สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Kermit
Verified User
โพสต์: 340
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

พอดีได้อ่านบทความดีๆ อันนี้ แล้วรู้สึกว่าให้ข้อคิดที่ดีที่สามารถนำมาปรับเข้ากับการลงทุนแบบ VI ของพวกเราได้ และน่าจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกับการลงทุน เลยขออนุญาตนำมา Post ให้อ่านกันดูนะครับ
ผมละชอบประโยคนี้จริงๆ "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ
 
เรื่อง วนิษา เรซ
คัดลอกจาก Post Today

บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา "ต้อง" ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก
สิ่งของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น "หน้าที่" ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม...
ทำไมต้อง "ล้างจานเพื่อล้างจาน" กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ....สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน
ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ "เป้าหมาย" แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ "วิถี" ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม...พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ
ดังนั้น การกลับมาปรับ "วิถี" ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ...เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า "วิถีคือเป้าหมาย" พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวัน มีสุขในวิถี นั่นแหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ "เป้าหมายสำเร็จ" แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า
ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ "ขอบคุณสรรพสิ่ง" ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น
แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ "ธรรมดา" ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ
วันนี้ หนูดีขอชวนแฟนๆ คอลัมน์ลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไปแล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่ วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย...เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ
"Hope for the Best, Plan for the Worst."
MindTrick
Verified User
โพสต์: 1289
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ ท่าน ติชนัทฮันนี่  ผมอ่านเรื่องท่านแล้วก็ชอบดีนะครับ มองความสุขมีอยู่ทุกที่จริงๆ :D
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1464
ผู้ติดตาม: 1

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ชอบมากครับ ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tatandchin
Verified User
โพสต์: 775
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

:B  ง่ายๆ แค่วันละ 2 เม็ด  :lovl:  

หัวข้อ มันขัดกับข้อความนะ
สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

แต่แกบอกว่าให้ชื่นชมกับความธรรมดา <- อันนี้เห็นด้วยนะ
อ้าว ก็สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ หมดแล้ว
แล้วมันจะเหลืออะไรให้ชื่นชมล่ะ
อย่างนั้น มันก็คือชื่นชมเฉพาะสิ่งพิเศษอย่างเดิมสิ

ผมพล่ามอะไรเนี่ย!

อีกอย่าง ปาฏิหารย์ นะมันตั้งแต่เกิด เป็นมนุษย์ ลืมตามาดูโลกแล้ว
ไม่ได้รอเดินเป็นก่อนหรอก!  

ฮุ
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

Line จากหนังเรื่อง The Incredibles


แม่:    "Everyone's special, Dash,"
แดช:  "Which is another way of saying that nobody is."
กระโจมไฟ
Verified User
โพสต์: 199
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

:bow:  
ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดีๆ  :idea:  :cool:
iscssn
Verified User
โพสต์: 428
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

:idea:     :idea:     :idea:     :idea:     :idea:

:D    :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
tummeng
Verified User
โพสต์: 3665
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณครับ
lunch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ผมชอบคุณ วนิษา เรซ มากเลยครับ  :oops:
คนอะไร เก่งทุกด้าน นับถือๆ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
Kan
Verified User
โพสต์: 12
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณนะคะสำหรับบทความดีๆ
กำลังเบื่อกับสิ่งธรรนมดาที่เกิดขึ้นทุกวันอยู่พอดดี
อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
preecha_w
Verified User
โพสต์: 94
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณครับ ทำให้ผมนึกถึงตัวเอง เมื่อก่อนไม่ชอบล้างจาน
ปัจจุบัน มีความสุขครับที่ได้ล้างจาน อาจจะด้วยอายุที่มากขึ้น
เห็นอะไรมากขึ้น
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ความสุขของเราอยู่ที่จุดหมายหรือว่าทิวทัศน์ระหว่างทาง

เราลงทุนไปเพื่ออะไร

"ลงทุนเพื่อลงทุน"

คงเป็นคำตอบที่ทำให้เรามีความสุขได้โดยไม่้ต้องรอ  :roll:
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
trainn
Verified User
โพสต์: 69
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ขอบคุณสำหรับ  บทความดีๆครับ ...
ความล้มเหลว ให้การเรียนรู้ได้มากกว่า

ความสำเร็จ ...
Popmc
Verified User
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

:D  :D  :D
... No more hobbies! Remember!
ภาพประจำตัวสมาชิก
poppo
Verified User
โพสต์: 1356
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

:D  :D  :D  :D
จงทนอด และอดทน
ภาพประจำตัวสมาชิก
poppo
Verified User
โพสต์: 1356
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

มีความสุขทุกวัน ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัว


ภูมิใจที่อยู่อย่างประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย


สามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เป็นที่พึ่งของผู้อื่น และสามารถเป็นผู้ให้ได้
จงทนอด และอดทน
ภาพประจำตัวสมาชิก
ต้นแจง
Verified User
โพสต์: 90
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

บทความดีมากครับ

:lol:  :lol:
lionman
Verified User
โพสต์: 73
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 20

โพสต์

Dear K.Kermit

Thank you very much for sharing the awesome article :)
jeppe
Verified User
โพสต์: 11
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 21

โพสต์

คงต้องขอบคุณ คุณ เวลา ที่ให้ทุกๆ วันและนาที เป็นสิ่งที่มีสามารถทำให้เกิดความสุขได้
Vangogh
Verified User
โพสต์: 170
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 22

โพสต์

จริงๆ แล้วชอบประโยคนี้มาก "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
พยายามทำนะ แต่ก็ยังทำไม่ได้ซักที 55
Dare to win...
ภาพประจำตัวสมาชิก
bevyma
Verified User
โพสต์: 75
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 23

โพสต์

โอ้  :cool:    ขอบคุณมากจ้า
Algernon
Verified User
โพสต์: 8
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 24

โพสต์

Many many thanks krub.
One cannot see well except with the heart, the essential is invisible to the eyes.
nir
Verified User
โพสต์: 6
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 25

โพสต์

อืมมมม
terati20
Verified User
โพสต์: 1104
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

เเนะนำหนังสือ ปฏิหารของการตื่นเสมอ ของท่าน ติช นัท ฮัน เลยครับ

 :8)
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ เเละดับไปในที่สุด
กล้วยทอด
Verified User
โพสต์: 1468
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 27

โพสต์

อิ อิ มาแนะนำหนังสือตามเคย
ในแง่รูปธรรม ถ้าอยากให้สิ่งธรรมดาในชีวิตเรา เป็นสิ่งพิเศษ
อาจต้องใช้ตัวช่วยค่ะ อ่านเพลินๆ ดี
รูปภาพ
มีเพื่อนซื้อมาค่ะ ราคามันแพง เลยขอเค้ามาอ่านที่บ้านแทน
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
แผ่วเบา
Verified User
โพสต์: 391
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 28

โพสต์

ขอบคุณน้องกล้วยที่ดันขึ้นมา

ไม่งั้นคงเสียดายแย่

อ่านแล้วชอบมากครับ
กล้วยทอด
Verified User
โพสต์: 1468
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 29

โพสต์

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

รายงานโดย :หนูดี วนิษา เรซ:

ความล้มเหลวในการเลือกวิถีชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องเป็นตราบาปเสมอไป วันนี้หนูดีมีนิทานมาเล่าให้ฟังสองเรื่องค่ะ ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นนานพอสมควรแล้ว

และหนูดีได้ฟังครั้งแรกในห้องเรียนความสุขที่มหาวิทยาลัยเพราะเป็นกฎว่า ทุกครั้งที่เข้าห้องเรียนเราต้องผลัดเวียนกันเอาเรื่องดีๆ มาเล่าแบ่งปันกัน เรื่องนี้เพื่อนชื่อ ชิพ นำมาเล่าและให้พวกเราทายกันว่า สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร ผู้อ่านลองอ่านไปทายไปด้วยกันนะคะ และคำเฉลยอยู่ตอนท้าย มีกฎง่ายๆ ว่า อย่าแอบดูเฉลยก่อนเพราะจะไม่ตื่นเต้นค่ะ

เรื่องเล่าที่ 1

รูปภาพ
นานมาแล้ว อัลคาโปน เจ้าพ่อมาเฟียค้ายาเสพติดชื่อดังครองเมืองชิคาโกแทบจะทั้งเมือง เขามีชื่อเสียงที่แสนร้ายกาจในเรื่องการค้าขายเหล้าเถื่อน ขายยาเสพติด ขายผู้หญิงและเป็นผู้บงการการฆาตกรรมจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยถูกจับได้ ไม่เคยต้องติดคุกเลยจากความผิดที่เขาเป็นผู้ก่อ โชคดีอันมหาศาลนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับ อีซี่เอ็ดดี้ ทนายความคนเก่งของเขาที่ว่าความและใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายปกป้องอัลคาโปนจากเงื้อมมือของตำรวจและกระบวนการตุลาการได้เสมอมา ด้วยเหตุแห่งความเก่งนี้เอง ส่งผลให้อัลคาโปนตอบแทนเขาอย่างจุใจด้วยค่าจ้างที่แพงลิบลิ่วแถมด้วยสิทธิประโยชน์อีกมากมาย รวมถึงแมนชันพักอาศัยขนาดใหญ่กลางเมืองชิคาโกที่กินพื้นที่ถึงหนึ่งช่วงถนนใหญ่ๆ แม่บ้านประจำบ้านเพื่อดูแลเขาและครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมง อีซี่เอ็ดดี้ มีชีวิตที่สะดวกสบายเกินมาตรฐานของคนส่วนใหญ่ในเมือง แต่ท่ามกลางความสุขสบายนี้ เขากลับมีจุดอ่อนอยู่หนึ่งแห่ง

ลูกชายของเขานั่นเอง เด็กชายอยู่ชั้นประถมและได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะบันดาลได้ทั้งการศึกษาที่ดี รถยนต์คันใหญ่ ของเล่นมากมายและเสื้อผ้าหรูหรา สิ่งเดียวที่ อีซี่เอ็ดดี้ ไม่สามารถให้กับลูกชายได้ คือ ชื่อเสียงที่ดีและตัวอย่างที่สมควรดำเนินรอยตาม

สิ่งนี้ทรมาน อีซี่เอ็ดดี้ อยู่อย่างเจ็บปวดภายใน และหลังจากตรองด้วยความลึกซึ้งเป็นเวลานานแล้ว เขาก็ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจและถูกกันไว้เป็นพยานในเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลายเรื่องที่อัลคาโปนและแก๊งมาเฟียของเขาได้ก่อขึ้น การกลับตัวกลับใจครั้งนี้ เขาตั้งใจกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกชายได้เห็นในเรื่องของศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์ แต่ในกระบวนการนี้ เขาต้องให้การเป็นปฏิปักษ์กับอัลคาโปนและมาเฟียในแก๊งจำนวนมาก เขารู้ดีว่า การตัดสินใจครั้งนี้คือคำสั่งประหารชีวิตตัวเอง...แต่เขาไม่ต้องการทางเลือกอื่นใด...ลูกชายมีค่ากว่าชีวิตของเขาเอง

หนึ่งปีให้หลังจากการมอบตัวและให้ปากคำ อีซี่เอ็ดดี้ เสียชีวิตจากการลอบกระหน่ำยิงในถนนแห่งหนึ่งในเมืองชิคาโกในตอนที่เขาเดินกลับบ้านตามลำพัง ร่างของเขามีรอยกระสุนหลายสิบรอยและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ เขาตายแต่ทิ้งตัวอย่างอันยิ่งใหญ่ไว้ให้ลูกชาย เมื่อตำรวจมาเก็บศพเพื่อนำกลับไปทำคดีนั้น พวกเขาพบไม้กางเขนและภาพทางศาสนาในกระเป๋าเสื้อของ อีซี่เอ็ดดี้ และกลอนที่ตัดมาจากหนังสือเขียนว่า

นาฬิกาแห่งชีวิตหมุนเพียงครั้งเดียว และไม่มีมนุษย์คนไหนมีอำนาจในการที่จะบอกว่า เข็มจะหยุดเดินเมื่อใด เราจะมีเวลามากหรือน้อยเพียงใด เวลาในปัจจุบันนี้คือสิ่งเดียวที่คุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง จงใช้ชีวิต จงรัก จงทำงานด้วยการมีเป้าหมาย และอย่าเชื่อมั่นว่าเวลาจะคงอยู่ตลอดไป เพราะเข็มอาจจะหยุดเดินได้ก่อนที่คุณจะคาดคิดถึง

เรื่องเล่าที่ 2
รูปภาพ
สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างฮีโร่จำนวนมาก แต่น้อยคนจะได้รับเกียรติเท่ากับนักบินรบท่านหนึ่ง คือ บุช โอแฮร์ ซึ่งเป็นนักบินรบที่ถูกส่งไปรบยังแปซิฟิกใต้ร่วมกับทีมเรือสงครามเล็กซิงตัน ในภารกิจหนึ่งซึ่งทีมเครื่องบินรบทั้งทีมของเขาจำนวนสิบกว่าลำกำลังออกปฏิบัติการกลางอากาศ โอแฮร์สังเกตว่าถังน้ำมันของเขาไม่ได้เติมจนเต็ม ดังนั้น เขาจะไม่มีน้ำมันมากเพียงพอที่จะอยู่ร่วมจนครบภารกิจ หัวหน้าทีมนักบินรบจึงให้สัญญาณโอแฮร์กลับไปรอยังเรือรบและเติมน้ำมัน ....ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งแต่มิอาจขัดขืนคำสั่งได้ เขาจึงบินออกจากกลุ่มและหันเหเส้นทางการบินกลับสู่เรือรบ แต่ในระหว่างทางกลับนั้นเอง เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เลือดทั้งร่างกายของเขาจับตัวเย็นเฉียบ

เครื่องบินรบ ซีโร่ส์ กลุ่มใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นกำลังบินเข้าหาเรือเล็กซิงตัน และในเมื่อฝูงเครื่องบินรบอเมริกันทั้งหมดได้ออกปฏิบัติภารกิจในที่ไกลออกไปเกินกว่าจะบินกลับมาช่วยได้ทัน ก็เท่ากับว่าเรือรบอเมริกันจะกลายเป็นเป้านิ่งให้กองทัพญี่ปุ่นยิงถล่มเข่นฆ่าทหารได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจเรื่องสวัสดิภาพของตนเองแม้แต่วินาทีเดียว โอแฮร์ตัดสินใจบินเดี่ยวเข้าใส่ฝูงเครื่องบินรบญี่ปุ่น และเริ่มต้นการยิงต่อสู้ แน่นอนว่า เครื่องบินรบที่มีปืนกล 50 กระบอกของเขานั้นทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นประหลาดใจไม่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะยิงฝ่ายตรงข้ามทิ้งได้ทุกลำกระสุนของเขาก็หมดลง แต่ถึงกระนั้น โอแฮร์ก็ไม่ได้หมดกำลังใจ...แม้ไม่มีกระสุนเหลือ แต่เขาก็ตัดสินใจเอาเครื่องบินของตนเองพุ่งเข้าชนฝ่ายญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วด้วยความหวังว่าจะทำลายปีกหรือหางของเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้เกิดความเสียหายจนบินต่อไม่ได้และหล่นลงทะเลไปบ้าง

ในที่สุดฝูงบินญี่ปุ่นจึงตัดสินใจล้มเลิกภารกิจการโจมตีกลางคันและบินหนีไป ท่ามกลางความโล่งใจของโอแฮร์เขาหันเครื่องบินกลับสู่เรือรบเล็กซิงตันและรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา กล้องวิดีโอที่ติดกับปืนกลประจำเครื่องบินรบได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้และแสดงให้เห็นว่าเขาได้ยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตกไปถึง 5 ลำ เรื่องนี้ทำให้โอแฮร์ได้เป็นฮีโร่คนแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับเหรียญแสดงความกล้าหาญระดับสูงจากรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นนักบินรบจากกองทัพเรือคนแรกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญประเภทนี้ 1 ปีถัดมา บุช โอแฮร์ เสียชีวิตจากการต่อสู้ระยะประชิดทางอากาศด้วยวัยเพียง 29 ปี

ชาวเมืองชิคาโกซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาไม่ยอมให้เรื่องราวของฮีโร่คนนี้หายไปจากความทรงจำของทุกคนอย่างง่ายดายนัก ดังนั้น ชาวเมืองชิคาโกจึงตัดสินใจนำชื่อของเขามาตั้งเป็นชื่อของสนามบินนานาชาติสร้างใหม่ประจำเมืองชื่อว่า สนามบินนานาชาติ ชิคาโก โอแฮร์ และพวกเขาได้สร้างรูปปั้นของ บุช โอแฮร์ ประดับด้วยเหรียญกล้าหาญของเขาไว้ที่ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสารที่ 1 และที่ 2 ซึ่งทุกวันนี้หากคุณเดินทางไปอเมริกาและต้องเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนี้ ก็ยังสามารถแวะไปเยี่ยมชมรูปปั้นได้เสมอค่ะ

คำถาม: เรื่องเล่า 2 เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร

หลายคนอาจทายว่า ทั้ง 2 เรื่องเกิดขึ้นที่เมืองชิคาโกเหมือนๆ กัน ซึ่งหนูดีและบรรดาเพื่อนๆ ที่ฟังก็ทายเช่นนี้ แต่คำตอบที่แท้จริงก็คือ บุช โอแฮร์ เป็นลูกชายแท้ๆ ของทนาย อีซี่เอ็ดดี้

ใช่แล้วค่ะ...ความล้มเหลว ผิดพลาด ไม่ใช่ตราบาปที่เราแก้ไขไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่มุมมองของเราและการกล้าลงมือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรียนรู้จากสิ่งที่เราได้ทำพลาดไป...และมีใครทายถูกบ้างคะ

แบ่งปันให้อ่านหวังว่าคงชอบกัน
---------------
Easy Eddy & Al Capone: Leaving A Legacy

There was a man in Chicago called Easy Eddie. At that time, Al Capone virtually owned the city. Capone wasn't famous for anything heroic. His exploits were anything but praiseworthy. He was, however, notorious for enmeshing the city of Chicago in everything from bootlegged booze and prostitution to murder.

Easy Eddie was Capone's lawyer and for a good reason. He was very good! In fact, his skill at legal maneuvering kept Big Al out of jail for a long time. To show his appreciation, Capone paid him very well. Not only was the money big; Eddie got special dividends. For instance, he and his family occupied a fenced-in mansion with live-in help and all of the conveniences of the day. The estate was so large that it filled an entire Chicago city block. Yes, Eddie lived the high life of the Chicago mob and gave little consideration to the atrocity that went on around him.

Eddy did have one soft spot, however. He had a son that he loved dearly. Eddy saw to it that his young son had the best of everything; clothes, cars, and a good education. Nothing was withheld. Price was no object. And, despite his involvement with organized crime, Eddie even tried to teach him right from wrong.

Yes, Eddie tried to teach his son to rise above his own sordid life. He wanted him to be a better man than he was. Yet, with all his wealth and influence, there were two things that Eddie couldn't give his son. Two things that Eddie sacrificed to the Capone mob that he could not pass on to his beloved son: a good name and a good example.

One day, Easy Eddie reached a difficult decision. Offering his son a good name was far more important than all the riches he could lavish on him. He had to rectify all the wrong that he had done.

He would go to the authorities and tell the truth about Scar-face Al Capone. He would try to clean up his tarnished name and offer his son some semblance of integrity. To do this he must testify against The Mob, and he knew that the cost would be great. But more than anything, he wanted to be an example to his son. He wanted to do his best to make restoration and hopefully have a good name to leave his son.

So, he testified. Within the year, Easy Eddie's life ended in a blaze of gunfire on a lonely Chicago street. He had given his son the greatest gift he had to offer at the greatest price he would ever pay.

BUTCH O'HARE

World War II produced many heroes. One such man was Butch O'Hare. He was a fighter pilot assigned to an aircraft carrier in the South Pacific.

One day his entire squadron was sent on a mission. After he was airborne, he looked at his fuel gauge and realized that someone had forgotten to top off his fuel tank. He would not have enough fuel to complete his mission and get back to his ship. His flight leader told him to return to the carrier.

Reluctantly he dropped out of formation and headed back to the fleet. As he was returning to the mothership, he saw something that turned his blood cold. A squadron of Japanese Zeroes were speeding their way toward the American fleet. The American fighters were gone on a sortie and the fleet was all but defenseless. He couldn't reach his squadron and bring them back in time to save the fleet. Nor, could he warn the fleet of the approaching danger.

There was only one thing to do. He must somehow divert them from the fleet. Laying aside all thoughts of personal safety, he dove into the formation of Japanese planes. Wing-mounted 50 caliber's blazed as he charged in, attacking one surprised enemy plane and then another. Butch weaved in and out of the now broken formation and fired at as many planes as possible until finally all his ammunition was spent.

Undaunted, he continued the assault. He dove at the Zeroes, trying to at least clip off a wing or tail, in hopes of damaging as many enemy planes as possible and rendering them unfit to fly. He was desperate to do anything he could to keep them from reaching the American ships. Finally, the exasperated Japanese squadron took off in another direction.

Deeply relieved, Butch O'Hare and his tattered fighter limped back to the carrier. Upon arrival he reported in and related the event surrounding his return. The film from the camera mounted on his plane told the tale. It showed the extent of Butch's daring attempt to protect his fleet. He was recognized as a hero and given one of the nation's highest military honors.

And today, O'Hare Airport in Chicago is named in tribute to the courage of this great man.

LEAVING A LEGACY: CLOSING THOUGHTS
I know what you're thinking. What do these two stories have to do with one another?
Well, you see, Butch O'Hare was Easy Eddie's son.
Regardless of your past, you can leave a legacy that will change peoples lives.
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
ภาพประจำตัวสมาชิก
VI Wannabe
Verified User
โพสต์: 1013
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

โพสต์ที่ 30

โพสต์

Wow, this is awesome! Thanks. :D
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"

"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
โพสต์โพสต์