reiter เขียน:พี่มุขหมายถึงอันนี้ป่ะ
ลงทุนอย่างจอห์น เนฟฟ์
โดยปกติเวลามี เพื่อนนลท. หน้าใหม่ มาขอคำปรึกษาเรื่องหลักการลงทุน ผมก็มักจะแนะนำให้ศึกษาจากตำราของทั้งฟากเทคนิค และฟากแวลู จากนั้นให้ลองเทรดดูว่าระบบการเทรดแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด
แต่ ปัญหาที่ผมได้พบเสมอๆ ก็คือ เพื่อนนลท.หน้าใหม่เหล่านั้น มักจะกลับมาบ่นอยู่เสมอๆ ว่า การลงทุนแบบแวลูนั้นยาก และต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในหลายๆ เรื่อง ทั้งการมองธุรกิจ บัญชี เศรษฐกิจมหภาค ทำให้เพื่อนนลท.หน้าใหม่เหล่านั้น มักจะหมดความพยายามในการที่จะศึกษา และทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงทุนในแนวนี้
ที่จริงหลักการของการลงทุนแบบแวลูนั้น ง่าย เพียงแค่ท่านซื้อกิจการของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของมัน เท่านี้ก็นับเป็นการลงทุนแบบแวลูแล้ว
แต่จากหลักการข้างต้น ก็ได้มีการพัฒนาแนวทางในการประยุกต์หลักการข้างต้นมาอีกมากมาย
แนว ทางหนึ่ง ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นกระแสหลักของการลงทุนแบบแวลูในปัจจุบัน คือแนวทางของ วอร์เรน บัฟเฟต์ ที่เน้น ในเรื่องของคุณภาพของกิจการ... เพราะบัฟเฟต์เชื่อว่า กิจการที่มียอดเยี่ยม มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยืน และมีผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถร่วมกับมีธรรมาภิบาลที่ดี ย่อมต่อยอดสะสมมูลค่าของกิจการให้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไม่มีขีดกำจัด
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าแนวทางของบัฟเฟต์นั้น ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาของแนวทางการลงทุนอย่างบัฟเฟต์ จำเป็นต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจในหลายเรื่องๆ รวมทั้งการมองธุรกิจในระยะยาวอย่างแม่นยำ ซึ่งก็มักจะเป็นปัญหากับนลท.หน้าใหม่ ดังที่ผมเรียนไว้ข้างต้น
ผมเลย มาลองคิดดูว่า มีแนวทางการลงทุนแบบแวลู ที่ลดความซับซ้อน และไม่ต้องอาศัยความเข้าใจในศาสตร์ทางธุรกิจมากมายอะไรขนาดนั้นไหม เพื่อที่จะเป็นก้าวแรกของนลท. ที่สนใจการลงทุนแบบแวลู
เมื่อนึกถึง แนวทางการลงทุนแบบแวลู ที่ไม่ต้องสนใจความเป็นไปทางธุรกิจ หรือต้องมาสนใจงบการเงินมากมายนัก ผมนึกถึงการลงทุนแบบเบน เกรแฮม ( ซึ่งเป็นอาจารย์ของบัฟเฟต์อีกที ) และ จอห์น เนฟฟ์
แต่อย่างไรก็ดีการ ลงทุนแบบเกรแฮม ออกจะสุดโต่งไปสักหน่อย ( ในทัศนะของผมเอง ) เนื่องจากเกรแฮม แทบจะไม่ให้ ความสำคัญกับตัวธุรกิจเลย ซึ่งเกรแฮมเองก็ยอมรับจุดบอดจุดนี้ในกลยุทธ์ของตัวเอง เกรแฮมจึงพยายามกระจายการถือครองหุ้นในหลายๆ ตัวในพอร์ตโฟลิโอ รวมทั้งกำจัดหุ้นถูกเรื้อรัง ด้วยการขายหุ้นที่ถือครองแล้วราคาไม่ไปไหนเกินสองปี
ผมจึงสนใจการลง ทุนในแบบของเนฟฟ์มากกว่า เพราะแม้เนฟฟ์จะเน้นที่ราคาของหุ้นที่ถูกมากๆ เช่นเดียวกับเกรแฮม แต่เนฟฟ์ก็ยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจ ( ดังที่ผมจะได้กล่าวต่อไป )
จอห์น เนฟฟ์เป็นผู้จัดการกองทุน Windsor ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในอเมริกา ซึ่งตลอดเวลา 32 ปีที่เค้าบริหารกองทุนนี้ สินทรัพย์ของกองทุนเพิ่มขึ้นถึง 57 เท่า หรือเปรียบเทียบเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 13.7% ( เทียบกับผลตอบแทนเพียง 22 เท่าของดัชนี S&P 500 )
วิธีการลงทุนของเนฟฟ์ ค่อนข้างจะเข้าใจง่ายกว่า แนวทางแบบบัฟเฟต์ เนื่องจากเนฟฟ์ใช้อัตราส่วนทางการเงินเพียงไม่กี่ตัวในการประเมินหุ้นแต่ละ ตัว และการลงทุนแบบเนฟฟ์ ไม่ได้อาศัยความเข้าใจทางธุรกิจมากมายนัก
หลัก การง่ายๆของเนฟฟ์คือ ให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มี PE ต่ำๆ มีการเติบโตพอประมาณ และมี Total return ratio ที่สูงกว่าตลาด สองเท่าขึ้นไป
เหตุผลที่เนฟฟ์เลือกลงทุนในหุ้นที่มี PE ต่ำๆ เนื่องจาก PE ที่ต่ำแสดงถึงการคาดหวังของตลาดต่อการเติบโตของกำไรของบริษัทที่ค่อนข้าง น้อย ดังนั้นหากกำไรในอนาคตของบริษัทเติบโตขึ้นได้มากกว่าที่ตลาดคาดหวัง ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะดีดตัวขึ้นมา 50 - 100% ( จากการที่ตลาดปรับ PE ให้ ) เช่น หุ้นของบ. A เคยทำ EPS ได้ 2 บาท และเทรดกันที่ PE 5 ( = 10 บาท ) ต่อมาบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง สามารถเพิ่มกำไรได้จนมาอยู่ที่ 2.2 บาทต่อหุ้น วันดีคืนดีตลาดอาจจะเห็นคุณค่าของหุ้นตัวนี้และปรับ PE ให้เป็น 8 ละหุ้นตัวนั้นขึ้นไปเทรดกันที่ 17.6 บาท เป็นต้น
ในทำนอง ตรงข้าม หากบริษัทเติบโตได้น้อยกว่าที่เราคาดการณ์ โอกาสขาดทุนหนักๆ ของเราก็แทบจะไม่มี เนื่องจากตลาดไม่ได้คาดหวังจากหุ้นตัวนี้ และเทรดใน PE ที่ต่ำอยู่แล้ว ( นอกจากนี้ PE ที่ต่ำยังจะส่งผลให้ dividend yield สูงโดยอัตโนมัติ ซึงจะเป็นเครื่องป้องกันการลงของราคาแรงๆ อีกทางหนึ่ง )
PE เท่าไร ที่เนฟฟ์จะเรียกว่าต่ำ ? โดยทั่วไปเนฟฟ์ให้หลักว่า หุ้นที่จะซื้อควรมี PE ต่ำกว่า PE ของตลาดประมาณ 40 60%
หลักข้อต่อมาของเนฟฟ์คือ หุ้นที่ซื้อควรจะเป็นกิจการที่เติบโตพอประมาณ โดยที่เนฟฟ์ให้ตัวเลขไว้ว่าควรจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วง 6 20% ติดต่อกันหลายๆ ปี และควรจะเป็นอุตสาหกรรมที่ดูน่าเบื่อ ( ตัวอย่างของเนฟฟ์คือ ทองแดง และปูนซีเมนต์ )
ถ้าจะพิจารณาหลักการข้อ นี้ของเนฟฟ์ จะพบว่าที่จริงก็เป็นการวิเคราะห์อนาคตของธุรกิจ และกำไรที่ยั่งยืนแบบที่บัฟเฟต์ชอบทำ แต่เนฟฟ์ทำให้เป็นเรื่องง่าย ด้วยการใช้ข้อมูลในอดีตมาเป็นตัวสกรีนธุรกิจอย่างคร่าวๆ ด้วยการใช้ตัวเลขการเติบโตของกำไรสุทธิในหลายๆปีที่ผ่านมา ( หากกำไรเติบโตได้ติดต่อกันหลายๆ ปีได้ ก็น่าเชื่อได้ว่าบริษัทน่าจะมีความได้เปรียบบริษัทคู่แข่งอะไรสักอย่าง และก็เชื่อได้เช่นกันว่า E ในปีต่อๆไป ก็น่าจะรักษาการเติบโตในระดับนี้ไว้ได้ )
นอกจากนี้หากหุ้นที่เรา เลือกอยู่ในอุตสาหกรรมที่ดูน่าเบื่ออย่างเช่นที่เนฟฟ์ชอบ ก็จะยิ่งให้ความมั่นใจได้อีกว่าบริษัทน่าจะรักษาการเติบโตในระดับเดียวกับ อดีตได้ต่อไปอีกในอนาคต เพราะตลาดของสินค้าเหล่านี้มักไม่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง แบบเดียวกับสินค้าเทคโนโลยีที่ร้อนแรง และตัวอุตสาหกรรมเองก็มักจะเข้าใจง่าย พอที่จะทำให้เราคาดเดาถึงผลประกอบการในอนาคต เนฟฟ์เคยยกตัวอย่างว่าระหว่างให้คาดเดายอดขายของบริษัทผลิตชิพรุ่นใหม่ กับยอดขายของบริษัทผลิตทองแดง เนฟฟ์ขอเลือกอย่างหลัง )
สาเหตุที่ เนฟฟ์ไม่ลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตมากกว่า 20% ต่อปี เนื่องจากเนฟฟ์มองว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตมากกว่า 20% ต่อปีมักจะเป็นอุตสาหกรรมร้อนแรง ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดก็มักจะเทรดกันบนความคาดหวังสูงๆ ( นั่นก็คือ PE สูงๆ ) และอุตสาหกรรมที่เติบโตในระดับนั้นได้ก็มักจะเป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่ตลาด ยังไม่อิ่ม ทำให้ทำนายถึงผลประกอบการในอนาคตได้ลำบาก ( ซึ่งตรงข้ามกับอุตสาหกรรมที่ดูน่าเบื่อ )
หลักข้อสุดท้ายของ เนฟฟ์คือการประเมิน Total return ratio
Total return คือ ผลตอบแทนทั้งหมด ที่นลท จะได้จากการลงทุนในหุ้นตัวหนึ่ง = การเติบโตของกำไร + dividend yield
เช่นกำไรของบ. A โตขึ้น 10% และปีนี้บ. จ่ายปันผลออกมา 3% ดังนั้น total return = 13%
หากเราเอา Total return มาหารด้วยความถูกความแพงของหุ้น ( ซึ่งก็คือ PE ) เราจะได้เป็น Total return ratio ออกมา
เช่นหุ้นของ บ. A เทรดกันที่ PE 5 เราก็จะได้ Total return ratio ของหุ้น บ. A = 13 / 5 = 2.6
Total return ratio บอกอะไรกับเรา ? ค่า TRR เป็นตัวบอกถึงผลตอบแทนที่เราคาดว่าจะได้จากการลงทุนในหุ้นตัวนี้ โดยเทียบกับต้นทุนของความถูกความแพงของหุ้นที่เราซื้อ ( จะเห็นได้ว่าถ้าเราซื้อหุ้นที่ PE แพงๆ แม้ผลการดำเนินงานและปันผลจะออกมาดี แต่ return rate ก็จะออกมาต่ำเนื่องจากต้นทุนที่เราจ่ายค่อนข้างแพง ตรงกันข้ามกับหุ้น PE ต่ำ ที่มักจะให้ return rate ที่สูงกว่า ขอเพียงแค่ผลการดำเนินงานและปันผลออกมาในระดับที่ใช้ได้ )
ปกติเนฟฟ์ จะเลือกลงทุนในหุ้นที่ให้ TRR มากกว่า TRR ของตลาด 2 เท่าขึ้นไป
สรุปหลักการของเนฟฟ์
- เลือกลงทุนในหุ้นที่ PE ต่ำๆ ( ต่ำกว่า PE ตลาด 40 60% )
- มีกำไรเติบโตพอประมาณ ( โต 6 20% ต่อเนื่องกันหลายๆ ปี และควรจะเป็นอุตสาหกรรมที่คาดเดาผลประกอบการได้ง่าย )
- TRR มากกว่า 2 เท่าของตลาด
ลองเอาหลักการของเนฟฟ์มาประยุกต์กับตลาดไทยนะครับ
- PE ตลาดตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 24 ดังนั้นหุ้นที่เราเลือกไม่ควรมี PE เกิน 10 13
- ตลาดบ้านเราไม่ค่อยมีธุรกิจที่ร้อนแรงพวกเทคโนโลยี หรือหุ้นดอตคอม อย่างในอเมริกาอยู่แล้ว คิดว่าหุ้นบ้านเราน่าจะเข้าข่ายหุ้นน่าเบื่อได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นหุ้นวัฏจักร และ commodity
- TRR : ข้อมูลล่าสุด yield = 3.8%, Growth ( ไม่รวมกลุ่มทรัพยากร ) = 5.2% ( เทียบกับไตรมาสสอง ) ดังนั้น TRR ของตลาด ณ ขณะนี้คือ 5.2 + 3.8 / 24 = 0.38 ดังนั้น หุ้นที่เราเลือกควรมี TRR > 0.76
หมายเหตุประกอบบทความ
1 ที่จริงสไตล์การลงทุนของเนฟฟ์ยังมีอีกหลายรูปแบบนะครับ เช่น ลงทุนในบริษัทยอดเยี่ยม แต่มีเหตุการณ์ไม่ปกติทำให้ราคาหุ้นถูก discount ลงมามาก หุ้นวัฎจักร หุ้นที่มีกระแสเงินสดเยอะๆ แต่แนวทาง PE ต่ำเป็นแนวทางที่เนฟฟ์ใช้บ่อยที่สุด และมีคนอ้างถึงบ่อยที่สุดเช่นกัน ( สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านได้ใน "ลงทุนแบบจอห์น เนฟฟ์" ครับ )
2 หุ้นทุกตัวของเนฟฟ์มีไว้เพื่อขาย จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การเน้นราคามากกว่าคุณภาพของเนฟฟ์ ทำให้เมื่อวันนึงตลาดปรับราคาของหุ้นให้มาอยู่ในจุดที่เหมาะสม คุณก็จำเป็นต้องขายหุ้นตัวนั้น ( เพราะคุณซื้อมันด้วยเหตุผลว่ามันถูก พอมันไม่ถูกก็ไม่มีเหตุผลที่จะถือต่อ )
3 โดยส่วนตัว ผมก็ยังเชื่อในแนวทางของบัฟเฟต์มากกว่า ( บริษัทที่ได้เปรียบอย่างยั่งยืนในราคายุติธรรม ) บทความนี้ผมเพียงจะเรียนให้เพื่อนนลท ทราบถึงแนวทางการลงทุนของ VI ระดับตำนานท่านอื่นๆ และผมเล็งเห็นว่าแนวทางของเนฟฟ์ค่อนข้างง่าย และอาจจะเหมาะสมกับเพื่อนนลท. ที่เพิ่งเริ่มศึกษาการลงทุนแนวนี้
4 อันนี้เป็นทัศนะของผมเอง ผมมองว่าหากเพื่อนนลท จะนำหลักการลงทุนแบบเนฟฟ์ไปใช้ ควรจะมีการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอพอสมควร ( ด้วยการถือครองหุ้นหลายตัวในหลายอุตสาหกรรม ) เนื่องจากการลงทุนในแนวของเนฟฟ์ ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับข้อมูลในเชิงคุณภาพน้อย ซึ่งบางครั้งปัญหาทางธุรกิจหลายๆอย่างก็อาจจะไม่ได้สะท้อนออกมาในอัตราส่วน ทางการเงิน
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1021
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1022
ลืมบอกหมอด้าไปครับ ช่วงนี้ มีเพื่อนรุ่นน้องพี่เค้าบอกว่า ฝนตก บ่อยๆเลยนะ ลองเช็คดูอีกทีนะครับ :Dmprandy เขียน:หลังจาก discuss กันระหว่างสมาชิกในครอบครัวแล้ว ลงท้ายไปภูเก็ต 3 วัน 2 คืนครับ
จะไปไหน เมื่อไหร่ คนโน้นก็ติดไอ้นี่ ไอ้นั่น ... หลาย ๆ คนรวมกัน แทบหาช่วงหยุดแบบปลอดภาระหน้าที่ยาว ๆ แทบไม่ได้เลย
พี่ ๆ น้อง ๆ มีข้อแนะนำอะไรบ้างไหมครับในการเที่ยวภูเก็ต โดยเฉพาะเมื่อมีผู้สูงอายุไปด้วย ควรไปทำหรือดู หรือกินอะไรบ้าง (นอกจาก ภูเก็ตแฟนตาซี)
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1024
mprandy เขียน:พี่ ๆ น้อง ๆ มีข้อแนะนำอะไรบ้างไหมครับในการเที่ยวภูเก็ต โดยเฉพาะเมื่อมีผู้สูงอายุไปด้วย ควรไปทำหรือดู หรือกินอะไรบ้าง (นอกจาก ภูเก็ตแฟนตาซี)
ภูเก็ต ฝนชอบ เกาะราชาใหญ่ ค่ะ
ทานอาหารค่ำ พระอาทิตย์ตก เท้าย่ำทรายและน้ำทะเล ฟังเพลงกีตาร์แจ๊ส :D
ถ้าไปภูเก็ตให้สวย อ.คงรอให้พ้นช่วงมรสุมไปก่อนนะคะ
ช่วงนี้เจอลมกับฝนเชียว ^^
โอ้เอ๋ว อยู่ในอ.เมือง ร้านเป็นเพิงเล็กๆสูตรต้นตำรับPaul VI เขียน:มันอยู่ แถวไหน ของภูเก็ต ล่ะneo_potato_Th เขียน:โอเอ๋วอร่อยมากT.T
ถ้าไปพักที่อื่น ฝนเคยต้องเสียค่ารถ 300 บาท มากินโอ้เอ๋ว 7 บาท ^^"
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- jek ae
- Verified User
- โพสต์: 899
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1025
ขอเรียนถามคุณหมอทีเปิดร้านเองหน่อยครับ
ปกติ เราจะเสียภาษีเงินได้ ภงด.94 รายครึ่งปี ตามมาตรา 40(6) แล้วทีนี้ถ้าเราเริ่มมีรายรับเป็นเงินปันผลเข้ามาด้วย และจะขอเครดิตภาษีเงินปันผล จะต้องยื่นแยกออกจาก ภงด.94 เดิมใช่ไหมครับ
ปกติ เราจะเสียภาษีเงินได้ ภงด.94 รายครึ่งปี ตามมาตรา 40(6) แล้วทีนี้ถ้าเราเริ่มมีรายรับเป็นเงินปันผลเข้ามาด้วย และจะขอเครดิตภาษีเงินปันผล จะต้องยื่นแยกออกจาก ภงด.94 เดิมใช่ไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 470
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1027
รายครื่งปีไม่ต้องแจ้งรายได้จากเงินปันผลครับjek ae เขียน:ขอเรียนถามคุณหมอทีเปิดร้านเองหน่อยครับ
ปกติ เราจะเสียภาษีเงินได้ ภงด.94 รายครึ่งปี ตามมาตรา 40(6) แล้วทีนี้ถ้าเราเริ่มมีรายรับเป็นเงินปันผลเข้ามาด้วย และจะขอเครดิตภาษีเงินปันผล จะต้องยื่นแยกออกจาก ภงด.94 เดิมใช่ไหมครับ
แจ้งตอนปลายปีพร้อมเครดิตภาษี
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1029
หลังจากทำตามแผนที่วางไว้ ผลลัพธ์โดยรวมก็พอใช้
แต่กลับมีความรู้สึกเหงา เคว้งคว้าง uncertainty
ยังไงชอบกลครับ
แต่กลับมีความรู้สึกเหงา เคว้งคว้าง uncertainty
ยังไงชอบกลครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1030
Q2 ประกาศหมดแล้ว
มีตัวไหน น่าสน ไหมครับ อิอิ
มีตัวไหน น่าสน ไหมครับ อิอิ
บางคนเขาบอก uncertainty is certainty นะครับ คุณ Voldtrestหลังจากทำตามแผนที่วางไว้ ผลลัพธ์โดยรวมก็พอใช้
แต่กลับมีความรู้สึกเหงา เคว้งคว้าง uncertainty
ยังไงชอบกลครับ
- way.
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1033
^
^
^
คุณหมอครับ ผม WAY นะครับที่โดนลบ log in
ผมมาสมัครใหม่ครับ
ผมอยากทราบกฎครับอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้
แล้วหากผมอยากเขียนเรื่องราวส่วนตัว เขียนได้ที่ห้องไหนครับ
^
^
คุณหมอครับ ผม WAY นะครับที่โดนลบ log in
ผมมาสมัครใหม่ครับ
ผมอยากทราบกฎครับอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้
แล้วหากผมอยากเขียนเรื่องราวส่วนตัว เขียนได้ที่ห้องไหนครับ
เด็ก18 กับตลาดหุ้น
*เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ
*เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 213
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1034
ทางทีมงานขอสงวนสิทธิในการลบ หรือ แบนway เขียน:ผมอยากทราบกฎครับอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้
แล้วหากผมอยากเขียนเรื่องราวส่วนตัว เขียนได้ที่ห้องไหนครับ
เหตุผลในการลบและแบน
- way.
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1035
^
^
^
หากผมจะเขียนเล่าความคืบหน้าของ พอร์ต หุ้นของผมสามารถทำได้หรือไม่คับ
โดยที่ไม่พูดถึงชื่อหุ้น แต่จะแสดงเพียงภาพ ผลกำไรเท่านั้น และ เซ็นเซอร์ ชื่อหุ้น เงินลงทุน หรืออย่างใด เพื่อไม่ให้ผู้อ่านเกิดความโลภ จะทำได้ไหมครับ โดยที่จะเขียนกำกับไว้ว่า เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และหากทำได้จะเขียนได้ที่ห้องใดครับ
^
^
หากผมจะเขียนเล่าความคืบหน้าของ พอร์ต หุ้นของผมสามารถทำได้หรือไม่คับ
โดยที่ไม่พูดถึงชื่อหุ้น แต่จะแสดงเพียงภาพ ผลกำไรเท่านั้น และ เซ็นเซอร์ ชื่อหุ้น เงินลงทุน หรืออย่างใด เพื่อไม่ให้ผู้อ่านเกิดความโลภ จะทำได้ไหมครับ โดยที่จะเขียนกำกับไว้ว่า เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และหากทำได้จะเขียนได้ที่ห้องใดครับ
เด็ก18 กับตลาดหุ้น
*เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ
*เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1036
[quote="way."]^
^
^
หากผมจะเขียนเล่าความคืบหน้าของ พอร์ต หุ้นของผมสามารถทำได้หรือไม่คับ
โดยที่ไม่พูดถึงชื่อหุ้น แต่จะแสดงเพียงภาพ ผลกำไรเท่านั้น และ เซ็นเซอร์ ชื่อหุ้น เงินลงทุน หรืออย่างใด เพื่อไม่ให้ผู้อ่านเกิดความโลภ
^
^
หากผมจะเขียนเล่าความคืบหน้าของ พอร์ต หุ้นของผมสามารถทำได้หรือไม่คับ
โดยที่ไม่พูดถึงชื่อหุ้น แต่จะแสดงเพียงภาพ ผลกำไรเท่านั้น และ เซ็นเซอร์ ชื่อหุ้น เงินลงทุน หรืออย่างใด เพื่อไม่ให้ผู้อ่านเกิดความโลภ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
- way.
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1039
ปรัชญาการลงทุนในโลกเสมือน ตอน ยอมเจ็บกับการออกไปนอกกะลา
คนไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นนักทฤษฎีครับ เพื่อนผมหลายๆคนเก่งมากในทฤษฎี ในคาบฟิสิกส์เพื่อนผมอธิบายหลักการของไฟฟ้าได้อย่างดีเลิศ แต่หากจะให้ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจริงๆเหรอครับ จะมี step แบบเดียวกันทุกคน ก่อนจะซ่อมเพื่อนผมจะอธิบายทฤษฎีร่ายยาวให้ดูสวยหรู ความน่าจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ อธิบายออกมาหมด แต่พอเอาเข้าจริง หน้าถอดสีเลยครับไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
นักลงทุนก็ไม่ต่างกันครับ นักลงทุนในบ้านเราส่วนใหญ่ก็ศึกษาอ่านมา จากตำราเดียวกันแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนก็ตาม นักลงทุนบางคนตั้งตนเป็นเจ้าพ่อชำชองการอธิบาย เรียกได้ว่าถามนิดเดียวอธิบายซะยาวเหยียด หรือไม่แน่ ก็อาจจะจำตัวหนังสือได้หมดทุกหน้าก็เป็นได้ แต่หากย้อนถามถึงหลักการที่ท่านเหล่านั้นรู้ ท่านเชื่อไหมครับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นละ ที่ได้กำไรจากหลักการที่ตนเองชำชอง จะมีกี่คนครับที่กล้าโชว์พอร์ตของตนเองตอนขาดทุนยับ นักลงทุนที่เก่งกาจเหล่านี้ไม่กล้าบอกท่านหรอกครับว่าตอนนี้ พอร์ตของตัวเองขาดทุนย่อยยับเพียงใด
เอาละผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคล แต่สิ่งที่ผมจะนำเสนอก็คือ หลักการที่ผมนำมาเล่นหุ้นนี่ละครับ ตอนนี้มันอาจจะยังไม่มีชื่อเรียก (อาจจะเรียกว่าหลักการมั่วๆ ใช้อารมณ์ ฟลุค โชค ก็สุดแล้วแต่) ในอนาคตมันอาจจะเจ๊งในเร็ววัน หรือ ไต่ทะยาน สู่ดวงดาว นั้นไม่ใช้ประเด่นครับ พรุ่งนี้ถ้าผมเจ๊งผมก็ไม่หยุด ผมก็แค่นำมันกลับมาทบทวนจุดบกพร่องของหลักการ แล้วก็เอาใหม่ เจ๊งอีกก็ไม่เป็นไร แต่ชาตินี้ขอแค่อย่างเดียว อย่าเจ๊งเท่า โทมัส เอดิสัน เป็นพอ 55+(อันที่จริงผมไม่อยากจะเรียกว่าเจ๊งหรอ มันเป็นประสบการณ์และบทเรียนให้ครับผมได้พัฒนาต่อไปมากกว่า)
นักลงทุนส่วนใหญ่ ลงทุนจากตำราเล่มเดียวกันครับ นักลงทุนพวกนี้เกิดมาเพื่อเอาแต่ได้ แล้วก็ผลิตซ้ำๆซากๆทางความรู้ เรียกได้ว่าเห็นแก่ตัวสุดๆหากไม่มีปรมจาเก่งๆเกิดขึ้นมา แล้วเขียนหนังสือให้นักลงทุนพวกนี้อ่าน ก็น่าคิดนะครับว่าคนพวกนี้ จะลงทุนกันยังไง
ผมไม่ได้ต้องการต่อต้านอะไรนะครับ เพราะหนังสือที่ ปรมจารย์ส่วนใหญ่เขียนก็เกิดจากประสบการณ์ อันยาวนานของท่าน แต่ก็น่าคิดนะครับว่า ที่ท่านเขียนให้เราอ่าน ท่านอยากให้เราทำแบบท่าน หรือ อยากให้เราเอาไปต่อยอด
ชาตินี้ท่านปรมจารย์ วอเร็น บัฟเฟตต์ คงนอนตายตาไม่หลับแน่แท้ครับ หากท่านรู้ว่าหนังสือที่ท่านเขียน ให้นักลงทุนอ่านนั้นไม่เกิดการต่อยอดทางองค์ความรู้ ชาตินี้ที่ท่านยังมีชิวิตอยู่ ผมว่าท่านคงไม่ได้หวังกำไรอะไรไปมากกว่านี้แล้วละครับ ท่านคงอยากเห็นนักลงทุนที่เก่งกว่าท่านมากกว่า
นึกไปแล้วก็น่าขำนะครับ ผมเกิดมาอาจารย์สังคมก็สอนผมว่า เราอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และตอนนี้อาจารย์ก็บอกผมเหมือนเดิมครับ ว่าเรากำลังอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ตกลงประเทศไทย นี่มันกำลังพัฒนา หรือ มันไม่พัฒนาเลยครับ ผมเห็นว่ามันเข้าข่ายประเทศกำลังพัฒนา ต้องแต่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่1 (2504) แล้วนะครับ เผลอเข้าข่ายก่อน เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์ ด้วยซ้ำไป
เพราะอะไรหรือครับ ผมว่าปัจจัยหนึ่งก็เพราะพวกเราคนไทยทุกคนแหละครับ ที่เป็นนักผลิตซ้ำ ประเทศนี้ไม่ต้องการคนที่ท่องและอธิบาย ตารางธาตุได้ทุกตัวครับ แต่ประเทศนี้ต้องการคนที่รู้ว่า จะเอาสูตรอะตอมนี้ไปต่อยอดเป็นอะไร
เช่นกันครับประเทศนี้ไม่ต้องการนักลงทุนที่จำหลักการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้เม้นยำครับ แต่ประเทศนี้ต้องการคนที่หาจุดอ่อนในหลักการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แล้วสร้างมันขึ้นมาให้เป็นจุดแข็ง
ลองคิดดูนะครับว่าหาก วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่รู้จักคิดต่อยอด (ไม่ต้องคิดแตกต่างก็ได้ครับ) ทางความรู้ ก็คงจะมีแต่หนังสือของ เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของท่าน วอเร็น บัฟเฟตต์ เท่านั้นละครับ ที่ให้เราอ่าน
สังคมไทยของเพียงแค่โอกาสครับ ท่านรู้ไหมครับ คนไทยคิดเครื่องบินได้ก่อน สองพี่น้องตระกูล ไรท์ นะครับ แต่ พอจะเอาเครื่องขึ้นบินสาธิต ให้เพื่อนร่วมชาติดู นิสัยคนไทยก็เริ่มออกครับ
ระวังนะ เดี๋ยวตกลงมาพิการ ซึ่งถ้าตกลงมาจริงๆ เห็นไหมบอกแล้วไม่เชื่อ แต่ หากบินได้สำเร็จ ระวังเหอะ ซักวันจะตก (มันเป็นอะไรกันครับคนไทย สมน้ำหน้า มาในรูปความห่วงใย อิจฉามาในรูปหวังดี)
หากคนไทยคิดแบบนี้อยู่ แย่ครับประเทศนี้ เอาง่ายๆแค่คิดต่อยอดก็พอ หากเราไม่มีฝรั่งมาคิดให้ เราคงคิดว่า หัวรถจักรไอ้น้ำดีที่สุดแล้ว เราก็คงจะไม่เห็น รถไฟความเร็วสูงในทุกวันนี้ หรือจะเอาแบบคิดให้แตกต่างก็ได้ครับ หากเราคิดว่ารถยนต์ดีที่สุดแล้ว และไม่ยอมคิดแต่ต่าง ก็คงไม่มีเครื่องบินให้ได้เห็น คุณหมอว่าจริงไหมครับ
ผมขอแย้ง PETER LYNCH นะครับว่า หากท่านลองให้โอกาสชาว มายา มากกว่า 4 ครั้ง อะไรจะเกิดขึ้น แน่นอนมันอาจจะดีกว่าเดิม หรือ แย่ กว่า เดิม แต่ชาวมายา ไม่ได้หยุดอยู่กลับที่นะครับ เค้าพยายามหาวิธีป้องกันตลอด ลองให้โอกาสชาว มายา มากกว่า นี้ซิครับ
แน่นอนครับว่ามันไปมีอะไรที่ป้องกันได้ 100% ลองคิดดูซิครับ หากคุณขับรถออกจาก กรุงเทพไปเชียงใหม่ คุณจะหาวิธีที่จะป้องกัน อุบัติเหตุได้อย่างไร 1.ตรวจเช็คสภาพรถ 2.ศึกษาเส้นทาง หรือหลายท่านอาจจะมีวิธีมากกว่านี้ แต่มันจะป้องกันได้ 100% จริงเหรอ เอาละหากท่านคิดว่าได้ แล้วเกิดมีไอ้ขี้เมาคนไหนขับรถมาชนท่าน มันก็จบครับ
อย่าไปหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกัน แต่เริ่มทำมันไปเลย แล้วประสบการณ์จะสอนเราเอง
เขียนมาซะยาวเลย สรุป ว่า ผมของเอา เงิน 2 ล้าน บริจาคให้เป็น วิทยาทาน เพื่อหาหลักการที่ดีกว่าเดิม วันนี้มันอาจจะยังไม่มีชื่อเรียก จะเรียกอะไรไปก่อนก็ได้ครับ จะเรียกมันในทางที่ดี หรือ ร้ายก็ได้ครับ แต่ซักวันผมเชื่อว่าจะเกิดรูปแบบใหม่ๆให้นักเล่นหุ้น รุ่นหลังได้ศึกษา
ไม่ว่าจะซื้อหุ้นตัวหลักการไหน จะเอามาผสมให้มั่วไป หมด แต่ถ้ามันทำให้ท่านได้กำไรก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หรือท่านเล่นหุ้นเพื่อไม่หวังกำไร
อย่าลืมนะครับสังคมไทยไม่ต้องการคนที่ผลิตซ้ำทางความรู้ แต่ต้องการคนที่ ต่อยอดองค์ความรู้ และองค์ความรู้ที่แตกต่าง
อยู่ที่ว่าวันนี้ คุณจะให้โอกาสเข้าเหล่านั่นหรือไม่
คนไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นนักทฤษฎีครับ เพื่อนผมหลายๆคนเก่งมากในทฤษฎี ในคาบฟิสิกส์เพื่อนผมอธิบายหลักการของไฟฟ้าได้อย่างดีเลิศ แต่หากจะให้ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจริงๆเหรอครับ จะมี step แบบเดียวกันทุกคน ก่อนจะซ่อมเพื่อนผมจะอธิบายทฤษฎีร่ายยาวให้ดูสวยหรู ความน่าจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ อธิบายออกมาหมด แต่พอเอาเข้าจริง หน้าถอดสีเลยครับไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
นักลงทุนก็ไม่ต่างกันครับ นักลงทุนในบ้านเราส่วนใหญ่ก็ศึกษาอ่านมา จากตำราเดียวกันแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนก็ตาม นักลงทุนบางคนตั้งตนเป็นเจ้าพ่อชำชองการอธิบาย เรียกได้ว่าถามนิดเดียวอธิบายซะยาวเหยียด หรือไม่แน่ ก็อาจจะจำตัวหนังสือได้หมดทุกหน้าก็เป็นได้ แต่หากย้อนถามถึงหลักการที่ท่านเหล่านั้นรู้ ท่านเชื่อไหมครับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นละ ที่ได้กำไรจากหลักการที่ตนเองชำชอง จะมีกี่คนครับที่กล้าโชว์พอร์ตของตนเองตอนขาดทุนยับ นักลงทุนที่เก่งกาจเหล่านี้ไม่กล้าบอกท่านหรอกครับว่าตอนนี้ พอร์ตของตัวเองขาดทุนย่อยยับเพียงใด
เอาละผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคล แต่สิ่งที่ผมจะนำเสนอก็คือ หลักการที่ผมนำมาเล่นหุ้นนี่ละครับ ตอนนี้มันอาจจะยังไม่มีชื่อเรียก (อาจจะเรียกว่าหลักการมั่วๆ ใช้อารมณ์ ฟลุค โชค ก็สุดแล้วแต่) ในอนาคตมันอาจจะเจ๊งในเร็ววัน หรือ ไต่ทะยาน สู่ดวงดาว นั้นไม่ใช้ประเด่นครับ พรุ่งนี้ถ้าผมเจ๊งผมก็ไม่หยุด ผมก็แค่นำมันกลับมาทบทวนจุดบกพร่องของหลักการ แล้วก็เอาใหม่ เจ๊งอีกก็ไม่เป็นไร แต่ชาตินี้ขอแค่อย่างเดียว อย่าเจ๊งเท่า โทมัส เอดิสัน เป็นพอ 55+(อันที่จริงผมไม่อยากจะเรียกว่าเจ๊งหรอ มันเป็นประสบการณ์และบทเรียนให้ครับผมได้พัฒนาต่อไปมากกว่า)
นักลงทุนส่วนใหญ่ ลงทุนจากตำราเล่มเดียวกันครับ นักลงทุนพวกนี้เกิดมาเพื่อเอาแต่ได้ แล้วก็ผลิตซ้ำๆซากๆทางความรู้ เรียกได้ว่าเห็นแก่ตัวสุดๆหากไม่มีปรมจาเก่งๆเกิดขึ้นมา แล้วเขียนหนังสือให้นักลงทุนพวกนี้อ่าน ก็น่าคิดนะครับว่าคนพวกนี้ จะลงทุนกันยังไง
ผมไม่ได้ต้องการต่อต้านอะไรนะครับ เพราะหนังสือที่ ปรมจารย์ส่วนใหญ่เขียนก็เกิดจากประสบการณ์ อันยาวนานของท่าน แต่ก็น่าคิดนะครับว่า ที่ท่านเขียนให้เราอ่าน ท่านอยากให้เราทำแบบท่าน หรือ อยากให้เราเอาไปต่อยอด
ชาตินี้ท่านปรมจารย์ วอเร็น บัฟเฟตต์ คงนอนตายตาไม่หลับแน่แท้ครับ หากท่านรู้ว่าหนังสือที่ท่านเขียน ให้นักลงทุนอ่านนั้นไม่เกิดการต่อยอดทางองค์ความรู้ ชาตินี้ที่ท่านยังมีชิวิตอยู่ ผมว่าท่านคงไม่ได้หวังกำไรอะไรไปมากกว่านี้แล้วละครับ ท่านคงอยากเห็นนักลงทุนที่เก่งกว่าท่านมากกว่า
นึกไปแล้วก็น่าขำนะครับ ผมเกิดมาอาจารย์สังคมก็สอนผมว่า เราอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และตอนนี้อาจารย์ก็บอกผมเหมือนเดิมครับ ว่าเรากำลังอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ตกลงประเทศไทย นี่มันกำลังพัฒนา หรือ มันไม่พัฒนาเลยครับ ผมเห็นว่ามันเข้าข่ายประเทศกำลังพัฒนา ต้องแต่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่1 (2504) แล้วนะครับ เผลอเข้าข่ายก่อน เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์ ด้วยซ้ำไป
เพราะอะไรหรือครับ ผมว่าปัจจัยหนึ่งก็เพราะพวกเราคนไทยทุกคนแหละครับ ที่เป็นนักผลิตซ้ำ ประเทศนี้ไม่ต้องการคนที่ท่องและอธิบาย ตารางธาตุได้ทุกตัวครับ แต่ประเทศนี้ต้องการคนที่รู้ว่า จะเอาสูตรอะตอมนี้ไปต่อยอดเป็นอะไร
เช่นกันครับประเทศนี้ไม่ต้องการนักลงทุนที่จำหลักการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้เม้นยำครับ แต่ประเทศนี้ต้องการคนที่หาจุดอ่อนในหลักการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แล้วสร้างมันขึ้นมาให้เป็นจุดแข็ง
ลองคิดดูนะครับว่าหาก วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่รู้จักคิดต่อยอด (ไม่ต้องคิดแตกต่างก็ได้ครับ) ทางความรู้ ก็คงจะมีแต่หนังสือของ เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของท่าน วอเร็น บัฟเฟตต์ เท่านั้นละครับ ที่ให้เราอ่าน
สังคมไทยของเพียงแค่โอกาสครับ ท่านรู้ไหมครับ คนไทยคิดเครื่องบินได้ก่อน สองพี่น้องตระกูล ไรท์ นะครับ แต่ พอจะเอาเครื่องขึ้นบินสาธิต ให้เพื่อนร่วมชาติดู นิสัยคนไทยก็เริ่มออกครับ
ระวังนะ เดี๋ยวตกลงมาพิการ ซึ่งถ้าตกลงมาจริงๆ เห็นไหมบอกแล้วไม่เชื่อ แต่ หากบินได้สำเร็จ ระวังเหอะ ซักวันจะตก (มันเป็นอะไรกันครับคนไทย สมน้ำหน้า มาในรูปความห่วงใย อิจฉามาในรูปหวังดี)
หากคนไทยคิดแบบนี้อยู่ แย่ครับประเทศนี้ เอาง่ายๆแค่คิดต่อยอดก็พอ หากเราไม่มีฝรั่งมาคิดให้ เราคงคิดว่า หัวรถจักรไอ้น้ำดีที่สุดแล้ว เราก็คงจะไม่เห็น รถไฟความเร็วสูงในทุกวันนี้ หรือจะเอาแบบคิดให้แตกต่างก็ได้ครับ หากเราคิดว่ารถยนต์ดีที่สุดแล้ว และไม่ยอมคิดแต่ต่าง ก็คงไม่มีเครื่องบินให้ได้เห็น คุณหมอว่าจริงไหมครับ
ผมขอแย้ง PETER LYNCH นะครับว่า หากท่านลองให้โอกาสชาว มายา มากกว่า 4 ครั้ง อะไรจะเกิดขึ้น แน่นอนมันอาจจะดีกว่าเดิม หรือ แย่ กว่า เดิม แต่ชาวมายา ไม่ได้หยุดอยู่กลับที่นะครับ เค้าพยายามหาวิธีป้องกันตลอด ลองให้โอกาสชาว มายา มากกว่า นี้ซิครับ
แน่นอนครับว่ามันไปมีอะไรที่ป้องกันได้ 100% ลองคิดดูซิครับ หากคุณขับรถออกจาก กรุงเทพไปเชียงใหม่ คุณจะหาวิธีที่จะป้องกัน อุบัติเหตุได้อย่างไร 1.ตรวจเช็คสภาพรถ 2.ศึกษาเส้นทาง หรือหลายท่านอาจจะมีวิธีมากกว่านี้ แต่มันจะป้องกันได้ 100% จริงเหรอ เอาละหากท่านคิดว่าได้ แล้วเกิดมีไอ้ขี้เมาคนไหนขับรถมาชนท่าน มันก็จบครับ
อย่าไปหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกัน แต่เริ่มทำมันไปเลย แล้วประสบการณ์จะสอนเราเอง
เขียนมาซะยาวเลย สรุป ว่า ผมของเอา เงิน 2 ล้าน บริจาคให้เป็น วิทยาทาน เพื่อหาหลักการที่ดีกว่าเดิม วันนี้มันอาจจะยังไม่มีชื่อเรียก จะเรียกอะไรไปก่อนก็ได้ครับ จะเรียกมันในทางที่ดี หรือ ร้ายก็ได้ครับ แต่ซักวันผมเชื่อว่าจะเกิดรูปแบบใหม่ๆให้นักเล่นหุ้น รุ่นหลังได้ศึกษา
ไม่ว่าจะซื้อหุ้นตัวหลักการไหน จะเอามาผสมให้มั่วไป หมด แต่ถ้ามันทำให้ท่านได้กำไรก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หรือท่านเล่นหุ้นเพื่อไม่หวังกำไร
อย่าลืมนะครับสังคมไทยไม่ต้องการคนที่ผลิตซ้ำทางความรู้ แต่ต้องการคนที่ ต่อยอดองค์ความรู้ และองค์ความรู้ที่แตกต่าง
อยู่ที่ว่าวันนี้ คุณจะให้โอกาสเข้าเหล่านั่นหรือไม่
เด็ก18 กับตลาดหุ้น
*เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ
*เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1040
[quote="way."]ปรัชญาการลงทุนในโลกเสมือน
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1041
way. เขียน: ปรัชญาการลงทุนในโลกเสมือน ตอน ยอมเจ็บกับการออกไปนอกกะลา
คนไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นนักทฤษฎีครับ เพื่อนผมหลายๆคนเก่งมากในทฤษฎี ในคาบฟิสิกส์เพื่อนผมอธิบายหลักการของไฟฟ้าได้อย่างดีเลิศ แต่หากจะให้ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจริงๆเหรอครับ จะมี step แบบเดียวกันทุกคน ก่อนจะซ่อมเพื่อนผมจะอธิบายทฤษฎีร่ายยาวให้ดูสวยหรู ความน่าจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ อธิบายออกมาหมด แต่พอเอาเข้าจริง หน้าถอดสีเลยครับไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
.
.
.
อย่าลืมนะครับสังคมไทยไม่ต้องการคนที่ผลิตซ้ำทางความรู้ แต่ต้องการคนที่ ต่อยอดองค์ความรู้ และองค์ความรู้ที่แตกต่าง
อยู่ที่ว่าวันนี้ คุณจะให้โอกาสเข้าเหล่านั่นหรือไม่
สวัสดีค่ะคุณ way. คุณ way. เริ่มลงทุนนานรึยังนะคะ
ฝนว่าฝนเริ่มเร็วแล้วนะ ตอนฝนอายุ 19 ปี คุณ way. ตอนนี้ 18 ปี นับถือจริงๆ :D
ฝนชอบที่คุณ way. พยายามแตกจากกรอบความคิดเดิมในการลงทุนนะคะ
ฝนมองว่าวิธีการลงทุนก็มีหลายวิธี
vi แต่ละคนก็จะมีการเลือกหุ้นหลายแบบ
ฝนกับพี่หมอในห้องนี้หุ้นแทบจะไม่เหมือนกันเลยค่ะ เพราะว่าฝนตกรถลอกไม่ทัน ฮ่าๆ ^^"
หลักการของการลงทุน vi คือ undervalue
ส่วนวิธีการก็อยู่ที่กระบวนท่าวิทยายุทธและประสบการณ์นะคะ
หากคุณ way. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ หลักการ หรือ วิธีการ
ฝนเห็นด้วยมากน่าจะเป็นประโยชน์และต่อยอดความรู้ได้มากมาย มากกว่าการบอกผลลัพธ์นะคะ
ฝนตอนเริ่มต้นลงทุนก็เป็น pure vi แล้วกลายเป็น pure vi + technical ป่วยๆ
ตอนนี้ฝนสำเร็จวิชา แมงเม่าหลบเงิน เรียบร้อยแล้วค่ะ :lovl:
ถ้าคุณ way. มีหลักการคิดเกี่ยวกับการลงทุนยังไง แลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ^^
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1043
ผมมาอ่านห้องชมรมหมอเจ็บเป็นประจำ
ได้ข้อคิดอะไรเยอะดี
แต่อย่างว่าครับ
อาชีพหมอนี่เเหละ
เซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง
ได้ข้อคิดอะไรเยอะดี
แต่อย่างว่าครับ
อาชีพหมอนี่เเหละ
เซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 569
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1044
แล้วมีใครเป็นหมอทหารรึเปล่าครับ เผื่อจะได้ควบทั้ง 2 ห้องเลย :lol:
เราจะพอเพียง แค่เราเพียงพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1045
แวะมาเยี่ยมครับ เพิ่งย้ายที่ทำงาน เดินทางเที่ยวละ 3 ชั่วโมง เหนื่อยมากมาย ไม่มีเวลาดูหุ้นเรย ไม่รู้เงินยังตั้งใจทำงานอยู่ป่าว 55+
อย่ายอมแพ้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1046
ยังไงก็ต้องพักผ่อน แล้วก็กินอาหารมีประโยชน์ นะครับ จะได้สุขภาพดีแข็งแรงAnti-Aircraft เขียน:แวะมาเยี่ยมครับ เพิ่งย้ายที่ทำงาน เดินทางเที่ยวละ 3 ชั่วโมง เหนื่อยมากมาย ไม่มีเวลาดูหุ้นเรย ไม่รู้เงินยังตั้งใจทำงานอยู่ป่าว 55+
ทานพวก วิตามิน บ้างก็ดีนะครับ
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1048
ระดับพี่หมอพอลยังไม่ใช่เซียนนี่ สมาชิกท่านอื่นคงเป็นแค่แมงเม่าแล้วครับ :8)Paul VI เขียน:chowbe76 เขียน:ผมมาอ่านห้องชมรมหมอเจ็บเป็นประจำ
ได้ข้อคิดอะไรเยอะดี
แต่อย่างว่าครับ
อาชีพหมอนี่เเหละ
เซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง
เซียนอะไรครับ แค่ ไม่เป็น หมูก็ดีแล้ว
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 1049
reiter เขียน:ระดับพี่หมอพอลยังไม่ใช่เซียนนี่ สมาชิกท่านอื่นคงเป็นแค่แมงเม่าแล้วครับPaul VI เขียน:เซียนอะไรครับ แค่ ไม่เป็น หมูก็ดีแล้วchowbe76 เขียน:ผมมาอ่านห้องชมรมหมอเจ็บเป็นประจำ
ได้ข้อคิดอะไรเยอะดี
แต่อย่างว่าครับ
อาชีพหมอนี่เเหละ
เซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง
ไม่ต้องแย่งกันๆ ฝนยอมเป็นหมูเองละกัน :lovl:
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน