้วก็ต้องรู้ดิน ดินคือสภาพการณ์หรือสถานการณ์ที่เป็นจริงในเวลานี้ว่าเป็นอย่างไร เราและคู่ต่อสู้ยืนอยู่ตรงไหน และอย่างไร ดินหรือสถานการณ์เองก็ไม่ได้นิ่ง มันเคลื่อนตัวไปมา เราจำเป็นต้องตระหนักต่อสภาวะดังกล่าวตลอดเวลา ข่าวสารข้อมูลที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็น ผู้นำจะต้องมีอารมณ์สงบรักษาความแจ่มชัดในการพินิจพิจารณาตลอดเวลา สายตาต้องไม่ฝ้ามัวด้วยความโกรธหรือมิจฉาทิฐิ
จิมพูดถึงศิลปะของซุนหวู่ในการทำงานกับความปั่นป่วนและไร้ระเบียบ (chaos) ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ แก่นแท้ของการยุทธ์ และชีวิตที่แท้จริงมักจะทำนายให้แม่นยำได้ยาก มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและสับสนวุ่นวาย ความไร้ระบียบมันเกิดขึ้นเมื่อกติกาเก่า กฎเกณท์เก่าและระบอบเก่ากำลังจะหมดสภาพ แต่ระเบียบใหม่ กติกาใหม่และระบอบใหม่ก็ยังไม่ทันเกิด มันเป็นห้วงเวลาที่ไม่มีอะไรแน่ และเป็นอันตรายเมื่อสรรพสิ่งที่ดูข็งแกร่งได้แตกลงเป็นเสี่ยง ผู้นำที่ชาญฉลาดจะไม่หวั่นไหวกับความปั่นป่วนเขายังสงบเยือกเย็นเพราะเห็นภาพรวม เพราะท่ามกลางความปั่นป่วนสับสนนี้เขาได้เห็นร่องรอยของระบบที่กำลังฟอร์มตัวขึ้นมา ดังเช่นท่ามกลางความดกลาหลวุ่นวายของพายุเฮอริเคนที่เคลื่อนตัวแถบชายฝั่งดูเสมือนทำนายยาก เราสามารถมองเห็นรูปร่าง( pattern) ของมันได้ ความไร้ระเบียบกับความเป็นระเบียบจึงเป็นสองด้านของเหรียญ ทั้งสองส่วนนี้แหละประสบการณ์องค์รวมของเรา เราเห็นความดีและความชั่ว เห็นความไม่เป็นธรรมกับความยุติธรรม เห็นทั้งความสับสนและความแจ่มชัด รู้ว่าทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกันและกันและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ความไร้ระเบียบเกิดจากความมีระเบียบ
ความกลัวเกิดจากความกล้า
ความอ่อนแอเกิดจากความเข้มแข็ง
ห้วงเวลาที่มีความไร้ระเบียบเกิดขึ้นมักเป็นช่วงที่มีความยากลำบากและทุกข์ใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นห้วงเวลาที่มีพลวัต เป็นเวลาของการเปิดกว้างครั้งใหญ่ ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น มันเป็นโอกาสของการสร้างสรรค์ ผู้นำที่ฉลาดต้องมองทะลุเรื่องนี้เห็นศักยภาพของสรรพสิ่งที่กำลังก่อตัวแล้วชื่นชมมัน เพราะเขาไม่หุยดนิ่งอยู่กับที่ทำตัวได้เสมือนน้ำ ความไร้ระเบียบจึงไม่ได้เป็นภัยคุกคามเขา
เมื่อความไร้ระเบียบคือห้วงเวลาที่มีพลานุภาพ เขาจึงรู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ เขาจึงไม่ด่วนลงมือปฎิบัติการเมื่อมันยังไม่สุกงอม เขารู้จักรอคอยอย่างสงบ รอคอยจังหวะที่จะใช้ พลังฉี แม้มันจะไม่มากแต่พลิกสถานการณ์ได้ ผู้นำจะต้องไม่คลาดสายตาจากภาพรวมไม่ปล่อยให้ เฉพาะส่วนที่มาทำลาย ส่วนใหญ่ เขาจึงฝึกฝนตนเองให้มีความลุ่มลึกในวิธีพิจารณา มีสติ และปล่อยวางพฤติกรรมเดิมๆ เขาเห็นทั้งหมด เห็น ฟ้า เห็น ดิน เห็น คู่ต่อสู้ และเห็นตนเองทั้งอารมณ์ความรู้สึก จิตใจทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของตนโดยไม่เข้าข้างตนเอง
สังคมไทยได้ก้าวมาถึงจุดที่มีความเป็นไปได้ทุกอย่าง เรามองเห็นการฟอร์มตัวของสิ่งใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังเมฆดำทมึนหรือไม่ว่ายังมีดวงสุริยานับพันดวงที่กำลังรอจะฉายแสงออกมา Scott Peck ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า A World is Waiting to Be Born เราตระหนักกันใหมว่า สังคมไทยที่มีพลังเข้มแข็งของพลเมืองกำลังรอที่จะผุดบังเกิด
พวกเราทุกคนคือผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลง การเป็นผู้นำที่แท้คือทำสิ่งที่ดีให้เป็นจริง เวลาของผู้นำยุคใหม่มาถึงแล้ว เพราะท่ามกลางความไร้ระเบียบนี่แหละคือโอกาสที่ระบบที่เราปรารถนากำลังก่อรูป
เห็นหน่ออ่อนอันงดงามมีวุฒิภาวะของเยาวชนเพื่อประชาธิปไตยไหม?
ทำไมเราคนไทยจึงไม่ช่วยกันให้ความใฝ่ฝันอันดีงามของเด็กๆเหล่านี้ได้เป็นจริง
ดูภาพใหญ่ที่เป็นอนาคตของชาติเราไว้ ให้แจ่มชัด รักษาอารมณ์ความรู้สึกและความกล้าหาญในการก้าวข้ามกรอบเดิมๆให้ดี อีกไม่นานวันเราจะสู่ ภพใหม่ของสังคมพลเมืองกันแล้ว
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ มี.ค. 04, 2006 6:00 am | 0 คอมเมนต์
วิกฤติคือโอกาส สู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา
3 มีนาคม 2549 18:46 น.
ประเวศ วะสี
ขณะนี้ สังคมไทยโดยรวมกำลังตื่นตัวทั่วพร้อมอย่างไม่เคยมี แต่ขณะเดียวกัน หลายคนมีความรู้สึกตีบตัน หมดหวัง เศร้าหมอง ว่าการเมืองมาถึงทางตัน หวั่นวิตกว่าจะเกิดความรุนแรงนองเลือดหรือจลาจล
วิกฤติคือโอกาส
เพื่อนคนไทยครับ การหาเป็นเช่นนั้นไม่ ท่านทั้งหลายควรมองในแง่ดีและปีติยินดี เพราะวิกฤติคือโอกาส
โอกาสที่สังคมไทยจะยกระดับไปสู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา สังคมไทยโตเต็มภพภูมิเดิมแล้ว พัฒนาต่อไปไม่ได้แล้วในภพภูมิเดิม ถ้ายังติดอยู่ในภพภูมิเดิมมันจะตาย ต้องทะลุไปสู่ภพภูมิใหม่จึงจะเติบโตต่อไปได้
ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา
ลูกไก่ที่อยู่ในไข่ เมื่อเติบโตขึ้นจนคับไข่ ถ้าไม่สามารถจิกเปลือกไข่ออกไปสู่ภพภูมิใหม่นอกเปลือกไข่ มันจะวิกฤติอย่างยิ่งและตาย เด็กที่อยู่ในครรภ์มารดาก็เช่นเดียวกัน เมื่อโตเต็มภพภูมิแห่งชีวิตในครรภ์ แม่จะเจ็บท้องอย่างยิ่งวิกฤติอย่างยิ่ง เด็กต้องออกไปสู่ภพภูมิใหม่นอกครรภ์จึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ถ้าออกไม่ได้จะตายทั้งแม่และลูก
วิกฤตการณ์ของไทยคราวนี้ ก็เพราะชีวิตใหม่กำลังจะเกิด คนไทยจึงควรเข้าใจ ไม่พึงเศร้าหมอง พึงมองในแง่ดี มีสติ มีปัญญา พึงช่วยกันให้มีการเกิดดี เพื่อให้สังคมไทยเติบโตในภพภูมิใหม่ได้อย่างแข็งแรง
น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย
เราได้ยินเรื่องกบอยู่ในหม้อน้ำ ถ้าน้ำค่อยๆ ร้อนขึ้นทีละน้อยๆ กบมันไม่กระโดดหนี เมื่อน้ำร้อนถึงขนาดมันจะตาย แต่ถ้าน้ำร้อนขึ้นโดยกะทันหัน กบมันจะกระโดดหนีและรอดชีวิตได้ นี้แม้ฉันใด สังคมไทยก็เช่นเดียวกัน มีปัญหาหมักหมมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว แต่คนไทยก็ไม่รู้สึกตัว ทั้งปัญหาในโครงสร้างและวิธีคิดของตัวเอง และอันตรายที่รุกรานเข้ามาจากภายนอกในรูปของอารยธรรมตะวันตกอันขาดคุณธรรมและจริยธรรม น่าขอบคุณคุณทักษิณที่มาเร่งไฟหม้อน้ำให้ร้อนขึ้นอย่างกะทันหัน ระอุไปทั้งประเทศ ทำให้กบกระโดดกันใหญ่ เพราะกบกระโดดกันใหญ่นี่แหละจึงรอดตาย
ประเทศไม่วิกฤติปฏิรูปไม่ได้
ประเทศต่างๆ เมื่อดำเนินไปๆ จะสะสมสิ่งที่ไม่ถูกต้องไว้ในวิธีคิดและโครงสร้าง ทำให้แก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้ แต่ก็ปฏิรูปไม่ได้ถ้าไม่วิกฤติประเทศไทยสะสมสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเป็นอย่างมาก เช่น การเมืองแบบศรีธนญชัย ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาที่ผิดๆ การขาดความยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคม ความเฉยเมยทางสังคมและทางวิชาการ สิ่งเหล่านี้สลัดออกไปได้ยากถ้าไม่วิกฤติ
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ มี.ค. 04, 2006 6:01 am | 0 คอมเมนต์
ไม่มีครั้งใดที่สังคมไทยตื่นตัวเรียนรู้ถึงขนาดนี้
ปกติสังคมไทยค่อนข้างเฉยเมยต่อการเรียนรู้ แต่ขณะนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดเรื่องศีลธรรมจริยธรรมเต็มไปหมด เมื่อก่อนพระก็สอนเรื่องคุณธรรมจริยธรรม แต่สังคมไทยก็ไม่ค่อยตื่นตัวเท่าใด แต่คราวนี้มีปัญหาเรื่องผู้ปกครองทำผิดศีลธรรม ซึ่งบางคนก็ว่าขาดทศพิธราชธรรมหรือธรรมของผู้ปกครองทุกข้อ จึงมีความตื่นตัวเรื่องศีลธรรมคุณธรรมจริยธรรมกันมาก
ทุกฝ่ายกำลังเรียนรู้ว่า การที่ทุนขนาดใหญ่เข้ามายึดอำนาจทางการเมืองก็ไม่สามารถปกครองได้ การเรียนรู้ครั้งใหญ่ของสังคมขณะนี้ จะปลุกจิตสำนึกและปลุกจิตวิญญาณของประเทศขึ้น ซึ่งเป็นคุณต่ออนาคตยิ่งนัก
การเมืองไม่ได้มีแต่การเมืองของนักการเมือง แต่มีการเมืองของพลเมืองด้วย
การเมืองไม่ได้มีแต่การเมืองของนักการเมืองเท่านั้น ประชาธิปไตยไม่ได้มีแต่การเลือกตั้งเท่านั้นประชาธิปไตยที่แท้ต้องอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม คือการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันหลากหลาย และมีการเมืองของพลเมืองหรือการเมืองภาคประชาชนด้วย
การชุมนุมใหญ่ได้อย่างสันติเป็นความก้าวหน้าของประเทศไทย
การชุมนุมด้วยสันติวิธีเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย การชุมนุมใหญ่เมื่อ 4, 11 และ 26 กุมภาพันธ์ 2549 โดยไม่มีความรุนแรง นับเป็นความก้าวหน้าก้าวใหญ่ของประชาธิปไตย ที่สมควรยกย่องชมเชยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุม ฝ่ายรักษาความสงบ และรัฐบาล มีผู้เล่าว่าตำรวจที่มาดูแลนั้นน่ารักมาก ทั้งตำรวจหญิงและตำรวจชาย ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีน้ำใจแก่ผู้มาชุมนุม รัฐบาลก็ไม่กล้าใช้ความรุนแรง เพราะถ้าใช้ความรุนแรงเมื่อใดรัฐบาลพังทันที
สิ่งใหม่ที่ดี จะผุดบังเกิดขึ้นอย่างมหัศจรรย์
สังคมปัจจุบันเป็นระบบที่ซับซ้อน (Complex System) คนไทยยังเข้าใจปรากฏการณ์ในระบบที่ซับซ้อนน้อย ทฤษฎีแห่งความซับซ้อนเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าที่สุด ในระบบที่ซับซ้อนจะเกิดสภาวะโกลาหล (chaos = เค-ออส) ขึ้นได้จากสิ่งเล็กๆ เขาเรียกว่าปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก เปรียบประดุจว่า การกระพือปีกของผีเสื้อตัวหนึ่งอาจทำให้เกิดลมสลาตันขึ้นที่อื่นที่ห่างไกลได้
ฉะนั้นในการเมืองภาคประชาชนจะต้องไม่ลืมเป็นอันขาด ว่าจะต้องให้นักวิชาการเข้ามาทำงานหนักในการใช้ความรู้ข้อมูลหลักฐานคลี่ความซับซ้อนและดำออกมาให้สว่าง ให้การเมืองภาคประชาชนรู้ความจริง จับต้องได้ และจัดการแก้ไขได้ เพื่อให้ประชาชนและสังคมพ้นภัยจากการทำร้ายโดยระบบที่ซับซ้อนและดำเหล่านี้
การเลือกตั้ง การคว่ำบาตรการเลือกตั้ง การชุมนุมประท้วง ก็ทำกันไปอย่าไปตกอกตกใจ เมื่อการเมืองภาคประชาชนดำเนินไปอย่างเข้มข้นและถูกต้อง ประเดี๋ยว
"ธรรมะจัดสรร" เอง ให้มีทางออกอย่างมหัศจรรย์ โดยบอกล่วงหน้าไม่ได้ว่าคืออย่างไร
ต้องช่วยกันทำวิกฤติให้เป็นโอกาส ที่สังคมไทยจะสลัดตัวออกจากภพภูมิเก่าอันคับแคบและเน่าเหม็น ไปสู่ภพภูมิใหม่ของการพัฒนาที่เปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ศีลธรรมนำการเมือง และศีลธรรมเป็นพลังขับเคลื่อนสัมมาพัฒนา จึงจะเกิดศานติสุขถาวรในสังคมไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2006/03/0 ... s_id=83212