แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 541

โพสต์

อยากให้ทุกท่านฟัง Money Talk ของพี่พีรนาถ ที่เล่าประสบการณ์ในช่วงปี 2563
ทำไมหรือครับ ที่ให้ทุกท่านฟัง เพราะมันมีประเด็นดังนี้
1. ไม่ค่อยมีใครเล่าเรื่องที่ประสบการณ์ด้านลบในการลงทุน โดยเฉพาะช่วงที่เราถือสินทรัพย์แล้ว สินทรัพย์นั้นราคาลดลง
แล้วเราต้องการขาย ว่าทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร
2. ไม่ค่อยมีคนแบ่งปันประสบการณ์ว่า ออกจากวิกฤติอย่างไร ในเมื่อเราใช้ Margin แล้วโดย Call
3. ไม่มีใครเล่าเรื่องการปรับสภาพจิตใจ ในช่วงวิกฤติ ว่าทำกันอย่างไร หันไปพึ่งพาอะไรในช่วงเวลานั้น
4. ไม่มีใครบอกกล่าวว่า ในช่วงวิกฤตินั้น ก็มีแสงสว่างจากคน โดยคนที่ยื่นมือมานั้นเป็นเช่นไร

อันนี้สำคัญกว่า เรื่องที่บอกว่าสำเร็จอย่างไร เพราะว่า คนที่เล่านั้น ต้องกล้าหากมาก ในเรื่องด้านลบ
และ ยังอยู่ได้ในการลงทุนต่อไป
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 542

โพสต์

Netflix ไม่ใช่แค่ ดูหนัง ดูซีรีย์ เท่านั้นแต่มันคือ เอ็นเตอร์เทอร์เมนต์ครบวงจร ที่มาทดแทน TV และ ภาพยนต์ และขั้นตอนการสร้างทั้งหมด

Netflix นั้น ก่อนตั้งเมื่อปี 1997 หลังจากคุณ Reed Hastings ขายกิจการของตัวเองออกไป
เป็นการส่ง ม้วนเทป (VHS) โดยส่งผ่านจดหมาย ซึ่ง เหมือนกับ Amezon ที่ ส่งหนังสือทางจดหมาย
เรียกได้ว่า เริ่มต้นคล้ายคลึงกัน แต่ปัจจุบัน นั้น Amezon ไม่เพียงแค่ หนังสือเท่านั้นแต่ ทว่า กลับกลายเป็น
ูธุรกิจบริการ Cloud Computing ที่ ใหญ่ระดับโลก ที่เทียบเท่า Google /Microsoft/IBM หรือเจ้าอื่นที่เป็นผู้นำ IT ของโลก
กลับมาที่ Netflix นั้น กาลเวลาก็โดนมรสุมลูกใหญ่คือ วิกฤติ Dot com จนทำให้ต้องลดคน เหลือประมาณ 2 ใน 3 ของที่มี (จาก 120 เหลือ 80) จุดนี้แหละ ที่เป็นจุดเปลี่ยนของ Netflix เลยทีเดียว เพราะทำให้รู้ว่า คนเก่งเมื่อเวลาอยู่ด้วยกัน แล้ว มีจิตใจที่รวบกันต่อสู้เพื่อกิจการ แล้วเป็นเช่นไร

่คนเก่ง 80 คน ทำให้งาน เท่ากับ 120 คน แถม moral ของพนักงานไม่ลดลง อีกต่างหาก
จุดเปลี่ยน จุดนี้แหละ เป็นจุดสำคัญ เลยทีเดียว ทำให้ต่อมา Reed ก็ต้องการแต่คนเก่งเข้ามาในกิจการของตัวเอง

ตัดภาพในปัจจุบัน Netflix ไม่เพียงแค่ มี หนังหรือ ซีรีย์ ที่ส่งให้คนดู มีสารคดี ด้วย โดยที่
ตอนเริ่มต้นของจุดนี้คือ outsource ให้ Studio ใหญ่ทำให้ แต่ทว่าโดยปฏิเสธอย่างมาก จนกระทั่งตัวเองก็ต้องทำเอง
ไม่เพียงทำเองเท่านั้น แต่ทำในลักษณะของ Local จ้างคนท้องถิ่นประเทศนั้นๆทำขึ้นมาเองเลย ทำให้มันเหมาะกับแต่ละประเทศเลยทีเดียว
และไม่เพียงแค่นั้น เมื่อก่อน สถาบันการประกาศรางวัลเกี่ยวกับรายการทีวี หรือ ภาพยนต์ก็ไม่ยอมให้ Netflix เสนอชื่อเข้าประกวดได้ แต่ในปัจจุบันกลับกลายเป็น Netflix เริ่มได้รางวัล เหล่านั้นเสียเอง เริ่มทำให้ Studio หรือ เจ้าของรายการทีวี หรือ ซีรีย์ หรือภาพยนต์จับตามองอย่างมาก จุดเปลี่ยนนี้แหละที่สำคัญเพราะว่า สิ่งที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้านั้น ทำแบบเจาะกลุ่มตลาดในแต่ละพื้นที่ของโลกไปเรื่อยๆ
อีกประกาศที่ Netflix ให้ความสำคัญคือ และแตกต่างกับ บริษัทอื่นๆ คือให้อำนาจแก่พนักงานอย่างมาก ในเรื่องของการตัดสินใจ ถ้าหากพนักงานนั่ง First class แล้ว ทำให้ ได้ดีล ก็ทำไป หากทำแล้ว มีผลกระทบ ต้องรู้ว่ามันต้นเหตุมาจากอะไร ผิดไม่ว่า แต่ต้องรู้ว่าสาเหตุคืออะไร จะได้ไม่ผิดซ้ำ โดยเฉพาะพนักงานที่มีปัญหา บริษัทเป่าประกาศหลังจากที่พนักงานคนนั้นออกไปว่า มีปัญหาเพราะอะไร (องค์กรคนไทย ไม่บอกเรื่องพวกนี้ ว่าใครทำอะไร มีปัญหาอะไร เก็บเงียบ ต้องไปคุยในทีลับกันเอาเอง)
และที่สำคัญคือ คุณต้องออกเงินไปก่อน แล้วเครมบริษัทที่หลัง อันนี้คือ ถ้าหากพนักงานต้องจ่ายเงินแล้ว มันคือพนักงานต้องคิดแล้วว่า มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ทำให้ตัวพนักงานเองได้ประโยชน์ที่สูงสุด นั้นคือ องค์กรก็ลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ด้วย
แต่ทว่า สิ่งสำคัญคือ เมื่อพนักงานจ่ายเงินไปแล้ว บริษัทก้ต้องทำเรื่องเบิกคืนให้เร็วที่สุดเหมือนกัน ไม่ใช่ ข้ามไป 2-3 เดือน แล้วเบิกให้ แบบนี้ พนักงานก็หมุนเงินไม่ทัน ตัวพนักงานเองก็ต้องกินก็ต้องใช้งาน (จุดนี้บางบริษัทในประเทศไทย ทำแต่ทว่าขั้นตอนการเบิกเงิน ยุ่งยาก แบบเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว)
ตัดกลับมา ถ้าทำพวกสื่อจะรู้ดี คือ ถ้าหาก คนทำไม่มีอารมณ์หรือไม่มีจิตใจทำ ผลงานทีดีๆก็สามารถออกมาสู่สายตาของสาธารณชนได้ นั้นเอง นั้นคือ ทำอย่างไร ให้พนักงานมีความสุข ในการทำงานให้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้ ผลงานที่ได้นั้นเป็นการส่งความสุขให้แก่ผู้รับชม Netflix นั้นเอง

ทุกอย่าง ไม่ใช่สร้างขึ้นได้วันเดียว แต่มันสะสมเรื่อยมา จนเป็นวัฒนธรรมขององค์กร

แล้วคู่แข่งของ Netflix ไม่ใช่แค่ Streaming ไม่ใช่ Studio เท่านั้น ไม่ใช่ TV หรือ Youtube แต่ทว่า กลับกลายเป็นเวลาของผู้ใช้บริการที่มีแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น งานนี้มันคืออะไร เราสามารถเอาเอง ที่ทุกคนมีจำกัด เอาไปดู ซีรีย์ ดูหนัง ผ่าน Netflix ได้ เพราะว่า เพื่อนเราดูว่า บอกต่อกัน กลัวการคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องหรือเปล่า คือการเกิด Network effect ของ ผู้ใช้บริการที่บอกต่อๆ แบบ ปากต่อปาก ไม่ต้องเสียเงินโฆษณาเลย แต่กลับกลายเป็น เขามารับชมแล้ว บอกต่อ นั้นคือตัว Netflix โฆษณาด้วยตัวของมันเอง โดยใช้ สื่อที่ตัวเองสร้างเป็นเครื่องมือในการโฆษณา หากมองย้อนกลับไป นั้นคือ ถ้าหากสื่อที่สร้างด้วยตัวเอง นั้นไม่ดี ไม่ส่งต่อความสุขได้ ก็คือ The end เหมือนกัน ไม่เกิด Network effect แบบนี้เกิดขึ้นจนเป็น กระแสแบบ Talk of the town ได้นั้นเอง

ส่วนคนอื่นที่มาทำแล้ว น่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Netflix เท่าที่มอง นั้นคือ Disney ซึ่ง หาก Disney ยังคง concept เดิมไว้อยู่คือ สร้างความสุขให้แก่สาธารณชนได้ ก็เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่ข้อเสียของ Disney คือ วัฒนธรรมองค์ที่มีอายุ เกือบ 100 ปี แล้ว ขั้นตอนที่เยอะมาก แต่หาก Disney ให้แต่ละ Studio ในชายคาบ้านตัวเอง ทำแบบ องคพยพ เดียวกันได้ แล้วสร้างความสุขแบบ มาเวล ทำแล้วละกัน ก็น่าคิดว่า ถ้าหากดูเรื่องนี้แล้วไม่รู้เรื่องนี้ มันดูไม่ดูเรื่อง แถมมันคือจิตใจของรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ที่พลาดไม่ได้แล้ว ละกัน งานนี้ก็ มวยถูกคู่ในด้านนี้เลยทีเดียว

สิ่งที่ Netflix ที่ต้องระวังคือ องค์กรนี้ อายุยังน้อยอยู่ ประมาณ 20 ปีเท่านั้น ไม่ได้เผชิญ เหตุการณ์หนักๆ มากเท่ากับคู่แข่ง
ที่มีการเปลี่ยนแปลง มาหลายอย่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การกีดกั้นการค้า oil shock เงินเฟ้อผิดปกติ เศรษฐกิจตกต่ำ พวกนี้ยังไม่โดนมากเท่าไร ดังนั้น เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องที่พิสูจน์ องค์กรแบบ Netflix ว่าระยะยาวนั้นอยู่รอดไหม
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 543

โพสต์

การกลับตัวของเศรษฐกิจหลังโควิค 19
ตอนนี้เราอยู่หลังท้ายเรื่องของโควิค 19 แล้ว คือเริ่มการกระจายวัคซีนและฉีดวัคซีนแล้ว
แต่หนังเรื่องนี้ท่าทางจบได้ยาก เพราะว่า วัคซีนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศพัฒนาแล้ว ไปซักงั้น
ไมใช่เครื่องมือที่ใช้ช่วยชีวิตคน จากการที่คนของตัวเองต้องได้ก่อน ตอนนี้ตลาดนี้เป็นตลาดของผู้ผลิต ซึ่งอีกซักระยะหนึ่งก็กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ เพราะ จำนวนบริษัทที่สามารถผลิตได้มีมากขึ้น และกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นนั้นเอง
จุดนี้แหละที่ทำให้ตลาดกลายเป็นของผู้ซื้อ เราไม่พูดถึงประเด็นเหล่านั้นละกัน แต่กลับมาเศรษฐกิจ
มองไปในปี 2021 ว่าการกลับตัวของเศรษฐกิจเป็นเช่นไร
เรามามองมาตรการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมา คือ
1. ยืดหนี้ ให้ โดยการพักต้นและพักดอกเบี้ย อันนี้คุยกันเป็นรายกิจการเลย กับธนาคาร
ถ้าคุยธนาคารไม่รู้เรื่อง โทรไปธปท ได้เลย เดี๋ยวจัดการให้
2. คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระแบบใหม่ อันนี้กำลังเริ่มต้น จากเดิมที่คิดทั้งก้อน คิดแค่งวดที่ผิดค้างชำระเท่านั้น
ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องมานานแล้วเพิ่งจะดำเนินการ (อันนี้กระทบรายได้ของธนาคาร แต่ทว่า มองในแง่ดีคือ
NPL ก็ไม่พุ่ง ลูกนี้มีปัญญาหาเงินมาจ่ายได้ละกัน )
3. การจับมือกับทุกภาคส่วนในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้รอดให้ได้

ตอนนี้หากใครที่ถอดใจก็ไปแล้ว ที่เหลือคือพวกที่แข็งใจทำต่อ เพราะว่า ตลาดหลังจากโควิค 19 คือ คู่แข่งน้อยลง
คู่แข่งจะเหลือแต่รายที่แข็งแรง ที่อยู่รอดได้ ซึ่งตอนนี้กิจการที่น่าสนใจมากคือ โรงแรม เพราะว่า โรงแรมตอนนี้ เทขายกันหมดหน่วง ทำไมน่าสนใจ
ก่อนหน้านี้โรงแรมนั้น โดน AirBnB มา Disrupt เอาบ้าน หรือคอนโดมิเนี่ยมมาปล่อยเช่ารายวันได้ จนต้องออกระเบียบออกมาห้ามคอนโดมิเนี่ยมปล่อยเช่า แต่สุดท้ายก็ยังทำกันอยู่ จนมีโควิค 19 เท่านั้นแหละ เรียบร้อยซาไป
เมื่อโรงแรมโดน Disrupt ก็สามารถอยู่รอดได้ เพราะ ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างนั้น มีค่า สร้างทดแทนก็ใช้เงินมาก ดังนั้น ก็ต้อง maintain ไป ขายก็ได้ราคาเพราะที่ดินมีจำนวนจำกัด แต่ทว่า ธุรกิจนี้กู้หนัก หรือลงทุนระยะยาวกว่าคืนทุน แล้วต้องปรับปรุงบ่อยๆด้วย นั้นเอง
จุดนี้แหละ ที่น่าสนใจเพราะการประกาศขายโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจที่กระทบหนักสุด และมากที่สุด ออกมาแล้ว
แสดงว่า สัญญาณการฟื้นตัวกลับมาแล้ว

หากย้อนกลับไปมองปี 2008 สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคืออะไร มาตรการ 2,000 บาทแจกให้กับผู้ประกันตน ที่เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาทเป็นการเร่งเครื่องเศรษฐกิจให้ขยายตัว คือ ขึ้นฮ.แล้วโปรยเงินลงมาให้ใช้ หากไม่ใช้ตามระยะเวลาคือ0 บาทนั้นคือเร่งบริโภค พอการเร่งบริโภคก็มีการผลิตมากขึ้น พอผลิตมากขึ้นก็ต้องกู้มากขึ้น ทำให้วงจรทางเศรษฐกิจเดินไปได้ นั้นเอง
มารอบโควิค 19 ก็มีมาตราการ เราช่วยด้วยกัน แจกไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ทำให้เศรษฐกิจไม่หดตัวมาก แต่เจอรอบสองนี้ ต้องงัดกลับมาใช้ แถมผู้ประกันตนในมาตรา 33 ของประกันสังคมที่เป็นคนไทยได้ด้วย (เงินฝากไม่เกิน 500,000 บาทในทุกบัญชีธนาคาร) ก็เป็นการขึ้น ฮ. โปรยเงินอีกครั้ง เพื่อจุดเศรษฐกิจให้กลับมาให้ได้
แล้วไม่พอเรื่องของดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน ทำให้ตอนนี้ Search for yield กลับมาอีกครั้ง คือ หุ้นเน่าเริ่มให้เห็นการกลับมา พวก penny stock กลับมาบ้างแล้ว ปลุกผี ฟื้นกลับมา หรือความร้อนแรงของการจอง IPO ที่ร้อนแรงมาก รายย่อยจำนวนมาก จอง งานนี้ก็ต้องดูว่าเมื่อเข้ามาแล้ว เป็นเช่นไร แต่ทว่าตัวชี้ตัวหนึ่งที่ดีคือ Google mobility index เราไม่ค่อยต่ำเหมือน lock down ปีที่แล้ว ตัวนี้ชี้ได้ว่า เรามีการเดินทางเกือบเป็นปกติแล้ว นั้นคือ ยอดการใช้น้ำมัน กลับมาสู่เกือบเป็นปกติ แล้ว
มิน่าปลายปีถึงต้นปี ได้ยินว่า ไปลงทุนพวกกองทุนน้ำมันกันเป็นทิวแถว ไม่มีใครไปลงทุนพวกอื่นๆเลย ตอนนั้นแปลกใจ แต่ไม่คิดว่า เป็นเช่นนี้
การกลับตัวของเศรษฐกิจ นั้น ตัวที่ดูได้อย่างดี คือการเคลื่อนที่ของประชาชน ว่ามากน้อยแค่นั้น (เฉลยไปแล้วดูที่ google mobility index https://www.google.com/covid19/mobility/)
เมื่อคนเดินทางน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจก็แย่ลง ถึงแม้นมีคนบอกว่า ก็สั่ง Grab /line man /การขนส่งทำงาน แต่ทว่า มันน้อยกว่าปกติละกัน
เมื่อคืนมีกิจกรรมน้อยลงก็ทำให้เศรษฐกิจก็ลดลงไม่ผิดอะไร เลยต้องดูเรื่องนี้เป็นหลัก

ตัวที่ต้องจับตาคือ การขยายตัวของสินเชื่อ โดยปกติแล้ว ธุรกิจก็ต้องใช้สินเชื่อธุรกิจแต่เมืองไทยนั้น มีปัญหาคือ
1. บัญชีมากกว่า 1 เล่ม งานนี้เข้าซิ ซึ่งสุดท้ายต้องทำการแก้ไขให้ ธุรกิจมีบัญชีเล่มเดียวกัน ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วไซร้ก็แก้ไขไม่ไ้ด
2. กู้ธนาคารยากต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร เป็นต้น ดังนั้น ก็ไปกู้บัตรเครดิต หรือ อาบังแทน ซึ่งดอกเบี้ยโหดกว่า ตอนนี้ก็เริ่มแก้ไข อาบัง หรือ หนี้นอกระบบให้บรรเทาเบาบางลง และ ลดเรื่องดอกเบี้ยบัตรเครดิตลง นั้นเอง
ส่วนพวกจำนำทั้งหลาย ยังไม่เห็นออกมาเท่าไร มีแต่ตอนที่นักเรียนเปิดเทอมเท่านั้น ดังนั้น เรื่องนี้ก็ควรพิจารณา ว่า
ตอนเกิดโควิค 19 รอบแรกนั้น โรงรับจำนำก็เป็นที่พึ่งพาของประชาชน ต้องลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษ หรือ ให้ผ่อนยาวขึ้น
แต่มันไม่มีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพ เรื่องนี้ก็ต้องพิจารณา และต้องหาหน่วยงานที่อัดฉีดสภาพคล่องและตลาดรองรับด้วย
ดังนั้นจับตาดูให้ดีละกัน ว่าสินเชื่อเพิ่มไหม ในช่วงเวลาต่อไป

ตอนนี้เราเริ่มไปยืนในปี 2009 ถึง 2010 ตอนที่ตลาดหุ้น บ้าคลั่ง ต้องระวังตัวไปละครับ
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 544

โพสต์

ก กับ ข ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ได้อ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาประเทศไทย 20 ปี ฉบับเพิ่มเติมหรือปรับปรุงแผน เนื่องจากผลกระทบจากโควิค 19
เอกสารชิ้นได้ระบุอุตสาหกรรมใหม่ที่แผนหลักไม่ได้ระบุไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
อุตสาหรรมรถยนต์ไฟฟ้านั้น เป็นอะไรที่ไก่กับไข่ ว่า รถยนต์ไฟฟ้า ต้องผลิตในประเทศไทย หรือ นำเข้าจากต่างประเทศทั้งคัน หรือ เอาชิ้นส่วนมาประกอบในประเทศ
แต่ไม่ว่าอะไรเป็นไก่หรือไข่ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญคือ รถยนต์ไฟฟ้าของจีนมาเปิดตัวในประเทศไทย เรียบร้อยแล้ว แถมราคาไม่ถึงล้านบาท วิ่งได้ 500 km (ระยะทางเกือบถึงเชียงใหม่ในการชาร์จ 1 รอบแล้ว) ระยะทางดีกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นๆในตลาดที่ขายกันอยู่ แต่ทว่าเป็นยี่ห้อของจีน เท่านั้นเอง
สิ่งนี้น่าจับตา พอดีช่วงระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ รายใหญ่เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่และควบรวมกิจการ และตอนนี้อีกรายก็ทำ tender offer ออกนอกตลาดไป
จุดนี้แหละ ที่น่าสนใจว่า หัวใจของรถยนต์ไฟฟ้า คือ แบตเตอรี่ ถ้าหากไม่มีแหล่งกำเนิดไฟฟ้า รถยนต์ก็วิ่งไม่ได้
ตัวแบตเตอรี่ที่จำเป็นนั้นมีส่วนประกอบของ ลิเทียม แต่ทว่าแบตเตอรี่รถยนต์ในปัจจุบันนั้นไม่ใช่ ดังนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนเรื่องการผลิตแบตเตอรี่ มารองรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อนแบตเตอรี่
ถ้าหากลองย้อนกลับไปในช่วง 1900s (ต้น 1900s) ที่รถยนต์ไฟฟ้ายุคแรก แข่งกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ผลคือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันชนะ แต่ทว่า ไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้นแต่ กำลังพูดถึงเรื่องของน้ำหนักของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักมาก คือ เป็นหลักตันเลย หนักกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันมาก จุดนี้แหละที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิดในยุคนั้น คือ ทั้งน้ำหนัก และระยะทางวิ่ง
สิ่งที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยม คือ แบตเตอรี่และ ระบบขับเคลื่อน
ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้ายุคนี้คือ 0 ถึง 100km ต่ำกว่า 5 วินาที แต่รถยนต์น้ำมันนั้นมีเพียงน้อยรุ่นที่สามารถทำได้ในระดับนั้น
แบตเตอรี่ก็จุมากขึ้นและอึดมากขึ้น รวมถึงการชาร์จที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ต้องรออยู่ดี
ซึ่งการชาร์จนี้เป็นประเด็นที่หลายคนกังวล เพราะใช้เวลาชาร์จที่นาน เมื่อเทียบกับ รถยนต์น้ำมัน คือ รถยนต์น้ำมันไม่เกิน 10 นาที ก็สามารถขับออกจากปั้มน้ำมันได้แล้ว จุดนี้แหละที่รถยนต์น้ำมันยังชนะอยู่ ที่ชนะแบบเด็ดขาดอย่างมาก แต่หากแก้ไขจุดนี้ได้ รถยนต์ไฟฟ้ามาครองเมืองแน่นอน
ถ้าหากเทียบกับมือถือยุคแรก ที่เป็นรุ่นกระดูกหมา ชาร์จค้างคืน ไม่พอต้องแกะแบตออกมาเพื่อชาร์จไว้หลายก้อนอีกต่างหาก เพื่อให้มือถือมีแบตได้ใช้งาน ซึ่งก็พัฒนาเรื่อยกันมา ในระยะเวลาต่อมา จนในปัจจุบัน Fast charge วัดใน 80% ในเวลา 10 นาทีหรือเปล่า ด้วยซ้ำกัน แถมชูเป็นจุดขายของมือถือในหลายต่อหลายรุ่น และหลายยี่ห้อแข่งขันกัน
ช่วงเวลาต่อไป คือจับตาเรื่องของแบตเตอรี่ของรถยนต์ว่า สามารถชาร์จได้ 80% ในระยะเวลา 10 นาทีหรือไม่
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจับตาคือ การขายไฟฟ้าของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งทำกันเป็น Pool
จุดนี้ก็ยังไม่ได้พัฒนา ซึ่งต้องพัฒนาแบบ real time เลยว่า ค่าไฟฟ้าที่สถานีชาร์จไม่ได้ใช้งานแล้วขายคืนให้แก่ กฟภ/กฟน เท่าไร แต่หากต้องการไฟฟ้าจาก กฟภ/กฟน แล้วเท่าไร จุดนี้ยังไม่ได้พัฒนา แต่ใน US นั้นพัฒนากันเป็น real time เลยทีเดียว จุดนี้แหละ เป็นจุดที่ ทำให้การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมีความมั่นคงมากขึ้น และปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากธรรมชาติเพิ่มขึ้นนั้นเอง ไม่ต้องประมูลกัน แต่ทว่า อิงกับราคาตลาดบนความต้องการแบบ real time แทน
่ถ้าพัฒนาได้แบบนั้นได้ การตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ก็ไม่จำเป็นแล้ว ใช้กองทัพมดในการจัดการแทน กองทัพมดนั้นคือ สถานีอัดประจุของรถไฟฟ้านั้นเอง
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 545

โพสต์

Club Hose
ณ วินาทีนี้ Application อะไร บนมือถือที่ได้รับความนิยมสูงสุด คงหนีไม่พ้น Club House
Club House ตัวนี้ นิยมตัวเอง ว่า Drop in Audio Chat นั้นคือ สงครามสื่อสารเสียงกำลังเริ่มต้น บน Application ของมือถือกำลังเริ่มต้นขึ้น
ทำไมเป็นบอกเป็นเช่นนั้น สังเกตไหมว่า Application ที่ใช้งาน Chat บนมือถือนั้น พิมพ์อย่างเดียว ไล่ตั้งแต่ BB messager(Blackberry) /we chat /line พวกนี้ แต่ยังไม่เริ่มต้นพวก เสียงกัน
ซึ่ง twitter ก็เริ่มทดสอบให้ส่งเสียงได้ 20 วินาที แต่ทว่าก็ไม่ใช่ แบบ Club house
แล้วทำไม Club house ถึง Boom อันนี้ต้องบอกว่า มีสิ่งที่กระตุ้นทำให้ผู้ใช้เข้ามาคือ
1. สมัครแล้วใช้งานไม่ได้เลย ต้องรอคนเชิญ อันนี้คือ connect the dot คนที่เข้าใช้งานต้องเป็นเพื่อนของคนที่ใช้งานแล้วเท่านั้น จึงสามารถเล่นได้ ถ้าหากเพื่อนใช้งานแล้ว เราไม่ได้ใช้งานก็ตกรถนั้นเอง (Network effect เกิด) แถมไม่พอ 1 คนเชิญได้ 2 คนต่อวัน (แต่มากกว่านั้นได้ ต้องเปิดห้องหรือต้องฟังมากๆ หรือเป็นผู้สัมมนาในห้อง)
2. ผู้ใช้งานต้องมีอุปกรณ์คือ Iphone/iPad เท่านั้น หรือ เฉพาะ Apple iOS ซึ่งคนที่มีอุปกรณ์นี้คือ คนที่มีลักษณะเฉพาะตัว คือ ผู้นำเทคโนโลยี /มีเงิน /คำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคล (เพราะ Apple ไม่ทำตาม FBI ในกรณีต้องการเปิดมือถือของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าคำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ หรือเคส Apple VS Facebook ที่ทำให้ Ads ของ FB นั้นมีปัญหายิงได้ยากขึ้น เพราะข้อมูลการใช้งานบน Facebook เก็บไม่ได้)
3. influencer อันนี้สำคัญอย่างมาก ที่สังเกตมา คนที่เป็น influencer นั้นต้องเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ตอนนี้คือห้องไหนมีนักการเมืองหรือผู้นำทางการเมืองเข้ามาปุ๊บห้องเต็มทันที (รวมถึงห้องที่ดร นิเวศน์เข้ามาให้สัมภาษณ์ ก็เพิ่มขึ้นกว่าห้องการลงทุนทั่วไป เป็นหลัก 4-5k เลยทีเดียว) ซึ่งตอนนี้คนที่มีการติดตามของไทย สูงสุดประมาณ 100k เข้าให้แล้ว ภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์เท่านั้น และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากขึ้น

ประเด็นสำคัญของ Club house คือ
1. ยังไม่มีผู้ควบคุมกฏเข้ามาวุ่นวาย แต่ทว่าสามารถส่งคนมาสังเกตการณ์ได้ ถ้าหากมีปัญหาก็ขอข้อมูลได้ แต่ทว่าให้ไม่ให้อีกเรื่องหนึ่ง (มีห้องที่คุยเรื่องพวกนี้เมื่อวันที่ 17-18 Feb 2021 ในประเด็นนี้)
2. คุยที่อ่อนไหวทางสังคมโดยเฉพาะ ทางด้านการเมือง การปั่นกระแสของราคาหลักทรัพย์บางประเภท อันนี้ต้องระวัง โดยเฉพาะหลังๆ ในช่วงเวลา 2-3 วันหลังๆ นี้ เริ่มมีการขายของและการตั้งกวนเรื่องปั่นกระแสสินค้ากันบางแล้ว
3. สือหลักเริ่มเข้ามาใช้เป็นช่องทางสื่อสาร มันคือวัดผู้รับชมได้ทันที ซึ่งช่องทางอื่นไม่สามารถวัดได้ว่า หรือวัดได้แต่ ความสนใจมันน้อยลง เช่น FB live นั้นวัดได้แต่ทว่าคนที่ให้ความสนใจนั้นลดลง ไปแล้ว (คนกลุ่ม Gen z หรือ Alpha ไม่ได้ใช้ FB หนีไปทีอื่นแล้ว) ,youtube ดูยอด view แล้วเท่าไร ตอน Live ก็ดูได้ แต่มีปัญหาว่า ดูย้อนหลังได้ ซึ่งคนดูย้อนหลังมากกว่า
Club house ที่สร้างกระแสได้คือ ต้องฟังสดเท่านั้นไม่สามารถย้อนหลังได้ ในระบบไม่มีการ re run เด็ดขาด (ถ้าต้องการก็อัดเอาเองล่ะกัน)

ส่วนเรื่องของการลงทุนนั้น มีเรื่องตลกร้ายคือ
Clubhouse Media Group Inc ตัวย่อคือ CMGR นักลงทุนนึกว่าเป็นผู้สร้าง Application Club house ราคาในรอบ 52 สัปดาห์ อยู่ที่ $0.05 ถึง $28.43 ณวันที่เขียน (ปิดตลาดวันที่ 19/feb/2021 ราคาอยู่ที่ $12.55)
แต่จริงๆแล้ว Application Club house มีพนักงานแค่ 9 คน เพิ่งได้รับเงินทุนในรอบ Series Bจนเป็นยูนิคอลไปแล้ว (มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญ)

คำถามที่เกิดกับ club house คือ
ระดมคนใช้งาน ใช้เงินทุน เพื่อให้ได้อะไร น่าคิดครับ
1. ทำสัมมนาออนไลน์หรือเปล่า แต่จริงๆน่าจะน้อยเพราะ มันได้แค่เสียงเท่านั้น
2. ช่องทางขายของแต่ต้องมีผู้สนับสนุน (ซึ่งตอนนี้ในต่างประเทศที่เห็นคือ พวก VC /Startup ใช้เป็นช่องทางในการพูดคุยกันมากกว่า)
น่าคิดอย่างมาก

แต่อย่างไร เสียต้องระวังว่า กระแสนี้ยังอยู่นานแค่ไหน เพราะว่า ที่สำคัญคือ ผู้ที่ใช้งาน Anroid ยังไม่ได้เข้าระบบนั้นเอง ซึ่งแค่ iOS นี้ก็มีคนยอมเดินไปซื้อ อุปกรณ์ Apple ที่เป็นทั้งมือ 1 และมือสองนำมาใช้งาน Club house งานนี้ club house ทำให้เกิด demand iphone และ ipad เพิ่มขึ้นหรือไม่รอคำตอบต่อไป ละกัน

การที่คนเข้าระบบนั้น 1 เชิญ 2 คนนั้น เมื่อเป็นแบบนี้ไปเรื่อย หากเป็นแบบนี้ไปตลอด ข้อจำกัดคือ ได้เท่ากับจำนวนอุปกรณ์ iphone/ipad เท่านั้น การเติบโตของคนใช้งานเป็น Expo เลย 1->2 ->4->8 เป็นสองเท่าทุกวันๆ เลยทีเดียว ต้องระวังว่าการเติบโตสองเท่านั้นระบบสามารถรองรับได้แค่ไหน (ถ้าหากคนที่ใช้งานเมื่อวันที่ 18 /feb/2021 ตอนประมาณ 10-13 น. นั้นมีปัญหาเกิดขึ้นจากการ upgrade ระบบของ Club house คือเสียงหาย /เชิญมิได้ /เข้าห้องไม่ได้ /ออกจากห้องไม่ได้ )

อีกประเด็นหนึ่งคือ คู่แข่งที่ยังไม่ลงมาเล่นในตลาดนี้ต้องระวังไว้ด้วย

สุดท้าย ที่ต้องฝากไว้คือ Club house เป็นแหล่งความรู้ แต่ผู้ใช้งานต้องเลือกว่าเราต้องการความรู้เรื่องอะไรเอง
ต้องรู้และเลือกให้ได้ด้วยตัวเอง

ปล ยังไม่เห็น Club house money talk /Thaivi เห็นแล้ว แต่เป็น Version ที่ยังไม่รวมสุดยอดของนักลงทุน ต้องเป็นเชิญนักลงทุน Thaivi มาล้อมวงคุยกันบ้างก็ดีน่าครับ
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 546

โพสต์

DeFi - Decentralized Finance (DeFi) ยุคที่สองของ BitCoin
DeFi เป็นคำเรียกสั้นของ Decentralized Finance มันแตกต่างกับ BitCoin อย่างไรหรือ
ต้องเล่าย้อนกลับไปยุคของเหรียญของก่อนว่า BitCoin เป็นเหรียญที่ทำหน้าที่คล้ายกับเงิน มีการแลกเปลี่ยนมือได้
ต่อมาพัฒนาเป็น Etherium (Eter-อีเทอร์) ที่สามารถเขียนสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นให้ดำเนินการก่อนเพื่อได้รับ Coin
หรือเรียกได้ว่าเป็น Smart Contract ซึ่งต่อมาก็ยังไม่ค่อยมีการพัฒนาอะไรมากมาย แต่มี Case ออกมาว่า
ทำในรูปแบบของสัญญาความเป็นเจ้าของ หรือ สัญญาทางการเงิน เป็นหลัก
DeFi นั้นยังเป็นการเริ่มต้น โดยการดำเนินการในตอนนี้ที่เด่นชัดเจนคือ
1. ทำตัวเป็นตลาดการอัตราแลกเปลี่ยนให้กับ Coin อื่นคือ ใครที่ต้องการแลก Coin ด้วยกันเอง เช่น BitCoin ไปเป็น Etherium โดยมองว่า Etherium นั้นให้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ดำเนินการ switch การถือครอง Coin แทน
หรือ เอา BitCoin ไปแลกเป็นเงินจริงๆ แทนเลย เป็น US dollar /ยูโรพวกนี้
2. ไม่อยากแลก เพราะเราสูญเสียความเป็นเจ้าของไป ก็ดำเนินการเข้าโรงรับจำนำแทน คือ เอา Coin เป็นตัวค้ำประกัน แล้วเอาเงินออกมาใช้ ไม่ว่าเป็นเงินสกลุไหน เรียกได้ว่าเกิดการปล่อยกู้ขึ้นมานั้นเอง

สิ่งที่สังเกตคือ ค่อยๆเริ่มต้น ยังมีคนทำหลายคน แถมคำศัพท์ออกมา คือ อะไรฟ่ะ ต้องค่อยๆอ่านค่อยๆศึกษากันไป
แต่บอกก่อนว่า ยังไม่ค่อยมี Aduit(การตรวจสอบ) ยังไม่มีหน่วยงานไหนเป็นเจ้าภาพ แต่ทุกคนลงทุนไปเพราะเชื่อมันในระบบไม่สามารถ hack ได้นั้นเอง

(อาทิตย์มาให้อ่านสองอันละกัน)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 547

โพสต์

ทำไม การลงทุนอินเดียถึงไม่น่าสนใจ ในมุมมองคนไทย
อินเดียคือประเทศที่มีประชากรมากที่สุด อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน
ซึ่งอินเดียมีความหลากหลายของประชากรมาก นับถือศาสนาฮินดูมากที่สุด
แต่มีคนที่นับถือศาสนาอื่นๆอยู่ด้วย โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม
ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม นั้นมีปัญหากับประเทศอินเดียตลอด คือ ปากีสถานและบังกลาเทศ

การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย แปลกมาก ไม่มีข้อมูลอะไรที่ให้อ่านในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับอินเดียเลย
แทบไม่มีข้อมูล แต่อินเดีย ที่น่าสนใจนั้นมีอะไรบ้าง
1. ประเทศที่มีประชากรอันดับ 2 ของโลก
2. อินเดียเป็นประเทศที่มีงาน Outsource ทาง IT สูงมากๆ
3. ตอนนี้คนเชื้อสายอินเดียเป็นผู้บริหารบริษัท IT ที่ US หลายบริษัท
4. การกระจายโรงงานออกจากจีน มีเป้าหมายไปที่อินเดียและเวียดนาม (จีน +1 นั้นเอง)

แต่สิ่งที่มีปัญหาคือ
1. อินเดียเหมือนสหรัฐคือ รัฐบาลกลางก็ออกกฏหมายมาควบคุมแต่รัฐแต่และรัฐนั้น ก็สามารถออกกฏหมายของตัวเองได้อีกด้วย
ทำให้ภาษีการค้าไม่เท่ากัน (สองสามปีที่ผ่านมาก็เริ่มทำลายเรื่องนี้ลงแล้ว)
2. เจองูกับเจอแขก จะตีงูหรือตีแขก
3. การเจริญเติบโตของเมืองนั้น แตกต่างกันมาก และสาธารณูปโภคต้องลงทุนอีกมาก

แต่ทว่า อินเดียนั้นกำลังจะกลายเป็นโรงงานของโลกต่อไป ในอนาคต
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 548

โพสต์

ทัวร์ลง กับการปรับตัวของหน่วยงานกำกับ
ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีกระแสอะไร ที่ร้อนแรงไปกว่า การที่หน่วยงานกำกับดูแล
ออกร่างรับฟังความคิดเห็น (ดูได้จาก https://www.sec.or.th/th/pages/pb_listview.aspx)
ในส่วนของคุณสมบัตินักลงทุนสำหรับสินทรัพย์ดิจิตอล เรียกได้ว่า เปิดปุ๊บ ทัวร์ลงทันที
เมื่อเปิดออกมาก็ทำให้ นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลรวมกันให้ความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่ง เลขาธิการของหน่วยงานกำกับต้องลงมารับฟังเอง โดยผ่าน ClubHouse พร้อมกับ คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
รวบรวมความคิดเห็นว่าควรดำเนิการอย่างไร
เรื่องนี้มีข้อสังเกต ว่า
1. หน่วยงานกำกับ เริ่มปรับตัวใช้ช่องทางใหม่มากขึ้น ซึ่ง ClubHouse ในช่วงเวลาที่รับฟังนั้น คนฟังตอนที่ prime time ของ ห้องคือ มากกว่า 4k เลยทีเดียว แสดงว่ากระแสมากอยู่เหมือนกัน แต่ต้องตบมือให้ว่าปรับตัวเร็วมากๆ
ไม่เพียงแค่ คนในหน่วยงานกำกับมาเปิดห้อง มีคนฟังตั้งแต่เปิดห้องยันปิดห้องเลย (ปิดประมาณ ตีสองหรือตีสามเลยทีเดียว เริ่มประมาณ สามทุ่มครึ่ง)
2. การออกร่างนี้จังหวะพอดีที่ หน่วยงานกำกับดูแลในต่างประเทศ ลดความร้อนแรงด้วย จังหวะเดียวกันเลย

สิ่งที่แนะนำคือ
1. ควรปรึกษากับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน โยนหินก้อนใหญ่ออกมาถามทาง
2. ควรหาช่องทางที่สื่อสารกับนักลงทุนโดยตรง อย่างเช่น YouTube/PodCast/ClubHouse/FB เพื่อชี้แจงด้วย ไม่งั้นนักลงทุนฟุ้งมากๆ
ขอบคุณครับที่ทำให้เกิด Event แบบนี้ขึ้นมา ตั้งแต่การลงทุนมา ก็เห็นครั้งนี้ครั้งแรกที่รับฟังแบบนี้ (แบบไม่เป็นทางการ)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 549

โพสต์

ความกังวล
ตอนนี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่คาดเดาได้ยากช่วงหนึ่งเลย ว่าเดินไปทางไหน
เพราะ ว่า ปี 2020 ในไตรมาสที่ 2 นั้น เป็นช่วงที่ Lock down ทั่วโลก
ประชาชนหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหว และ การทำงานก็ทำงานที่บ้าน
คนอยู่กับบ้าน ทำให้ไตรมาสนี้ของปีที่แล้ว GDP ติดลบหนักมาก บางประมาณ ลงป -30% เลยก็มี
แต่พอเวลาผ่านไป 1 ปี ไตรมาสที่ 2/2021 นั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้น เริ่มกลับมาปกติ
คนในประเทศกลัวอดตายมากกว่ากลัวติดเชื้อ คนต้องเดินไปข้างหน้าต่อไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
การเดินทางก็เพิ่มขึ้น ไม่เพียงแค่เศรษฐกิจจริงเท่านั้น ยังมีเรื่องของการกระตุ้นทั้งทางการคลังที่แต่ละประเทศ
ออกมาแจกเงินเข้ากระเป๋าประชาชนใช้จ่ายในช่วงเวลานี้ เพือเป็นกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชน
ไม่เพียงแค่การคลังเท่านั้น การเงินก็ลดดอกเบี้ย อัดฉีดเงินเข้าระบบ แถมบางประเทศก็เอาเงินไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงโดยตรงเลย
เพื่อพยุงตลาดการเงินไม่ให้ยุบตัว
ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือเงินเฟ้อเมื่อประชาชนจับจ่ายมากขึ้นก็เกิดเงินเฟ้อ แลกด้วย GDP ที่เติบโตจากฐานที่ต่ำ
สิ่งที่น่ากังวลเมื่อเงินเฟ้อมาแล้ว คือการขึ้นดอกเบี้ย หรือ การดูดเงินกลับของธนาคารกลาง ถ้าหากดูดกลับเร็วไป ก็ทำให้
เศรษฐกิจที่กำลังเดินหน้าก็ถดถอยอีกรอบ แต่ถ้าหากดูดช้าไปก็ทำให้เกิดการร้อนแรงเกินไป
ซึ่งในอดีต ก็มีการเกิด Hyper inflation พร้อมกับขึ้นดอกเบี้ย แบบ 18% จนต้องใช้เครื่องมืออื่นมากด
สิ่งนี้แหละที่กังวลใจ

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของดิจิตอลหยวน อันนี้ มีมุมมองคือ ในจีนนั้น การใช้จ่าย E-payment นั้น อยู่ในภาคเอกชน
ทำ ดิจิตอลหยวนออกมา นั้นคือ เพื่อลดอำนาจของภาคเอกชนหรือเปล่า น่าคิด เพราะช่วงเวลานี้ ก็เป็นช่วงที่จีนออกมาตราการมาเพื่อจัดการกับภาคการเงินของเอกชน
แต่เรื่องนี้ก็มีอีกมุมมองคือ จีนเข้ามาสู่โลกของเงินดิจิตอล เป็นประเทศแรกที่ๆ ทำแบบนี้ (เหรียญส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชนที่ออกมายกเว้น ดิจิตอลหยวนเท่านั้น)
จุดนี้แหละที่น่าติดตามว่า Case Study คืออะไร

ส่งท้ายอีกเรื่องคือ เรื่องการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ อันนี้ยังไม่ประกาศลงราชกิจจานุเษกษา แต่ต้องตบมือให้ ธปท ที่เป็นหัวหอกในเรื่องนี้ เริ่มจากภาคธนาคารที่ภาคใต้การกำกับดูแล ต่อมาก็เป็นการเข้าครม เพื่อเห็นชอบการแก้ไข ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ที่ปัจจุบันคิดทั้งก้อน แต่ที่แก้ไขคิดบนงวดที่ผิดนัดชำระเท่านั้น ดังนั้น ทำให้ ดอกเบี้ยที่ส่งจากการผิดนัดชำระลดลงนั้นเอง ทำให้ลูกหนี้มีโอกาสที่ลืมตาอ้างปากได้ แตกต่างกับเมื่อก่อนนี้คือ ไปสู่กระบวนการล้มละลาย ซึ่งศาลล้มละลายก็มีคดีเพิ่มขึ้น ถ้าออกมาแบบนี้ จำนวนคดีก็ลดลงได้นั้นเอง
ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่อง NPL ที่เจรจากันยากมากๆ กว่าจะจบได้ ต้อง hair cut กัน
ในส่วนนี้ต้องดูว่า การแก้ไข ระบบ IT ต้องใช้เวลาแก้ไข สามารถแก้ไขได้เร็วแค่ไหน
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 550

โพสต์

การ Backup ของ Computer System
อันนี้เกี่ยวข้องกับงานประจำที่ทำโดยตรง คือการออกแบบการสำรองข้อมูล
ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ Thaivi ก็มีปัญหาเรื่องระบบมีปัญหาจนต้องเอาระบบสำรองกลับขึ้นมา ทำให้ข้อมูลบางส่วนหายไป
ซึ่งสิ่งที่แนะนำ อาจจะทำได้หรือไม่ก็ได้ แต่ทว่า มันเป็นแนวทางในการสำรองข้อมูล
การสำรองข้อมูล สิ่งที่ต้องพิจารณา
1. ระยะเวลาที่ให้ในการสำรองข้อมูล ว่ามีมากแค่ไหน เคยเจอระบบที่ online 24x7 แบบไม่พักเลย แต่ต้องสำรองให้ได้ ทำไงละ งานเข้าอย่างแรง ต้องหาระยะเวลาที่ระบบนั้นทำงานน้อยที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนไปแล้ว (ระบบส่วนใหญ่ก็ทำงาน ณ เวลานั้นกัน) แล้วก็ต้องรู้ว่า ระยะเวลาในการสำรองข้อมูลเท่าไร นั้นคือระยะเวลาที่ระบบหน่วงลงไป จากการทำงานของสำรองข้อมูล นั้นเอง
2. การสำรองข้อมูลนั้น ทำแบบ Full Backup หรือ Backup level 0 คือเอามันทุกอย่างที่มีเก็บไว้เลย เรียกได้ว่า เวลา Restore มันก็ได้จุดนั้นเลย กับ incremental Backup คือ การสำรองจาก Full backup จนถึงเวลาที่ incremental backup ทำงาน สำรองเฉพาะส่วนที่แตกต่างจาก Full backup ไว้จนถึงเวลาที่สั่งการ สิ่งที่ได้คือลดเวลาที่ Backup ลง แต่ทว่า การRestore เมื่อมีปัญหาคุณต้องมี Full Backup + incremental backup ทำพร้อมกัน
3. การสำรองนั้น ไว้ที่ไหน ซึ่ง best practice คือ 1+1+1 คือ ที่ Site 1 (อาจจะเป็นตัวเครื่องก็ได้) : นอกจากนั้น 1 คือไปที่เครื่องอื่นแต่ต้องไม่ใช่ Siteนี้ เก็บไว้บน Cloud Storge ตัวอื่นที่ไม่ใช่ที่เราใช้บริการ แล้ว Offline 1 ที่ไม่ใช่ที่ Siteนั้น และไม่ใช่บน Cloud Storage ด้วย เรียกได้ว่า 1 Backup มีสำเนาไว้ 3 แห่ง ซึ่งดวงแตกคือ ทั้ง 3 ใช้งานไม่ได้ นั้นเอง เรียกได้ว่า ต้องไหว้พระ 7 วัด 7 วา กันเลยทีเดียวหากทำแบบนี้แล้วยังโดนอีก อาจจะมีคนบอกว่า บน Cloud ก็เพียงพอแล้ว ทำแค่ 1+1 แต่จริงแล้ว หาก Cloud มีปัญหาไป ใครรับผิดชอบละ อันนี้คือระดับของธนาคารใช้กันแบบนี้เลย
4. ต้อง test restore อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งว่า มันสามารถทำงานได้ ไม่ใช่ทำอย่างเดียวไม่เคย Restore กลับ อันนี้ทั้งมีเรื่องเล่าของ admin ว่าโดนกันมานักต่อนักแล้ว กับโดนมากับตัวเองเลย ว่า Backup ทุกวันแต่ว่า Tape เสื่อมสภาพ เมื่อมีปัญหานั้นคือข้อมูล เมื่อสามปีที่แล้ว เอามาใช้ ต้องไปนั่งแก้ไขอีก
5. สิ่งที่แนะนำต่อไป ไม่ต้องใช้ Tool อะไรมากมาย ทุกระบบที่ใช้งานมี Backup ให้ใช้งาน database ก็มีคำสั่งของมัน ระบบปฏิบัติการก็มี ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ แต่ทว่าต้องอ่านและเข้าใจมันหน่อยละกัน ว่าทำกันอย่างไร อาจจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ (อาจจะเสียเงินซักนิด แต่คนในสมาคม TVI มีคนทางด้าน IT เพียบอาจจะขอแรงได้ ฟรีครับรายการนี้)
อันนี้คือ แนะนำไว้ ละกัน เรื่องที่เล็กๆในวันนี้อาจจะสำคัญในวันหน้า
ซึ่ง Backup and restore ก็ตกม้าตายกันนักต่อนัดแล้ว
ซึ่งหากใครอ่านข่าว มีไฟไหม้ Cloud ใน EU แห่งหนึ่งที่เยอรมันนี ซึ่งไหม้แล้วทำให้ ธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงไม่สามารถให้บริการได้ เพราะว่า ไม่มี Backup โดนผู้ใช้บริการถึงขั้นฟ้องเลยทีเดียว เหตุการณ์เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้ว เป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 551

โพสต์

การรับฟังความคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ช่วงนี้ออกมาแบบถี่ๆ กันเลย จำนวน 4 เรื่องด้วยกัน โดยดูที่
https://www.bot.or.th/Thai/Segmentation ... fault.aspx
มีดังนี้
1. ​(ร่าง) หลักเกณฑ์การกำกับดูแลโครงสร้างและขอบเขตธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
2. (ร่าง) หลักเกณฑ์การกำกับดูแลโครงสร้างและขอบเขตธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของบริษัทเงินทุน
3. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
4. หลักเกณฑ์การปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าบริการต่าง ๆ และเบี้ยปรับ
โดยข้อ 1 และ 2 รับฟังในช่วง 10/04/2021 - 26/04/2021
ข้อ 3รับฟังในช่วง 01/04/2021 - 31/05/2021
ข้อ 4 รับฟังในช่วง 01/04/2021 - 26/04/2021

ลองไปอ่านดูได้ตามที่ระบุไว้
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 552

โพสต์

การมาของเจ้าพ่อ Content -> Disney +
ตอนนี้กระแสเรื่องของการรับชมภาพยนต์ที่บ้านนั้นเป็นกระแสที่มาในช่วงโควิค 19
เพราะว่า ทุกคนอยู่กับบ้าน ไม่สามารถไปข้างนอกได้ ไม่เพียงเท่านั้นโรงภาพยนต์ปิด หรือจำกัดจำนวนผู้รับชมต่อรอบ ต้องมี Social distancing และมาตรการควบคุมโรค
ซึ่งทำให้ภาพยนต์ที่เข้าฉายในปี 2020 น้อยมากๆ เรียกได้ว่าต่ำมากในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านที่ช่วงหน้าร้อนมีแต่หนังดีๆเข้า แต่กลับกลายเป็นปี 2020 ไม่มีหนังดีเข้ามา
ซึ่งมันเป็นจังหวะที่ Disney ส่ง Disney + เข้ามายังตลาดนี้ โดยคู่แข่งรายสำคัญคือ Netflix ที่ตอนนี้เริ่มทำ original content เป็นของตัวเอง และไม่เพียงแค่นั้นเริ่มมีการยอมรับกันมากขึ้นในเวทีประกวดภาพยนต์ต่างๆ ที่จัดประกวดกัน

Disney + มาที่ไหน Netflix ต้องปรับตัวที่นั้น เพราะ Disney + หัวใจที่สำคัญคือ การ์ตูนและเสริมทัพด้วย Marvel ,Starwar หรืออีกหลายแฟรนไซน์ ที่ยอดนิยม เลยทีเดียว
จุดเด่นของ Disney + คือจุดนี้ คือ แฟนหนังที่สะสมมานานนั้นเอง

การต่อสู้รอบนี้เหมือน โลกยุคเก่า VS โลกยุคใหม่ โดยตัวแทน คือ หนังยุคเก่า VS หนังยุคใหม่ นั้นเอง
ต้องติดตามดูว่า เมื่อ Disney + เข้าเมืองไทย นั้นซ้ำรอยเมืองนอกหรือไม่
เพราะตลาดเมืองไทยเป็นตลาดที่ปราบเซียน มานักต่อนักแล้ว ประสบความสำเร็จที่ไหนก็ตาม แต่ที่เมืองไทยอาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ได้ เพราะตลาดเมืองไทย ไม่เหมือนใคร
:)