แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 511
You will never walk alone!
จาก Link ของ Youtube และข่าว ที่พนักงานสาธารณสุข ร้องเพลง You will never walk alone
ให้กับแพทย์และพยาบาล ที่เป็นทัพหน้าในการต่อสู้กับ Covic 19 หรือ SARS-COV2
https://www.youtube.com/watch?v=Z0kt0ef2JUA
มันมีความหมายมาก เพราะว่า เมื่อกองทัพหน้าแตก มันหมายความ ทัพที่แตกต้องถอยลงมา ยังทัพต่างๆ
และต้องส่งกำลังในการต่อสู้เพิ่มเติมเพื่อชิงพื้นที่กลับคืนมาให้
ไม่เพียงแค่นั้น การต่อสู้ครั้งนี้ เรียกได้ว่า ต่อสู้กับทุกประเทศของโลกเลยทีเดียว
เพื่อที่หยุดยั้งการแพร่งกระจายเชื้อโรค Covic19 นี้ให้ได้ ถึงแม้นว่าต้องใช้ทรัพยากรทั้งด้านกำลังเงิน กลังการผลิต หรือ กำลังบุคคลากร ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องทุ่มให้สุดๆ ไม่ฉะนั้น ไม่สามารถหยุดได้ ก็คือ คนตายจำนวนมากมายแน่นอน
แต่อย่างไรเสีย ในอีกมุมหนึ่งของสังคมก็เกิดการแบ่งปัน การเกื้อกูลกัน ในยามที่ทุกข์ยากก็เห็นแสงสว่างคือ
การแจกข้าวปากอาหารกัน ดังเช่น เจ๊จง ที่ทำอาหารกล่องส่งให้โรงพยาบาลต่างๆ ตอนแรกๆคือไม่รับบริจาคทั้งด้านเงินทอง แต่ทว่า ผ่านไปก็เปิดรับบริจาค และ ได้แรกสนับสนุนจากบริษัทที่เป็นแหล่งวัตถุดิบ ไล่ตั้งแต่บริษัท ผลิตเนื้อหมู บริษัทผลิตน้ำมันพืช เพื่อให้เจ๊จง ส่งอาหารให้แก่โรงพยาบาลได้
ดารา เช่น ณเดช ก็ออกมาเป็นกำลังในการค้นหา หน้ากากว่าต้องมีมาตรฐานอะไรบ้าง เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า หน้ากากที่บริจาคให้แก่โรงพยาบาลนั้นต้องมีมาตรฐานอะไรบ้าง
เบลล่า เนี่ยก็เป็นดาราแรกๆที่บริจาคเงินทุ่มเงินไปให้โรงพยาบาล จนกระทั่งเกิดกระแสลูกโซ่ในหมู่ดาราหันมาบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลในการจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่เพียง แค่เบลล่า ก็มีตามมาเช่น น้องญาญ่า ก็ร่วมเงินบริจาค
เห็นได้ว่า ณ ตอนนี้ เรียกได้ว่าทุกภาคส่วนในการดำเนินการ ระดมกำลังลงมาจัดการปัญหา
อีกสิ่งหนึ่งที่ น่าจะเป็นไม้บรรทัดคือ การกลับมาของคนที่อยู่ต่างประเทศ พวกหนีตาย อันนี้ก็ต้องมองว่าหลายมุมแต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่ขอบอกไว้ว่า อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต คือ การเลื่อมลำของสังคมที่มีมากกว่าเดิม
บางที่อาจจะเกิดจากกลุ่มของคนที่อยู่ต่างประเทศแล้วหนีตายกลับมาก็ได้ ที่ซ้ำเติม ปัญหาภายในประเทศ ในระยะต่อไปได้
เรื่องส่งท้าย ระวังเรื่องปัญหาสภาพคล่อง เพราะว่า รอบนี้หนักกว่า 2540
ที่บอกว่าหนักกว่า เพราะว่า รอบ 2540 คนกลับบ้านนอก สามารถ ทำการเกษตรได้ แต่ ณ ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เป็นประการแรก
ประการที่สอง ตอน 2540 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย และ เอเชีย เมื่อปรับโครงสร้างแล้วก็เดินต่อไปได้เลย
แต่ทว่ารอบนี้ มันกลายเป็นทั้งโลกเปลี่ยนโครงสร้างโดย ตัวที่ปรับโครงสร้างมาจาก โรคระบาด
ประการที่สาม 2540 ยังขายของส่งออกนอก คนที่ทำสัญญาไว้ก่อน ทำเป็นเงินดอลล่าร์ ก็ได้กำไรเป็นค่าเงิน ตลาดข้างนอกยังดีอยู่ แต่ตอนนี้ ส่งออกก็ส่งไม่ได้ ทั้งทางอากาศ (เที่ยวบิน Cancel ) ทางเรือก็เทียบท่ายากขึ้น หรือ ปิดเมืองเลย ไม่ให้ส่งออกหรือนำเข้าเลยทีเดียว ขายของออกนอกประเทศก็ทำไม่ได้ช่วงเวลานี้
ประการที่ 4 คนที่มีทรัพย์สินต่างๆ ก็เปิดหลังรถ เปิดตลาดนัด เช่น ตลาดนัดทองหล่อ ตลาดนัดคลองถม นำสิ่งที่ไม่ต้องการมาเปลี่ยนเป็นเงินใช้จ่ายได้ แต่รอบนี้มันไม่ใช่ คนเดินถนนไม่มี อยู่กับบ้านกันหมด ออกจากบ้านก็ไม่ได้ กลัวกัน
แล้วแตกต่างกับ น้ำท่วมปี 2554 หรือไม่
บอกว่าแตกต่างแน่นอน น้ำมาเดี๋ยวก็ไป เพราะน้ำ โดยธรรมชาติไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ไหลลงทะเล มหาสมุทร ดังนั้น มาเยือนแล้วไป มีเวลาที่แน่นอน นั้นเอง ดังนั้น บอกได้ว่า ยาวนานแค่ไหน แล้ว ความเสียหายแค่ไหน ฟื้นฟูแค่ไหน
แต่โรคระบาดนั้น บอกไม่ได้เลยว่า หยุดเมื่อไร หยุดแบบงง ก็ได้ แบบรถที่วิ่ง 120 กิโลเมตร แล้วเบรกทันที อะไรประมาณนั้นได้ จึงไม่สามารถบอกได้ว่า ยาวนานแค่ไหน
ปล ได้รับการเลื่อน พบแพทย์จากโรงพยาบาลที่เป็นตติยภูมิของรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จากเดือน เมษายน 2563 ไปอีกครั้งคือ เดือน กรกฏาคม 2563 ลองไปคิดละกัน ว่ามันคืออะไร
ปล ที่สอง อยู่บ้าน ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น จริงๆ ตอนนี้ ศัตรูคือใครบ้างเราไม่รู้ เป็นการรบที่ศัตรูไม่สามารถระบุได้ ดังนั้นดูแลรักษาตัวเอในที่ตั้งดีที่สุด
จาก Link ของ Youtube และข่าว ที่พนักงานสาธารณสุข ร้องเพลง You will never walk alone
ให้กับแพทย์และพยาบาล ที่เป็นทัพหน้าในการต่อสู้กับ Covic 19 หรือ SARS-COV2
https://www.youtube.com/watch?v=Z0kt0ef2JUA
มันมีความหมายมาก เพราะว่า เมื่อกองทัพหน้าแตก มันหมายความ ทัพที่แตกต้องถอยลงมา ยังทัพต่างๆ
และต้องส่งกำลังในการต่อสู้เพิ่มเติมเพื่อชิงพื้นที่กลับคืนมาให้
ไม่เพียงแค่นั้น การต่อสู้ครั้งนี้ เรียกได้ว่า ต่อสู้กับทุกประเทศของโลกเลยทีเดียว
เพื่อที่หยุดยั้งการแพร่งกระจายเชื้อโรค Covic19 นี้ให้ได้ ถึงแม้นว่าต้องใช้ทรัพยากรทั้งด้านกำลังเงิน กลังการผลิต หรือ กำลังบุคคลากร ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องทุ่มให้สุดๆ ไม่ฉะนั้น ไม่สามารถหยุดได้ ก็คือ คนตายจำนวนมากมายแน่นอน
แต่อย่างไรเสีย ในอีกมุมหนึ่งของสังคมก็เกิดการแบ่งปัน การเกื้อกูลกัน ในยามที่ทุกข์ยากก็เห็นแสงสว่างคือ
การแจกข้าวปากอาหารกัน ดังเช่น เจ๊จง ที่ทำอาหารกล่องส่งให้โรงพยาบาลต่างๆ ตอนแรกๆคือไม่รับบริจาคทั้งด้านเงินทอง แต่ทว่า ผ่านไปก็เปิดรับบริจาค และ ได้แรกสนับสนุนจากบริษัทที่เป็นแหล่งวัตถุดิบ ไล่ตั้งแต่บริษัท ผลิตเนื้อหมู บริษัทผลิตน้ำมันพืช เพื่อให้เจ๊จง ส่งอาหารให้แก่โรงพยาบาลได้
ดารา เช่น ณเดช ก็ออกมาเป็นกำลังในการค้นหา หน้ากากว่าต้องมีมาตรฐานอะไรบ้าง เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า หน้ากากที่บริจาคให้แก่โรงพยาบาลนั้นต้องมีมาตรฐานอะไรบ้าง
เบลล่า เนี่ยก็เป็นดาราแรกๆที่บริจาคเงินทุ่มเงินไปให้โรงพยาบาล จนกระทั่งเกิดกระแสลูกโซ่ในหมู่ดาราหันมาบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลในการจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่เพียง แค่เบลล่า ก็มีตามมาเช่น น้องญาญ่า ก็ร่วมเงินบริจาค
เห็นได้ว่า ณ ตอนนี้ เรียกได้ว่าทุกภาคส่วนในการดำเนินการ ระดมกำลังลงมาจัดการปัญหา
อีกสิ่งหนึ่งที่ น่าจะเป็นไม้บรรทัดคือ การกลับมาของคนที่อยู่ต่างประเทศ พวกหนีตาย อันนี้ก็ต้องมองว่าหลายมุมแต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่ขอบอกไว้ว่า อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต คือ การเลื่อมลำของสังคมที่มีมากกว่าเดิม
บางที่อาจจะเกิดจากกลุ่มของคนที่อยู่ต่างประเทศแล้วหนีตายกลับมาก็ได้ ที่ซ้ำเติม ปัญหาภายในประเทศ ในระยะต่อไปได้
เรื่องส่งท้าย ระวังเรื่องปัญหาสภาพคล่อง เพราะว่า รอบนี้หนักกว่า 2540
ที่บอกว่าหนักกว่า เพราะว่า รอบ 2540 คนกลับบ้านนอก สามารถ ทำการเกษตรได้ แต่ ณ ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เป็นประการแรก
ประการที่สอง ตอน 2540 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย และ เอเชีย เมื่อปรับโครงสร้างแล้วก็เดินต่อไปได้เลย
แต่ทว่ารอบนี้ มันกลายเป็นทั้งโลกเปลี่ยนโครงสร้างโดย ตัวที่ปรับโครงสร้างมาจาก โรคระบาด
ประการที่สาม 2540 ยังขายของส่งออกนอก คนที่ทำสัญญาไว้ก่อน ทำเป็นเงินดอลล่าร์ ก็ได้กำไรเป็นค่าเงิน ตลาดข้างนอกยังดีอยู่ แต่ตอนนี้ ส่งออกก็ส่งไม่ได้ ทั้งทางอากาศ (เที่ยวบิน Cancel ) ทางเรือก็เทียบท่ายากขึ้น หรือ ปิดเมืองเลย ไม่ให้ส่งออกหรือนำเข้าเลยทีเดียว ขายของออกนอกประเทศก็ทำไม่ได้ช่วงเวลานี้
ประการที่ 4 คนที่มีทรัพย์สินต่างๆ ก็เปิดหลังรถ เปิดตลาดนัด เช่น ตลาดนัดทองหล่อ ตลาดนัดคลองถม นำสิ่งที่ไม่ต้องการมาเปลี่ยนเป็นเงินใช้จ่ายได้ แต่รอบนี้มันไม่ใช่ คนเดินถนนไม่มี อยู่กับบ้านกันหมด ออกจากบ้านก็ไม่ได้ กลัวกัน
แล้วแตกต่างกับ น้ำท่วมปี 2554 หรือไม่
บอกว่าแตกต่างแน่นอน น้ำมาเดี๋ยวก็ไป เพราะน้ำ โดยธรรมชาติไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ไหลลงทะเล มหาสมุทร ดังนั้น มาเยือนแล้วไป มีเวลาที่แน่นอน นั้นเอง ดังนั้น บอกได้ว่า ยาวนานแค่ไหน แล้ว ความเสียหายแค่ไหน ฟื้นฟูแค่ไหน
แต่โรคระบาดนั้น บอกไม่ได้เลยว่า หยุดเมื่อไร หยุดแบบงง ก็ได้ แบบรถที่วิ่ง 120 กิโลเมตร แล้วเบรกทันที อะไรประมาณนั้นได้ จึงไม่สามารถบอกได้ว่า ยาวนานแค่ไหน
ปล ได้รับการเลื่อน พบแพทย์จากโรงพยาบาลที่เป็นตติยภูมิของรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จากเดือน เมษายน 2563 ไปอีกครั้งคือ เดือน กรกฏาคม 2563 ลองไปคิดละกัน ว่ามันคืออะไร
ปล ที่สอง อยู่บ้าน ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น จริงๆ ตอนนี้ ศัตรูคือใครบ้างเราไม่รู้ เป็นการรบที่ศัตรูไม่สามารถระบุได้ ดังนั้นดูแลรักษาตัวเอในที่ตั้งดีที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 512
การเปลี่ยนแปลงในการทำงานในระหว่างไวรัสโควิค-19 ระบาด
นานๆเขียนเรื่องการทำงานเสียบาง เพราะว่าต้องนั่งทบทวนอะไรต่อหลายอย่างเลยทีเดียว
ในช่วงที่ไวรัสโควิค-19 ระบาดนั้น กระทบต่อการทำงานของใครหลายต่อหลายคน
ไล่ตั้งแต่กลุ่มแรกคือ อยู่ดีๆ คือ ตกงานกระทันหัน อันนี้คือ รัฐออกมาตรการสั่งปิดร้านรวง/สถานบันเทิง/fitness /สนามกีฬา เป็นต้น ทันที เพื่อหยุดยั้งการรวมตัวกันของประชาชน หรือ คนหมู่มากในบริเวณเดียวกัน เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของโรค
เลยทำให้คนส่วนใหญ่ที่เป็นลูกจ้างรายวัน ตกงานทันทีเลย
ส่วนต่อไปคือพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับภาคบริการ อันนี้ คือ หยุดงาน หรือ เข้าทำงานน้อยลงกว่าเดิม แต่นายจ้างก้ตัดเงินเดือนไปด้วย อันนี้ถือว่า ไม่ได้เข้าทำงานก็ลดเงินเดือนตามปริมาณงานที่ทำ ก็ยังสมเหตุสมผลทั้งสองฝ่าย แต่ที่น่ากลัวคือ เมื่อเหตุการณ์ปกติแล้ว เมื่อธุรกิจกลับมา พนักงานเหล่านี้กลับมาหรือเปล่า น่าสนใจ
ส่วนอื่นพวกหนึ่ง คือ Work From Home หรือ WFH อันนี้แบ่งได้เป็นส่วนพวกใหญ่คือ
1. WFH เหมือนทำงานที่ Office เลย เปิด กล้องตลอดเวลา ติดต่อกับคนตลอดเวลา ส่งงานเหมือนเดิม แต่เหมือนห้ามออกนอกบ้านในเวลาทำงาน ออกได้เมื่อพักเท่านั้น เรียกได้ว่า ทำงานที่บ้านก็เหมือนทำงานที่ทำงานให้ได้
2. WFH แบบทำงานเป็นวันๆ เช่น 3 วันใน1อาทิตย์การทำงานเป็นต้น อันนี้ ก็ลดเงินเดือนอยู่แล้ว ไม่มีอะไร ในส่วนนนี้
นานๆเขียนเรื่องการทำงานเสียบาง เพราะว่าต้องนั่งทบทวนอะไรต่อหลายอย่างเลยทีเดียว
ในช่วงที่ไวรัสโควิค-19 ระบาดนั้น กระทบต่อการทำงานของใครหลายต่อหลายคน
ไล่ตั้งแต่กลุ่มแรกคือ อยู่ดีๆ คือ ตกงานกระทันหัน อันนี้คือ รัฐออกมาตรการสั่งปิดร้านรวง/สถานบันเทิง/fitness /สนามกีฬา เป็นต้น ทันที เพื่อหยุดยั้งการรวมตัวกันของประชาชน หรือ คนหมู่มากในบริเวณเดียวกัน เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของโรค
เลยทำให้คนส่วนใหญ่ที่เป็นลูกจ้างรายวัน ตกงานทันทีเลย
ส่วนต่อไปคือพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับภาคบริการ อันนี้ คือ หยุดงาน หรือ เข้าทำงานน้อยลงกว่าเดิม แต่นายจ้างก้ตัดเงินเดือนไปด้วย อันนี้ถือว่า ไม่ได้เข้าทำงานก็ลดเงินเดือนตามปริมาณงานที่ทำ ก็ยังสมเหตุสมผลทั้งสองฝ่าย แต่ที่น่ากลัวคือ เมื่อเหตุการณ์ปกติแล้ว เมื่อธุรกิจกลับมา พนักงานเหล่านี้กลับมาหรือเปล่า น่าสนใจ
ส่วนอื่นพวกหนึ่ง คือ Work From Home หรือ WFH อันนี้แบ่งได้เป็นส่วนพวกใหญ่คือ
1. WFH เหมือนทำงานที่ Office เลย เปิด กล้องตลอดเวลา ติดต่อกับคนตลอดเวลา ส่งงานเหมือนเดิม แต่เหมือนห้ามออกนอกบ้านในเวลาทำงาน ออกได้เมื่อพักเท่านั้น เรียกได้ว่า ทำงานที่บ้านก็เหมือนทำงานที่ทำงานให้ได้
2. WFH แบบทำงานเป็นวันๆ เช่น 3 วันใน1อาทิตย์การทำงานเป็นต้น อันนี้ ก็ลดเงินเดือนอยู่แล้ว ไม่มีอะไร ในส่วนนนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 513
ประเด็นปัญหาของ Work from Home มันดังนี้
ประเด็นเแรก การลงเวลานั้น พนักงานไม่ใช่คนลงเวลาเอง แต่เป็นหัวหน้างาน และ HR เป็นคนลงเวลาให้ หรือให้พนักงานลงเวลา แต่ทว่า ทำให้เกิดการยืนยันเวลาการทำงานได้ยากขึ้น
ประเด็นที่สองการลา ที่ทำได้ แต่ทว่า มันไม่มีเส้นกั้นว่า เราป่วยแล้วหยุดไม่ต้องทำงาน พักผ่อนได้ แต่ทว่าเมื่อทำงานที่บ้านป่วยก็ต้องทำงานอยู่ดี ไงไม่ต้องหยุดเลย ดีกว่า เป็นคนเหล็กไปเลย
ประเด็นที่สาม เรื่องการออกนอกบ้านในเวลาทำงาน อันนี้ มีกฏหมายข้อมูลส่วนบุคคล แต่ยังไม่ได้บังคับทั้งฉบับ บังคับจริงๆทั้งฉบับนั้นปลายเดือนพฤษภาคม 2563 นั้นเอง แต่ทว่ามีหลายต่อหลายบริษัทที่ให้อุปกรณ์มือถือ หรือติดตั้งโปรแกรมไว้ บนมือถือแล้ว แอบเก็บตำแหน่งกลับมา เมื่อมีการใช้งาน อันนี้ต้องดูว่า กฏหมายแรงงานว่าอย่างไร ซึ่งไม่มีจุดนี้ตรงๆใช้กฏหมายอื่นๆประกอบ
ประเด็นที่สี่ เรื่องวันหยุดตามประกาศ ธรรมดานั้น บริษัทหยุดคือพนักงานไม่ได้เข้าไปทำงานที่สำนักงานของบริษัท แต่กลับกลายเป็น เมื่อวันหยุดแล้ว แถมทำงานที่บ้าน กลายป็นทำงานหนักกว่าเดิม ด้วย คือ ทำงานในวันหยุด หรือ OT free นั้นเอง
ประเด็นที่ห้า คือ การเข้าถึงทรัพยาของบริษัท อันนี้ที่เป็นข่าวมาในช่วงเดือนมีนาคม 2563 คือพวกบริษัทของ US ว่าทำงานบางอย่างได้ที่สำนักงานใหญ่เท่านั้นเพือป้องกันข้อมูลสำคัญหลุดออกมาสู่สาธารณชน หรือ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นเอง
แต่กลายเป็นต้องให้คนปลอดภัย ไม่ต้องให้คนไปทำงานที่สำนักงาน ให้มาทำงานที่บ้าน สิ่งเหล่านี้ต้องคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องอื่นๆที่พบเจอ
ประเด็นเรื่องของการสร้างความกลัวในเรื่องของการลดเงินเดือนพนักงาน ซึ่งถึงแม้นบริษัทดำเนินการอยู่ การลดเงินเดือนพนักงานนั้น หากพนักงานไม่ยินยอม หรือลงนามในเอกสาร ถึงแม้นรับรู้แล้วก็จริง ก็ยังไม่สามารถทำได้ และเมื่อสภาพปกติ แล้ว คนที่ลดเงินเดือนได้เงินเดือนเท่าเดิมหรือไม่ และได้สวัสดิการเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหรือไม่ เพราะได้ฝ่าฟันผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ มันก็น่าคิดต่อไป ซึ่งตามกฏหมายแรงงานไม่สามารถลดเงินเดือนพนักงานได้ หากพนักงานไม่ทำเรื่องมา
ประเด็นเรื่องความเหงาของพนักงาน คือทำงานที่สำนักงานนั้นได้ พูดคุย รวมกลุ่มกันในบางครั้ง คุยเรื่องต่างๆ ปรับทุกข์ระหว่างกัน กลับกลายเป็นอยู่บ้านทำงาน ก็ทำให้ มีความเหงาหรือความเครียดเพิ่มขึ้นได้ เหมือนกับ คนที่เกษียณอายุ แล้ว อยู่ๆกลับไปอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็เหงาเป็นธรรมดา อันนี้ต้องระวังว่า พัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า หรือโรคอื่นๆต่อไป (ซึ่งตอนนี้ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงเท่าไร) เพราะทุกบริษัทห่วงว่า กลัวพนักงานติดโรค ต้องฆ่าเชื้อหรืออะไร ประมาณนี้ แต่ลืมคิดว่าเมื่อพวกเข้า ต้องอยู่บ้านเป็นเช่นไรหนอ
ประเด็นต่อไปคือ การ Lean (อันนี้ คำศัพท์ของสาย Startup) คือ พนักงานที่ไม่จำเป็นต้องมี หรือ ขั้นตอนกระบวนการไหน ที่ไม่จำเป็นต้องตัดออกไป ช่วงที่พนักงานทำงานที่บ้าน บริษัทเห็นได้ชัดเจนว่า พนักงานส่วนในยังจำเป็นต้องจ้างงานอยู่ ส่วนไหนที่ตัดลดพนักงานได้ ก็เริ่มลงมือทำในช่วงเวลานี้ ไม่เพียงแค่นั้น ก็เริ่มมาตรฐานการบีบทางอ้อมโดยการให้งานที่เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก หากทำงานไม่ไหว หรือไม่ได้ตามผลงานที่ตั้งไว้ ก็พิจารณาตัวเอง
หลักการของ agile คือ 1 รอบการทำงานประมาณ 2 อาทิตย์ก็ลดเหลือ 1 อาทิตย์เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงเร็วต่อสถานการณ์ภายนอก ไม่เพียงแค่นั้น ให้พนักงานกำหนดแผนการทำงานเป็นวันๆ คือ วันไหนไม่มีงานคุณก็กำลังโดนเพ่งเล็งว่า เป็นส่วนเกินในการทำงานนั้นเอง
เรื่อง Work from home นั้นเป็นเรื่องใหม่ ของประเทศไทย แต่ในต่างประเทศนั้น ทำกันมานานแล้ว เป็นประเภทของ Freelance นั้นเอง กำหนดว่าเสร็จเมื่อไร แล้วติดตามกันไป แต่ทว่า ในเมืองไทยนั้นทำในตอนที่มีเหตุการณ์โควิค19 ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่บริษัทต้องการลดค่าใช้จ่ายลงอยู่ด้วย ก็เลยเป็นจังหวะที่ดีในการอ้าง เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเร่งสร้างผลงาน หรือ เป้นช่วงที่ให้พนักงานออกได้โดยมีข้ออ้างที่เหมาะสมนั้นเอง
แต่อย่างไรเสีย Work form home ก็นมีข้อดี ว่า หากใช้เวลาให้เป็น คือ เวลานั้นกลับมาสร้างศักยภาพของตัวเองให้มากขึ้น ทั้งการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่บ้าน การที่เราลดการออกจากบ้านไป หันมาดูแลคนใกล้ตัวมากขึ้น หันมาดูแลบ้านที่เราซื้อว่า มันควรเพิ่มเติมหรือตกแต่งอะไรหรือไม่
นอกเสียจากนั้น ไม่ต้องเครียดในการเดินทาง จากบ้านไปที่ทำงาน ไม่ต้องขับรถ / เบียดเสียด หรือ กลัวว่าใช้รถสาธารณะแล้วผู้ร่วมทางติดเชื้อโควิค19 หรือไม่ มีขนส่งสาธารณะตอนขากลับบ้านหรือไม่ เพราะชวงนี้เคอร์ฟิว 22.00 ถึง 04.00 น.ทุกวันด้วย (กรุงเทพ ถึง 05.00 น.)
เห็นการแบ่งปันในสังคมไทย ที่ไม่เคยแล้งน้ำใจ ใครตกทุกข์ได้ยากก็ช่วยเหลือกันเสมอมา ไม่ว่าเป็นข้าวปลาอาหารต่างๆ ที่พักที่จัดไว้สำหรับคนกักตัว 14 วัน
การแบ่งปันการช่วยเหลือกันเสมอสำหรับคนไทยในช่วงเวลานี้ แต่ทว่า สุดท้ายคือ You'll never walk alone !
คุณไม่เดินอย่างเดียวดาย ถึงแม้นทำงาน Work from home ก็มีอีกหลายแสนหลายล้านคนที่ทำงานแบบนี้ ถึงแม้นคุณตกงานก็มีสวัสดิการของรัฐอยู่ ถึงแม้นคนอดยากก็มีเพื่อนร่วมสังคมแบ่งปันอาหารให้อยู่ สยามเมืองยิ้ม ยิ้มเมื่อภัยมา
ปล ประเด็นต่างๆนั้น กฏหมายแรงงานยังไม่มี เป็นช่องโหว่งอยู่ น่าจะออกแนวทางในเร็ววันนี้ เพราะว่า เดี๋ยวจะได้เกิดการฟ้องร้องในศาลแรงงานเพิ่มขึ้น แน่นอน ในอนาคต หลังจากเหตุการณ์โควิค19 จบลง
หากทำให้ชัดเจน เป็นไม้บรรทัด ทำให้ทุกฝ่าย มีแนวทางในการทำงาน ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า ไม้บรรทัดคืออะไร
เพราะเมื่อออกมามันคือ ทุกบริษัททำตามนั้น
ซึงตอนนี้มีแต่แนวทางที่บริษัทปิดการดำเนินการชั่วคราว แต่ไม่มี แนวทางบริษัทเปิดดำเนินการอยู่ แต่ทว่าให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work From Home) ว่าเป็นเช่นไร
ประเด็นเแรก การลงเวลานั้น พนักงานไม่ใช่คนลงเวลาเอง แต่เป็นหัวหน้างาน และ HR เป็นคนลงเวลาให้ หรือให้พนักงานลงเวลา แต่ทว่า ทำให้เกิดการยืนยันเวลาการทำงานได้ยากขึ้น
ประเด็นที่สองการลา ที่ทำได้ แต่ทว่า มันไม่มีเส้นกั้นว่า เราป่วยแล้วหยุดไม่ต้องทำงาน พักผ่อนได้ แต่ทว่าเมื่อทำงานที่บ้านป่วยก็ต้องทำงานอยู่ดี ไงไม่ต้องหยุดเลย ดีกว่า เป็นคนเหล็กไปเลย
ประเด็นที่สาม เรื่องการออกนอกบ้านในเวลาทำงาน อันนี้ มีกฏหมายข้อมูลส่วนบุคคล แต่ยังไม่ได้บังคับทั้งฉบับ บังคับจริงๆทั้งฉบับนั้นปลายเดือนพฤษภาคม 2563 นั้นเอง แต่ทว่ามีหลายต่อหลายบริษัทที่ให้อุปกรณ์มือถือ หรือติดตั้งโปรแกรมไว้ บนมือถือแล้ว แอบเก็บตำแหน่งกลับมา เมื่อมีการใช้งาน อันนี้ต้องดูว่า กฏหมายแรงงานว่าอย่างไร ซึ่งไม่มีจุดนี้ตรงๆใช้กฏหมายอื่นๆประกอบ
ประเด็นที่สี่ เรื่องวันหยุดตามประกาศ ธรรมดานั้น บริษัทหยุดคือพนักงานไม่ได้เข้าไปทำงานที่สำนักงานของบริษัท แต่กลับกลายเป็น เมื่อวันหยุดแล้ว แถมทำงานที่บ้าน กลายป็นทำงานหนักกว่าเดิม ด้วย คือ ทำงานในวันหยุด หรือ OT free นั้นเอง
ประเด็นที่ห้า คือ การเข้าถึงทรัพยาของบริษัท อันนี้ที่เป็นข่าวมาในช่วงเดือนมีนาคม 2563 คือพวกบริษัทของ US ว่าทำงานบางอย่างได้ที่สำนักงานใหญ่เท่านั้นเพือป้องกันข้อมูลสำคัญหลุดออกมาสู่สาธารณชน หรือ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นเอง
แต่กลายเป็นต้องให้คนปลอดภัย ไม่ต้องให้คนไปทำงานที่สำนักงาน ให้มาทำงานที่บ้าน สิ่งเหล่านี้ต้องคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องอื่นๆที่พบเจอ
ประเด็นเรื่องของการสร้างความกลัวในเรื่องของการลดเงินเดือนพนักงาน ซึ่งถึงแม้นบริษัทดำเนินการอยู่ การลดเงินเดือนพนักงานนั้น หากพนักงานไม่ยินยอม หรือลงนามในเอกสาร ถึงแม้นรับรู้แล้วก็จริง ก็ยังไม่สามารถทำได้ และเมื่อสภาพปกติ แล้ว คนที่ลดเงินเดือนได้เงินเดือนเท่าเดิมหรือไม่ และได้สวัสดิการเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหรือไม่ เพราะได้ฝ่าฟันผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ มันก็น่าคิดต่อไป ซึ่งตามกฏหมายแรงงานไม่สามารถลดเงินเดือนพนักงานได้ หากพนักงานไม่ทำเรื่องมา
ประเด็นเรื่องความเหงาของพนักงาน คือทำงานที่สำนักงานนั้นได้ พูดคุย รวมกลุ่มกันในบางครั้ง คุยเรื่องต่างๆ ปรับทุกข์ระหว่างกัน กลับกลายเป็นอยู่บ้านทำงาน ก็ทำให้ มีความเหงาหรือความเครียดเพิ่มขึ้นได้ เหมือนกับ คนที่เกษียณอายุ แล้ว อยู่ๆกลับไปอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็เหงาเป็นธรรมดา อันนี้ต้องระวังว่า พัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า หรือโรคอื่นๆต่อไป (ซึ่งตอนนี้ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงเท่าไร) เพราะทุกบริษัทห่วงว่า กลัวพนักงานติดโรค ต้องฆ่าเชื้อหรืออะไร ประมาณนี้ แต่ลืมคิดว่าเมื่อพวกเข้า ต้องอยู่บ้านเป็นเช่นไรหนอ
ประเด็นต่อไปคือ การ Lean (อันนี้ คำศัพท์ของสาย Startup) คือ พนักงานที่ไม่จำเป็นต้องมี หรือ ขั้นตอนกระบวนการไหน ที่ไม่จำเป็นต้องตัดออกไป ช่วงที่พนักงานทำงานที่บ้าน บริษัทเห็นได้ชัดเจนว่า พนักงานส่วนในยังจำเป็นต้องจ้างงานอยู่ ส่วนไหนที่ตัดลดพนักงานได้ ก็เริ่มลงมือทำในช่วงเวลานี้ ไม่เพียงแค่นั้น ก็เริ่มมาตรฐานการบีบทางอ้อมโดยการให้งานที่เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก หากทำงานไม่ไหว หรือไม่ได้ตามผลงานที่ตั้งไว้ ก็พิจารณาตัวเอง
หลักการของ agile คือ 1 รอบการทำงานประมาณ 2 อาทิตย์ก็ลดเหลือ 1 อาทิตย์เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงเร็วต่อสถานการณ์ภายนอก ไม่เพียงแค่นั้น ให้พนักงานกำหนดแผนการทำงานเป็นวันๆ คือ วันไหนไม่มีงานคุณก็กำลังโดนเพ่งเล็งว่า เป็นส่วนเกินในการทำงานนั้นเอง
เรื่อง Work from home นั้นเป็นเรื่องใหม่ ของประเทศไทย แต่ในต่างประเทศนั้น ทำกันมานานแล้ว เป็นประเภทของ Freelance นั้นเอง กำหนดว่าเสร็จเมื่อไร แล้วติดตามกันไป แต่ทว่า ในเมืองไทยนั้นทำในตอนที่มีเหตุการณ์โควิค19 ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่บริษัทต้องการลดค่าใช้จ่ายลงอยู่ด้วย ก็เลยเป็นจังหวะที่ดีในการอ้าง เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเร่งสร้างผลงาน หรือ เป้นช่วงที่ให้พนักงานออกได้โดยมีข้ออ้างที่เหมาะสมนั้นเอง
แต่อย่างไรเสีย Work form home ก็นมีข้อดี ว่า หากใช้เวลาให้เป็น คือ เวลานั้นกลับมาสร้างศักยภาพของตัวเองให้มากขึ้น ทั้งการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่บ้าน การที่เราลดการออกจากบ้านไป หันมาดูแลคนใกล้ตัวมากขึ้น หันมาดูแลบ้านที่เราซื้อว่า มันควรเพิ่มเติมหรือตกแต่งอะไรหรือไม่
นอกเสียจากนั้น ไม่ต้องเครียดในการเดินทาง จากบ้านไปที่ทำงาน ไม่ต้องขับรถ / เบียดเสียด หรือ กลัวว่าใช้รถสาธารณะแล้วผู้ร่วมทางติดเชื้อโควิค19 หรือไม่ มีขนส่งสาธารณะตอนขากลับบ้านหรือไม่ เพราะชวงนี้เคอร์ฟิว 22.00 ถึง 04.00 น.ทุกวันด้วย (กรุงเทพ ถึง 05.00 น.)
เห็นการแบ่งปันในสังคมไทย ที่ไม่เคยแล้งน้ำใจ ใครตกทุกข์ได้ยากก็ช่วยเหลือกันเสมอมา ไม่ว่าเป็นข้าวปลาอาหารต่างๆ ที่พักที่จัดไว้สำหรับคนกักตัว 14 วัน
การแบ่งปันการช่วยเหลือกันเสมอสำหรับคนไทยในช่วงเวลานี้ แต่ทว่า สุดท้ายคือ You'll never walk alone !
คุณไม่เดินอย่างเดียวดาย ถึงแม้นทำงาน Work from home ก็มีอีกหลายแสนหลายล้านคนที่ทำงานแบบนี้ ถึงแม้นคุณตกงานก็มีสวัสดิการของรัฐอยู่ ถึงแม้นคนอดยากก็มีเพื่อนร่วมสังคมแบ่งปันอาหารให้อยู่ สยามเมืองยิ้ม ยิ้มเมื่อภัยมา
ปล ประเด็นต่างๆนั้น กฏหมายแรงงานยังไม่มี เป็นช่องโหว่งอยู่ น่าจะออกแนวทางในเร็ววันนี้ เพราะว่า เดี๋ยวจะได้เกิดการฟ้องร้องในศาลแรงงานเพิ่มขึ้น แน่นอน ในอนาคต หลังจากเหตุการณ์โควิค19 จบลง
หากทำให้ชัดเจน เป็นไม้บรรทัด ทำให้ทุกฝ่าย มีแนวทางในการทำงาน ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า ไม้บรรทัดคืออะไร
เพราะเมื่อออกมามันคือ ทุกบริษัททำตามนั้น
ซึงตอนนี้มีแต่แนวทางที่บริษัทปิดการดำเนินการชั่วคราว แต่ไม่มี แนวทางบริษัทเปิดดำเนินการอยู่ แต่ทว่าให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work From Home) ว่าเป็นเช่นไร
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 514
อันนี้แนวทาง Work from home จาก Podcast ของ นพดลสตอรี่
สรุปไว้อย่างง่ายๆดังนี้
1. แบ่งแยกสถานที่ทำงานให้ชัดเจน ถึงแม้นอยู่บ้านก็ตามว่าจุดไหน เป็นจุดที่เราทำงานได้ ไม่ใช่ว่า เป็นส่วนที่ทุกคนในครอบครัวใช้ แต่ต้องเป็นที่ส่วนตัวอย่างเช่นห้องส่วนตัวหรือมุมส่วนตัว และทำตัวเหมือนเข้าทำงาน และ ออกจากงาน
2. กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจน ว่าทำงานถึงเวลาเท่าไร เพราะบางบริษัทเอาเป้าหมายเป็นหลัก
3. การแต่งตัวให้เป็นการทำงาน อันนี้เหมือนหลอกสมองของเราว่าทำงานที่บ้านเหมือนที่ทำงาน
4. ทำงานที่บ้านพึ่งพา เทคโนโลยีอย่างมาก ต้องถามว่า พนักงานเตรียมพร้อมไหม ไมด์มาก่อน ถ้าไมด์ไม่ดี ทำให้การสื่อสารมีปัญหา และ internet ต้องดีระดับหนึ่ง เพราะ Vdo conference เป็นหลัก
5. ทำความเข้าใจคนที่บ้าน เพราะ บ้านเป็นที่ทำงาน เมื่อเอาบางส่วนของบ้านมาเป็นที่ทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้คนรอบข้างเข้าใจว่า เราทำงานมิใช่ เราอยู่บ้าน เหมือนปกติ
สรุปไว้อย่างง่ายๆดังนี้
1. แบ่งแยกสถานที่ทำงานให้ชัดเจน ถึงแม้นอยู่บ้านก็ตามว่าจุดไหน เป็นจุดที่เราทำงานได้ ไม่ใช่ว่า เป็นส่วนที่ทุกคนในครอบครัวใช้ แต่ต้องเป็นที่ส่วนตัวอย่างเช่นห้องส่วนตัวหรือมุมส่วนตัว และทำตัวเหมือนเข้าทำงาน และ ออกจากงาน
2. กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจน ว่าทำงานถึงเวลาเท่าไร เพราะบางบริษัทเอาเป้าหมายเป็นหลัก
3. การแต่งตัวให้เป็นการทำงาน อันนี้เหมือนหลอกสมองของเราว่าทำงานที่บ้านเหมือนที่ทำงาน
4. ทำงานที่บ้านพึ่งพา เทคโนโลยีอย่างมาก ต้องถามว่า พนักงานเตรียมพร้อมไหม ไมด์มาก่อน ถ้าไมด์ไม่ดี ทำให้การสื่อสารมีปัญหา และ internet ต้องดีระดับหนึ่ง เพราะ Vdo conference เป็นหลัก
5. ทำความเข้าใจคนที่บ้าน เพราะ บ้านเป็นที่ทำงาน เมื่อเอาบางส่วนของบ้านมาเป็นที่ทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้คนรอบข้างเข้าใจว่า เราทำงานมิใช่ เราอยู่บ้าน เหมือนปกติ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 515
too big to fail
ใหญ่เกินไปที่ปล่อยให้ล้ม
อันนี้ต้องบอกว่า เป็นเหตุการณ์ในปี 2008 ที่ รัฐของ US ในขณะนั้น เลือกที่อุ้ม สถานบันการเงินคือ AIA ในช่วงนั้น
โดยใช้เงินไปประมาณ 800พันล้านเหรียญ ในการอุ้ม เพราะว่าหาก AIA ล้มไป เป็นโดมิโน ขนาดใหญ่มากๆ ตามมา
เลยต้องอุ้มเพื่อให้เศรษฐกิจ นั้นเดินหน้าต่อไปได้
ไม่เพียงแค่นั้น มาตรฐการ QE คือ อัดเงินเข้าระบบมาใช้งาน และ ตามด้วยการจ้างงานที่ลดลงแบบต่ำสุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
แต่พอ เจอ โควิค 19 ไป ยอดประชาชนตกงานในปี 2008 ชิดซ้ายไปเลย ประชาชนที่ขอสวัสดิเรื่องนี้ ณ ตอนนี้กว่า 22 ล้านคนในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน ยอดเพิ่มขึ้นมากกว่า ช่วง 2008 ที่ผ่านมาที่ระดับไม่เกิน 9 ล้านบาท ในช่วงนั้น
สิ่งนี้มองได้เลย ว่าระดับความรุนแรง มันระดับไหน เรียกได้ว่า ย้อนกลับไปมอง วิกฤติ ปี 1929 ได้เลย แต่ทว่า
เมื่อย้อนกลับไปมองช่วงนั้น ก็มีคำถามต่อมาคือ มันมีวิกฤติก่อนหน้านี้คือ ปี 1920-1921 เกิดขึ้นมาก่อน เป็นการตกต่ำ ที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบ แต่ทว่ามองย้อนกลับไปอีก 1919 นั้นเป็นปีที่จบสงครามโลกครั้งที่1 และ มีการแพร่กระจายเชื้อของ ไข้หวัดสเปน หรือ H1N1 เกิดขึ้น มันเลยสงสัยไม่ได้ว่า การตกต่ำในปี 1920-1921 นั้น แถมเป็นการตกต่ำทั่วทั้งโลก อีกต่างหาก (ในช่วงเวลานั้น ในประวัติศาสตร์คือช่วงสมัย รัชกาลที่ 6 ก็มีการลงทุนขนาดใหญ่คือการเปลี่ยน ขนาดของรางรถไฟ ของไทยจากมาตรฐานที่ 1.5 เมตร เป็น 1 เมตร ตามอังกฤษ แต่ต่อมาอังกฤษ ก็เปลี่ยนเป็น 1.5 เมตรอีกครั้งหนึ่ง เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของไทย เลยทีเดียว ก่อนที่มีภาวะตกต่ำในปี 1929 ที่เศรษฐกิจร้อนแรงอย่างมาก จนล่มสลายไป ในปีนั้น)
ดังนั้น บันทึกของกิจการที่มีอายุอยู่ประมาณ 100 กว่าปี ก็เขียนระบุไว้ไม่ชัดเจนว่า ช่วงเวลานั้น ทำอะไรกันอยู่ ค้นหาประวัติศาสตร์ช่วงเวลานั้น ก็ยากมากๆ ไม่มีเปิดเผยอะไรด้วย ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่หายไป ในช่วงเวลาดังกล่าว
เอาแหละกลับมาในปัจจุบัน สังเกตได้ว่า ตอนนี้รัฐบาลของทุกปี และ ธนาคารกลางของทุกประเทศ ได้อัดเงินเข้ามาในระบบ ไม่ว่าจะแจกเงินให้ประชาชนโดยตรง อุ้ม ตลาดตราสารหนี้ อุ้มเงินฝาก อุดช่องโหว่งที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยไปมากกว่านี้ เพื่อจำกัดวงให้แคบลง เพื่อให้เกิดการล้มของภาคการผลิตจริงให้น้อยที่สุด
เรียกได้ว่า ภาพตอนนี้คือ แก้ไขปัญหา ทั้งด้านของ ปากท้อง คือ อดตาย กับแก้ไขปัญหาเรื่องโควิค 19 คือ ติดเชื้อและตายไปพร้อมกันเลยทีเดียว เป็นแบบนี้ทั่วโลก เรียกได้ว่า ตอนนี้คนไม่ต้องเดินทาง อยู่กับบ้าน อยู่ติดบ้านให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องมาเจอะเจอกัน จนกว่า มีวัคซีนที่ป้องกันได้ ซึ่งเป็นการสร้างวัคซีนที่เร่งด่วนครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
(ไข้หวัด 2009 สร้างประมาณ 2 เดือนเสร็จจากการเพาะเชื้อบนไข่ไก่ เพราะมีแนวทางอยู่แล้วจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆ หลังจากปี 2009 เป็นต้นมา ประชาชนก็ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี แต่ทว่ายอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ก็ไม่ค่อยลดลง มีแต่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ด้วย มันก็แน่แปลกใจว่า มีการกลายพันธุ์ของไวรัสในตระกูลนี้ตลอดเวลาด้วย)
เมื่อจบจากการมีวัคซีน คราวนี้ คือเรื่องของ การกระตุ้น ให้คนมาใช้สอยได้อย่างไร ภาพตอนนี้ประชาชนซื้อแต่ของที่ติดคำว่า Sales อำนาจการซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เนื่องจาก บริษัท ก็ลดเงินเดือน จ่ายเงินเดือนน้อยลง สภาพคล่องก็ติดขัดไปหมด ผู้เล่นกลายเป็นรัฐบาลที่ต้องสรรหาโครงการลงทุนของภาครัฐมาขับเคลื่อน เราอาจจะได้เห็นการขุดคอคดกระ ในยุดนี้ก็ได้ ไม่เพียงแค่ ทำรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรือ อภิมหาโครงการ ย้ายท่อน้ำมัน ใจกลางเมืองทำอย่างไรให้ รถไม่ติด ก็น่าจะทำในช่วงโควิค 19 ระบาด (ตอนนี้ โครงการรถไฟฟ้าที่วิ่งแถวบางกะปิ มารื้อถอนสะพานข้ามแยกบางกะปิ ตรงนิด้า ไปยัง เดอะมอลล์บางกะปิ เริ่มช่วงนี้ด้วย แสดงว่า ทำได้ถูกเวลา แต่ทว่าต้องเร่งให้เสร็จก่อนที่คนออกมาละกัน เร่งทั้งวันเร่งทั้งคืนด้วย)
ไม่เพียงแค่ภาครัฐบาล เป็นผู้เล่นหลัก แต่ทว่า ภาคการใช้แรงงานของไทย นั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ กำลังหลักเป็นแรงงานต่างประเทศจากประเทศเพื่อนบ้าน ไล่ตั้งแต่ ประเทศเมียนม่า ,ลาว,กัมพูชา มาหางานทำในเมืองไทย เมื่อเกิดโควิค 19 แรงงานก็กลับกันหมด ก่อนหน้ามีก็มีข่าวเรื่องการไปรวมตัวที่สถานพยาบาลของรัฐ เพื่อตรวจสุขภาพต่อใบอนุญาตให้ดราม่ากันไปแล้ว คราวนี้กลับกันหมดแล้ว กลายเป็นการขาดแคลนแรงงานในภาคใช้แรงงานไปด้วย งานนี้คำตอบคือต้องลงทุนเครื่องจักรที่ทำงานแบบอัตโนมัติหรือไม่ แต่ทว่า เมื่อลงทุนไปแล้ว เหล่าเถ้าแก่ก็คิดว่า เงินที่ลงทุนไป ก็ขายของได้เท่าเดิม ไม่ได้ขายได้แพงขึ้น แถมต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แบบนี้ขอไม่ทำต่อดีกว่า ปิดมันซักเลย ถ้าเป็นแบบนี้ทำไงต่อละ
สิ่งพวกนี้แหละ ที่น่าคิดต่อไปว่า เมื่อ จบโควิค19 แล้วภาพในเรื่องการใช้แรงงานเปลี่ยนไปในทิศทางไหน
ส่วนภาคของประชาชนที่ทำงานใน office ก็โดนเรื่อง Work at home เข้ามา ทำงานจากที่บ้าน ไม่ต้องออกมาจากบ้าน ก็ทำงานได้ ประชุมทางไกลก็ได้ เรียนทางไกลก็ได้ (ดราม่าเรื่องการเรียนเนี่ยก็มีให้เห็นว่าจ่ายเป็นล้านแต่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เรียนแทน ก็มีให้เห็นอีกต่างหาก) ต่อด้วยเรื่องค่าไฟฟ้าที่บ้านเพิ่มสูงขึ้น จนตอนนี้ การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาคเริ่มมีการเรียกร้องมาเยอะมากๆว่า ค่าไฟฟ้าในเดือน เมษายน 2563 ไหนบอกว่า ลดราคา 3% กลับกลายเป็นราคาค่าไฟฟ้าพุ่งเกิน 100% บางบ้านเป็น 1,000% ลงข่าวก็มีในช่วงเวลานี้
เนี่ยแหละการปรับตัว
แล้วหลายคนก็ถามว่า เมื่อไร เศรษฐกิจกลับมา ตัวที่บอกว่าเศรษฐกิจที่แท้จริงในส่วนภาคโรงงานกลับมานั้น คืออัตราการใช้ไฟฟ้า คือ ไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญในการผลิต ไม่มีไฟฟ้าผลิตไม่ได้ ดังนั้น ดูปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้เลย ซึ่ง ทุกปีในเดือนเมษายนนั้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ต้องป่าวประกาศว่า ยอดการใช้ไฟฟ้าสูงเป็นประวัติศาสตร์ (มีไม่กี่ปีที่มาหนาวในเดือนมีนาคม ปลายเดือน ทำให้ยอดการใช้ไฟฟ้าลดลงก็มีให้เห็นกัน) แล้วมาบอกว่า กำลังการสำรองไฟฟ้าไม่พอ ต้องเพิ่มและต้องเพิ่มให้ทัน แต่ปีนี้ข่าวดังกล่าว เงียบมาก จนไม่กล้าออกมาป่าวประกาศว่า ตอนนี้เราเหลือกำลังการผลิตไฟฟ้าในระบบเนื่องจากการมาของโควิค 19 การใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมหาศาล
่มีบางท่านไปดูว่าจีนหลังจากเปิดอู่ฮั่นเป็นเช่นไร บอกเลยในช่วงนี้ ห้างเปิดก็จริง กำลังซื้อลดลงกันหมดทั้ง ออนไลน์และออฟไลน์ คนหายไม่เดินหายหายไป 50% จากปีก่อน เม็ดเงินที่จับจ่ายก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ส่วนตัวเลขประมาณการณ์ของ IMF คือ ปี 2020 จบปี ไทยเติบโตติดลบ จีนเหลือ 2% กว่าๆ อินเดียเหลือ 1-2%
แล้วคิดเอาละกัน ว่าทั่วโลกเติบโตติดลบ แล้วมองว่าเป็น V shape กลับมาได้ ในปี 2021 เป็นต้นไป
แต่สิ่งหนึ่งที่จีนบอกคือ ประชาชนดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น จากโควิค 19 สิ่งนี้คือ key word เลยว่าคืออะไร
ที่บอกว่าคือ ฉายภาพให้เห็นว่า ทุกอย่างก็ต้องปรับตัว และดูอย่างไรว่ากลับตัวหรือไม่กลับตัว เราต้องดูกันไปเรื่อยๆว่า สุดท้ายนั้น โควิค19 เร่งให้เราปรับตัวไปด้านไหน
ปล ส่งท้าย โควิค 19 ติดไม่เลือกหน้า ขนาด ทหารบนเรือบรรทุเครื่องบินที่ดีที่สุดของโลก ทั้ง US และ ฝรั่งเศสยังติดกันระงม จนสภาพการเตรียมพร้อมที่ออกปฏิบัติ ถึงขั้นออกปฏิบัติการไม่ได้เลยทีเดียว หรือซ้อมรบอยู่ดีๆ ก็แล่นกลับอย่างเร่งด่วน ยกเลิกภาระกิจเลย
จะเห็นได้ว่า ขนาดคนที่แข็งแรงยังโดนเล่นงานได้ หากอยู่ในที่แคบๆ ดังนั้นต้องระวังกันไว้ละในเรื่องเหล่านี้
ใหญ่เกินไปที่ปล่อยให้ล้ม
อันนี้ต้องบอกว่า เป็นเหตุการณ์ในปี 2008 ที่ รัฐของ US ในขณะนั้น เลือกที่อุ้ม สถานบันการเงินคือ AIA ในช่วงนั้น
โดยใช้เงินไปประมาณ 800พันล้านเหรียญ ในการอุ้ม เพราะว่าหาก AIA ล้มไป เป็นโดมิโน ขนาดใหญ่มากๆ ตามมา
เลยต้องอุ้มเพื่อให้เศรษฐกิจ นั้นเดินหน้าต่อไปได้
ไม่เพียงแค่นั้น มาตรฐการ QE คือ อัดเงินเข้าระบบมาใช้งาน และ ตามด้วยการจ้างงานที่ลดลงแบบต่ำสุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
แต่พอ เจอ โควิค 19 ไป ยอดประชาชนตกงานในปี 2008 ชิดซ้ายไปเลย ประชาชนที่ขอสวัสดิเรื่องนี้ ณ ตอนนี้กว่า 22 ล้านคนในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน ยอดเพิ่มขึ้นมากกว่า ช่วง 2008 ที่ผ่านมาที่ระดับไม่เกิน 9 ล้านบาท ในช่วงนั้น
สิ่งนี้มองได้เลย ว่าระดับความรุนแรง มันระดับไหน เรียกได้ว่า ย้อนกลับไปมอง วิกฤติ ปี 1929 ได้เลย แต่ทว่า
เมื่อย้อนกลับไปมองช่วงนั้น ก็มีคำถามต่อมาคือ มันมีวิกฤติก่อนหน้านี้คือ ปี 1920-1921 เกิดขึ้นมาก่อน เป็นการตกต่ำ ที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบ แต่ทว่ามองย้อนกลับไปอีก 1919 นั้นเป็นปีที่จบสงครามโลกครั้งที่1 และ มีการแพร่กระจายเชื้อของ ไข้หวัดสเปน หรือ H1N1 เกิดขึ้น มันเลยสงสัยไม่ได้ว่า การตกต่ำในปี 1920-1921 นั้น แถมเป็นการตกต่ำทั่วทั้งโลก อีกต่างหาก (ในช่วงเวลานั้น ในประวัติศาสตร์คือช่วงสมัย รัชกาลที่ 6 ก็มีการลงทุนขนาดใหญ่คือการเปลี่ยน ขนาดของรางรถไฟ ของไทยจากมาตรฐานที่ 1.5 เมตร เป็น 1 เมตร ตามอังกฤษ แต่ต่อมาอังกฤษ ก็เปลี่ยนเป็น 1.5 เมตรอีกครั้งหนึ่ง เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของไทย เลยทีเดียว ก่อนที่มีภาวะตกต่ำในปี 1929 ที่เศรษฐกิจร้อนแรงอย่างมาก จนล่มสลายไป ในปีนั้น)
ดังนั้น บันทึกของกิจการที่มีอายุอยู่ประมาณ 100 กว่าปี ก็เขียนระบุไว้ไม่ชัดเจนว่า ช่วงเวลานั้น ทำอะไรกันอยู่ ค้นหาประวัติศาสตร์ช่วงเวลานั้น ก็ยากมากๆ ไม่มีเปิดเผยอะไรด้วย ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่หายไป ในช่วงเวลาดังกล่าว
เอาแหละกลับมาในปัจจุบัน สังเกตได้ว่า ตอนนี้รัฐบาลของทุกปี และ ธนาคารกลางของทุกประเทศ ได้อัดเงินเข้ามาในระบบ ไม่ว่าจะแจกเงินให้ประชาชนโดยตรง อุ้ม ตลาดตราสารหนี้ อุ้มเงินฝาก อุดช่องโหว่งที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยไปมากกว่านี้ เพื่อจำกัดวงให้แคบลง เพื่อให้เกิดการล้มของภาคการผลิตจริงให้น้อยที่สุด
เรียกได้ว่า ภาพตอนนี้คือ แก้ไขปัญหา ทั้งด้านของ ปากท้อง คือ อดตาย กับแก้ไขปัญหาเรื่องโควิค 19 คือ ติดเชื้อและตายไปพร้อมกันเลยทีเดียว เป็นแบบนี้ทั่วโลก เรียกได้ว่า ตอนนี้คนไม่ต้องเดินทาง อยู่กับบ้าน อยู่ติดบ้านให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องมาเจอะเจอกัน จนกว่า มีวัคซีนที่ป้องกันได้ ซึ่งเป็นการสร้างวัคซีนที่เร่งด่วนครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
(ไข้หวัด 2009 สร้างประมาณ 2 เดือนเสร็จจากการเพาะเชื้อบนไข่ไก่ เพราะมีแนวทางอยู่แล้วจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆ หลังจากปี 2009 เป็นต้นมา ประชาชนก็ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี แต่ทว่ายอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ก็ไม่ค่อยลดลง มีแต่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ด้วย มันก็แน่แปลกใจว่า มีการกลายพันธุ์ของไวรัสในตระกูลนี้ตลอดเวลาด้วย)
เมื่อจบจากการมีวัคซีน คราวนี้ คือเรื่องของ การกระตุ้น ให้คนมาใช้สอยได้อย่างไร ภาพตอนนี้ประชาชนซื้อแต่ของที่ติดคำว่า Sales อำนาจการซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เนื่องจาก บริษัท ก็ลดเงินเดือน จ่ายเงินเดือนน้อยลง สภาพคล่องก็ติดขัดไปหมด ผู้เล่นกลายเป็นรัฐบาลที่ต้องสรรหาโครงการลงทุนของภาครัฐมาขับเคลื่อน เราอาจจะได้เห็นการขุดคอคดกระ ในยุดนี้ก็ได้ ไม่เพียงแค่ ทำรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรือ อภิมหาโครงการ ย้ายท่อน้ำมัน ใจกลางเมืองทำอย่างไรให้ รถไม่ติด ก็น่าจะทำในช่วงโควิค 19 ระบาด (ตอนนี้ โครงการรถไฟฟ้าที่วิ่งแถวบางกะปิ มารื้อถอนสะพานข้ามแยกบางกะปิ ตรงนิด้า ไปยัง เดอะมอลล์บางกะปิ เริ่มช่วงนี้ด้วย แสดงว่า ทำได้ถูกเวลา แต่ทว่าต้องเร่งให้เสร็จก่อนที่คนออกมาละกัน เร่งทั้งวันเร่งทั้งคืนด้วย)
ไม่เพียงแค่ภาครัฐบาล เป็นผู้เล่นหลัก แต่ทว่า ภาคการใช้แรงงานของไทย นั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ กำลังหลักเป็นแรงงานต่างประเทศจากประเทศเพื่อนบ้าน ไล่ตั้งแต่ ประเทศเมียนม่า ,ลาว,กัมพูชา มาหางานทำในเมืองไทย เมื่อเกิดโควิค 19 แรงงานก็กลับกันหมด ก่อนหน้ามีก็มีข่าวเรื่องการไปรวมตัวที่สถานพยาบาลของรัฐ เพื่อตรวจสุขภาพต่อใบอนุญาตให้ดราม่ากันไปแล้ว คราวนี้กลับกันหมดแล้ว กลายเป็นการขาดแคลนแรงงานในภาคใช้แรงงานไปด้วย งานนี้คำตอบคือต้องลงทุนเครื่องจักรที่ทำงานแบบอัตโนมัติหรือไม่ แต่ทว่า เมื่อลงทุนไปแล้ว เหล่าเถ้าแก่ก็คิดว่า เงินที่ลงทุนไป ก็ขายของได้เท่าเดิม ไม่ได้ขายได้แพงขึ้น แถมต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แบบนี้ขอไม่ทำต่อดีกว่า ปิดมันซักเลย ถ้าเป็นแบบนี้ทำไงต่อละ
สิ่งพวกนี้แหละ ที่น่าคิดต่อไปว่า เมื่อ จบโควิค19 แล้วภาพในเรื่องการใช้แรงงานเปลี่ยนไปในทิศทางไหน
ส่วนภาคของประชาชนที่ทำงานใน office ก็โดนเรื่อง Work at home เข้ามา ทำงานจากที่บ้าน ไม่ต้องออกมาจากบ้าน ก็ทำงานได้ ประชุมทางไกลก็ได้ เรียนทางไกลก็ได้ (ดราม่าเรื่องการเรียนเนี่ยก็มีให้เห็นว่าจ่ายเป็นล้านแต่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เรียนแทน ก็มีให้เห็นอีกต่างหาก) ต่อด้วยเรื่องค่าไฟฟ้าที่บ้านเพิ่มสูงขึ้น จนตอนนี้ การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาคเริ่มมีการเรียกร้องมาเยอะมากๆว่า ค่าไฟฟ้าในเดือน เมษายน 2563 ไหนบอกว่า ลดราคา 3% กลับกลายเป็นราคาค่าไฟฟ้าพุ่งเกิน 100% บางบ้านเป็น 1,000% ลงข่าวก็มีในช่วงเวลานี้
เนี่ยแหละการปรับตัว
แล้วหลายคนก็ถามว่า เมื่อไร เศรษฐกิจกลับมา ตัวที่บอกว่าเศรษฐกิจที่แท้จริงในส่วนภาคโรงงานกลับมานั้น คืออัตราการใช้ไฟฟ้า คือ ไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญในการผลิต ไม่มีไฟฟ้าผลิตไม่ได้ ดังนั้น ดูปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้เลย ซึ่ง ทุกปีในเดือนเมษายนนั้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ต้องป่าวประกาศว่า ยอดการใช้ไฟฟ้าสูงเป็นประวัติศาสตร์ (มีไม่กี่ปีที่มาหนาวในเดือนมีนาคม ปลายเดือน ทำให้ยอดการใช้ไฟฟ้าลดลงก็มีให้เห็นกัน) แล้วมาบอกว่า กำลังการสำรองไฟฟ้าไม่พอ ต้องเพิ่มและต้องเพิ่มให้ทัน แต่ปีนี้ข่าวดังกล่าว เงียบมาก จนไม่กล้าออกมาป่าวประกาศว่า ตอนนี้เราเหลือกำลังการผลิตไฟฟ้าในระบบเนื่องจากการมาของโควิค 19 การใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมหาศาล
่มีบางท่านไปดูว่าจีนหลังจากเปิดอู่ฮั่นเป็นเช่นไร บอกเลยในช่วงนี้ ห้างเปิดก็จริง กำลังซื้อลดลงกันหมดทั้ง ออนไลน์และออฟไลน์ คนหายไม่เดินหายหายไป 50% จากปีก่อน เม็ดเงินที่จับจ่ายก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ส่วนตัวเลขประมาณการณ์ของ IMF คือ ปี 2020 จบปี ไทยเติบโตติดลบ จีนเหลือ 2% กว่าๆ อินเดียเหลือ 1-2%
แล้วคิดเอาละกัน ว่าทั่วโลกเติบโตติดลบ แล้วมองว่าเป็น V shape กลับมาได้ ในปี 2021 เป็นต้นไป
แต่สิ่งหนึ่งที่จีนบอกคือ ประชาชนดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น จากโควิค 19 สิ่งนี้คือ key word เลยว่าคืออะไร
ที่บอกว่าคือ ฉายภาพให้เห็นว่า ทุกอย่างก็ต้องปรับตัว และดูอย่างไรว่ากลับตัวหรือไม่กลับตัว เราต้องดูกันไปเรื่อยๆว่า สุดท้ายนั้น โควิค19 เร่งให้เราปรับตัวไปด้านไหน
ปล ส่งท้าย โควิค 19 ติดไม่เลือกหน้า ขนาด ทหารบนเรือบรรทุเครื่องบินที่ดีที่สุดของโลก ทั้ง US และ ฝรั่งเศสยังติดกันระงม จนสภาพการเตรียมพร้อมที่ออกปฏิบัติ ถึงขั้นออกปฏิบัติการไม่ได้เลยทีเดียว หรือซ้อมรบอยู่ดีๆ ก็แล่นกลับอย่างเร่งด่วน ยกเลิกภาระกิจเลย
จะเห็นได้ว่า ขนาดคนที่แข็งแรงยังโดนเล่นงานได้ หากอยู่ในที่แคบๆ ดังนั้นต้องระวังกันไว้ละในเรื่องเหล่านี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 516
ชีวิตที่ต้องเดินต่อไป
ทุกวันนี้ปากท้องของประชาชน กับ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิค 19 เป็นประเด็นสำคัญ
ความกลัวของประชาชนนั้นลดลงเพราะเรื่องปากท้อง มาก่อน
แต่ทว่าอีกมุมหนึ่งคือ เรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดยันตายนั้น โควิค19 ยังผลอยู่ เป็น new normal ใหม่
ทุกอย่าง เหมือนโดนแช่แข็งมิใช่ประชาชนมีกิจกรรมอย่างมาก และ โดนเร่งให้พัฒนาสิ่งที่ต้องใช้เวลาพัฒนาเป็นแรมเดือนแรมปี หรือแรมสิบปี โดนเร่งให้เร็วภายในหลักวันหรือหลักของสัปดาห์เลยทีเดียว
แต่ทว่าทุกอย่างนั้นจบลงที่ หากชีวิตของคนเดินทางจนถึงปลายทางคือการตาย แล้ววัดหรือคนไม่สามารถไปร่วมงานศพ ได้มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ประชาชนมีความกลัวอยู่มาก เหมือนครั้นที่เอดส์มาแรกๆ ประชาชนกลัวติดเชื้อ (แต่ทว่าเคสของเอดส์นั้นติดได้ยากกว่าโควิค19 ) กว่าที่ประชาชนได้รับความรู้ หรือการแพทย์ให้ความรู้ได้นั้นเป็นระยะเวลาเป็นสิบปี กว่าประชาชนเข้าใจ เรียนรู้มัน มามองสำหรับโควิค 19 นั้นประชาชน เรียนรู้และปรับตัวเร็วมาก เพราะข่าวสารมาไวมากๆ
ดังนั้น เมื่อทุกอย่างทำเป็นขั้นเป้นตอน คือ Connect the point คือ จากจุดลากเชื่อมจุดเป็นเส้นตรง จากเส้นตรงก็เกิดเป็นรูปภาพต่างๆ เนี่ยแหละคือ การเปิดเมือง
จากการปิดเมือง ค่อยๆเปิด ไม่ใช่เปิดทีเดียว มันทำให้ ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากที่ไหน สืบสวนได้ยาก แต่หากค่อยเกิดเป็นจุด เชื่อมต่อจุด แบบนี้ ง่ายต่อการเชื่อม แต่ทว่ามันช้าไม่ทันการณ์ แต่มันดีที่สุดแล้ว ทำให้ประชาชนเลืกที่กลัวนั้นยากกว่าที่ทำให้กลัว
ปล ตอนนี้ ทองคำเป็นเทรนขาขึ้น มุมมอคือ ทดสอบ High เดิม (all time high) และต้องทำ High ใหม่ให้ได้
ส่วนตลาดตราหนี้กดดันด้วย คำว่า ไม่สามารถ roll over ได้ ซึ่งอำนาจจากธปท ไปอยู่ที่ ธนาคารต้องระวังเรื่อง moral hazard ด้วย คือ เลือกที่ช่วยใคร ไม่ช่วยใครต้องชัดเจน และชี้แจงได้ เพราะ คนที่ส่งเรื่องคือธนาคาร ให้ ธปท พิจารณา
ส่วนเรื่องตลาดหุ้น อันนี้ ณ ตอนนี้เหมือนเป็นขาขึ้น แต่ตัวจริงคือพวกประกอบการ ซื้อ ทางสภานักบัญชีออกมาตรการช่วยมาแล้ว ทำให้ ลดทอนผลกระทบไปได้มาก ดังนั้น ต้องเจาะลึกลงไปว่า มันเป็นเช่นไร ต่อไปในอนาคต
ทุกวันนี้ปากท้องของประชาชน กับ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิค 19 เป็นประเด็นสำคัญ
ความกลัวของประชาชนนั้นลดลงเพราะเรื่องปากท้อง มาก่อน
แต่ทว่าอีกมุมหนึ่งคือ เรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดยันตายนั้น โควิค19 ยังผลอยู่ เป็น new normal ใหม่
ทุกอย่าง เหมือนโดนแช่แข็งมิใช่ประชาชนมีกิจกรรมอย่างมาก และ โดนเร่งให้พัฒนาสิ่งที่ต้องใช้เวลาพัฒนาเป็นแรมเดือนแรมปี หรือแรมสิบปี โดนเร่งให้เร็วภายในหลักวันหรือหลักของสัปดาห์เลยทีเดียว
แต่ทว่าทุกอย่างนั้นจบลงที่ หากชีวิตของคนเดินทางจนถึงปลายทางคือการตาย แล้ววัดหรือคนไม่สามารถไปร่วมงานศพ ได้มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ประชาชนมีความกลัวอยู่มาก เหมือนครั้นที่เอดส์มาแรกๆ ประชาชนกลัวติดเชื้อ (แต่ทว่าเคสของเอดส์นั้นติดได้ยากกว่าโควิค19 ) กว่าที่ประชาชนได้รับความรู้ หรือการแพทย์ให้ความรู้ได้นั้นเป็นระยะเวลาเป็นสิบปี กว่าประชาชนเข้าใจ เรียนรู้มัน มามองสำหรับโควิค 19 นั้นประชาชน เรียนรู้และปรับตัวเร็วมาก เพราะข่าวสารมาไวมากๆ
ดังนั้น เมื่อทุกอย่างทำเป็นขั้นเป้นตอน คือ Connect the point คือ จากจุดลากเชื่อมจุดเป็นเส้นตรง จากเส้นตรงก็เกิดเป็นรูปภาพต่างๆ เนี่ยแหละคือ การเปิดเมือง
จากการปิดเมือง ค่อยๆเปิด ไม่ใช่เปิดทีเดียว มันทำให้ ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากที่ไหน สืบสวนได้ยาก แต่หากค่อยเกิดเป็นจุด เชื่อมต่อจุด แบบนี้ ง่ายต่อการเชื่อม แต่ทว่ามันช้าไม่ทันการณ์ แต่มันดีที่สุดแล้ว ทำให้ประชาชนเลืกที่กลัวนั้นยากกว่าที่ทำให้กลัว
ปล ตอนนี้ ทองคำเป็นเทรนขาขึ้น มุมมอคือ ทดสอบ High เดิม (all time high) และต้องทำ High ใหม่ให้ได้
ส่วนตลาดตราหนี้กดดันด้วย คำว่า ไม่สามารถ roll over ได้ ซึ่งอำนาจจากธปท ไปอยู่ที่ ธนาคารต้องระวังเรื่อง moral hazard ด้วย คือ เลือกที่ช่วยใคร ไม่ช่วยใครต้องชัดเจน และชี้แจงได้ เพราะ คนที่ส่งเรื่องคือธนาคาร ให้ ธปท พิจารณา
ส่วนเรื่องตลาดหุ้น อันนี้ ณ ตอนนี้เหมือนเป็นขาขึ้น แต่ตัวจริงคือพวกประกอบการ ซื้อ ทางสภานักบัญชีออกมาตรการช่วยมาแล้ว ทำให้ ลดทอนผลกระทบไปได้มาก ดังนั้น ต้องเจาะลึกลงไปว่า มันเป็นเช่นไร ต่อไปในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 517
ทุกบ้านต้องผ่านให้ได้
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีงานใหญ่ของตัวเราเองและที่บ้าน คือการสูยเสียของบุคคลที่รักยิ่ง จากไปไม่มีวันกลับ
โดยที่ท่านไปสบาย หลับไปเฉยๆ ซึ่งเป็นวันที่ฝนตกหนักมากในกรุงเทพ เราวิ่งไปทำเรื่องอะไรต่อมิอะไร แล้วเคลื่อนศพ
ไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดในวันถัดมา ซึ่งภายใต้โรคระบาดโควิค 19 นั้น การตรวจสอบเข้มข้นมากๆ
ไล่ตั้งแต่ ที่สถานีตำรวจก็มีอุโมงค์ฆ่าเชื้อ ที่เขต ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเข้าไปเพราะลืมไว้ ก็เจ้าหน้าที่แจกให้ เนื่องจากต้องไปทำธุระอีกหลายที่
ส่วนที่วัดก็ขอสำเนาใบมรณบัตรด้วย เพื่อให้รู้ว่าผู้วาดชนม์นั้นเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร
ในการจัดงานนั้น วัดก็โดยตรวจสอบว่า ระยะห่าง การทำความสะอาด เจ้าภาพ(เราและพี่น้องรวมถึงญาติ) เตรียมทั้งเจลล้างมือ หน้ากากอนามัย และ สิ่งต่างๆ ไปอย่างเต็มที่ การนั่งเว้นระยะ ตามที่กฏหมายกำหนด การตรวจวัดไข้ของผู้เข้าร่วมงาน
พวกนี้ต้องมี
ส่วนเรื่องการเคลื่อนไปสุสาน ถือว่าไม่มีด่านตรวจคัดกรองมาตั้งในช่วงเวลานั้น ซึ่งถึงสุสาน เพื่อทำการเคารพศพก่อน ที่นำบรรจุที่หลุมนั้น ฟ้ามืดมา แต่พอจะดำเนินการก็ฟ้าสว่าง พอเข้าไปที่บริเวณที่ฝัง ร้อนมากๆ แบบแดดจัด บริเวณนั้นมีตำรวจมาเฝ้าด้วย 1 นาย เพื่อดูความเรียบร้อยด้วย
พอจบจากการฝัง รถออกมาได้ซักพัก ได้มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ดูแลสุสานบอกว่า ฝนตกใหญ่ด้วย
งานนี้เรียกได้ว่า หากฝนตก คงจะวุ่นวายมาก
เจ้าหน้าที่สุสานก็ขอสำเนาใบมรณบัตรไปเพื่อตรวจสอบด้วยว่า ทุกอย่างถูกต้อง ไม่เป็นโรคโควิค 19 นั้นเอง
กราบขออภัยที่ไม่ได้แจ้งในเรื่องนี้แกท่านที่สนิทกัน เพราะว่ากระทันหันและไม่เพียงแค่นั้น อยู่ในช่วงที่แพร่ระบาดของโรคโควิค 19 เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านจึงไม่แจ้ง จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สังเกตว่า มาตรการของรัฐ นั้นเข้มมาก คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจสอบที่วัด อยู่เรื่อยๆ วัดเองก็ต้องตรวจสอบใบมรณบัตร ว่าผู้วายชนม์นั้นสาเหตุของการเสียชีวิตจากอะไร การเคลื่อนศพ ไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำได้ เพราะว่า ไม่ฝัง หรือ เผา สถานที่จัดเก็บศพ ไม่เพียงพอ หากเก็บไว้ที่ห้องดับจิตที่โรงพยาบาล ดังนั้น สิ่งใดที่ต้องทำก็ต้องทำ
อีกประการก็พึ่งรู้ว่า หากทำประกันไว้กับบริษัทประกันชีวิต บางแห่ง ต้องนำศพไปผ่าชันสูตรพลิกศพก่อนด้วย
และการติดต่อหน่วยงานรัฐบาลต่่างๆ ในช่วงเวลานี้เหนื่อยมาก เพราะเปิดไม่เตรียม 100% ด้วย ติดต่อลำบากกว่าปกติ
เนี่ยคือประสบการณ์ตรง แต่เป็นสิ่งที่ทุกบ้านไม่อย่าให้เกิดขึ้นในช่วงโควิค 19
ปล สำหรับ ถ้าหากเป็นผู้ติดเชื้อ โควิค 19 เสียชีวิต การดำเนินการต้องพิเศษกว่านี้ทั้งหมด รวมถึงวัดต้องไปวัดเฉพาะเลย
เช่น วัดเสมียนนารี เป็นต้นที่รับเผาศพ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีงานใหญ่ของตัวเราเองและที่บ้าน คือการสูยเสียของบุคคลที่รักยิ่ง จากไปไม่มีวันกลับ
โดยที่ท่านไปสบาย หลับไปเฉยๆ ซึ่งเป็นวันที่ฝนตกหนักมากในกรุงเทพ เราวิ่งไปทำเรื่องอะไรต่อมิอะไร แล้วเคลื่อนศพ
ไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดในวันถัดมา ซึ่งภายใต้โรคระบาดโควิค 19 นั้น การตรวจสอบเข้มข้นมากๆ
ไล่ตั้งแต่ ที่สถานีตำรวจก็มีอุโมงค์ฆ่าเชื้อ ที่เขต ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเข้าไปเพราะลืมไว้ ก็เจ้าหน้าที่แจกให้ เนื่องจากต้องไปทำธุระอีกหลายที่
ส่วนที่วัดก็ขอสำเนาใบมรณบัตรด้วย เพื่อให้รู้ว่าผู้วาดชนม์นั้นเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร
ในการจัดงานนั้น วัดก็โดยตรวจสอบว่า ระยะห่าง การทำความสะอาด เจ้าภาพ(เราและพี่น้องรวมถึงญาติ) เตรียมทั้งเจลล้างมือ หน้ากากอนามัย และ สิ่งต่างๆ ไปอย่างเต็มที่ การนั่งเว้นระยะ ตามที่กฏหมายกำหนด การตรวจวัดไข้ของผู้เข้าร่วมงาน
พวกนี้ต้องมี
ส่วนเรื่องการเคลื่อนไปสุสาน ถือว่าไม่มีด่านตรวจคัดกรองมาตั้งในช่วงเวลานั้น ซึ่งถึงสุสาน เพื่อทำการเคารพศพก่อน ที่นำบรรจุที่หลุมนั้น ฟ้ามืดมา แต่พอจะดำเนินการก็ฟ้าสว่าง พอเข้าไปที่บริเวณที่ฝัง ร้อนมากๆ แบบแดดจัด บริเวณนั้นมีตำรวจมาเฝ้าด้วย 1 นาย เพื่อดูความเรียบร้อยด้วย
พอจบจากการฝัง รถออกมาได้ซักพัก ได้มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ดูแลสุสานบอกว่า ฝนตกใหญ่ด้วย
งานนี้เรียกได้ว่า หากฝนตก คงจะวุ่นวายมาก
เจ้าหน้าที่สุสานก็ขอสำเนาใบมรณบัตรไปเพื่อตรวจสอบด้วยว่า ทุกอย่างถูกต้อง ไม่เป็นโรคโควิค 19 นั้นเอง
กราบขออภัยที่ไม่ได้แจ้งในเรื่องนี้แกท่านที่สนิทกัน เพราะว่ากระทันหันและไม่เพียงแค่นั้น อยู่ในช่วงที่แพร่ระบาดของโรคโควิค 19 เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านจึงไม่แจ้ง จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สังเกตว่า มาตรการของรัฐ นั้นเข้มมาก คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจสอบที่วัด อยู่เรื่อยๆ วัดเองก็ต้องตรวจสอบใบมรณบัตร ว่าผู้วายชนม์นั้นสาเหตุของการเสียชีวิตจากอะไร การเคลื่อนศพ ไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำได้ เพราะว่า ไม่ฝัง หรือ เผา สถานที่จัดเก็บศพ ไม่เพียงพอ หากเก็บไว้ที่ห้องดับจิตที่โรงพยาบาล ดังนั้น สิ่งใดที่ต้องทำก็ต้องทำ
อีกประการก็พึ่งรู้ว่า หากทำประกันไว้กับบริษัทประกันชีวิต บางแห่ง ต้องนำศพไปผ่าชันสูตรพลิกศพก่อนด้วย
และการติดต่อหน่วยงานรัฐบาลต่่างๆ ในช่วงเวลานี้เหนื่อยมาก เพราะเปิดไม่เตรียม 100% ด้วย ติดต่อลำบากกว่าปกติ
เนี่ยคือประสบการณ์ตรง แต่เป็นสิ่งที่ทุกบ้านไม่อย่าให้เกิดขึ้นในช่วงโควิค 19
ปล สำหรับ ถ้าหากเป็นผู้ติดเชื้อ โควิค 19 เสียชีวิต การดำเนินการต้องพิเศษกว่านี้ทั้งหมด รวมถึงวัดต้องไปวัดเฉพาะเลย
เช่น วัดเสมียนนารี เป็นต้นที่รับเผาศพ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 518
บริษัทจัดอันดับความเชื่อถือ
หากใครย้อนอดีตกลับไปในช่วงปี 2008 ถึง 2009 นั้น มันมีประเด็นเรื่องของบริษัทจัดอันดับความเชื่อถือ ในช่วงนั้นเป็นประเด็นจากการเรื่องของสินทรัพย์ CDO และ CDS ที่ออกขาย แล้วค้ำประกันโดย AIG แล้วจัดอันดับของ CDO และ CDS เป็น AAA ตามผู้ค้ำประกันนั้นเอง
อันนี้เป็นปัญหาที่คลาสิก ในยุคปัจจุบัน จึงเกิดความถามดังขึ้นว่าบริษัทจัดอันดับมีความโปร่งใส่แค่นั้น
กลับมาทีประเทศไทย เมื่อสองสามปีที่แล้ว บริษัทจัดอันดับ ประกาศ จัดอันดับให้บริษัทแห่งหนึ่ง ได้ Rating ระดับ A แต่วันต่อมา บริษัทประกาศ Default แล้วไม่กลับมาซื้อขายอีกเลย
คำถามก็คือ บริษัทจัดอันดับแห่งนี้น่าเชื่อถือไหม
เมื่อไม่กี่วันก่อน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ลดอันดับ รัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากเดิม A เป็น BBB แล้วมุมมอง Negative คำถามเกิดว่า อ้าว! มันคงเป็น A อยู่นิ เพราะ เป็นรัฐวิสาหกิจแล้วรัฐยังหนุนหลังอยู่ แล้วแบบนี้แสดงว่ารัฐ มีปัญหาในการนี้ด้วยหรือ บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจ แล้วหากยืนฟื้นฟู แล้วค่อยปรับอันดับความน่าเชื่อถือ แสดงว่า มีอะไรที่ต้องการให้หรือเปล่า
เพราะว่า อันดับความน่าเชื่อถื A แล้วไป Default เลย มันทำให้อัตราดอกเบี้ยในการออกหุ้นกู้ของบริษัทถัดไปมีปัญหา ถึงต้องยอมปรับลดก่อน ซึ่งไม่ค่อยทำ เพราะว่า รัฐหนุนหลังอยู่
หากรัฐเปลี่ยนจากผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว นั้นแหละปรับได้เลย แต่นี้ยังไม่ได้ทำอะไร ก็ปรับเลย
มันทำให้เกิดปัญหาเดิมในระบบการเงินกับคำถามที่ว่า การจัดอันดับความน่าเชื่อของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น ควรเปลี่ยนแปลได้หรือยัง ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
หากใครย้อนอดีตกลับไปในช่วงปี 2008 ถึง 2009 นั้น มันมีประเด็นเรื่องของบริษัทจัดอันดับความเชื่อถือ ในช่วงนั้นเป็นประเด็นจากการเรื่องของสินทรัพย์ CDO และ CDS ที่ออกขาย แล้วค้ำประกันโดย AIG แล้วจัดอันดับของ CDO และ CDS เป็น AAA ตามผู้ค้ำประกันนั้นเอง
อันนี้เป็นปัญหาที่คลาสิก ในยุคปัจจุบัน จึงเกิดความถามดังขึ้นว่าบริษัทจัดอันดับมีความโปร่งใส่แค่นั้น
กลับมาทีประเทศไทย เมื่อสองสามปีที่แล้ว บริษัทจัดอันดับ ประกาศ จัดอันดับให้บริษัทแห่งหนึ่ง ได้ Rating ระดับ A แต่วันต่อมา บริษัทประกาศ Default แล้วไม่กลับมาซื้อขายอีกเลย
คำถามก็คือ บริษัทจัดอันดับแห่งนี้น่าเชื่อถือไหม
เมื่อไม่กี่วันก่อน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ลดอันดับ รัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากเดิม A เป็น BBB แล้วมุมมอง Negative คำถามเกิดว่า อ้าว! มันคงเป็น A อยู่นิ เพราะ เป็นรัฐวิสาหกิจแล้วรัฐยังหนุนหลังอยู่ แล้วแบบนี้แสดงว่ารัฐ มีปัญหาในการนี้ด้วยหรือ บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจ แล้วหากยืนฟื้นฟู แล้วค่อยปรับอันดับความน่าเชื่อถือ แสดงว่า มีอะไรที่ต้องการให้หรือเปล่า
เพราะว่า อันดับความน่าเชื่อถื A แล้วไป Default เลย มันทำให้อัตราดอกเบี้ยในการออกหุ้นกู้ของบริษัทถัดไปมีปัญหา ถึงต้องยอมปรับลดก่อน ซึ่งไม่ค่อยทำ เพราะว่า รัฐหนุนหลังอยู่
หากรัฐเปลี่ยนจากผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว นั้นแหละปรับได้เลย แต่นี้ยังไม่ได้ทำอะไร ก็ปรับเลย
มันทำให้เกิดปัญหาเดิมในระบบการเงินกับคำถามที่ว่า การจัดอันดับความน่าเชื่อของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น ควรเปลี่ยนแปลได้หรือยัง ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 519
NEW NORMAL -> NOW NORMAL
ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงในยกแรกจบแล้ว จากเดิมทำตัวปกติ ตอนนี้เข้าสู่ new normal
แต่ new normal นั้น กำลังเข้าสู่ now normal คือ อยู่กับปัจจุบัน มากขึ้น
คือทุกอย่าง ได้กลับสู่ปกติอีกครั้ง หนึ่งในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่เราก็ต้องอยู่กับมัน
ในปัจจุบันให้ได้
(THE STANDARD ECONOMIC FORUM วันแรกนี้ สนุกมากครับ)
ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงในยกแรกจบแล้ว จากเดิมทำตัวปกติ ตอนนี้เข้าสู่ new normal
แต่ new normal นั้น กำลังเข้าสู่ now normal คือ อยู่กับปัจจุบัน มากขึ้น
คือทุกอย่าง ได้กลับสู่ปกติอีกครั้ง หนึ่งในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่เราก็ต้องอยู่กับมัน
ในปัจจุบันให้ได้
(THE STANDARD ECONOMIC FORUM วันแรกนี้ สนุกมากครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 520
ขับรถตอนนี้ไม่ว่างเหมือน 2-3 เดือนก่อน
ต้องบอกว่า ตัวเองได้คำสั่งจากท่านแม่ทัพให้เอารถไปด้วย ห้ามใช้บริการสาธารณะ โดดเด็ดขาดถ้าหากไม่จำเป็น
จากเดิมที่มี พรก ฉุกเฉิน และ work from home ท้องถนนรถโล่งมา กลายเป็นขับรถเร็วกว่ารถไฟฟ้า พอเวลาต่อมาเริ่มคลาย lock down ระยะ1,2,3 ตามลำดับ รถมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้บอกได้ว่าถนนเท่าเดิมแล้วครับ
นั้นคือ หมดเวลาทองคำของ ถนนโล่งไปแล้ว
ระดับของถนนโล่งรอบนี้ ไม่เท่ารอบ ปิดกรุงเทพของ กปปส ละครับ บอกได้แค่นี้ครับ
สวัสดี ราตรสวัสดิ์
ต้องบอกว่า ตัวเองได้คำสั่งจากท่านแม่ทัพให้เอารถไปด้วย ห้ามใช้บริการสาธารณะ โดดเด็ดขาดถ้าหากไม่จำเป็น
จากเดิมที่มี พรก ฉุกเฉิน และ work from home ท้องถนนรถโล่งมา กลายเป็นขับรถเร็วกว่ารถไฟฟ้า พอเวลาต่อมาเริ่มคลาย lock down ระยะ1,2,3 ตามลำดับ รถมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้บอกได้ว่าถนนเท่าเดิมแล้วครับ
นั้นคือ หมดเวลาทองคำของ ถนนโล่งไปแล้ว
ระดับของถนนโล่งรอบนี้ ไม่เท่ารอบ ปิดกรุงเทพของ กปปส ละครับ บอกได้แค่นี้ครับ
สวัสดี ราตรสวัสดิ์
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 521
ความเป็นจริง กับโลกของการเงิน แยกกันแล้วหรือไม่
ณ ตอนนี้ ประเทศไทย ได้ประกาศผ่อนปลดระยะที่ 5 เริ่มวันที่ 1 กรกฏาคม 2563 ที่ผ่านมา
คือเปิดสถานที่เกือบครบทั้งหมดแล้ว เหลือแค่กิจกรรมการบางประเภทที่ยังไม่สามารถเปิดได้ เท่านั้น
ซึ่งทุกคนก็ทราบกันอยู่แล้วว่า ในช่วงเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน 2563 นั้น มีมาตรการ Lock down แล้วก็ค่อยคลาย ในระยะที่ 1-4 เป็นสิ่งที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก แบบว่าดิ่งเหวเลยทีเดียวในช่วงเวลาดังกล่าว
บางประเทศก็ไม่ประกาศ GDP เลย เช่น จีน เพราะรู้แล้วว่า หดตัวแน่นอน เอาเวลาไปทุ่มไปทำอย่างอื่นดีกว่า
แต่ทว่ามันมีความแปลกตั้งแต่ โควิค 19 เริ่มต้น มีตลาดการเงินที่ได้รับผลกระทบแล้ว กลับมาได้เร็ว ดูจากดัชนีที่ทำเป็น V shape ในทุกตลาดสวนกระแส ภาคเศรษฐกิจจริ หรือ เรียกได้ว่า แยกโลกระหว่างเศรษฐกิจจริงกับ ภาคการเงินออกจากกันโดยสิ้นเชิง โดยผ่านการบิดเบือนคือ การพิมพ์เงิน หรือซื้อ สินทรัพย์ ในรูปแบบต่างๆ การปล่อยกู้ภาคสถาบันการเงิน และมาตรการทางคลังออกมาเป็นชุด แบบ บาซูก้า หรือ ปืนเล็กยาว แล้วแต่ประเทศกันไป
มันทำให้ภาคการเงินยุบเร็วก็ฟื้นเร็ว เพราะมีเงินใหม่มาหมุนเวียน ผ่านตัวกลางทางการเงิน คือ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ยอดการอุดหนุนในรอบนี้มากกว่า 2008 ซึ่งยอดประมาณ 3-10% ของ GDP แล้วแต่ประเทศนั้น ตอนนี้อัดฉีดกันเข้าระบบกันไป 10%- 30% แล้ว
แล้วมองไปข้างหน้า เป็นเช่นไร ในระยะเวลาที่ภาคการเงินแยกออกจากภาคเศรษฐกิจตอนนี้
1. อาจจะมีการลดค่าเงินบาทก็เป็นไปได้ เพราะ ว่า ในเมื่อ ทั้งแต่ 2540 เป็นต้นมา เราไปเน้นภาคบริการ ,สินค้าเกษตรส่งออก ,สินค้าส่งออกเป็นหลัก แต่ทว่า ตอนนี้ทุกเครื่อยนต์ดับหมด แล้ว ภาคบริโภคภายในประเทศก็โดนภาวะฉะงักงันจากการไม่แน่นอนในการจ้างงานภายในประเทศ คือ คนไม่มีอารมณ์ซื้อสินค้า และสินค้าจีนที่ราคาถูกกว่าตีตลาด ไม่เพียงแค่น้น ยอดการกู้ของประชาชน ในรูปแบบหนี้สินครอบเรือนก็ปาเข้าไป 80% สังเกตได้ว่า หนี้สินครอบเรือนนี้แหละเป็นตัวขับเคลื่อน ตั้งแต่หลัง 2540 เป็นต้นมา เมื่อไร หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงแล้ว เศรษฐกิจก็เหมือนเครื่องดับทันที
ไม่เพียงแค่ภาพข้างบน ในเมื่อ การส่งออกก็แย่จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีปัญหาทั้งหมด ยอดส่งออกได้น้อยก็มีปัญหากระทบไปยังดุลการค้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดุลบัญชีเดินสะพัด ที่ยอดเริ่มลดลง ให้เห็น ยิ่งยอดภาคบริการที่นิ่ง ไปด้วย งานนี้ดุลบัญชีสะพัด ก็จะเดี้ยงได้ ในช่วงไตรมาสที่ 2/2563
แล้วเสริมอีกแรงด้วย การที่รัฐต้องการเงินลงไปให้ภาคประชาชนได้กินอิ่มท้อง มีรายได้มาจุนเจือเศรษฐกิจ งานนี้คือกู้แล้วกู้อีก หรือ ง่ายๆคือ เสกเงินออกมาให้ใช้จ่ายกัน
เมื่อรวมแรงแล้ว เราอาจจะเห็นค่าเงินบาทที่ลดลง ได้ แต่ทว่า ลดแบบเร็วหรือช้านั้น ต้องรอดูละกัน
2. ดัชนีตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น V shape นั้น หลายท่านก็บอกว่า PE สูงไปแล้ว แต่เราได้มีประสบการณ์ว่า ในปี 2008 ที่ US ปั้มเงินออกมา PE 100กว่าๆ ก็เห็นกันเป็นเรื่องเคยชิน แล้วมีคำบอกว่า PEG แค่ 10 หรือ 20 เท่านั้น นั้นคืออะไร คือ ยุคฟื้นฟู ก็เกิดความโลภ แล้ว ทำให้เกิดช่องโหว่ง จากความเคยชิน ในอดีต ที่อนุรักษ์นิยม หลังวิกฤติต้มยำกุ้งที่ PEต่ำกว่า 10 เท่า ทกระจาด ต้องรอเวลา 3-4 ปีเป็นอย่างน้อยถึงเดินทางใหม่ได้
มันเป็นเรื่องของมุมมอง ว่าคนๆนั้นมีประสบการณ์ผ่านอะไรมา
แต่เราเตือนก่อนว่า เมื่อปั้มเงิน สิ่งที่สะสมค่าไม่ใช้หุ้น แต่เป็นทองคำ ต่างหาก มีหลายท่านก็ทักท้านว่า ไม่ใช่ แต่ในอดีตมันคือตัวเก็บมูลค่า กลับไปดูปี 2008 ที่เริ่มปั้มเงินจริงจังในปี 2009 ทำให้ราคาวิ่งไปทำ all time high จาก QE นั้นเอง
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดมาก ในอดีตก็มีเรื่องของสภาพคล่อง ของตลาดทองคำเกิดขึ้น เหมือนกัน แต่ปล่อยผ่านเพราะว่า มันได้จบไปแล้วในอดีตมีบทเรียนก็ มีแนวทางแก้ไขไปแล้ว แต่ทว่า สิ่งที่มาบอกคือ เรื่องที่บอกในทั่วไปนั้น เป็นเป้าล่อคนที่ไม่ต้องการมากมาย เพราะ เสียโอกาสทำกำไรของเค้าไป แต่ทว่า มันเป็นโอกาสไปด้วยในการนี้
3. สิ่งที่ซ่อนไว้ใต้พรมจะโพล่ออกมา เพราะเมื่อหมดยุคซื้อมาขายคล่องก็ทำให้หางโพล่ออกมา นั้นเอง
อะไรที่เน่าไปใต้พรม ก็อ้างว่า โควิค 19 ก็เททิ้งออกมาจะได้เห็นกันตอนนี้ ไม่มีข้ออ้างอะไรดีกว่า โควิค 19
เพราะโควิค 19 มันกระทบไปทั่ว ไม่มีใครตรวจสอบว่าใช่ จากโควิค 19 หรือเปล่า เลยทำ Take a big baht ล้างไพ่กันหน่อยละกัน จะได้ ไปต่อได้
มองไปข้างหน้า ระยะเ 12 เดือนคือ คนตกงานมากขึ้นกว่าปัจจุบัน เบื้องหลังเพราะว่า ต้นทุนที่สูงไปจากพนักงานที่อยู่ในบริษัทที่ยาวนานเกินไป ก่อให้เกิด พวกพ้อง ก่อร่างสร้างอำนาจภายในองค์กรกัน การเมืองภายในองค์กร พวกนี้น่าถึงเวลาที่กวาดล้างในช่วงเวลานี้ เพื่อให้ ต้นทุนที่ลดลง ธุรกิจก็ไปต่อได้ และรู้ว่าอะไรที่สำคัญหรือไม่สำคัญ เหลือเฉพาะ core ที่สามารถดำเนินการไปต่อได้ มีกำไรให้แก่กิจการ นั้นเอง
แต่อีก 12 เดือนต่อไปนี้ จับตาที่ กระแสทางทหารว่า สงครามเกิดที่ไหน ในเอเชีย ก็มีจีนกับอินเดีย /จีนกับไต้หวัน /เกาหลีเหนือ+เกาหลีใต้ /จีนกับญี่ปุ่น /จีนกับ US หรือไม่
น่าสนใจน่าครับในเรื่องของสงคราม เพราะ เมื่อเกิดเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อไร ก็มาตามด้วยสงครามทุกรอบไป
และยิ่ง จีนท้าทายอยากเป็นผู้นำ ขอโลก ก็ต้องท้าทาย US ที่เป็นเจ้าของแชมป์ ในอดีต การเปลี่ยนแปลง 16-17 ครั้จบได้วยสงคราม 16 ครั้งมี ครั้งเดียวที่ไม่ได้รบเท่านั้น สิ่งนี้ต้องระวังไว้จงมาก ยิ่งปีนี้เลือกตั้งแล้ว คุณหัวนิ้วมือก็ มีคะแนนที่สนับสนุนน้อกว่า ค่าเฉลี่ยคนที่กลับมารับเข้าตำแหน่งได้ที่เส้น 40 จาก 100 นั้น ต้องระวัง เข้าเงื่อนไขพิเศษคือ อยู่ในช่วงสงครามไว้ด้วยละกัน
ส่วนตอนนี้ ต้องบอกว่า ธุรกิจเกี่ยวข้องกับน้ำมัน นั้น แรงส่งคือ เดินทางรถยนต์มากขึ้น แต่ไม่ค่อยมีเดินทางด้วยเครื่องบิน ซึ่ง margin ในตลาดนี้ ราคาที่แพงคือ น้ำมันเครื่องบิน ซึ่ง กลั่นได้ยากกว่า มีจำนวนที่กลั่นได้น้อยกว่า น้ำมันประเภทอื่นๆ
ดังนั้น ต้องระวังไว้หน่อยละกัน
สิ่งที่ออกมาอีกเรื่องคือ ใช้งานแบตเตอรี่ ในรถยนต์หรือ สรรสิ่ง แล้วเรายังไม่มีโรงงานจัดการสิ่งพวกนี้แบบครอบวงจร อาจจะเป็นโอกาสทางธุรกิจในยุคหน้าก็ได้ แต่ในเรื่องนี้ ประเทศที่มีเหมืองลิเทียมนั้นน่าสงสารว่า ตอนนี้เละเทะมากคือ อาร์เจนติน่า ที่เหมือนโดนล่าเมืองขึ้นอีกรอบเลย ค่าเงินดิ่งเหว อีกรอบ งานนี้ เรียกได้ว่า ทรัพย์ในดิน กลายเป็นทุกข์ลาภไปเสีย
ส่งท้ายคือ ช่วงนี้ ถ้าหากใครมีเงินก็ใช้เถอะเพราะ ว่า คนอื่นเก็บเราใช้งาน เค้าจะดูแลเราดี แต่คนอื่นมีเงินเอาเก็บเงิน เพื่อไว้ใช้ในช่วงวิกฤติ สลับกันแบบนี้จะทำให้เราเหมือนพระราชา
ณ ตอนนี้ ประเทศไทย ได้ประกาศผ่อนปลดระยะที่ 5 เริ่มวันที่ 1 กรกฏาคม 2563 ที่ผ่านมา
คือเปิดสถานที่เกือบครบทั้งหมดแล้ว เหลือแค่กิจกรรมการบางประเภทที่ยังไม่สามารถเปิดได้ เท่านั้น
ซึ่งทุกคนก็ทราบกันอยู่แล้วว่า ในช่วงเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน 2563 นั้น มีมาตรการ Lock down แล้วก็ค่อยคลาย ในระยะที่ 1-4 เป็นสิ่งที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก แบบว่าดิ่งเหวเลยทีเดียวในช่วงเวลาดังกล่าว
บางประเทศก็ไม่ประกาศ GDP เลย เช่น จีน เพราะรู้แล้วว่า หดตัวแน่นอน เอาเวลาไปทุ่มไปทำอย่างอื่นดีกว่า
แต่ทว่ามันมีความแปลกตั้งแต่ โควิค 19 เริ่มต้น มีตลาดการเงินที่ได้รับผลกระทบแล้ว กลับมาได้เร็ว ดูจากดัชนีที่ทำเป็น V shape ในทุกตลาดสวนกระแส ภาคเศรษฐกิจจริ หรือ เรียกได้ว่า แยกโลกระหว่างเศรษฐกิจจริงกับ ภาคการเงินออกจากกันโดยสิ้นเชิง โดยผ่านการบิดเบือนคือ การพิมพ์เงิน หรือซื้อ สินทรัพย์ ในรูปแบบต่างๆ การปล่อยกู้ภาคสถาบันการเงิน และมาตรการทางคลังออกมาเป็นชุด แบบ บาซูก้า หรือ ปืนเล็กยาว แล้วแต่ประเทศกันไป
มันทำให้ภาคการเงินยุบเร็วก็ฟื้นเร็ว เพราะมีเงินใหม่มาหมุนเวียน ผ่านตัวกลางทางการเงิน คือ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ยอดการอุดหนุนในรอบนี้มากกว่า 2008 ซึ่งยอดประมาณ 3-10% ของ GDP แล้วแต่ประเทศนั้น ตอนนี้อัดฉีดกันเข้าระบบกันไป 10%- 30% แล้ว
แล้วมองไปข้างหน้า เป็นเช่นไร ในระยะเวลาที่ภาคการเงินแยกออกจากภาคเศรษฐกิจตอนนี้
1. อาจจะมีการลดค่าเงินบาทก็เป็นไปได้ เพราะ ว่า ในเมื่อ ทั้งแต่ 2540 เป็นต้นมา เราไปเน้นภาคบริการ ,สินค้าเกษตรส่งออก ,สินค้าส่งออกเป็นหลัก แต่ทว่า ตอนนี้ทุกเครื่อยนต์ดับหมด แล้ว ภาคบริโภคภายในประเทศก็โดนภาวะฉะงักงันจากการไม่แน่นอนในการจ้างงานภายในประเทศ คือ คนไม่มีอารมณ์ซื้อสินค้า และสินค้าจีนที่ราคาถูกกว่าตีตลาด ไม่เพียงแค่น้น ยอดการกู้ของประชาชน ในรูปแบบหนี้สินครอบเรือนก็ปาเข้าไป 80% สังเกตได้ว่า หนี้สินครอบเรือนนี้แหละเป็นตัวขับเคลื่อน ตั้งแต่หลัง 2540 เป็นต้นมา เมื่อไร หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงแล้ว เศรษฐกิจก็เหมือนเครื่องดับทันที
ไม่เพียงแค่ภาพข้างบน ในเมื่อ การส่งออกก็แย่จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีปัญหาทั้งหมด ยอดส่งออกได้น้อยก็มีปัญหากระทบไปยังดุลการค้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดุลบัญชีเดินสะพัด ที่ยอดเริ่มลดลง ให้เห็น ยิ่งยอดภาคบริการที่นิ่ง ไปด้วย งานนี้ดุลบัญชีสะพัด ก็จะเดี้ยงได้ ในช่วงไตรมาสที่ 2/2563
แล้วเสริมอีกแรงด้วย การที่รัฐต้องการเงินลงไปให้ภาคประชาชนได้กินอิ่มท้อง มีรายได้มาจุนเจือเศรษฐกิจ งานนี้คือกู้แล้วกู้อีก หรือ ง่ายๆคือ เสกเงินออกมาให้ใช้จ่ายกัน
เมื่อรวมแรงแล้ว เราอาจจะเห็นค่าเงินบาทที่ลดลง ได้ แต่ทว่า ลดแบบเร็วหรือช้านั้น ต้องรอดูละกัน
2. ดัชนีตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น V shape นั้น หลายท่านก็บอกว่า PE สูงไปแล้ว แต่เราได้มีประสบการณ์ว่า ในปี 2008 ที่ US ปั้มเงินออกมา PE 100กว่าๆ ก็เห็นกันเป็นเรื่องเคยชิน แล้วมีคำบอกว่า PEG แค่ 10 หรือ 20 เท่านั้น นั้นคืออะไร คือ ยุคฟื้นฟู ก็เกิดความโลภ แล้ว ทำให้เกิดช่องโหว่ง จากความเคยชิน ในอดีต ที่อนุรักษ์นิยม หลังวิกฤติต้มยำกุ้งที่ PEต่ำกว่า 10 เท่า ทกระจาด ต้องรอเวลา 3-4 ปีเป็นอย่างน้อยถึงเดินทางใหม่ได้
มันเป็นเรื่องของมุมมอง ว่าคนๆนั้นมีประสบการณ์ผ่านอะไรมา
แต่เราเตือนก่อนว่า เมื่อปั้มเงิน สิ่งที่สะสมค่าไม่ใช้หุ้น แต่เป็นทองคำ ต่างหาก มีหลายท่านก็ทักท้านว่า ไม่ใช่ แต่ในอดีตมันคือตัวเก็บมูลค่า กลับไปดูปี 2008 ที่เริ่มปั้มเงินจริงจังในปี 2009 ทำให้ราคาวิ่งไปทำ all time high จาก QE นั้นเอง
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดมาก ในอดีตก็มีเรื่องของสภาพคล่อง ของตลาดทองคำเกิดขึ้น เหมือนกัน แต่ปล่อยผ่านเพราะว่า มันได้จบไปแล้วในอดีตมีบทเรียนก็ มีแนวทางแก้ไขไปแล้ว แต่ทว่า สิ่งที่มาบอกคือ เรื่องที่บอกในทั่วไปนั้น เป็นเป้าล่อคนที่ไม่ต้องการมากมาย เพราะ เสียโอกาสทำกำไรของเค้าไป แต่ทว่า มันเป็นโอกาสไปด้วยในการนี้
3. สิ่งที่ซ่อนไว้ใต้พรมจะโพล่ออกมา เพราะเมื่อหมดยุคซื้อมาขายคล่องก็ทำให้หางโพล่ออกมา นั้นเอง
อะไรที่เน่าไปใต้พรม ก็อ้างว่า โควิค 19 ก็เททิ้งออกมาจะได้เห็นกันตอนนี้ ไม่มีข้ออ้างอะไรดีกว่า โควิค 19
เพราะโควิค 19 มันกระทบไปทั่ว ไม่มีใครตรวจสอบว่าใช่ จากโควิค 19 หรือเปล่า เลยทำ Take a big baht ล้างไพ่กันหน่อยละกัน จะได้ ไปต่อได้
มองไปข้างหน้า ระยะเ 12 เดือนคือ คนตกงานมากขึ้นกว่าปัจจุบัน เบื้องหลังเพราะว่า ต้นทุนที่สูงไปจากพนักงานที่อยู่ในบริษัทที่ยาวนานเกินไป ก่อให้เกิด พวกพ้อง ก่อร่างสร้างอำนาจภายในองค์กรกัน การเมืองภายในองค์กร พวกนี้น่าถึงเวลาที่กวาดล้างในช่วงเวลานี้ เพื่อให้ ต้นทุนที่ลดลง ธุรกิจก็ไปต่อได้ และรู้ว่าอะไรที่สำคัญหรือไม่สำคัญ เหลือเฉพาะ core ที่สามารถดำเนินการไปต่อได้ มีกำไรให้แก่กิจการ นั้นเอง
แต่อีก 12 เดือนต่อไปนี้ จับตาที่ กระแสทางทหารว่า สงครามเกิดที่ไหน ในเอเชีย ก็มีจีนกับอินเดีย /จีนกับไต้หวัน /เกาหลีเหนือ+เกาหลีใต้ /จีนกับญี่ปุ่น /จีนกับ US หรือไม่
น่าสนใจน่าครับในเรื่องของสงคราม เพราะ เมื่อเกิดเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อไร ก็มาตามด้วยสงครามทุกรอบไป
และยิ่ง จีนท้าทายอยากเป็นผู้นำ ขอโลก ก็ต้องท้าทาย US ที่เป็นเจ้าของแชมป์ ในอดีต การเปลี่ยนแปลง 16-17 ครั้จบได้วยสงคราม 16 ครั้งมี ครั้งเดียวที่ไม่ได้รบเท่านั้น สิ่งนี้ต้องระวังไว้จงมาก ยิ่งปีนี้เลือกตั้งแล้ว คุณหัวนิ้วมือก็ มีคะแนนที่สนับสนุนน้อกว่า ค่าเฉลี่ยคนที่กลับมารับเข้าตำแหน่งได้ที่เส้น 40 จาก 100 นั้น ต้องระวัง เข้าเงื่อนไขพิเศษคือ อยู่ในช่วงสงครามไว้ด้วยละกัน
ส่วนตอนนี้ ต้องบอกว่า ธุรกิจเกี่ยวข้องกับน้ำมัน นั้น แรงส่งคือ เดินทางรถยนต์มากขึ้น แต่ไม่ค่อยมีเดินทางด้วยเครื่องบิน ซึ่ง margin ในตลาดนี้ ราคาที่แพงคือ น้ำมันเครื่องบิน ซึ่ง กลั่นได้ยากกว่า มีจำนวนที่กลั่นได้น้อยกว่า น้ำมันประเภทอื่นๆ
ดังนั้น ต้องระวังไว้หน่อยละกัน
สิ่งที่ออกมาอีกเรื่องคือ ใช้งานแบตเตอรี่ ในรถยนต์หรือ สรรสิ่ง แล้วเรายังไม่มีโรงงานจัดการสิ่งพวกนี้แบบครอบวงจร อาจจะเป็นโอกาสทางธุรกิจในยุคหน้าก็ได้ แต่ในเรื่องนี้ ประเทศที่มีเหมืองลิเทียมนั้นน่าสงสารว่า ตอนนี้เละเทะมากคือ อาร์เจนติน่า ที่เหมือนโดนล่าเมืองขึ้นอีกรอบเลย ค่าเงินดิ่งเหว อีกรอบ งานนี้ เรียกได้ว่า ทรัพย์ในดิน กลายเป็นทุกข์ลาภไปเสีย
ส่งท้ายคือ ช่วงนี้ ถ้าหากใครมีเงินก็ใช้เถอะเพราะ ว่า คนอื่นเก็บเราใช้งาน เค้าจะดูแลเราดี แต่คนอื่นมีเงินเอาเก็บเงิน เพื่อไว้ใช้ในช่วงวิกฤติ สลับกันแบบนี้จะทำให้เราเหมือนพระราชา
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 522
ในช่วงนี้เริ่มมีกระแสว่า ถือหุ้นผ่านวิกฤติ แล้วรวย เริ่มมีอีกแล้ว จึงขอเล่าเรื่องการถือหุ้นผ่านวิกฤติต้องทำอย่างไร
คำแรกที่ต้องจำในใจ คือการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนเสมอ ท่องจำไว้ขึ้นใจเลย
การลงทุนทุกการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงเสมอไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง แต่ทว่า เราสามารถควบคุมความเสี่ยงในการสูญเสียเงินได้เท่าไร นั้นคือ สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จนั้นรวยได้ ไม่ใช่ ว่า บอกว่าซื้อแล้วกำไร แต่ต้องบอกว่า ซื้อแล้วคุณจะมีหนทางแห่งการขาดทุนอะไรบ้าง เรียกได้ว่าปิดประตูแพ้
ถ้าหากคุณบอกไม่ได้ ว่า ประตูแห่งความแพ้คืออะไร นั้นคือ ความเสี่ยงของคุณ ซึ่งการลงทุนแบบนี้หลายต่อหลายท่านบอกว่า มันมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ต้องบอกว่า มองไว้ก่อนดี ถ้าหากไม่มองไว้เลย ก็หมดตัวขาดทุน ก็โทษคนอื่น ไม่โทษตัวเองนั้นเอง
การลงทุนนั้น โทษตัวเองดีที่สุดคือ โทษว่าเรามีความรู้ไม่เพียงพอ เราคิดไม่รอบด้านต่างหาก แบบนี้ซิถึงได้พัฒนาตัวเอง
การตามคนอื่นๆนั้นดีไหม ก็บอกว่าดี แต่ทว่า เราไม่รู้ว่า เค้าขายออกตอนไหน ต้องคอยถาม ถ้าหากเค้าไม่บอก เราก็ไม่รู้ว่าเค้าขายตอนไหน ไม่ได้ถือหุ้นตัวนั้นแล้ว ถ้าหากรอคอยการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ก็ปิดทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องหมาย XM,XD,XR ,... พวกนี้ ก็ต้องใช้เวลากว่าจะปิด กว่าจะประกาศอีก อันนี้ก็เสี่ยง
เอาละไม่ได้เข้าเรื่องเลย
การถือหุ้นข้ามวิกฤตินั้น ตัวเอง นับการผ่านวิกฤติใหญ่มาก ตั้งแต่การลงทุนคือ 911 ก็ผ่านได้ ,2008 ก็ผ่านมา แล้วก็ตอนนี้คือโควิค 19 ไม่นับ เพราะเหตุการณ์ยังไม่จบ แค่ช่วงต้นค่อนมากลางพายุแล้ว
ช่วง 911 นั้น ไม่มีอะไร ก็ถือผ่านมา ไม่ค่อยกระทบเพราะยังลงทุนน้อยอยู่
ส่วน 2008 นั้นน็อค มืด คนอื่นเค้าลงไป 50% กันลงแค่ 20-30% เพราะว่า มี SP ใน Port แล้วไม่พอ มีเวลาให้ตัดสินใจขาย 7 วัน ไม่ขาย ก็แดงยาวไป จนต้องไปเรียนลงลึกจริงๆจัง เลยทีเดียวว่า สุดท้ายการลงทุนนั้นอะไรคือสิ่งที่เป็นหัวใจของมัน
ก็จบออกมาเกือบได้อีกใบหนึ่งของแถมด้วย เสียดาย จริงๆ แต่ไม่เป้นไร
ถือหุ้นผ่านวิกฤติ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ใจต้องกล้า บนพื้นฐานของการประเมินว่า เราลงทุนกับกิจการอะไรไป
แต่ละวิกฤติ นั้น มีคนที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ เสมอ กิจการไหนที่ได้ประโยชน์แล้วคุณไปถือหุ้นเค้าช่วงเวลานั้น เหมือนเพชรในมหาสมุทรเลยทีเดียว แต่หากกิจการไหนที่เสียประโยชน์แล้วคุณไปถือครองเข้าในช่วงวิกฤตินั้น เรียกว่าสูญเงินได้หมดตัวเลยทีเดียว จุดนี้คุณต้องทำความเข้าใจ เหมือน คุณเล่นหุ้นตาม Trend (แนวโน้มใหญ่) นั้นเอง
อีกคำพูดหนึ่งในกระแสของวิกฤติคือ Cash is the king อันนี้ใช้ได้ แต่ทว่า เงินสดนั้นเป็นตัวที่ให้ผลตอบแทนในการลงทุนน้อยที่สุดด้วย แต่ปลอดภัยสุด คุณต้อง Trade off หรือแลก ว่า คุณต้องการความปลอดภัย หรือ คุณต้องการผลตอบแทน
หากต้องการผลตอบแทน เงินสด ไม่ทำงาน ไปลงทุนอะไรซักอย่างหนึ่ง ที่ในช่วงวิกฤติคือเพชร
อย่างเช่น ในช่วง 2008 นั้น ใครที่ลงทุนทองคำ ในช่วงทำ QE ก็รวยเละเทะ เพราะ ทองคำนั้น ราคาเพิ่งขึ้นเมื่อ ลดดอกเบี้ย และ US ปั้มเงินออกมาใช้งาน (เสกกระดาษให้เป็นเงิน) อันนี้ก็เห็นหลายต่อหลายท่านรวยเละ เพราะทองคำ
(แต่ผมไปกำไรมากๆ จากทองแดง เพราะมัน Lagging)
ถ้าหาก รอบ 911 นั้น พอดีเรามีรัฐประหาร ด้วย เลยเป็นสองเด้งสำหรับไทย แต่ตอนนั้นคือ หุ้นที่เกี่ยวกับการสื่อสาร หรือกับคอมพิวเตอร์ เกี่ยวกับมือถือ
ช่วงโควิค-19 ก็รู้ๆๆ อยู่ว่า ถุงมือ มาแรงแซงโค้ง แต่ไม่ใช่แค่ถุงมือ มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพวก Safety ด้วย มีหลายตัว ที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ลูกค้าวิ่งเข้าหาเอง หรือ E-commerce
หากพูดไปตอน 2540 นั้น ตลาดนัดมาแรง เพราะอะไร เพราะว่าคนตกงานต้องขายของเก่ามาประทังชีวิต เหมือนตอนนี้ ตลาดนัดไม่ค่อยเดินเท่าไร ขายของเปิดหน้าร้านไม่ได้ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ก็ต้องหนีไปเปิด Online แทน มันเป็นแบบเดิมแต่เปลี่ยนว่า จากตลาดนัดเป็น E-commerce แทน
นอกเรื่องซักเยอะเลย สรุปคือ
1. ใจต้องนิ่ง
2. ตรวจสภาพกิจการว่ายังดีอยู่หรือเปล่า
3. หากว่ากิจการไหนที่ได้ประโยชน์ กิจการไหนที่เสียประโยชน์
4. ลงมือลุย
5. ห้ามโทษตัวเอง
6. ยังไม่พ้นอย่ามาโชว์ ว่าแน่ หรือขายออกไปแล้วโชว์ ก่อนจบวิกฤติ นั้นคือคุณถือไม่พ้นวิกฤติ
7. เมื่อคุณทำการผ่านวิกฤติไปได้ นั้นคือบทเรียน
8. สวนกระแสเข้าไว้ แค่นั้นจะดีเอง
คำแรกที่ต้องจำในใจ คือการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนเสมอ ท่องจำไว้ขึ้นใจเลย
การลงทุนทุกการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงเสมอไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง แต่ทว่า เราสามารถควบคุมความเสี่ยงในการสูญเสียเงินได้เท่าไร นั้นคือ สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จนั้นรวยได้ ไม่ใช่ ว่า บอกว่าซื้อแล้วกำไร แต่ต้องบอกว่า ซื้อแล้วคุณจะมีหนทางแห่งการขาดทุนอะไรบ้าง เรียกได้ว่าปิดประตูแพ้
ถ้าหากคุณบอกไม่ได้ ว่า ประตูแห่งความแพ้คืออะไร นั้นคือ ความเสี่ยงของคุณ ซึ่งการลงทุนแบบนี้หลายต่อหลายท่านบอกว่า มันมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ต้องบอกว่า มองไว้ก่อนดี ถ้าหากไม่มองไว้เลย ก็หมดตัวขาดทุน ก็โทษคนอื่น ไม่โทษตัวเองนั้นเอง
การลงทุนนั้น โทษตัวเองดีที่สุดคือ โทษว่าเรามีความรู้ไม่เพียงพอ เราคิดไม่รอบด้านต่างหาก แบบนี้ซิถึงได้พัฒนาตัวเอง
การตามคนอื่นๆนั้นดีไหม ก็บอกว่าดี แต่ทว่า เราไม่รู้ว่า เค้าขายออกตอนไหน ต้องคอยถาม ถ้าหากเค้าไม่บอก เราก็ไม่รู้ว่าเค้าขายตอนไหน ไม่ได้ถือหุ้นตัวนั้นแล้ว ถ้าหากรอคอยการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ก็ปิดทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องหมาย XM,XD,XR ,... พวกนี้ ก็ต้องใช้เวลากว่าจะปิด กว่าจะประกาศอีก อันนี้ก็เสี่ยง
เอาละไม่ได้เข้าเรื่องเลย
การถือหุ้นข้ามวิกฤตินั้น ตัวเอง นับการผ่านวิกฤติใหญ่มาก ตั้งแต่การลงทุนคือ 911 ก็ผ่านได้ ,2008 ก็ผ่านมา แล้วก็ตอนนี้คือโควิค 19 ไม่นับ เพราะเหตุการณ์ยังไม่จบ แค่ช่วงต้นค่อนมากลางพายุแล้ว
ช่วง 911 นั้น ไม่มีอะไร ก็ถือผ่านมา ไม่ค่อยกระทบเพราะยังลงทุนน้อยอยู่
ส่วน 2008 นั้นน็อค มืด คนอื่นเค้าลงไป 50% กันลงแค่ 20-30% เพราะว่า มี SP ใน Port แล้วไม่พอ มีเวลาให้ตัดสินใจขาย 7 วัน ไม่ขาย ก็แดงยาวไป จนต้องไปเรียนลงลึกจริงๆจัง เลยทีเดียวว่า สุดท้ายการลงทุนนั้นอะไรคือสิ่งที่เป็นหัวใจของมัน
ก็จบออกมาเกือบได้อีกใบหนึ่งของแถมด้วย เสียดาย จริงๆ แต่ไม่เป้นไร
ถือหุ้นผ่านวิกฤติ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ใจต้องกล้า บนพื้นฐานของการประเมินว่า เราลงทุนกับกิจการอะไรไป
แต่ละวิกฤติ นั้น มีคนที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ เสมอ กิจการไหนที่ได้ประโยชน์แล้วคุณไปถือหุ้นเค้าช่วงเวลานั้น เหมือนเพชรในมหาสมุทรเลยทีเดียว แต่หากกิจการไหนที่เสียประโยชน์แล้วคุณไปถือครองเข้าในช่วงวิกฤตินั้น เรียกว่าสูญเงินได้หมดตัวเลยทีเดียว จุดนี้คุณต้องทำความเข้าใจ เหมือน คุณเล่นหุ้นตาม Trend (แนวโน้มใหญ่) นั้นเอง
อีกคำพูดหนึ่งในกระแสของวิกฤติคือ Cash is the king อันนี้ใช้ได้ แต่ทว่า เงินสดนั้นเป็นตัวที่ให้ผลตอบแทนในการลงทุนน้อยที่สุดด้วย แต่ปลอดภัยสุด คุณต้อง Trade off หรือแลก ว่า คุณต้องการความปลอดภัย หรือ คุณต้องการผลตอบแทน
หากต้องการผลตอบแทน เงินสด ไม่ทำงาน ไปลงทุนอะไรซักอย่างหนึ่ง ที่ในช่วงวิกฤติคือเพชร
อย่างเช่น ในช่วง 2008 นั้น ใครที่ลงทุนทองคำ ในช่วงทำ QE ก็รวยเละเทะ เพราะ ทองคำนั้น ราคาเพิ่งขึ้นเมื่อ ลดดอกเบี้ย และ US ปั้มเงินออกมาใช้งาน (เสกกระดาษให้เป็นเงิน) อันนี้ก็เห็นหลายต่อหลายท่านรวยเละ เพราะทองคำ
(แต่ผมไปกำไรมากๆ จากทองแดง เพราะมัน Lagging)
ถ้าหาก รอบ 911 นั้น พอดีเรามีรัฐประหาร ด้วย เลยเป็นสองเด้งสำหรับไทย แต่ตอนนั้นคือ หุ้นที่เกี่ยวกับการสื่อสาร หรือกับคอมพิวเตอร์ เกี่ยวกับมือถือ
ช่วงโควิค-19 ก็รู้ๆๆ อยู่ว่า ถุงมือ มาแรงแซงโค้ง แต่ไม่ใช่แค่ถุงมือ มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพวก Safety ด้วย มีหลายตัว ที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ลูกค้าวิ่งเข้าหาเอง หรือ E-commerce
หากพูดไปตอน 2540 นั้น ตลาดนัดมาแรง เพราะอะไร เพราะว่าคนตกงานต้องขายของเก่ามาประทังชีวิต เหมือนตอนนี้ ตลาดนัดไม่ค่อยเดินเท่าไร ขายของเปิดหน้าร้านไม่ได้ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ก็ต้องหนีไปเปิด Online แทน มันเป็นแบบเดิมแต่เปลี่ยนว่า จากตลาดนัดเป็น E-commerce แทน
นอกเรื่องซักเยอะเลย สรุปคือ
1. ใจต้องนิ่ง
2. ตรวจสภาพกิจการว่ายังดีอยู่หรือเปล่า
3. หากว่ากิจการไหนที่ได้ประโยชน์ กิจการไหนที่เสียประโยชน์
4. ลงมือลุย
5. ห้ามโทษตัวเอง
6. ยังไม่พ้นอย่ามาโชว์ ว่าแน่ หรือขายออกไปแล้วโชว์ ก่อนจบวิกฤติ นั้นคือคุณถือไม่พ้นวิกฤติ
7. เมื่อคุณทำการผ่านวิกฤติไปได้ นั้นคือบทเรียน
8. สวนกระแสเข้าไว้ แค่นั้นจะดีเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 523
น้ำผึ้งหยดเดียว
มีเหตุการณ์ที่ผ่านมาสองเหตุการณ์ ที่เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เหตุการณ์แรกเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ เป็นรถหรูชนตำรวจ
รายการนี้คือ คนที่น่าจะขับรถก็ขับรถเข้าบ้าน แล้วให้ลูกน้องแสดงตัวเป็นคนขับแทน แต่ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่ดี จับพลัดจับพลูสุดท้ายคือ ยื่นขอประกันตัวสู้คดี แล้วเดินทางออกนอกประเทศ ห่างไป ได้หมายแดง คดีหมดอายุความ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งไม่ฟ้องคดีที่เหลือ เพราะมีหลักฐานใหม่ งานนี้คือกิจการที่ครอบครับถืออยู่เละเทะ สังคมแบนเลย
เพราะว่า คดีทางท้องถนน เป็นคดีความเล็กก็จริง แต่มันไม่เล็กเพราะคนตาย 1 คนแถมเป็นเจ้าหน้าที่อีกต่างหาก
และเราๆท่านๆได้ดูเรื่องเปาวุ้นจิ้นมาโดยตลอดว่า ไม่ว่า มีอำนาจระดับไหน ตั้งแต่ฮ่องเต้,เชื้อพระวงศ์,ผู้มีอิทธิพล,จอมยุทธ ก็จับมาประหารด้วยเครื่องประหารหัวมังกร ,หัวเสือ และหัวสุนัข ดังนั้น ประชาชนมองว่า ไม่มีใช่อภิสิทธิ์ชน งานนี้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ได้
เรื่องที่สองคือ เรื่องของทหารและลูกฑูตที่ติดเชื้อ ไม่ต้องเล่าอะไรมาก กระทบความเชื่อมั่นไปเต็มๆ คือ ทั้งภาคการท่องเที่ยวและ คำสั่งของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ดีที่แก้ไขปัญหาได้เร็วก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
สองเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังในแง่ของน้ำผึ้งหยดเดียว ที่สามารถเกิดได้ในสังคม
แล้วคำถามในด้านการลงทุนแหละเคยมีเคสแบบนี้บ้างไหม ที่เรื่องเล็กแต่มันไม่เล็ก ก็บอกเลยว่ามี
เช่นกรณีของ Enron ที่ พนักงานแจ้งเรื่องความผิดปกติ แล้ว ระดับผู้บริหารไม่ใส่ใจ จนพนักงานต้องวิ่งหน้าหน่วยงานภายนอก จนทำให้เกิดการตรวจบัญชีของ Enron จนล้มละลาย ไปในที่สุดคือการลงบัญชีที่มีปัญหา ก็เข้าข่ายน้ำผึ้งหยดเดียว
มีเหตุการณ์ที่ผ่านมาสองเหตุการณ์ ที่เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เหตุการณ์แรกเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ เป็นรถหรูชนตำรวจ
รายการนี้คือ คนที่น่าจะขับรถก็ขับรถเข้าบ้าน แล้วให้ลูกน้องแสดงตัวเป็นคนขับแทน แต่ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่ดี จับพลัดจับพลูสุดท้ายคือ ยื่นขอประกันตัวสู้คดี แล้วเดินทางออกนอกประเทศ ห่างไป ได้หมายแดง คดีหมดอายุความ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งไม่ฟ้องคดีที่เหลือ เพราะมีหลักฐานใหม่ งานนี้คือกิจการที่ครอบครับถืออยู่เละเทะ สังคมแบนเลย
เพราะว่า คดีทางท้องถนน เป็นคดีความเล็กก็จริง แต่มันไม่เล็กเพราะคนตาย 1 คนแถมเป็นเจ้าหน้าที่อีกต่างหาก
และเราๆท่านๆได้ดูเรื่องเปาวุ้นจิ้นมาโดยตลอดว่า ไม่ว่า มีอำนาจระดับไหน ตั้งแต่ฮ่องเต้,เชื้อพระวงศ์,ผู้มีอิทธิพล,จอมยุทธ ก็จับมาประหารด้วยเครื่องประหารหัวมังกร ,หัวเสือ และหัวสุนัข ดังนั้น ประชาชนมองว่า ไม่มีใช่อภิสิทธิ์ชน งานนี้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ได้
เรื่องที่สองคือ เรื่องของทหารและลูกฑูตที่ติดเชื้อ ไม่ต้องเล่าอะไรมาก กระทบความเชื่อมั่นไปเต็มๆ คือ ทั้งภาคการท่องเที่ยวและ คำสั่งของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ดีที่แก้ไขปัญหาได้เร็วก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
สองเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังในแง่ของน้ำผึ้งหยดเดียว ที่สามารถเกิดได้ในสังคม
แล้วคำถามในด้านการลงทุนแหละเคยมีเคสแบบนี้บ้างไหม ที่เรื่องเล็กแต่มันไม่เล็ก ก็บอกเลยว่ามี
เช่นกรณีของ Enron ที่ พนักงานแจ้งเรื่องความผิดปกติ แล้ว ระดับผู้บริหารไม่ใส่ใจ จนพนักงานต้องวิ่งหน้าหน่วยงานภายนอก จนทำให้เกิดการตรวจบัญชีของ Enron จนล้มละลาย ไปในที่สุดคือการลงบัญชีที่มีปัญหา ก็เข้าข่ายน้ำผึ้งหยดเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 524
เรื่องตลกที่ไม่ตลก สำหรับ นักวิเคราะห์
เมื่อปลายเดือนกรกฏาคม 2563 ต่อต้นเดือน สิงหาคม 2563 มีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ภายใต้ธนาคารแห่งหนึ่ง
ออกมาสร้างกระแสได้มากคือ เอา CG มาใช้ในการวิเคราะห์กับกิจการแห่งหนึ่ง ที่ยอมลดค่าตอบแทนของผู้ค้าในสัญญาลง
เนื่องจากพิษของโควิค 19 จากที่ประเมินไว้แบบหนึ่ง ก็ใช้อีกวิธีหนึ่งแทน
อันนี้ต้องมองในหลากหลายแง่
1. การทำธุรกิจ เมื่อคู่ค้ามีปัญหา คู่สัญญาที่ทำด้วยกันก็ต้องพิจารณาว่า ทำอย่างไรให้ไปได้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่ทว่า
มากน้อยได้แค่ไหน และเวลาแค่ไหน
แต่เคสนี้เอาหมดตลอดสัญญา ซึ่งในความเห็นส่วนตัวคือ ไม่ใช่ แล้วแหละ ต้องพิจารณาเป็นช่วงๆไป
2. การช่วยเหลือเฉพาะราย อันนี้สามารถทำได้ แต่รายอื่นๆแหละ ได้แบบนี้หรือเปล่า เกณฑ์อะไรแหละ ที่ใช้ในการช่วยเหลือ
หากเป็นเอกชนเลือกช่วยได้ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นหน่วยงานที่รัฐเป็นเจ้าของ อันนี้มีคำถามทันที
ต่อมาเมื่อออกบทวิเคราะห์นี้ไปแล้ว ได้ไม่ถึงหนึ่งวัน บทวิเคราะห์นี้ปลิวไปกับอากาศธาตุ และไม่เพียงแค่นั้น บริษัทที่โบรกเกอร์ออกผลวิเคราะห์นั้นเรียก บริษัทโบรกเกอร์เขั้าชี้แจง และมีบทวิเคราะห์ออกมาใหม่อีกครั้ง
จุดนี้แหละ หน่วยงาน สองหน่วยงานที่กำกับดูแล กิจการในตลาดหลักทรัพย์เงียบเข้าป่าช้าไปเลย
เพราะอะไร หน่วยงานหนึ่งกำกับ ดูแล เรื่องของการทำบทวิเคราะห์ อีกหน่วยงานหนึ่งดูแลเรื่องของ CG
แล้ว คำว่าจริยธรรม ที่บอกว่า นักวิเคราะห์มีความเป็นอิสระในการออกบทวิเคราะห์ที่ทั้งสองหน่วยงานพยายามสร้างขึ้นมา
โปรโมทขึ้นมา หรือทำมาหลายเพลา ตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน นี้ หายไปกับตาทันที
อันนี้ต้องบอกได้ว่า เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง หรือเรื่องไม่เป้นเรื่อง
เพราะอะไร เพราะว่า สุดท้ายคือนักลงทุนดูที่ผลตอบแทน ของกิจการ ว่ากิจการนั้น เติบโต ยั้งยืนและสร้างผลตอบแทนจากผลการดำเนินการดีแค่ไหน และทำธุรกจโปร่งใส ไม่ขุ่นจนดำ นั้นเอง
อันนี้เก็บให้คิดกันสำหรับเรื่องนี้
ปล เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ด้วย แต่ทว่า เห็นแล้วเหนื่อยใจแทน พอๆกับเคสทองหล่อเลย สำหรับเคสนี้
น่าจะตั้งคณะกรรมการสอบหน่อยก็ดี ว่า
1. ปลิวเพราะอะไร
2. ทำไมกลับบทวิเคราะห์ หลังจาก ที่เข้าพบผู้บริหาร
และจริงๆแล้ว ผลการดำเนินการก็ตามที่ทุกคนรู้คือ ออกมาขาดทุน เพราะกิจการที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ
มันก็แปลกน่า ทำเพื่ออะไร ในเคสนี้
เมื่อปลายเดือนกรกฏาคม 2563 ต่อต้นเดือน สิงหาคม 2563 มีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ภายใต้ธนาคารแห่งหนึ่ง
ออกมาสร้างกระแสได้มากคือ เอา CG มาใช้ในการวิเคราะห์กับกิจการแห่งหนึ่ง ที่ยอมลดค่าตอบแทนของผู้ค้าในสัญญาลง
เนื่องจากพิษของโควิค 19 จากที่ประเมินไว้แบบหนึ่ง ก็ใช้อีกวิธีหนึ่งแทน
อันนี้ต้องมองในหลากหลายแง่
1. การทำธุรกิจ เมื่อคู่ค้ามีปัญหา คู่สัญญาที่ทำด้วยกันก็ต้องพิจารณาว่า ทำอย่างไรให้ไปได้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่ทว่า
มากน้อยได้แค่ไหน และเวลาแค่ไหน
แต่เคสนี้เอาหมดตลอดสัญญา ซึ่งในความเห็นส่วนตัวคือ ไม่ใช่ แล้วแหละ ต้องพิจารณาเป็นช่วงๆไป
2. การช่วยเหลือเฉพาะราย อันนี้สามารถทำได้ แต่รายอื่นๆแหละ ได้แบบนี้หรือเปล่า เกณฑ์อะไรแหละ ที่ใช้ในการช่วยเหลือ
หากเป็นเอกชนเลือกช่วยได้ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นหน่วยงานที่รัฐเป็นเจ้าของ อันนี้มีคำถามทันที
ต่อมาเมื่อออกบทวิเคราะห์นี้ไปแล้ว ได้ไม่ถึงหนึ่งวัน บทวิเคราะห์นี้ปลิวไปกับอากาศธาตุ และไม่เพียงแค่นั้น บริษัทที่โบรกเกอร์ออกผลวิเคราะห์นั้นเรียก บริษัทโบรกเกอร์เขั้าชี้แจง และมีบทวิเคราะห์ออกมาใหม่อีกครั้ง
จุดนี้แหละ หน่วยงาน สองหน่วยงานที่กำกับดูแล กิจการในตลาดหลักทรัพย์เงียบเข้าป่าช้าไปเลย
เพราะอะไร หน่วยงานหนึ่งกำกับ ดูแล เรื่องของการทำบทวิเคราะห์ อีกหน่วยงานหนึ่งดูแลเรื่องของ CG
แล้ว คำว่าจริยธรรม ที่บอกว่า นักวิเคราะห์มีความเป็นอิสระในการออกบทวิเคราะห์ที่ทั้งสองหน่วยงานพยายามสร้างขึ้นมา
โปรโมทขึ้นมา หรือทำมาหลายเพลา ตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน นี้ หายไปกับตาทันที
อันนี้ต้องบอกได้ว่า เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง หรือเรื่องไม่เป้นเรื่อง
เพราะอะไร เพราะว่า สุดท้ายคือนักลงทุนดูที่ผลตอบแทน ของกิจการ ว่ากิจการนั้น เติบโต ยั้งยืนและสร้างผลตอบแทนจากผลการดำเนินการดีแค่ไหน และทำธุรกจโปร่งใส ไม่ขุ่นจนดำ นั้นเอง
อันนี้เก็บให้คิดกันสำหรับเรื่องนี้
ปล เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ด้วย แต่ทว่า เห็นแล้วเหนื่อยใจแทน พอๆกับเคสทองหล่อเลย สำหรับเคสนี้
น่าจะตั้งคณะกรรมการสอบหน่อยก็ดี ว่า
1. ปลิวเพราะอะไร
2. ทำไมกลับบทวิเคราะห์ หลังจาก ที่เข้าพบผู้บริหาร
และจริงๆแล้ว ผลการดำเนินการก็ตามที่ทุกคนรู้คือ ออกมาขาดทุน เพราะกิจการที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ
มันก็แปลกน่า ทำเพื่ออะไร ในเคสนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 525
กลับตาลปัตร ภาคงบการเงิน มิน่าอ่านแล้ว งงไปหมด
ปี 2563 เป็นปีที่เริ่มบังคับใช้มาตราฐานการบัญขีใหม่หลายตัว ทำให้ สิ่งต่างๆที่ได้เรียนมาในเรีฝื่องงบการเงินนั้น เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสิ่งนี้ เป็นสิ่วที่ต้องเรียกว่า ไปแสวงหาความรู้มาด้วยตัวเอง ลักจำจาการอ่านหนังสือ ลงเรียนกับ อจ ภาพร และ อจ สรรพงศ์ ตลอดจนพี่ไม่ ที่อยู่ในวงการบัญชีทั้งหลาย
ปี 2563 เป็นปี่ที่เปลี่ยนแปลงมาก เหมือนปี 2554
รายการบางรายการเช่น สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ที่อยู่บรรทีดก่อนสรุป สินทรัพย์หมุนเวียนนั้น กลับกลายเป็น เงินลงทุนระยะสั้น +เงินลงทุน แทน ไม่พอ ยังสลับตำแหน่งเดิมที่ อะไรที่หมุนเวียนเร็วอยู่ด้านบน อะไรที่หมุนเวียนช้าอยู่ด้านล่าง
ไม่พอ ในเมื่อมีสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ก็ต้องมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นอีก อันนี้ไปรวมพวก กิจการค้าร่วม+กิจการร่วมค้า+ เงินลงทุนในบริษัทร่วม+ เงินลงทุนระยะยาว และอยู่ก่อน รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
แค่สองตัวนี้ ถ้าไม่มีหมายเหตุประกอบงบการเงิน ก็แย่แล้ว เพราะแยกไม่ออก เลยว่า รายการไหนเป็นอะไร แล้วจังรวมทำไมหนอ และ วางตำแหน่งก็ไม่เหมือนเดิมด้วย คนใช้งบก็มึนไปเลยว่า รายการโดนอุ้ทหายไปไหน หรือกระจายไปไหน
เค้าหวังว่า ให้เรามีงานทำกันยาวๆไปนั้นเอง
ไม่พอ พวก IFRS 9 เมื่อก่อน ไม่โพล่ ไปโพล่ในหมายเหตุ เดี๋ยวนี้โพล่งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ในแง่ของการตั้งสำรองหนี้สูญ เอาให้เห็นเลยว่ากั้นไว้เท่าไร ให้ตัดออกไป อันนี้คือการประเมินเอาว่า ตั้งเท่าไร ให้เห็นกันไปเลย ชื่อก็ผลขาดทุนด้านเครดิต อ่านตอนแรกงงเป็นไก่ตาแตกเลย ว่าคืออะไร
เนี่ยแค่นำ้จิ้ม เนื้อๆ คือ financial model ที่มากับการคำนวณ แบบ big data ในการตั้งสำรองของธนาคารและลิสซิ่ง บนข้อมูลที่มีอยู่ งานนี่ไปสร้างงานให้กับพวก data science และ data engineer ให้มีงานทำนั่งวิเคราะห์ และสร้าง model ในการตั้งสำรองกันสนุกเลย ทีเดียว
มิน่าทำไมช่วงระยะหลัง ตำแหน่งทางด้าน ไอที มีความต้องการจากภาคการเงินเพิ่มขึ้นเพราะตัวนี้เอง ไม่ว่านุคไหนสมัยไหน ไอทีขาดแคลนเสมอ ไม่เคยเพียงพอ
แล้วไม่พอ ซ้ำเติมการเปลี่ยนมาตราฐานทางบัญชีการศึกตอนเดือน พฤษภาคม 2563 ย้ายรายการพวกกงอทุนอสังหา กับ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ว่าเข้างบกำไรขาดทุน ไปเป็นงบกำไรขาดทึนเบ็ดเสร็จอีก
และพวก recycle รายได้ บางอุตสาหกรรมก็ได้ บางอุตสากรรมไม่ได้
งานนี้ต้องบอกว่า ทั้ง ธปท + คปภ +ตลท+ก.ล.ต. + สภานักบัญชี+ กรมสรรพากร คุยจนไหมว่า บัญชีกับการจ่ายภาษี นั้นเล่มเดียวกัน ไม่ใช่บางรายการ บัญขีบอกว่าทำได้ แต่กรมสรรพากรบวกกลับ เล่นเอางง อีก
ในงบปี2563 นั้นมีเรื่องประมาณการเข้ามาเกี่ยวเพียบเลย การใช้งบ นั้น บางไอเท็มใช้ discount cash flow จาก กระแสเงินสดที่ได้รับจากสินทรัพย์ ประเภทนั้น คิดกลับมาปัจจุบันตั้งไว้ เพื่อรอตัดไปสู่งบกำไรขาดทุนตาอไป และเงินสดที่ได้เข้างบกำไรขาดทุน ทำให้นักลงทุนต้องติดตามเรื่องการปรับปรุงมาตรฐานอย่างใกล้ชิด
และสิ่งที่ออกมาแค่เบื้องต้นค่อยๆทยอยออกมา ดังนั้น นักลงทุนก็ต้องหายสพารามาทานในข่วงเวลานี้ จนกว่า IFRS ทั้งหมดออกมาบังคับใช้ให้ครบอถ้วยสำหรับชุดนี้
——————
ส่งท้าย ฝนตกแล้วดูน้ำในเขื่อนด้วยว่า ปีหน้ามีน้ำกินน้ำใข้หรือไม่ คงได้แต่หวังว่า ปีหน้าคงไม่ต้องทำโฆษณา น้ำหนดออกจากก๊อกทีละหยดทีละหยด เหมือนในอดีตละกัน
ปี 2563 เป็นปีที่เริ่มบังคับใช้มาตราฐานการบัญขีใหม่หลายตัว ทำให้ สิ่งต่างๆที่ได้เรียนมาในเรีฝื่องงบการเงินนั้น เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสิ่งนี้ เป็นสิ่วที่ต้องเรียกว่า ไปแสวงหาความรู้มาด้วยตัวเอง ลักจำจาการอ่านหนังสือ ลงเรียนกับ อจ ภาพร และ อจ สรรพงศ์ ตลอดจนพี่ไม่ ที่อยู่ในวงการบัญชีทั้งหลาย
ปี 2563 เป็นปี่ที่เปลี่ยนแปลงมาก เหมือนปี 2554
รายการบางรายการเช่น สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ที่อยู่บรรทีดก่อนสรุป สินทรัพย์หมุนเวียนนั้น กลับกลายเป็น เงินลงทุนระยะสั้น +เงินลงทุน แทน ไม่พอ ยังสลับตำแหน่งเดิมที่ อะไรที่หมุนเวียนเร็วอยู่ด้านบน อะไรที่หมุนเวียนช้าอยู่ด้านล่าง
ไม่พอ ในเมื่อมีสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ก็ต้องมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นอีก อันนี้ไปรวมพวก กิจการค้าร่วม+กิจการร่วมค้า+ เงินลงทุนในบริษัทร่วม+ เงินลงทุนระยะยาว และอยู่ก่อน รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
แค่สองตัวนี้ ถ้าไม่มีหมายเหตุประกอบงบการเงิน ก็แย่แล้ว เพราะแยกไม่ออก เลยว่า รายการไหนเป็นอะไร แล้วจังรวมทำไมหนอ และ วางตำแหน่งก็ไม่เหมือนเดิมด้วย คนใช้งบก็มึนไปเลยว่า รายการโดนอุ้ทหายไปไหน หรือกระจายไปไหน
เค้าหวังว่า ให้เรามีงานทำกันยาวๆไปนั้นเอง
ไม่พอ พวก IFRS 9 เมื่อก่อน ไม่โพล่ ไปโพล่ในหมายเหตุ เดี๋ยวนี้โพล่งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ในแง่ของการตั้งสำรองหนี้สูญ เอาให้เห็นเลยว่ากั้นไว้เท่าไร ให้ตัดออกไป อันนี้คือการประเมินเอาว่า ตั้งเท่าไร ให้เห็นกันไปเลย ชื่อก็ผลขาดทุนด้านเครดิต อ่านตอนแรกงงเป็นไก่ตาแตกเลย ว่าคืออะไร
เนี่ยแค่นำ้จิ้ม เนื้อๆ คือ financial model ที่มากับการคำนวณ แบบ big data ในการตั้งสำรองของธนาคารและลิสซิ่ง บนข้อมูลที่มีอยู่ งานนี่ไปสร้างงานให้กับพวก data science และ data engineer ให้มีงานทำนั่งวิเคราะห์ และสร้าง model ในการตั้งสำรองกันสนุกเลย ทีเดียว
มิน่าทำไมช่วงระยะหลัง ตำแหน่งทางด้าน ไอที มีความต้องการจากภาคการเงินเพิ่มขึ้นเพราะตัวนี้เอง ไม่ว่านุคไหนสมัยไหน ไอทีขาดแคลนเสมอ ไม่เคยเพียงพอ
แล้วไม่พอ ซ้ำเติมการเปลี่ยนมาตราฐานทางบัญชีการศึกตอนเดือน พฤษภาคม 2563 ย้ายรายการพวกกงอทุนอสังหา กับ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ว่าเข้างบกำไรขาดทุน ไปเป็นงบกำไรขาดทึนเบ็ดเสร็จอีก
และพวก recycle รายได้ บางอุตสาหกรรมก็ได้ บางอุตสากรรมไม่ได้
งานนี้ต้องบอกว่า ทั้ง ธปท + คปภ +ตลท+ก.ล.ต. + สภานักบัญชี+ กรมสรรพากร คุยจนไหมว่า บัญชีกับการจ่ายภาษี นั้นเล่มเดียวกัน ไม่ใช่บางรายการ บัญขีบอกว่าทำได้ แต่กรมสรรพากรบวกกลับ เล่นเอางง อีก
ในงบปี2563 นั้นมีเรื่องประมาณการเข้ามาเกี่ยวเพียบเลย การใช้งบ นั้น บางไอเท็มใช้ discount cash flow จาก กระแสเงินสดที่ได้รับจากสินทรัพย์ ประเภทนั้น คิดกลับมาปัจจุบันตั้งไว้ เพื่อรอตัดไปสู่งบกำไรขาดทุนตาอไป และเงินสดที่ได้เข้างบกำไรขาดทุน ทำให้นักลงทุนต้องติดตามเรื่องการปรับปรุงมาตรฐานอย่างใกล้ชิด
และสิ่งที่ออกมาแค่เบื้องต้นค่อยๆทยอยออกมา ดังนั้น นักลงทุนก็ต้องหายสพารามาทานในข่วงเวลานี้ จนกว่า IFRS ทั้งหมดออกมาบังคับใช้ให้ครบอถ้วยสำหรับชุดนี้
——————
ส่งท้าย ฝนตกแล้วดูน้ำในเขื่อนด้วยว่า ปีหน้ามีน้ำกินน้ำใข้หรือไม่ คงได้แต่หวังว่า ปีหน้าคงไม่ต้องทำโฆษณา น้ำหนดออกจากก๊อกทีละหยดทีละหยด เหมือนในอดีตละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 526
ช่วงเวลาต่อจากโควิค-19
หลังจากที่ โควิค -19 (เริ่มต้นประมาณเดือนพฤศจิกายน 2019) แต่ระบาดหนักๆ เริ่มปลายเดือน มกราคม 2020 ที่จีนประกาศเลื่อน ตรุษจีน และ เริ่ม Lock down อู่ฮั่น จนถึงตอนนี้ วันที่ 27 กันยายน 2563 เราได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง
สิ่งแรกที่เรียนรู้คือ การ Lock down นั้น ช่วยในแง่ คนที่ที่ติดเชื้อน้อยลง และควบคุมได้ แต่ทว่า แลกกับเศรษฐกิจที่พังทลาย คนตกงานอย่างมหาศาล รัฐกลายเป็นผู้เล่นหลัก
สิ่งที่สองที่เรียนรู้คือ สินค้าสามารถส่งออกนำเข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเรือ หรือทางเครื่องบิน แต่ทว่า ต้องมีการ tracking and trace ให้ได้ว่า ถ้าหากสินค้านั้นมีการติดเชื้อ มาจากที่ไหน จากสถานที่ไหนที่เกี่ยวข้อง มีใครเกี่ยวข้องบ้าง
สิ่งที่สาม คือการปรับตัว ทั้งในแง่ของสายการบิน ที่เปลี่ยนจากให้คนโดยสาร กลายเป็นสายการบินของส่งสินค้าแทน เอาเก้าอี้ออก หรือ สายการบินที่บินวนรอบประเทศแล้วกลับ เพื่อให้คนที่ต้องการบรรยายกาศการบินต้องการ
สิ่งที่สี่ คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานระยะไกล เช่น infra structure ด้าน IT คือ VPN เครือข่ายมือถือ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า การควบคุมระยะไกล (remote desktop) การประชุมทางไกล/VDO Call (MS team,Zoom) พวกนี้ มีการปรับตัวอย่างมาก เติบโตเร็ว
สิ่งที่ห้า คือการป้องกันของเราได้แก่หน้ากากถุงมือ ที่ตอนแรกขาดแคลน แต่ตอนนี้มีมาก
แต่ทว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นการเริ่มต้นของเส้นทางเปลี่ยแปลงครั้งใหญ่ ก็ว่าได้
เมื่อ โควิค 19 กระทบ เศรษฐกิจ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กระทบต่อสังคม และการเมืองของแต่ละประเทศ
การเดินทางก้าวต่อไปนั้นสำคัญ อย่างยิ่ง ว่าจะเป็นเช่นไร
โลกหลังโควิค19 นั้นให้ความสำคัญ กับกระแสเงินสดของกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ที่งบดุลหรืองบกำไรขาดทุนอีกต่อไป
เพราะหน้าตางบดุลเริ่มจะมีการประมาณการไปข้างหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ การตั้งสำรองล่วงหน้าไปข้างหน้าไว้ด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น รัฐบาลเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละประเทศ คือ
1. ออกนโยบายไม่ให้คนตกงาน คนต้องมีการมีงานทำ เพื่อประคองประเทศ ประคองเศรษฐกิจ ของตน
2. ออกมาตรการช่วยเหลือ หยุดพักชำระ ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น
3. พิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อซื้อ สินทรัพย์ทางการเงิน เพราะว่า แห่กันเทขาย จนไม่มีใครรับซื้อ
4. หนี้สินสาธารณะที่เพิ่มขึ้นสูง ในแต่ละประเทศ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ
5. การกีดกั้นสินค้าจากต่างประเทศ การสร้างชาตินิยมสมัยใหม่ การแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างตะวันออกและตะวันตกจากการกีดกั้นทางการค้า
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองต่อไป
สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ
1. การลดค่าเงินลง เพื่อให้พยุงเศรษฐกิจการส่งออก เพื่อให้เกิดการแข่งขันให้ได้
2. การจัดการเรื่องการทุ่มตลาด ซึ่งปัจจุบันสินค้าจีน นั้นทุ่มตลาด ราคาต่ำกว่าสินค้าที่เราซื้อจากจีนมาขายต่อ ซื้อทีเดียวกัน แต่ทว่าเค้าขายตรงถูกกว่าเรา เป็นไปได้อย่างไร ใครอุดหนุนการทำแบบนี้หนอ
3. การจัดการเรื่องการขนส่งที่ต้องการลดต้นทุนลงให้ได้
4. การจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน คือต้นทุนเงินทุนในการดำเนินกิจการที่ลดลง ตัวกลางคือธนาคาร ต้องกลายเป็น fin tech ให้ได้ ในการขยับเคลื่อนต่อไป
5. การจัดการด้านคน ซึ่งต้องมีการ Upskill หรือ reskill ให้ชัดเจนว่า คนในรุ่นต่อไปมี ทักษะ (skill) อะไรที่จำเป็น
เช่น IT ต้องเขียนโปรแกรม ,การเงินก็ต้องเรียนรู้ ,ประวัติศาสตร์ก็ต้องรู้ เพื่อปัจจุบันย้อนรอยอดีต พวกนี้
6. การชำระ กฏหมายที่เรียกได้ว่า ทำอะไรซักอย่าง กระทรวงที่เกี่ยวข้อง 3-5 กระทรวง ไม่นับกรมหรือหน่วยงานต่างๆที่ต้องดำเนินการด้วย พวกนี้ต้องจัดการให้เป็นทีเดียวกันให้หมด ทีเดียวเอาให้จบ กฏหมายกระจัดกระจายซ้อนทับกันมากมาย จนไม่รู้ว่า อะไรคืออะไร ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก จากการแก้ไขของเดิม นั้นเอง
7. มาตรฐานบัญชีที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องเอาให้ชัดเจน ว่าของเดิมไปสู่ของใหม่นั้น คนที่เกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจหรือยัง ก่อนที่บังคับใช้ ส่วนใหญ่ บังคับก่อนแล้วค่อยอบรม ต้องอบรมกันก่อนแล้วค่อยใช้งาน มาตรฐานต้องเสร็จก่อน 12-18 เดือน แล้วค่อยใช้งาน เพื่อให้ทุกภาคส่วนรับรู้กันไป
8. อะไรที่รัฐทำแล้วขาดทุนให้เอกชนทำ อย่างเช่น US นั้น NASA ยังให้เอกชนทำ แล้วต้นทุนที่ถูกลงเป็น 10 เท่าเลยทีเดียว แถมไม่พอ ยังนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย
9. ส่งเสริมในประเทศ ไม่ใช่สักแต่ซื้อ แล้วไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยี เราต้องทำเองให้ได้ ซึ่งอันนี้น่าจะมีการขัดผลประโยชน์ แต่ทว่าเพื่อประเทศชาติในระยะยาวต้องทำ แบบนี้เท่านั้น (Copy and develop ก่อนเป็น R&D)
10. ส่งท้ายคือ คำถามว่า ลงทุนกับประชาธิปไตย เลือกตั้งแต่ละรอบเป็นพันล้านบาท แล้วตัวชี้วัด คืออะไร
กำหนดให้ชัดเจนว่า ออกกฏหมายปีละกี่ฉบับ ทำงบประมาณให้เกินดุลได้ภายในกี่ปี ประเทศไทยต้องมีอันดับในการแข่งขันที่เท่าไร การระดมทุนภาคเอกชนต้องได้เท่าไร ตั้งตัววัดกันล่วงหน้า แบบนี้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า รัฐชุดไหนดีกว่ากัน
เป้าเขียนวันนี้ วัดกันทุกปี ไปตามเป้าหมายกันเลย ไม่ได้ตั้งกัน ปีต่อปี แต่ว่าตั้งกัน 10 ปี 20 ปีวัดกันยาวๆ เพราะทุกอย่างต้องวัดผลได้
หลังจากที่ โควิค -19 (เริ่มต้นประมาณเดือนพฤศจิกายน 2019) แต่ระบาดหนักๆ เริ่มปลายเดือน มกราคม 2020 ที่จีนประกาศเลื่อน ตรุษจีน และ เริ่ม Lock down อู่ฮั่น จนถึงตอนนี้ วันที่ 27 กันยายน 2563 เราได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง
สิ่งแรกที่เรียนรู้คือ การ Lock down นั้น ช่วยในแง่ คนที่ที่ติดเชื้อน้อยลง และควบคุมได้ แต่ทว่า แลกกับเศรษฐกิจที่พังทลาย คนตกงานอย่างมหาศาล รัฐกลายเป็นผู้เล่นหลัก
สิ่งที่สองที่เรียนรู้คือ สินค้าสามารถส่งออกนำเข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเรือ หรือทางเครื่องบิน แต่ทว่า ต้องมีการ tracking and trace ให้ได้ว่า ถ้าหากสินค้านั้นมีการติดเชื้อ มาจากที่ไหน จากสถานที่ไหนที่เกี่ยวข้อง มีใครเกี่ยวข้องบ้าง
สิ่งที่สาม คือการปรับตัว ทั้งในแง่ของสายการบิน ที่เปลี่ยนจากให้คนโดยสาร กลายเป็นสายการบินของส่งสินค้าแทน เอาเก้าอี้ออก หรือ สายการบินที่บินวนรอบประเทศแล้วกลับ เพื่อให้คนที่ต้องการบรรยายกาศการบินต้องการ
สิ่งที่สี่ คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานระยะไกล เช่น infra structure ด้าน IT คือ VPN เครือข่ายมือถือ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า การควบคุมระยะไกล (remote desktop) การประชุมทางไกล/VDO Call (MS team,Zoom) พวกนี้ มีการปรับตัวอย่างมาก เติบโตเร็ว
สิ่งที่ห้า คือการป้องกันของเราได้แก่หน้ากากถุงมือ ที่ตอนแรกขาดแคลน แต่ตอนนี้มีมาก
แต่ทว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นการเริ่มต้นของเส้นทางเปลี่ยแปลงครั้งใหญ่ ก็ว่าได้
เมื่อ โควิค 19 กระทบ เศรษฐกิจ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กระทบต่อสังคม และการเมืองของแต่ละประเทศ
การเดินทางก้าวต่อไปนั้นสำคัญ อย่างยิ่ง ว่าจะเป็นเช่นไร
โลกหลังโควิค19 นั้นให้ความสำคัญ กับกระแสเงินสดของกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ที่งบดุลหรืองบกำไรขาดทุนอีกต่อไป
เพราะหน้าตางบดุลเริ่มจะมีการประมาณการไปข้างหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ การตั้งสำรองล่วงหน้าไปข้างหน้าไว้ด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น รัฐบาลเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละประเทศ คือ
1. ออกนโยบายไม่ให้คนตกงาน คนต้องมีการมีงานทำ เพื่อประคองประเทศ ประคองเศรษฐกิจ ของตน
2. ออกมาตรการช่วยเหลือ หยุดพักชำระ ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น
3. พิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อซื้อ สินทรัพย์ทางการเงิน เพราะว่า แห่กันเทขาย จนไม่มีใครรับซื้อ
4. หนี้สินสาธารณะที่เพิ่มขึ้นสูง ในแต่ละประเทศ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ
5. การกีดกั้นสินค้าจากต่างประเทศ การสร้างชาตินิยมสมัยใหม่ การแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างตะวันออกและตะวันตกจากการกีดกั้นทางการค้า
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองต่อไป
สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ
1. การลดค่าเงินลง เพื่อให้พยุงเศรษฐกิจการส่งออก เพื่อให้เกิดการแข่งขันให้ได้
2. การจัดการเรื่องการทุ่มตลาด ซึ่งปัจจุบันสินค้าจีน นั้นทุ่มตลาด ราคาต่ำกว่าสินค้าที่เราซื้อจากจีนมาขายต่อ ซื้อทีเดียวกัน แต่ทว่าเค้าขายตรงถูกกว่าเรา เป็นไปได้อย่างไร ใครอุดหนุนการทำแบบนี้หนอ
3. การจัดการเรื่องการขนส่งที่ต้องการลดต้นทุนลงให้ได้
4. การจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน คือต้นทุนเงินทุนในการดำเนินกิจการที่ลดลง ตัวกลางคือธนาคาร ต้องกลายเป็น fin tech ให้ได้ ในการขยับเคลื่อนต่อไป
5. การจัดการด้านคน ซึ่งต้องมีการ Upskill หรือ reskill ให้ชัดเจนว่า คนในรุ่นต่อไปมี ทักษะ (skill) อะไรที่จำเป็น
เช่น IT ต้องเขียนโปรแกรม ,การเงินก็ต้องเรียนรู้ ,ประวัติศาสตร์ก็ต้องรู้ เพื่อปัจจุบันย้อนรอยอดีต พวกนี้
6. การชำระ กฏหมายที่เรียกได้ว่า ทำอะไรซักอย่าง กระทรวงที่เกี่ยวข้อง 3-5 กระทรวง ไม่นับกรมหรือหน่วยงานต่างๆที่ต้องดำเนินการด้วย พวกนี้ต้องจัดการให้เป็นทีเดียวกันให้หมด ทีเดียวเอาให้จบ กฏหมายกระจัดกระจายซ้อนทับกันมากมาย จนไม่รู้ว่า อะไรคืออะไร ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก จากการแก้ไขของเดิม นั้นเอง
7. มาตรฐานบัญชีที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องเอาให้ชัดเจน ว่าของเดิมไปสู่ของใหม่นั้น คนที่เกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจหรือยัง ก่อนที่บังคับใช้ ส่วนใหญ่ บังคับก่อนแล้วค่อยอบรม ต้องอบรมกันก่อนแล้วค่อยใช้งาน มาตรฐานต้องเสร็จก่อน 12-18 เดือน แล้วค่อยใช้งาน เพื่อให้ทุกภาคส่วนรับรู้กันไป
8. อะไรที่รัฐทำแล้วขาดทุนให้เอกชนทำ อย่างเช่น US นั้น NASA ยังให้เอกชนทำ แล้วต้นทุนที่ถูกลงเป็น 10 เท่าเลยทีเดียว แถมไม่พอ ยังนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย
9. ส่งเสริมในประเทศ ไม่ใช่สักแต่ซื้อ แล้วไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยี เราต้องทำเองให้ได้ ซึ่งอันนี้น่าจะมีการขัดผลประโยชน์ แต่ทว่าเพื่อประเทศชาติในระยะยาวต้องทำ แบบนี้เท่านั้น (Copy and develop ก่อนเป็น R&D)
10. ส่งท้ายคือ คำถามว่า ลงทุนกับประชาธิปไตย เลือกตั้งแต่ละรอบเป็นพันล้านบาท แล้วตัวชี้วัด คืออะไร
กำหนดให้ชัดเจนว่า ออกกฏหมายปีละกี่ฉบับ ทำงบประมาณให้เกินดุลได้ภายในกี่ปี ประเทศไทยต้องมีอันดับในการแข่งขันที่เท่าไร การระดมทุนภาคเอกชนต้องได้เท่าไร ตั้งตัววัดกันล่วงหน้า แบบนี้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า รัฐชุดไหนดีกว่ากัน
เป้าเขียนวันนี้ วัดกันทุกปี ไปตามเป้าหมายกันเลย ไม่ได้ตั้งกัน ปีต่อปี แต่ว่าตั้งกัน 10 ปี 20 ปีวัดกันยาวๆ เพราะทุกอย่างต้องวัดผลได้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 527
ก้าวต่อไปในการจัดการแผลทางเศรษฐกิจ
ขอย้อนแล้วไป อดีตประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่เริ่ม Prompt Pray ของ ธนาคารแห่งประเทศ ให้ ประชาชนทั่วไป ใช้ Application บนมือถือสามารถโอนเงินแบบสะดวกสบาย โดย ผูกบัญชีธนาคารพาณิชย์ต่างๆกับเบอร์มือถือและหมายเลขบัตรประชาชน
จากจุดนั้นก็เริ่ม Series ขอการปรับปรุงการโอนเงินของประชาชนทั่วไป (ขอไม่ดราม่าละกัน)
ประชาชนทั่วไป รู้ว่า ไปสาขาของธนาคารช่วงปลายเดือน เรียกได้ว่าคิว การเบิกถอนเงิน /ฝากเงินคิวยาวมากๆ
แต่ทว่า เวลาผ่านไป 1-2 ปี คิวยาวๆหายไป สาขาของธนาคารปิดตัวลง สาเหตุมาจากการลงต้นทุน และใช้เทคโนโลยีมาแทน
ประชาชนรุ่นใหม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วโดยเฉพาะสังคมเมือง
แต่ทว่าสิ่งที่เกิดมา คือระบบธนาคารก็ล่ม จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องออกมาป่าวประกาศเรื่อง ธนาคารแห่งไหน ระบบล่มบ่อยแค่ไหน เรียกได้ว่าประจานระบบไอทีของธนาคาร เพราะปัจจุบัน ใช้ระบบไอทีกันหมดตั้งนานแล้ว
ในช่วงเวลานั้น กรมสรรพากร ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัว ในเรื่องของใบกำกับภาษี ออกระบบ E-invoice ออกมารองรับ การใช้งาน
โดยปีที่แล้วนั้น กรมสรรพากรก็กระตุ้นให้บริษัทมาใช้กันมาขึ้นจนต้องยอมลดภาษีให้เลยทีเดียว
มาปี 2563 ในปีนี้ ต่อยอดจากระบบ E-invoice คือ การจำนำใบแจ้งหนี้ หรือ กิจการ Factory ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะมาก ในการเริ่มเรื่องนี้ เพราะว่า ช่วงนี้ผลกระทบโควิค 19 มันทำให้กิจการขาดแคลนเงินสด กระแสเงินสดไม่ดี ทำให้กิจการซวนเซอย่างมาก ดังนั้นหากเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธุรกิจ Factory ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเลย (อันนี้เดาเอาว่า ตอนนี้ กลุ่มที่ซุ่มทำนั้นใช้ Block chain ในการพัฒนาเป็น Smart Contract อยู่ บน E-Invoice เดิม)
ปัญหาเดิมของ Factory ก็มีคือ กิจการชอบเวียนเทียนใบแจ้งหนี้ ไปจำนำหลายๆเจ้า หรือไม่หา Factory รับยากมาก ไม่แน่ใจว่า ใบแจ้งหนี้นี้สามารถเก็บหนี้ได้จริงหรือไม่ หรือไม่ ก็Factory ก็กล้าปล่อย เพราะไม่รู้จัก คนที่ไปเรียกเก็บเงินว่า เป็นใคร หรือไม่ก็ บริษัทเจ้าของใบแจ้งหนี้ โดยกดดอกเบี้ยคิดลด สามารถใช้งาน Factory ได้เพียงเจ้าเดียวเท่านั้นสำหรับลูกค้ารายนี้
ตัวอย่างเหล่านี้กำลังหมดไป หาก ธปท สามารถดำเนินการ ตัวนี้สำเร็จ
ตัวนี้เป็น กุญแจสำหรับในการหมุนเวียนเงินของกิจการขนาดเล็กเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นี้ ธปท กำลังหาวิธีการ (ประจาน) บริษัท ที่ชอบจ่ายเจ้าหนี้ช้า (ดึงหนี้ นั้นเอง ยิ่งดึงเจ้าหนี้ได้มากเท่าไร ก็เหมือนการหยิบเงินจาก Supplier มาหมุนโดยไม่เสียดอกเบี้ยทั้งเอง เป็นหนึ่งรายการในด้านหนี้สิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยปรากฏในการนี้ ดังนั้น หากยิ่งสามารถดึงการจ่ายให้นานเท่าไร กิจการก็มีเวลาในการหาเงิน หรือ ให้เงินทำงานได้นานเท่านั้น)
อันนี้ต้องรอดูว่าทำอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขง่าย เพราะ อันนี้เป็นการสมัครใจ ไม่สามารถบังคับได้ กิจการใหญ่ ก็มีพวกที่จ่ายช้า (ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงตัวเลขที่คำนวณอยู่แล้วคือ วงจรเงินสด คือ Cash flow cycle อยู่แล้วนั้นเอง) เรื่องนี้ต้องรอดูว่า จะเป็นเช่นไรต่อไปในอนาคต
แต่อย่างไร เสียสิ่งที่ให้เห็นจากการที่ส่งท้ายผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนเดิม มาสู่คนใหม่ คือ งานที่เรียกได้ว่า หินกว่า เดิม ในเรื่องการจัดการแผลเป็นที่เกิดจากโควิค 19 ว่ากิจการไหนได้ไปต่อ ซึ่งหัวใจมันคือ เงินสด การเก็บหนี้ การจ่ายหนี้ การแปลงหนี้เป็นทุน หรือ แปลงสินทรัพย์เป็นทุน นั้นเอง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ในช่วงเวลาถัดไปจากนี้
อนึ่ง สิ่งที่ต้องระวังเรื่องนี้ คือพวกที่ชอบทำให้เกิดดราม่า เหมือน กรณีของ Prompt pray ที่ดราม่ากันจัง จากวันนั้นถึงวันนี้ ลองมองกลับไปว่า ดราม่า นั้น เป็นเช่นไร ประชาชนต่างจังหวัดหรือคนส่วนใหญ่ก็ใช้เงินธนบัตรเงินเหรียญกันอยู่ (รมว คนก่อนหน้านี้นั่งไปถึง 30 วันก็ยังลงนามในธนบัตรที่ออกใช้ปีหน้า ) สิ่งที่ Prompt pray ทำ คือเป็นทางเลือกในการจ่ายเงินเท่านั้น
ทำให้ธุรกรรมง่ายขึ้นเท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องการหมุนเวียนเงินเร็วขึ้นไหม มีบทความที่ออกมาขัดแย้งในเรื่องนี้ว่า ไม่เพิ่มการหมุนเวียนเงินในระบบ พวก M1 ให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินมัน เปลี่ยนมือในบัญชีธนาคาร ซึ่งไม่เกิดเงินใหม่ แต่เปลี่ยนมือไปเท่านั้น การวัด ปริมาณเงิน ต้องวัดจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น จุดนี้ต้องรอเวลาว่า เป็นจริงด้านไหน ต้องรอเวลาต่อไป
สุดท้ายคือ รอมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า แผลเป็นที่เกิดจากโควิค 19 รอบนี้ ยาขนานไหนแก้ไขต่อไปหนอ
ปล เรื่องของรถทัวร์โดยรถไฟชนที่ฉะเชิงเทรานั้น ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่ถนนที่ตัดทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้น แต่มันมีคนตายทุกปีจากกรณีการข้ามทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้น ในเมื่อชีวิตนั้นวัดเป็นตัวเงินไม่ได้แล้วไซร้ ถึงเวลาที่ จัดการหาเครื่องกั้นหรือสะพานข้ามทางรถไฟให้ครบทุกแห่งแล้วหรือยัง
มันถึงเวลาเป็นวาระแห่งชาติหรือยัง เพราะ 1 ชีวิต นั้นไม่มีอะไรทดแทนได้
รฟท ก็มีข่าวเรื่องกำลังทำมาตรฐาน เรื่องอาณัติสัญญาณอยู่ โดย อจ จากมหาวิทยาลัย ในการจัดทำอยู่ มันถึงเวลาที่ใช้ของไทย และมาตรฐานของไทยแล้วหรือยัง สำหรับอาณัติสัญญาณของรถไฟ อันนี้ก็น่าถาม
ส่วนการดูแล คาดว่า รถไฟ ไม่มีเงินในการดูแล เพราะองค์กรขาดทุนอยู่ ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้องค์กรนี้มีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่ทุกชนชั้นเข้าถึงได้
ก็ฝากไว้ด้วยกัน หลายเรื่องที่ฝากไว้ คงเกิดอีกหลายคราวถึงแก้ไขได้ ไม่ใช่จบด้วย คนชั่วชีวิตเดียว เพราะมันค้างคากันมานานมาแล้ว
ขอย้อนแล้วไป อดีตประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่เริ่ม Prompt Pray ของ ธนาคารแห่งประเทศ ให้ ประชาชนทั่วไป ใช้ Application บนมือถือสามารถโอนเงินแบบสะดวกสบาย โดย ผูกบัญชีธนาคารพาณิชย์ต่างๆกับเบอร์มือถือและหมายเลขบัตรประชาชน
จากจุดนั้นก็เริ่ม Series ขอการปรับปรุงการโอนเงินของประชาชนทั่วไป (ขอไม่ดราม่าละกัน)
ประชาชนทั่วไป รู้ว่า ไปสาขาของธนาคารช่วงปลายเดือน เรียกได้ว่าคิว การเบิกถอนเงิน /ฝากเงินคิวยาวมากๆ
แต่ทว่า เวลาผ่านไป 1-2 ปี คิวยาวๆหายไป สาขาของธนาคารปิดตัวลง สาเหตุมาจากการลงต้นทุน และใช้เทคโนโลยีมาแทน
ประชาชนรุ่นใหม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วโดยเฉพาะสังคมเมือง
แต่ทว่าสิ่งที่เกิดมา คือระบบธนาคารก็ล่ม จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องออกมาป่าวประกาศเรื่อง ธนาคารแห่งไหน ระบบล่มบ่อยแค่ไหน เรียกได้ว่าประจานระบบไอทีของธนาคาร เพราะปัจจุบัน ใช้ระบบไอทีกันหมดตั้งนานแล้ว
ในช่วงเวลานั้น กรมสรรพากร ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัว ในเรื่องของใบกำกับภาษี ออกระบบ E-invoice ออกมารองรับ การใช้งาน
โดยปีที่แล้วนั้น กรมสรรพากรก็กระตุ้นให้บริษัทมาใช้กันมาขึ้นจนต้องยอมลดภาษีให้เลยทีเดียว
มาปี 2563 ในปีนี้ ต่อยอดจากระบบ E-invoice คือ การจำนำใบแจ้งหนี้ หรือ กิจการ Factory ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะมาก ในการเริ่มเรื่องนี้ เพราะว่า ช่วงนี้ผลกระทบโควิค 19 มันทำให้กิจการขาดแคลนเงินสด กระแสเงินสดไม่ดี ทำให้กิจการซวนเซอย่างมาก ดังนั้นหากเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธุรกิจ Factory ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเลย (อันนี้เดาเอาว่า ตอนนี้ กลุ่มที่ซุ่มทำนั้นใช้ Block chain ในการพัฒนาเป็น Smart Contract อยู่ บน E-Invoice เดิม)
ปัญหาเดิมของ Factory ก็มีคือ กิจการชอบเวียนเทียนใบแจ้งหนี้ ไปจำนำหลายๆเจ้า หรือไม่หา Factory รับยากมาก ไม่แน่ใจว่า ใบแจ้งหนี้นี้สามารถเก็บหนี้ได้จริงหรือไม่ หรือไม่ ก็Factory ก็กล้าปล่อย เพราะไม่รู้จัก คนที่ไปเรียกเก็บเงินว่า เป็นใคร หรือไม่ก็ บริษัทเจ้าของใบแจ้งหนี้ โดยกดดอกเบี้ยคิดลด สามารถใช้งาน Factory ได้เพียงเจ้าเดียวเท่านั้นสำหรับลูกค้ารายนี้
ตัวอย่างเหล่านี้กำลังหมดไป หาก ธปท สามารถดำเนินการ ตัวนี้สำเร็จ
ตัวนี้เป็น กุญแจสำหรับในการหมุนเวียนเงินของกิจการขนาดเล็กเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นี้ ธปท กำลังหาวิธีการ (ประจาน) บริษัท ที่ชอบจ่ายเจ้าหนี้ช้า (ดึงหนี้ นั้นเอง ยิ่งดึงเจ้าหนี้ได้มากเท่าไร ก็เหมือนการหยิบเงินจาก Supplier มาหมุนโดยไม่เสียดอกเบี้ยทั้งเอง เป็นหนึ่งรายการในด้านหนี้สิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยปรากฏในการนี้ ดังนั้น หากยิ่งสามารถดึงการจ่ายให้นานเท่าไร กิจการก็มีเวลาในการหาเงิน หรือ ให้เงินทำงานได้นานเท่านั้น)
อันนี้ต้องรอดูว่าทำอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขง่าย เพราะ อันนี้เป็นการสมัครใจ ไม่สามารถบังคับได้ กิจการใหญ่ ก็มีพวกที่จ่ายช้า (ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงตัวเลขที่คำนวณอยู่แล้วคือ วงจรเงินสด คือ Cash flow cycle อยู่แล้วนั้นเอง) เรื่องนี้ต้องรอดูว่า จะเป็นเช่นไรต่อไปในอนาคต
แต่อย่างไร เสียสิ่งที่ให้เห็นจากการที่ส่งท้ายผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนเดิม มาสู่คนใหม่ คือ งานที่เรียกได้ว่า หินกว่า เดิม ในเรื่องการจัดการแผลเป็นที่เกิดจากโควิค 19 ว่ากิจการไหนได้ไปต่อ ซึ่งหัวใจมันคือ เงินสด การเก็บหนี้ การจ่ายหนี้ การแปลงหนี้เป็นทุน หรือ แปลงสินทรัพย์เป็นทุน นั้นเอง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ในช่วงเวลาถัดไปจากนี้
อนึ่ง สิ่งที่ต้องระวังเรื่องนี้ คือพวกที่ชอบทำให้เกิดดราม่า เหมือน กรณีของ Prompt pray ที่ดราม่ากันจัง จากวันนั้นถึงวันนี้ ลองมองกลับไปว่า ดราม่า นั้น เป็นเช่นไร ประชาชนต่างจังหวัดหรือคนส่วนใหญ่ก็ใช้เงินธนบัตรเงินเหรียญกันอยู่ (รมว คนก่อนหน้านี้นั่งไปถึง 30 วันก็ยังลงนามในธนบัตรที่ออกใช้ปีหน้า ) สิ่งที่ Prompt pray ทำ คือเป็นทางเลือกในการจ่ายเงินเท่านั้น
ทำให้ธุรกรรมง่ายขึ้นเท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องการหมุนเวียนเงินเร็วขึ้นไหม มีบทความที่ออกมาขัดแย้งในเรื่องนี้ว่า ไม่เพิ่มการหมุนเวียนเงินในระบบ พวก M1 ให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินมัน เปลี่ยนมือในบัญชีธนาคาร ซึ่งไม่เกิดเงินใหม่ แต่เปลี่ยนมือไปเท่านั้น การวัด ปริมาณเงิน ต้องวัดจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น จุดนี้ต้องรอเวลาว่า เป็นจริงด้านไหน ต้องรอเวลาต่อไป
สุดท้ายคือ รอมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า แผลเป็นที่เกิดจากโควิค 19 รอบนี้ ยาขนานไหนแก้ไขต่อไปหนอ
ปล เรื่องของรถทัวร์โดยรถไฟชนที่ฉะเชิงเทรานั้น ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่ถนนที่ตัดทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้น แต่มันมีคนตายทุกปีจากกรณีการข้ามทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้น ในเมื่อชีวิตนั้นวัดเป็นตัวเงินไม่ได้แล้วไซร้ ถึงเวลาที่ จัดการหาเครื่องกั้นหรือสะพานข้ามทางรถไฟให้ครบทุกแห่งแล้วหรือยัง
มันถึงเวลาเป็นวาระแห่งชาติหรือยัง เพราะ 1 ชีวิต นั้นไม่มีอะไรทดแทนได้
รฟท ก็มีข่าวเรื่องกำลังทำมาตรฐาน เรื่องอาณัติสัญญาณอยู่ โดย อจ จากมหาวิทยาลัย ในการจัดทำอยู่ มันถึงเวลาที่ใช้ของไทย และมาตรฐานของไทยแล้วหรือยัง สำหรับอาณัติสัญญาณของรถไฟ อันนี้ก็น่าถาม
ส่วนการดูแล คาดว่า รถไฟ ไม่มีเงินในการดูแล เพราะองค์กรขาดทุนอยู่ ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้องค์กรนี้มีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่ทุกชนชั้นเข้าถึงได้
ก็ฝากไว้ด้วยกัน หลายเรื่องที่ฝากไว้ คงเกิดอีกหลายคราวถึงแก้ไขได้ ไม่ใช่จบด้วย คนชั่วชีวิตเดียว เพราะมันค้างคากันมานานมาแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 528
ระวังเรื่อง moral hazard
ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดไพ่มาแล้วว่า หมดมาตรการพักหนี้แล้วไม่ต่อ ให้ธนาคารพาณิชย์เป็นคนพิจารณาลูกหนี้เอง
อันนี้ทำให้คิดถึงปี 2540 ขึ้นมาทันทีว่า สาเหตุหนึ่งของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจนั้นมาจากการปล่อยกู้เครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับธนาคารพาณิชย์ เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดวิกฤติครั้งนั้นเกิดขึ้น
แล้วซ้ำเติมด้วยว่า ลูกหนี้รายไหนที่ได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือ ผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเราได้เห็นผู้บริหารของธนาคารติดคุกในเวลาต่อมาเนื่องจากการใช้อำนาจ ก็เห็นกันมาแล้ว
ซึ่งปัญหานี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอด แต่ทว่าในยุค 2563 กลับชี้กลับไปยังแนวทางเดิม
ที่ให้ธนาคารพาณิชย์มาดูแลลูกหนี้ของตัวเอง เป็นตัวกำหนดว่าได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ อันนี้ต้องดูว่าในอนาคตเป็นเช่นไร
จะออกมาในหน้าไหน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาบอกตัวเลขที่ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าสงสัยว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็น Ghost (ผี) ที่เคยเกิดในช่วงต้มยำกุ้งหรือไม่ ที่ปิดตาปล่อยกู้ที่ดินตาบอดทำไปได้ในเวลานั้น หรือจัดบริษัทแบบไม่มีอยู่จริง ก็เคยทำกันมาแล้ว ดังนั้นจุดนี้ต้องระวัง ถึงแม้นว่า จำนวนเงินน้อยคือหลัก หมื่นล้านจากยอดทั้งหมด สิบล้านๆก็ตาม
แต่ทว่า มันแสดงให้เห็นว่า มีปลายหางที่เข้าไปดูแลจัดการไม่ได้ อยู่จำนวนหนึ่ง
ก้าวต่อไปของธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องการกำกับ ต่อไปจากนี้คือ ลงไปดู ในการเลือกของธนาคารที่ให้ลูกหนี้คนไหนได้ไปต่อหรือไม่ได้ไป ว่าหลักเกณฑ์นั้น เป็นเช่นไร เป็นไม้บรรทัดเดียวกันหรือไม่ มีอิทธิพลมืดเข้ามาสอดแทรก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ
แต่ทว่าสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำนั้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่า จะได้รู้ว่า ธนาคารพาณิชย์ นั้นแข้งแกร่งจริงหรือไม่
ตัดภาพกลับมา ในงานประชุมของ BOT ปีนี้นั้น ลงใน Youtube ช้ากว่า Facebook มาเนื่องจาก BOT ไปใช้ช่องทาง Fackbook live ในการถ่ายทอด และเป็นช่องทางการสื่อสารของ BOT ด้วย ซึ่งก็ดีแล้วครับ แต่ทว่าครั้งหน้ารบกวนลง Youtube เร็วๆหน่อย เพราะหลายองค์กร เค้าห้ามใช้ Facebook ในเวลางานครับ
ส่วนเนื้อหานั้น ปีนี้ มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่รับรู้คือ ผลกระทบต่อ Shock ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ มีผล ต่อไป 3 ปี กว่าจะกลับมาทีเดิม และคำตอบที่มีคำถามว่า เมื่อเกิด Shock แล้วทำไมเงินบาทแข็ง โดยเฉพาะการเมืองเพราะว่า นักธุรกิจไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม เงินก็ไม่ไหลเข้า นั้นเอง สิ่งพวกนี้ต้องรอ ทีมนักวิจัยหลายๆแห่งมารวมกันหา inside ข้อมูลออกมาครับ ถือว่าเป็นงานที่น่าติดตามทุกปี และได้ความรู้ ที่ตอบคำถามคาใจทุกปี และที่สำคัญได้เห็น ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นพัฒนาเน้นไปในด้านข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big data และเครื่องมือในการจัดการข้อมูลที่เป็นแบบ Unstructure (ไม่มีโครงสร้างที่ตายตัวเช่น ข้อความเป็นต้น) จุดนี้แหละเป็นก้าวย่างการพัฒนา ให้เครื่องมือของธนาคารแห่งประเทศไทยใช้งานให้ได้ผลในอนาคตต่อไป
ส่วนสิ่งที่ทำมานั้น มีคำตอบทุกอย่าง ก็เพิ่งพางานวิจัยเป็นตัวขับเคลื่อนนั้นเอง
ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ สำหรับงานสัมมนาดีของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดไพ่มาแล้วว่า หมดมาตรการพักหนี้แล้วไม่ต่อ ให้ธนาคารพาณิชย์เป็นคนพิจารณาลูกหนี้เอง
อันนี้ทำให้คิดถึงปี 2540 ขึ้นมาทันทีว่า สาเหตุหนึ่งของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจนั้นมาจากการปล่อยกู้เครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับธนาคารพาณิชย์ เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดวิกฤติครั้งนั้นเกิดขึ้น
แล้วซ้ำเติมด้วยว่า ลูกหนี้รายไหนที่ได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือ ผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเราได้เห็นผู้บริหารของธนาคารติดคุกในเวลาต่อมาเนื่องจากการใช้อำนาจ ก็เห็นกันมาแล้ว
ซึ่งปัญหานี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอด แต่ทว่าในยุค 2563 กลับชี้กลับไปยังแนวทางเดิม
ที่ให้ธนาคารพาณิชย์มาดูแลลูกหนี้ของตัวเอง เป็นตัวกำหนดว่าได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ อันนี้ต้องดูว่าในอนาคตเป็นเช่นไร
จะออกมาในหน้าไหน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาบอกตัวเลขที่ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าสงสัยว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็น Ghost (ผี) ที่เคยเกิดในช่วงต้มยำกุ้งหรือไม่ ที่ปิดตาปล่อยกู้ที่ดินตาบอดทำไปได้ในเวลานั้น หรือจัดบริษัทแบบไม่มีอยู่จริง ก็เคยทำกันมาแล้ว ดังนั้นจุดนี้ต้องระวัง ถึงแม้นว่า จำนวนเงินน้อยคือหลัก หมื่นล้านจากยอดทั้งหมด สิบล้านๆก็ตาม
แต่ทว่า มันแสดงให้เห็นว่า มีปลายหางที่เข้าไปดูแลจัดการไม่ได้ อยู่จำนวนหนึ่ง
ก้าวต่อไปของธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องการกำกับ ต่อไปจากนี้คือ ลงไปดู ในการเลือกของธนาคารที่ให้ลูกหนี้คนไหนได้ไปต่อหรือไม่ได้ไป ว่าหลักเกณฑ์นั้น เป็นเช่นไร เป็นไม้บรรทัดเดียวกันหรือไม่ มีอิทธิพลมืดเข้ามาสอดแทรก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ
แต่ทว่าสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำนั้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่า จะได้รู้ว่า ธนาคารพาณิชย์ นั้นแข้งแกร่งจริงหรือไม่
ตัดภาพกลับมา ในงานประชุมของ BOT ปีนี้นั้น ลงใน Youtube ช้ากว่า Facebook มาเนื่องจาก BOT ไปใช้ช่องทาง Fackbook live ในการถ่ายทอด และเป็นช่องทางการสื่อสารของ BOT ด้วย ซึ่งก็ดีแล้วครับ แต่ทว่าครั้งหน้ารบกวนลง Youtube เร็วๆหน่อย เพราะหลายองค์กร เค้าห้ามใช้ Facebook ในเวลางานครับ
ส่วนเนื้อหานั้น ปีนี้ มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่รับรู้คือ ผลกระทบต่อ Shock ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ มีผล ต่อไป 3 ปี กว่าจะกลับมาทีเดิม และคำตอบที่มีคำถามว่า เมื่อเกิด Shock แล้วทำไมเงินบาทแข็ง โดยเฉพาะการเมืองเพราะว่า นักธุรกิจไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม เงินก็ไม่ไหลเข้า นั้นเอง สิ่งพวกนี้ต้องรอ ทีมนักวิจัยหลายๆแห่งมารวมกันหา inside ข้อมูลออกมาครับ ถือว่าเป็นงานที่น่าติดตามทุกปี และได้ความรู้ ที่ตอบคำถามคาใจทุกปี และที่สำคัญได้เห็น ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นพัฒนาเน้นไปในด้านข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big data และเครื่องมือในการจัดการข้อมูลที่เป็นแบบ Unstructure (ไม่มีโครงสร้างที่ตายตัวเช่น ข้อความเป็นต้น) จุดนี้แหละเป็นก้าวย่างการพัฒนา ให้เครื่องมือของธนาคารแห่งประเทศไทยใช้งานให้ได้ผลในอนาคตต่อไป
ส่วนสิ่งที่ทำมานั้น มีคำตอบทุกอย่าง ก็เพิ่งพางานวิจัยเป็นตัวขับเคลื่อนนั้นเอง
ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ สำหรับงานสัมมนาดีของธนาคารแห่งประเทศไทย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 529
เมื่อลอนดอนไม่ได้ใช่ศูนย์กลางทางการเงินของยุโรปอีกต่อไป
เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวอันหนึ่ง ที่เป็นผลพวงมาจาก อังกฤษออกจาก EU คือ เรื่องของศูนย์กลางทางการเงิน
ซึ่งในโลกของเรา ที่รุ่น Baby boomer หรือ Gen X,Y เรียนรู้มานั้น ศูนย์กลางทางการเงินนั้นมี สามแห่ง คือ ฮ่องกง ,ลอนดอน และ นิวยอร์ก
ในปี 2020 นี้ ฮ่องกง ได้โดนลดอันดับตัวเองจากศูนย์กลางทางการเงิน จากเหตุการณ์ประท้วง และ เหตุการณ์ต่างๆ
ส่วน อังกฤษก็ลดบทบาทตัวเองจากศูนย์กลางทางการเงินเพราะออกจาก EU
ทำให้ภูมิภาค ของ EU ต้องหาศูนย์กลางทางการเงินใหม่ ทดแทน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ค่อยพูดถึง คือ ลอนดอนนั้น เมื่อก่อน เป็นตลาดที่รัสเซียซึ่งตอนเป็นสหภาพโซเวียต ระดมเงินในรูปของดอลล่าร์สหรัฐ และ อีกตัวที่เราใช้กัน คืออัตราแลกเปลี่ยน LIBOR ซึ่งอนาคตก็ยกเลิก
LIBOR นี้คือหัวใจของการทำ สวอป (เป็นอนุพันธ์ที่ป้องกันเรื่องกระแสเงินสด โดยคนหนึ่งต้องการดอกเบี้ยคงที่ แต่ตัวเค้ากู้มาเป็น อัตราลอยตัว และ อีกคนกู้มาเป็นดอกเบี้ยลอยแต่ต้องการดอกเบี้ยคงตัว)
เมื่อไทยก็มีหลายอัตรา ตั้งแต่ THFIX BIBOR แต่ทว่า เมื่อไม่มี LIBOR แล้วจะเป็นเช่นไร
อันนี้ ธปท ได้เฉลยออกมาตอนปลายเดือน กันยายน 2020 และต้นเดือน ตุลาคม 2020 ว่า ตัวที่ได้ไปต่อ คือ THFIX แต่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไป และประเมินอีก 3 ปีว่าใช้งานต่อหรือไม่ อีกตัวที่เกิดใหม่ คือ เทพพระเจ้าสายฟ้า THOR มาแทน
งานนี้คือ เริ่มใช้งานควบคู่กันไป จนกว่า LIBOR ยกเลิกคือ 2022 ธปท ก็เริ่มให้ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ หากทำธุรกรรมใหม่ๆ ก็พยายามไปใช้ตัวใหม่ แทน เพราะ THFIX ตัวทดแทนนั้นเป็นการคำนวณให้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ
ลูกค้าจะรู้ว่าจ่ายดอกเบี้ยได้ ก็จนกว่าถึงกำหนดวันชำระดอกเบี้ย (ก่อนหน้า 2-3 วันเท่านั้น) นี้แหละที่ทำให้ ฝ่ายดำเนินการ(operation) ของธนาคารและลูกค้า มีปัญหาได้
อีกอย่าง หนึ่ง การคำนวณดอกเบี้ยเป็นการคำนวณย้อนหลัง ไปเรื่อยๆ เราไม่สามารถคำนวณเดินหน้าได้
เพราะ ตัวที่อ้างอิงมาจาก Repo (การกู้เงินข้ามคืน interbanking แบบมีหลักประกัน ของ US มาทดแทน)
เนี่ยแหละ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ข้อสังเกตคือ งานนี้คือต้นทุนการเงินจะลดลง เพราะใช่ overnight interbanking แบบมีหลักประกัน เป็น Baseline
แต่ทว่า เมื่อต้นทุนการเงินลดลง ก็ทำให้รายได้ลดลงไปด้วย
แต่ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็น่าจับตา เพราะ ม็อบทำให้ เรื่องนี้หายไปจากหน้าข่าว
เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวอันหนึ่ง ที่เป็นผลพวงมาจาก อังกฤษออกจาก EU คือ เรื่องของศูนย์กลางทางการเงิน
ซึ่งในโลกของเรา ที่รุ่น Baby boomer หรือ Gen X,Y เรียนรู้มานั้น ศูนย์กลางทางการเงินนั้นมี สามแห่ง คือ ฮ่องกง ,ลอนดอน และ นิวยอร์ก
ในปี 2020 นี้ ฮ่องกง ได้โดนลดอันดับตัวเองจากศูนย์กลางทางการเงิน จากเหตุการณ์ประท้วง และ เหตุการณ์ต่างๆ
ส่วน อังกฤษก็ลดบทบาทตัวเองจากศูนย์กลางทางการเงินเพราะออกจาก EU
ทำให้ภูมิภาค ของ EU ต้องหาศูนย์กลางทางการเงินใหม่ ทดแทน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ค่อยพูดถึง คือ ลอนดอนนั้น เมื่อก่อน เป็นตลาดที่รัสเซียซึ่งตอนเป็นสหภาพโซเวียต ระดมเงินในรูปของดอลล่าร์สหรัฐ และ อีกตัวที่เราใช้กัน คืออัตราแลกเปลี่ยน LIBOR ซึ่งอนาคตก็ยกเลิก
LIBOR นี้คือหัวใจของการทำ สวอป (เป็นอนุพันธ์ที่ป้องกันเรื่องกระแสเงินสด โดยคนหนึ่งต้องการดอกเบี้ยคงที่ แต่ตัวเค้ากู้มาเป็น อัตราลอยตัว และ อีกคนกู้มาเป็นดอกเบี้ยลอยแต่ต้องการดอกเบี้ยคงตัว)
เมื่อไทยก็มีหลายอัตรา ตั้งแต่ THFIX BIBOR แต่ทว่า เมื่อไม่มี LIBOR แล้วจะเป็นเช่นไร
อันนี้ ธปท ได้เฉลยออกมาตอนปลายเดือน กันยายน 2020 และต้นเดือน ตุลาคม 2020 ว่า ตัวที่ได้ไปต่อ คือ THFIX แต่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไป และประเมินอีก 3 ปีว่าใช้งานต่อหรือไม่ อีกตัวที่เกิดใหม่ คือ เทพพระเจ้าสายฟ้า THOR มาแทน
งานนี้คือ เริ่มใช้งานควบคู่กันไป จนกว่า LIBOR ยกเลิกคือ 2022 ธปท ก็เริ่มให้ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ หากทำธุรกรรมใหม่ๆ ก็พยายามไปใช้ตัวใหม่ แทน เพราะ THFIX ตัวทดแทนนั้นเป็นการคำนวณให้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ
ลูกค้าจะรู้ว่าจ่ายดอกเบี้ยได้ ก็จนกว่าถึงกำหนดวันชำระดอกเบี้ย (ก่อนหน้า 2-3 วันเท่านั้น) นี้แหละที่ทำให้ ฝ่ายดำเนินการ(operation) ของธนาคารและลูกค้า มีปัญหาได้
อีกอย่าง หนึ่ง การคำนวณดอกเบี้ยเป็นการคำนวณย้อนหลัง ไปเรื่อยๆ เราไม่สามารถคำนวณเดินหน้าได้
เพราะ ตัวที่อ้างอิงมาจาก Repo (การกู้เงินข้ามคืน interbanking แบบมีหลักประกัน ของ US มาทดแทน)
เนี่ยแหละ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ข้อสังเกตคือ งานนี้คือต้นทุนการเงินจะลดลง เพราะใช่ overnight interbanking แบบมีหลักประกัน เป็น Baseline
แต่ทว่า เมื่อต้นทุนการเงินลดลง ก็ทำให้รายได้ลดลงไปด้วย
แต่ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็น่าจับตา เพราะ ม็อบทำให้ เรื่องนี้หายไปจากหน้าข่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 530
เมื่อ ธนาคารกรุงไทย ไม่ใช่ รัฐวิสาหกิจ อีกต่อไป
ธนาคารกรุงไทย นั้นเป็นธนาคารที่เกิดมาแบบพิเศษ เรียกได้ว่า เกิดมาจากการควบรวมกิจการของธนาคาร
ถ้าหากย้อนกลับไป ในตอนช่วง2509 โดยการควบรวบกิจการของธนาคคารมณฑล (เป็นธนาคารของรัฐ)
และ อีกแห่งคือ ธนาคารเกษตร (ธนาคารหลังมีปัญหาทางการเงินจนรัฐต้องไปถือครองหุ้นใหญ่ในที่สุดและควบรวมกิจการกัน)
ต่อมายังควบรวมกิจธนาคารสยาม ในช่วงปี 2530 เมื่อวันและเวลาผ่านต่อมาอีก ก็ได้ควบรวมกิจการ ของธนาคารมหานคร ในช่วงปี 2541
ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นมือไม้ของรัฐบาลมาโดยตลอด เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด
ใครที่ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย นั้นมีเส้นทางที่ต้องผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ก่อน
แล้วหากเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ก็อาจจะย้ายไปที่อื่นต่อไป
ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น พนักงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีแรงงานสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจ ด้วย
และหนี้ของธนาคารกรุงไทยก็นับเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไทยอีกด้วย
เมื่อกฤษฏีกา ตีความว่า ธนาคารกรุงไทย ถือครองโดยกองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนมหัศจรรย์ ที่ทำให้ประเทศไทยบาดเจ็บในช่วงสงครามค่าเงินในช่วงปี 2538-2540) โดยกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมิใช่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ธนาคารกรุงไทย หมดสิ้นความเป็นรัฐวิสาหกิจไป
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น
1. หนี้ของธนาคารกรุงไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณของประเทศไทย (คุ้นๆไหมว่า ก่อนหน้านี้ หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้ของประเทศไทย หนี้ก้อนที่เกิดจากปัญหาต้มยำกุ้ง) ยอดหนี้สาธารณก็ลดลงไปหลายเลยทีเดียว มีการเขียนบทความจัดหนักจัดเต็มไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่รอบนี้ไม่เห็น เพราะมีอย่างอื่นบดบังทัศนียภาพ ในเรื่องนี้ไป (เบียดประเด็นนี้ไป)
2. ค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยออกมา สูงกว่าธนาคารแห่งอื่นๆ เพราะธนาคารเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้พนังานก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีสวัสดิการขั้นดีเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาลของพ่อแม่ตัวเองและลูก นั้นเอง ค่าเรียนค่าการศึกษาของบุตร ด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ หายไปทำให้กระทบต่อกำลังใจของพนักงาน
งานนี้สิ่งที่ติดตามมาคือ พนักงานที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวจะออกมาเรียกร้องสิทธิหรือไม่ อันนี้น่าคิด เพราะ มันเกิดจากความตีความ สิ่งที่เคยได้อยู่แต่กลับวันดีคืนดีไม่ได้ อันนี้จบที่ศาลแรงงาน หรือศาลปกครองหรือไม่ติดตามกันต่อไป
3. ผู้สนองนโยบายของรัฐ ที่เป็นแขนขา ต้องเปลี่ยนแปลงจาก ธนาคารกรุงไทย เป็น ธนาคารออมสิน (ธนาคารของเด็ก เงินของเด็ก) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ,Exim Bank,ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ พวกนี้เป็นหลัก ทดแทนธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่ น่าติดตาม
โดยเฉพาะสิ่งที่ รัฐ บอกว่าทุกคนที่รับมาตรการของรัฐ คือ กระเป๋าตุง ที่ทำโดยธนาคารกรุงไทย คือ เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน
หรือไม่ เพราะ ธนาคารกรุงไทยมิใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ต้องเกิดการแข่งขัน เรื่อง การใช้ Application ต้องเกิดการประมูลเกิดขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น การเดินบัญชีเรื่องรัฐสวัสดิการต้องเปลี่ยนธนาคารหรือไม่ ต้องเปิดการบริหารจัดการแบบใหม่หรือไม่
สิ่งที่น่าจับตาคือ การซื้อลอตเตอรี่ที่ออกโดยสำนักงานกองสลาก ที่ซื้อกันผ่านระบบของธนาคารกรุงไทย
ทุกอย่างนี้เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่เมื่อไม่ใช่แล้ว เกิดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น มันก็ต้องไม่ผูกขาด นั้นเอง
สิ่งนี้แหละ ที่เป็น key ว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องมีระบบมารองรับ หรือมีธนาคารอื่นมาดำเนินการแทน
4. การลดค่าจ่ายในเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานลง ต้องทำให้เหมือนกับธนาคารอื่นๆ ให้ได้ จุดนี้สำหรับ หากเปิด ค่าใชจ่ายของธนาคารกรุงไทยเทียบกับธนาคารอื่นๆ ค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงานของธนาคารกรุงไทยนั้นสูงกว่าแห่งอื่นๆ เป็นแบบนี้มานานแล้ว
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้กระทบเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานโดยตรงเลยทีเดียว
5. ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง อันนี้เมื่อก่อน ผูกพันกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครััฐ ต้องประกาศ เป็นไปตามกฏหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่ทว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แล้วขั้นตอนกระบวนการโปร่งใส รวดเร็วแบบเอกชนหรือไม่ มาการตรวจสอบทีดีหรือไม่ น่าคิด ต่อไป
7.เมื่อหลายปีที่แล้ว อดีตผู้บริหารระดับสูงของกรุงไทยเข้าตาราง เนื่องจาก ปล่อยกู้ให้แก่เอกชนรายหนึ่ง โดยชี้มูลและฟ้องศาลถึงขั้นติดคุกติดตะราง เพียงการตีความว่าธนาคารกรุงไทยเป็นของรัฐ จุดนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะธนาคารกรุงไทย มิใช่ของรัฐอีกแล้ว ทำผิดอะไร ก็เหมือนธนาคารพาณิชย์เอกชนอื่นๆ กระทำกันแล้ว บางคดีไม่มีอาญาพ่วงมาในฐานะเป็นพนังานของรัฐวิสาหกิจนั้นเอง
ทั้งหมด คือ สิ่งที่ตามมาจากการตีความ ของ กฤษฏีกา แต่ทว่า การตีความก็คือความตีความ
อาจจะจบทีศาลปกครองหรือศาลแรงงานก็เป็นไปได้ ต้องติดตามต่อไป เพราะ เรื่องมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น
ธนาคารกรุงไทย นั้นเป็นธนาคารที่เกิดมาแบบพิเศษ เรียกได้ว่า เกิดมาจากการควบรวมกิจการของธนาคาร
ถ้าหากย้อนกลับไป ในตอนช่วง2509 โดยการควบรวบกิจการของธนาคคารมณฑล (เป็นธนาคารของรัฐ)
และ อีกแห่งคือ ธนาคารเกษตร (ธนาคารหลังมีปัญหาทางการเงินจนรัฐต้องไปถือครองหุ้นใหญ่ในที่สุดและควบรวมกิจการกัน)
ต่อมายังควบรวมกิจธนาคารสยาม ในช่วงปี 2530 เมื่อวันและเวลาผ่านต่อมาอีก ก็ได้ควบรวมกิจการ ของธนาคารมหานคร ในช่วงปี 2541
ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นมือไม้ของรัฐบาลมาโดยตลอด เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด
ใครที่ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย นั้นมีเส้นทางที่ต้องผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ก่อน
แล้วหากเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ก็อาจจะย้ายไปที่อื่นต่อไป
ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น พนักงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีแรงงานสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจ ด้วย
และหนี้ของธนาคารกรุงไทยก็นับเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไทยอีกด้วย
เมื่อกฤษฏีกา ตีความว่า ธนาคารกรุงไทย ถือครองโดยกองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนมหัศจรรย์ ที่ทำให้ประเทศไทยบาดเจ็บในช่วงสงครามค่าเงินในช่วงปี 2538-2540) โดยกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมิใช่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ธนาคารกรุงไทย หมดสิ้นความเป็นรัฐวิสาหกิจไป
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น
1. หนี้ของธนาคารกรุงไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณของประเทศไทย (คุ้นๆไหมว่า ก่อนหน้านี้ หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้ของประเทศไทย หนี้ก้อนที่เกิดจากปัญหาต้มยำกุ้ง) ยอดหนี้สาธารณก็ลดลงไปหลายเลยทีเดียว มีการเขียนบทความจัดหนักจัดเต็มไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่รอบนี้ไม่เห็น เพราะมีอย่างอื่นบดบังทัศนียภาพ ในเรื่องนี้ไป (เบียดประเด็นนี้ไป)
2. ค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยออกมา สูงกว่าธนาคารแห่งอื่นๆ เพราะธนาคารเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้พนังานก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีสวัสดิการขั้นดีเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาลของพ่อแม่ตัวเองและลูก นั้นเอง ค่าเรียนค่าการศึกษาของบุตร ด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ หายไปทำให้กระทบต่อกำลังใจของพนักงาน
งานนี้สิ่งที่ติดตามมาคือ พนักงานที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวจะออกมาเรียกร้องสิทธิหรือไม่ อันนี้น่าคิด เพราะ มันเกิดจากความตีความ สิ่งที่เคยได้อยู่แต่กลับวันดีคืนดีไม่ได้ อันนี้จบที่ศาลแรงงาน หรือศาลปกครองหรือไม่ติดตามกันต่อไป
3. ผู้สนองนโยบายของรัฐ ที่เป็นแขนขา ต้องเปลี่ยนแปลงจาก ธนาคารกรุงไทย เป็น ธนาคารออมสิน (ธนาคารของเด็ก เงินของเด็ก) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ,Exim Bank,ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ พวกนี้เป็นหลัก ทดแทนธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่ น่าติดตาม
โดยเฉพาะสิ่งที่ รัฐ บอกว่าทุกคนที่รับมาตรการของรัฐ คือ กระเป๋าตุง ที่ทำโดยธนาคารกรุงไทย คือ เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน
หรือไม่ เพราะ ธนาคารกรุงไทยมิใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ต้องเกิดการแข่งขัน เรื่อง การใช้ Application ต้องเกิดการประมูลเกิดขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น การเดินบัญชีเรื่องรัฐสวัสดิการต้องเปลี่ยนธนาคารหรือไม่ ต้องเปิดการบริหารจัดการแบบใหม่หรือไม่
สิ่งที่น่าจับตาคือ การซื้อลอตเตอรี่ที่ออกโดยสำนักงานกองสลาก ที่ซื้อกันผ่านระบบของธนาคารกรุงไทย
ทุกอย่างนี้เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่เมื่อไม่ใช่แล้ว เกิดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น มันก็ต้องไม่ผูกขาด นั้นเอง
สิ่งนี้แหละ ที่เป็น key ว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องมีระบบมารองรับ หรือมีธนาคารอื่นมาดำเนินการแทน
4. การลดค่าจ่ายในเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานลง ต้องทำให้เหมือนกับธนาคารอื่นๆ ให้ได้ จุดนี้สำหรับ หากเปิด ค่าใชจ่ายของธนาคารกรุงไทยเทียบกับธนาคารอื่นๆ ค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงานของธนาคารกรุงไทยนั้นสูงกว่าแห่งอื่นๆ เป็นแบบนี้มานานแล้ว
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้กระทบเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานโดยตรงเลยทีเดียว
5. ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง อันนี้เมื่อก่อน ผูกพันกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครััฐ ต้องประกาศ เป็นไปตามกฏหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่ทว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แล้วขั้นตอนกระบวนการโปร่งใส รวดเร็วแบบเอกชนหรือไม่ มาการตรวจสอบทีดีหรือไม่ น่าคิด ต่อไป
7.เมื่อหลายปีที่แล้ว อดีตผู้บริหารระดับสูงของกรุงไทยเข้าตาราง เนื่องจาก ปล่อยกู้ให้แก่เอกชนรายหนึ่ง โดยชี้มูลและฟ้องศาลถึงขั้นติดคุกติดตะราง เพียงการตีความว่าธนาคารกรุงไทยเป็นของรัฐ จุดนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะธนาคารกรุงไทย มิใช่ของรัฐอีกแล้ว ทำผิดอะไร ก็เหมือนธนาคารพาณิชย์เอกชนอื่นๆ กระทำกันแล้ว บางคดีไม่มีอาญาพ่วงมาในฐานะเป็นพนังานของรัฐวิสาหกิจนั้นเอง
ทั้งหมด คือ สิ่งที่ตามมาจากการตีความ ของ กฤษฏีกา แต่ทว่า การตีความก็คือความตีความ
อาจจะจบทีศาลปกครองหรือศาลแรงงานก็เป็นไปได้ ต้องติดตามต่อไป เพราะ เรื่องมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 531
ในส่วนของการใช้งานของรัฐนั้น ล่าสุดคือ กฤษฏีกาตีความว่า ธนาคารกรุงไทยไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้วmiracle เขียน: ↑เสาร์ พ.ย. 14, 2020 11:31 amเมื่อ ธนาคารกรุงไทย ไม่ใช่ รัฐวิสาหกิจ อีกต่อไป
ธนาคารกรุงไทย นั้นเป็นธนาคารที่เกิดมาแบบพิเศษ เรียกได้ว่า เกิดมาจากการควบรวมกิจการของธนาคาร
ถ้าหากย้อนกลับไป ในตอนช่วง2509 โดยการควบรวบกิจการของธนาคคารมณฑล (เป็นธนาคารของรัฐ)
และ อีกแห่งคือ ธนาคารเกษตร (ธนาคารหลังมีปัญหาทางการเงินจนรัฐต้องไปถือครองหุ้นใหญ่ในที่สุดและควบรวมกิจการกัน)
ต่อมายังควบรวมกิจธนาคารสยาม ในช่วงปี 2530 เมื่อวันและเวลาผ่านต่อมาอีก ก็ได้ควบรวมกิจการ ของธนาคารมหานคร ในช่วงปี 2541
ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นมือไม้ของรัฐบาลมาโดยตลอด เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด
ใครที่ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย นั้นมีเส้นทางที่ต้องผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ก่อน
แล้วหากเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ก็อาจจะย้ายไปที่อื่นต่อไป
ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น พนักงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีแรงงานสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจ ด้วย
และหนี้ของธนาคารกรุงไทยก็นับเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไทยอีกด้วย
เมื่อกฤษฏีกา ตีความว่า ธนาคารกรุงไทย ถือครองโดยกองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนมหัศจรรย์ ที่ทำให้ประเทศไทยบาดเจ็บในช่วงสงครามค่าเงินในช่วงปี 2538-2540) โดยกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมิใช่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ธนาคารกรุงไทย หมดสิ้นความเป็นรัฐวิสาหกิจไป
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น
1. หนี้ของธนาคารกรุงไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณของประเทศไทย (คุ้นๆไหมว่า ก่อนหน้านี้ หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้ของประเทศไทย หนี้ก้อนที่เกิดจากปัญหาต้มยำกุ้ง) ยอดหนี้สาธารณก็ลดลงไปหลายเลยทีเดียว มีการเขียนบทความจัดหนักจัดเต็มไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่รอบนี้ไม่เห็น เพราะมีอย่างอื่นบดบังทัศนียภาพ ในเรื่องนี้ไป (เบียดประเด็นนี้ไป)
2. ค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยออกมา สูงกว่าธนาคารแห่งอื่นๆ เพราะธนาคารเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้พนังานก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีสวัสดิการขั้นดีเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาลของพ่อแม่ตัวเองและลูก นั้นเอง ค่าเรียนค่าการศึกษาของบุตร ด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ หายไปทำให้กระทบต่อกำลังใจของพนักงาน
งานนี้สิ่งที่ติดตามมาคือ พนักงานที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวจะออกมาเรียกร้องสิทธิหรือไม่ อันนี้น่าคิด เพราะ มันเกิดจากความตีความ สิ่งที่เคยได้อยู่แต่กลับวันดีคืนดีไม่ได้ อันนี้จบที่ศาลแรงงาน หรือศาลปกครองหรือไม่ติดตามกันต่อไป
3. ผู้สนองนโยบายของรัฐ ที่เป็นแขนขา ต้องเปลี่ยนแปลงจาก ธนาคารกรุงไทย เป็น ธนาคารออมสิน (ธนาคารของเด็ก เงินของเด็ก) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ,Exim Bank,ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ พวกนี้เป็นหลัก ทดแทนธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่ น่าติดตาม
โดยเฉพาะสิ่งที่ รัฐ บอกว่าทุกคนที่รับมาตรการของรัฐ คือ กระเป๋าตุง ที่ทำโดยธนาคารกรุงไทย คือ เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน
หรือไม่ เพราะ ธนาคารกรุงไทยมิใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ต้องเกิดการแข่งขัน เรื่อง การใช้ Application ต้องเกิดการประมูลเกิดขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น การเดินบัญชีเรื่องรัฐสวัสดิการต้องเปลี่ยนธนาคารหรือไม่ ต้องเปิดการบริหารจัดการแบบใหม่หรือไม่
สิ่งที่น่าจับตาคือ การซื้อลอตเตอรี่ที่ออกโดยสำนักงานกองสลาก ที่ซื้อกันผ่านระบบของธนาคารกรุงไทย
ทุกอย่างนี้เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่เมื่อไม่ใช่แล้ว เกิดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น มันก็ต้องไม่ผูกขาด นั้นเอง
สิ่งนี้แหละ ที่เป็น key ว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องมีระบบมารองรับ หรือมีธนาคารอื่นมาดำเนินการแทน
4. การลดค่าจ่ายในเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานลง ต้องทำให้เหมือนกับธนาคารอื่นๆ ให้ได้ จุดนี้สำหรับ หากเปิด ค่าใชจ่ายของธนาคารกรุงไทยเทียบกับธนาคารอื่นๆ ค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงานของธนาคารกรุงไทยนั้นสูงกว่าแห่งอื่นๆ เป็นแบบนี้มานานแล้ว
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้กระทบเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานโดยตรงเลยทีเดียว
5. ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง อันนี้เมื่อก่อน ผูกพันกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครััฐ ต้องประกาศ เป็นไปตามกฏหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่ทว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แล้วขั้นตอนกระบวนการโปร่งใส รวดเร็วแบบเอกชนหรือไม่ มาการตรวจสอบทีดีหรือไม่ น่าคิด ต่อไป
7.เมื่อหลายปีที่แล้ว อดีตผู้บริหารระดับสูงของกรุงไทยเข้าตาราง เนื่องจาก ปล่อยกู้ให้แก่เอกชนรายหนึ่ง โดยชี้มูลและฟ้องศาลถึงขั้นติดคุกติดตะราง เพียงการตีความว่าธนาคารกรุงไทยเป็นของรัฐ จุดนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะธนาคารกรุงไทย มิใช่ของรัฐอีกแล้ว ทำผิดอะไร ก็เหมือนธนาคารพาณิชย์เอกชนอื่นๆ กระทำกันแล้ว บางคดีไม่มีอาญาพ่วงมาในฐานะเป็นพนังานของรัฐวิสาหกิจนั้นเอง
ทั้งหมด คือ สิ่งที่ตามมาจากการตีความ ของ กฤษฏีกา แต่ทว่า การตีความก็คือความตีความ
อาจจะจบทีศาลปกครองหรือศาลแรงงานก็เป็นไปได้ ต้องติดตามต่อไป เพราะ เรื่องมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น
แต่รมว คลัง แก้ไข กฏระเบียบ ในการเบิกจ่ายเงิน โดยถือว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่
เพราะอยู่ภายในใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ถือ กองทุนฟื้นฟู และ กองทุนฟื้นฟูถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกรุงไทย
เรียกได้ว่า ใช้สัดส่วนการถือครองหุ้นแทน
งานนี้ ตกลงว่า ฐานะของธนาคารกรุงไทยคืออะไร กันแน่นอน
แล้วประเด็นเรื่อง หนี้สาธารณ นั้นนับหรือไม่ ติดตามตอนต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 532
เรื่องของค่าเงินบาทที่แข็ง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นได้ผ่อนผันที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศ
ทั้งส่วนบุคคลและของบริษัทเพิ่มเติมขึ้น เป็นมาตราการที่ช่วยเรื่องค่าเงินบาท แต่ในมุมมองภายใหญ่คือ
มันไปเกี่ยวข้องกับการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยบังเอิญ หรือเรียกง่ายๆคือ เตรียมการไว้ก่อน ล่วงหน้านั้นเอง
ทำไมเป็นเช่นนั้นได้แหละ ลองตามความคิดดูว่ามันคืออะไร
สิ่งแรกที่เราเป็นคือ เมื่อสังคมมีผู้สูงอายุมากขึ้นนั้นคือ วัยแรงงาน 1 คนดูแลผู้สูงอาย 2-4 คน (พ่อแม่ -พ่อแม่ของภรรยา) นั้นเอง
นั้นคืออะไร productive ของสังคมก็ลดลง ทำให้แรงงานทำงานน้อยลงเพื่อดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น
สิ่งที่สองคือ คือเมื่อมีแรงงานน้อยลง ค่าแรงทีจ้างก็ต้องสูงขึ้น แล้วงานที่ทำต้องมีคุณค่ามากกว่าเดิมเพื่อคุ้มค่า ดังนั้นก็ต้องมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน นั้นเอง เพื่อชดเชยแรงงานที่ขาดหายไป
สิ่งที่สามคือ ประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุก่อนเราคือ ญี่ปุ่น แล้วมันเป็นเช่นไน ค่าเงินของญี่ปุ่นมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ อยู่ระดับ 100 เยน บวกลบ 20 เยนต่อ 1 ดอลล่าร์มาโดยตลอด หลังจาก Plaza accord แล้ว (นั้นคือหลังจากยุคที่ญี่ปุ่น รุ่งเรื่องที่สุดเลยก็ว่าได้) จากประเทศที่ผลิตเป็นหลัก บริษัทก็ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศ เพราะค่าแรงสูง ไปผลิตที่ไหนละ ที่ไทย หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับ เกาหลีใต้ เมื่อผลิตแล้ว ก็ส่งเงินกลับ หรือส่งสินค้ากลับไปขาย ซึ่งสินค้าก็ต้องราคาถูกกว่า เดิม เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดดุลการค้ามากเกินไป เมื่อทำมาค้าขายก็ส่งกำไรคืนก็มีปัญหาเรื่องของภาษี ก็ใช้วิธีการเรื่องของค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร หรือ ค่าที่ปรึกษา หรือค่าใช้งานระบบนั้นเอง ส่งเงินกลับ
สิ่งที่สามคือ เมื่อค่าเงินบาทแข็งก็ไม่มีใครลงทุน แต่มันคือโอกาสที่เราไปลงทุนข้างนอกหรือเปล่า เพื่อแสวงหา อาณานิคมทางเศรษฐกิจต่อไป ในประเทศที่กำลังมีประชาชนอยู่ในวัยเรียน หรือกำลังทำงานช่วงต้นๆ เหมือนที่จีนไปลงทุนที่ทวีปแอฟริกา ในปัจจุบันนั้นเอง
สิ่งเหล่านี้แหละคือ สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นเอง
ส่วนเรื่องการส่งออกนั้น เราต้องพัฒนาจากสินค้าที่แข่งขันด้วยราคา แต่เราต้องส่งออกด้านบริการให้ได้ หรือระบบให้ได้ เพราะว่า คนของเราต้องดูแลผู้สูงอายุนั้นเอง มันเลยเกิดแรงกดดัน เรื่อง digital transfer เกิดขึ้น ซึ่งมันคือ การใช้คนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ อนาคตคนทำงานน้อยลงนั้นเอง
ส่งท้าย เมื่อวานนี้ดูข้างเรื่องสหกรณ์รถไฟ ที่มีปัญหา เล่นกู้กันคนละ 1.5 ล้านบาทต่อครั้ง แล้วทำเอกสารปลอมแปลง จากนั้นเอาเงินสดๆ มาเก็บไว้ที่พัก เพราะฝากเข้าธนาคารไม่ได้ ทำให้นึกถึงเคสหนึ่งของสถาบันทางการเงินที่วางระบบ ใหม่ แล้วพนักงานรู้ว่ามีช่องโหว่ง จากระบบ ก็เอาเงินพักออกมา แล้วฟอกด้วยการไปซื้อหวยบนดิน เมื่อซื้อเสร็จ (เหมายกแผง) เมื่อถูกก็ไปซื้อบ้านซื้อรถ ทุกคนบอกว่าโชคดีจากหวย อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะ ลอตเตอรี่อาจจะเป็นแหล่งฟอกเงินก็เป็นไปได้ ในอนาคต
เพราะไม่รู้ว่า เงินที่ซื้อมาจากไหน ดังนั้น ต้องระวังไว้ด้วย สำหรับหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นได้ผ่อนผันที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศ
ทั้งส่วนบุคคลและของบริษัทเพิ่มเติมขึ้น เป็นมาตราการที่ช่วยเรื่องค่าเงินบาท แต่ในมุมมองภายใหญ่คือ
มันไปเกี่ยวข้องกับการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยบังเอิญ หรือเรียกง่ายๆคือ เตรียมการไว้ก่อน ล่วงหน้านั้นเอง
ทำไมเป็นเช่นนั้นได้แหละ ลองตามความคิดดูว่ามันคืออะไร
สิ่งแรกที่เราเป็นคือ เมื่อสังคมมีผู้สูงอายุมากขึ้นนั้นคือ วัยแรงงาน 1 คนดูแลผู้สูงอาย 2-4 คน (พ่อแม่ -พ่อแม่ของภรรยา) นั้นเอง
นั้นคืออะไร productive ของสังคมก็ลดลง ทำให้แรงงานทำงานน้อยลงเพื่อดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น
สิ่งที่สองคือ คือเมื่อมีแรงงานน้อยลง ค่าแรงทีจ้างก็ต้องสูงขึ้น แล้วงานที่ทำต้องมีคุณค่ามากกว่าเดิมเพื่อคุ้มค่า ดังนั้นก็ต้องมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน นั้นเอง เพื่อชดเชยแรงงานที่ขาดหายไป
สิ่งที่สามคือ ประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุก่อนเราคือ ญี่ปุ่น แล้วมันเป็นเช่นไน ค่าเงินของญี่ปุ่นมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ อยู่ระดับ 100 เยน บวกลบ 20 เยนต่อ 1 ดอลล่าร์มาโดยตลอด หลังจาก Plaza accord แล้ว (นั้นคือหลังจากยุคที่ญี่ปุ่น รุ่งเรื่องที่สุดเลยก็ว่าได้) จากประเทศที่ผลิตเป็นหลัก บริษัทก็ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศ เพราะค่าแรงสูง ไปผลิตที่ไหนละ ที่ไทย หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับ เกาหลีใต้ เมื่อผลิตแล้ว ก็ส่งเงินกลับ หรือส่งสินค้ากลับไปขาย ซึ่งสินค้าก็ต้องราคาถูกกว่า เดิม เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดดุลการค้ามากเกินไป เมื่อทำมาค้าขายก็ส่งกำไรคืนก็มีปัญหาเรื่องของภาษี ก็ใช้วิธีการเรื่องของค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร หรือ ค่าที่ปรึกษา หรือค่าใช้งานระบบนั้นเอง ส่งเงินกลับ
สิ่งที่สามคือ เมื่อค่าเงินบาทแข็งก็ไม่มีใครลงทุน แต่มันคือโอกาสที่เราไปลงทุนข้างนอกหรือเปล่า เพื่อแสวงหา อาณานิคมทางเศรษฐกิจต่อไป ในประเทศที่กำลังมีประชาชนอยู่ในวัยเรียน หรือกำลังทำงานช่วงต้นๆ เหมือนที่จีนไปลงทุนที่ทวีปแอฟริกา ในปัจจุบันนั้นเอง
สิ่งเหล่านี้แหละคือ สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นเอง
ส่วนเรื่องการส่งออกนั้น เราต้องพัฒนาจากสินค้าที่แข่งขันด้วยราคา แต่เราต้องส่งออกด้านบริการให้ได้ หรือระบบให้ได้ เพราะว่า คนของเราต้องดูแลผู้สูงอายุนั้นเอง มันเลยเกิดแรงกดดัน เรื่อง digital transfer เกิดขึ้น ซึ่งมันคือ การใช้คนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ อนาคตคนทำงานน้อยลงนั้นเอง
ส่งท้าย เมื่อวานนี้ดูข้างเรื่องสหกรณ์รถไฟ ที่มีปัญหา เล่นกู้กันคนละ 1.5 ล้านบาทต่อครั้ง แล้วทำเอกสารปลอมแปลง จากนั้นเอาเงินสดๆ มาเก็บไว้ที่พัก เพราะฝากเข้าธนาคารไม่ได้ ทำให้นึกถึงเคสหนึ่งของสถาบันทางการเงินที่วางระบบ ใหม่ แล้วพนักงานรู้ว่ามีช่องโหว่ง จากระบบ ก็เอาเงินพักออกมา แล้วฟอกด้วยการไปซื้อหวยบนดิน เมื่อซื้อเสร็จ (เหมายกแผง) เมื่อถูกก็ไปซื้อบ้านซื้อรถ ทุกคนบอกว่าโชคดีจากหวย อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะ ลอตเตอรี่อาจจะเป็นแหล่งฟอกเงินก็เป็นไปได้ ในอนาคต
เพราะไม่รู้ว่า เงินที่ซื้อมาจากไหน ดังนั้น ต้องระวังไว้ด้วย สำหรับหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 533
สัปเพเหระ
นับถอยหลัง Brexit อันนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ใช้งานวันที่ 1 มกราคม 2564 ไม่เลื่อนอีกแล้ว
งานนี้คือ จากเดิม EU ต้องหาศูนย์การทางเงินแห่งใหม่แทน ลอนดอน แต่แล้วก็ไม่ทันก็ต้องใช้ลอนดอนเป็นศูนย์กลางไปก่อน
ไม่เพียงแค่นั้น เรื่องของ Export - import ก็ต้องเจรจากับประเทศการค้าขนาดใหญ่ ซึ่ง อังกฤษ เจรจากับ ญี่ปุ่นไปแล้ว
ตอนนี้ก็ต้องไล่เจรจาให้จบก่อนเส้นตาย ไม่งั้นปั่นป่วนอีกระลอกแน่นอน
ไม่เพียงแค่ Brexit ตอนนี้โลกทั้งใบก็ปั้มเงินออกมาเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เลยทำให้ หลังจากโควิค 19 ถล่มให้ระทวยใจแล้ว
ตอนนี้รัฐบาลกลางก็ต้องวัดสภาพทางการเงินว่า ล้มละลายหรือไม่ ณ ตอนนี้ ประเทศที่ล้มละลายมีจำนวน 8 รายไปแล้ว หลังจากเกิด โควิค 19 ขึ้น อันก็ต้องจับตามองต่อไป
ปี 2563 กลายเป็นปีที่ดีในการลงทุน เพราะ มีหุ้น 10 เด้ง แต่เราไม่มี เรามีแค่ หลายเด้งเท่านั้น ตัวหนึ่งเกือบที่ว่าแล้ว แต่ทว่า จริงๆแล้วระบบคำนวณผิด เนื่องจากแตกพาร์แล้ว ราคาไม่ปรับลดลง ขายก็ไม่ได้ด้วย สบายไป
อีกตัว Dividend payout ก็ 10% กว่าๆ กับราคาที่ซื้อมา แต่ราคานี้ไปไกลแล้ว PE 30 กว่าเท่าแล้ว จากเดิม ที่นิ่งอยู่ 10 เท่ากว่าๆมานาน แล้วระเบิดที่ก็วิ่งหน้าตั้งเลย
ส่วนทองคำที่ลงทุนก็ถือว่าอดทนมากๆ ก็สบายใจ ไปเรื่อยๆ เพราะทองไม่มีปันผล แต่ที่ลงทุนมีปันผลรับให้สบายไป
เรียกได้ว่า กลับตาลปัตรสำหรับปี 2563 ที่โหดร้ายมาก
การงานก็เรียกได้ว่า งานเพียบ แน่นมากๆ เหนื่อยมากๆ อันนี้แก้ไขที่ใจอย่างเดียว ต้องบอกว่า "...ใจ สู้หรือเปล่า ไหว ไหมบอกมา โอกาส ของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีท้อ ..." ศรัทธา ของหิน เหล็ก ไฟ เท่านั้นในเรื่องนี้
นับถอยหลัง Brexit อันนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ใช้งานวันที่ 1 มกราคม 2564 ไม่เลื่อนอีกแล้ว
งานนี้คือ จากเดิม EU ต้องหาศูนย์การทางเงินแห่งใหม่แทน ลอนดอน แต่แล้วก็ไม่ทันก็ต้องใช้ลอนดอนเป็นศูนย์กลางไปก่อน
ไม่เพียงแค่นั้น เรื่องของ Export - import ก็ต้องเจรจากับประเทศการค้าขนาดใหญ่ ซึ่ง อังกฤษ เจรจากับ ญี่ปุ่นไปแล้ว
ตอนนี้ก็ต้องไล่เจรจาให้จบก่อนเส้นตาย ไม่งั้นปั่นป่วนอีกระลอกแน่นอน
ไม่เพียงแค่ Brexit ตอนนี้โลกทั้งใบก็ปั้มเงินออกมาเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เลยทำให้ หลังจากโควิค 19 ถล่มให้ระทวยใจแล้ว
ตอนนี้รัฐบาลกลางก็ต้องวัดสภาพทางการเงินว่า ล้มละลายหรือไม่ ณ ตอนนี้ ประเทศที่ล้มละลายมีจำนวน 8 รายไปแล้ว หลังจากเกิด โควิค 19 ขึ้น อันก็ต้องจับตามองต่อไป
ปี 2563 กลายเป็นปีที่ดีในการลงทุน เพราะ มีหุ้น 10 เด้ง แต่เราไม่มี เรามีแค่ หลายเด้งเท่านั้น ตัวหนึ่งเกือบที่ว่าแล้ว แต่ทว่า จริงๆแล้วระบบคำนวณผิด เนื่องจากแตกพาร์แล้ว ราคาไม่ปรับลดลง ขายก็ไม่ได้ด้วย สบายไป
อีกตัว Dividend payout ก็ 10% กว่าๆ กับราคาที่ซื้อมา แต่ราคานี้ไปไกลแล้ว PE 30 กว่าเท่าแล้ว จากเดิม ที่นิ่งอยู่ 10 เท่ากว่าๆมานาน แล้วระเบิดที่ก็วิ่งหน้าตั้งเลย
ส่วนทองคำที่ลงทุนก็ถือว่าอดทนมากๆ ก็สบายใจ ไปเรื่อยๆ เพราะทองไม่มีปันผล แต่ที่ลงทุนมีปันผลรับให้สบายไป
เรียกได้ว่า กลับตาลปัตรสำหรับปี 2563 ที่โหดร้ายมาก
การงานก็เรียกได้ว่า งานเพียบ แน่นมากๆ เหนื่อยมากๆ อันนี้แก้ไขที่ใจอย่างเดียว ต้องบอกว่า "...ใจ สู้หรือเปล่า ไหว ไหมบอกมา โอกาส ของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีท้อ ..." ศรัทธา ของหิน เหล็ก ไฟ เท่านั้นในเรื่องนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 534
เงิน เงิน เงิน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ เงิน ไม่มีที่ไป ทำไมบอกแบบนั้นแหละ เพราะว่า เงิน ต้องสร้างการหมุนเวียนให้แก่ระบบเศรษฐกิจ
แต่ทว่า เศรษฐกิจทรุด คนที่ช่วยเหลือคือ รัฐ แต่ทว่ารัฐก็มีหน้าที่ ซื้อวัคซีน มาฉีดให้แก่ประชาชน ในประเทศด้วย
ดังนั้น การขยายเงินของรัฐ ก็เพื่อ ช่วยเหลือประชาชน และ เพื่อป้องกันโรคไปในตัว
แต่ทว่า ณ ตอนนี้คือ มีการกักตุน จำนวนวัคซีน เพื่อประโยชน์ของประเทศร่ำรวย เรียกได้ว่า ไม่ใช่ พวกข้าก็ไม่ได้วัคซีน
จุดนี้แหละ ที่ทำให้ประเทศยากจนก็ต้องเลือกข้างไม่พอ แต่ต้องมีเงินด้วย เรียกได้ว่า ก็ต้องกู้เงินมาเพื่อซื้อวัคซีนหรือเปล่า
ไม่เพียงแค่เรื่องของ วัคซีนเท่านั้น ยังมีเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบจากโควิค บางประเทศนี้
รายได้ที่หดเท่าไร ให้เท่านั้น แต่ทว่ากิจการไม่ได้เปิดนิ ทำให้ นั้นคือ รัฐให้เงินโดยที่ไม่ต้องจ่าย ผลคือ bottom line โตกว่าปี 2019 อีกต่างหาก งานนี้ก็สนุกซิ
แต่ทว่าเป็นแบบนี้ได้แป๊บเดียว เมื่อประชาชนตรวจสอบก็ต้องลดสิ่งนี้ลง แต่ทว่าเงินออกจากกระเป๋าของรัฐเข้าสู่เอกชน
แต่ทว่าเอกชนก็ไม่ได้ลงทุน รัฐก็ต้องลงทุนต่อไป
ทำให้เงินก็ปั้มออกมาเรื่อยๆ นั้นเอง ทำให้กิจการที่ตอนนี้มีอนาคต ก็ยิ่งแพงไปอีก เช่น รถไฟฟ้า พวก Platform ก็ยิ่งได้เงิน
ส่วนสิ่งที่คนกลัวคือ Bubble ใน platform นั้น ห่างไกลกว่าปี 2001 คือ ช่วงนั้น บริษัท Dot com มาแบบขาดทุน แต่ทว่ารอบนี้เค้าปรับตัวแล้วคือ กำไร นอกจากบางบริษัทที่ขาดทุนแต่ทว่า รายได้เพิ่มทุกๆปี มี growth ก็ต้องเล่นแบบ Growth Story ไม่ใช่กำไรโต แทนไป
ช่วงนี้ เงินมันก็ต้องมีไปนั้นเอง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ เงิน ไม่มีที่ไป ทำไมบอกแบบนั้นแหละ เพราะว่า เงิน ต้องสร้างการหมุนเวียนให้แก่ระบบเศรษฐกิจ
แต่ทว่า เศรษฐกิจทรุด คนที่ช่วยเหลือคือ รัฐ แต่ทว่ารัฐก็มีหน้าที่ ซื้อวัคซีน มาฉีดให้แก่ประชาชน ในประเทศด้วย
ดังนั้น การขยายเงินของรัฐ ก็เพื่อ ช่วยเหลือประชาชน และ เพื่อป้องกันโรคไปในตัว
แต่ทว่า ณ ตอนนี้คือ มีการกักตุน จำนวนวัคซีน เพื่อประโยชน์ของประเทศร่ำรวย เรียกได้ว่า ไม่ใช่ พวกข้าก็ไม่ได้วัคซีน
จุดนี้แหละ ที่ทำให้ประเทศยากจนก็ต้องเลือกข้างไม่พอ แต่ต้องมีเงินด้วย เรียกได้ว่า ก็ต้องกู้เงินมาเพื่อซื้อวัคซีนหรือเปล่า
ไม่เพียงแค่เรื่องของ วัคซีนเท่านั้น ยังมีเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบจากโควิค บางประเทศนี้
รายได้ที่หดเท่าไร ให้เท่านั้น แต่ทว่ากิจการไม่ได้เปิดนิ ทำให้ นั้นคือ รัฐให้เงินโดยที่ไม่ต้องจ่าย ผลคือ bottom line โตกว่าปี 2019 อีกต่างหาก งานนี้ก็สนุกซิ
แต่ทว่าเป็นแบบนี้ได้แป๊บเดียว เมื่อประชาชนตรวจสอบก็ต้องลดสิ่งนี้ลง แต่ทว่าเงินออกจากกระเป๋าของรัฐเข้าสู่เอกชน
แต่ทว่าเอกชนก็ไม่ได้ลงทุน รัฐก็ต้องลงทุนต่อไป
ทำให้เงินก็ปั้มออกมาเรื่อยๆ นั้นเอง ทำให้กิจการที่ตอนนี้มีอนาคต ก็ยิ่งแพงไปอีก เช่น รถไฟฟ้า พวก Platform ก็ยิ่งได้เงิน
ส่วนสิ่งที่คนกลัวคือ Bubble ใน platform นั้น ห่างไกลกว่าปี 2001 คือ ช่วงนั้น บริษัท Dot com มาแบบขาดทุน แต่ทว่ารอบนี้เค้าปรับตัวแล้วคือ กำไร นอกจากบางบริษัทที่ขาดทุนแต่ทว่า รายได้เพิ่มทุกๆปี มี growth ก็ต้องเล่นแบบ Growth Story ไม่ใช่กำไรโต แทนไป
ช่วงนี้ เงินมันก็ต้องมีไปนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 535
Lock down
ในรอบสัปดาห์นี้ ข่าวใหญ่ ในแวดวงเรื่องโควิค 19 หนีไม่พ้นเรื่อง Lock down
ไล่ตั้งแต่ประเทศในยุโรป คือ เยอรมัน และ อังกฤษ กลับมาที่บ้านเรา ก็เริ่มมีการ Lock down
ตอนนี้จังหวัดแรกคือ สมุทรสาคร สองสามวันยอดมาทีเดียวมากกว่า 500 ราย
ต่อมาคือ Lock down อำเภอ แม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
แค่นี้ยังไม่จบแน่นอน เพราะเพิ่งเริ่ม เท่านั้น แต่ที่แปลกใจ คือ เชียงรายไม่ Lock down
ซึ่งเป็นแหล่งที่ คนไทย หรือคนพม่า ที่เดินทางจากท่าขี้เหล็กเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ
งานนี้คือ ไม่ต้องหาว่า ผู้ติดเชื้อคนแรกคือใคร แต่ตอนนี้กลาย เป็นเราสามารถ ปูพรมในการ
ตรวจหาผู้ติดเชื้อได้ดีแค่ไหน คือ รถตรวจเคลื่อนที่ และห้องแล็บสามารถตรวจสอบได้ดีแค่ไหน นั้นเอง
ประเด็นนี้สำคัญคือ ยิ่งตรวจสอบเชื้อเร็วแค่ไหน มาตรการก็มาเร็ว ด้วย
มาอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของหนังสือ no rules ,rules ที่เขียนโดยผู้ก่อตั้ง netflix อันนี้กลายเป็น หนังสือที่ขายดีในช่วงนี้
เรียกได้ว่าคัมภีร์บริหารจัดการเดิม เลยทีเดียว ต้องหามาอ่านให้ได้แหละ เพราะว่า แนวความคิดมันแตกต่างจากเดิม
ซึ่งโลกยุคใหม่ต้องอ่านอะไรใหม่ๆ แต่โครงเดิมใช้งานได้ เพราะสิ่งเดิม ทิ้งไม่ได้ จนกว่า คนรุ่นเดิมตายหมดไปแล้วเท่านั้น
เรื่องต่อมา เรื่อง ของการสะสมอาวุธ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของ US ในด้านกองทัพเรือ นั้น
มีสามเรื่องใหญ่ คือ
1. ขนาดที่ต้องลดลง ของกองทัพเรือในเรื่องของจำนวนเรือ
2. การเปลี่ยนแปลงชั้นของเรือ ทั้ง เรือบรรทุกเครื่องบิน ,เรือดำน้ำ และ เรือพิฆาต
3. เรืองของเครื่องบินประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือยกพลขึ้นบก ที่เป็นทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินไปในตัวด้วย
สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่จับตาดูว่า เปลี่ยนแปลงแล้วเป็นเช่นไร ต่อไป
ในรอบสัปดาห์นี้ ข่าวใหญ่ ในแวดวงเรื่องโควิค 19 หนีไม่พ้นเรื่อง Lock down
ไล่ตั้งแต่ประเทศในยุโรป คือ เยอรมัน และ อังกฤษ กลับมาที่บ้านเรา ก็เริ่มมีการ Lock down
ตอนนี้จังหวัดแรกคือ สมุทรสาคร สองสามวันยอดมาทีเดียวมากกว่า 500 ราย
ต่อมาคือ Lock down อำเภอ แม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
แค่นี้ยังไม่จบแน่นอน เพราะเพิ่งเริ่ม เท่านั้น แต่ที่แปลกใจ คือ เชียงรายไม่ Lock down
ซึ่งเป็นแหล่งที่ คนไทย หรือคนพม่า ที่เดินทางจากท่าขี้เหล็กเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ
งานนี้คือ ไม่ต้องหาว่า ผู้ติดเชื้อคนแรกคือใคร แต่ตอนนี้กลาย เป็นเราสามารถ ปูพรมในการ
ตรวจหาผู้ติดเชื้อได้ดีแค่ไหน คือ รถตรวจเคลื่อนที่ และห้องแล็บสามารถตรวจสอบได้ดีแค่ไหน นั้นเอง
ประเด็นนี้สำคัญคือ ยิ่งตรวจสอบเชื้อเร็วแค่ไหน มาตรการก็มาเร็ว ด้วย
มาอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของหนังสือ no rules ,rules ที่เขียนโดยผู้ก่อตั้ง netflix อันนี้กลายเป็น หนังสือที่ขายดีในช่วงนี้
เรียกได้ว่าคัมภีร์บริหารจัดการเดิม เลยทีเดียว ต้องหามาอ่านให้ได้แหละ เพราะว่า แนวความคิดมันแตกต่างจากเดิม
ซึ่งโลกยุคใหม่ต้องอ่านอะไรใหม่ๆ แต่โครงเดิมใช้งานได้ เพราะสิ่งเดิม ทิ้งไม่ได้ จนกว่า คนรุ่นเดิมตายหมดไปแล้วเท่านั้น
เรื่องต่อมา เรื่อง ของการสะสมอาวุธ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของ US ในด้านกองทัพเรือ นั้น
มีสามเรื่องใหญ่ คือ
1. ขนาดที่ต้องลดลง ของกองทัพเรือในเรื่องของจำนวนเรือ
2. การเปลี่ยนแปลงชั้นของเรือ ทั้ง เรือบรรทุกเครื่องบิน ,เรือดำน้ำ และ เรือพิฆาต
3. เรืองของเครื่องบินประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือยกพลขึ้นบก ที่เป็นทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินไปในตัวด้วย
สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่จับตาดูว่า เปลี่ยนแปลงแล้วเป็นเช่นไร ต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 536
ภาค1 ของปี 2020 ปีแห่งความผันผวน
ปี 2020 เป็นปีที่ลากความผันผวนมาจากปี 2019
สิ่งแรกที่เริ่มคือสงครามการค้า ที่คาดว่าจบลง สงบศึกชั่วคราว ในข่วงเดือนมกราคม 2020
แต่ไม่ทันเข้าช่วงตรุษจีน คำใหม่ ที่เราๆท่านๆกลัวมากคือ lockdown ก่อตัวตัวขึ้นที่ประเทศจีน lockdown อู่ฮั่น หยุดการเดินทางของคนจีนในข่วงตรุษจีน
เนึ่ยคือเริ่มต้นของระฆังช่วยจากเดิมในเมืองไทยหน้าหน่วแต่ร้อนมากในช่วงเวลาดังกล่าว
ต่อมาก็เริ่มสิ่งที่เรียกว่าประชาชนตื่นหน้ากากและเจล หาซื้อไม่ได้ ไหมคลี่คลายได้ตอนเดือน กันยา ถึง ตุลาคม 2020
ทุกสรรพกำลังมุ่งตรงที่แนวหน้าคือ สถาพยาบาล (โรงพยาบาล) จากนั้น ทุกอย่างหยุดชะงัก โดน Shutdown
ไล่ยาวถึงเดือนพฤษภาคม2020 เลยทีเดียว แล้วค่อยๆ ให้ประชาชนทำกิจกรรมได้อีกครั้ง
แต่ทว่า ปิดกั้นต่างประเทศ ก็ทำให้เศรษฐกิจภายในพัง เครืาองหนุดหยุดนิ่ง ตลาดหุ้น เอ๋ย ร้านทองก็ดี โดนมหกรรมแห่เทขาย
แต่ทว่า ทั้งตลท นั้นกว่าฟื้นตัวก็ปลายปี 2020 ในเดือนตุลาคม 2020 เป็นต้นมา ส่งทองคำหลังจากมหกรรมแห่เทขายก็วิ่งยาวทำ new high ใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดดาวโจร แนสแดก ก็ทำจอดภูเขาใหม่เรื่อยมา
ปีนี้เรียกได้ว่า ขึ้นสุดลงสุด เดี๋ยวมาขยายความตอนต่อไปละกัน
ปี 2020 เป็นปีที่ลากความผันผวนมาจากปี 2019
สิ่งแรกที่เริ่มคือสงครามการค้า ที่คาดว่าจบลง สงบศึกชั่วคราว ในข่วงเดือนมกราคม 2020
แต่ไม่ทันเข้าช่วงตรุษจีน คำใหม่ ที่เราๆท่านๆกลัวมากคือ lockdown ก่อตัวตัวขึ้นที่ประเทศจีน lockdown อู่ฮั่น หยุดการเดินทางของคนจีนในข่วงตรุษจีน
เนึ่ยคือเริ่มต้นของระฆังช่วยจากเดิมในเมืองไทยหน้าหน่วแต่ร้อนมากในช่วงเวลาดังกล่าว
ต่อมาก็เริ่มสิ่งที่เรียกว่าประชาชนตื่นหน้ากากและเจล หาซื้อไม่ได้ ไหมคลี่คลายได้ตอนเดือน กันยา ถึง ตุลาคม 2020
ทุกสรรพกำลังมุ่งตรงที่แนวหน้าคือ สถาพยาบาล (โรงพยาบาล) จากนั้น ทุกอย่างหยุดชะงัก โดน Shutdown
ไล่ยาวถึงเดือนพฤษภาคม2020 เลยทีเดียว แล้วค่อยๆ ให้ประชาชนทำกิจกรรมได้อีกครั้ง
แต่ทว่า ปิดกั้นต่างประเทศ ก็ทำให้เศรษฐกิจภายในพัง เครืาองหนุดหยุดนิ่ง ตลาดหุ้น เอ๋ย ร้านทองก็ดี โดนมหกรรมแห่เทขาย
แต่ทว่า ทั้งตลท นั้นกว่าฟื้นตัวก็ปลายปี 2020 ในเดือนตุลาคม 2020 เป็นต้นมา ส่งทองคำหลังจากมหกรรมแห่เทขายก็วิ่งยาวทำ new high ใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดดาวโจร แนสแดก ก็ทำจอดภูเขาใหม่เรื่อยมา
ปีนี้เรียกได้ว่า ขึ้นสุดลงสุด เดี๋ยวมาขยายความตอนต่อไปละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 537
ภาค 2 การลงทุนในช่วงโควิค 19
ภาคนี้ต้องแบ่งออกเป็น แค่ 2 ช่วงเพราะว่า ยังเราไม่ผ่านพ้นโควิค 19 นั้นเอง ระยะเวลา กินเวลาจนถึง 2022 เป็นอย่างน้อยกว่าจะผ่านพ้นไป ดังนั้น ถึงหากมีเวลาจะเขียนให้ ในปี 2022 ละกัน ในช่วงที่ 3
สองช่วงที่นั้นแบ่งเป็นช่วงก่อน และ ช่วงที่อยู่ในท่ามกลางโควิค 19
ช่วงก่อน โควิค 19 นั้น
เรียกได้ว่า ไม่มีการปรับ Port การลงทุนอะไรเลย คือ มีอะไรอยู่ก็ตามนั้น
แต่ทว่า เมื่อ โควิค 19 มาปุ๊บ การเตรียมตัวคือ ไล่เปิด เคสย้อนหลังคือ ตอนไข้หวัดนก และ ตอนซาร์เลย ว่า
กิจการไหนเป็นที่ต้องการ ไล่เปิดปุ๊บก็เจอ ว่า ถุงมือยาง (ตอนนั้นเป็นบริษัทนอกตลาดถือผ่าน บริษัทแม่ในตลาด )
ถุงยางอนามัย พวกเจลล้างมือ เป็นต้น เห็นๆเลยว่าขาดตลาด ซึ่งเป็นช่วงที่ขายดี Supply ขาด
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ คลื่นกระแทกมาอย่างแรงคือ ลงกันหมด ทั้งกระดาน ทำอะไรไม่ทัน (เหมือนปี 2008 แต่แตกต่างคือ คลื่นรอบนี้มาเร็วและแรง กว่า ตั้งหลักได้น้อยมากกว่า เพราะตอน 2008 มีกูรู ทั้งหลายออกมาพูดเพื่อเรียกความเชื่อมั่น แต่รอบนี้ ฟังแต่แพทย์เท่านั้น)
ต่อมาคือ Lock down ช่วงนี้แหละ ที่เริ่มปรับ port และช่วงโชคดี ด้วย คือ
ทองคำลดลง แต่ทว่า เราตีความได้ถูกต้องช่วงเวลานั้น เจอใครก็บอกลงทุนทองคำ ในช่วงนั้นเลย
ไม่สนใจอะไร บอกอย่างเดียวว่าลงทุนทองคำ เพราะอะไร ในเมื่อ ประชาชนกลัวว่าติดโควิค 19 และมันเป็นโรคระบาด
ช่วงเวลานั้น ก็ต้องไม่ให้ประชาชนเคลื่อนย้าย ไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ของประชาชน จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง นั้นเอง
ทองคำเป็นสิ่งที่คุ้มครองค่าเงิน ซึ่งช่วงเวลานี้คือ ช่วงเวลาที่คนแห่ไปขายทองคำ มันคือ ช่วงโอกาสทอง ที่หากได้ยาก ว่าคนแพนิค ขาย จนกระทั่งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องออกมา มีเงินพอที่ให้ร้านทองกู้ ถึงจะค่อยๆ หยุด
เนี่ยคือโอกาส เลยทีเดียว แต่ทว่าโอกาสนี้ เป็นโอกาสดีในรอบหลายปีของทองคำเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่ทองคำเท่านั้น อยู่ๆ หุ้นใน Port ที่ถือมาลดลง แต่ทว่า ตีคืนมาอย่างรวดเร็วเลยที่เดียว
port ที่เน่าก็กลับมาอยู่ในระดับลบที่น้อยลงกว่าปี 2019 port ที่ถือยาวก็ลบแบบ 30% แต่ทว่า เดือนพค 2020 เป็นเขียวแก่เลย แบบว่า แดงแค่ตัวเดียวจาก 4 ตัวซึ่งเป็นตัวที่ขายเอากำไรไปหมดแล้ว เหลือหุ้นไว้ดูเท่านั้น (เป็นพวกกิจการห้างสรรสินค้า ซึ่งใน US ช่วงนี้ขายล้มละลายของห้างก็เพียบเลย ก็เลยต้องตัดใจขาย)
อีกสามตัวที่เหลือ มีหุ้น เช่าซื้อรถยนต์ ,หุ้นที่ซื้อมาขายไปอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วกำลังเปลี่ยนแปลง Biz model และอีกตัวคือ เทคโนโลยีเป็นผู้นำ ยืนเด่นสง่ามากตัวนี้ ไม่ลดลงแถมเพิ่มขึ้นติด Top chart อีกต่างหาก เพราะถือมานานเป็น 10 ปี
แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ลด Port ไป จากเรื่องอื่นๆที่จำเป็น
เรียกได้ว่า ช่วงแรกของคลื่นไม่ค่อยได้ทำอะไร แต่ช่วงเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน 2020 Active มากช่วงหนึ่งของปีเลย
เห็นของถูกเทกระจาด ลงมากองกับพื้นเลย
เช่น ประกันชีวิต ที่อะไรฟ่ะ มูลค่า market cap น้อยกว่า port การลงทุนของบริษัท แบบนี้เงินลงทุนของเราคือ Port การลงทุนของบริษัทประกันชีวิตเลยทีเดียว ส่วนอื่นคือ ไม่ให้ค่า อย่างนี้ไม่เอาก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
หรือ พวกบริษัทประกันวินาศภัย ที่ทุกคนมองว่าต้องจ่ายจากการทำประกันมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทว่า เมื่อ Lock down คนเดินทางน้อยลง ขับรถน้อยลง อุบัติเหตุเกิดน้อยลง เครมอุบัติเหตุลดลง ก็ทำให้เกิดกำไรขึ้นมา นั้นเอง
(ส่วนใหญ่ Lose ratio ของประกัน มาจากอุบัติทางรถยนต์ เพราะสัดส่วนของตลาดนี้ใหญ่มาก)
หรือ พวกปล่อยกู้ อันนี้คิดว่ากระทบหนัก แต่ทว่า จริงๆแล้ว ใครที่ผ่านปี 2554 จะรู้ว่า มาตรการที่ออกมาคือ ตัวแก้ไขในปี 2554 ที่บังคับให้ตั้งสำรองไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน (Cookie jar) นั้นเอง แต่รอบนี้คือ ให้ไม่คิด แล้วค่อยว่ากันตอนสุดท้ายว่า เน่าหรือดี
เรียกได้ว่า พยุงกันเต็มที่เลย ในกลุ่มนี้
แต่น่าเสียดาย ธนาคารมากๆ เพราะ อะไร ตัวนี้แหละ คือ key ที่ทุกคนมองว่า หยุดชำระหนี้แล้ว ทำให้ธนาคารไม่ดี แต่ทว่าตัวที่ทำให้ธนาคารไม่ดี คือ outlook ปี 2021 ต่างหากคือ การคิดต้นคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบใหม่นั้นเอง น่าเสียดายมากๆ
แต่ทว่า จริงๆแล้ว มันคือโอกาสต่างหาก เพราะ หากคนที่จ่ายดอกเบี้ยน้อยลงไป มีกำลังมากขึ้นก็ทำให้เค้ามาเป็นลูกค้าของธนาคารได้มากขึ้นนั้นเอง พยุงลูกค้าก็เท่ากับพยุงธนาคาร ยิ่งธนาคารสะสม เงินกองทุนมากเท่าไร ก็ยิ่งป้องกันเรื่องความเสี่ยงแบบปี 2540 มากเท่านั้น (ทุกคนที่ผ่านประสบการณ์ปี 2540 หรือต้มยำกุ้งคือ รอยประทับว่าห้ามทำ เหมือนที่เยอรมันนีเกลียดเงินเฟ้อเข้าชีวิตจิตใจ เพราะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่สอง นั้น เงินไม่มีค่า หอบกระสอบไปซื้อสินค้าเลยทีเดียว เลยทำให้คนเยอรมันกลัวเงินเฟ้ออย่างมากนั้นเอง)
มาถึงวันนี้คือ อะไร เรายังนั่งท่ามกลางวิกฤติที่ยังไม่จบ มีอะไรที่ต้องดูอีกหรือเปล่า
1. วัคซีนมาเมื่อไร
2. ฉีดเท่าไร ถึง เป็น มีภูมิคุ้มกัน
3. โควิค 19 เป็นเหมือนไข้หวัดสเปนหรือไม่ ที่หายไป หรือ เป็นไข้หวัดที่มากับหน้าหนาวต่อไปในปีต่อๆไป
4. แผลเป็นในการใช้มาตรการทางการคลัง ของภาครัฐของแต่ละประเทศ
5. อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นเวลานาน ตามที่ คุณอลัน กรีนสแปน บอกไว้ในหนังสือ คือ ช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ มันอาจจะก่อให้เกิด คลื่นใหญ่ตามมาได้
ปล สิ่งที่ทิ้งทายคือ ก่อนหน้า เกิดโควิค 19 คืออุตสาหกรรมการบิน เฟื่องฟู อะไรที่เฟื่องฟูมากเกินไป มันจะเข้าสู่ สมดุลตามธรรมชาติ โดยทางใดก็ทางหนึ่ง
ภาคนี้ต้องแบ่งออกเป็น แค่ 2 ช่วงเพราะว่า ยังเราไม่ผ่านพ้นโควิค 19 นั้นเอง ระยะเวลา กินเวลาจนถึง 2022 เป็นอย่างน้อยกว่าจะผ่านพ้นไป ดังนั้น ถึงหากมีเวลาจะเขียนให้ ในปี 2022 ละกัน ในช่วงที่ 3
สองช่วงที่นั้นแบ่งเป็นช่วงก่อน และ ช่วงที่อยู่ในท่ามกลางโควิค 19
ช่วงก่อน โควิค 19 นั้น
เรียกได้ว่า ไม่มีการปรับ Port การลงทุนอะไรเลย คือ มีอะไรอยู่ก็ตามนั้น
แต่ทว่า เมื่อ โควิค 19 มาปุ๊บ การเตรียมตัวคือ ไล่เปิด เคสย้อนหลังคือ ตอนไข้หวัดนก และ ตอนซาร์เลย ว่า
กิจการไหนเป็นที่ต้องการ ไล่เปิดปุ๊บก็เจอ ว่า ถุงมือยาง (ตอนนั้นเป็นบริษัทนอกตลาดถือผ่าน บริษัทแม่ในตลาด )
ถุงยางอนามัย พวกเจลล้างมือ เป็นต้น เห็นๆเลยว่าขาดตลาด ซึ่งเป็นช่วงที่ขายดี Supply ขาด
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ คลื่นกระแทกมาอย่างแรงคือ ลงกันหมด ทั้งกระดาน ทำอะไรไม่ทัน (เหมือนปี 2008 แต่แตกต่างคือ คลื่นรอบนี้มาเร็วและแรง กว่า ตั้งหลักได้น้อยมากกว่า เพราะตอน 2008 มีกูรู ทั้งหลายออกมาพูดเพื่อเรียกความเชื่อมั่น แต่รอบนี้ ฟังแต่แพทย์เท่านั้น)
ต่อมาคือ Lock down ช่วงนี้แหละ ที่เริ่มปรับ port และช่วงโชคดี ด้วย คือ
ทองคำลดลง แต่ทว่า เราตีความได้ถูกต้องช่วงเวลานั้น เจอใครก็บอกลงทุนทองคำ ในช่วงนั้นเลย
ไม่สนใจอะไร บอกอย่างเดียวว่าลงทุนทองคำ เพราะอะไร ในเมื่อ ประชาชนกลัวว่าติดโควิค 19 และมันเป็นโรคระบาด
ช่วงเวลานั้น ก็ต้องไม่ให้ประชาชนเคลื่อนย้าย ไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ของประชาชน จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง นั้นเอง
ทองคำเป็นสิ่งที่คุ้มครองค่าเงิน ซึ่งช่วงเวลานี้คือ ช่วงเวลาที่คนแห่ไปขายทองคำ มันคือ ช่วงโอกาสทอง ที่หากได้ยาก ว่าคนแพนิค ขาย จนกระทั่งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องออกมา มีเงินพอที่ให้ร้านทองกู้ ถึงจะค่อยๆ หยุด
เนี่ยคือโอกาส เลยทีเดียว แต่ทว่าโอกาสนี้ เป็นโอกาสดีในรอบหลายปีของทองคำเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่ทองคำเท่านั้น อยู่ๆ หุ้นใน Port ที่ถือมาลดลง แต่ทว่า ตีคืนมาอย่างรวดเร็วเลยที่เดียว
port ที่เน่าก็กลับมาอยู่ในระดับลบที่น้อยลงกว่าปี 2019 port ที่ถือยาวก็ลบแบบ 30% แต่ทว่า เดือนพค 2020 เป็นเขียวแก่เลย แบบว่า แดงแค่ตัวเดียวจาก 4 ตัวซึ่งเป็นตัวที่ขายเอากำไรไปหมดแล้ว เหลือหุ้นไว้ดูเท่านั้น (เป็นพวกกิจการห้างสรรสินค้า ซึ่งใน US ช่วงนี้ขายล้มละลายของห้างก็เพียบเลย ก็เลยต้องตัดใจขาย)
อีกสามตัวที่เหลือ มีหุ้น เช่าซื้อรถยนต์ ,หุ้นที่ซื้อมาขายไปอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วกำลังเปลี่ยนแปลง Biz model และอีกตัวคือ เทคโนโลยีเป็นผู้นำ ยืนเด่นสง่ามากตัวนี้ ไม่ลดลงแถมเพิ่มขึ้นติด Top chart อีกต่างหาก เพราะถือมานานเป็น 10 ปี
แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ลด Port ไป จากเรื่องอื่นๆที่จำเป็น
เรียกได้ว่า ช่วงแรกของคลื่นไม่ค่อยได้ทำอะไร แต่ช่วงเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน 2020 Active มากช่วงหนึ่งของปีเลย
เห็นของถูกเทกระจาด ลงมากองกับพื้นเลย
เช่น ประกันชีวิต ที่อะไรฟ่ะ มูลค่า market cap น้อยกว่า port การลงทุนของบริษัท แบบนี้เงินลงทุนของเราคือ Port การลงทุนของบริษัทประกันชีวิตเลยทีเดียว ส่วนอื่นคือ ไม่ให้ค่า อย่างนี้ไม่เอาก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
หรือ พวกบริษัทประกันวินาศภัย ที่ทุกคนมองว่าต้องจ่ายจากการทำประกันมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทว่า เมื่อ Lock down คนเดินทางน้อยลง ขับรถน้อยลง อุบัติเหตุเกิดน้อยลง เครมอุบัติเหตุลดลง ก็ทำให้เกิดกำไรขึ้นมา นั้นเอง
(ส่วนใหญ่ Lose ratio ของประกัน มาจากอุบัติทางรถยนต์ เพราะสัดส่วนของตลาดนี้ใหญ่มาก)
หรือ พวกปล่อยกู้ อันนี้คิดว่ากระทบหนัก แต่ทว่า จริงๆแล้ว ใครที่ผ่านปี 2554 จะรู้ว่า มาตรการที่ออกมาคือ ตัวแก้ไขในปี 2554 ที่บังคับให้ตั้งสำรองไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน (Cookie jar) นั้นเอง แต่รอบนี้คือ ให้ไม่คิด แล้วค่อยว่ากันตอนสุดท้ายว่า เน่าหรือดี
เรียกได้ว่า พยุงกันเต็มที่เลย ในกลุ่มนี้
แต่น่าเสียดาย ธนาคารมากๆ เพราะ อะไร ตัวนี้แหละ คือ key ที่ทุกคนมองว่า หยุดชำระหนี้แล้ว ทำให้ธนาคารไม่ดี แต่ทว่าตัวที่ทำให้ธนาคารไม่ดี คือ outlook ปี 2021 ต่างหากคือ การคิดต้นคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบใหม่นั้นเอง น่าเสียดายมากๆ
แต่ทว่า จริงๆแล้ว มันคือโอกาสต่างหาก เพราะ หากคนที่จ่ายดอกเบี้ยน้อยลงไป มีกำลังมากขึ้นก็ทำให้เค้ามาเป็นลูกค้าของธนาคารได้มากขึ้นนั้นเอง พยุงลูกค้าก็เท่ากับพยุงธนาคาร ยิ่งธนาคารสะสม เงินกองทุนมากเท่าไร ก็ยิ่งป้องกันเรื่องความเสี่ยงแบบปี 2540 มากเท่านั้น (ทุกคนที่ผ่านประสบการณ์ปี 2540 หรือต้มยำกุ้งคือ รอยประทับว่าห้ามทำ เหมือนที่เยอรมันนีเกลียดเงินเฟ้อเข้าชีวิตจิตใจ เพราะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่สอง นั้น เงินไม่มีค่า หอบกระสอบไปซื้อสินค้าเลยทีเดียว เลยทำให้คนเยอรมันกลัวเงินเฟ้ออย่างมากนั้นเอง)
มาถึงวันนี้คือ อะไร เรายังนั่งท่ามกลางวิกฤติที่ยังไม่จบ มีอะไรที่ต้องดูอีกหรือเปล่า
1. วัคซีนมาเมื่อไร
2. ฉีดเท่าไร ถึง เป็น มีภูมิคุ้มกัน
3. โควิค 19 เป็นเหมือนไข้หวัดสเปนหรือไม่ ที่หายไป หรือ เป็นไข้หวัดที่มากับหน้าหนาวต่อไปในปีต่อๆไป
4. แผลเป็นในการใช้มาตรการทางการคลัง ของภาครัฐของแต่ละประเทศ
5. อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นเวลานาน ตามที่ คุณอลัน กรีนสแปน บอกไว้ในหนังสือ คือ ช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ มันอาจจะก่อให้เกิด คลื่นใหญ่ตามมาได้
ปล สิ่งที่ทิ้งทายคือ ก่อนหน้า เกิดโควิค 19 คืออุตสาหกรรมการบิน เฟื่องฟู อะไรที่เฟื่องฟูมากเกินไป มันจะเข้าสู่ สมดุลตามธรรมชาติ โดยทางใดก็ทางหนึ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 538
ภาคที่ 3 มองไปข้างหน้า ในปี 2021 (ยังอยู่ท่ามกลางโควิค 19)
ภาคนี้เป็นภาคที่ต่อเนื่องจาก ภาคที่ 2 แต่ทว่ามันเป็น Outlook ในปี 2021 แทน ว่าเป็นเช่นไร
สิ่งแรกที่บอก คือ ภาคเอกชน ปรับตัว เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม และที่พัก ในปี 2020 ยังไม่ได้ยินเรื่องโรงแรมล้มละลาย
ทำไมเป็นเช่นนี้ เพราะ โรงแรมเป็นกิจการที่ใช้ สินทรัพยืในการลงทุนสูง สร้างทีอยู่ได้เป็น 20-30 ปี หรือมากกว่า กว่าจะทุบแล้วสร้างใหม่ ทีหนึ่ง เรียกได้ว่า ลงทุนหนักแล้ว เก็บเกี่ยว ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียน ก็มีแค่เรื่องของคนเป็นหลัก ซึ่ง ในปี 2020 นั้นก็ลดคนกันเป็นแถวอยู่แล้ว ดังนั้น จำตาว่า มีการ ควบรวมกิจการโรงแรมไหม
สิ่งที่สอง ที่เห็นคือ การปั้มเงินออกมา ของภาครัฐ ที่พยายามเอาเงินไปซื้อวัคซีน โควิค 19
เรียกได้ว่า กักตุนวัคซีนในประเทศร่ำรวยนั้นเอง ก็เห็น แนวโน้มตั้งแต่ ปี 2020 ว่า มีการสั่งจอง วัคซีน โควคิ 19 จำนวนมากกว่าความสามารถที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนสามารถผลิตได้ เรียกได้ว่า จองข้ามไปถึง ปลายปี 2021 แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น อีกด้านคือ รัฐต้องพยุงเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่ให้ยุบตัว สามารถให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ในช่วงระยะเวลานี้
มีเงินใช้ มีงานทำ ท้องอิ่ม แต่ อาหารไม่อร่อยเท่านั้นเอง
สิ่งที่สามคือ สายการบิน ที่ต้องปรับตัวอย่างมาก คือ จากเดิมที่จำนวนสายการบินและเครื่องบิน มากมายมหาศาล เรียกได้ว่า สั่งจองเครื่องบิน ที่รอคิวไปนาน บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินก็กำไรดี ก่อนที่เกิดโควิค 19 ไม่มีข่าวเรื่องสายการบิน มีปัญหาเรื่องการเงิน หรือล้มละลาย นั้นเอง แต่ทว่า พอโควิค 19 มา เท่านั้นแหละ สายการบิน หรือกิจการที่เกียวข้องตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ก็มีผลกระทบอย่างหนัก จากขนคนต้องขนของแทน
ไม่เพียงแค่นั้น การปิดประเทศ ทำให้ ค่าส่งสินค้าทางอากาศ แพงเป็นทวีคูณ คือ อย่างน้อย 3-4 เท่าตัว คือไม่มีเส้นทางการบิน ที่สามารถส่งสินค้าได้ นั้นเอง แต่ในปี 2021 นั้นคือ ปีที่สายการบิน มีการควบรวมกิจการ กันมากขึ้น นั้นเอง
และมาตรการเดินทางทางอากาศต้องวางมาตรฐานใหม่ ซึ่งครั้งล่าสุดคือ 911 ที่เรียกได้ว่า ถอดรองเท้า ไม่ให้เอาเจล หรือ ของเหลวขึ้นเครื่องบิน ก็ตอนนี้แหละ จากนั้นมาก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย จนโควิค 19 นี้แหละ ที่มาตรการเพียบ ต่อไปนี้ สายการบิน ก็ต้องปรับตัวเข้ามาตรฐานใหม่อีก
สิ่งที่สี่ ที่พวกเราเจอ คือ การที่ทำงานที่บ้านได้ การลดขนาดของพื้นที่การทำงานของบริษัทต่างๆ ส่วน Co-working space นั้นลดความสำคัญลง เพราะ ทำงานที่บ้านก็ได้ นั้นเอง งานนี้ต้องแนวโน้มกันต่อไป
สิ่งที่ห้าความเชื่อสิ่งหนึ่งคือ ช่วงโควิค 19 นั้นจะทำให้อัตราเกิดเพิ่มขึ้น เพราะคนอยู่กับบ้าน แต่อาจจะกลายเป็นอีกด้านหนึ่งคือ คนมันเครียดมากกว่าเดิม เพราะ สิ่งที่สีที่บอกไว้คือ ต้องนำงานมาทำที่บ้าน ทำให้ บ้านที่เงียบสงบ กลายเป็นบ้านที่ต้องทำด้วย นั้นเอง นั้นคือ คนไม่มีที่พัก ทำงานตลอดเวลา อันนี้ทายต่อไป ผู้นำทางจิตใจ กำลังเข้ามาในสังคมไทย (เมื่อก่อนคือ พระสงฆ์ หรือ เข้าหาทางธรรมเพื่อใจสงบแต่งานนี้มากกว่านั้นแน่นอน)
สิ่งที่หก ที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ การบูมของตลาดหลักทรัพย์ ต่างๆ อันนี้ทายไว้เพราะว่า จากข้อข้างบนที่รัฐปั้มเงินนั้นเอง ซึ่ง แนวโน้มเห็นตั้งแต่ปี 2020 แล้ว และยังคงทำต่อไปในปี 2021 และ อาจจะต่อไปในปี 2022 ด้วย
แต่คำถามสำคัญคือ ดอกเบี้ยของไทย จะลงเหลือ 0.00% หรือไม่ อันนี้ต้องรอดูว่ามีทางไหน แต่ว่า ยากหน่อย ในระยะเวลาภายในปี 2022
สิ่งส่งท้ายคือ แนวทางการลงทุน มิใช่แบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างมาก คือ ต้องเร็ว และไวกว่าเดิม รอไม่ได้ เวลาลดลง มีเวลาแค่ นับ 1,2,3 ยังไม่ทันเลย
ส่วนลงไปกองกับพื้น ก็คนก็กลัวกัน ว่าจะลงลึกไหม อันนี้ mood and tone ไม่ได้ นั้นเอง ช่วงจังหวะที่ต้องช้อน ต้องใช้หลักการดันโด ยังคงใช้งานได้อยู่เสมอ แต่ทว่าคุณต้องมองทะลุ ว่ากิจการนั้นยังคงอยู่ไหม ถ้าหากสัญญาณบอกว่า กิจการนั้นเป็น Zombie คือ เติบโตก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ แต่ธนาคารยังคงปล่อยกู้ให้ จากกระแสเงินสดยังหมุนเวียน ไม่เป็นหนี้เสีย มันทำให้กิจการอื่น ไม่สามารถเติบโตได้ แบบนี้ก็น่าพิจารณาน่าครับ ว่าเอาไง กัน
สิ่งที่ต้องระวังในปี 2021 นั้นคือ ปลายปี 2021 ที่หมดเวลาการส่งเสริม การจ้างงานของประชาชน จะหมดลง ยอดคนตกงานจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งไหม ต้องรอดูต่อไป
ปล. เอ็นทราส ปี 2020 คณะที่ได้คะแนนสูงสุด และ เป็นผู้นำคือ คณะที่เกี่ยวกับทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้งหมด
ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเป็นแบบนั้น คำตอบคือโควิค 19 นั้นเอง
แต่กระแสนี้อีกนานไหม เพราะว่า หากคนเก่งไปเรียนแพทย์ทั้งหมดแล้ว ประเทศก็พัฒนาในด้านนั้นอย่างเดียว
ดังนั้นต้องมีพวกที่เป็นดาวเด่นแต่ไปสาขาอื่นๆ ด้วย จะได้กลมกล่อมนั้นเอง
ภาคนี้เป็นภาคที่ต่อเนื่องจาก ภาคที่ 2 แต่ทว่ามันเป็น Outlook ในปี 2021 แทน ว่าเป็นเช่นไร
สิ่งแรกที่บอก คือ ภาคเอกชน ปรับตัว เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม และที่พัก ในปี 2020 ยังไม่ได้ยินเรื่องโรงแรมล้มละลาย
ทำไมเป็นเช่นนี้ เพราะ โรงแรมเป็นกิจการที่ใช้ สินทรัพยืในการลงทุนสูง สร้างทีอยู่ได้เป็น 20-30 ปี หรือมากกว่า กว่าจะทุบแล้วสร้างใหม่ ทีหนึ่ง เรียกได้ว่า ลงทุนหนักแล้ว เก็บเกี่ยว ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียน ก็มีแค่เรื่องของคนเป็นหลัก ซึ่ง ในปี 2020 นั้นก็ลดคนกันเป็นแถวอยู่แล้ว ดังนั้น จำตาว่า มีการ ควบรวมกิจการโรงแรมไหม
สิ่งที่สอง ที่เห็นคือ การปั้มเงินออกมา ของภาครัฐ ที่พยายามเอาเงินไปซื้อวัคซีน โควิค 19
เรียกได้ว่า กักตุนวัคซีนในประเทศร่ำรวยนั้นเอง ก็เห็น แนวโน้มตั้งแต่ ปี 2020 ว่า มีการสั่งจอง วัคซีน โควคิ 19 จำนวนมากกว่าความสามารถที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนสามารถผลิตได้ เรียกได้ว่า จองข้ามไปถึง ปลายปี 2021 แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น อีกด้านคือ รัฐต้องพยุงเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่ให้ยุบตัว สามารถให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ในช่วงระยะเวลานี้
มีเงินใช้ มีงานทำ ท้องอิ่ม แต่ อาหารไม่อร่อยเท่านั้นเอง
สิ่งที่สามคือ สายการบิน ที่ต้องปรับตัวอย่างมาก คือ จากเดิมที่จำนวนสายการบินและเครื่องบิน มากมายมหาศาล เรียกได้ว่า สั่งจองเครื่องบิน ที่รอคิวไปนาน บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินก็กำไรดี ก่อนที่เกิดโควิค 19 ไม่มีข่าวเรื่องสายการบิน มีปัญหาเรื่องการเงิน หรือล้มละลาย นั้นเอง แต่ทว่า พอโควิค 19 มา เท่านั้นแหละ สายการบิน หรือกิจการที่เกียวข้องตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ก็มีผลกระทบอย่างหนัก จากขนคนต้องขนของแทน
ไม่เพียงแค่นั้น การปิดประเทศ ทำให้ ค่าส่งสินค้าทางอากาศ แพงเป็นทวีคูณ คือ อย่างน้อย 3-4 เท่าตัว คือไม่มีเส้นทางการบิน ที่สามารถส่งสินค้าได้ นั้นเอง แต่ในปี 2021 นั้นคือ ปีที่สายการบิน มีการควบรวมกิจการ กันมากขึ้น นั้นเอง
และมาตรการเดินทางทางอากาศต้องวางมาตรฐานใหม่ ซึ่งครั้งล่าสุดคือ 911 ที่เรียกได้ว่า ถอดรองเท้า ไม่ให้เอาเจล หรือ ของเหลวขึ้นเครื่องบิน ก็ตอนนี้แหละ จากนั้นมาก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย จนโควิค 19 นี้แหละ ที่มาตรการเพียบ ต่อไปนี้ สายการบิน ก็ต้องปรับตัวเข้ามาตรฐานใหม่อีก
สิ่งที่สี่ ที่พวกเราเจอ คือ การที่ทำงานที่บ้านได้ การลดขนาดของพื้นที่การทำงานของบริษัทต่างๆ ส่วน Co-working space นั้นลดความสำคัญลง เพราะ ทำงานที่บ้านก็ได้ นั้นเอง งานนี้ต้องแนวโน้มกันต่อไป
สิ่งที่ห้าความเชื่อสิ่งหนึ่งคือ ช่วงโควิค 19 นั้นจะทำให้อัตราเกิดเพิ่มขึ้น เพราะคนอยู่กับบ้าน แต่อาจจะกลายเป็นอีกด้านหนึ่งคือ คนมันเครียดมากกว่าเดิม เพราะ สิ่งที่สีที่บอกไว้คือ ต้องนำงานมาทำที่บ้าน ทำให้ บ้านที่เงียบสงบ กลายเป็นบ้านที่ต้องทำด้วย นั้นเอง นั้นคือ คนไม่มีที่พัก ทำงานตลอดเวลา อันนี้ทายต่อไป ผู้นำทางจิตใจ กำลังเข้ามาในสังคมไทย (เมื่อก่อนคือ พระสงฆ์ หรือ เข้าหาทางธรรมเพื่อใจสงบแต่งานนี้มากกว่านั้นแน่นอน)
สิ่งที่หก ที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ การบูมของตลาดหลักทรัพย์ ต่างๆ อันนี้ทายไว้เพราะว่า จากข้อข้างบนที่รัฐปั้มเงินนั้นเอง ซึ่ง แนวโน้มเห็นตั้งแต่ปี 2020 แล้ว และยังคงทำต่อไปในปี 2021 และ อาจจะต่อไปในปี 2022 ด้วย
แต่คำถามสำคัญคือ ดอกเบี้ยของไทย จะลงเหลือ 0.00% หรือไม่ อันนี้ต้องรอดูว่ามีทางไหน แต่ว่า ยากหน่อย ในระยะเวลาภายในปี 2022
สิ่งส่งท้ายคือ แนวทางการลงทุน มิใช่แบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างมาก คือ ต้องเร็ว และไวกว่าเดิม รอไม่ได้ เวลาลดลง มีเวลาแค่ นับ 1,2,3 ยังไม่ทันเลย
ส่วนลงไปกองกับพื้น ก็คนก็กลัวกัน ว่าจะลงลึกไหม อันนี้ mood and tone ไม่ได้ นั้นเอง ช่วงจังหวะที่ต้องช้อน ต้องใช้หลักการดันโด ยังคงใช้งานได้อยู่เสมอ แต่ทว่าคุณต้องมองทะลุ ว่ากิจการนั้นยังคงอยู่ไหม ถ้าหากสัญญาณบอกว่า กิจการนั้นเป็น Zombie คือ เติบโตก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ แต่ธนาคารยังคงปล่อยกู้ให้ จากกระแสเงินสดยังหมุนเวียน ไม่เป็นหนี้เสีย มันทำให้กิจการอื่น ไม่สามารถเติบโตได้ แบบนี้ก็น่าพิจารณาน่าครับ ว่าเอาไง กัน
สิ่งที่ต้องระวังในปี 2021 นั้นคือ ปลายปี 2021 ที่หมดเวลาการส่งเสริม การจ้างงานของประชาชน จะหมดลง ยอดคนตกงานจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งไหม ต้องรอดูต่อไป
ปล. เอ็นทราส ปี 2020 คณะที่ได้คะแนนสูงสุด และ เป็นผู้นำคือ คณะที่เกี่ยวกับทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้งหมด
ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเป็นแบบนั้น คำตอบคือโควิค 19 นั้นเอง
แต่กระแสนี้อีกนานไหม เพราะว่า หากคนเก่งไปเรียนแพทย์ทั้งหมดแล้ว ประเทศก็พัฒนาในด้านนั้นอย่างเดียว
ดังนั้นต้องมีพวกที่เป็นดาวเด่นแต่ไปสาขาอื่นๆ ด้วย จะได้กลมกล่อมนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 539
โควิค 19 ระลอกใหม่ กับเดิมพัน no lock down
โควิค 19 ระลอกใหม่นั้น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน พฤศจิกายน 2020 จากชายแดนทางเหนือ
แล้วหยุดลงเพราะ ตรวจขันแต่ทว่า กระแสคือ ทำไมไม่ lock down เพราะ ทว่า เป็นช่วงของการท่องเที่ยว
แต่ทว่า โควิค 19 ระลอกใหม่ระเบิด เพราะว่า ประเทศไทย นั้น ภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริง คือ แรงงานที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาใช้แรงงานนั้นเอง
จากจุดเล็ก แต่ทว่าไม่เล็ก จากหลัก 10 ตอนนี้ใกล้แตะ 1000 คนต่อวัน จากยอดคนตายที่หยุดนิ่งที่ 59 -60 คนนานหลายเดือน
พอมาทีเดียวก็ตาย 1 คนแทบจะทุกวัน เพราะยอด ผู้ติดเชื้อ สูงนั้นเอง
ตอนนี้คือช่วงเวลาที่วัดจำนวนเตียงในโรงพยาบาลและจำนวนเครื่องช่วยหายใจที่มีในประเทศไทย
ว่าสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากน้อยแค่ไหน ไม่เพียงแค่ ผู้ป่วยปกติ ต้องรับมือผู้ป่วยโควิค 19 ด้วย
รอบนี้เดิมพันสูงเพราะว่า ช่วงเดือน ธันวาคม 2020 ภาคส่วนต่างๆไม่กล้าออกมาตรการรุนแรง เพราะ กลัวกระทบการท่องเที่ยว และการกลับบ้าน แต่เดิมพันที่ลงไป มันมีมูลค่าสูงกว่านั้นมาก เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายประชาชนเกิดขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มสูงขึ้น โดยดูตัวอย่างได้จากประเทศทางตะวันตก ที่มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนในช่วงเทศกาล Thank giving day หลังจากนั้น 1 ถึง 2 อาทิตย์ เท่านั้น ยอดเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมาก แบบมาแรงแซงทางโค้งจนต้อง Lock down รอบสอง
เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นไหม บอกว่าเคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ของประเทศไทยนั้น ลอกเลียนแบบเหตุการณ์ของประเทศสิงคโปร์ที่เกิดขึ้นที่ แคมป์พักคนงานนั้นเอง เรียกได้ว่า กว่าจะสงบใช้เวลา 2-3 เดือนในการเอาอยู่
มีข้อสังเกตต่อไปอีกว่า รอบนี้ที่เกิดจากการมั่วสุม ในสถานที่อโคจร ซึ่ง ถึงเวลาที่ล้างบาง ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือยัง
เพราะว่า ท้องที่ไหนมี ก็ถึงเวลา จัดการ 5 เสือ หรือ ผู้บังคับบัญชา เพื่อตัดตอน ไม่ใช่แค่ เชือดไก่ให้ลิงดู
ถึงเวลาจัดการล้างบางอย่างจริงจัง ไม่ใช่จิ้งโจ้ ซักที สำหรับเคสเหล่านี้
สุดท้ายคือ
จัดการให้หมด ถึงเวลาล้างบาง
โควิค 19 ระลอกใหม่นั้น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน พฤศจิกายน 2020 จากชายแดนทางเหนือ
แล้วหยุดลงเพราะ ตรวจขันแต่ทว่า กระแสคือ ทำไมไม่ lock down เพราะ ทว่า เป็นช่วงของการท่องเที่ยว
แต่ทว่า โควิค 19 ระลอกใหม่ระเบิด เพราะว่า ประเทศไทย นั้น ภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริง คือ แรงงานที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาใช้แรงงานนั้นเอง
จากจุดเล็ก แต่ทว่าไม่เล็ก จากหลัก 10 ตอนนี้ใกล้แตะ 1000 คนต่อวัน จากยอดคนตายที่หยุดนิ่งที่ 59 -60 คนนานหลายเดือน
พอมาทีเดียวก็ตาย 1 คนแทบจะทุกวัน เพราะยอด ผู้ติดเชื้อ สูงนั้นเอง
ตอนนี้คือช่วงเวลาที่วัดจำนวนเตียงในโรงพยาบาลและจำนวนเครื่องช่วยหายใจที่มีในประเทศไทย
ว่าสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากน้อยแค่ไหน ไม่เพียงแค่ ผู้ป่วยปกติ ต้องรับมือผู้ป่วยโควิค 19 ด้วย
รอบนี้เดิมพันสูงเพราะว่า ช่วงเดือน ธันวาคม 2020 ภาคส่วนต่างๆไม่กล้าออกมาตรการรุนแรง เพราะ กลัวกระทบการท่องเที่ยว และการกลับบ้าน แต่เดิมพันที่ลงไป มันมีมูลค่าสูงกว่านั้นมาก เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายประชาชนเกิดขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มสูงขึ้น โดยดูตัวอย่างได้จากประเทศทางตะวันตก ที่มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนในช่วงเทศกาล Thank giving day หลังจากนั้น 1 ถึง 2 อาทิตย์ เท่านั้น ยอดเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมาก แบบมาแรงแซงทางโค้งจนต้อง Lock down รอบสอง
เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นไหม บอกว่าเคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ของประเทศไทยนั้น ลอกเลียนแบบเหตุการณ์ของประเทศสิงคโปร์ที่เกิดขึ้นที่ แคมป์พักคนงานนั้นเอง เรียกได้ว่า กว่าจะสงบใช้เวลา 2-3 เดือนในการเอาอยู่
มีข้อสังเกตต่อไปอีกว่า รอบนี้ที่เกิดจากการมั่วสุม ในสถานที่อโคจร ซึ่ง ถึงเวลาที่ล้างบาง ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือยัง
เพราะว่า ท้องที่ไหนมี ก็ถึงเวลา จัดการ 5 เสือ หรือ ผู้บังคับบัญชา เพื่อตัดตอน ไม่ใช่แค่ เชือดไก่ให้ลิงดู
ถึงเวลาจัดการล้างบางอย่างจริงจัง ไม่ใช่จิ้งโจ้ ซักที สำหรับเคสเหล่านี้
สุดท้ายคือ
จัดการให้หมด ถึงเวลาล้างบาง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 540
บทเรียนโควิค 19 กับบริษัทประกันภัย ในปี 2020
ปี 2020 นั้นใครว่าธุรกิจทุกอุตสาหกรรมมีปัญหา แต่ยังมีธุรกิจหนึ่งที่ไม่ประสบปัญหา ในเรื่องการหารายได้
ลูกค้าไม่หนีหาย แค่ บอกว่ามีเท่านั้น ลูกค้าวิ่งใครเลย ไม่ว่าช่องทางไหนที่บอกว่ามี ลูกค้าก็สรรหาเลยทันที
นั้นคือ กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่คุ้มครองโควิค 19 บริษัทไหนที่เปิดตัวขึ้นมาบริษัทแรก ลูกค้าถล่มจนเกิดปรากฏการณ์
website ล่ม / ประชาชนแน่นสาขาของธนาคาร / โทรศัพท์ไม่ว่าง (เหมือนจอง เดียว ของพี่โน้ต)
เรียกได้ว่า รับมือไม่ดี อาจจะมีเสียงสรรเสริญตามมาได้ ว่า ซื้อไม่ทัน ซื้อไม่ได้
ไม่เพียงปรากฏการณ์เรื่องประกันสุขภาพที่ขายดีเทน้ำเทท่าเท่านั้น ปรากฏการณ์เรื่อง ประกันภัยรถยนต์ ที่เปลี่ยนแปลง สำหรับ รถยนต์ที่ให้บริการนักท่องเที่ยว ส่งประกันภัยไม่ไหว ต้องทำเป็นกรมธรรม์ระยะสั้นเท่านั้น เรียกได้ว่ากระแส มันกลับด้าน แต่ทว่า จริงๆแล้ว รถยนต์วิ่งบนถนนน้อยลง กว่าปกติ (ดูจากปริมาณยอดการใช้น้ำมันต่อวันได้) อันนี้เรียกได้ว่า อุบัติเหตุทางรถยนต์ลดลงกว่าช่วงปกติมากมาย อัตราการเสียชีวิตก็ลดลง ทำให้ Lose ratio ที่ลดลงไป อย่างเห็นๆชัดเจน (อันนี้ถ้าใครขับรถออกนอกบ้านรับรู้ได้เลยว่า ถนนโล่งมากกว่าปกติ เพราะ มาตรการหยุดเชื้อเพื่อชาติ นั้นเอง)
จากเหตุการณ์ข้างต้น ก็มีคำถามเกิดว่า เมื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติ แล้วอัตราการเกิดมากขึ้นไหม ก็บอกเลยว่า ช่วงนี้อัตราเกิดอาจจะลดลงไปด้วยซ้ำ เนื่องจาก คนเครียดว่ามีงานทำไม มีเงินไหม มีจะกินในวันรุ่งขึ้นไหม จุดนี้แหละที่ประกันภัย ยังไม่เข้ามาคือ ประกันเรื่องการว่างงาน มีแต่ประกันสังคมเท่านั้นที่ทำ แต่ ประกันภัยไม่ทำ ไม่รู้เพราะอะไร ถ้าทำได้ก็ดี จะได้เป็นหลักประกันให้แก่ประชาชน ยิ่งช่วงนี้น่าทำเพราะ มีข้อมูลแล้วว่า อาชีพไหนมีความเสี่ยงเท่าไร ขายยากหน่อย แต่ทว่า มันมีหนทาง จากโควิค 19 เนียแหละ
ตัวต่อไปคือ เกิดโควิค 19 คนก็ไปใช้บริการโรงพยาบาลน้อยลง traffic ในโรงพยาบาลลงลดทำให้ lose ratio ของการเครมประกันภัยสุขภาพลดลงไป ลดลงจากปกติ เลย เพราะ คนไปโรงพยาบาลลดลง ดูได้จาก รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายได้ลดลง อย่างมาก เนี่ยก็ทำให้ บริษัทประกันภัยดีขึ้น นั้นเอง
เรียกได้ว่าโควิค 19 ทำให้ รายได้บริษัทประกันภัย เติบโตจากประกันสุขภาพ ลดค่าใช้จ่ายในตัวของประกันรถยนต์ และ ประกันสุขภาพ นั้นเอง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของอุตสาหกรรมประกันภัย
แต่ทว่าในปี 2021 นั้น สิ่งที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยน อัตราสำรองการคิด RBC ใหม่ ว่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร มีแนวโน้มว่าบางสินทรัพย์ที่บริษัทประกันภัยลงทุนนั้น ลดอัตราสำรองลง อันนี้เป็นตัวที่ทำให้ บริษัทประกันภัย ที่โดนหน่วยงานกำกับดูแลนั้น ตั้งสำรองจาก RBC ไว้สูงจากการลงทุนในสินทรัพย์ก็ลดลงไป อันนี้ต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะ คนวงในอุตสาหกรรมนี้รู้ก่อน
พวกนี้คือ สิ่งที่บทเรียนในปี 2020 ที่โควิค 19 มีผลต่ออุตสาหกรรมประกันภัย นั้นเอง
เรียกได้ว่า 2020 นี้ อุตสาหกรรมประกันภัย เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าในอดีต ที่จาก ต้องขายประกันภัยตัวต่อตัว เป็น ไปสาขาของธนาคาร หรือขายทางโทรศัพท์ เปลียนแปลงมาสู่บน Website หรือ บนมือถือ จนสู่ line application นั้นเอง
ส่วนต้นทุนก็มีแนวโน้มที่ลดลงไป และ การตั้งสำรองก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
เอวังด้วยประการเช่นนี้
ปี 2020 นั้นใครว่าธุรกิจทุกอุตสาหกรรมมีปัญหา แต่ยังมีธุรกิจหนึ่งที่ไม่ประสบปัญหา ในเรื่องการหารายได้
ลูกค้าไม่หนีหาย แค่ บอกว่ามีเท่านั้น ลูกค้าวิ่งใครเลย ไม่ว่าช่องทางไหนที่บอกว่ามี ลูกค้าก็สรรหาเลยทันที
นั้นคือ กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่คุ้มครองโควิค 19 บริษัทไหนที่เปิดตัวขึ้นมาบริษัทแรก ลูกค้าถล่มจนเกิดปรากฏการณ์
website ล่ม / ประชาชนแน่นสาขาของธนาคาร / โทรศัพท์ไม่ว่าง (เหมือนจอง เดียว ของพี่โน้ต)
เรียกได้ว่า รับมือไม่ดี อาจจะมีเสียงสรรเสริญตามมาได้ ว่า ซื้อไม่ทัน ซื้อไม่ได้
ไม่เพียงปรากฏการณ์เรื่องประกันสุขภาพที่ขายดีเทน้ำเทท่าเท่านั้น ปรากฏการณ์เรื่อง ประกันภัยรถยนต์ ที่เปลี่ยนแปลง สำหรับ รถยนต์ที่ให้บริการนักท่องเที่ยว ส่งประกันภัยไม่ไหว ต้องทำเป็นกรมธรรม์ระยะสั้นเท่านั้น เรียกได้ว่ากระแส มันกลับด้าน แต่ทว่า จริงๆแล้ว รถยนต์วิ่งบนถนนน้อยลง กว่าปกติ (ดูจากปริมาณยอดการใช้น้ำมันต่อวันได้) อันนี้เรียกได้ว่า อุบัติเหตุทางรถยนต์ลดลงกว่าช่วงปกติมากมาย อัตราการเสียชีวิตก็ลดลง ทำให้ Lose ratio ที่ลดลงไป อย่างเห็นๆชัดเจน (อันนี้ถ้าใครขับรถออกนอกบ้านรับรู้ได้เลยว่า ถนนโล่งมากกว่าปกติ เพราะ มาตรการหยุดเชื้อเพื่อชาติ นั้นเอง)
จากเหตุการณ์ข้างต้น ก็มีคำถามเกิดว่า เมื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติ แล้วอัตราการเกิดมากขึ้นไหม ก็บอกเลยว่า ช่วงนี้อัตราเกิดอาจจะลดลงไปด้วยซ้ำ เนื่องจาก คนเครียดว่ามีงานทำไม มีเงินไหม มีจะกินในวันรุ่งขึ้นไหม จุดนี้แหละที่ประกันภัย ยังไม่เข้ามาคือ ประกันเรื่องการว่างงาน มีแต่ประกันสังคมเท่านั้นที่ทำ แต่ ประกันภัยไม่ทำ ไม่รู้เพราะอะไร ถ้าทำได้ก็ดี จะได้เป็นหลักประกันให้แก่ประชาชน ยิ่งช่วงนี้น่าทำเพราะ มีข้อมูลแล้วว่า อาชีพไหนมีความเสี่ยงเท่าไร ขายยากหน่อย แต่ทว่า มันมีหนทาง จากโควิค 19 เนียแหละ
ตัวต่อไปคือ เกิดโควิค 19 คนก็ไปใช้บริการโรงพยาบาลน้อยลง traffic ในโรงพยาบาลลงลดทำให้ lose ratio ของการเครมประกันภัยสุขภาพลดลงไป ลดลงจากปกติ เลย เพราะ คนไปโรงพยาบาลลดลง ดูได้จาก รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายได้ลดลง อย่างมาก เนี่ยก็ทำให้ บริษัทประกันภัยดีขึ้น นั้นเอง
เรียกได้ว่าโควิค 19 ทำให้ รายได้บริษัทประกันภัย เติบโตจากประกันสุขภาพ ลดค่าใช้จ่ายในตัวของประกันรถยนต์ และ ประกันสุขภาพ นั้นเอง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของอุตสาหกรรมประกันภัย
แต่ทว่าในปี 2021 นั้น สิ่งที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยน อัตราสำรองการคิด RBC ใหม่ ว่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร มีแนวโน้มว่าบางสินทรัพย์ที่บริษัทประกันภัยลงทุนนั้น ลดอัตราสำรองลง อันนี้เป็นตัวที่ทำให้ บริษัทประกันภัย ที่โดนหน่วยงานกำกับดูแลนั้น ตั้งสำรองจาก RBC ไว้สูงจากการลงทุนในสินทรัพย์ก็ลดลงไป อันนี้ต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะ คนวงในอุตสาหกรรมนี้รู้ก่อน
พวกนี้คือ สิ่งที่บทเรียนในปี 2020 ที่โควิค 19 มีผลต่ออุตสาหกรรมประกันภัย นั้นเอง
เรียกได้ว่า 2020 นี้ อุตสาหกรรมประกันภัย เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าในอดีต ที่จาก ต้องขายประกันภัยตัวต่อตัว เป็น ไปสาขาของธนาคาร หรือขายทางโทรศัพท์ เปลียนแปลงมาสู่บน Website หรือ บนมือถือ จนสู่ line application นั้นเอง
ส่วนต้นทุนก็มีแนวโน้มที่ลดลงไป และ การตั้งสำรองก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
เอวังด้วยประการเช่นนี้