ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 181

โพสต์

นิสิต ปิเทอมแล้วจ้าาาาาาาาาาาา
แต่.....
ไม่วายได้เรียนซัมเมอร์
พี่ๆล่ะคะปิดกันรึยัง
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
kaito-kid
Verified User
โพสต์: 122
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 182

โพสต์

ยังไม่ปิดเทอมเลยฮ้า ฟฟ ~*
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 183

โพสต์

บริหาร เนื้อหาการเรียนแทบไม่มีคำนวณเลย เน้น ความจำและความเข้าใจ

เสียมากกว่า เว้นแต่จะไปเรียนสาขา บัญชี หรือ การเงิน

การเรียนบริหาร ฯ เป็นการหล่อหลอมให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อนำไปบริหารจัดการ

หน่วยย่อยในด้านต่าง ๆ ขององค์กรเป็นหลัก
ขอตอบย้อนหลังจากประสบการณ์
พี่จบมาแล้วหลายปีดีดัก

การเรียนบริหารทำให้เกิดความเข้าใจในองค์รวมที่ต่อเชื่อมภายนอกเข้ามาสู่การบริหารองค์กรข้างในครับ
แต่ก็แล้วแต่ major อยู่เหมือนกัน แล้วก็แล้วแต่ minor วิชาเลือกที่สามารถเลือกเรียนได้ด้วยครับ
วิชา "business management" เพียวๆเลยจะมี 1 ตัวเท่านั้นละ่ครับเป็น basic แต่จะไปเรียนแบบแต่ละ function ของธุรกิจ เช่น
marketing management
operations management
IT management
financial management
และอื่นๆ management
แล้วก็มารวบยอดที่ strategic management ซึ่งเป็นวิชาที่สำคัญที่นำมาวิเคราะห์หุ้นได้ดีทีเดียว

สำหรับพี่แล้ว รู้สึกว่าที่ฝึกฝนร่ำเรียนมานี่ก็เพื่อมาลงทุนหากินเลี้ยงชีพ นี่แหละครับ เป็นอาชีพ investor
แต่อาชีพนี้ จบอะไรมาก็ทำได้ทั้งนั้นน่ะครับ

นี่เป็นแค่ความเข้าใจของคนจบ management มานะครับ
ไม่ใช่ คนที่ major econ แต่อย่างใด
. . .
chootana
Verified User
โพสต์: 1401
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 184

โพสต์

เพิ่งเห็นกระทู้ เปิดมาขอแจมด้วย ปริญญาใบล่าสุดคือขอสมาคมโหราศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์กะชมรมภูมิโหราศาสตร์ครับ อ.เกรียงไกร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 185

โพสต์

ถ้าเกิดจบ ป.ตรี แต่ไม่เรียน ป.โท ต่อเราจาเสียโอกาสมากกว่า
คนที่ต่อโท มากมั้ยอ่าคะ เรื่องการหางาน ตำแหน่ง เงินเดือน น่ะค่ะ
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 186

โพสต์

ถ้าเกิดจบ ป.ตรี แต่ไม่เรียน ป.โท ต่อเราจาเสียโอกาสมากกว่า
คนที่ต่อโท มากมั้ยอ่าคะ เรื่องการหางาน ตำแหน่ง เงินเดือน น่ะค่ะ
ขอให้คำแนะนำจากคนที่ไม่ได้เรียนต่อ ป.โท นะครับ
จริงๆก็แล้วแต่สายอาชีพที่เลือก เข้าใจว่าตลาดแรงงานตอนนี้หางานไม่ยาก ถ้าไม่เลือกมาก
โดยเฉพาะ มีเกรดเฉลี่ยที่สูง ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาก และมีรางวัลต่างๆการันตีคุณสมบัติ ก็จะหางานดีๆ เงินเดือนดีๆ (ซึ่งมาพร้อมกับ)ทำงานหนักๆ :D ได้ง่าย

พี่มักจะแนะนำให้น้องๆที่ยังเรียนอยู่ให้สร้าง profile ระหว่างเรียนให้ดีๆ เพราะถ้างานแรกดี แล้วการไปต่อป.โทในมหาลัยดีๆ เป็นเรื่องไม่ยาก รวมถึง งานต่อๆไปก็สร้างรายได้ที่ดีได้ไม่ยาก

ถ้าตั้งใจจะเป็นผู้ประกอบการ ป.โท ไม่ได้สำคัญมากครับ เท่าที่สอบถามจากเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน (ซึ่งไม่ได้เรียนต่อโทน้อยมาก) และมาสรุปกันว่า จบโทจะยูดีๆมาแล้ว ก็กลับมาทำต่อจากที่บ้าน หรือออกมาทำของตัวเองนั้น ป.โทไม่ได้สำคัญมาก แต่ในบางบริษัทของครอบครัว การจบยูที่มีชื่อเสียงทำให้พนักงานนับถือเหมือนกัน

และตามคำบอกเล่าของเพื่อนพี่ที่เรียน ป.โทในยูที่มีชื่อเสียง บอกว่า "มัน opens doors" บานต่างๆที่คิดว่าปิดหรือไม่มีทางเปิด ให้เปิดออกได้ครับ ปัจจุบันเค้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งใน silicon valley

ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่พี่คุยด้วยส่วนใหญ่ profile ตอนจบป.ตรีแน่นปึ้กครับ อย่างที่กล่าวไว้แล้ว ทำให้เป็นพื้นฐานในการดำเนิน career life ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าเค้าทุกคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นที่น่าพอใจนะครับ ตรงนั้นแต่ละคนเลือกจะตัดสินกันเองด้วยตัวเองเท่านั้น
. . .
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 187

โพสต์

คนเรือ VI เขียน:
ถ้าเกิดจบ ป.ตรี แต่ไม่เรียน ป.โท ต่อเราจาเสียโอกาสมากกว่า
คนที่ต่อโท มากมั้ยอ่าคะ เรื่องการหางาน ตำแหน่ง เงินเดือน น่ะค่ะ
ขอให้คำแนะนำจากคนที่ไม่ได้เรียนต่อ ป.โท นะครับ
จริงๆก็แล้วแต่สายอาชีพที่เลือก เข้าใจว่าตลาดแรงงานตอนนี้หางานไม่ยาก ถ้าไม่เลือกมาก
โดยเฉพาะ มีเกรดเฉลี่ยที่สูง ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาก และมีรางวัลต่างๆการันตีคุณสมบัติ ก็จะหางานดีๆ เงินเดือนดีๆ (ซึ่งมาพร้อมกับ)ทำงานหนักๆ :D ได้ง่าย

พี่มักจะแนะนำให้น้องๆที่ยังเรียนอยู่ให้สร้าง profile ระหว่างเรียนให้ดีๆ เพราะถ้างานแรกดี แล้วการไปต่อป.โทในมหาลัยดีๆ เป็นเรื่องไม่ยาก รวมถึง งานต่อๆไปก็สร้างรายได้ที่ดีได้ไม่ยาก

ถ้าตั้งใจจะเป็นผู้ประกอบการ ป.โท ไม่ได้สำคัญมากครับ เท่าที่สอบถามจากเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน (ซึ่งไม่ได้เรียนต่อโทน้อยมาก) และมาสรุปกันว่า จบโทจะยูดีๆมาแล้ว ก็กลับมาทำต่อจากที่บ้าน หรือออกมาทำของตัวเองนั้น ป.โทไม่ได้สำคัญมาก แต่ในบางบริษัทของครอบครัว การจบยูที่มีชื่อเสียงทำให้พนักงานนับถือเหมือนกัน

และตามคำบอกเล่าของเพื่อนพี่ที่เรียน ป.โทในยูที่มีชื่อเสียง บอกว่า "มัน opens doors" บานต่างๆที่คิดว่าปิดหรือไม่มีทางเปิด ให้เปิดออกได้ครับ ปัจจุบันเค้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งใน silicon valley

ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่พี่คุยด้วยส่วนใหญ่ profile ตอนจบป.ตรีแน่นปึ้กครับ อย่างที่กล่าวไว้แล้ว ทำให้เป็นพื้นฐานในการดำเนิน career life ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าเค้าทุกคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นที่น่าพอใจนะครับ ตรงนั้นแต่ละคนเลือกจะตัดสินกันเองด้วยตัวเองเท่านั้น
thx jaaaaaaa :D :D :D
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 188

โพสต์

ช่วงนี้ใกล้สอบ มิตเทอม ซัมเมอร์ของ มก. แล้วจ้าาาาาา
อ่านสือไม่ทันเลย ทั้ง QE,Micro อ๊ากกกกกกกกก

:wall: :wall: :wall:
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
hutza
Verified User
โพสต์: 151
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 189

โพสต์

ผมอยู่ด้วยได้ป่ะคับ นักเรียนอยู่ :oops: :oops: :oops:
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Financeseed
Verified User
โพสต์: 1304
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 190

โพสต์

อยากจะแชร์เรื่องราวของตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนที่กำลังสมัครงานอยู่



ผมเป็นผู้ชายธรรมดาๆคนนึง ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าชาวบ้านเค้า
นามสกุลผมเป็นนามสกุลชาวบ้าน พ่อแม่ผมเป็นพ่อค้าแม่ค้าธรรมดา
ประวัติการศึกษาผมออกจะ Suckseed ด้วยซ้ำ
ผมใช้เวลาเรียนหนังสืออยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเกือบเต็มโควต้า (8 ปี)
เกรดเฉลี่ยผมในเทอมก่อนรองสุดท้ายคือ 1.84 ซึ่งไม่สามารถยื่นจบได้
ผมต้องเรียนเทอมสุดท้ายเพื่อให้เกรดเกิน 2.00 ถึงจะจบได้
ทำให้ในเทอมสุดท้าย ผมมีแต่วิชาวิตามินเต็มไปหมด
ผมไม่เคยฝึกงาน ผมไม่เคยทำงานอะไรนอกเหนือจากที่อาจารย์สั่ง
ผมไม่เคยเก็บผลงานต่างๆไว้ วันที่ไปสมัครงานผมไปพร้อมเอกสารมาตรฐานเท่านั้น
(Resume , Transcript , Course Certification , Medical Certification)


แต่ ผมได้งานแรกเงินเดือนสูงกว่าเงินเดือนเพื่อนๆบางคนที่จบก่อนผมมา 3 ปี
ผมทำงานโดยไม่ได้เริ่มจากตำแหน่งล่างสุด แต่ได้ตำแหน่งที่ปรกติต้องมี ปสก. 1-3 ปี
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ 6 เดือน ผมก็สมัครงานแต่หวังเงินเดือนแค่หมื่นต้นๆ
ผมทำอย่างไรถึงได้มาถึงจุดนี้ได้ ... นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะแชร์ให้เพื่อนๆฟัง


ช่วงที่ 1 ค้นหาตัวเอง (ต.ค. 53 - ธ.ค. 53)


ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการเรียน
ผมใช้เวลาเรียนในมหาวิทยาลัยมานานมาก ผมไม่อยากเรียนอีกต่อไปแล้ว
ผมคิดว่าผมจะปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วจบลงด้วยวุฒิอนุปริญญาเท่านั้น
ผมจึงเริ่มสมัครงานเป็นครั้งแรก แต่หลายๆคนคงรู้ผล ไม่มีที่ใหนรับ
ผมสมัครแม้กระทั่ง iStudio บริษัทซึ่งผมเชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ที่เค้าขายก็ยังไม่รับ
จนเวลาล่วงเลยผ่านกลางเดือน ต.ค. 53 ผมเริ่มรู้สึกว่าการสมัครงานมันยากเหลือเกิน
ไปสัมภาษณ์งานมา 10 กว่าที่ ไม่มีที่ใหนที่ HR ทำหน้าตาสนใจให้เห็นเลย
ผมคงจะไม่ได้งานแน่ๆ เรียนก็ยังไม่จบ เกรดก็ห่วย ผลงานก็ไม่มี ผมท้อแท้มากๆ
ฐานะที่บ้านผมก็ไม่ดีเอามากๆ พ่อผมล้มละลาย ผมไม่มีเงินจะเอ้อระเหยลอยชาย


จนสิ้นเดือน ต.ค. พ่อของเพื่อนผมท่านหนึ่งก็เสนอผมว่า
เค้าจะให้เงินผมเรียนต่อให้จบ โดยมีข้อแม้ว่า ต้องแสดงให้เค้าเห็นว่า
ผมตั้งใจทำจริงๆ ถ้าผมตั้งใจทำจริงๆแล้วล้มเหลว เค้าไม่ว่าอะไร
แต่ถ้าผมล้มเหลว โดยไม่คิดที่จะทำให้ดี ... เลิกคบกับลูกเค้าได้เลย
ผมยอมรับเดิมพันนั้น โดยมีเพื่อนสนิทเป็นเงื่อนไข ผมบอกกับตัวเองว่า
"ถ้า 5 เดือนนับจากนี้ ผมไม่ได้งาน ผมจะไปโดดสะพานภูมิพล"
(ไม่ใช่ว่าพูดตลกๆนะครับ แต่ตอนนั้นคิดยังงี้จริงๆ ท้อแท้กับชีวิตมากๆ)


ผมกลับมาลงทะเบียนเรียนต่อ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง "ทำไมถึงยังเรียนไม่จบ"
ผมนึกย้อนกลับไปถึงตอนสอบเอนทรานส์ ที่ผมสอบติดทั้งๆที่อ่านหนังสือแค่ 2 วิชาจาก 5
ผมถามตัวเองว่า "ผมเอนทรานส์ติดมาได้ยังไง อ่านหนังสือ 2 วิชา อีก 3 ที่เหลือสอบไปงั้นๆ"
ผมได้คำตอบที่หนึ่งมาว่า "ผมไม่ได้โง่ อาจจะไม่ฉลาดมาก แต่ก็พอถูไถไปได้"
นอกจากนั้น 2 วิชาที่ว่าคือ Math , Physic ผมจึงได้คำตอบเพิ่มอีกว่า
"ผมไม่เก่งการท่องจำ ผมเก่งในการคำนวน"


ในช่วงเวลานี้ ระหว่างเดือน ต.ค. 53 จนถึง ธ.ค. 53 เป็นช่วงเวลาที่ผมใช้ค้นหาตัวเอง
ผมถามตัวเองว่า "ถ้าผมไม่ได้โง่ แล้วทำไมผมถึงเรียนไม่จบซักที"
อันนำมาซึ่งคำตอบที่สองว่า "ผมขี้เกียจ ผมไม่ขยัน ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ผมติดเกม"
ผมถามตัวเองว่า ถ้าผมไม่ขยัย ไม่ชอบอ่านหนังสือ แล้วผมเรียนผ่านวิชาภาคมาได้อย่างไร
ผมได้คำตอบให้กับตัวเองว่า
"ผมชอบคิดวิเคราะห์ ไม่ชอบท่องจำ วิชาท่องจำจะติด F วิชาวิเคราะห์จะทำได้ดี"
นอกจากคำถามเหล่านั้นแล้ว ผมถามตัวเองอีกมากมาย
แต่สำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งผมตอบตามความเป็นจริง


ผมซื้อสมุดโน๊ตมาเล่มหนึ่ง สมุดเล่มนี้บันทึกทุกๆคำตอบที่ผมตั้งคำถามตัวเองเอาไว้
ทุกคำตอบตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างตัวเอง
และ ในเวลาระหว่างนี้เอง ผมพยายามปรับปรุงส่วนที่แย่ที่ค้นพบ เช่นเลิกเล่นเกมเป็นต้น


จนวันสุดท้ายสิ้นปี ผมโน๊ตอะไรเกี่ยวกับตัวเองไว้เยอะมาก เกือบครึ่งเล่มได้


ช่วงที่ 2 วิเคราะห์ตัวเอง ( 1 ม.ค. 54 - 15 ม.ค. 54)


หลังจากการเฉลิมฉลองปีใหม่ผ่านไป สิ่งแรกที่ผมทำในเช้าวันปีใหม่คือ "เมาค้าง"
ฮ่าๆ ไม่ผิดหรอกครับ ผมก็คนธรรมดา คืนปีใหม่ผมก็ออกไปผับกับเพื่อนมา
ไม่ได้เปลี่ยนจากผู้ชายห่วยๆ มาเป็นคนดีๆในเวลาแค่ 2 เดือน
(แอบดักเล็กๆ อิอิ)


แต่สิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งแรกหลังจากหายเมาค้าง คือผมหยิบสมุดเล่มนั้นมาดู
ผมเริ่มเอาปากกาแดงขีดฆ่าข้อเสียในตัวที่แก้ไขได้แล้วออกไป
จากนั้นผมใช้ปากกาแดงแท่งเดิม วงกลมตัวใหญ่ๆล้อมรอบข้อเสียที่เหลืออยู่
ผมกำหนดลำดับความสำคัญให้กับข้อเสียอื่นๆที่มี กำหนดเส้นตายว่าจะต้องแก้ไขก่อนถึงเมื่อไร
(ซึ่งบางอย่างผมก็ยังแก้ไขไม่ได้อยู่ดีแม้หลายๆจะแก้ไขไปแล้ว เช่นนิสัยชอบท่องราตรี เป็นต้น)


ต่อจากนั้นผมใช้ปากกาน้ำเงิน วงกลมล้อมรอบจุดแข็งของตัวเองทั้งหมด
จากจุดแข็งที่มี ผมเริ่มทำ Script ว่าจะ Present ตัวเองยังไงเวลาไปเจอ HR
จุดแข็งและจุดอ่อนที่ผมพูดถึง คือสิ่งที่ผมวิเคราะห์มาจากคำตอบของตัวเอง
คำตอบที่ผมได้จากการตั้งคำถามตัวเองในช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา


ยกตัวอย่างเช่น
"ผมไม่ได้โง่ อาจจะไม่ฉลาดมาก แต่ก็พอถูไถไปได้"
"ผมขี้เกียจ ผมไม่ขยัน ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ผมติดเกม"
"ผมชอบคิดวิเคราะห์ ไม่ชอบท่องจำ"
ผมขอใช้คำตอบ 3 คำตอบนี้เป็นตัวอย่าง เพราะมันเห็นภาพชัดเจน
ผมวิเคราะห์มันแล้วได้จุดแข็งอย่างหนึ่งที่ผมนำไปใช้ในการสัมภาษณ์งานคือ


"ผมเป็นคนที่ชอบคิดวิเคราะห์ ผมไม่ชอบท่องจำ สิ่งที่ผมทำได้ดีคือ ผมวิเคราะห์ข้อมูล ความต้องการของลูกค้า ความเสี่ยง ทรัพยากร ฯลฯ เพื่อให้ได้โครงแบบของผลลัพท์ที่ตรงกับที่ลูกค้าต้องการ โดยที่บริษัทมีผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด สิ่งที่พี่จะได้จากการจ้างผมไปทำงาน คือความพึงพอใจที่ลูกค้าจะมีต่อพี่ เพราะเค้าได้ผลลัพท์ที่เค้าต้องการ และพี่เองก็จะได้กำไรมากที่สุด win-win ครับ"
(คำตอบนี้ ผมใช้ตอบบริษัทที่ผมทำงานอยู่ปัจจุบัน แต่เป็นภาษาอังกฤษนะครับ)


ถามว่าคำตอบดังกล่าวได้จากการวิเคราะห์จุดแข็งอย่างเดียวหรือไม่ ตอบว่าไม่
ผมพยายามคิดว่าบริษัทอยากได้อะไรจากเรา ในสายงานของผมเค้าต้องการบุคลากรแบบใหน
ผมเอาหลายๆอย่างมาวิเคราะห์รวมกัน ก่อนจะสรุปเป็น Script คร่าวๆ ว่าผมจะนำเสนอตัวเองยังไง


นอกจากจากนี้ผมยังวิเคราะห์หาจุดแข็งอื่นๆอีกหลายอย่าง จนสรุปออกมาได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว ที่จะไปสัมภาษณ์งาน ผมจึงเริ่มสมัตรงานทันทีตั้งแต่ก่อนจบ


ช่วงที่ 3 ร่อนในสมัครและปรับปรุงการสัมภาษณ์งาน ( 16 ม.ค. 54 - 15 ก.พ. 54)


ผมเริ่มทำ Resume โดยระบุสิ่งที่ผมวิเคราะห์ตัวเองได้ ส่งไปตามบริษัทต่างๆ
ทั้งที่เห็นจากประกาศที่มหาวิทยาลัย เว็บไซต์หางาน เพื่อนแนะนำมา
ผม ทำไฟล์ Excel ขึ้นมาไฟล์หนึ่ง โดยระบุข้อมูลคือ
- บริษัทที่ผมส่ง Resume ไปแล้ว (เพราะผมไม่ส่งซ้ำ)
- ตำแหน่งงาน ความรับผิดชอบที่จะต้องทำถ้าหากได้งาน
- วันที่ส่ง Resume
- เงินเดือนที่เรียกไป
- สถานะ (รอการเรียก , นัดสัมภาษณ์แล้ว , สัมภาษณ๋มาแล้ว , ยกเลิกนัด)
- ผลตอบรับ (ผมวิเคราะห์เอาเองจากการสัมภาษณ์ว่าผลตอบรับออกมาดีไหม)
- โน๊ตเพิ่มเติม (เช่นบางบริษัทที่ผมไม่ประทับใจ ผมจะโน๊ตไว้ว่าผมไม่เอา)


ผมส่ง Resume ไปจนถึงวันนี้ 26 มี.ค. 54 ผมส่งไปร่วมๆ 200 บริษัทได้
ใน 200 บริษัทนั้น มีอยู่ 46 บริษัทที่เรียกผมไปสัมภาษณ์
ผม ... เด็กจบใหม่ เรียนเกือบ 8 ปี เกรด ณ เวลานั้น 1.84 ไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรเลย
เริ่มคิดแล้วว่า ผมเป็นคนเลือก บริษัทไม่ได้เป็นคนเลือกผม มีตั้ง 46 บริษัทอยากคุยกับผม ผมมีดีพอ
แม้ในความเป็นจริงแล้ว 46 บริษัทที่ว่า อาจจะเรียกผมมาลำดับท้ายๆก็ได้
และนอกจากนั้นแล้วบริษัทเหล่านั้นไม่ได้เรียกมาพร้อมกัน เรียกมาต่างช่วงเวลา
แต่พอถึงจุดหนึ่ง ที่ผมมองย้อนกลับไปดูในไฟล์ Excel ที่ผมสร้างไว้ ผมจึงกล้าบอกตัวเองเช่นนั้น
มันอาจจะเป็นการโกหกตัวเอง เพราะผมเล่นส่งไปตั้ง 200 ติดต่อกลับมาแค่ 46
มันก็แค่ 23% เอง ซึ่งถือว่าน้อย แต่ 23% ที่ว่า ถ้ามองอีกมุม ก็ตั้ง 46 ตำแหน่งงาน


ผมเริ่มนำข้อมูลบริษัทต่างๆที่เรียกมาในช่วงเวลา 1 เดือนนั้น มาวิเคราะห์
ในตอนแรกผมส่ง Resume ไปทุกๆตำแหน่งที่สายงานผมทำได้ จนในตอนท้ายๆผมส่งเฉพาะที่อยากจะทำ
บริษัทแรกสุดเลยที่ผมส่งไป ผมเรียกเงินเดือน 15000 บาท
บริษัทสุดท้ายเลยที่ผมส่งไป ผมเรียกเงินเดือน 27000 บาท


ผมเริ่มทำตนเป็นผู้เลือก ไม่ใช่ผู้ถูกเลือก ผมเลือกบริษัทที่ผมจะไป
ผมไปบริษัทที่มีประวัติที่ดี ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญก่อน (อโศก สีลม สาทร)
เพราะบริษัทเหล่านี้ สามารถให้เงินเดือนสูงๆ และความท้าทายในการงานได้


ผมมองว่าการไปสัมภาษณ์งานคือการขายของ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นลูกพ่อค้า
ผมไปเพื่อนำเสนอสินค้า สินค้าที่ว่าคือบริการการสร้างสรรค์งานด้วยความสามารถผม
ผมเน้นจุดแข็งที่ผมได้จากการวิเคราะห์ตัวเอง เน้นให้มากๆ
และสิ่งหนึ่งที่ผมทำต่างจากที่เคยได้ยินจากเพื่อนๆ คือผมบอกจุดอ่อนของตัวเอง
ผมไม่ปกปิดจุดอ่อนของตัวเองเลย เช่นชอบถูกกดดันเวลาทำงาน ฯลฯ
แต่ในทุกๆจุดอ่อน ผมจะนำเสนอข้อดีที่บริษัทอาจจะได้จากจุดอ่อนของผม
เช่นผมชอบถูกกดดันเวลาทำงาน นั่นแปลว่าผมรับมือกับความกดดันและเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันได้ดี เป็นต้น
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมจะบอกด้วยว่าจุดอ่อนเหล่านั้น จะดีขึ้นได้อย่างไร
ผมทำอย่างนั้นเพราะผมไม่ต้องการให้บริษัทมาเจอจุดอ่อนผมภายหลัง
ถ้าบอกไปแล้ว รับกันได้ ก็สบายใจกันทั้งสองฝ่าย เราไม่ได้ปิดบังอะไร
บริษัทเอง เค้าก็รับรู้จุดอ่อนของเราล่วงหน้าก่อนรับเข้าทำงาน


จาก 46 บริษัท ผมเลือกไปสัมภาษณ์อยู่ 21 บริษัท ทุกๆครั้งที่ไปสัมภาษณ์เสร็จ
ผมจะบันทึกข้อมูลทุกอย่างลง Excel และสมุดโน๊ตเล่มนั้นของผม
ผมวิเคราะห์และปรับปรุงแนวทางการสัมภาษณ์ของผมในทุกๆครั้งที่ผ่านไป
ในการสัมภาษณ์ครั้งแรกๆ ผมตะกุกตะกักพอสมควร แต่พอเวลาผ่านไปอะไรๆก็ดีขึ้นมาก


ช่วงที่ 4 เลือกงานที่ตัวเองชอบ ( 16 ก.พ. 54 - 26 ก.พ. 54)


จาก 21 บริษัทที่ผมได้ไปสัมภาษณ์งาน มีอยู่ 10 บริษัทที่เรียกไปสัมภาษณ์ในขั้นต่อๆไป
จนท้ายที่สุดมีบริษัทเหลือให้ผมเลือกเซ็นสัญญาอยู่ 5 บริษัท
ผมเลือกเซ็นสัญญากับบริษัทตั้งใหม่ที่เจ้าของเป็นอเมริกัน กำเงินมาลงทุนในไทย
หลายๆคนทักท้วงว่ามันเสี่ยงนะ บริษัทตั้งใหม่ อาจจะเจ๊งก็ได้
แต่ผมตอบทุกๆคนว่า ผมชอบความท้าทาย นี่คือโอกาสที่หลายๆคนอาจจะไม่ได้เจอ
ทุกๆการกระทำของผมต่อจากนี้ จะมีผลต่อบริษัทโดยตรง มันจะก้าวหน้าหรือถอยหลัง
ผมจะมีส่วนร่วมกับมัน ผมอยากพิสูจน์ว่าจุดแข็งที่ผมสรุปได้มา มันจริงหรือผมเข้าข้างตัวเอง
นอกเหนือจากนั้นแล้วผมเป็นคนทะเยอทะยาน
ถ้าผมทำได้ดีกับบริษัทนี้ และอดทนมากพอ ผมจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายกับบริษัทนี้
ตั้งแต่วันแรกที่มาจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เข้าที่ เซ็ตระบบ IT ให้ใช้งานได้
ถ้าบริษัทนี้ไปรอดในอีก 5 ปีข้างหน้า ผมซึ่งอยู่กับบริษัทมาตั้งแต่แรก รู้ระบบงานทุกอย่าง
แล้วดันไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือได้ค่าตอบแทนไม่สูงกว่าคนอื่น ... ก็ให้มันรู้ไป
แต่ถ้าบริษัทเจ๊ง ... โลกก็ไม่ได้แตก ผมก็หางานใหม่ งานหาไม่ยาก
เพราะผมรู้จุดแข็งของตัวเอง และวิธีที่จะนำเสนอมันแล้ว


(แม้ในเวลานี้ที่ผมทำงานอยู่ มีบริษัทหนึ่งเรียกผมไปสัมภาษณ์ พร้อมให้เงินถึง 34000 บาทด้วย แต่ผมไม่เอา เพราะผมเซ็นสัญญากับบริษัทนี้ไว้แล้วและผมเคารพมัน)


ช่วงที่ 5 ทำให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ และปรับปรุงตัวเอง ( 27 ก.พ. 54 - ปัจจุบัน)


ถึงเวลานี้่ ผมได้งานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เกรดเทอมสุดท้ายยังไม่ออกด้วยซ้ำ
งานที่ผมได้ เป็นงานที่ผมต้องการจริงๆ ผมอยากจะทำ ซึ่งทำให้ผมมีความสุข
แต่ผมจะหยุดแค่นั้นไม่ได้ ผมต้องทำให้ได้ตามที่นำเสนอกับบริษัทไว้
ผมบอกกับบริษัทไว้คำนึงว่า ถ้าผมทำไม่ได้ตามที่ต้องการ ไม่ต้องไล่ออก ผมไปเอง


ผมรู้ดีว่าตัวเองมารับงานในตำแหน่งที่สูง ถ้าหากเป็นปรกติ คงต้องมีประสบการณ์ 2-3 ปี
ผมต้องมีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งงาน และนอกเหนือจากนั้นแลัว ต่อบริษัท
เพราะงานที่จะออกไปถึงมือลูกค้า ผมจะเป็นคนคิดวิเคราะห์และวางแผนงาน
ถ้าหากงานนั้นออกไปไม่ดี บริษัทจะเสื่อมเสีย และผมนี่แหละที่ต้องรับผิดชอบ


นอกจากนี้แล้ว ผมยังมองหาโอกาสใหม่ๆเสมอ
ผมพยายามมองหาธุรกิจเสริม โอกาสใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ผมกำลังจะตั้งบริษัทของตัวเอง
โดยเงื่อนของของบริษัทที่ว่าคือ จะต้องไม่กระทบกับงานประจำ ไม่ทำให้บริษัทที่ผมอยู่เดือดร้อน
ผมพยายามค้นหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ ทำตัวเองให้พร้อมที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
ผมไม่อยากจะหยุดนิ่งเมื่อเวลามันผ่านไป ... และผมต้องทำให้ได้


บทสรุป


ผม ผู้ชายธรรมดาๆคนนึง ประวัติการศึกษาสุด Suckseed สามารถหางานได้เงินเดือนสูงมากกว่าที่ตนเคยคาดไว้ได้ จากเมื่อ 5 เดือนก่อนที่สมัครงาน เรียกเงินเดือนแค่ 12000 ไม่มีใครอยากจะรับ จนทุกวันนี้มีผมได้งานที่ตัวเองชอบ ค่าตอบแทนสูงพอๆกับคนจบนอก หรือประสบการณ์การทำงาน 2-3 ปี มีความสุขกับการทำงาน มี (โอกาส) ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (ที่อาจจะล้มเหลวได้เหมือนกัน) เพราะการวางแผนที่รอบคอบ วิเคราะห์ด้วยเหตุผล


ผมอยากจะบอกว่าทุกๆคนที่นี้ สิ่งนี้เป็นไปได้กับทุกคน
ไม่จำเป็นต้องมีนามสกุลใหญ่โต ไม่ต้องใช้เงิน พ่อแม่ไม่ต้องวิ่งฝากงาน
พ่อแม่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมได้งานแล้ว พอผมบอกว่าผมได้งาน เงินเดือนเท่านี้
พ่อผมอึ้งไปเลยด้วยซ้ำ เพราะผมทำให้ท่านผิดหวังด้วยการเรียนไม่จบซักทีมานาน
ท่านไม่หวังให้ผมเรียนจบด้วยซ้ำไป พ่อผมบอกผมวันที่ผมบอกเรื่องงานว่า
ตอนแรกท่านหวังไว้ต่ำกว่าที่ผมได้มากๆ (จนผมแอบโกรธพ่อ ว่าดูถูกกันขนาดนั้นเลย)


ในช่วงเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ผมได้รับรู้อย่างนึงว่า ถ้าเราวางแผนให้รอบคอบ
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเหตุผล ตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลนั้น เราทุกคนจะทำอะไรก็ได้
ผมเชื่อในความสามารถของมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์เราทำอะไรได้หลายอย่างมาก
ถ้าหาก "มีความมั่นใจ วางแผนอย่างรอบคอบ และทุมเททำมันให้เต็มที่"


Key สำคัญที่อยากให้หลายๆคนลองทำคือ
หาจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองให้เจอ อย่าเข้าข้างตัวเอง อะไรไม่แข็งจริงไม่อ่อนจริง ก็อย่าไปมองมันสูงหรือต่ำเกินไป
จากจุดแข็งที่ได้ พยายามหาวิธีนำเสนอมัน ขายมันให้กับ HR เราคือ Sales คนนึง ที่พยายามขายสินค้า คนซื้อเค้าอยากจะได้สินค้าดีๆ คุ้มค่าเสมอ
จากข้อ 2 อย่าโฆษณาเกินจริง เน้นในส่วนที่ดี แต่ส่วนที่ดีนั้นต้องมีอยู่จริง ทำได้จริง ไม่เช่นนั้น เค้าก็จะ Refund (ไล่ออก) ในที่สุด
มั่นใจในตนเอง คนทุกคนมีจุดเด่นในตัวเอง ถ้าไม่มั่นใจในตนเองเมื่อไร จุดเด่นนั้นก็ไร้ค่า
ประเทศไทยไม่ได้มีบริษัทแค่ 5 บริษัท มีอีกเป็นแสน นอกประเทศก็มี อย่าไปกลัว
ทำตัวเป็นคนเลือก ไม่ใช่คนถูกเลือก พยายามคุมเกมให้ได้ ให้คนอื่นเล่นในเกมเรา อย่าไปเล่นเกมของคนอื่น
อย่าลืมที่จะบันทึกข้อเสียของคนเองและสำคัญที่สุด ต้องปรับปรุงมันด้วย
มีอะไรไม่แน่ใจ พยายามถาม หาข้อมูลเพิ่มเติม นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผมทำประจำ ผมเป็นมนุษย์ "ทำไม" ผมชอบที่จะตั้งคำถามและหาคำตอบ
หมั่นวิเคราะห์ด้วยเหตุผลอยู่เสมอ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง พยายามฝึกให้เป็นนิสัยในชีวิตประจำวัน
Transcript และ Resume เป็นแค่กระดาษ จริงอยู่ว่ามันอาจจะบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้บ้าง แต่ก็แค่นั้น ถ้ากระดาษแผ่นสองแผ่นสามารถบอกได้ว่าคนเราเป็นยังไง โลกนี้ไม่ต้องมีการสัมภาษณ์งานหรอก
ขอให้เพื่อนๆทุกคนที่กำลังหางานอยู่ ประสบความสำเร็จในการหางาน และได้งานที่ตนเองต้องการครับ ^^


"May the force be with you"

http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/ ... 83845.html

น่าจะมีประโยชน์กับคนที่จบใหม่ หรือ กำลังหางานอยู่นะครับ ต้องขอขอบคุณพี่ Zieg-Hart ใน pantip ด้วยครับ
มองวิกฤต หาโอกาส
http://link-seed.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
j@y
Verified User
โพสต์: 8
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 191

โพสต์

ตอนนี้ผมกำลังขึ้นปี 3 อีกเดือนหนึ่งก็เปิดเทอมแล้ว
กำลังเครียดมาก เพราะอยากซิ่วไปเรียนต่อทางด้านบริหาร (ธุรกิจระหว่างประเทศ)
ผมไม่รู้ว่าเส้นทางเดินในอนาคตผมมันจะผิดอีกหรือเปล่านะ แต่ว่าผมก็เลือกผิดมาตลอดเลย
ตั้งแต่เข้าเรียน ม.ปลาย ก็ไปเรียนสายที่ตนเองไม่อยากเรียน (ตามเพื่อน)
จนกระทั่งเข้ามหาลัย คิดว่าสิ่งที่เราทำได้ดี และมีพรสวรรค์ อาจเป็นสิ่งที่เรามีความสุข
แต่กลับว่ามันไม่ใช่เมื่อประสบด้วยตนเอง ทั้ง เพื่อน วิชาเรียน ครูอีก ไม่มีอะไรดีเลยและไม่มีความสุขเอามากๆ แม้ว่าเกรดที่ผมได้จะอยู่ในเกณณ์ โอเช ก็เถอะ แต่ผมอยากเดินออกมาจริงๆ
ที่นี่ก็อย่างที่บอกว่า ถ้าผมเดินออกมา มันก็จะก้าวพลาดอีกไม่ได้แล้ว เพราะเสียเวลาไปตั้ง 2 ปีแล้ว สิ่งที่ได้มามันน้อยนิดกระริดจิดจริงจัง ผมเป็นพวก ถ้าไม่ได้ลองด้วยตนเอง ก็จะไม่รู้ความรู้สึกของตนเองจริงๆ ใครเคยประสบไรแบบนี้มีคำแนะนำหรือเปล่า หรือว่าผมควรจะหยุดอยูที่เดิม และก้มหน้าก้มตาเรียนต่อไป :ohno:
รูปภาพ
18-year-old guy so don't expect much from me!
sirawits
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 192

โพสต์

สวัสดีครับ ขออยู่ชมรมด้วยคนครับ

ปีนี้ขึ้น ม.6 คิดว่าปีหน้าจะเข้าบัญชี หรือ finance ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 193

โพสต์

j@y เขียน:ตอนนี้ผมกำลังขึ้นปี 3 อีกเดือนหนึ่งก็เปิดเทอมแล้ว
กำลังเครียดมาก เพราะอยากซิ่วไปเรียนต่อทางด้านบริหาร (ธุรกิจระหว่างประเทศ)
ผมไม่รู้ว่าเส้นทางเดินในอนาคตผมมันจะผิดอีกหรือเปล่านะ แต่ว่าผมก็เลือกผิดมาตลอดเลย
ตั้งแต่เข้าเรียน ม.ปลาย ก็ไปเรียนสายที่ตนเองไม่อยากเรียน (ตามเพื่อน)
จนกระทั่งเข้ามหาลัย คิดว่าสิ่งที่เราทำได้ดี และมีพรสวรรค์ อาจเป็นสิ่งที่เรามีความสุข
แต่กลับว่ามันไม่ใช่เมื่อประสบด้วยตนเอง ทั้ง เพื่อน วิชาเรียน ครูอีก ไม่มีอะไรดีเลยและไม่มีความสุขเอามากๆ แม้ว่าเกรดที่ผมได้จะอยู่ในเกณณ์ โอเช ก็เถอะ แต่ผมอยากเดินออกมาจริงๆ
ที่นี่ก็อย่างที่บอกว่า ถ้าผมเดินออกมา มันก็จะก้าวพลาดอีกไม่ได้แล้ว เพราะเสียเวลาไปตั้ง 2 ปีแล้ว สิ่งที่ได้มามันน้อยนิดกระริดจิดจริงจัง ผมเป็นพวก ถ้าไม่ได้ลองด้วยตนเอง ก็จะไม่รู้ความรู้สึกของตนเองจริงๆ ใครเคยประสบไรแบบนี้มีคำแนะนำหรือเปล่า หรือว่าผมควรจะหยุดอยูที่เดิม และก้มหน้าก้มตาเรียนต่อไป :ohno:
ไม่รู้จะแนะนำยังไงอ่าค่ะ แต่ก้สู้ต่อไปนะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 194

โพสต์

sirawits เขียน:สวัสดีครับ ขออยู่ชมรมด้วยคนครับ

ปีนี้ขึ้น ม.6 คิดว่าปีหน้าจะเข้าบัญชี หรือ finance ครับ
ยินดีต้อนรับสู่ชมรมค่าาา ชมรมเงียบกริบเลย แฮ่ๆๆ ว่าแต่จาเข้า
มหาลัยไหนอ่าคะ
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 195

โพสต์

ขอบคุณพี่ๆมากค่ะที่มาให้คำแนะนำดีๆ ในชมรม อิอิ
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 196

โพสต์

j@y เขียน: ตอนนี้ผมกำลังขึ้นปี 3 อีกเดือนหนึ่งก็เปิดเทอมแล้ว
กำลังเครียดมาก เพราะอยากซิ่วไปเรียนต่อทางด้านบริหาร (ธุรกิจระหว่างประเทศ)
ตอนนี้เรียนอะไรอยู่ครับ
เมื่อวันก่อนผมไปประชุมผู้ถือหุ้นบริัษัท ERAWAN เห็น profile ของ CFO แล้ว
จบ รัฐศาสตร์มา แล้วไปต่อ MBA finance กลับมาทำงานสาย finance มาโดยตลอด
จนวันนี้เป็น CFO ของ บริษัทมหาชนได้ (ได้ ESOP ไปไม่น้อยด้วย)

ดูป.ตรี กับ สายงานปัจจุบันสิครับ คนละโลกเลย
. . .
ภาพประจำตัวสมาชิก
Seizhin
Verified User
โพสต์: 275
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 197

โพสต์

จะเรียนต่อเป็นเด็กปี.1 อี่กรอบครับ 555 รอเอ็น

:D ยินดีรู้จักลูกพี่ทุกคนนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Renne
Verified User
โพสต์: 322
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 198

โพสต์

แวะมาทักทาย หลังจากทำงานมาสักพัก ก็หาโอกาสไปสอบเข้่าโทเสร็จเรียบร้อยละ น่าจะผ่าน

มาฝากตัวเข้ารมรมอีกหนละกันครับ :)
"มีสติ คิดก่อนทำ และอย่าดูถูกตลาดมากเกินไป"
"เป็นเรื่องง่ายที่จะถือหุ้นเอาไว้ให้นานและี่ยากที่จะรอซื้อในราคาที่เหมาะสม"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 199

โพสต์

ชมรมนี้ มีแต่พี่ๆ รุ่นน้องกับรุ่นเดียวกัน
มีน้อยจังเลยยยยย
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
sirawits
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 200

โพสต์

Gloleng เขียน:
sirawits เขียน:สวัสดีครับ ขออยู่ชมรมด้วยคนครับ

ปีนี้ขึ้น ม.6 คิดว่าปีหน้าจะเข้าบัญชี หรือ finance ครับ
ยินดีต้อนรับสู่ชมรมค่าาา ชมรมเงียบกริบเลย แฮ่ๆๆ ว่าแต่จาเข้า
มหาลัยไหนอ่าคะ
มหาลัยตรงข้าม ศิริราช ครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 201

โพสต์

มีใครเพิ่งแอดมิชชั่นมั้ยคะ ได้คณะไรกานบ้างงงง
พอประกาศผลแอดปั๊บก้นึกถึงปีที่แล้ว ว่าเคยผ่านมาแล้ว
ดีใจบ้างเสียใจบ้าง สมหวังและผิดหวัง แต่มันก้ได้ผ่านไปแล้ว
ยังไงก้ยินดีกับทุกคนที่สอบผ่านด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าในนี้
จะมีคนแอดรึเปล่า ฮ่าๆๆๆๆ
แอดผ่านมาแล้วเป็นสเต็ปแรก สเต็ปต่อไปก้คือ
ใช้ชีวิตให้รอดในมหาวิทยาลัย ง่ายบ้างยากบ้าง มีสีสันดีค่ะ

ปล.ส่วนตัวออกจะแนวยาก ไม่เคยง่ายเลย ได้ลุ้นได้เสียว
ทุกๆๆ ไฟนอล :oops: :oops: :oops:
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
ภาพประจำตัวสมาชิก
kornjackrit
Verified User
โพสต์: 1524
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 202

โพสต์

sirawits เขียน:สวัสดีครับ ขออยู่ชมรมด้วยคนครับ

ปีนี้ขึ้น ม.6 คิดว่าปีหน้าจะเข้าบัญชี หรือ finance ครับ
สวัสดีครับ :D
ยินดีต้อนรับครับ

ชมรมเงียบจริงๆ ฮ่าๆ คุณ Gloleng มีประเด็นอะไรไหมครับ
เผื่อจะได้นำมาคุยกัน ??

ถ้าไม่มีผมขออนุญาติถามนิดนึงนะครับ
ผมอยากทราบที่มาของชื่อ Username คุณ Gloleng อะครับ
พอดีว่าผมอ่านแล้วมันคล้ายกับจะเป็น "โก้วเล้ง"
นักเขียนนิยายจีนกำลังภายในที่ผมชื่นชอบมากๆ

ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกไหม ??
ถ้าเข้าใจถูก ผมก็จะดีใจมากที่มีเพื่อนสนใจอ่านนิยายจีนกำลังภายในเหมือนกัน :D
แต่ถ้าเข้าใจผิด ผมต้องขออภัยนะครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 203

โพสต์

kornjackrit เขียน:
sirawits เขียน:สวัสดีครับ ขออยู่ชมรมด้วยคนครับ

ปีนี้ขึ้น ม.6 คิดว่าปีหน้าจะเข้าบัญชี หรือ finance ครับ
สวัสดีครับ :D
ยินดีต้อนรับครับ

ชมรมเงียบจริงๆ ฮ่าๆ คุณ Gloleng มีประเด็นอะไรไหมครับ
เผื่อจะได้นำมาคุยกัน ??

ถ้าไม่มีผมขออนุญาติถามนิดนึงนะครับ
ผมอยากทราบที่มาของชื่อ Username คุณ Gloleng อะครับ
พอดีว่าผมอ่านแล้วมันคล้ายกับจะเป็น "โก้วเล้ง"
นักเขียนนิยายจีนกำลังภายในที่ผมชื่นชอบมากๆ

ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกไหม ??
ถ้าเข้าใจถูก ผมก็จะดีใจมากที่มีเพื่อนสนใจอ่านนิยายจีนกำลังภายในเหมือนกัน :D
แต่ถ้าเข้าใจผิด ผมต้องขออภัยนะครับ
ฮ่าๆๆ ที่มาของชื่อโกวเล้ง ไม่ค่อยมีสาระอ่าค่ะ
มันมาจากโกวเล้งที่ขี้เมาๆๆ ในเพลงสหายสุราของมาลีฮวนน่า อิอิ
:oops: :oops: :oops:
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
chowbe76
Verified User
โพสต์: 1980
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 204

โพสต์

โกวเล้งไม่ได้ชอบรสของสุรา แต่ชอบบรรยากาศแห่งการร่ำสุรา
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1111
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 205

โพสต์

ขอบคุณคุณfinanceseedที่มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังครับ เป็นประโยชน์มาก
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 206

โพสต์

ก๊อกๆๆๆ มีใครอยู่หรือเปล่าา *-*
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Gloleng
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 207

โพสต์

กระทู้เงียบมากกกกกกกกกกกกก
....
..
..... ไม่มี นิสิต นักศีกษาอยู่เลยหรอ
:'O :'O :'O :'O
ใครยังอยู่มาคุยกันได้น้าาาาาาา
...จงโบกโบยโผบิน แม้เหน็บหนาว...
ภาพประจำตัวสมาชิก
anubist
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1369
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 208

โพสต์

สวัสดีครับ อยู่ปี4 BBAราม เทอมสุดท้ายครับ
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
sornsuwan
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 209

โพสต์

สวัสดีครับ ผมเรียนมนุษยศาสตร์ การโรงแรม ม.กรุงเทพปี4 อยากให้แนะนำเรื่องการเรียนต่อปริณญาโทที่มีประโยชน์ทางด้ารการลงทุน
chowbe76
Verified User
โพสต์: 1980
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา

โพสต์ที่ 210

โพสต์

สวัสดีครับ
เคยเป็นนักเรียนเมื่อ3ปีที่แล้วครับ
^^
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.