อ่านข่าวนี้รู้สึกอย่างไรคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้รู้สึกอย่างไรคับ
โพสต์ที่ 2
ดิฉันว่า โลกจะยังคงมีทิศทางที่ถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่อง และจะยากหรือพูดง่ายๆว่า "ไม่มีทาง"เปลี่ยนกลับทิศได้
นอกจาก มนุษย์จะตระหนักถึง การลดอัตราการเกิดของสายพันธุ์มนุษย์ลง
หรือ ขยายอาณาเขตในการอยู่อาศัยของมนุษย์ไปยังดาวดวงอื่นได้ ให้ทันต่ออัตราการเกิดที่ทวีคูณ
และการทำลายตัวเองลงด้วยกระบวนการเกิดเองนี้นั้น อาจถูกเร่งให้รวดเร็วหรือฉับพลันทันทีได้ทุกเมื่อ หากการเกิดนั้นเพิ่มจำนวนไปสู่ระดับที่ มนุษย์นั้นแออัดเพิ่มถึงขีดที่ พื้นที่และทรัพยากร ไม่เพียงพอต่อการแชร์จำนวนหน่วยให้แก่กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งโดยปกติ การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ต่างพื้นที่นั้น อยู่ในสันดานดิบของมนุษย์เองอยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันจะพบว่ากระบวนการทำลายล้างกันนี้เริ่มมีอย่างเป็นระบบ เป็นเครือข่ายมากขึ้น ทั้งอาวุธที่ใช้ก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่เพียงทำลายมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่ยังเลยไปถึงทำลายตัวทรัพยากรเองด้วย เช่น เมื่อก่อนก็แค่ยิงกันตาย แต่ต้นไม้ยังสามารถตั้งอยู่ข้างๆศพหน่วยนั้นได้ ...แต่เดี๋ยวนี้.... เมื่อเกิดวิธีการทำลายอย่างเป็นระบบและเครือข่ายใหญ่ การทำลายย่อมต้องมุ่งทำลายไปทั้งเครือนั้นเป็นวงกว้าง จึงย่อมต้องพัฒนาอาวุธที่มีวิสัยการทำลายที่เป็นอาณาเขตกว้างขึ้น ...จึงครอบคลุมถึงการทำลายทรัพยากรไปด้วยในคราวเดียวกัน
เมื่อกลับมาที่จุดเริ่มของปัญหาที่แท้ มันมาจาก
"อัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรที่เริ่มไม่สมดุลย์ต่อปริมาณทรัพยากร ที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้ในการดำรงอยู่"
นอกจาก มนุษย์จะตระหนักถึง การลดอัตราการเกิดของสายพันธุ์มนุษย์ลง
หรือ ขยายอาณาเขตในการอยู่อาศัยของมนุษย์ไปยังดาวดวงอื่นได้ ให้ทันต่ออัตราการเกิดที่ทวีคูณ
และการทำลายตัวเองลงด้วยกระบวนการเกิดเองนี้นั้น อาจถูกเร่งให้รวดเร็วหรือฉับพลันทันทีได้ทุกเมื่อ หากการเกิดนั้นเพิ่มจำนวนไปสู่ระดับที่ มนุษย์นั้นแออัดเพิ่มถึงขีดที่ พื้นที่และทรัพยากร ไม่เพียงพอต่อการแชร์จำนวนหน่วยให้แก่กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งโดยปกติ การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ต่างพื้นที่นั้น อยู่ในสันดานดิบของมนุษย์เองอยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันจะพบว่ากระบวนการทำลายล้างกันนี้เริ่มมีอย่างเป็นระบบ เป็นเครือข่ายมากขึ้น ทั้งอาวุธที่ใช้ก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่เพียงทำลายมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่ยังเลยไปถึงทำลายตัวทรัพยากรเองด้วย เช่น เมื่อก่อนก็แค่ยิงกันตาย แต่ต้นไม้ยังสามารถตั้งอยู่ข้างๆศพหน่วยนั้นได้ ...แต่เดี๋ยวนี้.... เมื่อเกิดวิธีการทำลายอย่างเป็นระบบและเครือข่ายใหญ่ การทำลายย่อมต้องมุ่งทำลายไปทั้งเครือนั้นเป็นวงกว้าง จึงย่อมต้องพัฒนาอาวุธที่มีวิสัยการทำลายที่เป็นอาณาเขตกว้างขึ้น ...จึงครอบคลุมถึงการทำลายทรัพยากรไปด้วยในคราวเดียวกัน
เมื่อกลับมาที่จุดเริ่มของปัญหาที่แท้ มันมาจาก
"อัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรที่เริ่มไม่สมดุลย์ต่อปริมาณทรัพยากร ที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้ในการดำรงอยู่"
-
- Verified User
- โพสต์: 384
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้รู้สึกอย่างไรคับ
โพสต์ที่ 4
"กะลาภิวัฒน์"
"Galalization"
ของ ดร.ไสว บุญมา
ได้สรุปเนื้อหาของหนังสือดังๆหลายเล่ม
และแสดงความเห็นไว้
เป็นหนังสือเกี่ยวกับ แนวคิดทางเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม
บทแรกเป็นหนังสือชื่อ
the chaos point
ซึ่งได้แบ่งโลกไว้เป็น 4 ช่วง
ช่วงแรก ช่วงริเริ่ม
อยู่ในช่วงปี1800-1960
เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มสร้างเทคโนโลยี
และเกดการปฎิวัติอุตสาหกรรม
ช่วงสอง ช่วงสะสม
1960-2004
เป็นช่วงที่ เทคโนโลยี มีผลกับความเป็นอยู่อย่างชัดเจน
การเพิ่มผลผลิต การบริโภค ความสะดวกสบาย
อัตราประชากร ซึ่งหมายถึง
การใช้ทรัพยากรและการทำลายสิ่งแวดล้อม
ช่วงสาม ช่วงตัดสินใจ
2004-2012
ช่วงนี้คนจะเริ่มสงสัยในเรื่องราวที่ผ่านมา
เริ่มสงสัยในด้านความคิด การมองโลก
เช่นการบริโภคที่มากขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น
กลับไม่ค่อยมีความสุขมากขึ้นอย่างที่คาด
ปัญหาสังคมเริ่มเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อม
จุดวิกฤติ the chaos point
ปี 2012 หรืออีกเพียง 5 ปีเท่านั้น
ณ. จุดนี้ โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม
ส่วนจะเป็นไปทางใด
ระหว่างล่มสลาย กับรุ่งเรืองนั้น
ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เหมาะกับธรรมชาติ
ซึ่งสำหรับ มนุษย์แล้ว
คงไม่ใช่ การมีขนที่ยาวขึ้น
หรืออะไรพวกนั้น
แต่เป็น การปรับความคิด
เพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติ
มากกว่า การเอาชนะ
ถ้าปรับได้ ก็พัฒนา
ถ้าไม่ได้ ก็เกมส์
"Galalization"
ของ ดร.ไสว บุญมา
ได้สรุปเนื้อหาของหนังสือดังๆหลายเล่ม
และแสดงความเห็นไว้
เป็นหนังสือเกี่ยวกับ แนวคิดทางเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม
บทแรกเป็นหนังสือชื่อ
the chaos point
ซึ่งได้แบ่งโลกไว้เป็น 4 ช่วง
ช่วงแรก ช่วงริเริ่ม
อยู่ในช่วงปี1800-1960
เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มสร้างเทคโนโลยี
และเกดการปฎิวัติอุตสาหกรรม
ช่วงสอง ช่วงสะสม
1960-2004
เป็นช่วงที่ เทคโนโลยี มีผลกับความเป็นอยู่อย่างชัดเจน
การเพิ่มผลผลิต การบริโภค ความสะดวกสบาย
อัตราประชากร ซึ่งหมายถึง
การใช้ทรัพยากรและการทำลายสิ่งแวดล้อม
ช่วงสาม ช่วงตัดสินใจ
2004-2012
ช่วงนี้คนจะเริ่มสงสัยในเรื่องราวที่ผ่านมา
เริ่มสงสัยในด้านความคิด การมองโลก
เช่นการบริโภคที่มากขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น
กลับไม่ค่อยมีความสุขมากขึ้นอย่างที่คาด
ปัญหาสังคมเริ่มเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อม
จุดวิกฤติ the chaos point
ปี 2012 หรืออีกเพียง 5 ปีเท่านั้น
ณ. จุดนี้ โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม
ส่วนจะเป็นไปทางใด
ระหว่างล่มสลาย กับรุ่งเรืองนั้น
ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เหมาะกับธรรมชาติ
ซึ่งสำหรับ มนุษย์แล้ว
คงไม่ใช่ การมีขนที่ยาวขึ้น
หรืออะไรพวกนั้น
แต่เป็น การปรับความคิด
เพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติ
มากกว่า การเอาชนะ
ถ้าปรับได้ ก็พัฒนา
ถ้าไม่ได้ ก็เกมส์
แมนยู โรม่า ลิสบอน เคี๊ยฟ
หมาป่าสู้สู้
หมาป่าสู้สู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้รู้สึกอย่างไรคับ
โพสต์ที่ 5
ผมเห็นข่าวแล้วอยากปลูกต้นไม้มากขึ้นอ่ะ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านข่าวนี้รู้สึกอย่างไรคับ
โพสต์ที่ 6
ภัยน้ำท่วม สิ่งที่ตามมาผมกลัวเรื่องโรคระบาดมากที่สุด
จริงอยู่เทคโนเราน่าจะสามารถรักษา โรคระบาดส่วนใหญ่ได้
แต่ปริมาณยาสำรองแต่ละประเทศเผื่อไว้อัตรา เท่าไร
เมื่อเทียบประชากรแต่ละประเทศ
ความจริงไทยน่าจะเริ่มสำรองยา บางประเภทให้มากพอนะผมว่า
ไม่งั้นจะเจอกับปัญหา ยาราคาแพงขึ้น
จริงอยู่เทคโนเราน่าจะสามารถรักษา โรคระบาดส่วนใหญ่ได้
แต่ปริมาณยาสำรองแต่ละประเทศเผื่อไว้อัตรา เท่าไร
เมื่อเทียบประชากรแต่ละประเทศ
ความจริงไทยน่าจะเริ่มสำรองยา บางประเภทให้มากพอนะผมว่า
ไม่งั้นจะเจอกับปัญหา ยาราคาแพงขึ้น