สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
โพสต์ที่ 1
ตัดตอนจากหนังสือความลับสู่ความสำเร็จ ของทันตแพทย์สม สุจีรา
...... การมองแบบองค์รวม จะเห็นการเชื่อมโยง เห็นเหตุและปัจจัย เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น ทำให้สามารถคิดและตัดสินใจได้ไม่เหมือนคนอื่น หรือ ก่อนคนอื่น เมื่อเห็นเป็นองค์รวม จะทำให้มีความอดทน รู้จักรอคอย มีความฉลาดทางอารมณ์ ( E.Q) สูง นอกจากนั้นสมองซีกนี้ยังช่วยหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาอีกด้วย บางครั้งเพียงการมองออกไปที่ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตก ก็รู้สึกงดงามเหนือจะบรรยาย ในขณะที่คนใช้สมองซีกซ้าย จะไม่รู้สึกอะไร เพราะคิดในเชิงเหตุผลว่า พระอาทิตย์ตกมันก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่เห็นแปลก ความไม่รู้สึกบวก ขาดจินตนาการ จะทำให้ความอดทนต่ำ
คนที่ใช้สมองซีกซ้ายเพียงอย่างเดียวจะมองทุกสิ่งเป็นแบบแยกย่อย และมองเฉพาะข้อเท็จจริง หรือตัวเลขเชิงตรรกะ เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ขาดจินตนาการ ขาดการคาดหมายอนาคต แม้จะแม่นข้อมูล แต่ก็ไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวา จะมองเห็นโอกาส ความเป็นไปได้ มีแรงบันดาลใจ แรงจูงใจสูง และสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ให้เป็นประโยชน์อย่างสูงสุด แม้ว่าเขาจะไม่แม่นข้อมูล แต่ก็จะพยายามเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมตรงส่วนที่สนใจอยู่ตลอดเวลา เป็นการเจาะข้อมูลเฉพาะจุด ที่จะนำมาประยุกต์เข้ากับจินตนาการ
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ นักเขียนชั้นนำไม่จำเป็นต้องจบอักษรศาสตร์ นักเล่นหุ้นที่เก่งๆ ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกทางด้านการเงิน การดูราคาหุ้น ตัวเลขที่เกี่ยวข้องต่างๆเพื่อวิเคราะห์ ตามทฤษฎี ตามกราฟ เป็นเรื่องเชิงตรรกะ ซึ่งถ้าใครเล่นหุ้นจะรู้ว่า บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ มักจะสวนทางกับราคาที่เป็นจริงอยู่บ่อยๆ ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาเล่น เขาจะมองเห็นองค์รวม รู้นิสัยของหุ้นตัวนั้น รู้อารมณ์ของตลาด รู้ความเป็นไปของสถานการณ์แวดล้อม รู้แนวโน้มในอนาคต ฯลฯ คนที่เล่นหุ้นแบบนี้มีโอกาสประสบกับความสำเร็จมากกว่า
คนที่ใช้สมองซีกซ้ายมักจะยึดติดกับข้อมูลในอดีต ไม่สนใจการคาดการณ์อนาคต จะตัดสินใจแบบปลอดภัยไว้ก่อน ไม่กล้าเสี่ยง และชอบลังเล เพราะข้อมูลที่มีอยู่มากเกินไป ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ใช้สมองขวา จะสนใจอนาคตมากกว่าอดีต ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด กล้าได้กล้าเสีย และแม้จะผิดพลาดล้มเหลว ก็จะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรมาก เพราะคนที่ใช้สมองส่วนนี้ จะเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ สนใจในศาสนา และปรัชญา และถ้าหันมาสนใจปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสที่จะบรรลุภาวนาปัญญาญานได้มากกว่า
เมื่อต้องตัดสินใจ พยายามทำใจให้เย็น ความใจร้อนมักจะแฝงไปด้วยโทสะ โมหะ โลภะ ซึ่งจะทำให้มองไม่เห็นเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง และความใจเย็นจะทำให้ช่วงเวลาของการแก้ปัญหายาวนานขึ้น แม้ว่าบางครั้ง ความใจเย็นอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่ดีไป เช่นนักเล่นหุ้นที่ไม่ทันซื้อหุ้นขณะกำลังพุ่งขึ้นทำให้เกิดอาการเสียดาย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าใจร้อนแล้วตัดสินใจผิดพลาด จะเสียใจ ในทางจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เสียดายดีกว่าเสียใจ เพราะเสียดายเป็นเรื่องสมองซีกซ้าย อันเกิดจากการเปรียบเทียบ แต่ เสียใจ เป็นเรื่องของสมองซีกขวา ซึ่งสามารถลงลึกถึงจิตใต้สำนึก ความเสียดาย จะเกิดขึ้นไม่นานเพียงไม่กี่วัน แต่ความเสียใจ จะฝังเป็นเวลาหลายๆปี หรือบางครั้งถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติ ความเสียดายเป็นเรื่องของความคิดซึ่งอยู่ในสมอง แต่เสียใจเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ
สมองซีกขวามีแนวโน้มของศักยภาพในด้านที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้แบบก้าวกระโดด ความสามารถเชิงภาพรวม ภาษากายและท่าทาง การมองแบบสามมิติ ความคิดสร้างสรรค์ และ ความรู้สึก สมองส่วนนี้จะสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์จากหลายๆประสบการณ์ มาวิเคราะห์ร่วมกัน เป็นองค์ความรู้ใหม่ได้ มันสามารถสร้างเครือข่ายใยประสาทเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลไปได้ทั่วสมอง เซลล์ประสาทเพียงหนึ่งเซลล์ในสมองซีกขวาสามารถสร้างเส้นใยประสาทออกจากจากตัวเพื่อติดต่อเชื่อมไปยังเซลล์ประสาทอื่นๆรอบข้างได้มากถึง 20,000 เซลล์ และเซลล์ประสาทที่ถูกเชื่อมใน 20,000 เซลล์นั้น แต่ละเซลล์ก็ยังสามารถส่งแขนงของตัวเองไปเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเซลล์อื่นๆต่อเนื่องได้อีก 20,000 เซลล์เช่นกัน ลองคิดดูว่า ร่างแหใยประสาททั้งหมด จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ข้อมูลที่เข้ามาใช้ในการประมวลผลจึงมากมายมหาศาล จนผลสรุปของมันหาเหตุผลไม่ได้ ในขณะที่เซลล์ประสาทของสมองซีกซ้าย จะไม่ค่อยยอมเชื่อมโยงกับเซลล์อื่นที่มีหลักทางตรรกะต่างกัน เซลล์ประสาทในสมองซีกซ้ายบางตัวเชื่อมโยงกับเซลล์สมองอื่นๆเพียง 1,000 เซลล์ ดังนั้น การคิดของสมองซีกซ้ายจะอยู่ในขอบเขตของตรรกะเหตุผล ไม่ค่อยคิดนอกกรอบ ความคิดสร้างสรรค์มักจะไม่เกิดขึ้นในสมองส่วนนี้ เพราะเซลล์สมองแต่ละเซลล์แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันน้อยเกินไป
ถ้ามีประสบการณ์มากพอ สมองจะสามารถรวบรวมข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาได้กว้างกว่าข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า ประสบการณ์ที่มากจนตกผลึกเมื่อมารวมกับข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบัน มันจะแปลงออกมาเป็นรูปของความรู้สึก การตัดสินใจตามความรู้สึกบางครั้งอาจบอกเหตุผลได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก เพราะเป็นการสรุปรวบยอดมาจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่อยู่ในสมอง
สมองทั้งสองซีกทำงานต่างกันมาก เช่น การดู เกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้าย แต่การเห็น เป็นเรื่องของสมองซีกขวา เช่นทุกคนสามารถดูภาพศิลปะ แต่บางคนเท่านั้นที่เห็น การได้ยินเป็นเรื่องของสมองซีกซ้าย แต่การฟังเป็น ต้องใช้สมองซีกขวา คนที่ใช้สมองส่วนนี้ จะเข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี เข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น และเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไป
...... การมองแบบองค์รวม จะเห็นการเชื่อมโยง เห็นเหตุและปัจจัย เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น ทำให้สามารถคิดและตัดสินใจได้ไม่เหมือนคนอื่น หรือ ก่อนคนอื่น เมื่อเห็นเป็นองค์รวม จะทำให้มีความอดทน รู้จักรอคอย มีความฉลาดทางอารมณ์ ( E.Q) สูง นอกจากนั้นสมองซีกนี้ยังช่วยหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาอีกด้วย บางครั้งเพียงการมองออกไปที่ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตก ก็รู้สึกงดงามเหนือจะบรรยาย ในขณะที่คนใช้สมองซีกซ้าย จะไม่รู้สึกอะไร เพราะคิดในเชิงเหตุผลว่า พระอาทิตย์ตกมันก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่เห็นแปลก ความไม่รู้สึกบวก ขาดจินตนาการ จะทำให้ความอดทนต่ำ
คนที่ใช้สมองซีกซ้ายเพียงอย่างเดียวจะมองทุกสิ่งเป็นแบบแยกย่อย และมองเฉพาะข้อเท็จจริง หรือตัวเลขเชิงตรรกะ เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ขาดจินตนาการ ขาดการคาดหมายอนาคต แม้จะแม่นข้อมูล แต่ก็ไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวา จะมองเห็นโอกาส ความเป็นไปได้ มีแรงบันดาลใจ แรงจูงใจสูง และสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ให้เป็นประโยชน์อย่างสูงสุด แม้ว่าเขาจะไม่แม่นข้อมูล แต่ก็จะพยายามเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมตรงส่วนที่สนใจอยู่ตลอดเวลา เป็นการเจาะข้อมูลเฉพาะจุด ที่จะนำมาประยุกต์เข้ากับจินตนาการ
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ นักเขียนชั้นนำไม่จำเป็นต้องจบอักษรศาสตร์ นักเล่นหุ้นที่เก่งๆ ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกทางด้านการเงิน การดูราคาหุ้น ตัวเลขที่เกี่ยวข้องต่างๆเพื่อวิเคราะห์ ตามทฤษฎี ตามกราฟ เป็นเรื่องเชิงตรรกะ ซึ่งถ้าใครเล่นหุ้นจะรู้ว่า บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ มักจะสวนทางกับราคาที่เป็นจริงอยู่บ่อยๆ ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาเล่น เขาจะมองเห็นองค์รวม รู้นิสัยของหุ้นตัวนั้น รู้อารมณ์ของตลาด รู้ความเป็นไปของสถานการณ์แวดล้อม รู้แนวโน้มในอนาคต ฯลฯ คนที่เล่นหุ้นแบบนี้มีโอกาสประสบกับความสำเร็จมากกว่า
คนที่ใช้สมองซีกซ้ายมักจะยึดติดกับข้อมูลในอดีต ไม่สนใจการคาดการณ์อนาคต จะตัดสินใจแบบปลอดภัยไว้ก่อน ไม่กล้าเสี่ยง และชอบลังเล เพราะข้อมูลที่มีอยู่มากเกินไป ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ใช้สมองขวา จะสนใจอนาคตมากกว่าอดีต ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด กล้าได้กล้าเสีย และแม้จะผิดพลาดล้มเหลว ก็จะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรมาก เพราะคนที่ใช้สมองส่วนนี้ จะเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ สนใจในศาสนา และปรัชญา และถ้าหันมาสนใจปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสที่จะบรรลุภาวนาปัญญาญานได้มากกว่า
เมื่อต้องตัดสินใจ พยายามทำใจให้เย็น ความใจร้อนมักจะแฝงไปด้วยโทสะ โมหะ โลภะ ซึ่งจะทำให้มองไม่เห็นเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง และความใจเย็นจะทำให้ช่วงเวลาของการแก้ปัญหายาวนานขึ้น แม้ว่าบางครั้ง ความใจเย็นอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่ดีไป เช่นนักเล่นหุ้นที่ไม่ทันซื้อหุ้นขณะกำลังพุ่งขึ้นทำให้เกิดอาการเสียดาย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าใจร้อนแล้วตัดสินใจผิดพลาด จะเสียใจ ในทางจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เสียดายดีกว่าเสียใจ เพราะเสียดายเป็นเรื่องสมองซีกซ้าย อันเกิดจากการเปรียบเทียบ แต่ เสียใจ เป็นเรื่องของสมองซีกขวา ซึ่งสามารถลงลึกถึงจิตใต้สำนึก ความเสียดาย จะเกิดขึ้นไม่นานเพียงไม่กี่วัน แต่ความเสียใจ จะฝังเป็นเวลาหลายๆปี หรือบางครั้งถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติ ความเสียดายเป็นเรื่องของความคิดซึ่งอยู่ในสมอง แต่เสียใจเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ
สมองซีกขวามีแนวโน้มของศักยภาพในด้านที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้แบบก้าวกระโดด ความสามารถเชิงภาพรวม ภาษากายและท่าทาง การมองแบบสามมิติ ความคิดสร้างสรรค์ และ ความรู้สึก สมองส่วนนี้จะสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์จากหลายๆประสบการณ์ มาวิเคราะห์ร่วมกัน เป็นองค์ความรู้ใหม่ได้ มันสามารถสร้างเครือข่ายใยประสาทเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลไปได้ทั่วสมอง เซลล์ประสาทเพียงหนึ่งเซลล์ในสมองซีกขวาสามารถสร้างเส้นใยประสาทออกจากจากตัวเพื่อติดต่อเชื่อมไปยังเซลล์ประสาทอื่นๆรอบข้างได้มากถึง 20,000 เซลล์ และเซลล์ประสาทที่ถูกเชื่อมใน 20,000 เซลล์นั้น แต่ละเซลล์ก็ยังสามารถส่งแขนงของตัวเองไปเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเซลล์อื่นๆต่อเนื่องได้อีก 20,000 เซลล์เช่นกัน ลองคิดดูว่า ร่างแหใยประสาททั้งหมด จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ข้อมูลที่เข้ามาใช้ในการประมวลผลจึงมากมายมหาศาล จนผลสรุปของมันหาเหตุผลไม่ได้ ในขณะที่เซลล์ประสาทของสมองซีกซ้าย จะไม่ค่อยยอมเชื่อมโยงกับเซลล์อื่นที่มีหลักทางตรรกะต่างกัน เซลล์ประสาทในสมองซีกซ้ายบางตัวเชื่อมโยงกับเซลล์สมองอื่นๆเพียง 1,000 เซลล์ ดังนั้น การคิดของสมองซีกซ้ายจะอยู่ในขอบเขตของตรรกะเหตุผล ไม่ค่อยคิดนอกกรอบ ความคิดสร้างสรรค์มักจะไม่เกิดขึ้นในสมองส่วนนี้ เพราะเซลล์สมองแต่ละเซลล์แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันน้อยเกินไป
ถ้ามีประสบการณ์มากพอ สมองจะสามารถรวบรวมข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาได้กว้างกว่าข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า ประสบการณ์ที่มากจนตกผลึกเมื่อมารวมกับข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบัน มันจะแปลงออกมาเป็นรูปของความรู้สึก การตัดสินใจตามความรู้สึกบางครั้งอาจบอกเหตุผลได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก เพราะเป็นการสรุปรวบยอดมาจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่อยู่ในสมอง
สมองทั้งสองซีกทำงานต่างกันมาก เช่น การดู เกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้าย แต่การเห็น เป็นเรื่องของสมองซีกขวา เช่นทุกคนสามารถดูภาพศิลปะ แต่บางคนเท่านั้นที่เห็น การได้ยินเป็นเรื่องของสมองซีกซ้าย แต่การฟังเป็น ต้องใช้สมองซีกขวา คนที่ใช้สมองส่วนนี้ จะเข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี เข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น และเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไป
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
โพสต์ที่ 3
เห็นด้วยกับพี่มิครับ
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ --> ผู้ที่ประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ จำเป็นต้องใช้สมองซีกขวาให้เหนือกว่าคนอื่นๆ
ผมเห็นคนเยอะแยะใช้สมองซีกขวา ข้อมูลตรรกะเหตุผลอะไรก็ไม่ดูหรอก คิดเองเออเองอยู่คนเดียว ซื้อหุ้นกอดเอาไว้แล้วก็จินตนาการลมๆ แล้งๆ ว่าหุ้นมันจะขึ้น ใช้สมองซีกขวามากแบบนี้ ดูไปดูมาแมงเม่าทั้งนั้นแหละ
เพราะธุรกิจถูกสร้างขึ้นเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาตอบสนองความต้องการของมนุษย์ การลงทุนจึงเป็นกระบวนการของการใช้เหตุผล เคยเห็นธนาคารที่ปล่อยเงินกู้โดยนักธุรกิจผู้กู้ไม่ต้องชี้แจงเหตุผลไหม เห็นด้วยกับพี่มินะครับ สมองต้องใช้ทั้งสองซีกให้สมดุลกัน และในระยะยาวแล้วราคาหุ้นมีเหตุผลเสมอ
พิจารณาจากการใช้คำพูด
ขออนุญาตเอามากล่าวใหม่ทันตแพทย์สม สุจีรา เขียน: ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ นักเขียนชั้นนำไม่จำเป็นต้องจบอักษรศาสตร์ นักเล่นหุ้นที่เก่งๆ ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกทางด้านการเงิน การดูราคาหุ้น ตัวเลขที่เกี่ยวข้องต่างๆเพื่อวิเคราะห์ ตามทฤษฎี ตามกราฟ เป็นเรื่องเชิงตรรกะ ซึ่งถ้าใครเล่นหุ้นจะรู้ว่า บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ มักจะสวนทางกับราคาที่เป็นจริงอยู่บ่อยๆ ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาเล่น เขาจะมองเห็นองค์รวม รู้นิสัยของหุ้นตัวนั้น รู้อารมณ์ของตลาด รู้ความเป็นไปของสถานการณ์แวดล้อม รู้แนวโน้มในอนาคต ฯลฯ คนที่เล่นหุ้นแบบนี้มีโอกาสประสบกับความสำเร็จมากกว่า
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ --> ผู้ที่ประสบความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่นๆ จำเป็นต้องใช้สมองซีกขวาให้เหนือกว่าคนอื่นๆ
ผมเห็นคนเยอะแยะใช้สมองซีกขวา ข้อมูลตรรกะเหตุผลอะไรก็ไม่ดูหรอก คิดเองเออเองอยู่คนเดียว ซื้อหุ้นกอดเอาไว้แล้วก็จินตนาการลมๆ แล้งๆ ว่าหุ้นมันจะขึ้น ใช้สมองซีกขวามากแบบนี้ ดูไปดูมาแมงเม่าทั้งนั้นแหละ
เขาเรียกว่าใช้สมองซีกซ้ายน้อยเกินไป บางคนก็แค่เอาตัวเลขนิดๆ หน่อยๆ มาบวกลบคูณหารกันแล้วก็สำคัญผิด คิดว่านั่นคือการวิเคราะห์ แต่เดิมมันเป็นข้อมูล ผ่านการคำนวณเสร็จมันก็ยังเป็นข้อมูลอยู่ดีเพียงแต่เป็นข้อมูลใหม่ที่ใช้ตามวัตถุประสงค์ที่คำนวณ ดูข้อมูลอดีตแทนที่จะเข้าใจเหตุปัจจัยของผลนั้น กลับไม่สามารถคิดวิเคราะห์ทำนายได้ว่าถ้าเหตุเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรในอนาคตทันตแพทย์สม สุจีรา เขียน: คนที่ใช้สมองซีกซ้ายมักจะยึดติดกับข้อมูลในอดีต ไม่สนใจการคาดการณ์อนาคต จะตัดสินใจแบบปลอดภัยไว้ก่อน ไม่กล้าเสี่ยง และชอบลังเล เพราะข้อมูลที่มีอยู่มากเกินไป ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ใช้สมองขวา จะสนใจอนาคตมากกว่าอดีต ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด กล้าได้กล้าเสีย และแม้จะผิดพลาดล้มเหลว ก็จะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรมาก เพราะคนที่ใช้สมองส่วนนี้ จะเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ สนใจในศาสนา และปรัชญา และถ้าหันมาสนใจปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสที่จะบรรลุภาวนาปัญญาญานได้มากกว่า
เพราะธุรกิจถูกสร้างขึ้นเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาตอบสนองความต้องการของมนุษย์ การลงทุนจึงเป็นกระบวนการของการใช้เหตุผล เคยเห็นธนาคารที่ปล่อยเงินกู้โดยนักธุรกิจผู้กู้ไม่ต้องชี้แจงเหตุผลไหม เห็นด้วยกับพี่มินะครับ สมองต้องใช้ทั้งสองซีกให้สมดุลกัน และในระยะยาวแล้วราคาหุ้นมีเหตุผลเสมอ
พิจารณาจากการใช้คำพูด
ก็เห็นด้วยนะครับ คนที่ใช้สมองซีกขวามาก ก็คงเป็นได้แค่นัก "เล่นหุ้น" เท่านั้นแหละทันตแพทย์สม สุจีรา เขียน: ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาเล่น เขาจะมองเห็นองค์รวม รู้นิสัยของหุ้นตัวนั้น รู้อารมณ์ของตลาด รู้ความเป็นไปของสถานการณ์แวดล้อม รู้แนวโน้มในอนาคต ฯลฯ คนที่เล่นหุ้นแบบนี้มีโอกาสประสบกับความสำเร็จมากกว่า
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
โพสต์ที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 98584.html
คนที่ใช้แต่สมองซีกขวาอาจจะซื้อท่อนไม้ 450 บาท ก็ได้นะครับ
หากว่าใช้ด้านซ้ายสักหน่อยจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
คนที่ใช้แต่สมองซีกขวาอาจจะซื้อท่อนไม้ 450 บาท ก็ได้นะครับ
หากว่าใช้ด้านซ้ายสักหน่อยจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
เปิดเผยความลับ ทำไมไอน์สไตน์ถึงเรียนเก่ง
โพสต์ที่ 5
จากหนังสือ \"เดอะท็อปซีเคร็ต ภาค 2\"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นตัวอย่างของนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย เขาความจำไม่ค่อยดี ในวัยเด็กไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศเลย แต่เมื่อแรงบันดาลใจจากสมองซีกขวาบังเกิด ก็ทำให้เขาหันมาสนใจฟิสิกส์ ซึ่งจินตนาการมีส่วนช่วยอย่างมาก และความอยากรู้อยากเห็นต้องอาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการคำนวณผลลัพธ์ อาศัยความรู้ทางภาษาเป็นตัวช่วยในการค้นคว้า ทำให้ในที่สุด เขาก็เก่งคณิตศาสตร์และภาษาตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงยืนยันว่า จินตนาการ สำคัญมากกว่าความรู้
จุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างการคำนวณเชิงตรรกะในสมองซีกซ้าย กับภาพแห่งความรู้สึกในสมองซีกขวาของไอน์สไตน์ก็คือ เข็มทิศ กับ วิชาเรขาคณิต เข็มทิศที่ได้รับเป็นของขวัญเมื่อตอนอายุ 4 ปี ทำให้เขาจินตนาการถึงภาพสนามพลังที่มองไม่เห็น และวิชาเรขาคณิตที่เขาเริ่มเรียนรู้เมื่ออายุ 10 ปี จุดประกายให้เห็นถึงความงดงามของวิชาคณิตศาสตร์ เมื่อการจินตนาการเป็นภาพกับความสามารถในการคำนวณมาบรรจบกัน ความเป็นอภิมหาอัจฉริยะก็กำเนิดขึ้น
การเรียนที่มีประสิทธิภาพ ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาแบบองค์รวมโดยใช้สมองซีกขวา ซึ่งจะทำให้เห็นเหตุและปัจจัยอย่างรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ รู้จังหวะ รู้ธรรมชาติของศาสตร์นั้น ส่วนการศึกษาแบบแยกย่อย เป็นการเรียนแบบจำเฉพาะส่วน ท่องสมมติบัญญัติต่างๆที่ถูกกำหนดขึ้นมา แต่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้กลับไม่เป็นประโยชน์ เพราะมองไม่เห็นความสัมพันธ์ของทั้งระบบ รวมไปถึงการไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่นๆ ทำให้ขาดความคิดสร้างสรรค์
มีกรณีศึกษาทางการแพทย์พบว่า ในคนไข้ที่สมองซีกซ้ายส่วนหน้าเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุหรือพยาธิสภาพ แต่ปรากฏว่าคนไข้คนนั้นกลับมีลักษณะของอัจฉริยะบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้าไม่เคยมีแววทางด้านนี้เลย เช่นบางคนสามารถวาดภาพได้ราวกับเป็นมืออาชีพ บางคนพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว หรือเล่นเปียโนได้ราวกับฝึกซ้อมมาแรมปี จากการค้นพบนี้ สรุปได้ว่า สมองซีกขวามีศักยภาพแฝงซ่อนอยู่ภายในเยอะมาก และอัจฉริยะบุคคลสาขาต่างๆของโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีเซลล์ประสาทมากกว่าคนอื่น เพียงแต่เขารู้จักใช้สมองส่วนที่คนอื่นๆไม่ได้ใช้ ทุกคนสามารถเป็นอัจฉริยะได้ ถ้ารู้จักใช้สมองส่วนนี้
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองที่ทำงานเด่นในวัยเด็ก จะทำให้พวกเขามีความรู้สึกเป็นเด็กและอยากรู้อยากเห็นสูง กลับเป็นผลดีเพราะจินตนาการไม่ถูกจำกัด ประกอบกับสมองแบบเด็กจะไม่ค่อยมีกิเลส ตัณหาที่เร่าร้อน ผู้ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆล้วนแล้วค้นพบความลับของสมองซีกขวา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ตาม อาทิ เช่น บิลเกตต์ ไทเกอร์ วู๊ดส์ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ทอม แฮงค์ เจ เค โรวลิ่ง นิวตัน เอดิสัน ฯลฯ รวมไปถึง ปิคาสโซ่ จิตรกรระดับโลกเคยบอกว่า ที่เขาสร้างผลงานได้ขนาดนั้น เพราะยังเหลือความเป็นเด็กอยู่มาก ความมีศิลปะฝังอยู่ในใจเด็กทุกคน แต่ปัญหาก็คือ เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาไม่สามารถรักษาความเป็นเด็กนั้นไว้ได้
โดยธรรมชาติแล้ว เพศชาย เมื่อเติบโตขึ้นจะยังคงเหลือความเป็นเด็กติดตัวอยู่ มากกว่าเพศหญิง และส่วนนี้ถือว่า เป็นจุดได้เปรียบของเพศชาย คนที่มีความเป็นเด็กอยู่ จะมีจินตนาการสูง มีอารมณ์ขัน และขี้เล่น
โธมัส เอดิสัน บอกว่า ที่เขาประดิษฐ์สิ่งต่างๆได้มากมายขนาดนี้ เพราะยังมีความเป็นเด็กเหลืออยู่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็เช่นเดียวกัน เคยเขียนไว้มีความหมายว่า..... คนเราเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะไม่มีใครคิดถึงเรื่องเวลายืดหดได้อีกเลย มันเป็นความคิดของเด็กเท่านั้น แต่โชคดีที่หัวผมช้า ผมจึงเพิ่งมาสงสัยเรื่องเวลายืดหด เอาเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ชาร์ล ดาร์วิน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ เซอร์ไอแซค นิวตัน สามอภิมหาอัจฉริยะอันดับ 1 3 ของโลก เริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กด้วยความผิดปกติ ทั้งดาร์วิน ไอน์สไตน์ และนิวตัน ถูกครูปรามาสว่า เป็นเด็กหัวทึบ ครูบางคนถึงขนาดบอกว่าปัญญาอ่อนกว่าเด็กทั่วไป เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ช่วงนั้นพวกเขาไม่ใช้สมองซีกซ้ายเลย จึงมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้และสื่อความหมาย เช่น การอ่าน การพูด การคำนวณ ฯลฯ ขนาดอายุหกขวบ ไอน์สไตน์ยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออก พูดไม่เก่ง คำนวณคณิตศาสตร์ง่ายๆไม่ได้ แต่ ขณะนั้นสมองซีกขวาของเขา กำลังทำงานอย่างหนัก โดยที่คนภายนอกไม่เข้าใจ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นตัวอย่างของนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย เขาความจำไม่ค่อยดี ในวัยเด็กไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศเลย แต่เมื่อแรงบันดาลใจจากสมองซีกขวาบังเกิด ก็ทำให้เขาหันมาสนใจฟิสิกส์ ซึ่งจินตนาการมีส่วนช่วยอย่างมาก และความอยากรู้อยากเห็นต้องอาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการคำนวณผลลัพธ์ อาศัยความรู้ทางภาษาเป็นตัวช่วยในการค้นคว้า ทำให้ในที่สุด เขาก็เก่งคณิตศาสตร์และภาษาตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงยืนยันว่า จินตนาการ สำคัญมากกว่าความรู้
จุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างการคำนวณเชิงตรรกะในสมองซีกซ้าย กับภาพแห่งความรู้สึกในสมองซีกขวาของไอน์สไตน์ก็คือ เข็มทิศ กับ วิชาเรขาคณิต เข็มทิศที่ได้รับเป็นของขวัญเมื่อตอนอายุ 4 ปี ทำให้เขาจินตนาการถึงภาพสนามพลังที่มองไม่เห็น และวิชาเรขาคณิตที่เขาเริ่มเรียนรู้เมื่ออายุ 10 ปี จุดประกายให้เห็นถึงความงดงามของวิชาคณิตศาสตร์ เมื่อการจินตนาการเป็นภาพกับความสามารถในการคำนวณมาบรรจบกัน ความเป็นอภิมหาอัจฉริยะก็กำเนิดขึ้น
การเรียนที่มีประสิทธิภาพ ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาแบบองค์รวมโดยใช้สมองซีกขวา ซึ่งจะทำให้เห็นเหตุและปัจจัยอย่างรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ รู้จังหวะ รู้ธรรมชาติของศาสตร์นั้น ส่วนการศึกษาแบบแยกย่อย เป็นการเรียนแบบจำเฉพาะส่วน ท่องสมมติบัญญัติต่างๆที่ถูกกำหนดขึ้นมา แต่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้กลับไม่เป็นประโยชน์ เพราะมองไม่เห็นความสัมพันธ์ของทั้งระบบ รวมไปถึงการไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่นๆ ทำให้ขาดความคิดสร้างสรรค์
มีกรณีศึกษาทางการแพทย์พบว่า ในคนไข้ที่สมองซีกซ้ายส่วนหน้าเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุหรือพยาธิสภาพ แต่ปรากฏว่าคนไข้คนนั้นกลับมีลักษณะของอัจฉริยะบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้าไม่เคยมีแววทางด้านนี้เลย เช่นบางคนสามารถวาดภาพได้ราวกับเป็นมืออาชีพ บางคนพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว หรือเล่นเปียโนได้ราวกับฝึกซ้อมมาแรมปี จากการค้นพบนี้ สรุปได้ว่า สมองซีกขวามีศักยภาพแฝงซ่อนอยู่ภายในเยอะมาก และอัจฉริยะบุคคลสาขาต่างๆของโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีเซลล์ประสาทมากกว่าคนอื่น เพียงแต่เขารู้จักใช้สมองส่วนที่คนอื่นๆไม่ได้ใช้ ทุกคนสามารถเป็นอัจฉริยะได้ ถ้ารู้จักใช้สมองส่วนนี้
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองที่ทำงานเด่นในวัยเด็ก จะทำให้พวกเขามีความรู้สึกเป็นเด็กและอยากรู้อยากเห็นสูง กลับเป็นผลดีเพราะจินตนาการไม่ถูกจำกัด ประกอบกับสมองแบบเด็กจะไม่ค่อยมีกิเลส ตัณหาที่เร่าร้อน ผู้ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆล้วนแล้วค้นพบความลับของสมองซีกขวา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ตาม อาทิ เช่น บิลเกตต์ ไทเกอร์ วู๊ดส์ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ทอม แฮงค์ เจ เค โรวลิ่ง นิวตัน เอดิสัน ฯลฯ รวมไปถึง ปิคาสโซ่ จิตรกรระดับโลกเคยบอกว่า ที่เขาสร้างผลงานได้ขนาดนั้น เพราะยังเหลือความเป็นเด็กอยู่มาก ความมีศิลปะฝังอยู่ในใจเด็กทุกคน แต่ปัญหาก็คือ เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาไม่สามารถรักษาความเป็นเด็กนั้นไว้ได้
โดยธรรมชาติแล้ว เพศชาย เมื่อเติบโตขึ้นจะยังคงเหลือความเป็นเด็กติดตัวอยู่ มากกว่าเพศหญิง และส่วนนี้ถือว่า เป็นจุดได้เปรียบของเพศชาย คนที่มีความเป็นเด็กอยู่ จะมีจินตนาการสูง มีอารมณ์ขัน และขี้เล่น
โธมัส เอดิสัน บอกว่า ที่เขาประดิษฐ์สิ่งต่างๆได้มากมายขนาดนี้ เพราะยังมีความเป็นเด็กเหลืออยู่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็เช่นเดียวกัน เคยเขียนไว้มีความหมายว่า..... คนเราเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะไม่มีใครคิดถึงเรื่องเวลายืดหดได้อีกเลย มันเป็นความคิดของเด็กเท่านั้น แต่โชคดีที่หัวผมช้า ผมจึงเพิ่งมาสงสัยเรื่องเวลายืดหด เอาเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ชาร์ล ดาร์วิน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ เซอร์ไอแซค นิวตัน สามอภิมหาอัจฉริยะอันดับ 1 3 ของโลก เริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กด้วยความผิดปกติ ทั้งดาร์วิน ไอน์สไตน์ และนิวตัน ถูกครูปรามาสว่า เป็นเด็กหัวทึบ ครูบางคนถึงขนาดบอกว่าปัญญาอ่อนกว่าเด็กทั่วไป เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ช่วงนั้นพวกเขาไม่ใช้สมองซีกซ้ายเลย จึงมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้และสื่อความหมาย เช่น การอ่าน การพูด การคำนวณ ฯลฯ ขนาดอายุหกขวบ ไอน์สไตน์ยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออก พูดไม่เก่ง คำนวณคณิตศาสตร์ง่ายๆไม่ได้ แต่ ขณะนั้นสมองซีกขวาของเขา กำลังทำงานอย่างหนัก โดยที่คนภายนอกไม่เข้าใจ
- TOFFEEMAN
- Verified User
- โพสต์: 83
- ผู้ติดตาม: 0
สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
โพสต์ที่ 7
ปกติผมก็เชื่อนะครับว่าธรรมชาติคนเราต้องมีความสมดุลถึงดีที่สุด
ดังนั้นผมก็เชื่อว่าสมองทั้งสองข้างต้องใช้ทั้งคู่อย่างสมดุลถึงประสบความสำเร็จ
แต่โดยปกติคนเรามันไม่ค่อยมีสมดุลในทุกเรื่องอยู่แล้ว
ผมก็เลยสงสัยจริงๆว่าใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน
ระหว่างคนใช้สมองซีกขวามากกว่าหรือคนใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า
แล้วก็สงสัยไปต่อว่าคนที่"ประสบความสำเร็จมากกว่า" จากการที่ใช้สมอง(ขวาหรือซ้ายก็ได้)ซักซีก
จะมีความสุขในชีวิตมากกว่าคนที่"ประสบความสำเร็จน้อยกว่า"จริงรึเปล่า
เคยมีใครถามอัจฉริยะทั้งหลายรึเปล่าว่า เค้ามีความสุขรึเปล่า
ผมขอแค่ให้ลูกผมมีความสุขในชีวิตก็พอครับ :D
ดังนั้นผมก็เชื่อว่าสมองทั้งสองข้างต้องใช้ทั้งคู่อย่างสมดุลถึงประสบความสำเร็จ
แต่โดยปกติคนเรามันไม่ค่อยมีสมดุลในทุกเรื่องอยู่แล้ว
ผมก็เลยสงสัยจริงๆว่าใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน
ระหว่างคนใช้สมองซีกขวามากกว่าหรือคนใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า
แล้วก็สงสัยไปต่อว่าคนที่"ประสบความสำเร็จมากกว่า" จากการที่ใช้สมอง(ขวาหรือซ้ายก็ได้)ซักซีก
จะมีความสุขในชีวิตมากกว่าคนที่"ประสบความสำเร็จน้อยกว่า"จริงรึเปล่า
เคยมีใครถามอัจฉริยะทั้งหลายรึเปล่าว่า เค้ามีความสุขรึเปล่า
ผมขอแค่ให้ลูกผมมีความสุขในชีวิตก็พอครับ :D
คุยได้ทุกเรื่อง หนังสือ กีฬา ฮาเฮ มีสาระ ไร้สาระ ยกเว้นเรื่องหุ้น
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
โพสต์ที่ 9
ในท็อปซีเคร็ตนี่ ค่อยเข้าท่าหน่อย :lol: ผมว่าอย่าโยงไปเกี่ยวกับการลงทุนนั้นดีแล้วนะ
ในกระทู้วรรณกรรมของพี่กูรูฯ ที่ผมว่าประทับใจ The Neverending Story ที่สุดนั้น คุณ Ende สื่อว่า
โลกแห่งจินตนาการจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดโลกแห่งความเป็นจริง
และโลกแห่งความเป็นจริงก็จะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดโลกแห่งจินตนาการ
โลกแห่งจินตนาการที่โดดเดี่ยว มันจะเป็นได้เพียง ความเท็จ
และโลกแห่งความเป็นจริงที่โดดเดี่ยวก็จะ ไร้ซึ่งชีวิต
ทั้ง 2 โลกเกื้อกูลกันและกันให้ดีขึ้น งูทั้ง 2 ตัวเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ไม่รู้จบ ใครนำใครตามไม่สำคัญ ไร้ซึ่งความเป็นจริงก็จะไม่เหลือความเป็นตัวตน ไร้ซึ่งจินตนาการก็ไม่อาจดำรงความเป็นตัวตน
จะเห็นว่าวิชาชีพที่เขายกตัวอย่างมาเช่น ศิลปิน ดารา จิตรกร นักประพันธ์ นักคิด นักทฤษฎี นักวิจัยค้นคว้า นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ วิชาชีพเหล่านี้สมควรมีการใช้สมองซีกขวาที่เด่นอยู่แล้ว แม้แต่นักธุรกิจอย่างบิล เกตส์ ซึ่งถือเป็นผู้นำองค์กรแห่งนวัตกรรม ซึ่งก็หมายความว่าแกก็ไม่ใช่นักเล่นหุ้นนั่นแหละ แต่สำหรับนายแบงก์ นายธนาคาร นักบัญชี นักประกันภัย ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ วิชาชีพเหล่านี้ถ้าสมองซีกขวาเด่นก็อาจจะเป็นเรื่องได้
ในฐานะผู้ที่ประกอบวิชาชีพที่สมควรมีการใช้สมองซีกขวาโดดเด่นและประสบความสำเร็จด้วยอย่างไอน์สไตน์ เขาจะพูดแบบนั้นก็ไม่แปลก ผู้ประสบความสำเร็จในด้านวิชาชีพสมองซีกซ้ายเด่นฟังแล้วอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้
ที่จริงส่วนตัวผมเห็นด้วยนะ ความรู้นั้นอาจเรียนทันกันหมด รู้แล้วยังไง จินตนาการต่างหากที่ไม่มีใครเหมือนเราได้และยังเป็นแรงสร้างสรรค์ผลักดันให้เราก้าวข้ามพรมแดนอาณาจักรใหม่ๆ อย่างไม่รู้จบ
ผมสันนิษฐานว่า ปู่บัฟใช้หลักการถือหุ้นได้ยาวเป็นสิบปี นั่นเพราะคุณปู่จินตนาการเห็นภาพสิบปีข้างหน้าของกิจการนั้นๆ ว่ามันยังประกอบกิจการได้ดีมีกระแสเงินสดล้นหลามยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ มันไม่เหมือนจินตนาการแบบที่ทันตแพทย์สม สุจีรา สื่อเกี่ยวกับการเล่นหุ้น
ขนาด อภิมหาอัจฉริยะ อย่างท่านเซอร์นิวตัน ยังเคยพลาดท่าในการใช้จินตนาการลมๆ แล้งๆ ที่คาดว่าหุ้น South Sea มันจะขึ้นไปอีก ถ้านิวตัน ใช้ตรรกะเหตุผลมากกว่านี้ก็คงไม่ติดดอย South Sea จนตกเป็นเหยื่อในการแซวมาจนปัจจุบันเป็นแน่แท้
ผมไม่ทราบว่าขณะที่ไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีความสนใจในการเล่นหุ้นมากน้อยแค่ไหน สมมุติว่าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ การศึกษาที่ผมว่าน่าสนใจมากก็คือให้ไอน์สไตน์ ผู้จัดการกองทุน เด็ก แล้วก็ลิง ทั้ง 4 คนนี้มาเล่นหุ้นแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะชนะ
ถามพี่ๆ ในห้องนั่งเล่นดีกว่า ใน 4 คนนี้ คิดว่าใครจะชนะครับ :8)
ในกระทู้วรรณกรรมของพี่กูรูฯ ที่ผมว่าประทับใจ The Neverending Story ที่สุดนั้น คุณ Ende สื่อว่า
โลกแห่งจินตนาการจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดโลกแห่งความเป็นจริง
และโลกแห่งความเป็นจริงก็จะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดโลกแห่งจินตนาการ
โลกแห่งจินตนาการที่โดดเดี่ยว มันจะเป็นได้เพียง ความเท็จ
และโลกแห่งความเป็นจริงที่โดดเดี่ยวก็จะ ไร้ซึ่งชีวิต
ทั้ง 2 โลกเกื้อกูลกันและกันให้ดีขึ้น งูทั้ง 2 ตัวเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ไม่รู้จบ ใครนำใครตามไม่สำคัญ ไร้ซึ่งความเป็นจริงก็จะไม่เหลือความเป็นตัวตน ไร้ซึ่งจินตนาการก็ไม่อาจดำรงความเป็นตัวตน
จะเห็นว่าวิชาชีพที่เขายกตัวอย่างมาเช่น ศิลปิน ดารา จิตรกร นักประพันธ์ นักคิด นักทฤษฎี นักวิจัยค้นคว้า นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ วิชาชีพเหล่านี้สมควรมีการใช้สมองซีกขวาที่เด่นอยู่แล้ว แม้แต่นักธุรกิจอย่างบิล เกตส์ ซึ่งถือเป็นผู้นำองค์กรแห่งนวัตกรรม ซึ่งก็หมายความว่าแกก็ไม่ใช่นักเล่นหุ้นนั่นแหละ แต่สำหรับนายแบงก์ นายธนาคาร นักบัญชี นักประกันภัย ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ วิชาชีพเหล่านี้ถ้าสมองซีกขวาเด่นก็อาจจะเป็นเรื่องได้
ในฐานะผู้ที่ประกอบวิชาชีพที่สมควรมีการใช้สมองซีกขวาโดดเด่นและประสบความสำเร็จด้วยอย่างไอน์สไตน์ เขาจะพูดแบบนั้นก็ไม่แปลก ผู้ประสบความสำเร็จในด้านวิชาชีพสมองซีกซ้ายเด่นฟังแล้วอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้
ที่จริงส่วนตัวผมเห็นด้วยนะ ความรู้นั้นอาจเรียนทันกันหมด รู้แล้วยังไง จินตนาการต่างหากที่ไม่มีใครเหมือนเราได้และยังเป็นแรงสร้างสรรค์ผลักดันให้เราก้าวข้ามพรมแดนอาณาจักรใหม่ๆ อย่างไม่รู้จบ
ผมสันนิษฐานว่า ปู่บัฟใช้หลักการถือหุ้นได้ยาวเป็นสิบปี นั่นเพราะคุณปู่จินตนาการเห็นภาพสิบปีข้างหน้าของกิจการนั้นๆ ว่ามันยังประกอบกิจการได้ดีมีกระแสเงินสดล้นหลามยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ มันไม่เหมือนจินตนาการแบบที่ทันตแพทย์สม สุจีรา สื่อเกี่ยวกับการเล่นหุ้น
ขนาด อภิมหาอัจฉริยะ อย่างท่านเซอร์นิวตัน ยังเคยพลาดท่าในการใช้จินตนาการลมๆ แล้งๆ ที่คาดว่าหุ้น South Sea มันจะขึ้นไปอีก ถ้านิวตัน ใช้ตรรกะเหตุผลมากกว่านี้ก็คงไม่ติดดอย South Sea จนตกเป็นเหยื่อในการแซวมาจนปัจจุบันเป็นแน่แท้
ผมไม่ทราบว่าขณะที่ไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีความสนใจในการเล่นหุ้นมากน้อยแค่ไหน สมมุติว่าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ การศึกษาที่ผมว่าน่าสนใจมากก็คือให้ไอน์สไตน์ ผู้จัดการกองทุน เด็ก แล้วก็ลิง ทั้ง 4 คนนี้มาเล่นหุ้นแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะชนะ
ถามพี่ๆ ในห้องนั่งเล่นดีกว่า ใน 4 คนนี้ คิดว่าใครจะชนะครับ :8)
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
สมองซีกขวา กับการเล่นหุ้น
โพสต์ที่ 10
คนที่รู้ความลับของแสง ย่อมได้เปรียบกว่าใครน้องริว เขียน: ถามพี่ๆ ในห้องนั่งเล่นดีกว่า ใน 4 คนนี้ คิดว่าใครจะชนะครับ
ชาร์ล ดาร์วิน เจ้าแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่รู้เลย
เซอร์ไอแซค ไม่รู้เรื่องนี้แถมพูดผิดๆซะเยอะเลย
บัฟเฟ่ท์ นี่อาจเป็นคนนึงที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่เคยบอกใคร
ไอสไตน์ คนนี้รู้เรื่องนี้แน่ๆ แถมจับมาคำนวณได้ซะอีก
รวมๆแล้วผมเลือกบัฟเฟ่ท์ครับ
ไม่รู้น้องริวหมายถึง4คนนี้หรือเปล่า...ฮ่า...
ผมก็ไม่รู้ความลับของแสงครับ ก็เลยดำน้ำไปเรื่อย
เอ้าเข้ากระทู้หน่อย
ซ้ายหรือขวา ใช้หรือไม่ใช้
ก็เป็นไปตามกรรมอยู่ดีนั่นแล...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า