เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
saichon เขียน:อ้อ...ส่วนงานที่จัดกลางวันผมว่าก็น่าจะมีน๊ะครับ
อย่างที่พี่โจจัดงาน
จิบกาแฟแลสาว ที่หาดใหญ่แกก็จัดกลางวันตลอดเลยครับ มีโอกาสลองไปร่วมดูซิครับ
พี่ๆทางโน้นเค้าก็ใจดีมากเหมือนกันครับ

งานนี้ห้ามชวนสามีไปเด็ด ๆ ๕๕๕
เคยชวนแล้วค่ะ เขาขี้เกียจไป เพราะเขาไม่ได้ตามเรื่องลงทุนอยู่ด้วย
อีหนูตีแตก
-
saichon
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
งานนี้ห้ามชวนสามีไปเด็ด ๆ ๕๕๕
555+
ขำดีครับ ชื่องานผมว่าพี่โจคงตั้งสนุกๆมากกว่าครับ
ตั้งแต่ผมไป ผมมีโอกาสได้แลสาวแค่1-2ครั้ง แค่นั้นเองครับ
ส่วนใหญ่พี่ๆเค้าคุยเรื่องเป็นงานเป็นกันมากกว่าครับ 555+
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="saichon"]ตกลงคุณพี่พอใจ=คุณพี่ป้อม ถูกไหมคะ ในที่สุดก็รู้จักจนได้
อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
จงเป็นเช่นสายน้ำ
สายน้ำไหลซอกซอนไปเรื่อย ๆ พบสิ่งกีดขวางก็ลัดเลาะหลีกเร้นจนพบทางที่จะมุ่งหน้าต่อไป จนกระทั่งพบวัตถุใหญ่โตกว้างขวางปิดบังอยู่ ไม่สามารถไปต่อได้ สายน้ำจะหยุดยั้ง รอคอยระดมพลที่ค่อย ๆ มากขึ้น... มากขึ้น จนกระทั่งเอ่อท้นหลากล้นข้ามไป หรือสิ่งกีดขวางต้านทานไม่ไหว ก็พังไปเอง...
จงเป็นเช่นสายน้ำ อ่อนนุ่ม เยือกเย็น แต่เปื่ยมด้วยพลัง ไม่ปะทะโดยไม่จำเป็น รู้จักสั่งสมพลังรอเวลาและโอกาส เมื่อโอกาสมาถึง เมื่อพลังเพียงพอ ก็ยังค่อย ๆ หลากล้นไป หากแต่สิ่งกีดขวางทานไม่ไหว ก็จะพังทะลายไปเองต่างหาก
............................
ทำให้นึกไปถึงคุณพ่อค่ะ
เคยลองพยายามทำให้ท่านเข้าหาทางธรรม แต่ก็ไม่เป็นผล กลับแย่กว่าเดิมอีก การไปใช้วิธีเอาชนะด้วยเหตุผลนั้นไม่มีทางสำเร็จเลย เปรียบเสมือนกันเข้าปะทะด้วยกำลัง ยิ่งเรามีฐานะเป็นลูก การที่จะให้คนเป็นพ่อมาเชื่อนั้นมันยากมาก นี่ไม่นับที่เราเคยทำให้ท่านปวดหัวมาก็หลายครั้ง เรามีความดีแค่นี้ แล้วท่านจะมาเชื่อเราได้อย่างไร
วิธีเดียวก็คือทำให้ตัวเองมีคุณสมบัติพอที่ท่านจะมาเชื่อเรา ซึ่งถ้าหากไม่สามารถทำได้สำเร็จในชาตินี้ ก็ต้องวางอุเบกขาค่ะ
อีหนูตีแตก
-
saichon
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
วิธีเดียวก็คือทำให้ตัวเองมีคุณสมบัติพอที่ท่านจะมาเชื่อเรา ซึ่งถ้าหากไม่สามารถทำได้สำเร็จในชาตินี้ ก็ต้องวางอุเบกขาค่ะ
อืมม...
ถ้าเราพยายามเต็มที่แล้วได้แค่ไหนก็คงต้องตามนั้นแล้วมั้งครับ
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ไปค้นเจอหลวงพ่อเทศน์ช่วงเจริญกรรมฐานค่ะ
ยาวหน่อยนะคะ
...................
อริยสัจเรื่องอริยสัจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สมัยพุทธกาลนั้น บรรดาศาสดาลัทธิต่าง ๆ มีเป็นจำนวนมาก แต่ธรรมะของเขาทั้งหลายเหล่านั้นเน้นอยู่ ๒ อย่าง คือ ถ้าเป็นพวกนัตถิกทิฏฐิ เชื่อว่าตายแล้วสูญ จะเน้นการกอบโกยความสุขใส่ตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กลายเป็นติดในด้านของกามสุขัลลิกานุโยค ก็คือเอาความสบายมากจนเกินไป ส่วนพวกที่เป็นสัสสตทิฏฐิ เชื่อว่าตายแล้วยังเกิดต่ออีก พวกนี้พยายามที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อที่ตนเองจะได้ไปสู่โมกษะ คือความหลุดพ้นของเขา แต่จริงๆแล้วส่วนใหญ่ก็จะไปติดอยู่แค่พรหม เพราะเขาเน้นเรื่องฌาณสมาบัติมากจนเกินไป กลายเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตนจนเกินเหตุ
พอพระพุทธเจ้าท่านค้นพบมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง และอริยสัจ ๔ ก็นำมาเผยแพร่ บรรดาท่านที่ไปถึงทางตันแล้วไปต่อไม่ได้เป็นจำนวนมาก ก็หันมาปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา ได้มรรคได้ผลเป็นจำนวนมหาศาล พระพุทธศาสนาในยุคนั้นจึงได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในเรื่องของอริยสัจ ก็คือ ความจริง ๔ อย่าง ประกอบไปด้วย ทุกข์ สิ่งที่ต้องทน สมุทัย สาเหตุที่ทุกข์เกิด นิโรธ การดับทุกข์ มรรคคือปฏิปทาที่จะก้าวไปถึงความดับทุกข์ ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่าเกี่ยวกับอริยสัจนี้ งานแรกก็คือ เราต้องกำหนดรู้ พิจารณาให้เห็นให้ชัดเจน รู้ว่านี่คือทุกข์ นี่คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นี่คือทุกข์ดับลง นี่คือการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
งานต่อไปของเราก็คือว่า เมื่อรู้ละเอียดอย่างนั้นแล้ว ก็ต้องกำหนดใจให้ได้ว่า ทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ รู้เฉยๆ ไม่ใช่ไปแบกไว้ สมุทัย คือ สาเหตุของการเกิดทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรละ ถ้าเราไม่สร้างเหตุ ทุกข์ก็ไม่เกิด นิโรธ ทุกข์นั้นดับลง จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ ก็แปลว่าเราต้องขวนขวายดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อจะได้เข้าถึงตัวดับทุกข์เพราะว่าเราไม่สร้างสมุทัยแล้ว มรรค คือปฏิปทาแห่งการเข้าสู่การดับทุกข์นั้น ต้องทำให้มากไว้ ในเมื่อเรารู้แจ้งว่าทุกข์ดับลงอย่างไร เราก็ต้องเร่งขวนขวายปฏิบัติในมรรคทั้ง ๘ ซึ่งย่อลงคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
เมื่อทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ยังต้องพิจารณาต่อไปว่าได้จริงหรือไม่? ต้องพิจารณาว่านี่ทุกข์เราได้กำหนดรู้แล้ว รู้ชัดเจนแล้ว นี่คือสมุทัยเราได้ละแล้ว ไม่แตะต้องแล้ว ไม่ยุ่งกับมันแล้ว นี่คือนิโรธ เราได้ทำให้แจ้งซึ่งอารมณ์ของการดับทุกข์นั้นแล้ว ไม่แตะต้องกับมันอีกแล้ว นี่คือมรรคปฏิปทาที่ทำให้เราเข้าถึงความดับทุกข์ เราได้เจริญให้มากไว้แล้ว
เรื่องของอริยสัจ เมื่อเราปฏิบัติดังนี้ ควรทบทวนอยู่บ่อยๆ การทบทวนบ่อยๆแปลว่า ทุกอิริยาบทของเรา ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบทใหญ่ ๔ ก็คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบทย่อยอีก ๒๒ ตั้งแต่เหยียดเข้า คู้ออก กิน ดื่ม เคลื่อนไหว ฯลฯ อิริยาบทต่างๆนี้ เราต้องกำหนดรู้อยู่เสมอ ถ้าหากกำหนดรู้ทุกข์ ก็ให้เห็นว่าทุกอิริยาบทที่เราเคลื่อนไหวมันเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าเราไม่เคลื่อนไหว อยู่นิ่งๆ ไม่นานมันก็ทนไม่ได้ เราต้องมีการเคลื่อนไหว ก็กำหนดรู้ทุกข์ในลักษณะนี้
ในเมื่อรู้แล้วว่ามันเป็นทุกข์ ก็ตัดความปรารถนาที่อยากมีอยากได้ในมันเสีย สาเหตุของทุกข์ก็จะไม่เกิด อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากเราพิจารณาเห็นทุกข์อย่างเดียว อารมณ์ใจบางคนไม่รับ คือ รู้สึกว่ามันเศร้าหมองเป็นเพราะปัญญามันยังไม่ถึง ถ้าหากปัญญาถึง...การเห็นทุกข์มันจะรู้สึกว่าดี เพราะว่าเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากมาก ไม่ว่าจะทุ่มเทความพยายามเท่าไร ซื้อหามามันก็ไม่ได้ แต่ว่า ณ ปัจจุบันเราเห็นทุกข์ได้มันจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าปัญญาไม่ถึง...จะรู้สึกว่ามันเศร้าหมองเหมือนกับแบกทุกข์อยู่ตลอดเวลา รอบข้างเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เราก็มาพิจารณากำหนดสติแทน
สติ
การกำหนดสติก็คือ การเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการเหยีดแขน คู้แขน ก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา หยิบจับทำอะไรก็ตาม ให้กำหนดสติรู้ตามอาการมัน รู้ตามอาการนะไม่ใช่รู้ร่างกาย ถ้ารู้ร่างกายเมื่อไรมันยังเป็นตัวกู ของกู แต่ถ้ารู้ตามอาการ เช่น เหยียดมือไปข้างหน้า เราไม่ได้รู้ถึงมือแต่รู้ว่ามันกำลังเคลื่อนไหว ก้าวเท้าไปข้างหน้าไม่ได้รู้ว่ามันเป็นเท้าแต่รู้ว่ามันเคลื่อนไหว ถ้าหากว่าเรากำหนดจับอาการนั้นอย่างเดียว ตัวตนเราเขามันจะไม่มี ร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นรูปและก็เป็นนาม ส่วนที่เป็นรูปก็คือส่วนที่สามารถมองเห็นได้ ในส่วนที่เป็นนามก็คือความรู้สึก ความจำ ความนึกคิดปรุงแต่ง มันมองไม่เห็น
ในเมื่อร่างกายมันแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม การปรุงการแต่ง เพื่อเป็นต้วตนเรา เป็นเขาเป็นหญิงเป็นชาย เป็นสัตว์...มันไม่มี ตัวรักโลภโกรธหลง มันกินเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกเวลาที่เราทำงาน ถ้าสามารถกำหนดใจให้รู้ถึงอิริยาบทการเคลื่อนไหวของมันอยู่ มันจะเป็นอิริยาบทและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐาน
ในเมื่อสักแต่ว่ารู้ ตาก็สักแต่ว่าเห็น หูก็สักแต่ว่าได้ยิน จมูกก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นก็สักแต่ว่าได้รส กายก็สักแต่ว่าสัมผัส ในเมื่อเป็นอย่างนั้นความเป็นคน เป็นสัตว์มันก็ไม่มี ความเป็นหญิงเป็นชายไม่มี ในเมื่อจิตไม่ปรุงแต่งรักโลภโกรธหลงมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ รักโลภโกรธหลงจริง ๆ มันอยู่กับร่างกายนี้ ตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ตราบนั้นรักโลภโกรธหลงมันก็มี แต่คราวนี้ถ้าจิตไม่ปรุงแต่ง มันไปต่อไม่ได้ ไม่สามารถจะงอกงามได้ นานๆไปโอกาสเกิดไม่มี มันก็จะฝ่อเฉา จะตายของมันไปเอง
ดังนั้นในเรื่องของอริยสัจ เราจะต้องพิจารณาเห็นทุกข์เป็นปกติ ถ้าไม่สามารถพิจารณาเห็นทุกข์ได้ ก็ให้พิจารณาอาการของร่างกายแทน งานของเราเอาแค่น้อยๆแต่ว่าได้ผลมาก คือทำน้อยแล้วได้ผลตอบแทนสูง ถ้าราเห็นทุกข์เราก็ไม่อยากจะเกิด หรือไม่ก็ถ้าหากเราเห็นอิริยาบทการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตใจของเราก็หยุดการปรุงแต่ง ถ้าหยุดการปรุงแต่งมันจะเข้าถึงการดับตัวนิโรธเอง เราก็จะได้รู้ว่านิโรธเราทำให้แจ้งแล้ว เพราะว่าจิตมันขาดการปรุงแต่ง
ถ้าหากว่าสติสมาธิปัญญาของเราจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า อยู่กับการเคลื่อนไหว ดื่มกินคิดพูดทำอะไรก็ตามให้มีสติอยู่ มันก็สักแต่ว่าประคองร่างกายนี้ไว้เท่านั้น ถึงเวลาหมดอายุขัยของมัน ก็ต่างคนต่างไป มันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ต่างคนต่างอยู่ ถ้าเราไม่ไปยึดไปปรุงแต่งมัน ร่างกายก็สักแต่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่เราอาศัยอยู่ เหมือนกับรถยนตร์คันหนึ่งที่เราขับไปตามจุดหมายของเรา ถึงเวลาเปิดประตูได้ก็ทิ้งรถไป ดังนั้นในเรื่องของอริยสัจเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ มันจะไม่เบื่อ ในเมื่อเราไม่เบื่อ มันก็จะไม่ขวนขวายในการที่จะหนีมัน ดังนั้นว่าให้ทุกคนพยายามมองตรงจุดนี้เอาไว้ ส่วนไหนที่เป็นจุดอ่อนของเรา เราก็แก้ไข
บางท่านทรงฌาณเร็วเกิน จะทำการงานก็ลำบาก เราก็ต้องหัดให้เข้าออกให้คล่องตัวไว้ ไม่ใช่มีแต่วสีภาคในการเข้า มันต้องมีวสี คือชำนาญในการออกด้วย สำหรับท่านอื่นๆในเรื่องของสมาธิ พยายามทำให้มันทรงตัวให้มากไว้เพราะว่าปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการปฏิบัติ คำตอบทั้งหมดอยู่ตรงสมาธิ ยกเว้นการปฏิบัติขั้นสุดท้ายที่จะต้องใช้ปัญญาในการรู้แจ้ง มันก็ยังอาศัยสมาธิหนุนเสริมอยู่
เพราะฉะนั้นเรื่องของสมาธิถ้ากำหนดอยู่ จิตมันจะอยู่เฉพาะหน้า มันไม่ไปในอดีต ไม่ไปในอนาคต ในเมื่อจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าโอกาสที่จะหลุดพ้นมันก็มี แต่ถ้าไปปรุงแต่งในอดีตในอนาคตเมื่อไหร่ มันก็ไปยึดไปติด คือ ไม่ยินดีกับมันก็จะยินร้ายกับมัน ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือเป็นอนาคตก็ตาม จิตที่เราส่งออกมันเท่ากับสร้างความทุกข์ให้แก่ตัวเอง
เรื่องของอริยสัจจริงๆแล้วอยู่รอบตัวเรา เห็นได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเราเองถ้าหากไม่ตั้งใจพิจารณาไม่พยายามดูให้มันเห็นชัดเจน มันก็อาจจะทิ้งของที่ดีที่สุดไปเฉยๆ เหมือนกับสมัยพุทธกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ อริยสัจก็คงอยู่ของมันอย่างนั้น เพียงแต่ว่าบรรดาคณาจารย์ต่างๆเขาไม่พยายามที่จะกำหนดรู้ตรงจุดนี้ จะเรียกว่าพยายามก็ได้ แต่ว่าพยายามในทางที่ผิดก็เลยก้าวไม่ถึงจุดสุดท้ายเสียที พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย กว่าจะตรัสรู้เห็นอริยสัจได้
เราเองเมื่อก้าวมาถึงจุดนี้แล้วพยายามเห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อเห็นว่ามากที่สุดแล้ว มันจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หมดความที่อยากจะเกิดอีก ในเมื่อหมดความที่อยากจะเกิดมันก็ขวนขวายเพื่อที่จะหลุดพ้น วันนี้ฝากไว้แค่ว่าเรื่องของอริยสัจอย่างหนึ่ง ถ้าพิจารณาเห็นทุกข์ได้ไม่ตลอด ก็ให้พิจารณาอิริยาบทในเรื่องที่เราทำการทำงาน ในเรื่องที่เราเคลื่อนไหวแทน พยายามดูให้มากเห็นให้มาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นแล้วให้จิตมันยอมรับ ถ้าจิตมันไม่ยอมรับ มันสักแต่ว่าเห็นมันก็ไม่มีโอกาสเอามาใช้งานได้ มันกลายเป็นว่าเห็นแค่สมบัติเศรษฐีไม่มีโอกาสเอามาใช้งานเสียที ต้องใช้งานได้จึงจะนับว่าใช้ได้
อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
saichon เขียน:อืมม...
ถ้าเราพยายามเต็มที่แล้วได้แค่ไหนก็คงต้องตามนั้นแล้วมั้งครับ
ช่วงใหม่ ๆ ก็ทำใจไม่ได้ คือเราเห็นว่าทางนี้ดี อยากให้่ท่านเข้ามา พอไม่สำเร็จแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ทดแทนพระคุณท่านค่ะ
อีหนูตีแตก
-
saichon
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
อ่องอ๋า เขียน:ช่วงใหม่ ๆ ก็ทำใจไม่ได้ คือเราเห็นว่าทางนี้ดี อยากให้่ท่านเข้ามา พอไม่สำเร็จแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ทดแทนพระคุณท่านค่ะ
ยืมคำพูดพระอาจารย์พี่มาใช้...
มันเหมือนมีแผนที่ทางกรรม ที่แต่ละคนมีทางของตนเองมั๊งครับ...
ผมมีพักพวกที่สนใจหุ้นด้วยกัน2-3คน
ตลอดเวลาก็ถือหุ้นในพอร์ตกันมาตลอด พอใกล้วันที่หุ้นจะวิ่ง
ดันมีเรื่องต้องใช้เงินกัน เลยขายหุ้น ขายเสร็จหุ้นวิ่ง
ไม่รู้จะอธิบายยังไง...
คงต้องบอกว่าแต่ละคนมีเส้นทางของตนที่โดนกำหนดไว้
จากบาป-บุญที่เคยสั่งสมมาในอดีตครับ
-
saichon
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอก๊อปมาแจมกับพี่อ่องอ๋าบ้างน๊ะครับ
(เข้าใจว่าเป็นบทความของท่าน ว.วชิรเมธี ครับ)
เรื่อง สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป
ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะนับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง) เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
คนที่ทำตัวเป็น มิสเตอร์เยส นั้น เขาจะไม่มีวันได้อยู่อย่างมีความสุขหรอก เพราะหลังจากที่คุณ เยส กับเรื่องนี้กับคนนี้ไปแล้ว
ก็จะมีเรื่องใหม่ และคนใหม่ มาขอให้คุณทำอะไรอยู่เสมอ
ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง
ปล่อยมันไป หรือมิเช่นนั้น จากบทเรียนคราวนี้ คุณก็ควรฝึกเป็น มิสเตอร์โน บ้าง
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนั ด แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า
พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์
แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณค่ะคุณ saichon สำหรับบทความดี ๆ
จริง ๆ พื้นนิสัยเดิมเลยนี่พี่จะใจทมิฬหินชาติ
เรื่อง "ช่างมัน" นี่เลยทำได้สบาย ๆ
ถ้าไม่ติดว่าเกี่ยวกับบุพการีนี่พี่คงไม่ซีเรียสตั้งแต่ต้นแล้ว

อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
พระอาจารย์บอกว่า "คนเราถ้าไม่กลัวตายเสียอย่าง ก็ไม่มีอะไรให้เรากลัวแล้ว"
อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
เมื่อคืนก่อนฝันว่าเข้าวัดบวชชีเรียบร้อย :8)
ได้แต่หวังว่า ถ้าถึงวันนั้นจริง ๆ ปันผลจะเยอะพอให้กินใช้+ทำบุญ
จะได้ไม่เดือดร้อนวัดจนเกินไป
อีหนูตีแตก
-
สถาปนิกต่างดาว
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
อ่องอ๋า เขียน:
หากจะกลับไปเล่นหุ้นแบบเดิม ใจมันจะโดนความโลภครอบงำทุกวัน วันละหลายชั่วโมง เงินที่ได้มาก็เป็นการจ้องจะได้จากคนอื่น เพราะมันไม่ได้เกิดจากการเติบโตของกิจการ แล้วมันจะมาจากไหนนอกจากเปลี่ยนมือกันเฉย ๆ
ประโยคเตือนใจ

ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
สถาปนิกต่างดาว เขียน:
ประโยคเตือนใจ

ขอบพระคุณที่ยกมาเตือนคนเขียนอีกรอบค่ะ ๕๕๕ ของแบบนี้ต้องเตือนตัวเองบ่อย ๆ จริง ๆ
ได้ลองย้อนกลับไปดู vdo บรรดารุ่นพี่ทั้งหลายในมันนี่ทอล์ค ก็พบว่าแต่ละท่านมีแนวทางต่างกันไป แม้อ่านตำราเล่มเดียวกัน แต่เวลาปฏิบัติจริงก็ไม่เหมือนกัน หนูก็ได้แต่เลือกทางที่ทำให้ตัวเอง กลัวน้อยสุด โลบน้อยสุด แต่ผลตอบแทนไม่ต้องน้อยสุดก็ได้ :lol:
อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ระงับนิวรณ์
ถาม : ถ้าเราติดอยู่ในนิวรณ์เบื้องต้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทำอย่างไรจะเบรกให้ชะงัดเลยคะ ?
ตอบ : อันดับแรก สมาธิต้องทรงตัวจริง ๆ ถ้าหากสมาธิทรงตัว ยิ่งได้ระดับฌานสี่ ก็ยิ่งเบรกได้อยู่หมัดเลย
ถาม : ถ้าหากยังฟุ้งอยู่ละคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายังฟุ้งอยู่ โอกาสเบรกไม่มีหรอกจ้ะ เขาลากเราไปทุกที
ถาม : ไม่อยากถลำลึกค่ะ
ตอบ : รีบ ๆ ไปฝึกสมาธิ ให้เป็นอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วอย่าให้หลุด ก็จะเบรกได้ แต่ถ้าจะเอามั่นคง ต้องเป็นฌานสี่แบบคล่องตัว ถ้าเราได้ฌานสี่แบบคล่องตัวนี่เป็นพื้นฐานของพระอนาคามีเลย ถ้าขึ้นถึงอนาคามีเมื่อไรก็ไม่ต้องเบรกแล้ว เลิกกันไปเลย
ถาม : ยากค่ะ
ตอบ : ไม่ยากหรอก ลองดู ขอให้ทำจริง ๆ เถอะ ให้นึกว่า ขนาดชั่วเรายังชั่วมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ แล้วถ้าเราลองดีด้วยความตั้งอกตั้งใจดูบ้าง เคยตั้งใจชั่วมาแล้วก็ตั้งใจดีบ้าง
อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ถาม : การที่เรายึดมั่นในธรรม ยึดมั่นในการปฏิบัติ ยึดไปยึดมากลายเป็นสักกายทิฐิและมานะ ซึ่งตรงนี้เป็นเพราะเราไปคิดว่า ธรรมนั้น หรืออารมณ์การปฏิบัตินั้นเป็นของเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช่เลย
ถาม : ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ว่าเราจะเข้าถึงธรรม ถึงอารมณ์ในตัวไหน ก็ต้องมีการพิจารณาลงที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ?
ตอบ : ท้ายสุดก็ต้องคลายการยึดมั่นถือมั่นไป แม้กระทั่งในธรรมที่ปฏิบัติได้ ก็สักแต่เป็นดีชั่วเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ในเมื่อไปถึงตรงจุดนั้น ดีก็ไม่เกาะ ชั่วก็ไม่เกาะแล้ว ทำดีเพราะรู้ว่าดี ละชั่วเพราะรู้ว่าชั่ว
ถาม : อย่างเวลาเราอยู่ในอารมณ์กรรมฐานกองใด ณ เวลานั้น ทีนี้พอเราคลายออกมาเพื่อมารับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อออกมาปฏิสัมพันธ์ หรือเพื่อออกมาทำงานใดงานหนึ่ง พอเราเห็นว่างานนั้นเสร็จแล้ว เราก็กลับไปอยู่ตรงอารมณ์เดิมของเรา ถึงจะเป็นสมถะก็จริง แต่หนูมองว่าเป็นปัญญาด้วย เพราะเรารู้ว่า ถ้าปล่อยให้อยู่กับตรงนั้นนาน ๆ แล้ว จะมีการปรุงแต่งต่อไป
ตอบ : เป็นโลกียปัญญา เพราะต้องอาศัยกำลังสมถะในการช่วยป้องกัน ถ้าหากว่าเป็นโลกุตรปัญญา ในส่วนของปัญญาจริง ๆ ก็คือ เห็นแล้วปล่อยวางได้
แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่ปลอดภัย
อีหนูตีแตก
-
por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="อ่องอ๋า"]เมื่อคืนก่อนฝันว่าเข้าวัดบวชชีเรียบร้อย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="por_jai"][quote="อ่องอ๋า"]เมื่อคืนก่อนฝันว่าเข้าวัดบวชชีเรียบร้อย
อีหนูตีแตก
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
อ่องอ๋า เขียน:แต่ก็เป็นความจริงที่ว่ามันจะมีความใฝ่ฝันใหม่ ๆ งอกออกมาเรื่อย
แต่ก่อนก็ฝันว่าจะชาตินี้จะใช้หนี้หมดไหม
พอหนี้หมดจริง ๆ ก็ขอเงินเก็บสัก ๑๐ ล้านเหอะ
แล้วก็ ๔๐ ดีกว่า เผื่อตายลูกจะได้มีใช้
ตอนนี้หนักกว่า ขอมีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน ๕๕๕:
เดี๋ยวมีท่านอื่นเข้าใจผิด คือเงินเก็บหนูยังไม่ถึง ๑๐ ล้านนะคะ ยังไม่ใกล้ด้วย เพิ่งจะใช้หนี้หมดเอง แต่กิเลสมันวิ่งเร็วกว่าที่ทำได้ค่ะ

อีหนูตีแตก
-
saichon
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="por_jai"][quote="อ่องอ๋า"]เมื่อคืนก่อนฝันว่าเข้าวัดบวชชีเรียบร้อย
-
อ่องอ๋า
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้ เมื่อต้นเดือนจึงไปกราบเรียนถามหลวงพ่อจนได้ค่ะ
......................
ถาม : สติ สมาธิ สัมปชัญญะ นี่มันคืออะไรคะ?
ตอบ : สติกับสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน ส่วนสมาธิเป็นกำลังของใจ ที่เกิดจากการที่ความรู้สึกทั้งหมดรวมแน่วแน่อยู่จุดใดจุดหนึ่ง สตินึกได้ว่าจะทำอะไร สัมปชัญญะรู้อยู่ว่าตอนนี้ทำอะไร
ถาม : ก็คือ มีสมาธิจะต้องมีสติด้วยหรือคะ?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิดี สติและสัมปชัญญะก็จะดีไปด้วย
ถาม : แล้วคนที่เป็นพระโสดาบันเขาจะมีสติทั้งหลับทั้งตื่นหรือเปล่า
ตอบ : เขาเป็นอัตโนมัติ
ถาม : ก็แสดงว่าในฝันก็ไม่ผิดศีล
ตอบ : ต้องไปถามพระโสดาบัน
อีหนูตีแตก
-
por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
อ่องอ๋า เขียน:ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้ เมื่อต้นเดือนจึงไปกราบเรียนถามหลวงพ่อจนได้ค่ะ
......................

โพ้มก็ว่าจะไปกราบหลวงพ่อปราโมทย์เสาร์นี้เหมือนกันครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า