มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1322
ราคาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจ : จุมพฏ สายหยุด
ผมชอบเล่าเรื่องต่อไปนี้ให้หลายคนฟัง เพราะเห็นว่าเป็นกรณีบริหารจัดการที่คลาสสิกดี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง มาร์โคโปโล ถาม กุปไลข่าน จักรพรรดิเมืองจีนว่า ท่านข่านคาดหวังอะไรจากนายทหาร
ข้าพเจ้า คาดหวังให้นายทหารของข้าพเจ้าดูแลทหารชั้นผู้น้อยให้ดีก่อนดูแลตัวเอง ส่วนนายพล จะต้องให้ดูแลม้าของตนให้ดีกว่าทหารทั่วไปที่ดูแลม้าของตนเอง
แน่นอนว่า พ่อค้าชาวเวนิส ต้องขอให้ขยายความสิ่งที่พูด
นายทหารมีความชอบด้วยการปฏิบัติ นายพลมีความชอบด้วยการเป็นแบบอย่าง คือคำเฉลย จากท่านข่าน
ผู้นำเรื่องนี้มาเล่าคือ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ระหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอยู่คราวหนึ่ง ท่านเล่าเพราะถูกถามว่า ท่านมองว่าสิ่งที่บริษัทใน Fortune 500 ได้ทำความน่าอับอายในเชิงบริหารมีอะไรบ้าง
สิ่งที่น่าอัปยศในขณะนี้คือ เมื่อฝ่ายบริหารได้รายรับเป็นเงินล้านๆเหรียญ แต่ปลดคนงานเป็นจำนวนนับหมื่นออกไป.พวกเขาไม่คิดน้อยใจหรอกที่ผู้บริหารระดับสูงได้เงินเป็นล้านๆ ตราบใดที่ไม่ไปเปลี่ยนอะไรต่ออะไรอย่างถอนรากถอนโคนประธานบริษัทต่างๆควรจะอยู่ชอบด้วยการเป็นตัวอย่าง แต่เขาเหล่านั้นได้ทำลายหลักการนั้น โดยตั้งเงินเดือนตัวเองสูงเสียจนคนข้างล่างอยู่กันไม่ได้ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ กล่าวก่อนจะสรุปว่า
ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นราคาที่สูงมาก
เสียดายที่คนสัมภาษณ์ไม่ได้ถามดรักเกอร์ต่อว่า ราคาที่สูงมากนักนั้นสำแดงออกมาในรูปใด แต่เท่านี้ก็คงเพียงพอจะบอกอะไรบางอย่างกับบริษัทไทย คนไทย และสังคมได้บ้าง นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่อยู่บนยอดพีระมิดขององค์กร หรือสังคมกับคนที่อยู่ตรงฐานพีระมิด
ดรักเกอร์ อาจจะเป็นนักคิดในวงการบริหารคนเดียวที่พูดถึง ความน้อยเนื้อต่ำใจ ในขณะที่คนอื่นไม่สนใจที่จะกล่าวถึง เพราะเป็นการยากที่คนที่มีการศึกษา มีฐานะทางสังคมสูง มีเงินทองจะเข้าใจความรู้สึกนี้
หากเราไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ด้อยโอกาส ยากจน ความรู้น้อย อยู่ในต่างจังหวัด หรือเป็นพนักงานระดับล่าง ก็เป็นการยากที่เราจะสัมผัสถึงความรู้สึกเหล่านี้
คนที่อยู่ตรงฐานของพีระมิดสังคม ไม่ว่าจะในระดับใดมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบตามธรรมชาติอยู่แล้ว นับตั้งแต่เกิดมา ก็พบกับคุณภาพที่ต่ำกว่าของบริการด้านสาธารณสุข คุณภาพการศึกษา โภชนาการ หรือแม้จะถึงขั้นฝ่าฟันพิสูจน์ตนเองด้วยความรู้ความสามารถขึ้นมาได้ แต่หากไปอยู่ในสังคมที่ให้ค่าของ ชาติวุฒิ มากกว่า คุณวุฒิ (ชาติวุฒิ เช่น ความเด่นดัง เลอเลิศของนามสกุล) โอกาสที่ได้รับก็ย่อมไม่มีวันเท่าเทียม ซึ่งก็คือรูปแบบการเอารัดเอาเปรียบที่เห็นอยู่ตำตา
แต่ส่วนใหญ่พวกเขาคงไม่มีแรงไต่ขั้นบันไดพีระมิด เพียงเพื่อจะไปพบกับความเจ็บปวดในขั้นที่ว่านั้น แทบทั้งหมดจะมีโอกาสเพียงน้อยนิด จึงต้องจมดักดานอยู่ตามท้องไร่ ท้องนา โรงงานอุตสาหกรรมสวัสดิการต่ำ และสลัม
ดังนั้น เวลาที่เราพูดถึงผู้ที่ เสียเปรียบ และ ผู้ได้เปรียบ เราไม่จำเป็นต้องหมายถึง คนที่เป็นซีอีโอกับลูกจ้าง แต่ย่อมกินความที่กว้างกว่านั้นในระดับสังคม เช่น คนในชนบท คนในกรุงเทพฯ ชนชั้นกลาง-สูง และคนระดับล่างในเมืองหลวง
ดูเหมือนสิ่งที่ ดรักเกอร์ จะบอกก็คือ ความได้เปรียบเสียเปรียบนี้ สามารถยอมรับให้ดำรงอยู่ต่อไป ตราบใดที่ความรู้สึกของคนระดับล่าง ไม่ถูกเหยียบย่ำจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ กล่าวอีกอย่างคือ คนที่จะมีคุณสมบัติที่เหยียบย่ำคนระดับล่างได้ ก็คือคนที่อยู่ข้างบน
รูปแบบของการเหยียบย่ำ ไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบของการขึ้นเงินเดือนแบบโอเวอร์ของซีอีโอก็ได้ แต่สามารถมาได้หลายรูปแบบ
ยกตัวอย่างเช่น หากซีอีโอคนหนึ่ง หรือทีมบริหารต้องการผลตอบแทนและสวัสดิการที่สูงขึ้น พวกเขาย่อมมีสารพัดยุทธวิธีในการต่อรองกับบอร์ด นับตั้งแต่ขู่ลาออก (เพราะชีวิตย่อมมีโอกาสและทางเลือกที่ดีอยู่แล้ว) หรือยื่นข้อเสนอเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การลดต้นทุน การเพิ่มยอดขาย ซึ่งคือการไปไล่เบี้ยกับคนระดับล่างลงไป
แต่ในกรณีของคนงาน หรือพนักงานระดับล่างที่ต้องการจะเรียกร้องค่าตอบแทนและสวัสดิการ ซึ่งในสายตาของพวกเขาคือการเรียกร้องสิทธิ์และความเท่าเทียมกัน (ซีอีโอทำได้ ฉันก็ทำได้) แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะน้อยกว่ามาก เพราะอย่างน้อยที่สุดคือการสร้างภาระต้นทุนให้กับกิจการ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดที่การขึ้นเงินเดือนให้ประธานบริษัท จะไม่ถูกข้อกล่าวหาเดียวกันนี้
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนั้น) คนงานจึงเหลือทางเลือกในการต่อรองไม่กี่วิธี เช่น การหยุดงานชุมนุมเรียกร้อง แต่ในจุดนั้น รูปแบบของการเหยียบย่ำครั้งใหม่ก็จะเกิดขึ้น นั่นคือ ข้อกล่าวหาการสร้างความเสียหายให้กับกิจการ การสร้างความแตกแยกขึ้นในองค์กร ถูกจูงจมูก หรือการเตรียมการใช้ความรุนแรงของคนระดับล่าง
ยุคนี้คนที่อยู่ข้างบน มีโอกาสมากขึ้น ที่จะใช้ข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างได้ผล ตราบใดที่เขาสามารถควบคุมระบบการสื่อสารภายในองค์กร หรือภายในสังคมได้ ที่สุดประเด็นแห่งการเรียกร้องความเท่าเทียม ซึ่งเป็นศักดิ์ศรีขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ก็จะถูกปฏิเสธที่จะรายงาน เพราะพวกเขาถูกตีตราเป็นพวกสร้างความแตกแยก และใช้ความรุนแรงไปเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดชัยชนะก็จะตกเป็นของคนที่อยู่บนยอดพีระมิด แต่ก็อย่างที่ ดรักเกอร์ บอกว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นราคาที่สูงมาก และการที่ท่านไม่ยอมบอกว่ามันสูงแค่ไหน ก็อาจจะหมายถึงว่า
มันสูงเสียจนในที่สุด สังคมไม่มีพอจะจ่ายนั่นเอง
กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 :welcome:
ผมชอบเล่าเรื่องต่อไปนี้ให้หลายคนฟัง เพราะเห็นว่าเป็นกรณีบริหารจัดการที่คลาสสิกดี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง มาร์โคโปโล ถาม กุปไลข่าน จักรพรรดิเมืองจีนว่า ท่านข่านคาดหวังอะไรจากนายทหาร
ข้าพเจ้า คาดหวังให้นายทหารของข้าพเจ้าดูแลทหารชั้นผู้น้อยให้ดีก่อนดูแลตัวเอง ส่วนนายพล จะต้องให้ดูแลม้าของตนให้ดีกว่าทหารทั่วไปที่ดูแลม้าของตนเอง
แน่นอนว่า พ่อค้าชาวเวนิส ต้องขอให้ขยายความสิ่งที่พูด
นายทหารมีความชอบด้วยการปฏิบัติ นายพลมีความชอบด้วยการเป็นแบบอย่าง คือคำเฉลย จากท่านข่าน
ผู้นำเรื่องนี้มาเล่าคือ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ระหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอยู่คราวหนึ่ง ท่านเล่าเพราะถูกถามว่า ท่านมองว่าสิ่งที่บริษัทใน Fortune 500 ได้ทำความน่าอับอายในเชิงบริหารมีอะไรบ้าง
สิ่งที่น่าอัปยศในขณะนี้คือ เมื่อฝ่ายบริหารได้รายรับเป็นเงินล้านๆเหรียญ แต่ปลดคนงานเป็นจำนวนนับหมื่นออกไป.พวกเขาไม่คิดน้อยใจหรอกที่ผู้บริหารระดับสูงได้เงินเป็นล้านๆ ตราบใดที่ไม่ไปเปลี่ยนอะไรต่ออะไรอย่างถอนรากถอนโคนประธานบริษัทต่างๆควรจะอยู่ชอบด้วยการเป็นตัวอย่าง แต่เขาเหล่านั้นได้ทำลายหลักการนั้น โดยตั้งเงินเดือนตัวเองสูงเสียจนคนข้างล่างอยู่กันไม่ได้ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ กล่าวก่อนจะสรุปว่า
ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นราคาที่สูงมาก
เสียดายที่คนสัมภาษณ์ไม่ได้ถามดรักเกอร์ต่อว่า ราคาที่สูงมากนักนั้นสำแดงออกมาในรูปใด แต่เท่านี้ก็คงเพียงพอจะบอกอะไรบางอย่างกับบริษัทไทย คนไทย และสังคมได้บ้าง นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่อยู่บนยอดพีระมิดขององค์กร หรือสังคมกับคนที่อยู่ตรงฐานพีระมิด
ดรักเกอร์ อาจจะเป็นนักคิดในวงการบริหารคนเดียวที่พูดถึง ความน้อยเนื้อต่ำใจ ในขณะที่คนอื่นไม่สนใจที่จะกล่าวถึง เพราะเป็นการยากที่คนที่มีการศึกษา มีฐานะทางสังคมสูง มีเงินทองจะเข้าใจความรู้สึกนี้
หากเราไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ด้อยโอกาส ยากจน ความรู้น้อย อยู่ในต่างจังหวัด หรือเป็นพนักงานระดับล่าง ก็เป็นการยากที่เราจะสัมผัสถึงความรู้สึกเหล่านี้
คนที่อยู่ตรงฐานของพีระมิดสังคม ไม่ว่าจะในระดับใดมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบตามธรรมชาติอยู่แล้ว นับตั้งแต่เกิดมา ก็พบกับคุณภาพที่ต่ำกว่าของบริการด้านสาธารณสุข คุณภาพการศึกษา โภชนาการ หรือแม้จะถึงขั้นฝ่าฟันพิสูจน์ตนเองด้วยความรู้ความสามารถขึ้นมาได้ แต่หากไปอยู่ในสังคมที่ให้ค่าของ ชาติวุฒิ มากกว่า คุณวุฒิ (ชาติวุฒิ เช่น ความเด่นดัง เลอเลิศของนามสกุล) โอกาสที่ได้รับก็ย่อมไม่มีวันเท่าเทียม ซึ่งก็คือรูปแบบการเอารัดเอาเปรียบที่เห็นอยู่ตำตา
แต่ส่วนใหญ่พวกเขาคงไม่มีแรงไต่ขั้นบันไดพีระมิด เพียงเพื่อจะไปพบกับความเจ็บปวดในขั้นที่ว่านั้น แทบทั้งหมดจะมีโอกาสเพียงน้อยนิด จึงต้องจมดักดานอยู่ตามท้องไร่ ท้องนา โรงงานอุตสาหกรรมสวัสดิการต่ำ และสลัม
ดังนั้น เวลาที่เราพูดถึงผู้ที่ เสียเปรียบ และ ผู้ได้เปรียบ เราไม่จำเป็นต้องหมายถึง คนที่เป็นซีอีโอกับลูกจ้าง แต่ย่อมกินความที่กว้างกว่านั้นในระดับสังคม เช่น คนในชนบท คนในกรุงเทพฯ ชนชั้นกลาง-สูง และคนระดับล่างในเมืองหลวง
ดูเหมือนสิ่งที่ ดรักเกอร์ จะบอกก็คือ ความได้เปรียบเสียเปรียบนี้ สามารถยอมรับให้ดำรงอยู่ต่อไป ตราบใดที่ความรู้สึกของคนระดับล่าง ไม่ถูกเหยียบย่ำจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ กล่าวอีกอย่างคือ คนที่จะมีคุณสมบัติที่เหยียบย่ำคนระดับล่างได้ ก็คือคนที่อยู่ข้างบน
รูปแบบของการเหยียบย่ำ ไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบของการขึ้นเงินเดือนแบบโอเวอร์ของซีอีโอก็ได้ แต่สามารถมาได้หลายรูปแบบ
ยกตัวอย่างเช่น หากซีอีโอคนหนึ่ง หรือทีมบริหารต้องการผลตอบแทนและสวัสดิการที่สูงขึ้น พวกเขาย่อมมีสารพัดยุทธวิธีในการต่อรองกับบอร์ด นับตั้งแต่ขู่ลาออก (เพราะชีวิตย่อมมีโอกาสและทางเลือกที่ดีอยู่แล้ว) หรือยื่นข้อเสนอเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การลดต้นทุน การเพิ่มยอดขาย ซึ่งคือการไปไล่เบี้ยกับคนระดับล่างลงไป
แต่ในกรณีของคนงาน หรือพนักงานระดับล่างที่ต้องการจะเรียกร้องค่าตอบแทนและสวัสดิการ ซึ่งในสายตาของพวกเขาคือการเรียกร้องสิทธิ์และความเท่าเทียมกัน (ซีอีโอทำได้ ฉันก็ทำได้) แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะน้อยกว่ามาก เพราะอย่างน้อยที่สุดคือการสร้างภาระต้นทุนให้กับกิจการ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดที่การขึ้นเงินเดือนให้ประธานบริษัท จะไม่ถูกข้อกล่าวหาเดียวกันนี้
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนั้น) คนงานจึงเหลือทางเลือกในการต่อรองไม่กี่วิธี เช่น การหยุดงานชุมนุมเรียกร้อง แต่ในจุดนั้น รูปแบบของการเหยียบย่ำครั้งใหม่ก็จะเกิดขึ้น นั่นคือ ข้อกล่าวหาการสร้างความเสียหายให้กับกิจการ การสร้างความแตกแยกขึ้นในองค์กร ถูกจูงจมูก หรือการเตรียมการใช้ความรุนแรงของคนระดับล่าง
ยุคนี้คนที่อยู่ข้างบน มีโอกาสมากขึ้น ที่จะใช้ข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างได้ผล ตราบใดที่เขาสามารถควบคุมระบบการสื่อสารภายในองค์กร หรือภายในสังคมได้ ที่สุดประเด็นแห่งการเรียกร้องความเท่าเทียม ซึ่งเป็นศักดิ์ศรีขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ก็จะถูกปฏิเสธที่จะรายงาน เพราะพวกเขาถูกตีตราเป็นพวกสร้างความแตกแยก และใช้ความรุนแรงไปเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดชัยชนะก็จะตกเป็นของคนที่อยู่บนยอดพีระมิด แต่ก็อย่างที่ ดรักเกอร์ บอกว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นราคาที่สูงมาก และการที่ท่านไม่ยอมบอกว่ามันสูงแค่ไหน ก็อาจจะหมายถึงว่า
มันสูงเสียจนในที่สุด สังคมไม่มีพอจะจ่ายนั่นเอง
กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 :welcome:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1323
มะลิ เขียน:แวะมาบอกพี่พอลค่ะ ว่าเห็นพี่พอลเปลี่ยนลายเซ็นต์ละ
หนูชอบอ่านลายเซ็นต์เพื่อนๆ นะคะ บางทีก็เป็นคำดีๆ
บางทีก็ฮาๆ หรือบางคนก็แอบสะท้อนอะไรในใจออกมาซะงั้น
ลายเซ็น ผม คงไม่เน้นการลงทุนมากนัก
ลายเซ็นนี่ เป็นหนึ่งใน ข้อเตือนใจผม มาตลอด
เวลาของพวกเรา ก็เหมือน นาฬิกาทราย ที่ไหลลงมาทุกวัน ข้างบน ของนาฬิกาทราย ก็เหลือน้อยลง ๆ ทุกวัน เอาคืนกลับไม่ได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1326
ขอบคุณ อาจารย์ big มากครับ:D
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1327

ประสบการณ์หลายๆอย่างที่หลายคนเจอมา พี่ก็ไม่ได้เจอ ในช่วงวัยเดียวกัน
เพราะความไม่ขวนขวาย ในหลายๆครั้ง กะไม่ได้โอกาสในบางครั้ง ทำให้พี่
ไม่สามารถแชร์เรื่องราวหลายๆเรื่องได้ ทั้งๆที่ ตัวเองชอบเขียนอะไรทำนองนี้
สิ่งที่ทำได้ ก็คือ เอางานเขียนของคนที่เขาผ่านมาแล้ว มาอ่านกันครับ จะได้ย่อเวลาในการตึกผลึกความคิดเราลง อย่างที่พี่หมอมุข บอกไว้น่ะครับว่า
เวลามีจำกัด หมดคือหมดกัน
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1328
หลังจากที่ผมได้อ่านมุมมองที่พี่มุขเขียนไว้ล่าสุด กับของพี่แป๊ะ
ทำให้แน่ใจแล้วว่า
ผมเป็นคนใช้โอกาสเปลือง สมควรแล้วที่จนป่านนี้ ก็ยังไม่เจริญ ไม่มีที่ยืน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกือบทั้งหมด เพราะเราเป็นต้นเหตุ ส่วนน้อยที่มาจากข้างนอก
อาการเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหว เป็นคนละเรื่องกับผลงานที่เราวาดหวัง
เห็นกันอยุ่ทนโท่ว่า มันยังไม่เสร็จสิ้น จะมาอ้างว่า ฟ้าดิน ไม่อำนวย ก็ยิ่งทำให้เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา แม้กระทั่ง คำถามที่ว่า ทำไมเราถึงเหนื่อย ท้อ ทำไม่ไหว ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เราคิดอะไรวนๆๆซ้ำซากอยู่ :?: ถึงได้พาลทำให้เราหมดแรงกลายเป็นคนอ่อนแอถึงขั้นละทิ้งสิ่งที่ควรทำได้ขนาดนี้ :!:
ถ้ามีเวลาผมจะเอากระทู้เก่าๆที่ผมเขียน มานั่งไล่ต่อว่า ผมยังไม่ได้ทำอะไรมั่ง มีเยอะนักเชียว 
ทำให้แน่ใจแล้วว่า
ผมเป็นคนใช้โอกาสเปลือง สมควรแล้วที่จนป่านนี้ ก็ยังไม่เจริญ ไม่มีที่ยืน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกือบทั้งหมด เพราะเราเป็นต้นเหตุ ส่วนน้อยที่มาจากข้างนอก
อาการเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหว เป็นคนละเรื่องกับผลงานที่เราวาดหวัง
เห็นกันอยุ่ทนโท่ว่า มันยังไม่เสร็จสิ้น จะมาอ้างว่า ฟ้าดิน ไม่อำนวย ก็ยิ่งทำให้เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา แม้กระทั่ง คำถามที่ว่า ทำไมเราถึงเหนื่อย ท้อ ทำไม่ไหว ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เราคิดอะไรวนๆๆซ้ำซากอยู่ :?: ถึงได้พาลทำให้เราหมดแรงกลายเป็นคนอ่อนแอถึงขั้นละทิ้งสิ่งที่ควรทำได้ขนาดนี้ :!:


เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1329
[quote="Voldtrest"]หลังจากที่ผมได้อ่านมุมมองที่พี่มุขเขียนไว้ล่าสุด กับของพี่แป๊ะ
ทำให้แน่ใจแล้วว่า
ทำให้แน่ใจแล้วว่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1330
ชอบหลักคิดของหมอแป๊ะมากเลยreiter เขียน: หลักคิดของพี่นะ เวลาพี่เจอปัญหาอะไรหนักๆเข้ามา พี่จะแบ่งปัญหาออกเป็นสองก้อน ก้อนนึงคือปัญหาส่วนที่เราจัดการมันได้ ปัญหาก้อนนี้ให้เราทุ่มเทสติปัญญา เรี่ยวแรงให้กับมันเต็มที่ ก้อนที่สองคือปัญหาส่วนที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา ปัญหาก้อนนี้ให้วางมันซะ อย่าไปสนใจ อย่ากังวลกับมันมาก ปล่อยมันไว้เฉยๆ ให้มันโดนแดดโดนฝนสักระยะ ค่อยกลับมาดูมันใหม่
อย่าคิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์แมน ที่จะแบกปัญหาทั้งโลกไว้คนเดียวได้......
คล้ายๆของผม เลยนะ เพราะปัญหาที่เข้ามาถาโถมส่วนใหญ่ ก็จะแบ่ง เป็นหลักๆ ก็คือ เกิดจาก ตัวเรา และ ไม่ใช่ จากตัวเรา
ถ้าเกิดจาก ตัวเรา ใครจะแก้ง่ายที่สุด ถ้าไม่ใช่เรา
แล้วไอ้ที่ไม่เกิดจากเรา ก็ต้องมาวิเคราะห์ ว่า พอจะคุย จะปรับ จะอะไรก็แล้วแต่ก้สิ่งนั้นได้หรือเปล่า
ถ้าอยู่นอกเหนือจาก ความสามารถของเรา ก็ขึ้นกับตัวเขา หรือ ปัจจัยนั้นๆ
สาวนตัวของเรา ก็ต้อง ปล่อยวาง ทำใจ ปล่อยให้ กาลเวลา ค่อยๆ พิสูจน์ไป
เหมือน น้ำที่ขุ่น ถูกกวน ให้ขุ่น บางครั้งก็ต้องปล่อยให้ตกตะกอน พอน้ำใส ขึ้นแล้วก็ แยกปัญหาออกได้ชัดขึ้น
อีกอย่าง เวลามีปัญหาผมไม่ค่อย ชอบคิดอะไรในหัวมากนัก ถ้าเป็น เทคนิค ส่วนตัว ก็ชอบที่จะขีดๆเขียนๆ ออกมาเป็น ประเด็นมากกว่า
มันง่ายที่จะวิเคราะห์ วินิจฉัยได้ดี :D
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1333
ผมได้อ่านเรื่อง reflexivity ที่คุณ Humdrum เขียน จึงเข้าใจว่าวิธีแก้ปัญหาที่ผมใช้อยู่บ่อยๆ เค้าเรียกว่าอย่างนี้นี่เอง แนะนำให้ลองทำตัวเองเป็นคนนอก แล้วจินตนาการว่ามีเพื่อนแบกปัญหามาปรึกษา แล้วลองคิดว่าเราจะแนะนำเขาว่าอย่างไร (ซึ่งบ่อยครั้งนี่แหละคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด) บ่อยครั้งเรามักพบว่าสิ่งที่เป็นปัญหาของเราจริงๆ แล้วพอมองจากมุมคนนอกมันไม่ใช่ปัญหาด้วยซ้ำ ลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ่อยๆ แล้วคิดในมุมกลับดูครับ สุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ ก็จะเหลือแค่สิ่งที่นอกเหนือการควบคุมเท่านั้นเอง แล้วถ้าเราสามารถปล่อยวางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมแบบที่คุณหมอแป๊ะบอกได้ ชีวิตจะง่ายกว่านี้อีกเยอะครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=43868
ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่พบเห็นได้ทั่วไป
สมัยเรียนมักจะมีเพื่อนผู้หญิงมาบ่นกับผมบ่อยๆ ว่าแฟนตัวเองเลวอย่างงั้นอย่างงี้ เจ้าชู้ กะล่อน เอาเปรียบ ไว้ใจไม่ได้ ทะเลาะกันบ่อยๆ ผมได้ลองถามกลับไปว่า
"ลองคิดซิถ้ามีเพื่อนที่มีปัญหาแบบเดียวกันมาปรึกษา จะให้คำแนะนำเขายังไง"
"ก็คงบอกให้เลิกสิวะ จะไปทนทำไม"
"อืม แล้วทำไม _ง ไม่เลิกกับมันล่ะ"
"... ก็_รูรักมันอะ" (
)
หลังจากทนไปไม่กี่เดือน มันก็เลิกกันจนได้ครับ ของบางอย่างเห็นทางแก้อยู่ชัดๆ ครับ แค่อัตตามันบดบังเท่านั้นเอง
ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่พบเห็นได้ทั่วไป
สมัยเรียนมักจะมีเพื่อนผู้หญิงมาบ่นกับผมบ่อยๆ ว่าแฟนตัวเองเลวอย่างงั้นอย่างงี้ เจ้าชู้ กะล่อน เอาเปรียบ ไว้ใจไม่ได้ ทะเลาะกันบ่อยๆ ผมได้ลองถามกลับไปว่า
"ลองคิดซิถ้ามีเพื่อนที่มีปัญหาแบบเดียวกันมาปรึกษา จะให้คำแนะนำเขายังไง"
"ก็คงบอกให้เลิกสิวะ จะไปทนทำไม"
"อืม แล้วทำไม _ง ไม่เลิกกับมันล่ะ"
"... ก็_รูรักมันอะ" (
หลังจากทนไปไม่กี่เดือน มันก็เลิกกันจนได้ครับ ของบางอย่างเห็นทางแก้อยู่ชัดๆ ครับ แค่อัตตามันบดบังเท่านั้นเอง
อย่ายอมแพ้
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1335
เอารัฐไหนอ่ะพี่
ผมไปแต่รัฐ common
ผมไปแต่รัฐ common
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1337
apply U nebraska ไปด้วยนะแต่เค้าไม่เรียก :lol: :lol:
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1339
reiter เขียน:เอารัฐไหนอ่ะพี่
ผมไปแต่รัฐ common
พวกรัฐ Maine utah Idaho แบบนี้ สำหรับ พี่คงไม่ได้มีโอกาสไป
แต่ New York Boston ก็ไม่เคยไป เหมียนกัน
ถ้าหมอแป๊ะ ไป New York Boston ฝากซื้อ magnet
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1340
http://bit.ly/9CPjot จากหัวข้อข่าวนี้...ผมละชอบไอเดียนี้จริงๆ ถามเพื่อนพ้องน้องพี่ แต่ละคน คิดว่า ราคา PAR น่าจะเท่าไรดีครับ :B
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1341
แต่ก่อน เคยคิดอยากจะไปเจอ บัฟเฟต สักครั้งเหมือนกัน
แต่พอ อายุเกิน 30 แล้ว กลายเป็นเฉยๆแล้ว
เคยไปเดินเล่นที่ Columbia ที่บัฟเฟตเคยเรียนกับ อ.Graham
ดูขลังดีครับ ว่าจะเข้าไปที่ห้องสมุด แต่ไม่มีบัตร เลยเข้าไม่ได้
ว่าแต่ ไอ้ magnet นี่มันคืออะไรหรือครับ ผมตกยุคไปแล้ว
แต่พอ อายุเกิน 30 แล้ว กลายเป็นเฉยๆแล้ว
เคยไปเดินเล่นที่ Columbia ที่บัฟเฟตเคยเรียนกับ อ.Graham
ดูขลังดีครับ ว่าจะเข้าไปที่ห้องสมุด แต่ไม่มีบัตร เลยเข้าไม่ได้

ว่าแต่ ไอ้ magnet นี่มันคืออะไรหรือครับ ผมตกยุคไปแล้ว
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1342
kotaro เขียน:แต่ก่อน เคยคิดอยากจะไปเจอ บัฟเฟต สักครั้งเหมือนกัน
แต่พอ อายุเกิน 30 แล้ว กลายเป็นเฉยๆแล้ว
เคยไปเดินเล่นที่ Columbia ที่บัฟเฟตเคยเรียนกับ อ.Graham
ดูขลังดีครับ ว่าจะเข้าไปที่ห้องสมุด แต่ไม่มีบัตร เลยเข้าไม่ได้
![]()
ว่าแต่ ไอ้ magnet นี่มันคืออะไรหรือครับ ผมตกยุคไปแล้ว
คุณหมอ kotaro น่าจะอยู่ ยุคใกล้ๆผมนะ ไม่น่าถึงกับตกยุค
Magnet ก็ ไม่มีอะไรครับ ก็ ที่ติดตู้เย็น นั่นล่ะครับ
เวลาผมเดินทางไปเที่ยวแต่ละที่ ผมก็ชอบซื้อ magnet แต่ละเมือง หรือแต่ละประเทศ ครับ
เป็นที่ระลึกเวลา กลับมาแล้วมามองที่ติดไว้ ก็จะนึกถึงความสุข ที่ได้ไปมา น่ะครับ
พอดี ที่พูดถึงกับ หมอ reiter ว่าที่เมืองแปลกๆ ก็เพราะ คงไม่ดี มีโอกาส ไปเมืองนั้นแน่ๆ ก็จะฝากซื้อน่่ะครับ
ตอนนี้กลายเป็นของชอบไปแล้วครับ
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1343
HA, TX, NY, FL, MI, MA, PA, IL, NJ
ไปเท่านี้ สนใจรัฐไหนมั่งพี่พอล
ไปเท่านี้ สนใจรัฐไหนมั่งพี่พอล
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1347
MI = Michigan
PA = Pennsylvania
PA = Pennsylvania
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1349
ขอแอบใช้พื้นที่ ของพี่หมอมุขหน่อยนะครับ
ผมไปสมัครงานที่รพ. รัฐบาลแห่งหนึ่ง ที่นั่นต้อนรับดี และก็รีบให้ผมไปยื่นใบสมัคร สัมภาษณ์กับ ผอ.เรียบร้อย อนุมัติเรียบร้อย พร้อมทั้งเสนอให้ผมรีบลาออกจาก รพ.เดิม
ผมตัดสินใจอยู่พอสมควร แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ผมจึงลาออกจากต้นสังกัด และ พร้อมจะย้ายไปทำงานต่อที่คาดไว้
ปรากฏว่า ก่อนหน้าวันทำงานประมาณ 5 วัน มีการติดต่อมาว่า ผอ.ไม่พร้อมจะให้ไปทำงาน เพราะว่า หมอบางคนในนั้นไม่พร้อมจะให้ผมไปร่วมงานด้วย
ถามสาเหตุ มีอยู่ง่ายๆ ว่า ผมเดินผ่านแล้วไม่ยอมยกมือไหว้ (ทั้งๆที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ใครคือหมอคนนั้น)
ผมเขียนในนี้ เพราะว่า เป็นสังคมหมอที่ชอบด้านการลงทุนเหมือนกัน
ผมไม่เคยคิดว่า การรับปากจาก ผอ. รพ. แทบจะไม่มีน้ำหนักเลย
ผมไม่เคยคิดว่า สิ่งที่เราว่า แน่นอน คือความไม่แน่นอน
ตอนแรก ผมคิดว่า อาจจะต้องประกาศใน เวป ไทยคลินิก เพื่อเป็นการ ประจาน พฤติกรรมเช่นนี้ แต่เตือนเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ ต้องพลาดเช่นกัน
แต่คิดไปคิดมา อยู่เฉยๆ ดีกว่า
ตอนนี้นั่งท่องประโยค พี่พอใจอยู่ สั้นๆว่า
"ฟ้าลิขิต"
ผมไปสมัครงานที่รพ. รัฐบาลแห่งหนึ่ง ที่นั่นต้อนรับดี และก็รีบให้ผมไปยื่นใบสมัคร สัมภาษณ์กับ ผอ.เรียบร้อย อนุมัติเรียบร้อย พร้อมทั้งเสนอให้ผมรีบลาออกจาก รพ.เดิม
ผมตัดสินใจอยู่พอสมควร แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ผมจึงลาออกจากต้นสังกัด และ พร้อมจะย้ายไปทำงานต่อที่คาดไว้
ปรากฏว่า ก่อนหน้าวันทำงานประมาณ 5 วัน มีการติดต่อมาว่า ผอ.ไม่พร้อมจะให้ไปทำงาน เพราะว่า หมอบางคนในนั้นไม่พร้อมจะให้ผมไปร่วมงานด้วย
ถามสาเหตุ มีอยู่ง่ายๆ ว่า ผมเดินผ่านแล้วไม่ยอมยกมือไหว้ (ทั้งๆที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ใครคือหมอคนนั้น)
ผมเขียนในนี้ เพราะว่า เป็นสังคมหมอที่ชอบด้านการลงทุนเหมือนกัน
ผมไม่เคยคิดว่า การรับปากจาก ผอ. รพ. แทบจะไม่มีน้ำหนักเลย
ผมไม่เคยคิดว่า สิ่งที่เราว่า แน่นอน คือความไม่แน่นอน
ตอนแรก ผมคิดว่า อาจจะต้องประกาศใน เวป ไทยคลินิก เพื่อเป็นการ ประจาน พฤติกรรมเช่นนี้ แต่เตือนเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ ต้องพลาดเช่นกัน
แต่คิดไปคิดมา อยู่เฉยๆ ดีกว่า
ตอนนี้นั่งท่องประโยค พี่พอใจอยู่ สั้นๆว่า
"ฟ้าลิขิต"
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1350
แรงส
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้