หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 1
เพื่อนผม จบเภสัช และ คลุกคลีอยู่ในวงการแพทย์ บอกว่า ปัญหาการรักษาโรคอย่างนึง ก็คือ
แพทย์แต่ละคนเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ ทำให้หลายๆครั้ง การวินิจฉัย โรคยากๆ ไม่สามารถ มองได้รอบด้าน และ รักษาที่ต้นเหตุ และ อาการที่ต้นเหตุ (ที่อาจจะหลากหลายสาเหตุ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
เพื่อนผมว่าทางที่ดี แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ ควรปรึกษาแพทย์ เฉพาะทางหลายๆ ด้าน เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นมาตัดสินใจอีกครั้ง หรือ ทำงานกันเป็นทีมนั่นเอง
คุณหมอทั้งหลาย มีความคิดเห็นว่าอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างครับ
แพทย์แต่ละคนเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ ทำให้หลายๆครั้ง การวินิจฉัย โรคยากๆ ไม่สามารถ มองได้รอบด้าน และ รักษาที่ต้นเหตุ และ อาการที่ต้นเหตุ (ที่อาจจะหลากหลายสาเหตุ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
เพื่อนผมว่าทางที่ดี แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ ควรปรึกษาแพทย์ เฉพาะทางหลายๆ ด้าน เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นมาตัดสินใจอีกครั้ง หรือ ทำงานกันเป็นทีมนั่นเอง
คุณหมอทั้งหลาย มีความคิดเห็นว่าอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างครับ
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 3
เวลาที่เราดูคนไข้มันขึ้นกับว่า
เราดูที่โรคทางกายของเค้า
เราดูที่โรคทางใจ (ดู idea feeling function expectation)
นอกจากนั้น เราดูไปถึงคนที่อยู่รอบๆเค้า
ดู family life cycle ฯลฯ
มันไม่ผิดที่ใครจะมีมุมมองในการดูคนไข้อย่างไรครับ
มันไม่ผิดที่ต้องปรึกษาหมอคนอื่นๆด้วย
มันไม่ผิดที่จะดูแลคนไข้คนนั้นด้วยตัวเราเพียงคนเดียว
มันขึ้นอยู่กับว่า แพทย์ที่ทำการรักษารู้จักตัวเองดีแค่ไหน
ถ้า consult ทุก case (แบบเมืองนอก) หมอบ้านเราไม่พอหรอกครับ
consult โรคหัวใจทุก case จะหาหมอหัวใจจากไหนล่ะครับ
หมอดมยา ... หลายจังหวัดยังไม่มีเลยครับ
การดูแลคนไข้แต่ละคน หรือการพิจารณาว่าต้องปรึกษาแพทย์ท่านอื่นหรือไม่
คงขึ้นกับวิจารณญานของแพย์แต่ละท่าน และขึ้นกับตัวคนไข้ด้วยครับ
ไม่จำเป็นที่คนที่จบแพทย์มา จะปลูกข้าวไม่เป็น ถ้าเค้าสนใจจะปลูก
ไม่จำเป็นที่คนที่เรียนวิศวะมา จะดูแลสุขภาพของเค้า และคนในครอบครัวไม่ได้
เค้าทำได้
เพียงแค่ เค้าใส่ใจ และจะดีมากขึ้นถ้าเค้า รักในสิ่งที่เค้าทำครับ
มีความสุขกับวันพักผ่อนนะครับผม
เราดูที่โรคทางกายของเค้า
เราดูที่โรคทางใจ (ดู idea feeling function expectation)
นอกจากนั้น เราดูไปถึงคนที่อยู่รอบๆเค้า
ดู family life cycle ฯลฯ
มันไม่ผิดที่ใครจะมีมุมมองในการดูคนไข้อย่างไรครับ
มันไม่ผิดที่ต้องปรึกษาหมอคนอื่นๆด้วย
มันไม่ผิดที่จะดูแลคนไข้คนนั้นด้วยตัวเราเพียงคนเดียว
มันขึ้นอยู่กับว่า แพทย์ที่ทำการรักษารู้จักตัวเองดีแค่ไหน
ถ้า consult ทุก case (แบบเมืองนอก) หมอบ้านเราไม่พอหรอกครับ
consult โรคหัวใจทุก case จะหาหมอหัวใจจากไหนล่ะครับ
หมอดมยา ... หลายจังหวัดยังไม่มีเลยครับ
การดูแลคนไข้แต่ละคน หรือการพิจารณาว่าต้องปรึกษาแพทย์ท่านอื่นหรือไม่
คงขึ้นกับวิจารณญานของแพย์แต่ละท่าน และขึ้นกับตัวคนไข้ด้วยครับ
ไม่จำเป็นที่คนที่จบแพทย์มา จะปลูกข้าวไม่เป็น ถ้าเค้าสนใจจะปลูก
ไม่จำเป็นที่คนที่เรียนวิศวะมา จะดูแลสุขภาพของเค้า และคนในครอบครัวไม่ได้
เค้าทำได้
เพียงแค่ เค้าใส่ใจ และจะดีมากขึ้นถ้าเค้า รักในสิ่งที่เค้าทำครับ
มีความสุขกับวันพักผ่อนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 4
ไม่จริงเสมอไปครับ
การดูแลรักษาผู้ป่วย 1 รายไม่ใช่การดูแลรักษา "อวัยวะ" เป็นส่วน ๆ การใช้แพทย์เฉพาะทางในแต่ละระบบมาดูแลรักษาคนไข้โดยมองเป็นส่วน ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าผลการรักษาจะได้ออกมาดีทุกครั้ง
ปัญหาของ specialist และ superspecialist ที่พบเสมอคือการมองภาพย่อยแต่มักจะละเลยภาพรวมของผู้ป่วยว่ามีปัญหาและที่มาที่ไปอย่างไร ยิ่งผู้ป่วยที่ซับซ้อนและมีปัญหาหลายระบบ หรือเป็นโรคที่เกิดอาการความผิดปกติในหลายระบบพร้อม ๆ กัน การไล่จับปัญหาปลีกย่อยทีละอย่าง ทำให้มีโอกาสแพทย์หลงทางและหลงประเด็นง่ายขึ้นมาก
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ผมกลับพบว่ามีหมอร่วมดูน้อยหน่อยบางครั้งกลับดีกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
ความเก่งของแพทย์ที่คิดว่าวัดกันที่ความรู้ของแพทย์ในสาขาที่เชี่ยวชาญเฉพาะ อาจจะต้องหันมามองกันใหม่เหมือนกัน เพราะตัวผมเองเชื่อว่าแพทย์เก่ง ๆ จะต้องพยายามมองภาพรวมของคนไข้ให้ออกว่าปัญหาของเขาคืออะไร (ทั้งหมด) และความผิดปกติของแต่ละระบบมันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรมากกว่า
และสุดยอดของความเก่งของแพทย์เหนืออื่นใด คือการยอมรับว่าตัวเอง "รู้อะไร" และ "ไม่รู้อะไร" ไม่มีแพทย์คนไหนในโลกที่ "รู้ทุกอย่าง" ถ้าเกินกำลังความรู้ความสามารถของแพทย์ท่านนั้น แพทย์ก็ไม่รีรอที่จะขอคำปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้มากกว่าในด้านที่เป็นปัญหา
การยกแพทย์ทุกระบบมาให้คำปรึกษาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นอกจากจะไม่ได้ทำให้การรักษาดีขึ้น บางทีกลับทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ (สุภาษิต มากหมอมากความ ยังใช้ได้เสมอ)
ส่วนเรื่อง House มันเว่อครับ อย่าคิดมาก :lovl:
การดูแลรักษาผู้ป่วย 1 รายไม่ใช่การดูแลรักษา "อวัยวะ" เป็นส่วน ๆ การใช้แพทย์เฉพาะทางในแต่ละระบบมาดูแลรักษาคนไข้โดยมองเป็นส่วน ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าผลการรักษาจะได้ออกมาดีทุกครั้ง
ปัญหาของ specialist และ superspecialist ที่พบเสมอคือการมองภาพย่อยแต่มักจะละเลยภาพรวมของผู้ป่วยว่ามีปัญหาและที่มาที่ไปอย่างไร ยิ่งผู้ป่วยที่ซับซ้อนและมีปัญหาหลายระบบ หรือเป็นโรคที่เกิดอาการความผิดปกติในหลายระบบพร้อม ๆ กัน การไล่จับปัญหาปลีกย่อยทีละอย่าง ทำให้มีโอกาสแพทย์หลงทางและหลงประเด็นง่ายขึ้นมาก
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ผมกลับพบว่ามีหมอร่วมดูน้อยหน่อยบางครั้งกลับดีกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
ความเก่งของแพทย์ที่คิดว่าวัดกันที่ความรู้ของแพทย์ในสาขาที่เชี่ยวชาญเฉพาะ อาจจะต้องหันมามองกันใหม่เหมือนกัน เพราะตัวผมเองเชื่อว่าแพทย์เก่ง ๆ จะต้องพยายามมองภาพรวมของคนไข้ให้ออกว่าปัญหาของเขาคืออะไร (ทั้งหมด) และความผิดปกติของแต่ละระบบมันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรมากกว่า
และสุดยอดของความเก่งของแพทย์เหนืออื่นใด คือการยอมรับว่าตัวเอง "รู้อะไร" และ "ไม่รู้อะไร" ไม่มีแพทย์คนไหนในโลกที่ "รู้ทุกอย่าง" ถ้าเกินกำลังความรู้ความสามารถของแพทย์ท่านนั้น แพทย์ก็ไม่รีรอที่จะขอคำปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้มากกว่าในด้านที่เป็นปัญหา
การยกแพทย์ทุกระบบมาให้คำปรึกษาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นอกจากจะไม่ได้ทำให้การรักษาดีขึ้น บางทีกลับทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ (สุภาษิต มากหมอมากความ ยังใช้ได้เสมอ)
ส่วนเรื่อง House มันเว่อครับ อย่าคิดมาก :lovl:
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยกับการมองปัญหาเป็นองค์รวมครับ (holistic medicine)
แต่ไม่ได้หมายความว่า specialist ไม่มีความสำคัญ
เห็นกระทู้นี้แล้วผมนึกถึงคุณหมอเฉก ท่านได้พูดเรื่องนี้ไว้ใน pocket book เล่มเล็กๆของท่าน
แต่ไม่ได้หมายความว่า specialist ไม่มีความสำคัญ
เห็นกระทู้นี้แล้วผมนึกถึงคุณหมอเฉก ท่านได้พูดเรื่องนี้ไว้ใน pocket book เล่มเล็กๆของท่าน
อย่าคิดว่า ยาเท่านั้นที่ทำให้โรคหาย
น.พ.เฉก ธนะสิริ
เมื่อ ๔๐-๕๐ ปีมาแล้ว คนไทยป่วย และ ตายด้วย โรคติดต่อ หรือ เรียกว่า โรคติดเชื้อ ถ้า เป็นโรคร้ายๆ เช่น อหิวาต์ หรือ กาฬโรค คนจะป่วย และ ตาย เป็นพัน เป็นหมื่นคน เช่น ในกรุงเทพฯสมัยรัชกาล ที่ ๔ เอาศพคนตายในเขตเมืองออกไปเผาที่วัดสระเกศ ไม่ทัน ตรงบริเวณนั้น จึงมีชื่อเรียกจนทุกวันนี้ว่า ประตูผี โรคติดต่อ หรือ โรคติดเชื้อเหล่านี้ อาทิ เช่น วัณโรค อหิวาต์ บิด กาฬโรค ปอดอักเสบ พยาธิลำไส้ ท้องร่วง ไข้มาเลเรีย และ โปลิโอ เป็นต้น เหล่านี้ เป็นสาเหตุ ของการตายอันดับหนึ่ง หรือ อันดับต้นๆ ส่วนโรคที่เกิดจากเซลล์เสื่อม เช่น โรคหัวใจ หลอด-เลือด และ มะเร็ง เป็นอันดับหลังๆ นอกจากนั้นอัตราแม่ตาย และ อัตราเด็กต่ำกว่า ๑ ปีตายก็สูงมาก จึงทำให้ถัวเฉลี่ยอายุขัย ของประชากรไทย เมื่อ ๑๐๐ ปีมาแล้ว ต่ำมาก คือประมาณ ๓๐ กว่าปี
กาลเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี โรคติดเชื้อเกือบ ทุกชนิดมีวัคซีนป้องกันได้ และ มียาประเภทแอนติ- ไบโอติกส์ ทำให้อัตราป่วย และ ตายด้วยโรคติดเชื้อ ลดลงไปอย่างทันตาเห็น ทำให้อายุขัย ของประชากรไทยสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเล็กน้อย คือ สูงถึง ๗๐ ปี ส่วนประเทศในยุโรปตะวันตก และ สหรัฐฯ รวมทั้ง ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น นั้นก็สูงกว่าในประเทศไทยประมาณ ๑๐ ปีเศษๆ คล้ายๆ กับ เมื่อ ๑๐๐ ปีมาแล้ว
ปัจจุบันนี้ในประเทศกำลังพัฒนาอย่าง เช่น ประเทศไทย และ ประเทศที่พัฒนามากแล้ว กลับพบว่าประชากรป่วย และ ตายด้วยโรคที่ไม่ได้ มาจากเชื้อโรค เช่น โรคหัวใจ และ หลอดเลือด และ มะเร็ง เป็นอันดับหนึ่ง หรือ อันดับต้นๆ โรคเหล่านี้ เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมสภาพ ของเซลล์ จากการกินผิดๆ ใช้ชีวิตผิดๆ จากความ เครียด ความทุกข์ ชีวิตต้องต่อสู้ยากลำบากมากขึ้น ขาดการพักผ่อน ขาดความร่วมมือร่วมใจอย่างอบอุ่นจากครอบครัว โรคเหล่านี้ไม่มียารักษาอย่างเบ็ดเสร็จ เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า ยาทำจากสารเคมี ร่างกาย จิต วิญญาณ เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องการสารแปลกปลอมเลย แต่บริษัทยาต่างแข่งกันผลิตยามาให้ทดลองใช้อย่างฟุ่มเฟือย สารเคมีเหล่านี้เองที่ไปทำลายอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ไต ปอด สมอง แล้วไปเกิดอาการ หรือ โรคอีกโรคหนึ่ง หรือ มากกว่านั้น
ในร่างกาย ของเรามีหม้อกรองคล้าย รถยนต์ ที่กรองทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบนซิน และ อากาศ ถ้าได้สารเคมีมากๆ หม้อกรองในคนก็พัง เช่น ไตวาย ตับวาย สมองฝ่อ ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ประชาชน จึงต้องไปล้างไต (ถ่ายเลือด)ในที่สุด ไตก็วาย ทำให้ ตายไว นั่นคือรักษา ๑ โรค แถมให้อีก ๑ โรค บางที จึงมีผู้กล่าวว่า เป็น โรคหมอทำ
เพื่อจำง่ายๆ ว่า โรคอันเกิดจากเซลล์เสื่อมมีชื่อคำต้น เป็นภาษาอังกฤษ ๙ คำ ดังต่อไปนี้ คือ
อักษร A ๓ คำ = ๓A.C.D.D.M.O.P.
๑. Arteriosclerosis เส้นเลือดแข็งตัว ทำให้เกิดหัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือดโรคหัวใจวาย อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ
๒. Alzheimers สมองเสื่อม, ฝ่อ, ความจำเสื่อม
๓. Arthritis ข้ออักเสบ
๔. Cancer มะเร็ง
๕. Diabetes เบาหวาน
๖. Depression ซึมเศร้า (ประสาท)
๗. Menopause ประจำเดือนหมด
๘. Osteoporosis กระดูกผุ พรุน
๙. Parkinsons สมองเสื่อม
วิธีแก้ไขให้โรคหายหรึออาการดีขึ้นไม่มีทางอื่น นอกจาก
๑. ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด มีรายละเอียดปลีกย่อยแต่ละโรค แพทย์ที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจังจะบอกรายละเอียดได้
๒. การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะพอดี มี รายละเอียดมาก เช่น เดียวกัน เฉพาะแพทย์ที่เข้าใจอย่างกว้างขวาง จึงจะอธิบายได้พอเหมาะพอดี ทั้งนี้รวมถึงวิธีโยคะ ซี่กง หรือ ไทเก็ก ฯลฯ การนวดไทย หรือ จีน หรือ ญี่ปุ่น ฯลฯ คือการแพทย์แผนตะวันออกทั่วไปร่วมด้วย
๓. ใช้หลัก ของธรรมานามัย คือ อาศัยธรรมะทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลัก ของการเจริญสมาธิ ทำจิต ทำอารมณ์ หรือ พักจิตให้สงบ เป็นประจำ ถ้ารักษาศีลด้วยจะยิ่งดีมาก
๔. ลีลาการใช้ชีวิตให้สอดคล้อง กับธรรมชาติ ที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตที่ผิดพลาด หรือ ผิดธรรมชาติ
๕. ให้ความสำคัญสำหรับความร่วมมือจากทุกคนในครอบครัว อันจะ เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ช่วย เป็นกำลังใจอย่างสำคัญที่ทำให้โรคหายได้ดีกว่าการปล่อยให้ผู้ป่วยต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว และ เดียวดาย
๖. การใช้เวชภัณฑ์ประเภทวิตามิน, แร่ธาตุ และ อาหารเสริมบางชนิด จะต้องอยู่ในวินิจฉัย ของแพทย์เจ้า ของไข้อย่างรอบคอบ ให้เห็นแก่ผู้ป่วย เป็นสำคัญ
โดยสรุปจะต้องพยายามใช้หลัก ของการแพทย์แบบองค์รวม (Holistic medicine) มากกว่าใช้แผนปัจจุบัน (Conventional หรือ Specialized Medicine) ในการดูแล และ รักษาโรคกลุ่มนี้ อันเกิดจากความเสื่อมสภาพ ของเซลล์ในร่างกาย ที่เจ้าตัวปล่อยปละละเลยในการดูแลสุขภาพ ของตนเองมา เป็นเวลาช้านาน
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 6
ผมว่า ปัญหาอยู่ที่ หลายอย่างครับ
วันพุธ ที่ผ่านมา ผมตรวจคนไข้ คลีนิค ความดันโลหิตสูง
ไป 150 คน ใน 3 ชม ครับ
หมออีกคนซัดไป 120 คน ใน 3 ชม ครับ
เราไม่ได้คุยกันเลยครับ
วันพุธ ที่ผ่านมา ผมตรวจคนไข้ คลีนิค ความดันโลหิตสูง
ไป 150 คน ใน 3 ชม ครับ
หมออีกคนซัดไป 120 คน ใน 3 ชม ครับ
เราไม่ได้คุยกันเลยครับ
เป็น VI มันไม่ง่าย
VI ถือยาว ก็ลงได้
VI ขาดทุนได้
และจะเป็น VI ที่ดี ต้อง "รอ" ให้เป็น
VI ถือยาว ก็ลงได้
VI ขาดทุนได้
และจะเป็น VI ที่ดี ต้อง "รอ" ให้เป็น
-
- Verified User
- โพสต์: 234
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 7
150 คน ใน 3 ชม. ฟังแล้วระลึกถึงชีวิต intern ที่เพิ่งผ่านมาจริงๆ
ผมเคยตรวจมากสุดประมาณ 320 คนใน 1 วันครับ วันนั้นเสียงแหบแห้งไปหมด เจ็บคอไปเลย หวังไว้ว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องทำลายสถิตินี้อีก
ระบบสาธารณสุขของไทย ให้แพทย์ที่ประสบการณ์น้อยที่สุด(เพิ่งจบ ทำงานใช้ทุน) ตรวจคนไข้จำนวนมากที่สุด และตรวจคนไข้ที่ความเสี่ยงสูงที่สุด(คนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินกลางดึก) แถมซ้ำด้วยรายได้ที่ต่ำที่สุด
เพราะแพทย์ที่เก่งและมีประสบการณ์สูงกว่านั้น มีอำนาจต่อรองมากกว่าน้องใหม่
specialistsน้อยคนจะยอมตรวจคนไข้จำนวนมากมายขนาดนั้น และแทบไม่มีใครจะยอมอดหลับอดนอน เพื่อตรวจคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินตอนดึกๆ ทั้งฉุกเฉินจริงหรือฉุกเฉินปลอมก็ตาม
ผมเคยตรวจมากสุดประมาณ 320 คนใน 1 วันครับ วันนั้นเสียงแหบแห้งไปหมด เจ็บคอไปเลย หวังไว้ว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องทำลายสถิตินี้อีก
ระบบสาธารณสุขของไทย ให้แพทย์ที่ประสบการณ์น้อยที่สุด(เพิ่งจบ ทำงานใช้ทุน) ตรวจคนไข้จำนวนมากที่สุด และตรวจคนไข้ที่ความเสี่ยงสูงที่สุด(คนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินกลางดึก) แถมซ้ำด้วยรายได้ที่ต่ำที่สุด
เพราะแพทย์ที่เก่งและมีประสบการณ์สูงกว่านั้น มีอำนาจต่อรองมากกว่าน้องใหม่
specialistsน้อยคนจะยอมตรวจคนไข้จำนวนมากมายขนาดนั้น และแทบไม่มีใครจะยอมอดหลับอดนอน เพื่อตรวจคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินตอนดึกๆ ทั้งฉุกเฉินจริงหรือฉุกเฉินปลอมก็ตาม
"Many shall be restored that are now fallen and many shall fall that are now in honor."
-
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 8
ไหน ๆ บ่นแล้วขอแถม อีกนิด ล่ะครับ
นอกจากนี้ยังมีระบบค่าตอบแทนที่...แปลกกก ที่สุด
ทำงานกรุงเทพ หรือ ใกล้กรุงเทพ
ได้ค่าเวรเป็น 3 เท่าของบ้านนอก(รพ รัฐเหมือนกัน GP เหมือนกัน)
ผมยังงงอยู่ ไม่รู้ว่าคิดกันได้ไง
นอกจากนี้ยังมีระบบค่าตอบแทนที่...แปลกกก ที่สุด
ทำงานกรุงเทพ หรือ ใกล้กรุงเทพ
ได้ค่าเวรเป็น 3 เท่าของบ้านนอก(รพ รัฐเหมือนกัน GP เหมือนกัน)
ผมยังงงอยู่ ไม่รู้ว่าคิดกันได้ไง
เป็น VI มันไม่ง่าย
VI ถือยาว ก็ลงได้
VI ขาดทุนได้
และจะเป็น VI ที่ดี ต้อง "รอ" ให้เป็น
VI ถือยาว ก็ลงได้
VI ขาดทุนได้
และจะเป็น VI ที่ดี ต้อง "รอ" ให้เป็น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 9
เห็นใจครับเห็นใจอาชีพหมอมากที่สุดเลยครับ
และขอบคุณและซาบซื้งในบารมีที่อาชีพหมอได้สร้างครับ
หวังว่าชาติหน้าเราจะได้มีโอกาสสร้างบารมีด้วยการช่วยคนอื่นๆหรือหมอๆบ้างครับ..
และขอบคุณและซาบซื้งในบารมีที่อาชีพหมอได้สร้างครับ
หวังว่าชาติหน้าเราจะได้มีโอกาสสร้างบารมีด้วยการช่วยคนอื่นๆหรือหมอๆบ้างครับ..
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 10
ปัญหา คือหมอเอง และระบบการแพทย์เองก็รู้ไม่หมดครับ
ผมมีเคสเยอะ เช่นแพทย์ศิริราช คนหนึ่ง รุ่นเดียวกับ ผม เป็นโรคกระเพาะมาตลอด รักษาตัวเองมาทุกรูปแบบ ตลอดตั้งแต่ จบแพทย์
แต่อาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
และแล้ว วันหนึ่งขณะกำลังผ่าตัดคนไข้ ก็ ปวดท้องกระทันหัน ล้มฟุบ ในห้อง ผ่าตัด และต้องนำเข้าห้อง icu
สุดท้าย แกหายจากอาหารเสริมครับ
เรื่องแบบนี้ ทางการแพทย์ ก็ตอบไม่ได้ครับ
ผมเองเคยอ่านหนังสือเล่มนึง รู้สึกเรื่อง ชาติภพ ที่มีหมอฝรั่ง ที่รักษาคนไข้ด้วยการสะกดจิต และแล้ว หมอคนนี้ครับ ก็สะกดจิตคนไข้ ย้อนกลับไป ชาติก่อนหน้า
และแล้ว เมื่อคนไข้ รู้ว่า ชาติก่อนหน้า เขาเกิดมา และตายเพราะอะไร คนไข้บางคน โรคที่เป็นอยู่ หายขาดเลย
ซึ่งหมอเองก็แปลกใจครับ
สรุปได้หรือไม่ว่า เรื่องราวในโลก เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเราไม่รู้อะไร ????
ผมมีเคสเยอะ เช่นแพทย์ศิริราช คนหนึ่ง รุ่นเดียวกับ ผม เป็นโรคกระเพาะมาตลอด รักษาตัวเองมาทุกรูปแบบ ตลอดตั้งแต่ จบแพทย์
แต่อาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
และแล้ว วันหนึ่งขณะกำลังผ่าตัดคนไข้ ก็ ปวดท้องกระทันหัน ล้มฟุบ ในห้อง ผ่าตัด และต้องนำเข้าห้อง icu
สุดท้าย แกหายจากอาหารเสริมครับ
เรื่องแบบนี้ ทางการแพทย์ ก็ตอบไม่ได้ครับ
ผมเองเคยอ่านหนังสือเล่มนึง รู้สึกเรื่อง ชาติภพ ที่มีหมอฝรั่ง ที่รักษาคนไข้ด้วยการสะกดจิต และแล้ว หมอคนนี้ครับ ก็สะกดจิตคนไข้ ย้อนกลับไป ชาติก่อนหน้า
และแล้ว เมื่อคนไข้ รู้ว่า ชาติก่อนหน้า เขาเกิดมา และตายเพราะอะไร คนไข้บางคน โรคที่เป็นอยู่ หายขาดเลย
ซึ่งหมอเองก็แปลกใจครับ
สรุปได้หรือไม่ว่า เรื่องราวในโลก เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเราไม่รู้อะไร ????
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 11
แถมอีกเรื่อง ระหว่างความพยายาม กับความรู้ ที่ยังไม่รู้
สมัยก่อน การรักษาโรคกระเพาะ ก็ กินยาลดกระ ยาเคลือบกระเพาะ เพราะคิดว่า โรคกระเพาะน่าจะมาจาก ความเครียด การกินอาหารไม่เป็นเวลา การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล น่าจะซ้ำเติมให้อาการหนักขึ้น
นั่นสมัยผมเรียนนะ ตอนปี 2526-2531 ต่อมาไม่นาน หลังจากจบ ก็มาเจอว่าโรคกระเพาะน่าจะเกิดจากเชื่อโรค ซึ่งสมัยก่อนไม่มีใครคิดว่า เชื้อโรคอะไรจะอยู่ในสภาวะเป็นกรดสูงได้อย่างในกระเพาะ ซึ่ง กรดสูงมาก ขนาดย่อยเนื้อได้
เชื่อโรคที่ว่า คือ h.pyroli ชื่อคล้ายๆเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์
และเคยได้ยินมาว่า การรักษาสมัยใหม่ก็ให้ยาปฎิชีวนะ + ยาลดกรด ไม่ให้ยาเคลือบกระเพาะแล้ว
คนไข้ หายประมาณ 90 % แต่ก็เป็นอีก แล้วก็รักษาอีก ( ถ้าผิดช่วยแก้ด้วยนะ ผมแค่เคยได้ยินมาประมาณนี้ )
ประเด็นที่ผมอยากจะพูดคือ การแพทย์กำลังพัฒนา และรู้มากขึ้น มากขึ้น ระหว่างที่ความรู้ยังไม่ถึง หลายอย่างก็เลย ยังอธิบายไม่ได้ และหลายอย่างอาจจะรักษาผิด
แต่ก็ดีกว่าไม่รักษาครับ เช่นโรคกระเพาะ แต่ก่อนไม่ได้กินยาปฎิชีวนะก็จริง แต่ การกินยาลดกรด การกินยาเคลือบกระเพาะก็ดีกว่าไม่กินครับ
ผมคิดว่า เอาหลักทางพุทธมาช่วยน่าจะดีมาก คือ
ให้ปล่อยวาง หากป่วยก็หาหมอ และอย่าไปหวังว่าจะหาย หรือไม่หาย
คือ ว่า พระอาจารย์ท่านสอนว่า เวลาป่วยก็ไปหาหมอ ก็เป็นเรื่องสังขาร
จะหายก็หาย จะตายก็ตาย ไม่ว่าจะอย่างไร ก็อย่าไปทุกข์ เพราะสังขารนี้ ก็ต้องเสื่อมสลายไป
หากคิดแบบปล่อยวาง น่าจะช่วยได้ครับ เพราะหากคิดว่าจะหาสิ่งที่ดีที่สุด ตรงที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด
ความจริงคือ ยังไม่มีครับ
สมัยก่อน การรักษาโรคกระเพาะ ก็ กินยาลดกระ ยาเคลือบกระเพาะ เพราะคิดว่า โรคกระเพาะน่าจะมาจาก ความเครียด การกินอาหารไม่เป็นเวลา การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล น่าจะซ้ำเติมให้อาการหนักขึ้น
นั่นสมัยผมเรียนนะ ตอนปี 2526-2531 ต่อมาไม่นาน หลังจากจบ ก็มาเจอว่าโรคกระเพาะน่าจะเกิดจากเชื่อโรค ซึ่งสมัยก่อนไม่มีใครคิดว่า เชื้อโรคอะไรจะอยู่ในสภาวะเป็นกรดสูงได้อย่างในกระเพาะ ซึ่ง กรดสูงมาก ขนาดย่อยเนื้อได้
เชื่อโรคที่ว่า คือ h.pyroli ชื่อคล้ายๆเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์
และเคยได้ยินมาว่า การรักษาสมัยใหม่ก็ให้ยาปฎิชีวนะ + ยาลดกรด ไม่ให้ยาเคลือบกระเพาะแล้ว
คนไข้ หายประมาณ 90 % แต่ก็เป็นอีก แล้วก็รักษาอีก ( ถ้าผิดช่วยแก้ด้วยนะ ผมแค่เคยได้ยินมาประมาณนี้ )
ประเด็นที่ผมอยากจะพูดคือ การแพทย์กำลังพัฒนา และรู้มากขึ้น มากขึ้น ระหว่างที่ความรู้ยังไม่ถึง หลายอย่างก็เลย ยังอธิบายไม่ได้ และหลายอย่างอาจจะรักษาผิด
แต่ก็ดีกว่าไม่รักษาครับ เช่นโรคกระเพาะ แต่ก่อนไม่ได้กินยาปฎิชีวนะก็จริง แต่ การกินยาลดกรด การกินยาเคลือบกระเพาะก็ดีกว่าไม่กินครับ
ผมคิดว่า เอาหลักทางพุทธมาช่วยน่าจะดีมาก คือ
ให้ปล่อยวาง หากป่วยก็หาหมอ และอย่าไปหวังว่าจะหาย หรือไม่หาย
คือ ว่า พระอาจารย์ท่านสอนว่า เวลาป่วยก็ไปหาหมอ ก็เป็นเรื่องสังขาร
จะหายก็หาย จะตายก็ตาย ไม่ว่าจะอย่างไร ก็อย่าไปทุกข์ เพราะสังขารนี้ ก็ต้องเสื่อมสลายไป
หากคิดแบบปล่อยวาง น่าจะช่วยได้ครับ เพราะหากคิดว่าจะหาสิ่งที่ดีที่สุด ตรงที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด
ความจริงคือ ยังไม่มีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 12
แถมเรื่องตัวเอง
สมัยเด็กๆผมป่วยบ่อย และคุณแม่ก็รักมากครับ พาไปหมอเป็นประจำ และผมเองก็เป็นเด็กรุ่นฟันดำ คือกิน ยา เตตร้าไซคลิน
พอมาเรียนหมอ ผมก็จะมีอาการประมาณว่า ไปภาคเหนือหนาวหน่อย ก็ หน้าบวม แต่ไม่ต้องรักษาอะไรนะครับ
ไปเทียวพัทยา ก็กินอาหารทะเลไม่ได้ เพราะกินแล้วจะท้องร่วง ก็ต้องกิน ข้าวผัดหมูอย่างเดียว
จบมาก็ เริ่มปวดท้องเป็นโรคกระเพาะหรือไม่ ไม่ทราบ หาหมอก็ จ่ายยา ก็กินยาครับ ไม่ได้คิดไร คิดแต่เรื่องงาน
สักพักก็ปวดหลัง
ต่อมาก็เริ่มเป็นภูมิแพ้ ต้องกิน อาติเฟค เป็นเดือนหรือหลายเดือน
จามทีก็ กระดาษทิชชู่หมดเป็นกล่อง
อาจจะเกิดจากความเครียดมั๊ง
หน้าตา ก็มีผื่นแพ้ไขมัน ที่เรียกว่า ซีโบริกเดอมาไตตีส เขียนภาษาไทย เพราะว่า ภาษาอังกฤษลืมแล้ว
สรุปว่า โรคทั้งหมดที่เป็น หายหมดเลย จากอาหารเสริม หลายยี่ห้อมาก ตลอดระยะเวลา 10 ปี
ซึ่ง ไม่ได้หายจากยาแน่ๆ
ทุกวันนี้ก็ นิสัยม่ายดีเลย กินเบียร์เกือบทุกวันมาประมาณ 3 ปีแล้ว
และก็ยังกินอาหารเสริม แต่อาการเหล่านั้นไม่กลับมาอีกซึ่งแปลกมาก
ในช่วงหลังๆ บ้านผมไม่มีตู้ยาแล้ว ผมเองอยากเป็นหมอ อยากเรียนหมอ แต่ไม่มีปัญญาเรียนเพราะมันยาก จำไม่ได้
เวลาผมป่วยผมจะไปหาหมอทุกครั้ง ไม่เคย รักษาตัวเอง ไม่อยากเอาความรู้ที่เราเรียนแล้วเกือบตกตลอด มาใช้รักษาตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เรื่องอาหารเสริม เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาต่อไป และประสบการณ์ของผม ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวครับ
ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ เต็มๆ โพสเว็บมานาน ไม่เคยพูดโรคส่วนตัวที่หาย เพราะว่า ผมคิดว่า หมอ บุคคลากรทางการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ โรงเรียนแพทย์ และอื่น ทำได้ดีแล้ว
และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแน่นอนครับ แต่ โรคบางอย่าง ยังเข้าใจไม่หมด ก็เลยรักษาได้แต่ ทำให้ทุเลาลง โดยที่ยังไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ เพราะไม่ทราบต้นเหตุครับ
สมัยเด็กๆผมป่วยบ่อย และคุณแม่ก็รักมากครับ พาไปหมอเป็นประจำ และผมเองก็เป็นเด็กรุ่นฟันดำ คือกิน ยา เตตร้าไซคลิน
พอมาเรียนหมอ ผมก็จะมีอาการประมาณว่า ไปภาคเหนือหนาวหน่อย ก็ หน้าบวม แต่ไม่ต้องรักษาอะไรนะครับ
ไปเทียวพัทยา ก็กินอาหารทะเลไม่ได้ เพราะกินแล้วจะท้องร่วง ก็ต้องกิน ข้าวผัดหมูอย่างเดียว
จบมาก็ เริ่มปวดท้องเป็นโรคกระเพาะหรือไม่ ไม่ทราบ หาหมอก็ จ่ายยา ก็กินยาครับ ไม่ได้คิดไร คิดแต่เรื่องงาน
สักพักก็ปวดหลัง
ต่อมาก็เริ่มเป็นภูมิแพ้ ต้องกิน อาติเฟค เป็นเดือนหรือหลายเดือน
จามทีก็ กระดาษทิชชู่หมดเป็นกล่อง
อาจจะเกิดจากความเครียดมั๊ง
หน้าตา ก็มีผื่นแพ้ไขมัน ที่เรียกว่า ซีโบริกเดอมาไตตีส เขียนภาษาไทย เพราะว่า ภาษาอังกฤษลืมแล้ว
สรุปว่า โรคทั้งหมดที่เป็น หายหมดเลย จากอาหารเสริม หลายยี่ห้อมาก ตลอดระยะเวลา 10 ปี
ซึ่ง ไม่ได้หายจากยาแน่ๆ
ทุกวันนี้ก็ นิสัยม่ายดีเลย กินเบียร์เกือบทุกวันมาประมาณ 3 ปีแล้ว
และก็ยังกินอาหารเสริม แต่อาการเหล่านั้นไม่กลับมาอีกซึ่งแปลกมาก
ในช่วงหลังๆ บ้านผมไม่มีตู้ยาแล้ว ผมเองอยากเป็นหมอ อยากเรียนหมอ แต่ไม่มีปัญญาเรียนเพราะมันยาก จำไม่ได้
เวลาผมป่วยผมจะไปหาหมอทุกครั้ง ไม่เคย รักษาตัวเอง ไม่อยากเอาความรู้ที่เราเรียนแล้วเกือบตกตลอด มาใช้รักษาตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เรื่องอาหารเสริม เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาต่อไป และประสบการณ์ของผม ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวครับ
ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ เต็มๆ โพสเว็บมานาน ไม่เคยพูดโรคส่วนตัวที่หาย เพราะว่า ผมคิดว่า หมอ บุคคลากรทางการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ โรงเรียนแพทย์ และอื่น ทำได้ดีแล้ว
และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแน่นอนครับ แต่ โรคบางอย่าง ยังเข้าใจไม่หมด ก็เลยรักษาได้แต่ ทำให้ทุเลาลง โดยที่ยังไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ เพราะไม่ทราบต้นเหตุครับ
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 13
เรื่องการปรึกษากันนะครับ ผมว่าปรึกษาน่ะดีแล้ว ถ้าไม่แน่ใจ และไม่ใช่เรื่องที่เรามีใบประกาศว่าเราเชี่ยวชาญ ขนาดเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ ถ้าเรารู้ตัวว่าตัวเราหรือสถานที่ที่เราทำงานมันไม่พร้อม
อย่าเสี่ยงรักษาเองเลย พลาดทีนึง กางเกงในก็อาจจะไม่เหลือ........
ปรึกษาไปเถอะครับ ดีทั้งกับคนไข้ และดีกับตัวเรา
อย่าเสี่ยงรักษาเองเลย พลาดทีนึง กางเกงในก็อาจจะไม่เหลือ........
ปรึกษาไปเถอะครับ ดีทั้งกับคนไข้ และดีกับตัวเรา
จงทนอด และอดทน
- Pn3um0n1a
- Verified User
- โพสต์: 1935
- ผู้ติดตาม: 0
หมอ กับปัญหาการรักษาโรค
โพสต์ที่ 14
มีคนตอบให้แทนแล้ว... (ไม่อยากโฆษณาเลย 555)noooon010 เขียน:เวลาที่เราดูคนไข้มันขึ้นกับว่า
เราดูที่โรคทางกายของเค้า
เราดูที่โรคทางใจ (ดู idea feeling function expectation)
นอกจากนั้น เราดูไปถึงคนที่อยู่รอบๆเค้า
ดู family life cycle ฯลฯ
มันไม่ผิดที่ใครจะมีมุมมองในการดูคนไข้อย่างไรครับ
มันไม่ผิดที่ต้องปรึกษาหมอคนอื่นๆด้วย
มันไม่ผิดที่จะดูแลคนไข้คนนั้นด้วยตัวเราเพียงคนเดียว
มันขึ้นอยู่กับว่า แพทย์ที่ทำการรักษารู้จักตัวเองดีแค่ไหน
มีหมอน้อยคนที่จะ คุยเรื่อง holistic and humanistic medicine และ โรคทางใจ idea feeling function expectation รู้เรื่องนะเนี่ย...
ไม่ทราบว่าพี่นุ่น ศิษย์สำนักใดครับ