เดือนกุมภาพันธ์ใครๆเขาก็เขียนถึง ความรัก กัน งั้นผมขอเขียนเรื่อง
“เซ็กส์” ดีกว่า.......ฮ่า :lol:
บางท่านเปรียบหญิงสาว ความรัก กับ ดอกลั่นทม อย่างเช่นเพลง
“ลานรักลั่นทม” เนื้อเพลงซึ้งๆเขาร้องว่า
หอมเอยหอมดอกลั่นทม
กลิ่นลอยตามลมเคล้ากลิ่นเส้นผมของนาง
กลิ่นหอมละมุนเหมือนดังกลิ่นกรุ่นสองปราง
แม้นได้แนบแอบเนื้อของนาง
ใครบ้างจะทนอยู่ไหว
หอมเอยหอมกลิ่นเกล้านาง
ไม่เคยจืดจางหอมไม่ลาร้างหัวใจ
ดอกของลั่นทมน้องแซมเสียบผมวิไล
น้องปลดให้มอบแทนหัวใจ
เมื่อเราเคยได้รักกัน
ลานรักสลักหัวใจ
ลั่นทมเอนก้านกิ่งไหวหลบสายลมใล่จูบพัลวัล
ช่างเหมือนแก้มสาวเจ้าหลบแก้มขาวหนีจูบไม่ทัน
สองแก้มเจ้านั้นแดงระเรื่อเจือสีชมพู
หอมเอยหอมกลิ่นแก้มนวล
กลิ่นยังอบอวลย้อนสายลมหวลชื่นชู
ลั่นทมหอมมาเหมือนเจอหน้าตาโฉมตรู
คิดถึงน้องแก้มสีชมพู
ณ ลานแอบชู้....ลั่นทม
แต่ผมกลับคิดว่า “คนไทย” เราๆท่านๆนี่แหละ มองเห็น “ต้นลั่นทม”
เหมือนกำลังมอง “เซ็กส์” ยังไงยังงั้น
คนไทยบางพวก “เชื่อโบราณว่า”

ไม่ปลูก ว่าตามๆกันไปไม่จำเป็นต้องรู้เหตุรู้ผล พวกนี้เป็นพวก ตายด้าน
เอ๊ย พวกไร้ความรู้สึก
คนไทยบางพวก “ชอบ” ถึง “ชอบมาก” ต้นลั่นทมเนี่ย แต่ก็ไม่
กล้าปลูกที่บ้าน แต่แอบเก็บสะสมรูปโป๊ อ๊ะ ไม่ใช่สิ รูปเขียนลั่นทม เทียน
หอมลั่นทม พวกนี้เป็นพวกเก็บกด บางครั้งมีอารมณ์อยากชื่นชมลั่นทมมาก
ต้องแอบๆไปชื่นชมที่วัด (อ้อ อันหลังนี่ผมไม่ได้เปรียบถึง เซ็กส์ในวัดนะ
ครับ )
คนไทยไม่น้อย “โปรดปราน” ลั่นทมจนออกนอกหน้า จนบางครั้ง
เหมือนพวกชอบโชว์ประเจิดประเจ้อตามสาธารณะ บางคนลั่นทมจนไม่รู้
เด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ต่ำกว่า ๑๘ ก็ยิ่งชอบ บางคนก็เห่อลั่นทมนอกราคาแพง
บางพวก “อยากปลูก” ลั่นทมใจจะขาด แต่ไม่กล้า ต้อง รอ ร้อ รอ
จนกระทั่งเขาเปลี่ยนชื่อจาก “ลั่นทม” เป็น “ลีลาวดี” เท่านั้นแหละ พ่อยก
ลั่นทมลงหลุมกันเช้ายันเย็น ทั้งๆที่ไม่เห็นจะมี “ลีลา” อะไรเล้ย
บางพวก มีความรู้ความเข้าใจ วิเคราะห์แล้วว่า ที่โบราณเขาห้ามนั้น
ที่มาก็เกิดจากอันต้นลั่นทมนั้นมันมียางที่อันตราย ลูกเล็กเด็กแดงเผลอไป
โดนเข้าอาจถึงตายได้ เขาถึงห้ามไว้ ไม่ใช่เพราะลั่นทม หรือ ระทมอะไร
หรอก
ก็ที่ลาวเขายังเรียกว่า “ดอกจำปา” แถมเป็นดอกไม้ประจำซาดลาว
อีกซะด้วย ไม่ใช่ธรรมดา
“ของ” บางอย่างนั้น ถ้าเรารู้ที่มาที่ไปไว้บ้าง เวลาที่จะ “เล่นของ”
หรือเวลา “ของขึ้น” จะได้เอามา “แก้ของ” ได้

วิเคราะห์ลั่นทมพาลไปถึงเซ็กส์แล้ว ผมก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า ทำไม
ธรรมชาติมันต้องมีเซ็กส์ หรือจะเรียกแบบไทยๆว่า ทำไมต้องมี “ตัณหา”
ด้วย ?

อันนี้คงต้องย้อนไปตอนสมัยเริ่มต้นแห่งชีวิต
ศาสนาส่วนใหญ่บอกว่า ชีวิตมาจากพระเจ้า มีศาสนาพุทธบอกว่า
ปถมํ กลลํ โหติ “ในเบื้องต้นนั้นมีแต่เซลล์เดียว” บอกมาสองพันห้าร้อย
กว่าปีแล้ว
นักชีววิทยาก็มารู้ทีหลัง
อย่างเช่น อะมีบา สัตว์เซลเดียว พวกนี้พอโตได้ที่ ก็ถึงทางเลือกว่า
เอ็งจะรอความตาย หรือเอ็งจะแบ่งภาคเป็นสองตัวพอให้อยู่ดูโลกต่อไปได้
ร้อยทั้งร้อยมันคงเลือกแบ่งภาค ผมเดาเอาเองก็คงเพราะว่า “โบราณเขาว่า”
คือเจ้าอะมีบารุ่นปู่ย่าตายายทำมายังไง มันก็ทำตามสืบต่อไป
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนกำลังจะแบ่งตัวนี่ อะมีบามันจะรู้สึก
“เซ็กส์” บ้างหรือเปล่า

หรืออีกตัว เจ้า “โคโปรโมนาส” เซลเดียวเหมือนกัน แบ่งภาค
เหมือนกัน แต่พอถึงเวลาหนึ่งมันจะแบ่งไม่ได้ มันจะใช้วิธี “รวมตัว” เข้า
ด้วยกัน ละลายเข้าด้วยกัน เป็นตัวเดียวกัน
นี่เรียกว่า สมรสแล้วเป็นทองแผ่นเดียวกัน จริงๆ
ตัว โคโปรโมนาส มันจะรู้สึกเซ็กส์หรือเปล่าผมก็ไม่รู้

แต่ผมเดาๆเอาว่า พอเป็นสัตว์ที่มีมากเซลขึ้นเรื่อยๆ มีดีเอ็นเอ มี
โครโมโซม สัญชาตญาณมันจะต้องสั่งสมไว้ในดีเอ็นเอว่า “เอ็งต้องไปต่อ”
“เอ็งต้องไปต่อ” เหมือนพวกออกรายการแข่งขันเรียลลิตี้โชว์
แล้วอะไรมันจะจูงใจให้สรรพสัตว์ “ไปต่อ” ได้ดีเท่ากับ “เซ็กส์”
ล่ะครับ โดยใช้ “ความรู้สึกเซ็กส์”หรือตัณหามาเป็นเครื่องล่อ หรือ รางวัล
มันจะคอยบอกต่อ และส่งต่อไปยัง รุ่น หลาน เหลน โหลน ว่า
เซ็กส์ เซ็กส์ เซ็กส์ และ เซ็กส์

แล้วพอถึงขั้นพวกมากเซล “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน” อย่างเช่น “คน”
มันก็มีวัฒนธรรมทำเนียนมี “ความรัก” เข้ามาเกี่ยวดอง
สิ่งที่สั่งสมกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ จนมาถึงปู่ย่า พ่อ แม่ และตัวเรา
นั้นทางพุทธศาสนาเขาเรียกว่า “กรรม”เก่า
ส่วนที่เมื่อเกิดมาแล้วจะ “ชดใช้กรรม” จะ “ตัดกรรม” จะ “พัฒนา
กรรม” จะ “ปลูกหรือไม่ปลูก”ลั่นทม จะเรียกลั่นทมหรือลีลาวดี จะมีความรัก
หรือจะมีความใคร่ พุทธศาสนาบอกว่าอยู่ที่ “สติปัญญา” ของแต่ละคน
เซ็กส์สามารถพัฒนาให้เป็นความรัก ความรักตัวตนสามารถพัฒนาสู่
ความรักมวลมนุษยชาติ ความรักมวลมนุษย์สามารถเปลี่ยนผ่านเป็น ความรัก
อันบริสุทธิ์ไร้ตัวตนได้ หากใช้สติปัญญา
พาไปเที่ยวเรื่อง “เซ็กส์” ก็แวะไปเรื่อง “ธรรมะ” ได้เหมือนกัน
นะเนี่ย
เซ็กส์และธรรมะ เป็นเรื่องที่ควรศึกษานะครับ
เพียงแต่อย่าไปศึกษาอย่างแรก ในสถานที่ของอย่างหลัง ก็แล้วกันนะ
จะบอกให้ :lol: