วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 1
จาก http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 31221.html
1. แก็งค์ขโมยอวัยวะ
เนื้อหาของFWD << ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวเกิดขึ้นในหลายจังหวัดว่ามีแก็งค์รถตู้ออกตระเวนจับคนไปตัดอวัยวะ ฆ่าทิ้งโดยควักอวัยวะไป หรือลักพาตัวหายไป ... กระแสข่าวนี้ มีทั้งในทีวี วิทยุ โทรทัศน์ และ อินเตอร์เนท
วิเคราะห์FWD >> ในเมื่อผมไม่ใช่ตำรวจ ก็คงไม่สามารถบอกได้ว่าจริงๆแล้วมีคนหายหรือตายในช่วงดังกล่าวเท่าไหร่ แต่มีข้อสังเกตบางสิ่งบางอย่างดังนี้
- ลักษณะข่าวหลายข่าว มีตั้งแต่การเจอศพที่ถูกฆ่าแล้วเปิดท้องเอาอวัยวะไป มีเด็กเจอจับแล้วก็มีคนควักลูกตาออกจากนั้นก็โยนเงินมาให้ มีคนโดนฆ่าทั้งครอบครัว ฯลฯ ... หลายข่าว คนที่ส่งต่อหรือเล่าต่อจะเล่าเหมือนกับว่าตนเองเห็นเหตุการณ์หรือได้ฟังจากปากผู้เสียหายจริงๆ แต่หากลองถามย้อนสืบค้นกลับไปแล้วจะพบว่าไม่มีรายใดเลยที่ได้รับรู้ข่าวจากเหตุการณ์จริง
- ไม่มีข่าวใดขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์
- การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องใช้ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในเมืองไทยทำได้ไม่กี่ที่ มีคนทำได้จำนวนไม่มาก
- หลังการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องกินยาควบคุมภูมิคุ้มกันไป'ตลอดชีวิต'และต้องตรวจอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะในเมืองไทยจะมีอยู่จำนวนนึง ... ถ้ามีคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนอวัยวะอย่างผิดกฎหมาย ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครรู้ใครเห็น
- ที่สำคัญที่สุด ความสดของอวัยวะ ... เทคนิกที่จะทำให้อวัยวะสดใหม่พอที่จะนำไปปลูกถ่ายให้กับคนป่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ... การฆ่าคนแล้วเอาอวัยวะไปหลังจากคนๆนั้นตายแล้วเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอวัยวะนั้นมักจะเสียคุณภาพและมีโอกาสที่จะเสียมาก ... ถ้าจะทำจริงๆน่าจะลักพาตัวไปจะง่ายกว่า
- และจากข้อข้างบน ... การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องทำการจับคู่อวัยวะของทั้งผู้ให้และผู้รับ ... ดังนั้นการจะลักอวัยวะ ต้องทำการตรวจเลือดของผู้ให้และผู้รับและจับคู่กันให้ได้ (ส่วนมากมักเป็นญาติกัน โอกาสจะเจอจากคนที่ไม่ใช่ญาตินั้นน้อย) การที่ไปดักฆ่าใครมั่วๆซั่วๆแล้วตัดอวัยวะไป จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีขบวนการใดงี่เง่าพอที่จะไปทำ(เพราะไม่คุ้มทุน)
ที่มาของFwd : Fwdลักษณะนี้มีในอเมริกามาตั้งแต่ปี1998แล้วครับ
1. แก็งค์ขโมยอวัยวะ
เนื้อหาของFWD << ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวเกิดขึ้นในหลายจังหวัดว่ามีแก็งค์รถตู้ออกตระเวนจับคนไปตัดอวัยวะ ฆ่าทิ้งโดยควักอวัยวะไป หรือลักพาตัวหายไป ... กระแสข่าวนี้ มีทั้งในทีวี วิทยุ โทรทัศน์ และ อินเตอร์เนท
วิเคราะห์FWD >> ในเมื่อผมไม่ใช่ตำรวจ ก็คงไม่สามารถบอกได้ว่าจริงๆแล้วมีคนหายหรือตายในช่วงดังกล่าวเท่าไหร่ แต่มีข้อสังเกตบางสิ่งบางอย่างดังนี้
- ลักษณะข่าวหลายข่าว มีตั้งแต่การเจอศพที่ถูกฆ่าแล้วเปิดท้องเอาอวัยวะไป มีเด็กเจอจับแล้วก็มีคนควักลูกตาออกจากนั้นก็โยนเงินมาให้ มีคนโดนฆ่าทั้งครอบครัว ฯลฯ ... หลายข่าว คนที่ส่งต่อหรือเล่าต่อจะเล่าเหมือนกับว่าตนเองเห็นเหตุการณ์หรือได้ฟังจากปากผู้เสียหายจริงๆ แต่หากลองถามย้อนสืบค้นกลับไปแล้วจะพบว่าไม่มีรายใดเลยที่ได้รับรู้ข่าวจากเหตุการณ์จริง
- ไม่มีข่าวใดขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์
- การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องใช้ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในเมืองไทยทำได้ไม่กี่ที่ มีคนทำได้จำนวนไม่มาก
- หลังการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องกินยาควบคุมภูมิคุ้มกันไป'ตลอดชีวิต'และต้องตรวจอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะในเมืองไทยจะมีอยู่จำนวนนึง ... ถ้ามีคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนอวัยวะอย่างผิดกฎหมาย ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครรู้ใครเห็น
- ที่สำคัญที่สุด ความสดของอวัยวะ ... เทคนิกที่จะทำให้อวัยวะสดใหม่พอที่จะนำไปปลูกถ่ายให้กับคนป่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ... การฆ่าคนแล้วเอาอวัยวะไปหลังจากคนๆนั้นตายแล้วเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอวัยวะนั้นมักจะเสียคุณภาพและมีโอกาสที่จะเสียมาก ... ถ้าจะทำจริงๆน่าจะลักพาตัวไปจะง่ายกว่า
- และจากข้อข้างบน ... การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องทำการจับคู่อวัยวะของทั้งผู้ให้และผู้รับ ... ดังนั้นการจะลักอวัยวะ ต้องทำการตรวจเลือดของผู้ให้และผู้รับและจับคู่กันให้ได้ (ส่วนมากมักเป็นญาติกัน โอกาสจะเจอจากคนที่ไม่ใช่ญาตินั้นน้อย) การที่ไปดักฆ่าใครมั่วๆซั่วๆแล้วตัดอวัยวะไป จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีขบวนการใดงี่เง่าพอที่จะไปทำ(เพราะไม่คุ้มทุน)
ที่มาของFwd : Fwdลักษณะนี้มีในอเมริกามาตั้งแต่ปี1998แล้วครับ
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 2
2. การกินวิตามินC ร่วมกับการกินกุ้งทำให้ตายได้
เนื้อหาของFWDในไทย << เป็นเรื่องราวที่เกิดในไต้หวันโดยมีกรณีที่พบผู้หญิงตายโดยไม่ทราบสาเหตุและมีศาสตราจารย์คนนึงไปร่วมชันสูตร และก็บอกว่าผู้หญิงคนนี้ตายจากการที่กินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ซึ่งเข้าไปทำปฏิกริยากับสารหนูชนิดไม่มีพิษ As2O5 กลายเป็น As2O3 หรือสารหนูชนิดที่เป็นพิษทำให้ตายแบบเลือดไหลออกหมดตามทวาร
วิเคราะห์FWD >> จับผิดได้หลายจุด
- ข้อแรก ไม่มีรายงานทางการแพทย์ฉบับใดที่รายงานการเกิดพิษจากสารหนูจนถึงตาย จากการกินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ... ถ้ามันเป็นเรื่องที่ง่ายขนาดที่ศาสตราจารย์ทางการแพทย์ไต้หวันรู้ในพริบตาเดียว ก็น่าจะมีตำราหรือรายงานการแพทย์สักฉบับในโลกที่กล่าวถึง
- กุ้งจะไปเอาสารหนูในระดับที่ฆ่าคนได้มาจากไหนโดยกุ้งไม่ตาย ... อย่าลืมว่าสารหนู(As) เป็นธาตุไม่ใช่สารประกอบ ดังนั้นไม่มีทางผสมสารใดๆแล้วบังเอิญกลายมาเป็นสารหนูได้ ถ้าไม่มีสารหนูเป็นตัวตั้งต้น
- As2O5 จะเปลี่ยนเป็น As2O3ได้ ต้องใช้อุณหูมิ 300 องศาเซลเซียส
- As2O3 หรือ อาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีพิษก็จริง แต่พิษของมันถ้าเกิดเฉียบพลันจะก่อให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก ... ไม่ใช่เลือดออกทุกทวาร
- As2O5 หรืออาร์เซนิกเพนตาออกไซด์ก็มีพิษ กุ้งที่ไหนจะรับได้
ที่มาของFWD : พบFWDนี้ในinternet ตั้งแต่ปี2001 โดยเริ่มแรกจากข้อความสั้นๆและได้โดนพิสูจน์ว่ามั่วไปนานแล้ว แต่เมื่อเข้ามาในไทยในปี2007ก็ขยายความยาวของเนื้อหาและรายละเอียดหลายส่วนที่แก้ต่างข้อพิสูจน์เหล่านั้นไป
จริงๆเป็นForward Mail ที่ไม่น่าเชื่อถืออันนึง แต่โชคไม่ดีที่มีสื่อบางแขนงเอาไปเผยแพร่โดยไม่ได้ทำการตรวจสอบให้ดี(ทั้งที่ยุคนี้การตรวจสอบข่าวสารทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ หรือแค่ถามแพทย์ที่ทำงานให้กับองค์กรสื่อแห่งนั้นก็ยังได้) ซึ่งจากการเผยแพร่ของสื่อนั้น ยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้เข้าใจไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง
เนื้อหาของFWDในไทย << เป็นเรื่องราวที่เกิดในไต้หวันโดยมีกรณีที่พบผู้หญิงตายโดยไม่ทราบสาเหตุและมีศาสตราจารย์คนนึงไปร่วมชันสูตร และก็บอกว่าผู้หญิงคนนี้ตายจากการที่กินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ซึ่งเข้าไปทำปฏิกริยากับสารหนูชนิดไม่มีพิษ As2O5 กลายเป็น As2O3 หรือสารหนูชนิดที่เป็นพิษทำให้ตายแบบเลือดไหลออกหมดตามทวาร
วิเคราะห์FWD >> จับผิดได้หลายจุด
- ข้อแรก ไม่มีรายงานทางการแพทย์ฉบับใดที่รายงานการเกิดพิษจากสารหนูจนถึงตาย จากการกินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ... ถ้ามันเป็นเรื่องที่ง่ายขนาดที่ศาสตราจารย์ทางการแพทย์ไต้หวันรู้ในพริบตาเดียว ก็น่าจะมีตำราหรือรายงานการแพทย์สักฉบับในโลกที่กล่าวถึง
- กุ้งจะไปเอาสารหนูในระดับที่ฆ่าคนได้มาจากไหนโดยกุ้งไม่ตาย ... อย่าลืมว่าสารหนู(As) เป็นธาตุไม่ใช่สารประกอบ ดังนั้นไม่มีทางผสมสารใดๆแล้วบังเอิญกลายมาเป็นสารหนูได้ ถ้าไม่มีสารหนูเป็นตัวตั้งต้น
- As2O5 จะเปลี่ยนเป็น As2O3ได้ ต้องใช้อุณหูมิ 300 องศาเซลเซียส
- As2O3 หรือ อาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีพิษก็จริง แต่พิษของมันถ้าเกิดเฉียบพลันจะก่อให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก ... ไม่ใช่เลือดออกทุกทวาร
- As2O5 หรืออาร์เซนิกเพนตาออกไซด์ก็มีพิษ กุ้งที่ไหนจะรับได้
ที่มาของFWD : พบFWDนี้ในinternet ตั้งแต่ปี2001 โดยเริ่มแรกจากข้อความสั้นๆและได้โดนพิสูจน์ว่ามั่วไปนานแล้ว แต่เมื่อเข้ามาในไทยในปี2007ก็ขยายความยาวของเนื้อหาและรายละเอียดหลายส่วนที่แก้ต่างข้อพิสูจน์เหล่านั้นไป
จริงๆเป็นForward Mail ที่ไม่น่าเชื่อถืออันนึง แต่โชคไม่ดีที่มีสื่อบางแขนงเอาไปเผยแพร่โดยไม่ได้ทำการตรวจสอบให้ดี(ทั้งที่ยุคนี้การตรวจสอบข่าวสารทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ หรือแค่ถามแพทย์ที่ทำงานให้กับองค์กรสื่อแห่งนั้นก็ยังได้) ซึ่งจากการเผยแพร่ของสื่อนั้น ยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้เข้าใจไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 3
3. รู้ไหม ถ้าคุณกำลังจะหัวใจวาย การไอสามารถช่วยคุณได้
เนื้อหาของFWD << เริ่มด้วยการสมมุติว่ากำลังขับรถกลับบ้านตอนเย็น จากนั้นก็เจ็บหน้าอกเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ... ซึ่งรู้ว่าต้องช่วยด้วยการนวดหัวใจ แต่การนวดหัวใจ (CPR cardiopulmonary resuscitation)ต้องทำโดยคนอื่น แล้วถ้าคุณกำลังจะหัวใจหยุดเต้นใครจะช่วยได้ ... ในเนื้อหาอ้างว่าการผายปอดด้วยการไอ หรือนวดหัวใจด้วยการไอ (Cough CPR) เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสถาบันการแพทย์และถูกบรรจุในหลักสูตร โดยให้ไอไปเรื่อยๆเป็นจังหวะเพื่อกระตุ้นหัวใจให้ทำงาน
วิเคราะห์FWD >>
- เมล์ดังกล่าวจะมีการอ้างสถาบันสุขภาพของอเมริกาหลายแห่ง แต่อันที่แพร่หลายในไทยจะอ้าง JOURNAL OF GENERAL HOSPITAL ROCHESTER และ American Heart Association ... ซึ่งสิ่งที่ค้นพบคือทั้งสองแห่งได้มีข้อความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ชัดเจนว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าว
http://www.viahealth.org/body_rochester.cfm?id=329
อันแรกเป็นlinkของโรงพยาบาล Rochester ที่ยืนยันว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าวในวารสารของโรงพยาบาล
และทางAmercan heart association หรือสมาคมโรงหัวใจสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของการแพทย์ด้านหัวใจของโลก ก็ได้มีความเห็นในwebsite เกี่ยวกับเรื่องCough CPRไว้ดังนี้ครับ
http://www.americanheart.org/presenter. ... ifier=4535
ซึ่งสรุปใจความสั้นๆไว้ชัดเจนว่า
- การนวดหัวใจด้วยการไอ มีใช้ก็เฉพาะกรณีที่กำลังทำการสวนหัวใจอยู่แล้วไปสะกิดโดนบางจุดจนเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งแพทย์ที่สวนหัวใจจะสั่งให้คนไข้ไอ
- ไม่เคยมีการสอนให้ทำCough CPR ในคำแนะนำสากลแก่ประชาชน(หรือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไป)
นอกจากนี้
- อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการของหัวใจขาดเลือด Myocardial Iscemia หรือ Myocardial Infarct การแก้ไขคือ พยายามให้ผู้ที่มีอาการ อยู่นิ่งๆและหยุดกิจกรรมต่างๆ อมยาใต้ลิ้นเพื่อลดอาการเจ็บปวด และกินยาป้องกันเกร็ดเลือดแข็งตัว จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาล
- การพยายามไอมากๆในคนที่มีอาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจเป็นการออกแรง ซึ่งน่าจะให้ผลเสีย(ถึงตาย) มากกว่าผลดี
- หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัดอื่นๆ ไม่ได้รักษาด้วยการไอ
- แรงดันในช่องอกจากการไอ ไม่เพียงพอที่จะนวดหัวใจให้พ่นเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้
- ถ้าหัวใจของใครสักคนหยุดเต้น ความดันเลือดจะตกลงจนสมองหยุดทำงาน ... ซึ่งรวดเร็วเกินกว่าที่สมองจะสั่งการให้ไอได้ทัน
สรุปแล้วดูเหมือนกับว่านอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว หากผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการเจ็บหน้าอกคนไหนเอาไปใช้ ก็อาจจะเกิดอันตรายได้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์
เนื้อหาของFWD << เริ่มด้วยการสมมุติว่ากำลังขับรถกลับบ้านตอนเย็น จากนั้นก็เจ็บหน้าอกเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ... ซึ่งรู้ว่าต้องช่วยด้วยการนวดหัวใจ แต่การนวดหัวใจ (CPR cardiopulmonary resuscitation)ต้องทำโดยคนอื่น แล้วถ้าคุณกำลังจะหัวใจหยุดเต้นใครจะช่วยได้ ... ในเนื้อหาอ้างว่าการผายปอดด้วยการไอ หรือนวดหัวใจด้วยการไอ (Cough CPR) เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสถาบันการแพทย์และถูกบรรจุในหลักสูตร โดยให้ไอไปเรื่อยๆเป็นจังหวะเพื่อกระตุ้นหัวใจให้ทำงาน
วิเคราะห์FWD >>
- เมล์ดังกล่าวจะมีการอ้างสถาบันสุขภาพของอเมริกาหลายแห่ง แต่อันที่แพร่หลายในไทยจะอ้าง JOURNAL OF GENERAL HOSPITAL ROCHESTER และ American Heart Association ... ซึ่งสิ่งที่ค้นพบคือทั้งสองแห่งได้มีข้อความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ชัดเจนว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าว
http://www.viahealth.org/body_rochester.cfm?id=329
อันแรกเป็นlinkของโรงพยาบาล Rochester ที่ยืนยันว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าวในวารสารของโรงพยาบาล
และทางAmercan heart association หรือสมาคมโรงหัวใจสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของการแพทย์ด้านหัวใจของโลก ก็ได้มีความเห็นในwebsite เกี่ยวกับเรื่องCough CPRไว้ดังนี้ครับ
http://www.americanheart.org/presenter. ... ifier=4535
ซึ่งสรุปใจความสั้นๆไว้ชัดเจนว่า
- การนวดหัวใจด้วยการไอ มีใช้ก็เฉพาะกรณีที่กำลังทำการสวนหัวใจอยู่แล้วไปสะกิดโดนบางจุดจนเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งแพทย์ที่สวนหัวใจจะสั่งให้คนไข้ไอ
- ไม่เคยมีการสอนให้ทำCough CPR ในคำแนะนำสากลแก่ประชาชน(หรือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไป)
นอกจากนี้
- อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการของหัวใจขาดเลือด Myocardial Iscemia หรือ Myocardial Infarct การแก้ไขคือ พยายามให้ผู้ที่มีอาการ อยู่นิ่งๆและหยุดกิจกรรมต่างๆ อมยาใต้ลิ้นเพื่อลดอาการเจ็บปวด และกินยาป้องกันเกร็ดเลือดแข็งตัว จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาล
- การพยายามไอมากๆในคนที่มีอาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจเป็นการออกแรง ซึ่งน่าจะให้ผลเสีย(ถึงตาย) มากกว่าผลดี
- หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัดอื่นๆ ไม่ได้รักษาด้วยการไอ
- แรงดันในช่องอกจากการไอ ไม่เพียงพอที่จะนวดหัวใจให้พ่นเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้
- ถ้าหัวใจของใครสักคนหยุดเต้น ความดันเลือดจะตกลงจนสมองหยุดทำงาน ... ซึ่งรวดเร็วเกินกว่าที่สมองจะสั่งการให้ไอได้ทัน
สรุปแล้วดูเหมือนกับว่านอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว หากผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการเจ็บหน้าอกคนไหนเอาไปใช้ ก็อาจจะเกิดอันตรายได้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 4
4. สูบบุหรี่ผิดด้าน ไปจุดเอาก้นกรองจะทำให้เป็นหมัน
เนื้อหาของFWD << บอกว่าในก้นกรองบุหรี่มีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งและทำให้เป็นหมัน
วิเคราะห์FWD >> ค่อนข้างพิสูจน์ได้ง่าย
- ก้นกรองบุหรี่ ทำมาจากสารพวกเซลลูโลส พูดง่ายๆว่าทำมาจากเยื่อไม้ ... จากนั้นก็เอามาทาสีข้างนอกเป็นสีน้ำตาล สีขาว ฯลฯ ดังนั้นสูบก้นกรองเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายเพิ่มไปกว่าเดิม ที่จริง ก้นกรองเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดของบุหรี่ครับ
- ก้นกรองบุหรี่ที่อันตราย คือก้นกรองบุหรี่แบบเก่าๆ ที่ทำมาจากแร่ใยหิน Asbestos
สรุปแล้วมั่วมากครับ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนอ่านแล้วจับผิดได้ง่าย เมล์FWDนี้เลยไม่ค่อยแพร่หลายนัก
ที่สำคัญ เจ้าสารที่ทำให้เป็นหมันและมะเร็ง อยู่ในตัวยาสูบ ไม่ใช่ก้นกรอง ดังนั้นถ้าใครสูบบุหรี่อยู่แล้วสูบผิดด้านก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะด้านที่สูบตามปกติ ก่อมะเร็งได้ง่ายกว่าก้นกรองเป็นพันเท่า
เนื้อหาของFWD << บอกว่าในก้นกรองบุหรี่มีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งและทำให้เป็นหมัน
วิเคราะห์FWD >> ค่อนข้างพิสูจน์ได้ง่าย
- ก้นกรองบุหรี่ ทำมาจากสารพวกเซลลูโลส พูดง่ายๆว่าทำมาจากเยื่อไม้ ... จากนั้นก็เอามาทาสีข้างนอกเป็นสีน้ำตาล สีขาว ฯลฯ ดังนั้นสูบก้นกรองเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายเพิ่มไปกว่าเดิม ที่จริง ก้นกรองเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดของบุหรี่ครับ
- ก้นกรองบุหรี่ที่อันตราย คือก้นกรองบุหรี่แบบเก่าๆ ที่ทำมาจากแร่ใยหิน Asbestos
สรุปแล้วมั่วมากครับ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนอ่านแล้วจับผิดได้ง่าย เมล์FWDนี้เลยไม่ค่อยแพร่หลายนัก
ที่สำคัญ เจ้าสารที่ทำให้เป็นหมันและมะเร็ง อยู่ในตัวยาสูบ ไม่ใช่ก้นกรอง ดังนั้นถ้าใครสูบบุหรี่อยู่แล้วสูบผิดด้านก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะด้านที่สูบตามปกติ ก่อมะเร็งได้ง่ายกว่าก้นกรองเป็นพันเท่า
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 5
5. กินฉี่หนูที่เปื้อนกระป๋องน้ำอัดลม ... ตาย!!!
เนื้อหาของFWDในไทย << เมล์เก่าแก่นี้เริ่มตั้งแต่เตือนว่าการมีคนตายจากการกินน้ำอัดลมโดยไม่ได้เช็ดที่ปากกระป๋อง จึงกินฉี่หนูที่ติดตรงนั้นเข้าไป หลังจากนั้นก็ป่วยหนักและตาย ... ต่อมาก็เริ่มมีการกล่าวอ้างเพิ่มขึ้น มีทั้งบอกว่าต้องไปรักษาที่รพ. หมอบอกว่าเป็นโรคฉี่หนู ต้องส่งมารักษาที่กทม. เสียเงินเป็นล้าน , มีการกล่าวอ้างว่าฉี่หนูเฉยๆกินเข้าไปก็ตายได้ , หรือแม้แต่ระบุที่ท้ายของFwd เป็นเบอร์โทรศัพท์ของกองสาธารณสุข
วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้ใครที่ทำงานด้านสาธารณสุข จะรู้ทันทีหลังจากอ่านว่า"มั่ว" , ใครที่บ้านมีหนูจะรู้ว่าเรื่องมันทะ:-)ๆ
- โรคฉี่หนูชนิดรุนแรง จะมีอาการไข้สูงหนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ตัวเหลืองตาเหลือง ... ซึ่งอาการในเมล์มักจะเป็นอาการที่ไม่ใช่
- ฉี่หนูปกติ ต่อให้กินเข้าไปก็ไม่ตายครับ ฉี่หนูที่มีเชื้อกินเข้าไปโอกาสติดเชื้ออาจจะมีแต่น้อยมากๆ(ลงกระเพาะก็ตายไปเกือบหมด ถ้าจะติดก็คงจากแผลในปาก) ... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังค้นหาเอกสารทางการแพทย์ที่บอกว่าฉี่หนูติดได้ง่ายๆจากการกินไม่พบเลย
- บ้านใครมีหนู คงรู้นะครับว่าฉี่หนูแห้งๆกลิ่นมันขนาดไหน ใครจะกินได้
ที่มาของFWD นี้ มันกระจายในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งอเมริกามีโรคฉี่หนูไม่มากเท่าเมืองไทย forwardเมล์นี้เลยค่อนข้างอยู่ยงคงกระพัน และถูกส่งไปส่งมาเรื่อยๆครับ
เนื้อหาของFWDในไทย << เมล์เก่าแก่นี้เริ่มตั้งแต่เตือนว่าการมีคนตายจากการกินน้ำอัดลมโดยไม่ได้เช็ดที่ปากกระป๋อง จึงกินฉี่หนูที่ติดตรงนั้นเข้าไป หลังจากนั้นก็ป่วยหนักและตาย ... ต่อมาก็เริ่มมีการกล่าวอ้างเพิ่มขึ้น มีทั้งบอกว่าต้องไปรักษาที่รพ. หมอบอกว่าเป็นโรคฉี่หนู ต้องส่งมารักษาที่กทม. เสียเงินเป็นล้าน , มีการกล่าวอ้างว่าฉี่หนูเฉยๆกินเข้าไปก็ตายได้ , หรือแม้แต่ระบุที่ท้ายของFwd เป็นเบอร์โทรศัพท์ของกองสาธารณสุข
วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้ใครที่ทำงานด้านสาธารณสุข จะรู้ทันทีหลังจากอ่านว่า"มั่ว" , ใครที่บ้านมีหนูจะรู้ว่าเรื่องมันทะ:-)ๆ
- โรคฉี่หนูชนิดรุนแรง จะมีอาการไข้สูงหนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ตัวเหลืองตาเหลือง ... ซึ่งอาการในเมล์มักจะเป็นอาการที่ไม่ใช่
- ฉี่หนูปกติ ต่อให้กินเข้าไปก็ไม่ตายครับ ฉี่หนูที่มีเชื้อกินเข้าไปโอกาสติดเชื้ออาจจะมีแต่น้อยมากๆ(ลงกระเพาะก็ตายไปเกือบหมด ถ้าจะติดก็คงจากแผลในปาก) ... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังค้นหาเอกสารทางการแพทย์ที่บอกว่าฉี่หนูติดได้ง่ายๆจากการกินไม่พบเลย
- บ้านใครมีหนู คงรู้นะครับว่าฉี่หนูแห้งๆกลิ่นมันขนาดไหน ใครจะกินได้
ที่มาของFWD นี้ มันกระจายในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งอเมริกามีโรคฉี่หนูไม่มากเท่าเมืองไทย forwardเมล์นี้เลยค่อนข้างอยู่ยงคงกระพัน และถูกส่งไปส่งมาเรื่อยๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1260
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 6
คิดว่าน่าจะ
1. จริง (อยู่ที่เงิน)
2. ไม่จริง (ไม่เคยได้ยิน)
3. จริง (เคยเห็นในสาระคดี)
4. ไม่จริง (อย่าสูบเลยดีสุด)
5. ไม่แน่ใจ (แต่ถึงไม่จริงก็ไม่กินฉี่หนูอยู่ดี)
นั่งเทียน....ZZZzzzz :lol:
1. จริง (อยู่ที่เงิน)
2. ไม่จริง (ไม่เคยได้ยิน)
3. จริง (เคยเห็นในสาระคดี)
4. ไม่จริง (อย่าสูบเลยดีสุด)
5. ไม่แน่ใจ (แต่ถึงไม่จริงก็ไม่กินฉี่หนูอยู่ดี)
นั่งเทียน....ZZZzzzz :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 7
มันเป็นลักษณะที่เขาเรียกว่า Urban legend คือเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาแล้วบอกต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ความแพร่หลาย และข้อมูลที่กลับเข้ามาจากหลายแหล่งทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดูน่าเชื่อถือไปฉิบ
ืทุกข้อเป็นเรื่องกุทั้งนั้น เหตุผลที่ว่ามาส่วนใหญ่ก็ถูกต้องแล้ว อาจจะเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างนิดหน่อย
สำหรับข้อ 1. ถ้าใครเคยดูเรื่อง The Island จะพอเข้าใจได้ว่า กระบวนการเก็บอวัยวะ (organ harvest) เพื่อนำมาเปลี่ยนอวัยวะไม่ได้ง่ายขนาดตั้งแก๊งค์อะไรขึ้นมา แล้วไปเที่ยวลักพาตัวคนมาตัดไต ตัดตับ ควักลูกตา ออกมาเพื่อเก็บไปเปลี่ยนให้คนอื่น ถ้าตัดออกมาแล้วทำไม่ดี ก็ไปปลูกถ่ายไม่ได้ เสียเวลา เสียเงิน เอาชีวิตคนรับอวัยวะไปเสี่ยงอีก
แม้กระทั่งหมอผ่าตัดทั่วไปที่ไม่มีความรู้หรือไม่เคยทำการผ่าตัด organ transplantation ก็ไม่สามารถทำได้ แล้วหมอผ่าตัุดแบบนี้มีน้อยมาก แต่ละคนอยู่ในสถาบันใหญ่ ๆ ทั้งนั้น...
ส่วนเรื่องการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อก็อธิบายไว้ดีแล้ว
ส่วนข้อ 2. มั่วนิ่มสุด ๆ การเกิดพิษของสารหนูมี 2 แบบคือแบบเฉียบพลัน คนกินจะเกิดท้องเสีย และตับวาย กรณีนี้ต้องกินขนาดสูงมาก ถ้าจะกินกุ้งแล้วเกิดพิษ ต้องประเภทตั้งใจทำกุ้งยัดไส้สารหนู อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่กุ้งทั่ว ๆ ไป (ปัจจุบันมีการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด ด้วยการให้สารหนู ขนาดให้อย่างนั้นยังไม่มีคนเกิดพิษเหมือนที่ว่าเลย)
เรื่องจะเป็นพิษเรื้อรังยิ่งไม่มีทาง เพราะการเกิดพิษเรื้อรังจะแสดงที่ผิวหนัง เป็นผื่นจุด ๆ สีดำกระจายทั่วไป
ข้อ 3. ก่อนหัวใจจะหยุดเต้น มักจะเกิดความผิดปกติของหัวใจอยู่ 2 อย่างคือ หัวใจเต้นเร็วมาก ๆ (เช่น ventricular tachycardia หรือ fibrillation) หรือเต้นช้ามาก ๆ (เช่น severe bradycardia) ทั้งสองกรณี คนเป็นไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่จะรู้ได้ว่าตัวเองกำลังแย่ เพราะจะน็อคไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้ประเภทคลำหน้าอกแล้วรู้ได้ว่า... อุ๊ย หัวใจเรากำลังแย่... อันนี้มักจะเป็นพวกคิดมาก คิดไปเองมากกว่า
การไอ ไม่ทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะ กลับมาเต้นได้ปกติเลย วิธีทางกายภาพที่ทำให้หัวใจกลับมาเต้นได้ นอกเหนือจากการช็อค คือการ "ทุบ" ไปที่หน้าอก ด้วยกำลังแรงพอสมควร (precordial thumb) ซึ่งขนาดทำอย่างนั้นโอกาสสำเร็จก็มีไม่ถึง 10% ดังนั้นแค่ไอแค๊ก ๆ ... ไม่ต้องพูดถึง
ข้อ 4. การสูบบุหรี่ ขนาดสูบด้านปกติ ก็เสี่ยงต่อการเป็นหมันอยู่แล้ว นอกเหนือจากเสี่ยงต่อมะเร็งปอด, ถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจ ที่เรารู้ ๆ กันดี ไม่ต้องขนาดพิเรนทร์ไปสูบผิดด้านหรอก
ข้อ 5. เห็นแล้วฮา... ฉี่หนู ติดจากการได้รับเชื้อ Leptospira ซึ่งอาศัยในหนูที่เป็นโรคแล้วขับออกมาทางฉี่ เมื่อฉี่ปนเปื้อนในน้ำ ใครที่สัมผัสน้ำโดยการลุยน้ำ (เช่นน้ำท่วมหน้านี้) เชื้อที่ปนเปื้อนในน้ำจึงเข้าสู่ร่างกายทาง "บาดแผล" เชื้อนี้
Leptospira เป็นเชื้อประจำถิ่นในเขตร้อน ไม่มีในประเทศตะวันตก ไม่รู้ว่ามั่วว่ามาจากอเมริกาได้ไง...
ืทุกข้อเป็นเรื่องกุทั้งนั้น เหตุผลที่ว่ามาส่วนใหญ่ก็ถูกต้องแล้ว อาจจะเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างนิดหน่อย
สำหรับข้อ 1. ถ้าใครเคยดูเรื่อง The Island จะพอเข้าใจได้ว่า กระบวนการเก็บอวัยวะ (organ harvest) เพื่อนำมาเปลี่ยนอวัยวะไม่ได้ง่ายขนาดตั้งแก๊งค์อะไรขึ้นมา แล้วไปเที่ยวลักพาตัวคนมาตัดไต ตัดตับ ควักลูกตา ออกมาเพื่อเก็บไปเปลี่ยนให้คนอื่น ถ้าตัดออกมาแล้วทำไม่ดี ก็ไปปลูกถ่ายไม่ได้ เสียเวลา เสียเงิน เอาชีวิตคนรับอวัยวะไปเสี่ยงอีก
แม้กระทั่งหมอผ่าตัดทั่วไปที่ไม่มีความรู้หรือไม่เคยทำการผ่าตัด organ transplantation ก็ไม่สามารถทำได้ แล้วหมอผ่าตัุดแบบนี้มีน้อยมาก แต่ละคนอยู่ในสถาบันใหญ่ ๆ ทั้งนั้น...
ส่วนเรื่องการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อก็อธิบายไว้ดีแล้ว
ส่วนข้อ 2. มั่วนิ่มสุด ๆ การเกิดพิษของสารหนูมี 2 แบบคือแบบเฉียบพลัน คนกินจะเกิดท้องเสีย และตับวาย กรณีนี้ต้องกินขนาดสูงมาก ถ้าจะกินกุ้งแล้วเกิดพิษ ต้องประเภทตั้งใจทำกุ้งยัดไส้สารหนู อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่กุ้งทั่ว ๆ ไป (ปัจจุบันมีการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด ด้วยการให้สารหนู ขนาดให้อย่างนั้นยังไม่มีคนเกิดพิษเหมือนที่ว่าเลย)
เรื่องจะเป็นพิษเรื้อรังยิ่งไม่มีทาง เพราะการเกิดพิษเรื้อรังจะแสดงที่ผิวหนัง เป็นผื่นจุด ๆ สีดำกระจายทั่วไป
ข้อ 3. ก่อนหัวใจจะหยุดเต้น มักจะเกิดความผิดปกติของหัวใจอยู่ 2 อย่างคือ หัวใจเต้นเร็วมาก ๆ (เช่น ventricular tachycardia หรือ fibrillation) หรือเต้นช้ามาก ๆ (เช่น severe bradycardia) ทั้งสองกรณี คนเป็นไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่จะรู้ได้ว่าตัวเองกำลังแย่ เพราะจะน็อคไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้ประเภทคลำหน้าอกแล้วรู้ได้ว่า... อุ๊ย หัวใจเรากำลังแย่... อันนี้มักจะเป็นพวกคิดมาก คิดไปเองมากกว่า
การไอ ไม่ทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะ กลับมาเต้นได้ปกติเลย วิธีทางกายภาพที่ทำให้หัวใจกลับมาเต้นได้ นอกเหนือจากการช็อค คือการ "ทุบ" ไปที่หน้าอก ด้วยกำลังแรงพอสมควร (precordial thumb) ซึ่งขนาดทำอย่างนั้นโอกาสสำเร็จก็มีไม่ถึง 10% ดังนั้นแค่ไอแค๊ก ๆ ... ไม่ต้องพูดถึง
ข้อ 4. การสูบบุหรี่ ขนาดสูบด้านปกติ ก็เสี่ยงต่อการเป็นหมันอยู่แล้ว นอกเหนือจากเสี่ยงต่อมะเร็งปอด, ถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจ ที่เรารู้ ๆ กันดี ไม่ต้องขนาดพิเรนทร์ไปสูบผิดด้านหรอก
ข้อ 5. เห็นแล้วฮา... ฉี่หนู ติดจากการได้รับเชื้อ Leptospira ซึ่งอาศัยในหนูที่เป็นโรคแล้วขับออกมาทางฉี่ เมื่อฉี่ปนเปื้อนในน้ำ ใครที่สัมผัสน้ำโดยการลุยน้ำ (เช่นน้ำท่วมหน้านี้) เชื้อที่ปนเปื้อนในน้ำจึงเข้าสู่ร่างกายทาง "บาดแผล" เชื้อนี้
Leptospira เป็นเชื้อประจำถิ่นในเขตร้อน ไม่มีในประเทศตะวันตก ไม่รู้ว่ามั่วว่ามาจากอเมริกาได้ไง...
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 9
-= ตีแผ่ Forward mail ลวงโลกที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ # 2=-
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 40947.html
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic ... 40947.html
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 10
details
6. โค้ก เป็นสิ่งอันตรายมาก (ทำให้กระดูกผุ)
ตัวอย่าง FWD http://www.maama.com/reading/view.php?id=001590
เนื้อหาของFWD << เนื้อหาในนั้นจะกล่าวถึงการคุณสมบัติที่ทำให้โค้กดูเหมือนเป็นน้ำอัดลมที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เป็นกรดที่รุนแรง ... ลำพังตัวฟอร์เวิร์ดนี้จะไม่มีอะไร แต่มันเป็นการไปตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกผุ น้ำอัดลมเป็นสารที่อันตราย ฯลฯ
วิเคราะห์FWD >>
- ถ้าตามเข้าไปดูในข้อมูลต่างๆในนั้น จะเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ดูแล้วทำให้โค้กเป็นวัสดุกัดกร่อนที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดกร่อนสิ่งต่างๆได้ การใช้งานก็ดูน่ากลัวสำหรับของที่จะเอามากิน
- (ปัจจัยในเวบบอร์ดต่างๆ และความเชื่อสมัยก่อน บอกว่าการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิดทำให้กระดูกผุ เพราะกรดในน้ำอัดลมจะไปละลายกระดูก)
- โค้กมีpH ที่ประมาณ2.5 อันนี้ก็จริง ... แต่
- น้ำมะนาวมีpH 2-2.5 ส่วนกรดในกระเพาะอาหาร มีpH 1.5-2 กัดกร่อนยิ่งกว่าโค้กเสียอีก เรื่องคุณสมบัติที่ว่านั้นหากเอาน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูไปแทนที่ก็ทำได้เหมือนกัน (แต่Apple cider vinegarดันบอกว่าดีต่อสุขภาพ ทำไมไม่บอกว่ากัดกระดูกล่ะ)
- ในต่างประเทศของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีราคาแพง ในขณะที่โค้กมีราคาถูกมากและมีแพร่หลายทุกพื้นที่ ก็ไม่แปลกนักที่ชาวต่างชาติเขาจะใช้โค้กในการทำความสะอาดหรือใช้งานกันแปลกๆ (ก็มันประหยัด)
- เรื่องฤทธิ์กัดกร่อนกระดูกนั้น ที่จริงทางการแพทย์เคยเชื่อกันมานานและแนะนำอย่างนี้กันมานาน แต่ว่าในระยะหลังๆเริ่มมีงานวิจัยออกมาคัดค้าน เพราะว่ามีข้อสังเกตว่า กรดฟอสฟอริกที่เคยเชื่อว่าทำลายกระดูกก็มีในอาหารหลายชนิด แต่ว่าไม่ปรากฎว่าจะทำให้เกิดกระดูกพรุนได้
- งานวิจัยล่าสุดเมื่อปีที่แล้วในชุด The Framingham Osteoporosis Study ระบุถึงความเกี่ยวข้องของน้ำอัดลมต่อมวลกระดูก ก็บอกว่ามีโค้ก (แต่ไม่รวมถึงน้ำอัดลมแบบอื่นๆ)ที่ทำให้เกิดมวลกระดูกลดลง (แถมเกิดเฉพาะในผู้หญิง) http://www.ajcn.org/cgi/content/abstract/84/4/936 ... เลยทำให้ต้องกลับไปดูกันอีกว่า ตกลงแล้วน้ำอัดลมทำให้กระดูกพรุนได้อย่างที่เคยเชื่อจริงหรือ
- ข้อมูลที่บอกว่าดื่มน้ำป้องกันมะเร็งได้ อันนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่สนับสนุนชัดเจน
ดังนั้นเมื่อดูจากข้อมูลแล้วถ้าดูเผินๆจะไม่มีอะไร แต่มันสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าใจผิดว่าการดื่มน้ำอัดลมก่อให้เกิดการกัดกร่อนในกระเพาะ(โรคกระเพาะ ?) และก่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวข้องกัน ..... และความไม่มีอะไรและการที่ความเชื่อเรื่องน้ำอัดลม"กัดกระดูก"มันเป็นควาเชื่อมานาน พอมีคนออกมาคัดค้านก็อาจจะโดนมองว่าไม่น่าเชื่อถือ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- แต่การดื่มน้ำอัดลมกลุ่มที่มีน้ำตาล ก่อให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานชัดเจน
- การดื่มน้ำอัดลมที่ใส่สารทดแทนความหวาน ก็ก่อความเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนและเบาหวานได้เช่นกัน
แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 50 00:09:44
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:01:00 ]
6. โค้ก เป็นสิ่งอันตรายมาก (ทำให้กระดูกผุ)
ตัวอย่าง FWD http://www.maama.com/reading/view.php?id=001590
เนื้อหาของFWD << เนื้อหาในนั้นจะกล่าวถึงการคุณสมบัติที่ทำให้โค้กดูเหมือนเป็นน้ำอัดลมที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เป็นกรดที่รุนแรง ... ลำพังตัวฟอร์เวิร์ดนี้จะไม่มีอะไร แต่มันเป็นการไปตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกผุ น้ำอัดลมเป็นสารที่อันตราย ฯลฯ
วิเคราะห์FWD >>
- ถ้าตามเข้าไปดูในข้อมูลต่างๆในนั้น จะเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ดูแล้วทำให้โค้กเป็นวัสดุกัดกร่อนที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดกร่อนสิ่งต่างๆได้ การใช้งานก็ดูน่ากลัวสำหรับของที่จะเอามากิน
- (ปัจจัยในเวบบอร์ดต่างๆ และความเชื่อสมัยก่อน บอกว่าการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิดทำให้กระดูกผุ เพราะกรดในน้ำอัดลมจะไปละลายกระดูก)
- โค้กมีpH ที่ประมาณ2.5 อันนี้ก็จริง ... แต่
- น้ำมะนาวมีpH 2-2.5 ส่วนกรดในกระเพาะอาหาร มีpH 1.5-2 กัดกร่อนยิ่งกว่าโค้กเสียอีก เรื่องคุณสมบัติที่ว่านั้นหากเอาน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูไปแทนที่ก็ทำได้เหมือนกัน (แต่Apple cider vinegarดันบอกว่าดีต่อสุขภาพ ทำไมไม่บอกว่ากัดกระดูกล่ะ)
- ในต่างประเทศของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีราคาแพง ในขณะที่โค้กมีราคาถูกมากและมีแพร่หลายทุกพื้นที่ ก็ไม่แปลกนักที่ชาวต่างชาติเขาจะใช้โค้กในการทำความสะอาดหรือใช้งานกันแปลกๆ (ก็มันประหยัด)
- เรื่องฤทธิ์กัดกร่อนกระดูกนั้น ที่จริงทางการแพทย์เคยเชื่อกันมานานและแนะนำอย่างนี้กันมานาน แต่ว่าในระยะหลังๆเริ่มมีงานวิจัยออกมาคัดค้าน เพราะว่ามีข้อสังเกตว่า กรดฟอสฟอริกที่เคยเชื่อว่าทำลายกระดูกก็มีในอาหารหลายชนิด แต่ว่าไม่ปรากฎว่าจะทำให้เกิดกระดูกพรุนได้
- งานวิจัยล่าสุดเมื่อปีที่แล้วในชุด The Framingham Osteoporosis Study ระบุถึงความเกี่ยวข้องของน้ำอัดลมต่อมวลกระดูก ก็บอกว่ามีโค้ก (แต่ไม่รวมถึงน้ำอัดลมแบบอื่นๆ)ที่ทำให้เกิดมวลกระดูกลดลง (แถมเกิดเฉพาะในผู้หญิง) http://www.ajcn.org/cgi/content/abstract/84/4/936 ... เลยทำให้ต้องกลับไปดูกันอีกว่า ตกลงแล้วน้ำอัดลมทำให้กระดูกพรุนได้อย่างที่เคยเชื่อจริงหรือ
- ข้อมูลที่บอกว่าดื่มน้ำป้องกันมะเร็งได้ อันนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่สนับสนุนชัดเจน
ดังนั้นเมื่อดูจากข้อมูลแล้วถ้าดูเผินๆจะไม่มีอะไร แต่มันสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าใจผิดว่าการดื่มน้ำอัดลมก่อให้เกิดการกัดกร่อนในกระเพาะ(โรคกระเพาะ ?) และก่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวข้องกัน ..... และความไม่มีอะไรและการที่ความเชื่อเรื่องน้ำอัดลม"กัดกระดูก"มันเป็นควาเชื่อมานาน พอมีคนออกมาคัดค้านก็อาจจะโดนมองว่าไม่น่าเชื่อถือ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- แต่การดื่มน้ำอัดลมกลุ่มที่มีน้ำตาล ก่อให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานชัดเจน
- การดื่มน้ำอัดลมที่ใส่สารทดแทนความหวาน ก็ก่อความเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนและเบาหวานได้เช่นกัน
แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 50 00:09:44
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:01:00 ]
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 11
7. Cravit ยาอันตรายที่ต้องระวัง
ตัวอย่าง FWD http://www.fwdder.com/topic/11326
เนื้อหาของFWD << เนื้อหากล่าวถึงการที่แพทย์จ่ายยาอย่างไม่จำเป็นเพียงเพื่อหวังยอดขายและเงินส่วนแบ่ง ในนั้นอ้างว่ายาจะทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย มีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการอ้างว่ามีเภสัชกรมายืนยันว่าไม่ต้องกินก็ได้ ... และมีการแสดงตัวอย่างที่บอกว่าการกินยาตัวนี้ทำให้คนดีๆต้องมีอาการหนักขึ้น
วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้คนที่สร้างFWDน่าจะเป็นคนไทย ซึ่งขอแยกประเด็นเป็นดังนี้ครับ
- เรื่องการสั่งยาโดยไม่จำเป็น ... การให้ยาCravit โดยไม่จำเป็น ถามว่ามีไหมก็คงจะมี แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการวิจารณ์ เนื่องจากผมเองเป็นหมอเอง เอายาที่หมอหรือเภสัชกรจ่ายให้คนไข้มาดู ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ายานั้นเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องที่ว่าจำเป็นหรือไม่ต้องไปดูกันเป็นรายๆไป (ดังนั้นประเด็นนี้ไม่วิจารณ์ เพราะถ้าวิจารณ์จะเกิดการโต้เถียง) และเรื่องค่าคอมมิชชั่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จะเห็นว่าเรื่องนี้จับเอาคนสองฝ่ายมาชนกันในFWD คือ หมอและเภสัชกร ... ซึ่งถ้าเถียงไปเถียงมา อาจจะเกิดกระทบกระทั่งกันเองได้ (ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ผมว่าคุยกันวันหลังดีกว่านะครับ)
-ในFWDบอกว่ามันเป็นยาแก้ปวดแต่ที่จริง Cravit เป็นตัวยาที่มีชื่อว่า Levofloxacin เป็นยาปฏิชีวนะ ที่มักใช้ในการรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและปัสสาวะ ... ในเมืองไทยการจ่ายยาตัวนี้แบบมีข้อบ่งชี้ ก็คือ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่คาดว่าเชื้อจะดื้อยา ปอดบวม และ กรวยไตอักเสบ (แต่ปกติไม่ได้ใช้เป็นตัวแรกเพราะมันมีผลข้างเคียง)
- ข้อดีของยาตัวนี้ที่ทำให้นิยมในรพ.เอกชนคือ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และ ไม่ต้องฉีดยา
- อาการที่ในFWD กล่าวถึงผู้หญิงฝ่ายMarketing พิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากยาหรือเกิดจากโรค เพราะสมมุติว่าคนนั้นเป็นกรวยไตอักเสบ อาการของกรวยไตอักเสบก็สามารถทำให้อาการหนักจนเข้าโรงพยาบาลได้เช่นกัน
- ถ้ายามันมีผลเสียจนมากเกินผลดีจริงๆ ในอเมิรกาคงมีการฟ้องกันวุ่นวายแล้ว
- และถ้ามีผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดเป็นยาอันตรายที่ไม่ควรกิน ประโยชน์มากกว่าโทษ FDA เขาตัดทิ้งครับ ... เผลอๆบริษัทแม่เอาออกจากตลาดเอง เพราะว่าถ้าบริษัทเหล่านั้นโดนฟ้อง เขาถือว่าไม่คุ้มกัน
โดยสรุปแล้ว หากใครได้รับยานี้จากแพทย์ และคุณคิดว่าไม่มีความจำเป็น(แพง)หรือไม่อยากกิน(กลัว) ให้บอกกับแพทย์ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะว่าถ้าคุณเกิดจำเป็นต้องกินยานั้นขึ้นมาแล้วคุณไม่กิน อาจจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อได้ ... หรือถ้าหากกินยาแล้วไม่ดีขึ้นแทนที่จะไปโทษว่ายาเป็นสาเหตุน่าจะต้องระวังเรื่องการติดเชื้อที่รุนแรงเกินกว่ายาจะรับมือไหวดีกว่าครับ
ปล. ยาตัวนี้ผมก็เคยกิน
แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 50 00:10:06
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:04:12 ]
ตัวอย่าง FWD http://www.fwdder.com/topic/11326
เนื้อหาของFWD << เนื้อหากล่าวถึงการที่แพทย์จ่ายยาอย่างไม่จำเป็นเพียงเพื่อหวังยอดขายและเงินส่วนแบ่ง ในนั้นอ้างว่ายาจะทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย มีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการอ้างว่ามีเภสัชกรมายืนยันว่าไม่ต้องกินก็ได้ ... และมีการแสดงตัวอย่างที่บอกว่าการกินยาตัวนี้ทำให้คนดีๆต้องมีอาการหนักขึ้น
วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้คนที่สร้างFWDน่าจะเป็นคนไทย ซึ่งขอแยกประเด็นเป็นดังนี้ครับ
- เรื่องการสั่งยาโดยไม่จำเป็น ... การให้ยาCravit โดยไม่จำเป็น ถามว่ามีไหมก็คงจะมี แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการวิจารณ์ เนื่องจากผมเองเป็นหมอเอง เอายาที่หมอหรือเภสัชกรจ่ายให้คนไข้มาดู ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ายานั้นเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องที่ว่าจำเป็นหรือไม่ต้องไปดูกันเป็นรายๆไป (ดังนั้นประเด็นนี้ไม่วิจารณ์ เพราะถ้าวิจารณ์จะเกิดการโต้เถียง) และเรื่องค่าคอมมิชชั่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จะเห็นว่าเรื่องนี้จับเอาคนสองฝ่ายมาชนกันในFWD คือ หมอและเภสัชกร ... ซึ่งถ้าเถียงไปเถียงมา อาจจะเกิดกระทบกระทั่งกันเองได้ (ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ผมว่าคุยกันวันหลังดีกว่านะครับ)
-ในFWDบอกว่ามันเป็นยาแก้ปวดแต่ที่จริง Cravit เป็นตัวยาที่มีชื่อว่า Levofloxacin เป็นยาปฏิชีวนะ ที่มักใช้ในการรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและปัสสาวะ ... ในเมืองไทยการจ่ายยาตัวนี้แบบมีข้อบ่งชี้ ก็คือ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่คาดว่าเชื้อจะดื้อยา ปอดบวม และ กรวยไตอักเสบ (แต่ปกติไม่ได้ใช้เป็นตัวแรกเพราะมันมีผลข้างเคียง)
- ข้อดีของยาตัวนี้ที่ทำให้นิยมในรพ.เอกชนคือ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และ ไม่ต้องฉีดยา
- อาการที่ในFWD กล่าวถึงผู้หญิงฝ่ายMarketing พิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากยาหรือเกิดจากโรค เพราะสมมุติว่าคนนั้นเป็นกรวยไตอักเสบ อาการของกรวยไตอักเสบก็สามารถทำให้อาการหนักจนเข้าโรงพยาบาลได้เช่นกัน
- ถ้ายามันมีผลเสียจนมากเกินผลดีจริงๆ ในอเมิรกาคงมีการฟ้องกันวุ่นวายแล้ว
- และถ้ามีผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดเป็นยาอันตรายที่ไม่ควรกิน ประโยชน์มากกว่าโทษ FDA เขาตัดทิ้งครับ ... เผลอๆบริษัทแม่เอาออกจากตลาดเอง เพราะว่าถ้าบริษัทเหล่านั้นโดนฟ้อง เขาถือว่าไม่คุ้มกัน
โดยสรุปแล้ว หากใครได้รับยานี้จากแพทย์ และคุณคิดว่าไม่มีความจำเป็น(แพง)หรือไม่อยากกิน(กลัว) ให้บอกกับแพทย์ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะว่าถ้าคุณเกิดจำเป็นต้องกินยานั้นขึ้นมาแล้วคุณไม่กิน อาจจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อได้ ... หรือถ้าหากกินยาแล้วไม่ดีขึ้นแทนที่จะไปโทษว่ายาเป็นสาเหตุน่าจะต้องระวังเรื่องการติดเชื้อที่รุนแรงเกินกว่ายาจะรับมือไหวดีกว่าครับ
ปล. ยาตัวนี้ผมก็เคยกิน
แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 50 00:10:06
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:04:12 ]
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 12
อันนี้ค่อยดูเกี่ยวกะ TVI หน่อย
8. ขวดน้ำPETไม่ควรใช้ซ้ำ เพราะว่ามีสารก่อมะเร็ง
เนื้อหาของFWD << กล่าวอ้างถึงกรณีเด็กที่กินน้ำจากขวดน้ำใช้ซ้ำเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งตายลง ... ในเมล์มีข้อมูลว่าในขวดจะมีสาร DEHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในเมล์เวอร์ชั่นหลังๆ จะมีการค้นเอาข้อมูลการก่อมะเร็งของสารดังกล่าวมาโชว์ด้วย
วิเคราะห์FWD >> เมล์นี้เป็นเมล์แรกๆที่ผมพยายามค้นหาคำตอบ เพราะปกติจะใช้ขวดน้ำซ้ำๆ
- FDA หรืออย.อเมริกาถือว่าขวดPETปลอดภัยในการใส่อาหาร
- งานวิจัยที่บอกว่าขวดPET มีสาร DEHA คือ http://www.riskworld.com/Abstract/2001/ ... 1aa189.htm ซึ่งเป็น Thesis ของนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกนี่แหละ ... ซึ่งจากข้อมูลหลายที่ระบุว่าเกิดความเข้าใจผิดในชื่อย่อของสาร และการปนเปื้อนสารในการทดลองมากกว่า
- สารDEHAในเมล์ไม่ว่าของไทยหรือฝรั่ง จะลงชื่อว่า diethylhydroxylamine ... แต่ว่าสารที่ใช้ในการทำขวด PET คือDiethylhexyl adipate
- ข้อมูลในIARC http://www.inchem.org/documents/iarc/vol77/77-02.html ของสารDI(2-ETHYLHEXYL) ADIPATE สรุปสั้นๆด้านล่างว่า "not classifiable as to its carcinogenicity to humans "
- การระบุว่าขวดต่างๆให้ใช้ครั้งเดียวทิ้ง... เป็นมาตรการเดียวกันกับที่เขียนไว้ที่หนังสือการ์ตูนว่า "เฉพาะสำหรับอ่าน" (ห้ามเอาไปเช็ดก้น) ผู้ผลิตมุ่งเรื่องป้องกันการนำไปใช้ซ้ำแล้วล้างไม่สะอาดทิ้งไว้จนอาจจะเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ครับ
แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 50 00:10:29
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:04:42 ]
8. ขวดน้ำPETไม่ควรใช้ซ้ำ เพราะว่ามีสารก่อมะเร็ง
เนื้อหาของFWD << กล่าวอ้างถึงกรณีเด็กที่กินน้ำจากขวดน้ำใช้ซ้ำเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งตายลง ... ในเมล์มีข้อมูลว่าในขวดจะมีสาร DEHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในเมล์เวอร์ชั่นหลังๆ จะมีการค้นเอาข้อมูลการก่อมะเร็งของสารดังกล่าวมาโชว์ด้วย
วิเคราะห์FWD >> เมล์นี้เป็นเมล์แรกๆที่ผมพยายามค้นหาคำตอบ เพราะปกติจะใช้ขวดน้ำซ้ำๆ
- FDA หรืออย.อเมริกาถือว่าขวดPETปลอดภัยในการใส่อาหาร
- งานวิจัยที่บอกว่าขวดPET มีสาร DEHA คือ http://www.riskworld.com/Abstract/2001/ ... 1aa189.htm ซึ่งเป็น Thesis ของนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกนี่แหละ ... ซึ่งจากข้อมูลหลายที่ระบุว่าเกิดความเข้าใจผิดในชื่อย่อของสาร และการปนเปื้อนสารในการทดลองมากกว่า
- สารDEHAในเมล์ไม่ว่าของไทยหรือฝรั่ง จะลงชื่อว่า diethylhydroxylamine ... แต่ว่าสารที่ใช้ในการทำขวด PET คือDiethylhexyl adipate
- ข้อมูลในIARC http://www.inchem.org/documents/iarc/vol77/77-02.html ของสารDI(2-ETHYLHEXYL) ADIPATE สรุปสั้นๆด้านล่างว่า "not classifiable as to its carcinogenicity to humans "
- การระบุว่าขวดต่างๆให้ใช้ครั้งเดียวทิ้ง... เป็นมาตรการเดียวกันกับที่เขียนไว้ที่หนังสือการ์ตูนว่า "เฉพาะสำหรับอ่าน" (ห้ามเอาไปเช็ดก้น) ผู้ผลิตมุ่งเรื่องป้องกันการนำไปใช้ซ้ำแล้วล้างไม่สะอาดทิ้งไว้จนอาจจะเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ครับ
แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 50 00:10:29
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:04:42 ]
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 13
9. ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ทำให้เป็นมะเร็ง
ตัวอย่าง FWD http://bbs.srp.ac.th/showthread.php?t=2902
เนื้อหาของFWD << บอกถึงการดื่มน้ำเย็นๆลงไป จากนั้นน้ำเย็นไปทำให้ไขมันจับเป็นก้อนสีขาวๆและไปจับลำไส้กลายเป็นมะเร็ง
วิเคราะห์FWD >> เอ่อ......-_-' อ่านดูเหมือนจะดี แต่ไร้สาระครับ
- ต่อให้กินอาหารที่เป็นมันๆลงไปแล้วดื่มน้ำเย็นตามจนเกิดไขมันจับเป็นลิ่มๆในท้องจริง แต่ท้องเราอยู่ในลำตัว ดังนั้นสักพักอุณหภูมิจะเปลี่ยนกลับเป็น 37องศาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวมันก็กลายเป็นน้ำมันอยู่ดี
- ในชีวิตจริง เรากินมันหลายชนิดที่เป็นก้อนๆอยู่แล้ว ดังนั้นไขมันบางตัวจะไม่ละลายตั้งแต่ต้น
- กระบวนการย่อยไขมันใช้น้ำย่อย ... เป็นปฏิกริยาทางเคมี ต่อให้มันเป็นก้อนก็ย่อยสลายอยู่ดี
- สมมุติยังกลัวว่ามันจะไปจับลำไส้จริง ลำไส้คนเรามีการผลัดเซลล์เป็นระยะ ดังนั้นมันจับได้จับไป เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง
- ที่สำคัญที่สุด *** การเป็นมะเร็งในลำไส้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำเย็นครับ ... ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับการกินไขมันเยอะน้ำตาลเยอะกินกากใยน้อย ดังนั้นแก้ปัญหาผิดจุดเอามากๆ ***
จริงๆเป็นหนึ่งในฟอร์เวิร์ดที่ไร้สาระจนอาจจะไม่มีค่าควรเอามาไว้ แต่มันมีเหตุผลบางอย่างครับที่ทำให้ผมต้องเอามาใส่ไว้ ... ถ้าเจ้าตัวบังเอิญผ่านมาเห็นรบกวนอ่านด้วยแล้วกันครับ
แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 50 23:23:44
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:07:04 ]
ตัวอย่าง FWD http://bbs.srp.ac.th/showthread.php?t=2902
เนื้อหาของFWD << บอกถึงการดื่มน้ำเย็นๆลงไป จากนั้นน้ำเย็นไปทำให้ไขมันจับเป็นก้อนสีขาวๆและไปจับลำไส้กลายเป็นมะเร็ง
วิเคราะห์FWD >> เอ่อ......-_-' อ่านดูเหมือนจะดี แต่ไร้สาระครับ
- ต่อให้กินอาหารที่เป็นมันๆลงไปแล้วดื่มน้ำเย็นตามจนเกิดไขมันจับเป็นลิ่มๆในท้องจริง แต่ท้องเราอยู่ในลำตัว ดังนั้นสักพักอุณหภูมิจะเปลี่ยนกลับเป็น 37องศาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวมันก็กลายเป็นน้ำมันอยู่ดี
- ในชีวิตจริง เรากินมันหลายชนิดที่เป็นก้อนๆอยู่แล้ว ดังนั้นไขมันบางตัวจะไม่ละลายตั้งแต่ต้น
- กระบวนการย่อยไขมันใช้น้ำย่อย ... เป็นปฏิกริยาทางเคมี ต่อให้มันเป็นก้อนก็ย่อยสลายอยู่ดี
- สมมุติยังกลัวว่ามันจะไปจับลำไส้จริง ลำไส้คนเรามีการผลัดเซลล์เป็นระยะ ดังนั้นมันจับได้จับไป เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง
- ที่สำคัญที่สุด *** การเป็นมะเร็งในลำไส้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำเย็นครับ ... ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับการกินไขมันเยอะน้ำตาลเยอะกินกากใยน้อย ดังนั้นแก้ปัญหาผิดจุดเอามากๆ ***
จริงๆเป็นหนึ่งในฟอร์เวิร์ดที่ไร้สาระจนอาจจะไม่มีค่าควรเอามาไว้ แต่มันมีเหตุผลบางอย่างครับที่ทำให้ผมต้องเอามาใส่ไว้ ... ถ้าเจ้าตัวบังเอิญผ่านมาเห็นรบกวนอ่านด้วยแล้วกันครับ
แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 50 23:23:44
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:07:04 ]
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
วิเคราะห์ Forward Mail กันครับ (หมอทั้งหลายมายืนยันหน่อยนะ)
โพสต์ที่ 14
10 ระวังแมงมุมใต้ห้องน้ำเครื่องบิน / ระวังแมงมุมเทลาโมเนีย
ตัวอย่าง FWD http://www.saranair.com/article.php?sid=9292 ภาษาไทย
http://www.health2know.com/killer-spide ... -telamonia ภาษาอังกฤษ พร้อมรูป
เนื้อหาของFWD << เล่าถึงแมงมุมพิษร้ายแรงบนเครื่องบินที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาก่อเหตุที่มาเลเซีย
วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้สืบค้นยากหน่อยนึง เพราะว่าเป็นภาษาไทยหมดโดยถูกแปลมาอีกที แต่เมื่อค้นจากชื่อแมงมุมกลับเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องราวก็กระจ่าง
- แมงมุมเทลาโมเนีย เป็นแมงมุมกระโดดครับ (ไอ้ตัวเล็กๆที่โดดไปมาตามพื้นนี่แหละ) กัดคนได้ยังไงยังน่าสงสัยอยู่
- เมล์แบบนี้มีหลายversionมากๆๆๆ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อแมงมุม เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุ ... อันแรกๆอยู่ในอเมริกา จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปมาจนกระทั่ง เปลี่ยนที่เป็นเกิดเหตุในกัวลาลัมเปอร์ ก็ได้มีคนแปลเป็นภาษาไทยเนื่องด้วยเห็นว่าอยู่ใกล้เมืองไทย !!!
- พวกนี้มันจะอาศัยในเครื่องบินได้ยังไงครับ (หรือว่าเครื่องบินมีหนอนกะหล่ำให้มันกิน)
สรุปแล้ว ความหวังดีของผู้ที่ได้รับเมล์แล้วแปลออกมา ก็ทำให้เกิดความตื่นกลัวแมงมุมขึ้นมา(อีกครั้ง)
แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 50 23:48:07
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:07:38 ]
ตัวอย่าง FWD http://www.saranair.com/article.php?sid=9292 ภาษาไทย
http://www.health2know.com/killer-spide ... -telamonia ภาษาอังกฤษ พร้อมรูป
เนื้อหาของFWD << เล่าถึงแมงมุมพิษร้ายแรงบนเครื่องบินที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาก่อเหตุที่มาเลเซีย
วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้สืบค้นยากหน่อยนึง เพราะว่าเป็นภาษาไทยหมดโดยถูกแปลมาอีกที แต่เมื่อค้นจากชื่อแมงมุมกลับเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องราวก็กระจ่าง
- แมงมุมเทลาโมเนีย เป็นแมงมุมกระโดดครับ (ไอ้ตัวเล็กๆที่โดดไปมาตามพื้นนี่แหละ) กัดคนได้ยังไงยังน่าสงสัยอยู่
- เมล์แบบนี้มีหลายversionมากๆๆๆ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อแมงมุม เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุ ... อันแรกๆอยู่ในอเมริกา จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปมาจนกระทั่ง เปลี่ยนที่เป็นเกิดเหตุในกัวลาลัมเปอร์ ก็ได้มีคนแปลเป็นภาษาไทยเนื่องด้วยเห็นว่าอยู่ใกล้เมืองไทย !!!
- พวกนี้มันจะอาศัยในเครื่องบินได้ยังไงครับ (หรือว่าเครื่องบินมีหนอนกะหล่ำให้มันกิน)
สรุปแล้ว ความหวังดีของผู้ที่ได้รับเมล์แล้วแปลออกมา ก็ทำให้เกิดความตื่นกลัวแมงมุมขึ้นมา(อีกครั้ง)
แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 50 23:48:07
จากคุณ : หมอแมว - [ 21 ต.ค. 50 23:07:38 ]