อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 1
ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2>
ใครได้ ใครเสียประโยชน์จากการรณรงค์เรื่อง โลกร้อน ประเด็นนี้สะท้อนถึงการใช้อิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อในการทำให้ประชาชนมืดบอดหรือไม่ และถือเป็น เครื่องมือทำมาหากิน สำหรับใครบางคนหรือไม่
ผมได้ยินเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนมานานพอสมควร และเชื่อว่าทุกคนก็คงได้ฟังและชักเกิดความห่วงใยต่อโลกในประเด็นนี้เช่นกัน แต่เมื่อนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลจากการรณรงค์เรื่องโลกร้อน <3> ผมกลับเริ่มสงสัยว่าการเคลื่อนไหวในประเด็นร้อนแรงนี้ส่งผลถึงขนาดให้ท่านได้รับรางวัลนี้เลยหรือ ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ผู้คนมักเชื่อไปในแนวทางเดียวกันโดยไม่มีโอกาสได้ฟังเหตุผลในทางตรงกันข้าม ผมจึงขอเสนอข้อมูลในอีกแง่หนึ่งบ้างเผื่อจะได้ไม่ถูกครอบงำโดยการโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลด้านเดียว
คำถามต่อ An Inconvenient Truth
ท่านที่อ่านหรือชมภาพยนต์เรื่อง An Inconvenient Truth (AIT) <4> คงรู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งว่า อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน . . . คงจะไม่เป็นการเกินเลยไปนัก หากจะเรียกขบวนการดังกล่าวว่าเป็นภารกิจกู้โลก เพราะวิกฤตการณ์เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนนั้นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างไกลเกินจินตนาการ <5> วลีที่อ้างถึงนี้สะท้อน อารมณ์ ได้ดีมาก ทำให้ผมนึกถึงภารกิจ กู้ชาติ ของกลุ่ม พันธมิตร เมื่อปี 2549 อย่างไรก็ตาม AIT มีจุดอ่อนด้านข้อมูลมากมาย <6> ซึ่งสังคมมักไม่มีโอกาสรับรู้ เช่น:
1. การมองด้านเดียว: AIT ไม่เคยมองถึงบทบาทที่จำเป็นของน้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน (Hydrocarbon) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจน ช่วยเพิ่มอายุขัยของประชากร ฯลฯ AIT ละเลยอัตราการตายที่สูงขึ้นในยามที่โลกเย็นลงในอดีตที่ผ่านมา
2. ความเข้าใจผิด: สาเหตุหลักของการตายของมนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพราะภัยธรรมชาติ คล้ายกับการตื่นกลัวไข้หวัดนกจนเกินเหตุทั้งที่โรคปอดบวมทำคนไทยตายมากมาย โดยในปี 2550 ไม่มีคนป่วยและตายด้วยไข้หวัดนกในประเทศไทยเลย แต่คนไทยป่วยด้วยโรคปอดบวมจนต้องนอนโรงพยาบาลถึง 88,841 ราย และตาย 765 รายในปี 2549 <7> นอกจากนี้ AIT ยังอ้างทำนองว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกับตน แต่ความจริงเสียงส่วนใหญ่เห็นตรงข้ามกับ AIT
3. การพูด ใส่ไข่ จับเอาปรากฏการณ์ครั้งคราวมาเป็นสรณะ: การอ้างว่าหมีขั้วโลกจมน้ำตายเพราะน้ำแข็งละลายทั้งที่เป็นเพราะพายุ การกล่าวถึงฝนตกหนักถึง 37 นิ้วในนครมุมไบในปี 2548 ทั้งที่ตลอด 45 ปี ไม่พบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเลย การโยงเรื่องโลกร้อนกับอุทกภัยในจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่ใน 1-2 ศตวรรษก่อนมีอุทกภัยที่รุนแรงยิ่งกว่านี้มากมาย การโทษว่าโลกร้อนทำให้ทะเลสาบชาด (Chad) แห้งหายไปหรือทำให้แนวปะการังเสียหายทั้งที่เป็นเพราะปัจจัยทางเฉพาะภูมิภาค ปัจจัยทางสังคมและอื่น ๆ การกล่าวว่าธารน้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์จะเลื่อนลงสู่ทะเลทั้งที่ตั้งอยู่ในแอ่งที่ไม่มีทางออก
4. การพูดผิดความจริง เช่น การอ้างว่าโลกร้อนในอดีตเป็นเพียงระยะสั้น ทั้งที่มีระยะเวลานับร้อยปีในอดีตที่เคยร้อนกว่าปัจจุบัน จนทำให้ครั้งหนึ่งชาวไวกิ้งสามารถไปตั้งถิ่นฐานในเกาะกรีนแลนด์ที่หนาวเย็นในขณะนี้ได้ การอ้างว่าโลกร้อนขึ้นมากทั้งที่เพิ่มเพียง 0.17 องศาเซลเซียสในรอบ 30 ปีล่าสุด และร้อนขึ้น 0.5 องศาเซลเซียสในรอบ 100 ปี และที่ผ่านมาก็มีลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ การอ้างว่าคลื่นร้อนยุโรปที่ทำให้คนตายมากมายเป็นผลจากโลกร้อนทั้งที่เป็นเพราะสาเหตุอื่น
ในประเทศอังกฤษ มีการฟ้องศาลให้ห้ามฉาย AIT ในโรงเรียนมัธยม ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า AIT มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดไปถึง 9 ประการ แต่ให้ฉายได้โดยต้องเพิ่มเติมข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ครูที่จัดฉายต้องชี้ให้นักเรียนเข้าใจถึงข้อผิดพลาดของ AIT ด้วย <8> นอกจากนี้ AIT ยังทำการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ตัวอย่างความผิดพลาดสำคัญ ได้แก่ การกล่าวว่าหิมะบนยอดเขาคิลิมันจาโรซึ่งสูงถึง 6 กิโลเมตร ละลายเพราะภาวะโลกร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นแย้ง สาเหตุการละลายคงเป็นเพราะแสงอาทิตย์ การใช้ที่ดินโดยรอบตลอดจนความร้อนใต้พิภพ เพราะหากแม้ผิวโลกจะร้อนขึ้น อุณหภูมิบนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี
ข้อมูลในอีกแง่มุมหนึ่ง
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 19,000 คนได้ร่วมกันลงชื่อใน The Petition Project <9> ว่าจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าการใช้ Hydrocarbon เพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาวะโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกแต่อย่างใด แม้โลกได้ร้อนขึ้นเล็กน้อย ก็ไม่ได้มีผลเสียหายร้ายแรง (อาจมีไวรัสบางชนิดเกิดขึ้น แต่ในช่วงโลกเย็นก็อาจเกิดโรคอื่น) แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในเขตอบอุ่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นผลดีต่อชีวิตสัตว์และทำให้การเพาะปลูกพืชผลได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงหนุนให้สหรัฐอเมริกาไม่ลงนามในพิธีสารเกียวโต <10> ซึ่งได้กำหนดข้อผูกพันทางกฎหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศภาคี
บทวิพากษ์ของ The Petition Project ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
1. การกลับหนาว-ร้อนของโลกมีลักษณะที่เป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีแต่ร้อนขึ้นอย่างเดียว
2. ธารน้ำแข็งละลายเร็วมานับร้อยปีแล้วก่อนที่จะมีการใช้ Hydrocarbon เสียอีกและละลายเร็วในอัตราเดียวกันมาตลอด 150 ปีแล้ว
3. อากาศที่ร้อนขึ้นเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง ภาวะเรือนกระจกอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีสาเหตุอื่นอีกมาก เช่น แสงแดด เมฆ ความชื้น การเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำในมหาสมุทร ความร้อนใต้พิภพ ฯลฯ อย่างเช่นในประเทศไทยของเรา ที่ผมสังเกตเห็นว่าภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็เป็นเพราะปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา และเอ็นโซ ตามกระแสน้ำอุ่น <11> แต่กลับมีการทึกทักเอาว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อน
4. พายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มลดลง ส่วนพายุเฮอริเคนจากมหาสมุทรแอตแลนติก ก็ไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยกเว้นอาจเห็นใหญ่เป็นพิเศษเช่นพายุ Katrina <12> ในปี 2548 เช่นเดียวกับกรณีประเทศไทย พบว่าพายุหมุนเขตร้อนมีปริมาณลดลงตลอดในช่วงปี 2494-2549 <13> การถือเอาปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิด (ซ้ำ) ขึ้นมาในระยะนี้ มาทึกทักเป็นตุเป็นตะกับภาวะโลกร้อนซึ่งอาจเป็นวัฏจักรนับพันปี จึงเป็นสิ่งที่ควรทบทวนเป็นอย่างยิ่ง
5. ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 นิ้วในรอบศตวรรษและเพิ่มมาก่อนยุคที่ใช้ Hydrocarbon และผมขอเพิ่มเติมว่า ที่อ่าวไทยพบว่าระดับน้ำทะเลกลับลดลงนับแต่ปี 2483 ที่สำรวจ <14> ส่วนที่เห็นน้ำท่วมโบสถ์วัดขุนสมุทร <15> นั้น คงเป็นเพราะการทรุดตัวของดินจากผลของการสูบน้ำบาดาลเกินขนาด การพังทลายของตลิ่งและอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาโดยตลอดมากกว่าเพราะภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด
6. ป่าไม้ในสหรัฐอเมริกาได้รับการปลูกเพิ่มขึ้น 40% ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปลูกป่าก็อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขโลกร้อนอย่างมีนัยสำคัญนัก <16> แต่ที่บ้านเรา เห่อ กันจนเป็นแฟชั่น
อย่าเป็น กระต่ายตื่นตูม
มีอยู่ภาพหนึ่งในภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นภาพทะเลสาบ Aral Sea ในคาซัคสถาน <17> ซึ่งแต่เดิมมีขนาดใหญ่มาก แต่กลับแห้งไป มีเรือจอดอยู่บนพื้นคล้ายทะเลทราย ภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ห่วงใยโลกเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นภาพแห่งการบิดเบือน เพราะการเหือดหายไปของทะเลสาบนี้ เป็นผลมาจากการสูบน้ำและเป็นที่คาดหมายมานานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนแม้แต่น้อย
ถ้าวันนี้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ระดับเดียวกับภูเขาไฟกรากะตัว ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2426 เราคงลืมเรื่องโรคร้อนเป็นแน่ และนึกว่าโลกต้องแตกแน่แล้ว เพราะ แรงระเบิดนั้นคร่าชีวิตทุกคนที่ยังอยู่บนเกาะ พื้นที่ร้อยละ 65.52 ของเกาะกลายเป็นเถ้าธุลี (รวมทั้งแก๊สมากมาย) ลอยสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร ในรัศมี 240 กิโลเมตร เถ้าธุลีบดบังแสงอาทิตย์จนมืดมิดคล้ายตอนกลางคืน . . . อยู่ห่างจากกรากะตัวถึง 4,776 กิโลเมตรก็ได้ยิน (เสียงระเบิด) . . . เกิดคลื่นสึนามิ สูงกว่า 30 เมตร เดินทางไปถล่มเกาะหลายแห่ง แรงแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตรวจจับได้แม้แต่ที่สหราชอาณาจักร รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ประมาณ 36,000 คน (อากาศยังเย็นลง 1.2 องศาทั่วโลกเป็นเวลาถึง 5 ปี) <18> ดังนั้นเราจึงไม่ควรเป็น กระต่ายตื่นตูม กับปรากฏการณ์ชั่วคราวจนเกิดปริวิตกเกินเหตุ
แล้วไง สะท้อนอะไร!
โลกร้อนขึ้นย่อมไม่มีข้อสงสัย แต่จะปักใจเชื่อว่าเกิดจาก Hydrocarbon โดยไม่ฟังข้อมูลรอบด้าน ย่อมแสดงถึงการขาดความรอบรู้และเป็นการคิดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เราควรมีมีเวทีการถกเถียงเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญา มีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่สักแต่เชื่อกันด้วยศรัทธาอย่างมืดบอดอันถือเป็นอันตรายต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความรู้ของประชาชนในระยะยาว
วิชามารในการหลอกล่อนั้นมักทำใน 3 ด้าน ได้แก่ การล่อด้วยความกลัว ถึงผลร้ายของการเกิดโลกร้อนจนเกินจริง การล่อด้วยความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของเพื่อให้คล้อยตาม และสุดท้ายที่ถือเป็น หมัดเด็ด ในการปิดปากผู้ใฝ่รู้ความจริงก็คือการป้ายสีพวกเขาว่าเป็นผู้ไม่หวังดีต่อโลก เราจึงควรมีการวินิจฉัยด้วยตนเองให้ชัดเจนตามหลักธรรมกาลมสูตร <19> ก่อนที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
นักเคลื่อนไหวทางสังคมที่อาศัยความไม่รู้ของประชาชน มาหลอกให้คนตื่นกลัวเรื่องโลกร้อน แสดงถึงการขาดจรรยาบรรณของการศึกษาวิจัยเป็นอย่างยิ่ง บุคคลเหล่านี้เห็นชาวบ้านเป็นดั่งวัวควายที่อธิบายกันดีๆ ไม่ได้ ผู้ที่กล้าพูดความจริงบางส่วนเพื่อให้ตนได้รับความเชื่อถือนับเป็นผู้ที่น่ากลัว อย่างบ้านของนายอัล กอร์เองก็ใช้ไฟฟ้ามากกว่าคนอเมริกันทั่วไปถึง 20 เท่า ใช้เงินค่าไฟฟ้าและแก๊สรวมกันปีละเกินกว่า 1 ล้านบาท <20>
ใครบ้างที่ได้ดีจากการพูดเรื่องโลกร้อน มาตรการแก้ไข เช่น แฟชั่นการปลูกป่า ถือเป็นรูปแบบการทำดีที่ นำสมัย มีระดับ ไม่ใช่พื้น ๆ แบบการบริจาคให้มูลนิธิร่วมกตัญญู ปอเต๊กตึ๊ง ฯลฯ คนทำดีพูดดีเรื่องโลกร้อนก็อาจได้รับรางวัลใหญ่น้อย เผลอ ๆ อาจสั่งสมบารมีจนได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติ อาจกล่าวได้ว่าการรณรงค์ที่ใช้เวลา 10-30 ปีที่อาจไร้ผลนั้น อย่างน้อยก็ส่งผลดีต่อผู้รณรงค์เอง เช่น ทำให้บางคนมีอาชีพเป็นนักอนุรักษ์ นักประท้วง นักแบกป้ายเพื่อ กู้โลก หาเลี้ยงชีพไปได้ชั่วชีวิต เป็นต้น
การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังอาจถือเป็นการเบี่ยงประเด็นสาระสำคัญของปัญหาในโลกนี้ อันได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บที่เผชิญอยู่ทุกวัน การกดขี่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยโอกาส สงครามและการก่อการร้าย อำนาจเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพประชาธิปไตย ตลอดจนการปล้นสดมภ์ของประเทศมหาอำนาจต่อประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น
การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังถือเป็นการบิดเบือนความจริง เช่น การส่งเสริมแฟชั่นการปลูกป่า (ซึ่งถือเป็นรูปแบบการทำดีที่นำสมัยและมีระดับ ไม่ใช่พื้น ๆ แบบการบริจาคให้มูลนิธิการกุศล) แต่เชื่อว่าปีหนึ่ง ๆ ป่าไม้ในไทยถูกทำลายไปมากกว่าป่าที่ปลูกเสียอีก และป่าที่ปลูกอย่างลูบหน้าปะจมูกนี้ก็คงตายไปมากกว่าจะงอกงามขึ้นได้ บาปของแฟชั่นการปลูกป่านี้ก็คือการช่วยบิดเบือน ปกปิดไม่ให้อาชญากรรมทำลายป่า ได้รับการตระหนักโดยสังคมส่วนรวม บางทีเราเองเงินรณรงค์เรื่องโลกร้อนไปช่วยคนทุกข์ยากยังอาจได้ประโยชน์มากกว่า
โปรดสังวรไว้ว่าบางที นักบุญ ที่พูดกับท่านถึงภาวะโลกร้อนนั้น แท้จริงอาจเป็น ซาตาน ผู้ก่ออาชญากรรมด้วยการกล้าบิดเบือนหรือพูดความจริงเพียงบางส่วนเพื่อตักตวงประโยชน์ทางการเมือง ฉกฉวยความดีหรือหาประโยชน์เฉพาะตน คนที่กล้า แหกตา พวกเราถึงขนาดนี้ น่าจะเป็นบุคคลอันตรายจริง ๆ เราควรส่งเสริมให้มีการระดมความคิด ถกเถียงค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีสติค่อย ๆ คิด และต่อต้านการงมงายอย่างมืดบอดในทุกรูปแบบ ประเทศชาติจึงจะเจริญด้วยสังคมอุดมปัญญาที่แท้จริง
ที่มา:
<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา Email: [email protected]
<2> มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiappraisal.org
<3> ข่าว 'อัล กอร์'-ไอพีซีซี โนเบลสันติภาพ ไทยรัฐ 13 ต.ค. 50 http://www.thairath.com/offline.php?sec ... tent=64404
<4> เว็บไซต์เกี่ยวกับภาพยนต์นี้ดูได้ที่ http://www.climatecrisis.net และ http://www.an-inconvenient-truth.com (แฟนคลับ)
<5> เพชร มโนปวิตร บทความ รายงานโลกใบใหญ่ / สิ่งแวดล้อม : An Inconvenient Truth กับภารกิจกู้โลก ในนิตยสารสารคดี พฤศจิกายน 2549: http://www.sarakadee.com/web/modules.ph ... &artid=633
<6> โปรดอ่านบทวิพากษ์ภาพยนต์เรื่อง An Inconvenient Truth ได้ที่ Marlo Lewis A Skeptic's Guide to An Inconvenient Truth: http://www.cei.org/pages/ait_response-book.cfm และ Mary Ellen Tiffany Gilder Diagnosing Al Gore: Truth in the Balance http://sitewave.net/news/MaryEllenGilder.htm
<7> ฝ่ายวิเคราะห์และประมวลข่าวสาร สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข 11 ตุลาคม 2550: ในปี พ.ศ. 2549 . . . ผู้ป่วยโรคปอดบวมที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลอีก 88,841 ราย/ ตาย 765 ราย ซึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นต้นเหตุ สำหรับในปี พ.ศ. 2550 จนถึงสัปดาห์ที่ 39 . . . มีรายงานผู้ป่วย. . . โรคปอดบวมที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลอีก 60,188 ราย ตาย 619 ราย . . . อย่างไรก็ตามจากการสำรวจของกรมควบคุมโรคในปี 2550 นี้ยังไม่พบผู้ป่วยจากโรคไข้หวัดนก หรือผู้เสียชีวิต ที่ http://www.moph.go.th/show_hotnew.php?idHot_new=9516
<8> โปรดอ่านข่าว Gore climate film's nine 'errors' BBC News, October 11, 2007: http://news.bbc.co.uk/1/hi/education/7037671.stm
<9> โปรดดูรายละเอียดของโครงการนี้ได้ที่ Petition Project http://www.oism.org/pproject/s33p1845.htm
<10> พิธีสารเกียวโต Kyoto ดูรายละเอียดภาค ภาษาอังกฤษฉบับเต็มได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Kyoto_Protocol หรือภาคภาษาไทยได้ที่ http://www.jgsee.kmutt.ac.th/greenhouse ... php#unfccc
<11> ปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญา โปรดศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=17
<12> ดูรายละเอียดพายุ Katrina ถล่มนครนิวออลีนส์ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Hurricane_Katrina
<13> ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ www.tmd.go.th/programs/uploads/cyclones/track-56y.pdf
<14> ข่าว อัล กอร์ มั่ว น้ำทะเลอ่าวไทยลดลงทุกปี ไทยรัฐ 17 ตุลาคม 2550 http://www.thairath.com/news.php?sectio ... tent=64807 และข่าว อย่าตระหนก โลกร้อนไม่ทำให้กรุงเทพจมบาดาล http://www.tei.or.th/hotnews/071116-glo ... anager.htm
<15> โปรดดูภาพและคำอธิบายเกี่ยวกับการกัดเซาะของทะเล (แต่ไม่ใช่เพราะน้ำทะเลเพิ่มสูงขี้นตามข้ออ้างของผู้ที่เชื่อว่าเพราะโลกร้อน) ได้ที่เว็บไซต์วัดขุนสมุทร สมุทรปราการ http://www.khunsamut.com
<16> ผลการศึกษาของ Lawrence Livermore National Laboratory เรื่อง Plant a tree and save the Earth? ที่ http://www.llnl.gov/pao/news/news_relea ... 12-02.html และเรื่อง Models show growing more forests in temperate regions could contribute to global warming ที่ http://www.llnl.gov/pao/news/news_relea ... 12-04.html
<17> อ่านรายละเอียด Aral Sea ได้ที่ http://unimaps.com/aral-sea/print.html
<18> อ่านรายละเอียดภูเขาไฟกรากะตัวได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81% ... 1%E0%B8%A7
<19> กาลามสูตร 10 คือ อย่าปลงใจเชื่อ 1.ด้วยการฟังตามกันมา 2.ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา 3.ด้วยการเล่าลือ 4.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5.ด้วยตรรก 6.ด้วยการอนุมาน 7.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน 9.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ และ 10.เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญา (ที่มาคือ http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002684.htm)
<20> ข่าว เมื่อกระแสโลกร้อนย้อนมาเล่นงานอัล กอร์ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ 7-15 มีนาคม 2550 โปรดอ่านข่าวภาษาอังกฤษที่ http://www.guardian.co.uk/international ... 69,00.html (The Guardian) และ http://www.usatoday.com/news/washington ... ouse_x.htm (USA Today)
หมายเหตุ: โปรดอ่านเพิ่มเติมในกระทู้ กระทู้รวมพล คนที่ ไม่เชื่อ ว่ามนุษย์ทำให้โลกร้อน และประจักษ์หลักฐานรวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่มีต่อกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 12617.html
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2>
ใครได้ ใครเสียประโยชน์จากการรณรงค์เรื่อง โลกร้อน ประเด็นนี้สะท้อนถึงการใช้อิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อในการทำให้ประชาชนมืดบอดหรือไม่ และถือเป็น เครื่องมือทำมาหากิน สำหรับใครบางคนหรือไม่
ผมได้ยินเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนมานานพอสมควร และเชื่อว่าทุกคนก็คงได้ฟังและชักเกิดความห่วงใยต่อโลกในประเด็นนี้เช่นกัน แต่เมื่อนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลจากการรณรงค์เรื่องโลกร้อน <3> ผมกลับเริ่มสงสัยว่าการเคลื่อนไหวในประเด็นร้อนแรงนี้ส่งผลถึงขนาดให้ท่านได้รับรางวัลนี้เลยหรือ ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ผู้คนมักเชื่อไปในแนวทางเดียวกันโดยไม่มีโอกาสได้ฟังเหตุผลในทางตรงกันข้าม ผมจึงขอเสนอข้อมูลในอีกแง่หนึ่งบ้างเผื่อจะได้ไม่ถูกครอบงำโดยการโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลด้านเดียว
คำถามต่อ An Inconvenient Truth
ท่านที่อ่านหรือชมภาพยนต์เรื่อง An Inconvenient Truth (AIT) <4> คงรู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งว่า อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน . . . คงจะไม่เป็นการเกินเลยไปนัก หากจะเรียกขบวนการดังกล่าวว่าเป็นภารกิจกู้โลก เพราะวิกฤตการณ์เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนนั้นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างไกลเกินจินตนาการ <5> วลีที่อ้างถึงนี้สะท้อน อารมณ์ ได้ดีมาก ทำให้ผมนึกถึงภารกิจ กู้ชาติ ของกลุ่ม พันธมิตร เมื่อปี 2549 อย่างไรก็ตาม AIT มีจุดอ่อนด้านข้อมูลมากมาย <6> ซึ่งสังคมมักไม่มีโอกาสรับรู้ เช่น:
1. การมองด้านเดียว: AIT ไม่เคยมองถึงบทบาทที่จำเป็นของน้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน (Hydrocarbon) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจน ช่วยเพิ่มอายุขัยของประชากร ฯลฯ AIT ละเลยอัตราการตายที่สูงขึ้นในยามที่โลกเย็นลงในอดีตที่ผ่านมา
2. ความเข้าใจผิด: สาเหตุหลักของการตายของมนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพราะภัยธรรมชาติ คล้ายกับการตื่นกลัวไข้หวัดนกจนเกินเหตุทั้งที่โรคปอดบวมทำคนไทยตายมากมาย โดยในปี 2550 ไม่มีคนป่วยและตายด้วยไข้หวัดนกในประเทศไทยเลย แต่คนไทยป่วยด้วยโรคปอดบวมจนต้องนอนโรงพยาบาลถึง 88,841 ราย และตาย 765 รายในปี 2549 <7> นอกจากนี้ AIT ยังอ้างทำนองว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกับตน แต่ความจริงเสียงส่วนใหญ่เห็นตรงข้ามกับ AIT
3. การพูด ใส่ไข่ จับเอาปรากฏการณ์ครั้งคราวมาเป็นสรณะ: การอ้างว่าหมีขั้วโลกจมน้ำตายเพราะน้ำแข็งละลายทั้งที่เป็นเพราะพายุ การกล่าวถึงฝนตกหนักถึง 37 นิ้วในนครมุมไบในปี 2548 ทั้งที่ตลอด 45 ปี ไม่พบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเลย การโยงเรื่องโลกร้อนกับอุทกภัยในจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่ใน 1-2 ศตวรรษก่อนมีอุทกภัยที่รุนแรงยิ่งกว่านี้มากมาย การโทษว่าโลกร้อนทำให้ทะเลสาบชาด (Chad) แห้งหายไปหรือทำให้แนวปะการังเสียหายทั้งที่เป็นเพราะปัจจัยทางเฉพาะภูมิภาค ปัจจัยทางสังคมและอื่น ๆ การกล่าวว่าธารน้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์จะเลื่อนลงสู่ทะเลทั้งที่ตั้งอยู่ในแอ่งที่ไม่มีทางออก
4. การพูดผิดความจริง เช่น การอ้างว่าโลกร้อนในอดีตเป็นเพียงระยะสั้น ทั้งที่มีระยะเวลานับร้อยปีในอดีตที่เคยร้อนกว่าปัจจุบัน จนทำให้ครั้งหนึ่งชาวไวกิ้งสามารถไปตั้งถิ่นฐานในเกาะกรีนแลนด์ที่หนาวเย็นในขณะนี้ได้ การอ้างว่าโลกร้อนขึ้นมากทั้งที่เพิ่มเพียง 0.17 องศาเซลเซียสในรอบ 30 ปีล่าสุด และร้อนขึ้น 0.5 องศาเซลเซียสในรอบ 100 ปี และที่ผ่านมาก็มีลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ การอ้างว่าคลื่นร้อนยุโรปที่ทำให้คนตายมากมายเป็นผลจากโลกร้อนทั้งที่เป็นเพราะสาเหตุอื่น
ในประเทศอังกฤษ มีการฟ้องศาลให้ห้ามฉาย AIT ในโรงเรียนมัธยม ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า AIT มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดไปถึง 9 ประการ แต่ให้ฉายได้โดยต้องเพิ่มเติมข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ครูที่จัดฉายต้องชี้ให้นักเรียนเข้าใจถึงข้อผิดพลาดของ AIT ด้วย <8> นอกจากนี้ AIT ยังทำการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ตัวอย่างความผิดพลาดสำคัญ ได้แก่ การกล่าวว่าหิมะบนยอดเขาคิลิมันจาโรซึ่งสูงถึง 6 กิโลเมตร ละลายเพราะภาวะโลกร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นแย้ง สาเหตุการละลายคงเป็นเพราะแสงอาทิตย์ การใช้ที่ดินโดยรอบตลอดจนความร้อนใต้พิภพ เพราะหากแม้ผิวโลกจะร้อนขึ้น อุณหภูมิบนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี
ข้อมูลในอีกแง่มุมหนึ่ง
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 19,000 คนได้ร่วมกันลงชื่อใน The Petition Project <9> ว่าจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าการใช้ Hydrocarbon เพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาวะโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกแต่อย่างใด แม้โลกได้ร้อนขึ้นเล็กน้อย ก็ไม่ได้มีผลเสียหายร้ายแรง (อาจมีไวรัสบางชนิดเกิดขึ้น แต่ในช่วงโลกเย็นก็อาจเกิดโรคอื่น) แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในเขตอบอุ่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นผลดีต่อชีวิตสัตว์และทำให้การเพาะปลูกพืชผลได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงหนุนให้สหรัฐอเมริกาไม่ลงนามในพิธีสารเกียวโต <10> ซึ่งได้กำหนดข้อผูกพันทางกฎหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศภาคี
บทวิพากษ์ของ The Petition Project ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
1. การกลับหนาว-ร้อนของโลกมีลักษณะที่เป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีแต่ร้อนขึ้นอย่างเดียว
2. ธารน้ำแข็งละลายเร็วมานับร้อยปีแล้วก่อนที่จะมีการใช้ Hydrocarbon เสียอีกและละลายเร็วในอัตราเดียวกันมาตลอด 150 ปีแล้ว
3. อากาศที่ร้อนขึ้นเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง ภาวะเรือนกระจกอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีสาเหตุอื่นอีกมาก เช่น แสงแดด เมฆ ความชื้น การเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำในมหาสมุทร ความร้อนใต้พิภพ ฯลฯ อย่างเช่นในประเทศไทยของเรา ที่ผมสังเกตเห็นว่าภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็เป็นเพราะปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา และเอ็นโซ ตามกระแสน้ำอุ่น <11> แต่กลับมีการทึกทักเอาว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อน
4. พายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มลดลง ส่วนพายุเฮอริเคนจากมหาสมุทรแอตแลนติก ก็ไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยกเว้นอาจเห็นใหญ่เป็นพิเศษเช่นพายุ Katrina <12> ในปี 2548 เช่นเดียวกับกรณีประเทศไทย พบว่าพายุหมุนเขตร้อนมีปริมาณลดลงตลอดในช่วงปี 2494-2549 <13> การถือเอาปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิด (ซ้ำ) ขึ้นมาในระยะนี้ มาทึกทักเป็นตุเป็นตะกับภาวะโลกร้อนซึ่งอาจเป็นวัฏจักรนับพันปี จึงเป็นสิ่งที่ควรทบทวนเป็นอย่างยิ่ง
5. ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 นิ้วในรอบศตวรรษและเพิ่มมาก่อนยุคที่ใช้ Hydrocarbon และผมขอเพิ่มเติมว่า ที่อ่าวไทยพบว่าระดับน้ำทะเลกลับลดลงนับแต่ปี 2483 ที่สำรวจ <14> ส่วนที่เห็นน้ำท่วมโบสถ์วัดขุนสมุทร <15> นั้น คงเป็นเพราะการทรุดตัวของดินจากผลของการสูบน้ำบาดาลเกินขนาด การพังทลายของตลิ่งและอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาโดยตลอดมากกว่าเพราะภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด
6. ป่าไม้ในสหรัฐอเมริกาได้รับการปลูกเพิ่มขึ้น 40% ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปลูกป่าก็อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขโลกร้อนอย่างมีนัยสำคัญนัก <16> แต่ที่บ้านเรา เห่อ กันจนเป็นแฟชั่น
อย่าเป็น กระต่ายตื่นตูม
มีอยู่ภาพหนึ่งในภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นภาพทะเลสาบ Aral Sea ในคาซัคสถาน <17> ซึ่งแต่เดิมมีขนาดใหญ่มาก แต่กลับแห้งไป มีเรือจอดอยู่บนพื้นคล้ายทะเลทราย ภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ห่วงใยโลกเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นภาพแห่งการบิดเบือน เพราะการเหือดหายไปของทะเลสาบนี้ เป็นผลมาจากการสูบน้ำและเป็นที่คาดหมายมานานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนแม้แต่น้อย
ถ้าวันนี้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ระดับเดียวกับภูเขาไฟกรากะตัว ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2426 เราคงลืมเรื่องโรคร้อนเป็นแน่ และนึกว่าโลกต้องแตกแน่แล้ว เพราะ แรงระเบิดนั้นคร่าชีวิตทุกคนที่ยังอยู่บนเกาะ พื้นที่ร้อยละ 65.52 ของเกาะกลายเป็นเถ้าธุลี (รวมทั้งแก๊สมากมาย) ลอยสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร ในรัศมี 240 กิโลเมตร เถ้าธุลีบดบังแสงอาทิตย์จนมืดมิดคล้ายตอนกลางคืน . . . อยู่ห่างจากกรากะตัวถึง 4,776 กิโลเมตรก็ได้ยิน (เสียงระเบิด) . . . เกิดคลื่นสึนามิ สูงกว่า 30 เมตร เดินทางไปถล่มเกาะหลายแห่ง แรงแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตรวจจับได้แม้แต่ที่สหราชอาณาจักร รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ประมาณ 36,000 คน (อากาศยังเย็นลง 1.2 องศาทั่วโลกเป็นเวลาถึง 5 ปี) <18> ดังนั้นเราจึงไม่ควรเป็น กระต่ายตื่นตูม กับปรากฏการณ์ชั่วคราวจนเกิดปริวิตกเกินเหตุ
แล้วไง สะท้อนอะไร!
โลกร้อนขึ้นย่อมไม่มีข้อสงสัย แต่จะปักใจเชื่อว่าเกิดจาก Hydrocarbon โดยไม่ฟังข้อมูลรอบด้าน ย่อมแสดงถึงการขาดความรอบรู้และเป็นการคิดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เราควรมีมีเวทีการถกเถียงเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญา มีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่สักแต่เชื่อกันด้วยศรัทธาอย่างมืดบอดอันถือเป็นอันตรายต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความรู้ของประชาชนในระยะยาว
วิชามารในการหลอกล่อนั้นมักทำใน 3 ด้าน ได้แก่ การล่อด้วยความกลัว ถึงผลร้ายของการเกิดโลกร้อนจนเกินจริง การล่อด้วยความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของเพื่อให้คล้อยตาม และสุดท้ายที่ถือเป็น หมัดเด็ด ในการปิดปากผู้ใฝ่รู้ความจริงก็คือการป้ายสีพวกเขาว่าเป็นผู้ไม่หวังดีต่อโลก เราจึงควรมีการวินิจฉัยด้วยตนเองให้ชัดเจนตามหลักธรรมกาลมสูตร <19> ก่อนที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
นักเคลื่อนไหวทางสังคมที่อาศัยความไม่รู้ของประชาชน มาหลอกให้คนตื่นกลัวเรื่องโลกร้อน แสดงถึงการขาดจรรยาบรรณของการศึกษาวิจัยเป็นอย่างยิ่ง บุคคลเหล่านี้เห็นชาวบ้านเป็นดั่งวัวควายที่อธิบายกันดีๆ ไม่ได้ ผู้ที่กล้าพูดความจริงบางส่วนเพื่อให้ตนได้รับความเชื่อถือนับเป็นผู้ที่น่ากลัว อย่างบ้านของนายอัล กอร์เองก็ใช้ไฟฟ้ามากกว่าคนอเมริกันทั่วไปถึง 20 เท่า ใช้เงินค่าไฟฟ้าและแก๊สรวมกันปีละเกินกว่า 1 ล้านบาท <20>
ใครบ้างที่ได้ดีจากการพูดเรื่องโลกร้อน มาตรการแก้ไข เช่น แฟชั่นการปลูกป่า ถือเป็นรูปแบบการทำดีที่ นำสมัย มีระดับ ไม่ใช่พื้น ๆ แบบการบริจาคให้มูลนิธิร่วมกตัญญู ปอเต๊กตึ๊ง ฯลฯ คนทำดีพูดดีเรื่องโลกร้อนก็อาจได้รับรางวัลใหญ่น้อย เผลอ ๆ อาจสั่งสมบารมีจนได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติ อาจกล่าวได้ว่าการรณรงค์ที่ใช้เวลา 10-30 ปีที่อาจไร้ผลนั้น อย่างน้อยก็ส่งผลดีต่อผู้รณรงค์เอง เช่น ทำให้บางคนมีอาชีพเป็นนักอนุรักษ์ นักประท้วง นักแบกป้ายเพื่อ กู้โลก หาเลี้ยงชีพไปได้ชั่วชีวิต เป็นต้น
การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังอาจถือเป็นการเบี่ยงประเด็นสาระสำคัญของปัญหาในโลกนี้ อันได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บที่เผชิญอยู่ทุกวัน การกดขี่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยโอกาส สงครามและการก่อการร้าย อำนาจเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพประชาธิปไตย ตลอดจนการปล้นสดมภ์ของประเทศมหาอำนาจต่อประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น
การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังถือเป็นการบิดเบือนความจริง เช่น การส่งเสริมแฟชั่นการปลูกป่า (ซึ่งถือเป็นรูปแบบการทำดีที่นำสมัยและมีระดับ ไม่ใช่พื้น ๆ แบบการบริจาคให้มูลนิธิการกุศล) แต่เชื่อว่าปีหนึ่ง ๆ ป่าไม้ในไทยถูกทำลายไปมากกว่าป่าที่ปลูกเสียอีก และป่าที่ปลูกอย่างลูบหน้าปะจมูกนี้ก็คงตายไปมากกว่าจะงอกงามขึ้นได้ บาปของแฟชั่นการปลูกป่านี้ก็คือการช่วยบิดเบือน ปกปิดไม่ให้อาชญากรรมทำลายป่า ได้รับการตระหนักโดยสังคมส่วนรวม บางทีเราเองเงินรณรงค์เรื่องโลกร้อนไปช่วยคนทุกข์ยากยังอาจได้ประโยชน์มากกว่า
โปรดสังวรไว้ว่าบางที นักบุญ ที่พูดกับท่านถึงภาวะโลกร้อนนั้น แท้จริงอาจเป็น ซาตาน ผู้ก่ออาชญากรรมด้วยการกล้าบิดเบือนหรือพูดความจริงเพียงบางส่วนเพื่อตักตวงประโยชน์ทางการเมือง ฉกฉวยความดีหรือหาประโยชน์เฉพาะตน คนที่กล้า แหกตา พวกเราถึงขนาดนี้ น่าจะเป็นบุคคลอันตรายจริง ๆ เราควรส่งเสริมให้มีการระดมความคิด ถกเถียงค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีสติค่อย ๆ คิด และต่อต้านการงมงายอย่างมืดบอดในทุกรูปแบบ ประเทศชาติจึงจะเจริญด้วยสังคมอุดมปัญญาที่แท้จริง
ที่มา:
<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา Email: [email protected]
<2> มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiappraisal.org
<3> ข่าว 'อัล กอร์'-ไอพีซีซี โนเบลสันติภาพ ไทยรัฐ 13 ต.ค. 50 http://www.thairath.com/offline.php?sec ... tent=64404
<4> เว็บไซต์เกี่ยวกับภาพยนต์นี้ดูได้ที่ http://www.climatecrisis.net และ http://www.an-inconvenient-truth.com (แฟนคลับ)
<5> เพชร มโนปวิตร บทความ รายงานโลกใบใหญ่ / สิ่งแวดล้อม : An Inconvenient Truth กับภารกิจกู้โลก ในนิตยสารสารคดี พฤศจิกายน 2549: http://www.sarakadee.com/web/modules.ph ... &artid=633
<6> โปรดอ่านบทวิพากษ์ภาพยนต์เรื่อง An Inconvenient Truth ได้ที่ Marlo Lewis A Skeptic's Guide to An Inconvenient Truth: http://www.cei.org/pages/ait_response-book.cfm และ Mary Ellen Tiffany Gilder Diagnosing Al Gore: Truth in the Balance http://sitewave.net/news/MaryEllenGilder.htm
<7> ฝ่ายวิเคราะห์และประมวลข่าวสาร สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข 11 ตุลาคม 2550: ในปี พ.ศ. 2549 . . . ผู้ป่วยโรคปอดบวมที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลอีก 88,841 ราย/ ตาย 765 ราย ซึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นต้นเหตุ สำหรับในปี พ.ศ. 2550 จนถึงสัปดาห์ที่ 39 . . . มีรายงานผู้ป่วย. . . โรคปอดบวมที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลอีก 60,188 ราย ตาย 619 ราย . . . อย่างไรก็ตามจากการสำรวจของกรมควบคุมโรคในปี 2550 นี้ยังไม่พบผู้ป่วยจากโรคไข้หวัดนก หรือผู้เสียชีวิต ที่ http://www.moph.go.th/show_hotnew.php?idHot_new=9516
<8> โปรดอ่านข่าว Gore climate film's nine 'errors' BBC News, October 11, 2007: http://news.bbc.co.uk/1/hi/education/7037671.stm
<9> โปรดดูรายละเอียดของโครงการนี้ได้ที่ Petition Project http://www.oism.org/pproject/s33p1845.htm
<10> พิธีสารเกียวโต Kyoto ดูรายละเอียดภาค ภาษาอังกฤษฉบับเต็มได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Kyoto_Protocol หรือภาคภาษาไทยได้ที่ http://www.jgsee.kmutt.ac.th/greenhouse ... php#unfccc
<11> ปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญา โปรดศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=17
<12> ดูรายละเอียดพายุ Katrina ถล่มนครนิวออลีนส์ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Hurricane_Katrina
<13> ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ www.tmd.go.th/programs/uploads/cyclones/track-56y.pdf
<14> ข่าว อัล กอร์ มั่ว น้ำทะเลอ่าวไทยลดลงทุกปี ไทยรัฐ 17 ตุลาคม 2550 http://www.thairath.com/news.php?sectio ... tent=64807 และข่าว อย่าตระหนก โลกร้อนไม่ทำให้กรุงเทพจมบาดาล http://www.tei.or.th/hotnews/071116-glo ... anager.htm
<15> โปรดดูภาพและคำอธิบายเกี่ยวกับการกัดเซาะของทะเล (แต่ไม่ใช่เพราะน้ำทะเลเพิ่มสูงขี้นตามข้ออ้างของผู้ที่เชื่อว่าเพราะโลกร้อน) ได้ที่เว็บไซต์วัดขุนสมุทร สมุทรปราการ http://www.khunsamut.com
<16> ผลการศึกษาของ Lawrence Livermore National Laboratory เรื่อง Plant a tree and save the Earth? ที่ http://www.llnl.gov/pao/news/news_relea ... 12-02.html และเรื่อง Models show growing more forests in temperate regions could contribute to global warming ที่ http://www.llnl.gov/pao/news/news_relea ... 12-04.html
<17> อ่านรายละเอียด Aral Sea ได้ที่ http://unimaps.com/aral-sea/print.html
<18> อ่านรายละเอียดภูเขาไฟกรากะตัวได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81% ... 1%E0%B8%A7
<19> กาลามสูตร 10 คือ อย่าปลงใจเชื่อ 1.ด้วยการฟังตามกันมา 2.ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา 3.ด้วยการเล่าลือ 4.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5.ด้วยตรรก 6.ด้วยการอนุมาน 7.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน 9.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ และ 10.เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญา (ที่มาคือ http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002684.htm)
<20> ข่าว เมื่อกระแสโลกร้อนย้อนมาเล่นงานอัล กอร์ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ 7-15 มีนาคม 2550 โปรดอ่านข่าวภาษาอังกฤษที่ http://www.guardian.co.uk/international ... 69,00.html (The Guardian) และ http://www.usatoday.com/news/washington ... ouse_x.htm (USA Today)
หมายเหตุ: โปรดอ่านเพิ่มเติมในกระทู้ กระทู้รวมพล คนที่ ไม่เชื่อ ว่ามนุษย์ทำให้โลกร้อน และประจักษ์หลักฐานรวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่มีต่อกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 12617.html
-
- Verified User
- โพสต์: 1289
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 3
ของมันมีมูลครับ นั่งอ่านๆไป เยอะเข้า ๆจะรู้ว่า ผลประโยชน์หนุนทั้งสองฟากนั่นแหละครับ
ฝ่ายนึงก็พลังงานใช้กันเป็นหลักๆปัจจุบัน
อีกฝ่ายก็พลังงานอนาคตหรือของที่เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน
สิ่งที่ผมได้ก็คือ วิถีทางของฝ่ายป้องกัน ดูยังไงก็มีประโยชน์แน่นอน ส่วนอีกฝั่งที่มาเบรก แค่ไม่ให้เราตื่นเกินไป
ฝ่ายนึงก็พลังงานใช้กันเป็นหลักๆปัจจุบัน
อีกฝ่ายก็พลังงานอนาคตหรือของที่เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน
สิ่งที่ผมได้ก็คือ วิถีทางของฝ่ายป้องกัน ดูยังไงก็มีประโยชน์แน่นอน ส่วนอีกฝั่งที่มาเบรก แค่ไม่ให้เราตื่นเกินไป
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 4
ผมก็ยังไม่เชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่ชอบครับ
ที่ดร.โสภณ พรโชคชัย มีแนวคิดแบบนี้
แบบนี้คือ ไม่ตามกระแส
กาลามสูตรยังคงใช้ได้ดีสำหรับเรื่องแบบนี้
แบบนี้เรียกว่า ทฤษฎีค้นหาความเท็จ
เจ้าของคือ คาร์ล ป็อบเปอร์
ทฤษฎีนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้วิทยาการต่างๆก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ทฤษฎีนี้ตามความเห็นผมแล้ว
ผมว่าเหมาะสำหรับวีไอเป็นอย่างยิ่ง
แต่ชอบครับ
ที่ดร.โสภณ พรโชคชัย มีแนวคิดแบบนี้
แบบนี้คือ ไม่ตามกระแส
กาลามสูตรยังคงใช้ได้ดีสำหรับเรื่องแบบนี้
แบบนี้เรียกว่า ทฤษฎีค้นหาความเท็จ
เจ้าของคือ คาร์ล ป็อบเปอร์
ทฤษฎีนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้วิทยาการต่างๆก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ทฤษฎีนี้ตามความเห็นผมแล้ว
ผมว่าเหมาะสำหรับวีไอเป็นอย่างยิ่ง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 5
นึกถึงเรื่องปลูกป่าที่หน่วยงานผมเลยครับ
สักแต่ว่าปลูก รับโควต้ามาว่าต้องปลูกกี่ต้น หาที่ปลูกก็ยาก เพราะไม่ค่อยมีที่ว่างแล้ว ครั้งแรกก็เอากันง่ายเลย ปลูกในป่า ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นละ แสงแดดก็ไม่มี แล้วจะไปโตได้อย่างไร
ครั้งที่สอง รับโควต้ามาอีกแล้ว มีทีว่างตรงไหนก็ขุดและปลูกทันที ไม่ว่าจะเป็นสนามที่สวยงาม ริมถนน หรือเช่นเคยใต้ต้นไม้ใหญ่
ไม่รู้ว่าเป็นแฟชั่นหรือเปล่า แต่ผมบอกภรรยาว่านี่เป็นการ ผลาญเงินแผ่นดิน
สักแต่ว่าปลูก รับโควต้ามาว่าต้องปลูกกี่ต้น หาที่ปลูกก็ยาก เพราะไม่ค่อยมีที่ว่างแล้ว ครั้งแรกก็เอากันง่ายเลย ปลูกในป่า ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นละ แสงแดดก็ไม่มี แล้วจะไปโตได้อย่างไร
ครั้งที่สอง รับโควต้ามาอีกแล้ว มีทีว่างตรงไหนก็ขุดและปลูกทันที ไม่ว่าจะเป็นสนามที่สวยงาม ริมถนน หรือเช่นเคยใต้ต้นไม้ใหญ่
ไม่รู้ว่าเป็นแฟชั่นหรือเปล่า แต่ผมบอกภรรยาว่านี่เป็นการ ผลาญเงินแผ่นดิน
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 6
เห็นด้วยกับพี่ลูกอิสานครับ
เราใช้เงินมหาศาลจริงๆกับเรื่องนี้
และส่งผลกระทบระยะยาวอีกมากมายเพียงใด
ถ้ากลายเป็นเรื่องทำนองเดียวกับ y2k
คงพูดไม่ออกเลยครับ
จำนวนเงินมหาศาลขนาดนี้
ถ้าเจียดมาสัก 1/10,000
ผมว่าจะได้เงินก้อนมหึมา
เอาไปพิสูจน์กันซักก่อนว่าโลกร้อนจริงไหม
เป็นผลจาก co2 จริงไหม
เอาให้ได้คำตอบชัดๆแจ่มแจ้งแดงแจ๋ก่อนไม่ดีหรือ
เราใช้เงินมหาศาลจริงๆกับเรื่องนี้
และส่งผลกระทบระยะยาวอีกมากมายเพียงใด
ถ้ากลายเป็นเรื่องทำนองเดียวกับ y2k
คงพูดไม่ออกเลยครับ
จำนวนเงินมหาศาลขนาดนี้
ถ้าเจียดมาสัก 1/10,000
ผมว่าจะได้เงินก้อนมหึมา
เอาไปพิสูจน์กันซักก่อนว่าโลกร้อนจริงไหม
เป็นผลจาก co2 จริงไหม
เอาให้ได้คำตอบชัดๆแจ่มแจ้งแดงแจ๋ก่อนไม่ดีหรือ
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 7
แต่ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ
การที่เรารณรงค์ประหยัดน้ำมัน ผลที่ได้ไม่ได้มีเพียงลด co2 แต่ยังลดการนำเข้าน้ำมัน
การที่เราช่วยกันปลูกป่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าจะผิดก็ตรงที่วิธีการที่เรานำไปใช้ต่างหาก
การที่เรารณรงค์ประหยัดน้ำมัน ผลที่ได้ไม่ได้มีเพียงลด co2 แต่ยังลดการนำเข้าน้ำมัน
การที่เราช่วยกันปลูกป่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าจะผิดก็ตรงที่วิธีการที่เรานำไปใช้ต่างหาก
สติมา ปัญญาเกิด
-
- Verified User
- โพสต์: 1817
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยครับsattaya เขียน:แต่ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ
การที่เรารณรงค์ประหยัดน้ำมัน ผลที่ได้ไม่ได้มีเพียงลด co2 แต่ยังลดการนำเข้าน้ำมัน
การที่เราช่วยกันปลูกป่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าจะผิดก็ตรงที่วิธีการที่เรานำไปใช้ต่างหาก
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 9
พี่หนูหื่นว่าไง ผมว่าตามครับ... เขียน: เห็นด้วยครับ
พลาดท่า ... ไปแล้วนี่นา :oops:
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 10
ที่ร้อน คือส่วนนึงมาจากโอโซนถูกทำลายคับซึ่งถือว่ากระทบน้อยมาก ที่ร้อนจัดๆมาจากก๊าซ ซีโอทู คับมันทำหน้าที่เสมือนกระจกห่อหุ้มโลกไว้ครับ เหตุที่แสงผ่านกระจกแล้วให้อุณหภูมิ สูงขึ้น เพราะแสงเมื่อผ่านกระจกจะถูกกระจกเปลี่ยนความยาวคลื่นคับ กลายเป็นคลื่นความร้อนและไม่สามารถสะท้อนพื้นโลกกลับออกไปได้ครับ คือมันกลับขึ้นไปชนกระจกมันก็เด้งไปเด้งมาบนพื้นโลกของเราเต็มๆคับ ทำให้โลกร้อน สรุป ก๊าซ ซีโอทู ทำหน้าที่เป็นกระบนชั้นบรรยากาศ จึงทำให้คลื่นแสงธรรมดา(ร้อนนิดๆไม่มากมาย)กลายเป็นคลื่นที่ให้พลังงานความร้อนคับ แล้วยังทำให้คลื่นความร้อนนี้ไม่สามารถสะท้อนออกไปนอกชั้นบรรยากาศของโลกได้ คือ เด้งไปเด้งมาบนพื้นโลกครับ และสาเหตุหลักที่ทำให้มีก๊าซ ซีโอทู คงไม่ต้อง บอกกันคงรู้ๆกันดีแล้วว่ามาจากการเผาไหม้
(น้ำมันนะตัวดี) มีการนำประโยชน์จากกระจกไปใช้ในเรื่องเทคโนโลยีท่อความร้อนอย่างแพร่หลายครับ (พวกพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ใช่โซล่าเซลล์ ไม่ใช่จานพาลาโบล่าโค้งรวมแสง) มันร้อนขึ้นมากจริงๆนะครับถ้ามีกระจกสักอันมาวางให้แสงผ่าน สามารถทำให้ท่อส่วน evap(ส่วนทำระเหยสารทำงาน ) พังได้เลยนะครับ ยังไงๆก๊าซ ซีโอทู ก็เป็นเหมือนฟิล์มกระจกที่ติดบนชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกร้อนได้มากจริงๆ แล้วมันก็มาจากการใช้นำมันจริงๆครับ แต่อีก30-40 ปีข้างหน้าน้ำมันก้อจะเกือบหมดโลกแล้ว(จาการสำรวจ เค้าคงลืมมาสำรวจที่ไทยนะคับ ตอนนี้ เพชรบูรณ์ มีบ่อน้ำมันผลิตน้ำมันได้ มากอยู่นะครับ) พอไม่มีแหล่งพลังงานน้ำมันมาเผาไหม้ ปล่อยก๊าซพวกนี้ ปรากฏการเรือนกระจกคงหมดไปโลกก็เย็นลงเองแหละคับ เหอะๆ อีก 30-40 ปี โลกจ๋าสู้ๆ
(น้ำมันนะตัวดี) มีการนำประโยชน์จากกระจกไปใช้ในเรื่องเทคโนโลยีท่อความร้อนอย่างแพร่หลายครับ (พวกพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ใช่โซล่าเซลล์ ไม่ใช่จานพาลาโบล่าโค้งรวมแสง) มันร้อนขึ้นมากจริงๆนะครับถ้ามีกระจกสักอันมาวางให้แสงผ่าน สามารถทำให้ท่อส่วน evap(ส่วนทำระเหยสารทำงาน ) พังได้เลยนะครับ ยังไงๆก๊าซ ซีโอทู ก็เป็นเหมือนฟิล์มกระจกที่ติดบนชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกร้อนได้มากจริงๆ แล้วมันก็มาจากการใช้นำมันจริงๆครับ แต่อีก30-40 ปีข้างหน้าน้ำมันก้อจะเกือบหมดโลกแล้ว(จาการสำรวจ เค้าคงลืมมาสำรวจที่ไทยนะคับ ตอนนี้ เพชรบูรณ์ มีบ่อน้ำมันผลิตน้ำมันได้ มากอยู่นะครับ) พอไม่มีแหล่งพลังงานน้ำมันมาเผาไหม้ ปล่อยก๊าซพวกนี้ ปรากฏการเรือนกระจกคงหมดไปโลกก็เย็นลงเองแหละคับ เหอะๆ อีก 30-40 ปี โลกจ๋าสู้ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 12
เรื่องวิชามารคล้ายๆ กันนี้ ตอนนี้ก็เป็นกระแสฮิตกันอยู่ในบ้านเราครับlaku เขียน:วิชามารในการหลอกล่อนั้นมักทำใน 3 ด้าน ได้แก่ การล่อด้วยความกลัว ถึงผลร้ายของการเกิดโลกร้อนจนเกินจริง การล่อด้วยความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของเพื่อให้คล้อยตาม และสุดท้ายที่ถือเป็น หมัดเด็ด ในการปิดปากผู้ใฝ่รู้ความจริงก็คือการป้ายสีพวกเขาว่าเป็นผู้ไม่หวังดีต่อโลก เราจึงควรมีการวินิจฉัยด้วยตนเองให้ชัดเจนตามหลักธรรมกาลมสูตร <19> ก่อนที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
นักเคลื่อนไหวทางสังคมที่อาศัยความไม่รู้ของประชาชน มาหลอกให้คนตื่นกลัวเรื่องโลกร้อน แสดงถึงการขาดจรรยาบรรณของการศึกษาวิจัยเป็นอย่างยิ่ง บุคคลเหล่านี้เห็นชาวบ้านเป็นดั่งวัวควายที่อธิบายกันดีๆ ไม่ได้ ผู้ที่กล้าพูดความจริงบางส่วนเพื่อให้ตนได้รับความเชื่อถือนับเป็นผู้ที่น่ากลัว
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 15
อ่า ต้องยอมรับว่าผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย -*-
เป็นอีกแง่มุมที่น่าสนใจมากครับ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าบางที สหรัฐ รณรงค์เรื่องโลกร้อน
แต่ประเทศตัวเองกลับปล่อยก็าซพิษมากกว่าประเทศอื่นๆ
ึซึ่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสิ่งที่ สหรัฐ รณรงค์นั้นอาจจะ
ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงเท่าที่คิด
:? :?
ขอบคุงสำหรับการแบ่งปันครับ
เป็นอีกแง่มุมที่น่าสนใจมากครับ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าบางที สหรัฐ รณรงค์เรื่องโลกร้อน
แต่ประเทศตัวเองกลับปล่อยก็าซพิษมากกว่าประเทศอื่นๆ
ึซึ่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสิ่งที่ สหรัฐ รณรงค์นั้นอาจจะ
ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงเท่าที่คิด
:? :?
ขอบคุงสำหรับการแบ่งปันครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าเพิ่งเชื่อเรื่อง โลกร้อน
โพสต์ที่ 16
CO2 ตัวการสำคัญยุติยุคน้ำแข็ง
จากการศึกษาครั้งใหม่ของนักวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่า คาร์บอนไดออกไซด์คือตัวการหลักที่ทำให้ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดนั้นสิ้นสุดลง จากการเก็บข้อมูลของแกนน้ำแข็งทั่วโลก
เมื่อ 10,000 - 20,000 ปีก่อนนั้น โลกเพิ่งจะพ้นจากยุคน้ำแข็ง ที่น้ำแข็งเริ่มแตกหักและอุณหภูมิโลกเริ่มอุ่นขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้โลกออกจากยุคน้ำแข็งนั้น ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด จนกระทั่งล่าสุด ก็มีหลักฐานจากแกนน้ำแข็งที่ตัดมาจากทวีปแอนตาร์ติกาที่มีฟองอากาศอยู่ภายใน ซึ่งฟองอากาศนี้เองเป็นเหมือนแคปซูลเวลาที่ทำให้เราทราบถึงสภาพภูมิอากาศในครั้งอดีตกาลได้
หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์เคยติดตามระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ก็พบว่า ปริมาณความเข้มข้นของคาร์บอนจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไปแล้ว แต่อะไรเกิดขึ้นก่อนหลังนั้นก็ยังมีคนสงสัยอยู่ และจากผลการศึกษาระบุว่า ข้อมูลจากแอนตาร์กติกานั้นไม่ได้สอดคล้องกับหลักการที่ว่าเลย
การศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาแกนน้ำแข็ง 80 แกน และตัวอย่างเศษน้ำแข็งจากกรีนแลนด์ ก้นทะเลสาบ และท้องทะเลจากทุกทวีป ซึ่งข้อมูลที่ได้มาได้บอกนักวิทยาศาสตร์ว่า เมื่อความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้น้ำแข็งเริ่มละลายโดยตรง แต่มันก็เป็น"ต้นเหตุ"ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในช่วงเวลาดังกล่าว จนน้ำแข็งเริ่มละลาย
"เมื่อใช้ข้อมูลนี้กับอุณหภูมิทั่วโลก เราก็ได้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นกับการยุติของยุคน้ำแข็ง" ดร.เฌเรมี่ ชาคุน แห่งมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐอเมริกากล่าว "การเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลต่ออุณหภูมิทั่วโลก ซึ่งคุณก็น่าจะคาดได้ว่า คาร์บอนไดออกไซด์นี่แหละที่เป็นสาเหตุทำให้โลกอุ่นขึ้น" การศึกษาครั้งนี้ถือว่าหักล้างกับความเชื่อเดิมของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า เหตุที่ยุคน้ำแข็งสิ้นสุดเพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงวงโคจร จนโลกมาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ทำให้โลกอุ่นขึ้น
"จากการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า คาร์บอนไดออกไซด์เป็นปัจจัยที่สำคัญมากกว่าและก็เป็นปัจจัยจริงๆที่ทำให้โลกอุ่นขึ้นในช่วงที่น้ำแข็งเริ่มละลายทั่วโลกครั้งล่าสุด ส่วนการเปลี่ยนแปลงการโคจรของโลกนั้นก็อาจจะช่วยเร่ง เป็นตัวช่วยเสริม แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ" ดร.ชาคุนและทีมงานได้ตั้งทฤษฎีว่า การเปลี่ยนแปลงวงโคจรนี้น่าจะทำให้แสงแดดมาตกที่ซีกโลกเหนือมากขึ้นในช่วง 21,500 - 19,000 ปีก่อน ทำให้แผ่นน้ำแข็งเริ่มละลาย ทำให้น้ำแข็งกว่าพันล้านตันละลายเป็นน้ำไหลลงสู่ทะเลแอตแลนติกเหนือ กระแสน้ำเย็นที่ไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติกทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนแปลง เกิดเป็น conveyor belt ที่รู้จักกันดี ซึ่งหมายถึง กระแสน้ำอุ่นจะไหลอยู่บนผิวของน้ำพุ่งไปทางทิศเหนือ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำเย็น ไหลอยู่ใต้น้ำพุ่งไปทางทิศใต้ เหตุการณ์เช่นนี้ก็ทำให้มหาสมุทรทางใต้เริ่มอุ่นขึ้น ก่อให้เกิดลม และน้ำแข็งในทะเลก็เริ่มละลาย และข้อมูลของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มหาสมุทรดูดซับเอาไว้ก็เก็บข้อมูลตรงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
"คาร์บอนไดออกไซด์คือส่วนสำคัญที่ให้โลกออกจากยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด และใช้เวลาเป็นหมื่นปีกว่าจะออกมาได้สำเร็จ" ดร.ชาคุนชี้ "ตอนนี้ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้จะมีผลจากการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์โดยใช้เวลาเพียง 200 ปีเท่านั้น ตอนนี้พอจะเห็นสัญญาณที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้บ้างแล้วนะ"
จากการศึกษาครั้งใหม่ของนักวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่า คาร์บอนไดออกไซด์คือตัวการหลักที่ทำให้ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดนั้นสิ้นสุดลง จากการเก็บข้อมูลของแกนน้ำแข็งทั่วโลก
เมื่อ 10,000 - 20,000 ปีก่อนนั้น โลกเพิ่งจะพ้นจากยุคน้ำแข็ง ที่น้ำแข็งเริ่มแตกหักและอุณหภูมิโลกเริ่มอุ่นขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้โลกออกจากยุคน้ำแข็งนั้น ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด จนกระทั่งล่าสุด ก็มีหลักฐานจากแกนน้ำแข็งที่ตัดมาจากทวีปแอนตาร์ติกาที่มีฟองอากาศอยู่ภายใน ซึ่งฟองอากาศนี้เองเป็นเหมือนแคปซูลเวลาที่ทำให้เราทราบถึงสภาพภูมิอากาศในครั้งอดีตกาลได้
หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์เคยติดตามระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ก็พบว่า ปริมาณความเข้มข้นของคาร์บอนจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไปแล้ว แต่อะไรเกิดขึ้นก่อนหลังนั้นก็ยังมีคนสงสัยอยู่ และจากผลการศึกษาระบุว่า ข้อมูลจากแอนตาร์กติกานั้นไม่ได้สอดคล้องกับหลักการที่ว่าเลย
การศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาแกนน้ำแข็ง 80 แกน และตัวอย่างเศษน้ำแข็งจากกรีนแลนด์ ก้นทะเลสาบ และท้องทะเลจากทุกทวีป ซึ่งข้อมูลที่ได้มาได้บอกนักวิทยาศาสตร์ว่า เมื่อความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้น้ำแข็งเริ่มละลายโดยตรง แต่มันก็เป็น"ต้นเหตุ"ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในช่วงเวลาดังกล่าว จนน้ำแข็งเริ่มละลาย
"เมื่อใช้ข้อมูลนี้กับอุณหภูมิทั่วโลก เราก็ได้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นกับการยุติของยุคน้ำแข็ง" ดร.เฌเรมี่ ชาคุน แห่งมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐอเมริกากล่าว "การเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลต่ออุณหภูมิทั่วโลก ซึ่งคุณก็น่าจะคาดได้ว่า คาร์บอนไดออกไซด์นี่แหละที่เป็นสาเหตุทำให้โลกอุ่นขึ้น" การศึกษาครั้งนี้ถือว่าหักล้างกับความเชื่อเดิมของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า เหตุที่ยุคน้ำแข็งสิ้นสุดเพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงวงโคจร จนโลกมาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ทำให้โลกอุ่นขึ้น
"จากการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า คาร์บอนไดออกไซด์เป็นปัจจัยที่สำคัญมากกว่าและก็เป็นปัจจัยจริงๆที่ทำให้โลกอุ่นขึ้นในช่วงที่น้ำแข็งเริ่มละลายทั่วโลกครั้งล่าสุด ส่วนการเปลี่ยนแปลงการโคจรของโลกนั้นก็อาจจะช่วยเร่ง เป็นตัวช่วยเสริม แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ" ดร.ชาคุนและทีมงานได้ตั้งทฤษฎีว่า การเปลี่ยนแปลงวงโคจรนี้น่าจะทำให้แสงแดดมาตกที่ซีกโลกเหนือมากขึ้นในช่วง 21,500 - 19,000 ปีก่อน ทำให้แผ่นน้ำแข็งเริ่มละลาย ทำให้น้ำแข็งกว่าพันล้านตันละลายเป็นน้ำไหลลงสู่ทะเลแอตแลนติกเหนือ กระแสน้ำเย็นที่ไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติกทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนแปลง เกิดเป็น conveyor belt ที่รู้จักกันดี ซึ่งหมายถึง กระแสน้ำอุ่นจะไหลอยู่บนผิวของน้ำพุ่งไปทางทิศเหนือ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำเย็น ไหลอยู่ใต้น้ำพุ่งไปทางทิศใต้ เหตุการณ์เช่นนี้ก็ทำให้มหาสมุทรทางใต้เริ่มอุ่นขึ้น ก่อให้เกิดลม และน้ำแข็งในทะเลก็เริ่มละลาย และข้อมูลของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มหาสมุทรดูดซับเอาไว้ก็เก็บข้อมูลตรงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
"คาร์บอนไดออกไซด์คือส่วนสำคัญที่ให้โลกออกจากยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด และใช้เวลาเป็นหมื่นปีกว่าจะออกมาได้สำเร็จ" ดร.ชาคุนชี้ "ตอนนี้ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้จะมีผลจากการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์โดยใช้เวลาเพียง 200 ปีเท่านั้น ตอนนี้พอจะเห็นสัญญาณที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้บ้างแล้วนะ"
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."