VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3331

โพสต์

AGM TFFIF 27 January 2020 14.00 at Bitech Bangna

วันนี้มีผู้เข้าประชุมทั้งหมด 1,040 ราย แบ่งเป็นมาด้วยตนเอง 475 ราย และ มอบฉันทะมา 565 ราย
คิดเป็นจำนวนหุ้น 44.5809% สามารถเปิดประชุมได้ เพราะมากกว่า 33.3%

ก่อนอื่นทาง บลจ กรุงไทย และ MFC ได้สรุปข้อมูลของกองทุนให้ผู้มาประชุมรับทราบดังนี้
TFFIF ลงทุนในสิทธิรายได้ 45% ของรายได้สุทธิทั้งสองเส้นทาง ประกอบไปด้วย

1.ทางด่วนเฉลิมรัช ดึงคนตอนเหนือเข้ากรุงเทพ ระยะทาง 28 KM
2.ทางพิเศษบูรพาวิถึ คนจากกรุงเทพไปตะวันออก ระยะทาง 55 KM

กองทุนทำสัญญากับการทางพิเศษไว้เป็นระยะ 30 ปี
ทรัพย์สิน ณ วันที่ 30 กย 62 เท่ากับ 54,339 ลบ คิดเป็น NAV 11.88 บาท

วาระที่1 รับทราบการจัดการกองทุนรวมในเรื่องที่สำคัญและในอนาคต

การทางพิเศษ เป็นผู้บริหาร ทั้งสองเส้นทาง และ ควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
โดยมีการบำรุงรักษา ตั้งแต่เวลา 22.00- 04.00 น และ เปิดช่องทาง1เลนสำหรับรถวิ่งในช่วงเวลานี้

Q1:ทรัพย์สินในอนาคต มีด้านใด และคาดว่าจะเพิ่มกองเมื่อไหร่
A1:ทางบลจตอบว่า ต้องดูความเหมาะสมของแต่ละทรัพย์สิน
และ จะมีการเปิดเผยข้อมูลให้มากขึ้น ส่วนการการลงทุนขยายเส้นทางเป็นหน้าที่ของการทางพิเศษ

Q2: ตัวเลขรถยนต์ทั้งสองเส้นทาง เติบโตทั้งคู่ ตัวเลขที่เป็น capacity เต็มทั้งสองสาย หรือ ยังมีนโยบายเพิ่มอย่างไร
Q3: มีแนวโน้มจะนำทางด่วนเส้นอื่นเข้ามาอีกไหม เช่น เส้นที่BEMได้ เข้ามาด้วยไหม

A2: เส้นฉลองรัช รับได้ 350,000 คันต่อวัน ปัจจุบัน มีรถ 241,000 คันต่อวัน ยังมีเหลืออีก
เส้นบูรพาวิถี รับได้ 360,000 คันต่อวัน ปัจจุบัน มีรถ 161,000 คันต่อวัน ยังมีเหลืออีก
แต่ทำไมgrowthลดลง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานเป็นหลัก อาจมีขึ้นหรือลงได้
A3: การแบ่งรายได้จากเส้นทางร่วมกับเอกชนทำได้ยาก
การเพิ่มรายได้มาจาก การทางมีproject ฉลองรัช นครนายก - สระบุรี จะเสร็จใน 2569
ทำให้ปริมาณจราจรเพิ่มขึ้น ส่วนอีกเส้นทาง ใช้งบปี63 เสร็จกลางปี 2567

Q4: ถามในงบที่เกิดขึ้นจริง กับ ที่คาดประมาณ ตอน IPO ใกล้เคียงหรือต่างกันมาก อย่างไร
A4: ปริมาณ Traffic ตอนออกกอง Traffic ฉลองรัช เพิ่มขึ้น 20,000 คัน เป็น 240,000 คันต่อวัน
ส่วนเส้นบูรพาวิถี เมื่อก่อน 150,000 คัน เป็น 160,000 คัน จะเห็นว่าเพิ่มขึ้น 10%
แต่รายได้ประมาณการเข้ากอง และ จ่ายคืนผู้ถือหน่วย ซึ่งหายไป 72 ลบ

Q5: มีข่าวจะเอาเส้นทางสาย7 , 9 เอามาเพิ่มใน TFFIF ใช่ไหม
A5: ทรัพย์สินบางโครงการเกิดปัญหาทางกฏหมาย
ทางหลวงมีกระบวนการแก้กม ผ่านทางหลายสภา

วาระที่2 รับทราบผลการดำเนินการ

รายได้จากการลงทุน 99.42% รายได้ดอกเบี้ยรับ 0.58% และ ค่าใช้จ่าย 17.23%
รายได้สุทธิ 82.77%

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 31 ลบ เป็นค่าเบี้ยประกันกองทุน20 ลบ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองอย่าง
คือ 1.ประกัน All risk เป็นเงินที่เอาไปซ่อมแซม
2. ประกันภัยธุรกิจชะงัก เป็นเงินที่ตีเป็นรายได้ 24 เดือน ถ้าโครงการหยุดไป

อีกส่วน เป็นค่าธรรมเนียมสำหรับจ่ายเงินปันผลผ่านธนาคาร

วาระที่ 3 รับทราบงบการเงิน

Q6: ผลตอบแทนเงินฝากธนาคาร 59 ลบ คิดเป็นเท่าไหร่
A6: เราเอาส่วนนี้กันเป็นสภาพคล่อง เราจะไปลง Government Bond อายุ 3 เดือนขึ้นไป
ผลตอบแทนที่ได้ ประมาณ 0.4-0.75%

Q7: อธิบาย รายได้ 1,700 ลบ ทำไมปันผล4ครั้งคิดเป็น 1794 ลบ ในงบ
A7: กำไร 1,700 ลบ ไปดูแต่เงินปันผลที่เกินนั้น มาจากรายได้ดอกเบี้ย จากที่ไปลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่อง

Q8: ค่าใช้จ่ายที่รอตัดจำหน่าย และ รายการที่รอตัดบัญชี
A8: อธิบายตามงบ รายได้ส่วนนึงหักค่าใช้จ่าย เราจ่าย 271 ลบ กำไรสุทธิจะน้อยกว่าปกติ

วาระที่ 4 นโยบายจ่ายปันผล มากกว่าหรือเท่ากับ 90% ถ้ามีสภาพคล่องส่วนเกิน ก็จ่ายออกมาในรูปเงินลดทุน

Q9:Freefloat เท่าไหร่ครับ
A9: วันที่ 29 สค มีรายย่อยคิดเป็น 46% ซึ่งมากกว่าช่วง IPO

Q10 & A10 หนังสือชี้ชวน แจ้งว่าจะจ่ายเงินปันผล ในช่วง 4.3-4.5%
เงินปันผลที่ได้จริง ถ้าคิดจำนวนวันเท่ากัน คือ 365วัน จะได้ปันผลเท่ากับ 4.12 % รวมเงินที่คืนทุนด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3332

โพสต์

หนังสือ HealthyAging
.
เป็นหนังสือไทยที่เขียนโดยคนไทย เพียงแต่ขื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นเอง เขียนโดย ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ เป็นแนวเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ก็อาจเป็นหนังสือที่ค่อนข้างดี ช่วยลดเวลาการอ่านเรื่องสุขภาพ (shortcut) มาก เพราะรวมเรื่องหลักๆ ไว้สั้นๆ พอได้ไอเดียและนำไปปฏิบัติได้ ถึงแม้ในรายละเอียดลึกๆ ต้องไปหาอ่านเพิ่ม แต่ก็เหมาะกับคนที่อาจไม่ค่อยมีเวลาอ่านมากนัก รวมถึงตัวเลขสถิติชี้ให้เห็นผลของการปฏิบัติตามวิธีที่กล่าวในหนังสือครับ {เคยมีคนลงรีวิวไปแล้ว เลยคงไม่เขียนไรมากครับ}
.
หนังสือเล่มนี้ อ่านจริงๆ จบได้ภายใน 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง มีจำนวนหน้าเพียง 200+ หน้า ในราคา 350 บาท (อาจแพงไปนิดนึง) ปกติ หนังสือเล่มนึง คิดหน้าละ 1 บาทครับ (สำหรับคนที่อ่านหนังสือแนวทางสุขภาพมาเยอะแล้ว อาจไม่ได้เนื้อหาใหม่เท่าไร อย่างเคสที่ได้เรื่องเดียวจากหนังสือเล่มนี้ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับการวิ่ง นอกนั้น เป็นเรื่องที่เคยอ่านจากเล่มอื่นอยู่แล้วครับ)
.
เนื้อหาหลักของหนังสือ ก็จะมีเรื่อง (1) การกินอาหาร (2) การออกกำลังกาย (3) การนอน ท้ายๆ บท ก็จะมีเรื่อง แนวทางการใช้ยารักษาโรคแก่ 4 แนวทางครับ // เรื่อง การกิน ก็ให้กินน้อยๆ ยิ่งน้อยยิ่งดี อันนี้ คนที่อ่านหนังสือ ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี ก็เข้าใจดีอยู่แล้ว การอดแบบแนว if เป็นต้น การออกกำลังกาย ก็ต้องออกกำลังกาย 3-4 ชม ต่อสัปดาห์ ในหนังสือเน้นวิ่งมากสุด การนอน ก็ให้นอนวันละ 7-8 ชม ต่อวัน หลับลึก 1 ชม 50 นาที ฯลฯ
.
สรุป ถ้าใครไม่ได้อ่านหนังสือสุขภาพมาเท่าไร เล่มนี้ ก็ถือว่า เนื้อหาเพียงพอ สั้น กระชับ จบภายในแปปเดียว นำไปปฏิบัติได้ ถึงเนื้อหาไม่ลึกมาก แต่เพียงพอต่อการดูแลสุขภาพ ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3333

โพสต์

ชื่อหนังสือ ไม่มีที่ว่างในวันหน้าให้กับคนที่อยู่เฉยๆ
#HowToPrepareNowForWhatsNext
.
ขนาดหนังสือเหมาะสำหรับการพกพา สะดวกดี แต่น้ำหนักอาจมากไปหน่อย หากเทียบหนังสือต่างประเทศด้วยขนาดพอๆ กันแล้ว หนังสือต่างประเทศทั่วไป (แบบ paperback) จะเบากว่ามากๆ จำนวนหน้าของหนังสือ ราวๆ 400++ หน้าครับ ก่อนหน้านี้ ผมเคยเห็นหนังสือเล่มนี้วางขายในร้าน พอเห็นชื่อหนังสือและหน้าปกที่อธิบายนิดหน่อย ก็คิดว่า ไม่น่าสนใจเท่าไร อาจเพราะยุคนี้ หนังสือแนวนี้น่าจะทยอยออกมาจำนวนมาก พอดีเคยไปอ่านรีวิวของคนที่อ่านมาแล้ว ก็เห็นว่า พอมีเรื่องราวน่าสนใจบ้าง อย่างน้อยก็อัพเดทว่ามโลกพัฒนาไปได้เท่าไรแล้วในด้านเทคโนโลยีที่กำลังมีส่วนในการ Disrupt สิ่งเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน
.
เนื้อหาหนังสือจะเป็นแนวตัวอย่างเคสสั้นๆ ของธุรกิจ โดยจัดแบ่งออกเป็นหัวข้อในเนื้อหาของหนังสือที่มี 2 ส่วนหลัก คือ {1} ปรากฏการณ์พลิกผันครั้งสำคัญทั้ง 4 (คำว่า พลิกผัน เค้าแปลจากคำว่า disruption ไหม ไม่แน่ใจ แต่เดาว่า เป็นเช่นนั้นครับ) และ {2} กุญแจสำคัญ 9 ประการ เพื่อก้าวเป็นผู้ชนะในยุคแห่งปรากฏการณ์พลิกผัน รวมๆ แล้วมีทั้งหมด 13 บท โดยแต่ละบทก็จะมีสอดแทรกตัวอย่างธุรกิจเอาไว้ เช่น Alibaba Health ที่เปิดตัวบริการด้วยระบบ AI ในการวินิจฉัยโรคชื่อ Doctor You ซึ่งสามารวินิจฉัยภาพจากเครื่อง ct scan เพื่อคัดกรองตัวบ่งชี้เบื้องต้นของโรคมะเร็ง, สินค้าตัวใหม่ Translate One2One ทำงานด้วยเทคโนโลยีชื่อ Watson ผลิตโดย IBM มีลักษณะที่เป็นหูฟังที่สามารถใช้งานในแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องพึ่งสัญญาณบลูทูธหรือ wifi เหมือนอุปกรณ์อื่นๆในอดีต ปัจจุบันสามารถใช้งานได้ถึง 8 ภาษา เป็นต้น ยังมีตัวอย่างอีกมากมายในเล่ม
.
หน้งสือเล่มนี้ เอาเรื่องราวต่างๆ เป็นเพียงยกมากล่าวสั้นๆ หากเราต้องการเชิงลึก อาจต้องไปค้นหาอ่านเพิ่มเติม แต่ก็ดีตรงที่ว่า เราอ่านไปก็ได้ทราบกว้างๆ ว่า เทคโนโลยีในปัจจุบัน ไปถึงขนาดไหนแล้ว ก็เป็นการอัพเดทข้อมูลเบื้องต้นระดับหนึ่ง เพื่อเอาไปต่อยอดในการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมได้ ก็นับว่า เป็นหนังสือที่อ่านสนุก และไม่จำเป็นต้องอ่านต่อเนื่อง เพราะแต่ละบทก็จบในตัวเองได้ แม้แต่ในแต่ละบทเอง อ่านถึงตรงไหน จะพักก่อนก็ได้ ไม่ได้เสียหายอะไร แบบว่า อ่านได้เรื่อยๆ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3334

โพสต์

ชื่อหนังสือ เลขคณิตพิชิตสมองเสื่อม
.
เป็นหนังสือคิดเลขแบบง่ายๆ ในเนื้อหา เปิดมา ก็เป็น โจทย์เลขง่ายๆ หลายๆ อัน เรียงกันมากมาย ตั้งแต่ บวก ลบ คูณ (ไม่มี หาร) โดยมีโจทย์เลขรวม 50+ ข้อใน 1 หน้า แทนการฝึกภายใน 1 วัน โดยให้จับเวลาว่า ใช้เวลาทำไปกี่นาที พอจบ 5 วัน จะมีบททดสอบระหว่างสัปดาห์ เป็นการนับเลขเร็ว จับเวลานับว่า ใช้ไปเท่าไร และยังมีบททดสอบความจำในเวลา 2 นาทีในการจำคำว่า จำได้กี่คำ
.
พอจบ 60 วัน จะมีบททดสอบพิเศษ ที่เล่นคำด้วยสี แต่ให้บอกสีผ่านตัวอักษรที่หลอก จับเวลาที่ใช้ในการทดสอบ เช่น ใช้สีน้ำเงิน เขียนคำว่า แดง เวลาทดสอบอ่าน ต้องอ่านออกเสียงเป็น น้ำเงิน เป็นต้น
.
ท่านคิดว่า บททดสอบนี้ สามารถช่วยให้สมองเสื่อมน้อยลงหรือไม่ // ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า ทุกวันนี้ มนุษย์น่าใช้สมองทำงานเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (หนังสือบางเล่มบอกใช้เพียง 1%) หากเราใช้สมองคิดมากๆ จะช่วยเพิ่มรอยหยักในสมอง สามารถช่วยให้เรามีความจำที่ดีขึ้นและฉลาดมากขึ้น เพราะเหมือนเราได้ให้สมองมีโอกาสออกกำลังกายนั่นเอง ดังนั้น จึงเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้ น่ามีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ดีสำหรับคนทั่วไปรวมถึงคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมด้วย
.
ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุค aging society แล้ว เราควรที่จะดูแลรักษาสมองให้แข็งแรงและดีขึ้น เพื่อเลี่ยงปัญหาความจำเสื่อมตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้แก่ ก่อนที่จะสายเกินไปครับ

ลองหาหนังสือมาอ่านและทดสอบความสามารถของเรากันว่า คิดเลขยังไหวไหมครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3335

โพสต์

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ )เปิดเผยในงานHow to รอด รอดอย่างไรในสถานการณ์ เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง ว่า

ปีนี้ มีความผันผวนมากอีกปีนึง เริ่มจากทรัมป์ส่งโดรนไปถล่มอิหร่าน ต่อมาก็มีการเจรจาสงครามการค้าเฟสหนึ่ง
เรียบร้อย และเริ่มมีไวรัสโคโลน่าระบาด ดังนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ถึงแม้จะวิเคราะห์ตอนนี้ไปแล้ว อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้มีข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอก

เริ่มที่ข่าวดีก่อน
1.การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นบวกอยู่ จากตัวเลขการคาดการณ์จาก IMF,World Bank ประมาณ 2%ขึ้นไป
ดังนั้นไม่น่าเกิดวิกฤต และ ไทยก็ไม่น่าจะเจอวิกฤต เพราะเศรษฐกิจไม่หดตัวจากปีที่แล้ว แต่ยังไม่รวมไวรัสที่พึ่งเกิดขึ้น

2.ราคาน้ำมันปีนี้ยังลดต่อเนื่อง หลังจากลดมา2-3ปี demandไม่เพิ่ม และ มีsupplyจากUSมาเติม ปีนี้น่าจะลดอีก 5$

3.ค่าเงินบาทอ่อนตัวถึง 31.2 บาทต่อ$ หลังเกิดเชื้อไวรัส โคโลน่า

แต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ก็คือ

1.ทีดีอาร์ไอประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ทั้งปีนี้ไว้ที่ 2.8% ต่อปี แต่พอมีปัจจัยจากเชื้อไวรัสเข้ามา เบื้องต้น คาดว่าเชื้อไวรัสจะสามารถควบคุมได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนซึ่งเฉพาะปัจจัยเชื้อไวรัสจะส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆอาจหายไปประมาณ2.8แสนล้านคนคิดเป็นอัตรา0.7%ของจีดีพี ดังนั้นเฉพาะผลกระทบจากเชื้อไวรัสอย่างเดียวอาจทำให้จีดีพีลดเหลือประมาณ 2.00%

2.ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบอื่นๆอาทิ ความล่าช้าต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 และปัญหาภัยแล้ง

3.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เช่น สงครามการค้า ซึ่งไว้ใจไม่ได้
เพราะทรัมป์มีการเลือกตั้งปลายปีนี้
ทำทุกอย่างให้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ส่วนสงครามจริงเช่น รบกับ อิหร่าน ก็ต้องจับตามอง

เศรษฐกิจสหรัฐโตช้า ดอกเบี้ยมีทิศทางลด ดอกเบี้ยโลกก็เป็นขาลง ดอกเบี้ยไทยน่าจะลดอีกสักครั้ง

อย่างไรก็ตามปัจจัยความล่าช้าการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนซึ่งเห็นได้ว่าเมื่องบประมาณผ่านสภาฯในเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นตัวเลขการเบิกใช้เงินงบประมาณพุ่งขึ้นอย่างมากแต่หลังจากนั้นการเบิกใช้งบประมาณก็ปรับลดลง
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3336

โพสต์

2020 Annual Outlook by Citibank

ตลาดหุ้นผันผวนในปี2019 (หุ้นต่างประเทศนั้นปิดบวกรวมไทยด้วย)
และ ปี 2018 ตลาดหุ้นก็หดตัว
ดังนั้นแนะนำว่าไม่ควรเก็งกำไรระยะสั้น
แต่ควรจัดสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสม ลงทุนให้ถูกทาง

SET แย่กว่าตลาดทั่วโลก การกระจายการลงทุนเป็นสิ่งที่ควรทำ
เศรษฐกิจโลกโต 2.6% ยังมีความเสี่ยงในเรื่อง
-ภาวการณ์ถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
-ความเสี่ยงทางการเงิน

ส่วนภาคการผลิตนั้
-เอกชนคาดการณ์ว่าผู้บริโภคใช้จ่ายในสหรัฐไม่ดี แต่จริงๆนั้นดี เศรษฐกิจสหรัฐยังดี
-FOMC ปีนี้ไม่ขยับดอกเบี้ยอีก ส่วน EU ก็ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ,UK อาจลดดอกเบี้ยจากBrexit
-จีน ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่

Earning บริษัทจดทะเบียนของโลกยังโต 7%
-Dividend ปันผลค่อนข้างดี เป็นThemeของเราCitibankในปีนี้
-ปันผลดี เพราะผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลง ทำให้เงินปันผลของหุ้นปันผลดูน่าสนใจมากขึ้น
-การถือหุ้นปันผล สามารถลดความเสี่ยงในการลงทุนได้

ความถูกและแพงของหุ้น (Valuations)
- US แพงสุด
- EM , UK , JP ยังถูก
ดังนั้นปีนี้ การขยับไปลงทุนหุ้นราคาถูก เป็น Themeของปีนี้
ความเสี่ยงระดับประเทศ US ทำสงครามการค้ากับหลายประเทศ
และยังความเสี่ยงจาก
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐในปลายปีนี้
- Trade war US-China Phase II , III ตกลงกันได้หรือไม่
- Hongkong เศรษฐกิจชะลอตัว
- UK ดูในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้หลังจาก Brexit
Citibank แนะนำให้กระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์
Key Takeaways
1.กองทุน Low volatility ซึ่งกระจายความเสี่ยงไปที่หุ้นในหลายประเทศ
: Gold , Multi asset , Long/short + Alternatives
2.Pivot to Growth Opportunity :Asia GDP โต 5.2%
PE 14 เท่า และเงินปันผล 2.6%
การเติบโตในภูมิภาคเอเชีย การขยายผังเมือง การเติบโตของประชากร
จีนมีการบริโภคที่ดี ทำให้การลงทุนในเอเชีย มีประสิทธิภาพมากขึ้น
: Asian Equities , Health Care Sector
3.ผลตอบแทนตราสารหนี้ / เงินปันผล คือ การลงทุน Hunt for Yield
ลงทุนในBond อายุ 5-10ปี สามารถbalanceกับความเสี่ยงได้
Citibank จะoverweight ในตราสารหนี้ของเอเชีย
: US Investment Grade Bonds , Emerging Market Debt(Asia) , Dividend Yielding Equities.
4.Pivot to Safe Haven Currencies
ลงทุนในค่าเงินที่ปลอดภัย สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้
:Safe Haven Currencies may Benefit (JPY and Gold)

Update on Corona virus : impact on markets
ซึ่งอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าSARS
วันที่ 3 กพ ตลาดหุ้นจีนตกไป 8% แต่วันรุ่งขึ้น rebound กลับมา
ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ โต 2.2% ซึ่งการเติบโตลดลงจากไวรัส Corona
ดังนั้นควรกระจายการลงทุนไปที่ประเทศอื่นนอกจากไทยด้วย

-
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3337

โพสต์

เจาะลึก KFACHINA-A by Seminar Knowledge

กองทุนที่สร้างผลกำไรสูงสุดในปีที่แล้ว คือ KFACHINA-A
ซึ่งทำไมกองสร้างผลตอบแทนได้สูง เรามาศึกษาเนื้อในของกองกัน
ส่วนข้อมูลของตลาด A-Share ดูได้จากอีกบทความครับ

ตลาดหุ้นของประเทศจีนแบ่งออกเป็น

China H-Share ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
มีนักลงทุนสถาบัน 77% Retail 23%

แต่ China A-Share ซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีน
มีรายย่อยถืออยู่ 86% สถาบันแค่ 14%
มีนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ ถือแค่ 2 วัน
ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน
ก็เป็นโอกาสในการลงทุน

นอกจากนี้ยังมีหุ้นจีนที่จดทะเบียนที่ตลาดสหรัฐเช่น Alibaba

กอง KFACHINA-A ซึ่งบริหารโดยUBS
UBS เลือกหุ้นที่มีคุณภาพสูง และเป็นผู้นำในตลาด
เช่น เหมาไถ , Ping An Insurance , Jiansu Hengrui

พอร์ต จะเน้นลงทุนใน ( KFACHINA-A, MSCI China A onshore )

1.Financials : 25.7% : 26.8%
2.Cons Discretionary : 21% : 8.4%
3.Health Care : 17.9% : 7.9%
4.Cons Staples : 17.8% : 11.6%

ถ้ามาดูหุ้น 10 อันดับแรก ของกองทุน

1.Kweichow Moutai 9.5%
2.Jiangu Hengrui Medicine 8.5%
3.Ping An Insurance 8.4%
4.Gree Electric Appliances 8.3%
5.Wuliangye Yibin 8.2%
6.China Merchants Bank 8.2%
7.Ping An Bank 7.8%
8.Yunnan Baiyao 6.9%
9.Midea Group 4.7%
10.Alibaba Group 3.9%

รวม 10 บริษัทคิดเป็น 74.4% ถือว่าค่อนข้างเยอะเกือบทั้งพอร์ตแล้ว

มาดูบริษัทที่กองถือเยอะ

1.เหล้าเหมาไถ เป็นบริษัทเหล้าที่มีมูลค่าหุ้นของเหล้าแพงสุดของโลก
ขวดละ 500 cc ราคา10,000บาท แพงมาก ซึ่งเป็น new china
ถือเป็นnew china , Luxury เหมาะกับผู้นำ หรือ ผู้บริหาร เคยเสริฟ ให้ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ
และสามารถนำเหมาไถไปมอบให้กับผู้ที่นับถือ
เหมาไถ ใช้เวลาผลิต4-5 ปี ซึ่งต้องใช้น้ำจากที่นั่น เอาข้าวฟ่างไปหมัก ได้เหล้าขาว 53ดีกรี
ยอดขายเติบโตสูงมาก ความที่เป็นpremium คนอื่นเลืยนแบบยาก

คนจีนเริ่มมีรายได้มากขึ้น ก็อยากซื้อมากินด้วย ถือเป็น consumption upgrade

2.ประกันชีวิต ถือ เป็น consumption upgrade ด้วย รายได้ดีขึ้น ก็จะทำประกันมากขึ้น
สัดส่วนการทำประกันค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
Ping An ยอดขายต่อตัวแทนสูงกว่าบริษัทอื่น
และเป็นบริษัทประกันที่ใช้เทคโนโลยีสูง
มีตู้mobileให้คนไข้ไปคุยกับหมอได้ หรือ ใช้ Application : Ping An good doctor ก็ได้

นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยกู้ personal loanด้วย ถ้ามีrecordมาก่อน
ถ้าเราลงAppเสร็จ พิสูจน์ตัวตนเสร็จ AI จะพิจารณาสักครู่ก็อนุมัติได้ เร็วขึ้น การdefaultก็น้อยลง

Performance กองทุน:MSCI china A share

1. ตั้งแต่ก่อตั้ง 206% : 35.6%
2. 1Y 57.3% : 37.5%

ส่วนผลตอบแทนของกองนี้ 1 ปี 51.31%

กองแม่คือ UBS China A Opportunity USD P-acc ค่าเงินเป็น $
กองนี้ในไทย ป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวน
ถ้าหยวนอ่อนมากๆ ก็อาจจะขาดทุนได้ ถึงแม้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จาก บาท/$

รายละเอียดค่าธรรมเนียม ของกอง KFACHINA-A

ค่าธรรมเนียมขาเข้า 1.5% และค่าธรรมเนียมบริหาร KFACHINA-A 1% ซื้อขายได้ทุกวัน
เมื่อก่อน2ปีที่แล้ว ซื้อขายได้ สัปดาห์ละครั้ง เพราะสภาพคล่องน้อย ลูกค้าอาจไม่สนใจ
แต่ถ้าไปเลือกกองอันดับสองก็ดูไม่น่าสนใจ เลยเลือกกองนี้มาขายลูกค้าของ บลจ กรุงศรี
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3338

โพสต์

Riding High in China with the Top China Fund
By Krungsri Prime

ภาพของปีที่แล้วไม่ค่อยจะดี มีแต่ข่าวร้าย
แต่NAV ของ กองทุนที่บลจKrungsri บริหารคือ KFAchina-A ขึ้นมา 51%

ย้อนเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ตลาดผันผวนในปีที่แล้ว

1.ย้อนไป เมื่อ พค 62 สงครามการค้าเดือด และเกิดขึ้นตลอดทั้งปี2019
และสถานการณ์การค้า ทำให้คนกลัวเรื่องRecession เมื่อตอน เดือน สค

2.GDPของจีนใน Q3 ซึ่งประกาศตอน Q4 ประกาศว่าGDPต่ำสุดในรอบ21ปี
ล่าสุด เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ก็ ประกาศ GDPของจีน ใน Q4 จีนต่ำสุดในรอบ21ปี

3.ตราสารหนี้เริ่มมีdefaultในเดือน ธค 2019

แต่NAVของกองทุน กลับปรับขึ้นได้หลังลงหนักมาก่อนหน้า
NAVปรับขึ้นซึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัท
หุ้นที่ถืออยู่ในกอง ได้แก่
1. Kweichow Moutai
2. Jiangsu Hengrui medicine
3. Ping An
4. Gree Electric
5. Wuliangye Yibin

ซึ่งบริษัทเหล่านี้ EPS growth มากกว่า 10% ในรอบ 9เดือน

ภาพใหญ่ศก จีน ถึงแม้ GDP โตต่ำสุดในรอบ 21 ปี
ประเทศที่ขนาดสูงสุดในโลก
ที่1 คือ US และ จีนเป็นอันดับสอง 13 ล้านล้าน $
ดังนั้นการเติบโตต่ำแค่6% แต่ขนาดGDPใหญ่มาก ก็ไม่ได้แย่

หนี้อยู่กับจีนมานาน
ปี18 จำนวนการdefaultใหม่ 38 บริษัท
แต่ปี19 ก็มี 35 บริษัทที่เพิ่มใหม่ แต่ไม่กระทบต่อตลาดหุ้น

สาเหตุหลักที่ผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น มาจากเจตนาของจีนพยายามลดหนี้
พยายามดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ
เมื่อก่อนใส่เงินเยอะ บริษัทก็กู้เงินง่าย ทำให้ระบบไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น บริษัทเหล่านี้ ขาดสภาพคล่อง ก็เลยทำให้ตราสารหนี้defaultไป

สงครามการค้า
ปีที่แล้วเป็นผู้ร้าย ประทุตั้งแต่ พค และ รุนแรงขึ้น มีการปรับภาษีวงกว้างมากขึ้น
ไม่รู้ว่าจุดพีค และ จบเมื่อไหร่ ในปีที่แล้ว แต่ปีนี้เป็นปัจจัยบวก เพราะผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว
ไม่เชื่อว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีแบบนี้อีก แต่ก็อาจไม่แน่ว่าจะกลับมา
Phase II ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะคืบหน้ามาก ถึงแม้เจรจาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
Phase I ก้อนที่จะขึ้น 15%ก็ไม่ได้ขึ้น และ ก้อนที่ขึ้น15% ก็ลดไปครึ่งนึง
สรุปแล้ว มีแต่ดีขึ้น ไม่ได้แย่ลง

สมมติว่าถ้าขึ้นภาษีอีกรอบ ก็ไม่ได้กระทบโดยตรงกับหุ้นในพอร์ตของกองทุน
เพราะรายได้ 95%มาจากประเทศ แต่อาจกระทบทางอ้อม
ช่องสีแดง Net Export 2%ของGDP จีน แต่ที่เหลือเป็นการบริโภคและการลงทุน
ซึ่งกองนี้เน้นการบริโภคในประเทศ

Invert Yield Curve พูดบ่อยในปีที่แล้ว ถ้าไปถามresearch ระดับโลก
จะพูดว่ามีโอกาสเกิดrecession แต่ก็พูดเบาๆว่าอาจจะเกิด
แต่ปีนี้ พูดเสียงดังฟังชัด ว่า ไม่น่าจะเกิด recession

เราเห็นบริษัทที่ลงทุนเติบโตค่อนข้างดี ล้วนอยู่ใน new economy
บริษัทที่มีสินค้าที่ทันสมัย หรือ premium เป็นที่ต้องการของสังคม
สามารถเติบโตได้ดี
มาดูแต่ละsector ของธุรกิจจีน
SOE รัฐวิสาหกิจในจีน ไม่ค่อยมี ปสภ CAR 5%
Private Old economy เช่น พลังงาน ฟอสซิล CAR 19%
Private new economy CAR 30% เติบโตได้สูงมาก
ปัจจัยทำให้โตสำหรับ new china คือ consumption upgrade , Technology
Consumption upgrade เป็นการขายสินค้าที่แพงขึ้น เช่น จากกินมาม่า ก็มากินหม้อไฟแทน

China see explosive growth of millenaries (Asset > 1 M$)
จีน มีคนได้เป็น dollar millionaires เป็น 4,447,000 คนในปีที่แล้ว จากเดิม 38,000 คน ในปี2010
แสดงว่าคนจีนรวยขึ้น
อัตราการเพิ่มขึ้น มีเร็วและแรงมาก 65sec เกิด millionaires 1 คน
คนที่รวยขึ้น ก็ต้องใช้จ่ายมากขึ้น
ตลาดสินค้า Luxury 2012 สัดส่วนคนจีนไปซื้อ 19%
ผ่านไป 8 ปี ตอนนี้กลายเป็น 35%
และปี 2025 คาดว่า จะเป็น 40%ของ millionaires

เพื่อนเคยเล่า สมัยก่อน คนรวยจะซื้อสินค้ามาอวด เป็นสินค้าbrand name , Logo ใหญ่
ต่อมาเน้นสุขภาพ เช่น เสื้อราคา7000บาท หรือ หมอนสุขภาพราคาหลายหมื่น
คุ้นว่าน่าจะเป็นทีน่าเล่านะ 555

ตลาดเหล้าราคาถูก จะโตติดลบ แต่ตลาดpremiumจะเติบโตดี ราคาขวดละหมื่นยิ่งขายดี
นี่คือภาพของ consumption upgrade

Shopping online: Alibaba
เมื่อก่อนจัดวันที่ 11.11 หรือวันคนโสด จัดทุกปี และ ทำลายสถิติทุกปี
ปีที่แล้ว 11/11/2019 ยอดขายในวันเดียว 1,100,000 ล้านบาท หรือเทียบกับยอดขาย 7-11 ใน4ปี

Technology จีนเป็นผู้นำด้านนี้ไปแข่งกับสหรัฐ สิทธิบัตรก็ปรับตัวสูงขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องย้อนมาหลายปีที่ส่งเสริมคนไปเรียนวิทยศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
ตอนนี้เยอะสุดในโลก และ สมองเริ่มไหลกลับมาจีน เพราะจ่ายเงินได้สูงขึ้น

ไทยมีการประมูล 5Gในปีนี้ และหลายประเทศเริ่มประมูลและวางโครงข่าย
5G อันดับหนึ่งคือจีน

สองเดือนที่แล้ว จีนได้พัฒนา 6G แล้ว แน่นอนว่าอาจใช้เวลา 7-10ปี
แต่ประเทศอื่นพึ่งเริ่มวางโครงข่ายเอง
อยากให้เห็นวิสัยทัศน์ของจีน ทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น

Ping An ทุ่มงบไปใช้ระบบ Block Chain 22,000 M$ ซึ่งเป็นภาพสะท้อน
ให้เห็นว่า Tech กระจายไปอยู่หลายsectorแล้ว

ตัวอย่างการใช้จ่ายผ่าน QR Code ที่จีน ขอทานรับ QR codeแล้ว
ตอนนี้มีบางร้านค้า ใช้สแกนใบหน้าเพื่อจ่ายเงินด้วย

จีนมีหลายตลาดหุ้น เช่น เซี่ยงไฮ้ เซิ่นเจิ้น หรือ US
A-share จะรวม เซี่ยงไฮ้ และ เซิ่นเจิ้น ซึ่งรวมบริษัท new china ค่อนข้างเยอ
ถ้าลงทุนในจีน ก็ควรลงทุนใน A-share ซึ่งสองตลาดนี้ ติดหนึ่งในสิบตลาดที่มีmarket cap
ถ้ารวมสองตลาดจะใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแล้ว
ตอนนี้ MSCI EM เพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในA share 20%
และ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ
แสดงว่า Fund Flow ก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้คิดเป็น 7% มีupsideไหลเข้าได้อีกเยอะ
นอกจากนี้ยังมีกองทุนทั่วไปที่ไปลงทุนในจีนได้
จีนก็พยายามเปิดประเทศ และ จะออกกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลให้มีความโปร่งใส

นี่คือเสน่ห์ของตลาดหุ้น A-share

ตราสารหนี้ตอนนี้อยู่ในระดับสูง และ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพมีความหลากหลายก็ต้องเลือก
ปีที่แล้วขึ้นไป 51% แพงไปหรือเปล่า
มาจากตลาดขึ้น 20กว่า% และ มาจากฝีมือผู้จัดการกองทุน 20%กว่า
PE ratio ปีที่แล้วเริ่มจาก 9 เท่ากว่าในต้นปี 2019
พอขึ้นมาเรื่อยๆ PE 12.5 เท่า เมื่อวานลง 8% PE 12 เท่า
ซึ่งยังขึ้นมาน้อยเมื่อเทียบกับ PE ในอดีต

จากรูป Equity Market : PE Ratio
A-share PE ต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น แค่ขึ้นเป็น 16-17 เท่า ก็พอแล้ว จากอดีตเคยขึ้นถึง 22 เท่า

ตลาดหุ้นถูกแพง ดูที่ PE Ratio
เพราะตลาดหุ้น กำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน ซึ่งPE Ratio ก็จะเท่าเดิม
แต่ถ้ากำไรของตลาดหุ้นทำกำไรได้ 5% แต่ราคาหุ้น ขึ้น 10% แสดงว่า PE จะขยับเพิ่มขึ้น
ปีที่แล้ว หุ้นส่วนใหญ่ของ A-Share กำไรของบริษัทเติบโตทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3339

โพสต์

ONEAM Investment Forum 2020
“Investing in a Disrupted World”
งานนี้ต้องขอขอบคุณ คุณ Surasak Dhammo ที่เชิญมาฟังoutlookและข้อมูลที่น่าสนใจนะครับ
งานนี้อาหารว่างก่อนเข้าสัมมนา อร่อยมากครับ ดูแล้วน่าจะเป็นอาหารกลางวันมากกว่า
เพราะมีหลายอย่างให้เลือกทานครับ

เอาละมาเข้าเนื้อหากันครับ
คุณ พจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ONEAM
มาพูดในหัวข้อ Market Outlook 2020 investing in a Disrupted World

คุณ พจน์ เกริ่นนำ ว่า สองต่ำ เปราะบาง ต้องกระตุ้น
สองต่ำ หมายถึง เศรษฐกิจโลกเติบโตต่ำ ปกติเฉลี่ย 4%ต่อปี คาดการณ์ปีนี้ 3.3%
ดอกเบี้ยต่ำ คงจะอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะ ตอนนี้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้QE
การเงินโลกอยู่ในภาวะผ่อนคลายและมีสภาพคล่องสูง มีส่วนสนับสนุน ศก ให้เริ่มฟื้นตัวขึ้น

เดือน มกราคม เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นมายา ไม่ว่าจะเป็น การใช้โดรนไปถล่มอิหร่าน
หรือ ไวรัสโคโรนาที่ระบาดอย่างรวดเร็ว
ลองตรวจสอบดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ระเบิดราชประสงค์ ดัชนีฟื้นกลับมาใน 1-2 เดือน
น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ดัชนีก็ฟื้นใน 6 เดือน
ดังนั้นให้ไปสนใจปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจจริงๆ เช่น สงครามการค้า ซึ่งกระทบต่อการส่งออกของประเทศ

Global Macro View
ครึ่งปีแรก ศก ชะลอตัวลงจากการระบาดไวรัสโครนา โดยจีนมีขนาดศกใหญ่ประมาณ 16%ของโลก
ส่งผลกระทบต่อการเติบโตชอง ศก โลกแต่ก็คาดการณ์ว่าเป็นผลกระทบชั่วคราว
ปัจจัยบวก คือ นโยบายการเงินทั่วโลกอยู่ในทิศทางผ่อนคลายและกระตุ้น ศก ช่วยลดผลกระทบเชิงลบ
จากการระบาดได้ระดับหนึ่ง
ตั้งแต่ พค 2019 การผลิตทั่วโลกชะลอ แต่ยอดขายไม่ได้ลดมาก แต่stockสินค้าลด และ การขัดแย้ง
ระหว่างจีนกับสหรัฐลดลง ทำให้ผู้ผลิตกลับมาผลิต ระยะสั้น6เดือน ศก โลกฟื้นตัว
จะ เห็นPMI ของ ภาคการผลิตและบริการเริ่มผงกหัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี
โดยที่ PMI ภาคการผลิต ที่ยังต่ำกว่า50 คือ ประเทศพัฒนาแล้ว

การจัดพอร์ตการลงทุน
สำหรับหุ้น
Overweight ในสินทรัพย์ เช่น Global , USD Mid cap , EU , EM asia ex india,asean และ
แต่ USA Large Cap , DM asia , India , Asean มองว่าเป็นกลาง
Underweight – Other EM
ส่วน Fix income ที่น่าสนใจลงทุน – Global& Local investment Grade
Alternative : ที่น่าลงทุนได้แก่ Gold,Local PF&REITs ,Multi-asset,Life settlement(private fund)
ซึ่งดูรายละเอียดว่าแต่ละasset มีกองไหนบ้างจากสไลด์

ONEAM มีการแนะนำพอร์ตการลงทุนสำหรับ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
1.Conservative
Fix income , Mixed Find 60%
Thai Equity Fund : 5%
Foreign investment Fund : 15%
Alternative Investment : 20%

2.Aggressive :
Fix income , Mixed Find 25%
Thai Equity Fund : 10%
Foreign investment Fund : 45%
Alternative Investment : 20%

คุณพจน์จะเน้นในตัว Life Settlement Fund ซึ่งผมจะเขียนสรุปในภายหลังนะครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3340

โพสต์

Investment Themes & Outlook for 2020
Win Phromphaet ,Principle Asset Management

คุณวินมาพูดถึงThemes ในการลงทุนปี 2020 ไว้ว่ามีทั้งหมด 4 หัวข้อ ได้แก่
1.Risk Velocity
2.Technology
3.ESG
4.Asia Rising

ซึ่งวิทยากรจากต่างประเทศมาพูดถึงเนื้อหาของแต่ละหัวข้อ

1.Risk Velocity
คุณ Seema Shah Chief Strategist ของ Principal พูดถึง ภาวะที่ราคาสินทรัพย์กับทิศทางเศรษฐกิจไม่ไปด้วยกัน
ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้น และ ผันผวนด้วยอัตราเร่งที่สูงขึ้น นอกจากนี้ Fund Flow จาก ETFs มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้น
เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตอนปี2018 ตลาดหุ้นไม่ดี แต่กำไรเติบโต แต่พอปีที่แล้ว ตลาดหุ้นดี แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มไม่ดี และต่อเนื่องถึงปีนี้

2.Technology
คุณ Sunita VP จาก BlackRock ได้พูดถึงโอกาสในการลงทุนว่า
เนื่องจากปี 2018เป็นปีแรกที่คนใช้internetมากกว่า50%ของประชากรโลก
และ 75% fastmove เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่หน้าจอมือถือ
พร้อมกับ อุปกรณ์ที่ต่อกับinternet ก็พร้อมมากขึ้น และ
ส่วนของHealth care service คนแก่เยอะขึ้นและสุขภาพไม่ดี
ทำให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น

3.ESG นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาลมากขึ้น

สถาบันเริ่มให้ความสำคัญกีบเรื่องนี้มากขึ้น และเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น

4.Asia Rising
ทวีปเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย เคยเป็นผู้นำก่อน ปี 1980 และต่อมาเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรม
ความเป็นผู้นำย้ายมาที่ฝั่งตะวันตก พอปี2000 จีนและอินเดียเริ่มมีบทบาทมากขึ้น กำลังทวงคืนความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
ประธานาธิบดี สีเจี้ยนผิง ประกาศในวันรับตำแหน่งว่า จีนจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2049 และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Robots,AI

นี่เป็นช่วงเปิดตัวThemesของทาง Principle เดี่ยวคราวหน้าจะมาเจาะลึกมากขึ้นว่ากองทุนไหนของPrincipleจะตอบโจทย์ในแต่ละThemeกันครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3341

โพสต์

Portfolio Management มีส่วนช่วยในเรื่องผลตอบแทนอย่างไร
By Seminar Knowledge

ท่านทราบไหมว่า ปัจจัยอะไรส่งผลต่อความสำเร็จในการลงทุนของคนธรรมดาทั่วๆไป
เทคนิค จับจังหวะการลงทุน หรือ การเลือกหุ้นที่ดี ใช่ไหม
ถ้าเลือกปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ถ้าเป็นนักลงทุนที่เก่งมากๆ
แต่ถ้าเป็นนักลงทุนธรรมดา ปัจจัยทั้งสองอันมีผลน้อยมาก
การจัดสัดส่วนสินทรัพย์ในportfolio ให้เหมาะสมกับการลงทุนแต่ละท่านต่างหาก
ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน มีส่วนในอัตรา91.5%เลยทีเดียว

Theme การลงทุนแบบ Risk Velocity ซึ่งคุณPanitiจากPrinciple มาพูดถึง
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์ของAssetแต่ละอัน
เริ่มจาก Money Market ผลตอบแทนและความเสี่ยงต่ำสุด จนถึง
ทองคำ ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงสุด

การจัดสินทรัพย์เป็นเรื่องสำคัญ
ตัวอย่างเช่น กบข ซึ่งทำหน้าที่บริหารเงินให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ
พนักงานตอนอายุน้อย ก็สามรถเลือกแผนที่มีสัดส่วนหุ้นได้เยอะ
เพราะรับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทนก็สูงตามไปด้วย

แต่ถ้าอายุมากขึ้น ก็มีแผนที่สามรถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้โดยอัตโนมัติ
โดยสมาชิกแค่เลือกตั้งแต่แรก ทาง กบข จะดำเนินปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนโดยอัตโนมัติให้
เพราะได้ประสบการณ์จากตอนช่วงวิกฤต เดือน กย แต่คนที่เกษียณในเดือน ตค เงินหายไปเยอะ
เพราะเมื่อก่อน มีแผนการลงทุนแผนเดียว ถือหุ้นในสัดส่วนเกือบ10% ก็เลยถอนไม่ทันตอนเกษียณ

ทางPrincipleก็มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดสินทรัพย์ของกองทุนibalance
เมื่อก่อน จะมีแต่ลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้
เป็นnew strategy เน้นลงทุนmulti asset โดยเพิ่ม หุ้นต่างประเทศ Reits ทองคำ เข้าไป
ทำให้ รักษาผลตอบแทนได้ดี แต่ความเสี่ยงลดลง
แต่ละสินทรัพย์ก็มีคุณสมบัติต่างกันดังรูป บางครั้งหุ้นตก ทองขึ้น บางครั้งหุ้นขึ้น ทองลง reitsขึ้น
ส่วนตราสารหนี้ความผันผวนก็น้อย ถ้าจัดสัดส่วนดีๆ ก็จะบดความผันผวนของกองได้

อีกกอง Target Date Fund ก็ให้ผลตอบแทนที่ดี โดยที่ความเสี่ยงและความผันผวนต่ำกว่า
กองทุนผสม
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3342

โพสต์

ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาของกลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคิน-ภัทร
ได้พุดในงานสัมมนางานนึง เกี่ยวกับHealthy Aging ทำอย่างไรให้ย้อนวัยกลับมาได้

ต้นปีที่แล้ว อาจารย์ได้มีข้อแนะนำว่าทำอย่างไร ให้สูงวัยอย่างสมดุล ทั้งหมด4ข้อ

1.ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4 ชั่วโม
2.นอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง และ หลับลึก 2 ชั่วโมง
3.หลัง6โมงเย็นไม่ให้ทานอาหาร และ ปล่อยให้ท้องว่าง
4.ดื่มไวน์ได้ 1-2 แก้วเท่านั้น โดยเฉพาะไวน์แดง เพราะการวิจัย ไวน์แดงช่วยให้อายุยืน

ซึ่งหลายคนก็ไม่สามารถทำได้ บางคนทำได้เฉพาะข้อสี่อย่างเดียว
มีการเก็บข้อมูลของคนที่สหรัฐในช่วงปี 2001-2005 เรื่องการดูแลสุขภาพ

โดยมี ข้อแนะนำ 5ข้อ โดยมีข้อเพิ่ม คือ รอบเอวต้องน้อยกว่าหรือเท่าครึ่งนึงของความสูง

ส่วนใหญ่ คนสหรัฐจะไม่ผ่านในข้อนี้

อาจารย์ไม่ได้คุยเรื่องเศรษฐกิจ การเงินในคราวนี้ แต่จะมาคุยเรื่อง แก่ตัวอย่างมีคุณภาพ
คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่ทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองแก่มากขึ้น
วิทยาศาสตร์ไปเร็วมาก มีการทดลองฟื้นฟูต่อมไทมัส (Thymus Gland)
ซึ่งมีหน้าที่หลักในการทำให้เม็ดเลือดขาว (T-cell) เติบโตอย่างสมบูรณ์และผลิต
โฮโมนไทโนซินเพื่อกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด T-cell เช่นกัน

ตัว Thymus Gland ช่วยต่อสู้ภัยต่างๆ รวมถึง โคโลน่าไวรัส แต่ปัญหาของT-cell ก็คือ
Thymus Gland จะโตเต็มที่ตอนสิบกว่าขวบ หลังจากอายุครบ 60 ปี จะแปลงเป็นก้อนไขมันแทน
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

Dr.Gregory Fahy ที่ทำวิจัยเพื่อฟื้นฟูต่อมไทมัส เลยนำผู้สูงอายุ 51-63ปีมาทำการฟื้นฟู
Thymus Gland ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นcamp ที่ทำการฝึกทหารไปสู้กับไวรัสต่างๆ
และเสื่อมหายไปตอนอายุ 50กว่าจนถึง 60 ปี
โดยการฉีดยาเข้าไป ทั้งหมด3อย่าง ให้กับอาสาสมัครทั้ง9คนประกอบไปด้วย Human Growth Hormone
โฮโมนกระตุ้นทั้งเพศชายและหญิง อีกตัวคือยาแก้เบาหวาน
ปรากฏว่าได้ผล คนทั้ง 9 คน นั้น ได้ผลจริงๆ ต่อมไทมัสกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง
และวัดเซลล์แก่ตัวเท่าไหร่ หลังกินยาไปหนึ่งปี ปรากฏว่าอายุเซลล์(Biological age) ย้อนหลังไป 2.5 ปี
และมีการวัดผลหลังจากนั้นอีก 1 ปี เซลล์อายุก็ยังเท่าเดิม ถือเป็นกำไรชีวิต
แสดงว่าการ reverse aging ทำได้แล้ว แต่นี่ยังอยู่กระบวนการทดลอง
แต่ไม่แน่ว่าอีกสักสิบปี ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ตอนนั้นคนคงอายุยืนขึ้น

ดร ศุภวุฒิมีคำแนะนำอันทรงคุณค่า ลองฟังดูครับ

1.อย่าแก่
2.อย่าอ้วน

1.อย่าแก่ : อันนี้ไม่ได้แกล้งเขียน เพราะ ดร.เดวิด ซินแคลร์ (David Sinclair) ศาสตราจารย์ที่ Harvard Medical School มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพิ่งเขียนหนังสือซึ่งนำมาจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายนผ่านมา เชื่อว่า “Lifespan : Why we age – and Why we don’t have to” หากไม่คุ้นกับชื่อของ ดร.ซินแคลร์
ผมขอให้นึกถึงข่าวใหญ่เมื่อ 15 ปีก่อนที่มีการประโคมข่าวว่า กินไวน์แดงแล้วจะอายุยืน ดร.ซินแคลร์ คือ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า สาร resveratrol ที่อยู่ในเปลือกขององุ่นแดงนั้น หากนำไปให้หนูทดลองกินแล้ว จะเพิ่มจำนวนของ sirtuins หรือยีนส์ที่ควบคุมความแก่ของเซลล์ ทำให้หนูแข็งแรงไม่แก่และอายุยืน (แต่ปริมาณของ resveratrol ที่หนูกินนั้น เทียบเท่ากับการดื่มไวน์แดงประมาณ 400-500 แก้วต่อวัน จึงไม่น่าจะเป็นสูตรสำเร็จสำหรับการทำให้อายุยืน)
ในหนังสือเล่มนี้ ดร.ซินแคลร์กล่าวที่หน้า 89 ว่า
“After 25 years of research on aging and having read thousands of scientific papers, if there is one piece of advice I can offer, one surefire way to stay healthy longer, one thing you can do to maximize your lifespan right now, it”s this : eat less”
หนังสือเล่มนี้มีความยาวกว่า 300 หน้า และบางส่วนมีความสลับซับซ้อนทางวิชาการอย่างมาก ผมเองก็ยังอ่านไม่จบ และบางส่วนก็ยังอ่านไม่เข้าใจ

แต่ข้อสรุปเบื้องต้น คือ
1.ดร.ซินแคลร์ยืนยันความเชื่อ ซึ่งพิสูจน์ได้จากงานวิจัยมากมายว่า Aging is a disease หรือความแก่ก็เป็นโรคชนิดหนึ่งที่สามารถหาหนทางรักษาได้ และกำลังมีการทำการวิจัย และมีบริษัทใหม่ตั้งขึ้นมามากมายเพื่อรักษาโรคแก่

2.ได้มีการกล่าวถึง แนวทางหลาย ๆ แนวทางที่เรียกว่า pathway to aging กล่าวคือ เมื่อรู้ว่าเซลล์มนุษย์แก่ตัวอย่างไรแล้ว จะมีวิธีการที่จะเข้าไปแทรกแซงเพื่อควบคุมความแก่ได้ เช่นเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า เมื่อจำกัดการบริโภคแคโลรี (caloric restriction) อายุจะยืนมากขึ้น และสุขภาพจะดีขึ้น ตัวอย่าง เช่น หากลดการบริโภคแคโลรีลงประมาณ 25% ต่อวัน ก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนขึ้นอีก 25% เป็นต้น

แต่เป็นสิ่งที่น้อยคนจะทำได้ เพราะการที่รู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจอย่างมาก ทั้งนี้ ได้มีการให้รางวัลโนเบลในปี 2016 กับ ดร.โยชิโนริ โอซูมิ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบกระบวนการ และยีนส์ที่ควบคุมการกลืนกินตัวเองของเซลล์ (autophagy) เมื่อต้องอดอาหาร ซึ่งการกลืนกินตัวเองของเซลล์นั้นก็คือ การยกเครื่องและซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงและไม่แก่ตัว

3.ปัจจุบันได้มีการค้นพบสารเคมีที่ทำให้หนูสุขภาพแข็งแรง และอายุยืนได้บ่อยครั้งจนไม่เป็นข่าวอีกแล้ว และงานวิจัยที่ทำต่อเนื่องจาก resveratrol ก็พบว่า สารที่ช่วยการทำงานของเซลล์ที่สำคัญมาก คือ NAD+ และยังมีแนวทางสู่การทำให้เซลล์แข็งแรง หนุ่มแน่นอีกหลายแนวทาง ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสุขภาพของร่างกายตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถทำการรักษาโรคได้แบบตัดไฟแต่ต้นลม จนทำให้ ดร.ซินแคลร์ประเมินว่า ในอนาคตมนุษย์จะมีอายุเฉลี่ยอย่างต่ำ 113 ปี
แต่ที่สำคัญ คือ ข้อสรุปว่า “if even a few of the therapies and treatments that are most promising come to fruition, it is not an unreasonable expectation for anyone who is alive and healthy today to reach 100 in good health active an engaged at levels we”d expect of healthy 50-year-olds today”
แปลสรุป คือ แนวทางการรักษาและบำบัดปัจจุบันที่กำลังอยู่ในกระบวนการวิจัยและทดลองอยู่ในขณะนี้นั้น หากเพียงส่วนหนึ่งประสบความสำเร็จตามคาดก็จะทำให้คนที่ปัจจุบันสุขภาพดี จะสามารถสุขภาพดีและแข็งแรงไปจนอายุ 100 ปี และในวันนั้นก็จะยังมีสุขภาพดีและแข็งแรงเสมือนกับคนอายุ 50 ปีในวันนี้
ข้อสรุปของผม คือ จะต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง เพื่อรอให้คำทำนายของ ดร.ซินแคลร์เป็นความจริง (และหากไม่เป็นความจริงแล้วการมีชีวิตต่อไปก่อนก็คงจะไม่เสียหายอะไร)

2.อย่าอ้วน : เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า ความอ้วนไม่ดีสำหรับร่างกาย แต่ของกินมีอยู่ทั่วไป มองไปที่ไหน เวลาใด ก็มีของกินมากมาย และผู้ขายทุกคนก็จะบอกว่า สินค้าของตัวเอง “ดีต่อสุขภาพ” แล้วเราก็อยากจะเชื่อ (เพราะอยากจะกิน) แต่ความจริง คือ องค์การอนามัยโลกประกาศกว่า 20 ปีที่แล้ว (1997) ว่า “โรคอ้วนเป็นโรคระบาดระดับโลก” แต่จำนวนคนที่น้ำหนักเกินก็ยังเพิ่มขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบันคนกว่า 1/3 บนโลกนี้น้ำหนักเกิน (overweight) และอีก 650 ล้านคน เป็นโรคอ้วน (obesity)
เพื่อเตือนใจเราทุกคน

ผมขออ้างสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institute of Health) ที่สรุปว่า ปัญหาสุขภาพที่เชื่อมโยงกับน้ำหนักตัวเกิน (overweight) และโรคอ้วน (obesity) รวมถึง
-โรคเบาหวาน
-ความดันโลหิตสูง
-โรคหัวใจและจังหวะ
-มะเร็งบางชนิด
-หยุดหายใจขณะหลับ
-โรคข้อเข่าเสื่อม
-โรคไขมันพอกตับ
-โรคไต
-โรคปัญหาการตั้งครรภ์

ผมได้เคยเขียนถึงผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อกรกฎาคม 2018 ที่เก็บข้อมูลการดำเนินชีวิตของบุคลากรด้านสาธารณสุขของสหรัฐ (ส่วนใหญ่คือหมอและพยาบาล) กว่า 1 แสนคน เป็นเวลากว่า 20 ปี และพบกฎ 5 ข้อ ที่ทำให้อายุยืนขึ้นไปอีก 12-14 ปี ซึ่งไม่ใช่กฎที่มีความสลับซับซ้อนแต่อย่างใด ที่สำคัญในความเห็นของผม คือ จะต้องไม่สูบบุหรี่ กินน้อย ให้รอบเอวไม่เกิน 0.5 ของส่วนสูง (0.4 สำหรับผู้หญิง) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับให้เพียงพอทุกคืน (7-8 ชั่วโมง)
แต่ข้อมูลที่น่าสนใจที่กล่าวถึงในบทวิจัยดังกล่าว คือ การมีไลฟ์สไตล์ที่ดีตามกฎ 5 ข้อนั้น ปรากฏว่าคนอเมริกันทำกันเกือบจะไม่ได้ กล่าวคือจากการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันที่มีไลฟ์สไตล์ที่ดี (ทำตามกฎ 5 ข้อ) ลดลงใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จาก 15% ในช่วงสำรวจปี 1988-1992 เหลือเพียง 8% ในปี 2000-2006 “เพราะการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วน” แปลว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ 92% มีพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับสุขภาพ เพราะการกินอาหารมากเกินจนทำให้น้ำหนักเกิน หรืออ้วนนั่นเอง

สุดท้าย ขอขอบคุณ ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่มาให้ความรู้เรื่องสุขภาพนะครับ
Cr: บทความ ที่ดร ศุภวุฒิ เขียนลงในกรุงเทพธุรกิจ นำมาประกอบในบทความนี้บางส่วน เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3343

โพสต์

สถานการณ์ตลาดหุ้น ในเดือนมกราคม ผันผวน เนื่องจากมีเหตุการณ์พิเศษหลายเหตุการณ์
เข้ามาตั้งแต่ต้นปี เลยมาตามฟัง ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูดว่าช่วงนี้ต้องทำอย่างไร
ในรายการ รู้ใช้เข้าใจเงิน วันนี้กันครับ

ก่อนอื่นขอแสดงว่าความเสียใจผู้เสียหายกับเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมนะครับ
หวังว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และ ทางรัฐบาลสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกครับ

อาจารย์ให้ความเห็นกับเหตุการณ์นี้ว่า จะไม่ค่อยกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก
แต่เหตุการณ์ โคโลนาไวรัส มีผลมากกว่า ซึ่งส่งผลกับธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
ห้างใหญ่ตอนนี้ คนไปเดินลดลงมาก แต่อาจมีผลกระทบน้อยกับร้านสะดวกซื้อ
เพราะอยู่ใกล้บ้านของประชาชน ซึ่งจำเป็นต้องมาจับจ่ายใช้สอย ก็ไม่ไปห้างแต่มาร้านสะดวกซื้อ
ดีกว่า แต่ร้านสดวกซื้อจะโดนกระทบเรื่องไม่ได้แจกถุงพลาสติกมากกว่า

การลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.00% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ดอกเบี้ยไทย
คงส่งผลต่อตลาดหุ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะดอกเบี้ยบ้านเราอยู่ระดับต่ำมานาน

ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ลงมาเยอะในช่วงที่ผ่านมา แต่คุณภาพของธนาคารยังใช้ได้ ตอนนี้
กลัวอย่างเดียวคือเรื่อง NPLเพิ่มขึ้น แต่คิดว่าธนาคารก็จัดการได้ โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่
เมื่อผ่านตรงนี้ไป ธนาคารขนาดใหญ่ก็OK และ PB ratio ต่ำกว่า 1 ปันผล 3-4% ดีกว่าฝากธนาคาร

การลงทุนในช่วงนี้ ดุว่าราคาของหุ้นกลุ่มธนาคารไม่ได้ปรับเพิ่มมา 2-3 ปี ปันผลค่อยๆดีขึ้น เราลงทุนต้องเปรียบเทียบ
กับที่ลงทุนอยู่ตอนนี้ เช่น ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 1% อย่างนี้การลงทุนในหุ้นธนาคารอาจจะดีกว่า
ได้ปันผล 2-3% ถ้าตลาดหุ้นไม่ไปไหน ก็ยังได้ปันผล แต่ถ้าตลาดหุ้นดี ก็ถือว่าได้ในส่วน capital gainด้วย
ทุกครั้งที่ราคาหุ้นลงมา ถือเป็นโอกาสในการลงทุน
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่ง่าย เพราะมีเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ซึ่งตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวน ปีที่แล้ว ตลาดต่างประเทศเช่น จีน สหรัฐ อียู ขึ้นแรงมาก
แต่ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน ถ้าเราใช้market timing ก็จะย้ายไปลงทุนในต่างประเทศ ก็อาจเจอว่า
ตลาดหุ้นปีนี้ที่ต่างประเทศตกพอดี
ดังนั้นนักการเงินแนะนำว่า การลงทุนควรถัวเฉลี่ย ทั้งในและต่างประเทศ
อย่าคาดจับจังหวะในการลงทุน ควรกระจายความเสี่ยงลงในแต่ละตลาด
ถือเป็นแนวทางการลงทุนอีกแบบ
สมมติว่าเรามีเงินพอสมควร ลงในตลาดใด้ 3-4 ตลาดได้
แต่ต้องปรับน้ำหนักตลอดเวลา (Rebalancing)
เช่น ลงทุนในตลาด ไทย สหรัฐ และเวียดนาม ปีที่แล้วตลาดหุ้นสหรัฐดีมาก
เราก็แนะให้ขายส่วนเกินในสหรัฐออกมาลงทุนในไทยแทน ซึ่งปีที่แล้วไม่ค่อยดี
เพราะการทำนายตลาด ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่

Q: บ้านเราดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์ มีโอกาสไหมที่ถึง0%เหมือนญี่ปุ่น
A: โครงสร้างไทยเหมือนญี่ปุ่น สุดท้ายอาจคล้ายกัน เพราะดอกเบี้ยมีโอกาสต่ำลงได้อีก
แต่คงไม่ถึงกับต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคาร
ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว มั่นใจในปันผลของบริษัท ถึงแม้ราคาลงมา ก็ต้องทำใจถือหุ้นให้ผ่านไปให้ได้
นักลงทุนระยะยาว ลงทุนยากกว่าระยะสั้นที่พอไม่สบายใจ ก็ขายหุ้นออกได้เลย
ธุรกิจที่ดีในระยะยาว กำไรก็เพิ่มขึ้น ปันผลก็เพิ่มขึ้น อย่าไปห่วงสถานการณ์ตอนนี้

Q: หุ้น Mid-Small cap ยังน่าสนใจไหม
A: ยังน่าสนใจเฉพาะหุ้นบางตัว มีไม่เยอะ การเลือกหุ้นพวกนี้ ต้องเลือกอย่างระมัดระวัง
วิเคราะห์ตรวจสอบให้ดี ดูศักยภาพของบริษัทนั้น ถ้าแน่ใจก็ซื้อและโตไปกับบริษัทด้วยกัน
การลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น ถ้าเลือกถูกตัว ก็รวย แต่ถ้าเลือกผิดตัว ก็มีโอกาสขาดทุนได้
นักลงทุนต้องเก่งจริง วิเคราะห์ธุรกิจไปข้างหน้า 5-10ปี ว่าศักยภาพของบริษัทดีหรือไม่

สุดท้ายขอขอบคุณ ดร นิเวศน์ และ น้องบิวมากๆครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3344

โพสต์

กลิ่นบางๆ ฟองสบู่ของประเทศไทยมาแล้วค่ะ
เก็บเงินไว้ก่อน อย่าลงทุนซื้ออะไรหนักๆในระหว่างนี้
นี่คือการทำเพื่อให้บริษัทอยู่รอดของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ

0.เชฟโรเลตปิดฉาก ขายโรงงาน เลิกจำหน่าย ผลิตรถในไทย

1. Honda เพิ่มวันหยุดยาว ในเดือนเมษายน พฤษภาคม กรกฎาคม สิงหาคม มีวันหยุด ติดต่อกัน 10 วัน และหยุดทุกวันเสาร์- อาทิตย์

2. Toyota เริ่มทยอยปลดพนักงาน Supervisor ไป 1 lot แล้ว เนื่องจากเเบกรับภาระขาดทุน ค่าแรงงานที่สูงไม่ไหว รถที่ผลิตออกมาจอดเต็ม Stock ขายไม่ได้

3. GM ปลดพนักงาน Sup ออกหมดเเล้ว เเละแบรนด์เนมที่เป็นของ Isuzu ให้นำกลับไป ประกอบที่สำโรงเเล้วเพื่อลด Cost ส่วน บ. แม่ GM ที่อเมริกา ทางรัฐบาลของสหรัฐ อุ้มไว้เเล้ว หากไม่อุ้มอีก 3 เดือนข้างหน้า GM จะล้มละลาย บริษัท​ GM จะเลิกขายผลิตภัณฑ์เชฟโรเลต​ ภายในสิ้นปีนี้2563 และจะปิดตัวถาวร

4. Nissan ลดการผลิตลง 50% เเละกำลังลดพนักงานออกชุดเเรก เดือนหน้า

5. Misubishi ยังมียอดขายที่ต่างประเทศอยู่บ้าง จะกระทบจริงเดือน มค. ปีหน้า

6. AAT กำลังทำกิจกรรมลดต้นทุนอย่างหนัก ทั้งไม่ให้มี OT ทำกิจกรรรม Balance งานใหม่ทั้งระบบเพื่อลดค่าใช้จ่าย เเละยังไม่ปลดคน…ปีหน้าไม่เเน่

7. Fujisu เอาออกไปแล้ว 300 คน

8.Sieko Instrument เอาออกไปแล้ว 400 คน

9. Statschippac ตั้งแต่เดือนหน้า หยุดทำงานทุกๆวันจันทร์

10.TOT เท9พันล้านโละพนักงานอีกกว่า 3,500คน ลดภาระเงินเดือนที่จ่ายปีละ 1.4หมื่นล้าน

11. Sumsung – LG ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปเวียดนาม และยกเลิกสายการผลิตtvในไทย เนื่องจากแบกรับต้นทุนค่าแรง วันละ 300 บ.ไม่ไหว

12. อินโด ปิดน่านน้ำ ส่งผลให้ แรงงานประมงกว่า 3,000 อัตรา จ่อตกงาน ธุรกิจประมงขาดทุนยับ!!

12.การบินไทย ปรับลงพนักงานอีกกว่า 5,000 อัตรา หลังขาดทุนต่อเนื่อง!!

13.เครือ EU ยกเลิกการนำเข้าสินค้าประมงไทย สิ้นเดือนนี้!
หากไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ / ประชาธิปไตยได้

14.ธุรกิจท่องเที่ยวชั้น เฟริสคราส จ่อเจ๊งยับ!!
15. โรงแรมใหญ่ๆ ในประเทศไทย ทะยอยปิดตัว หลังนักท่องเที่ยวหดหาย แบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว ยกตัวอย่าง รร. เก่าแก่ อย่าง อิมพีเรียล ควีนปาร์ค ที่ ปิดตัวลงเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

16. Nikon, TOYOTA ย้ายฐานการผลิตจากไทยแต่เริ่มไปเปิดฐานการลงทุนใหม่ ที่ประเทศลาว โดยเริ่มบุกตลาดด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร และ พลังงาน

17.หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ – ขนาดกลาง เริ่มปรับลดโอที หลังประสบปัญหาขาดทุน/ยอดสั่งซื้อลดลงต่อเนื่อง

18.กลุ่มธนาคาร เครือข่ายค่ายมือถือ ที่ใช้ระบบออนไลน์ทำธุรกรรมมากขึ้น ปรับลดจำนวนพนักงานลง และยังไม่รวมภาคอุสาหกรรมและการเกษตรที่ราคาตกต่ำแต่ขายปลีกแพง

ทุกคนต้องระวังนะ อย่าใช้เงินเกินตัว
เหตุการณ์นี้อาจอยู่ยาว 2 ปี หรือมากกว่า

Cr. ดร.ปัณนรัตน์ รังสีเสาวภาคย์
lukton2000
Verified User
โพสต์: 314
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3345

โพสต์

ข้อมูลด้านบน น่าจะเป็นข่าวเก่านะครับ และอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง โปรดไตร่ตรอง ก่อนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
A44950

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3346

โพสต์

amornkowa เขียน:
อังคาร ก.พ. 18, 2020 9:20 am
กลิ่นบางๆ ฟองสบู่ของประเทศไทยมาแล้วค่ะ
เก็บเงินไว้ก่อน อย่าลงทุนซื้ออะไรหนักๆในระหว่างนี้
นี่คือการทำเพื่อให้บริษัทอยู่รอดของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ

0.เชฟโรเลตปิดฉาก ขายโรงงาน เลิกจำหน่าย ผลิตรถในไทย

1. Honda เพิ่มวันหยุดยาว ในเดือนเมษายน พฤษภาคม กรกฎาคม สิงหาคม มีวันหยุด ติดต่อกัน 10 วัน และหยุดทุกวันเสาร์- อาทิตย์

2. Toyota เริ่มทยอยปลดพนักงาน Supervisor ไป 1 lot แล้ว เนื่องจากเเบกรับภาระขาดทุน ค่าแรงงานที่สูงไม่ไหว รถที่ผลิตออกมาจอดเต็ม Stock ขายไม่ได้

3. GM ปลดพนักงาน Sup ออกหมดเเล้ว เเละแบรนด์เนมที่เป็นของ Isuzu ให้นำกลับไป ประกอบที่สำโรงเเล้วเพื่อลด Cost ส่วน บ. แม่ GM ที่อเมริกา ทางรัฐบาลของสหรัฐ อุ้มไว้เเล้ว หากไม่อุ้มอีก 3 เดือนข้างหน้า GM จะล้มละลาย บริษัท​ GM จะเลิกขายผลิตภัณฑ์เชฟโรเลต​ ภายในสิ้นปีนี้2563 และจะปิดตัวถาวร

4. Nissan ลดการผลิตลง 50% เเละกำลังลดพนักงานออกชุดเเรก เดือนหน้า

5. Misubishi ยังมียอดขายที่ต่างประเทศอยู่บ้าง จะกระทบจริงเดือน มค. ปีหน้า

6. AAT กำลังทำกิจกรรมลดต้นทุนอย่างหนัก ทั้งไม่ให้มี OT ทำกิจกรรรม Balance งานใหม่ทั้งระบบเพื่อลดค่าใช้จ่าย เเละยังไม่ปลดคน…ปีหน้าไม่เเน่

7. Fujisu เอาออกไปแล้ว 300 คน

8.Sieko Instrument เอาออกไปแล้ว 400 คน

9. Statschippac ตั้งแต่เดือนหน้า หยุดทำงานทุกๆวันจันทร์

10.TOT เท9พันล้านโละพนักงานอีกกว่า 3,500คน ลดภาระเงินเดือนที่จ่ายปีละ 1.4หมื่นล้าน

11. Sumsung – LG ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปเวียดนาม และยกเลิกสายการผลิตtvในไทย เนื่องจากแบกรับต้นทุนค่าแรง วันละ 300 บ.ไม่ไหว

12. อินโด ปิดน่านน้ำ ส่งผลให้ แรงงานประมงกว่า 3,000 อัตรา จ่อตกงาน ธุรกิจประมงขาดทุนยับ!!

12.การบินไทย ปรับลงพนักงานอีกกว่า 5,000 อัตรา หลังขาดทุนต่อเนื่อง!!

13.เครือ EU ยกเลิกการนำเข้าสินค้าประมงไทย สิ้นเดือนนี้!
หากไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ / ประชาธิปไตยได้

14.ธุรกิจท่องเที่ยวชั้น เฟริสคราส จ่อเจ๊งยับ!!
15. โรงแรมใหญ่ๆ ในประเทศไทย ทะยอยปิดตัว หลังนักท่องเที่ยวหดหาย แบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว ยกตัวอย่าง รร. เก่าแก่ อย่าง อิมพีเรียล ควีนปาร์ค ที่ ปิดตัวลงเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

16. Nikon, TOYOTA ย้ายฐานการผลิตจากไทยแต่เริ่มไปเปิดฐานการลงทุนใหม่ ที่ประเทศลาว โดยเริ่มบุกตลาดด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร และ พลังงาน

17.หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ – ขนาดกลาง เริ่มปรับลดโอที หลังประสบปัญหาขาดทุน/ยอดสั่งซื้อลดลงต่อเนื่อง

18.กลุ่มธนาคาร เครือข่ายค่ายมือถือ ที่ใช้ระบบออนไลน์ทำธุรกรรมมากขึ้น ปรับลดจำนวนพนักงานลง และยังไม่รวมภาคอุสาหกรรมและการเกษตรที่ราคาตกต่ำแต่ขายปลีกแพง

ทุกคนต้องระวังนะ อย่าใช้เงินเกินตัว
เหตุการณ์นี้อาจอยู่ยาว 2 ปี หรือมากกว่า

Cr. ดร.ปัณนรัตน์ รังสีเสาวภาคย์
ผมตามอ่านสรุปพี่อมรมาตลอด แต่โพสท์นี้ผมว่าไม่น่าเอามาลง มันเป็นข่าวเก่า(ไม่เชื่อก้อลองsearchดู)แล้วเอามาปนๆกับข่าวเชฟโลเรต คนที่่เปนคนต้นโพสท์คงแค่อยากมีตัวต้นในโลกออนไลน์เลยพยายามเอาข่าวนู่นนี่นั่นมาผสมกัน อย่างข่าวฮอนด้า นิสสัน ก้อเปนข่าวตั้งแต่ปี58 ข่าวโรงแรมควีนส์ปาคก้อเปนข่าวตั้งแต่ปี57-58นู่น ที่เปลี่ยนเปนแมริออทแทน
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3347

โพสต์

CGD EGM 2020
24/02/2020 9:30

ถือเป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์ตกหนัก4%มากสุดในภูมิภาค
โดยเฉพาะจีน ที่เป็นต้นกำเนิด โคโลน่าไวรัส หรือ Covid-19 ยังตกน้อยกว่าเราเลย
มาเข้าเรื่องการประชุม

ผมเห็นการจัดห้องประชุมแล้ว
โต๊ะที่นั่งจัดให้กับกรรมการและผู้บริหาร
แต่ไม่มีให้กับผู้ถือหุ้นมาร่วมประชุม
ทำให้ผู้ถือหุ้นนั่งแต่เก้าอี้ น่าจะจัดเผื่อผู้สูงสัยด้วย

ปรากฏว่าเริ่มประชุม ผู้บริหารมานั่งกันไม่เกิน5คน
ที่เหลือ ว่างจน ผู้สูงวัยมานั่งแทน
คราวหน้า น่าจะแบ่งส่วนนึงให้ผู้ถือหุ้นด้วยนะครับ


+ ผู้ร่วมประชุม 145ราย มาด้วยตนเอง 46ราย รับมอบ 99ราย
คิดเป็นจำนวนหุ้น 77.4654%
คิดเป็นหุ้น 6,403,391,042หุ้น

วาระ 1
+ รับรองรายงานการประชุมสามัญ เมื่อ 26/04/2562
ไม่มีคำถามจากผู้มาร่วมประชุม

มติ ผ่าน

วาระ 2
+ อนุมัติวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมของบริษัท
จำนวน 2,000 ลบ รวมของเดิมจะเป็น 7,000ลบ

+ ตอนนี้มีหุ้นกู้ค้างอยู่ 4รุ่น 4213ล้าน ดอกเบี้ย 7-7.25%

+ ที่ต้องขอวงเงินเพราะ มีนาคมนี้ จะมีหุ้นกู้หมดอายุ 2,000ลบ
ถ้าออกรุ่นใหม่มาไถ่ถอนจะเกินวงเงินที่ขอไว้5,000ลบ
เลยต้องขออนุมัติเสนอขายหุ้นกู้อีก 2,000 ลบ
สรุปว่าท้ายสุด ยอดหุ้นกู้ ก็จะไม่เกิน 5,000ลบ

+ ตอนนี้ de 4.5เท่าเพิ่มจาก ธค 18. ที่3.7เท่า
ส่วน ที่มีภาระดอกเบี้ย 3.5เท่า เพิ่มจาก ธค 18 ที่ 2.8เท่า
+ มีเงินรับล่วงหน้า 4,200ลบ ที่จะทยอยโอน

สัดส่วนหนี้สินเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้น

1.เงินกู้โครงการเจ้าพระยาเอสเตท 57%
2.เงินกู้โครงการโอวินดีน 2%
3.ตั๋วแลกเงินระยะสั้น 1%
4.หุ้นกู้ระยะยาว 18%
5.เงินมัดจำรับล่วงหน้า 19%
6.อื่นๆ 3%


วาระ 3
+ อื่นๆ
+ คุณวันชัย อาสาพิทักษ์สิทธิ์ จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สอบถามรายละเอียดเรื่องหุ้นกู้ตัวใหม่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่
ซึ่งไม่ได้บอกตอนประชุม
เป้าหมายสำหรับคนถือหุ้นเดิมหรือกลุ่มอื่น
ตอบ หุ้นกู้ชุดใหม่ 2,000ลบ อัตราผลตอบแทนประมาณ 7-7.25% ใช้หลักประกันเดิม อายุ 2ปีเท่าเดิม ขายHigh networkและลูกค้าสถาบัน

+ ถามว่า รร นานาชาติเป็นอย่างไรบ้าง และ สอบถามโครงการประเทศื่นเป็นอย่างไร
+ ตอบ มี2โครงการ โครงการโอวินดีนที่อังกฤษซื้อมาปี 2016 มีค่าเช่าสม่ำเสมอ ตอนนี้ยังเก็บค่าเช่าอยู่
อาจจะมีแผนการขายถ้าผลตอบแทนดี ไม่มีพฒนาส่วนนี้
ส่วนโครงการที่พระราม 3 เป็นรรนานาชาติ kindergarten เกรด1ถึงเกรด 12 รายละเอียดจะอยู่ในประชุมผถห 28 เมษา

จบประชุม
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3348

โพสต์

CGD EGM 2020
24/02/2020 9:30

ถือเป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์ตกหนัก4%มากสุดในภูมิภาค
โดยเฉพาะจีน ที่เป็นต้นกำเนิด โคโลน่าไวรัส หรือ Covid-19 ยังตกน้อยกว่าเราเลย
มาเข้าเรื่องการประชุม

ผมเห็นการจัดห้องประชุมแล้ว
โต๊ะที่นั่งจัดให้กับกรรมการและผู้บริหาร
แต่ไม่มีให้กับผู้ถือหุ้นมาร่วมประชุม
ทำให้ผู้ถือหุ้นนั่งแต่เก้าอี้ น่าจะจัดเผื่อผู้สูงสัยด้วย

ปรากฏว่าเริ่มประชุม ผู้บริหารมานั่งกันไม่เกิน5คน
ที่เหลือ ว่างจน ผู้สูงวัยมานั่งแทน
คราวหน้า น่าจะแบ่งส่วนนึงให้ผู้ถือหุ้นด้วยนะครับ


+ ผู้ร่วมประชุม 145ราย มาด้วยตนเอง 46ราย รับมอบ 99ราย
คิดเป็นจำนวนหุ้น 77.4654%
คิดเป็นหุ้น 6,403,391,042หุ้น

วาระ 1
+ รับรองรายงานการประชุมสามัญ เมื่อ 26/04/2562
ไม่มีคำถามจากผู้มาร่วมประชุม

มติ ผ่าน

วาระ 2
+ อนุมัติวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมของบริษัท
จำนวน 2,000 ลบ รวมของเดิมจะเป็น 7,000ลบ

+ ตอนนี้มีหุ้นกู้ค้างอยู่ 4รุ่น 4213ล้าน ดอกเบี้ย 7-7.25%

+ ที่ต้องขอวงเงินเพราะ มีนาคมนี้ จะมีหุ้นกู้หมดอายุ 2,000ลบ
ถ้าออกรุ่นใหม่มาไถ่ถอนจะเกินวงเงินที่ขอไว้5,000ลบ
เลยต้องขออนุมัติเสนอขายหุ้นกู้อีก 2,000 ลบ
สรุปว่าท้ายสุด ยอดหุ้นกู้ ก็จะไม่เกิน 5,000ลบ

+ ตอนนี้ de 4.5เท่าเพิ่มจาก ธค 18. ที่3.7เท่า
ส่วน ที่มีภาระดอกเบี้ย 3.5เท่า เพิ่มจาก ธค 18 ที่ 2.8เท่า
+ มีเงินรับล่วงหน้า 4,200ลบ ที่จะทยอยโอน

สัดส่วนหนี้สินเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้น

1.เงินกู้โครงการเจ้าพระยาเอสเตท 57%
2.เงินกู้โครงการโอวินดีน 2%
3.ตั๋วแลกเงินระยะสั้น 1%
4.หุ้นกู้ระยะยาว 18%
5.เงินมัดจำรับล่วงหน้า 19%
6.อื่นๆ 3%


วาระ 3
+ อื่นๆ
+ คุณวันชัย อาสาพิทักษ์สิทธิ์ จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สอบถามรายละเอียดเรื่องหุ้นกู้ตัวใหม่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่
ซึ่งไม่ได้บอกตอนประชุม
เป้าหมายสำหรับคนถือหุ้นเดิมหรือกลุ่มอื่น
ตอบ หุ้นกู้ชุดใหม่ 2,000ลบ อัตราผลตอบแทนประมาณ 7-7.25% ใช้หลักประกันเดิม อายุ 2ปีเท่าเดิม ขายHigh networkและลูกค้าสถาบัน

+ ถามว่า รร นานาชาติเป็นอย่างไรบ้าง และ สอบถามโครงการประเทศื่นเป็นอย่างไร
+ ตอบ มี2โครงการ โครงการโอวินดีนที่อังกฤษซื้อมาปี 2016 มีค่าเช่าสม่ำเสมอ ตอนนี้ยังเก็บค่าเช่าอยู่
อาจจะมีแผนการขายถ้าผลตอบแทนดี ไม่มีพฒนาส่วนนี้
ส่วนโครงการที่พระราม 3 เป็นรรนานาชาติ kindergarten เกรด1ถึงเกรด 12 รายละเอียดจะอยู่ในประชุมผถห 28 เมษา

จบประชุม
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3349

โพสต์

amornkowa เขียน:
อังคาร ก.พ. 18, 2020 9:20 am
กลิ่นบางๆ ฟองสบู่ของประเทศไทยมาแล้วค่ะ
เก็บเงินไว้ก่อน อย่าลงทุนซื้ออะไรหนักๆในระหว่างนี้
นี่คือการทำเพื่อให้บริษัทอยู่รอดของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ

0.เชฟโรเลตปิดฉาก ขายโรงงาน เลิกจำหน่าย ผลิตรถในไทย

1. Honda เพิ่มวันหยุดยาว ในเดือนเมษายน พฤษภาคม กรกฎาคม สิงหาคม มีวันหยุด ติดต่อกัน 10 วัน และหยุดทุกวันเสาร์- อาทิตย์

2. Toyota เริ่มทยอยปลดพนักงาน Supervisor ไป 1 lot แล้ว เนื่องจากเเบกรับภาระขาดทุน ค่าแรงงานที่สูงไม่ไหว รถที่ผลิตออกมาจอดเต็ม Stock ขายไม่ได้

3. GM ปลดพนักงาน Sup ออกหมดเเล้ว เเละแบรนด์เนมที่เป็นของ Isuzu ให้นำกลับไป ประกอบที่สำโรงเเล้วเพื่อลด Cost ส่วน บ. แม่ GM ที่อเมริกา ทางรัฐบาลของสหรัฐ อุ้มไว้เเล้ว หากไม่อุ้มอีก 3 เดือนข้างหน้า GM จะล้มละลาย บริษัท​ GM จะเลิกขายผลิตภัณฑ์เชฟโรเลต​ ภายในสิ้นปีนี้2563 และจะปิดตัวถาวร

4. Nissan ลดการผลิตลง 50% เเละกำลังลดพนักงานออกชุดเเรก เดือนหน้า

5. Misubishi ยังมียอดขายที่ต่างประเทศอยู่บ้าง จะกระทบจริงเดือน มค. ปีหน้า

6. AAT กำลังทำกิจกรรมลดต้นทุนอย่างหนัก ทั้งไม่ให้มี OT ทำกิจกรรรม Balance งานใหม่ทั้งระบบเพื่อลดค่าใช้จ่าย เเละยังไม่ปลดคน…ปีหน้าไม่เเน่

7. Fujisu เอาออกไปแล้ว 300 คน

8.Sieko Instrument เอาออกไปแล้ว 400 คน

9. Statschippac ตั้งแต่เดือนหน้า หยุดทำงานทุกๆวันจันทร์

10.TOT เท9พันล้านโละพนักงานอีกกว่า 3,500คน ลดภาระเงินเดือนที่จ่ายปีละ 1.4หมื่นล้าน

11. Sumsung – LG ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปเวียดนาม และยกเลิกสายการผลิตtvในไทย เนื่องจากแบกรับต้นทุนค่าแรง วันละ 300 บ.ไม่ไหว

12. อินโด ปิดน่านน้ำ ส่งผลให้ แรงงานประมงกว่า 3,000 อัตรา จ่อตกงาน ธุรกิจประมงขาดทุนยับ!!

12.การบินไทย ปรับลงพนักงานอีกกว่า 5,000 อัตรา หลังขาดทุนต่อเนื่อง!!

13.เครือ EU ยกเลิกการนำเข้าสินค้าประมงไทย สิ้นเดือนนี้!
หากไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ / ประชาธิปไตยได้

14.ธุรกิจท่องเที่ยวชั้น เฟริสคราส จ่อเจ๊งยับ!!
15. โรงแรมใหญ่ๆ ในประเทศไทย ทะยอยปิดตัว หลังนักท่องเที่ยวหดหาย แบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว ยกตัวอย่าง รร. เก่าแก่ อย่าง อิมพีเรียล ควีนปาร์ค ที่ ปิดตัวลงเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

16. Nikon, TOYOTA ย้ายฐานการผลิตจากไทยแต่เริ่มไปเปิดฐานการลงทุนใหม่ ที่ประเทศลาว โดยเริ่มบุกตลาดด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร และ พลังงาน

17.หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ – ขนาดกลาง เริ่มปรับลดโอที หลังประสบปัญหาขาดทุน/ยอดสั่งซื้อลดลงต่อเนื่อง

18.กลุ่มธนาคาร เครือข่ายค่ายมือถือ ที่ใช้ระบบออนไลน์ทำธุรกรรมมากขึ้น ปรับลดจำนวนพนักงานลง และยังไม่รวมภาคอุสาหกรรมและการเกษตรที่ราคาตกต่ำแต่ขายปลีกแพง

ทุกคนต้องระวังนะ อย่าใช้เงินเกินตัว
เหตุการณ์นี้อาจอยู่ยาว 2 ปี หรือมากกว่า

Cr. ดร.ปัณนรัตน์ รังสีเสาวภาคย์
ผมเช็คแล้วเป็นข้อความเมื่อกลางปีที่แล้ว และมาเพิ่มเชฟโรเลตเข้า
และ ดร ปัณนรัตน์ ไม่รู้ว่ามีตัวตนไหม
ขออภัยกับคนในห้องหาดใหญ่ด้วยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3350

โพสต์

ห้องหาดใหญ่เดี๋ยวนี้ภูมิคุ้มกันหุ้นตกสูงขึ้นมาก
SET ร่วง 3-4 วันเป็นร้อยจุดยังทำอะไรไม่ได้ ห้องสงบนิ่ง ไม่มีเสียงบ่นซักแอะ :mrgreen:
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3351

โพสต์

ดร นิเวศน์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ รู้ไว้ เข้าใจเงินกับ น้องบิว Chittima Tawaret
เมื่อวันที่27กพ 10.40

อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า นาทีนี้มีหุ้นปลอดภัยน่าลงทุน เลือกซื้อได้หลายตัว
แตอย่าคาดหวังผลตอบแทนสูงมากนะ
แต่ก็ยังมีหุ้นจำนวนมากที่ยังแพงอยู่ ต้อง selective buy
ดังนั้น ยังสรุปไมได้ว่าลงทุนช่วงนี้แล้วได้ผลตอบแทนดี
โดยยังมีหุ้นบางตัวที่ยังแพงอยู่ และตลาดหุ้นก็ไม่อยู่ในโซนที่ถูก
โอกาสที่ดัชนีลงต่อ ก็ยังมีอยู่. ตอนนี้ลงมา10กว่า%แล้ว
(ถ้าลงมาอีกเหมือนเมื่อวาน ก็ถือว่าเป็นช่วงวิกฤตแล้ว)

อาจารย์บอกว่าต้องเผื่อไว้บ้าง เพราะถ้ามีการกระจายของผู้ติดเชื้อกว้างขวางขึ้น
ความเสี่ยงก็ค่อนข้างสูง. ดังนั้นหุ้นที่ลงทุนต้องเป็นหุ้นที่defensiveพอสมควร

หุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ต้องdiscountมากกว่านี้อีก
แต่หุ้นที่ไม่ถูกกระทบทางตรง. ก็พอลงทุนได้
ต้องดูว่าไวรัสอยู่อีกนานไหม กระทบต่อเศรษฐกิจเยอะไหม
ตอนนี้กลุ่มท่องเที่ยว การบิน ราคายังไม่น่าสนใจ

ตลาดหุ้นตอนนี้ยังไม่เรียกว่าวิกฤต แต่ก็มีโอกาสถึง
เผลอๆถ้ามีcorrection หนักๆอีกสัก10% ก็ถือว่าวิกฤต (ตลาดหุ้นลงเกิน20%ถือเป็นภาวะวิกฤติ
แต่ถ้าปรับตัวน้อยกว่าทเรียกว่าปรับฐาน)
ลงทุนตอนนี้ต้องเผื่อด้วย เราต้องหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านี้
ไปลงทุนหุ้นdefensive และมีปันผล. บริษัทมีอนาคต
และไม่เกี่ยวข้องกับ Covid-19 และถือหุ้นข้ามปีไป ก็มีโอกาสฟื้น
เราหวังแค่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ให้ปันผล5% ก็พอใจแล้ว

ตอนวิกฤต แฮมเบอร์เกอร์ มั่นใจ100%ว่าตลาดต้องกลับมา
เพราะเป็นเรื่องของสหรัฐ กระทบเราไม่มาก
แต่ตอนนี้ไม่รู้จบเมื่อไหร่ อาจระบาดเกินปี ถือเป็นปัญหาใหญ่
บ้านเรา ศก ชะลอมาหลายปี บริษัทจดทะเบียนไม่มีgrowth
ไม่เหมือนสมัยต้มยำกุ้ง ที่มีบริษัทส่งออกมาช่วย
คงต้องติดตามดูต่อไป

ขอบคุณ ดร นิเวศน์ สำหรับความคิดเห็นกับตลาดช่วงนี้ครับ
pakkanit9
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3352

โพสต์

ขออนุญาตครับ พอดีผมกำลังทำบล็อกเกี่ยวกับการลงทุน
ชื่อเว็บ investingchoices.in.th ครับ
ตอนนี้อยากทำบทความวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นแต่ละตัวว่าสามารถถือยาวได้หรือไม่ครับ แยกเป็นรายตัวไปสำหรับหุ้นตัวใหญ่ๆครับ
หากพี่ๆท่านใด ได้เคยเขียนหรือสามารถเขียนวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นแต่ละได้ และมีความสนใจอยากหางานพิเศษทำเป็นงานอดิเรก รบกวนติดต่อได้ที่ อีเมลล์ [email protected] ยินดีและมีค่าใช้จ่ายให้ในการเสียเวลาครับ ขอบคุณครับ
เว็บผมถ้าเสิร์สกูเกิ้ลคำว่า ลงทุนอะไรดี ก็จะอยู่หน้าแรกเลยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3353

โพสต์

จ๊ะเอ๋.... :B
กลับมาแล้วคร๊าบบบ หุ้นตกก็ตกไป เราอย่าไปเหนียม

มาGozzipเบาๆ รับตลาดหุ้นตกหนัก วิกฤติCovid19กัน
1.ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม มีหุ้นทำnewlow52week 480ตัว (เกินครึ่งของตลาดหุ้น)
ถ้าเป็นช่วงซัพไพร์ม มีหุ้นทำnewlow อยู่ประมาณ75% นะครับ :oops:

2.หุ้นหลายตัว อัพสมุดผู้ถือหุ้นกันหลายตัวแล้ว หุ้นที่เซียนVI หรือเซียนทั่วไปที่คุ้นๆชื่อ หลายตัวชื่อหายออกไปจากผถห.ใหญ่กันเยอะเลย มีทั้งขายเอง, โดนฟอร์สเซลล์, ขายหนีตายก่อนโดนฟอร์สเซลล์

3.แหล่งข่าวบอกว่า ผถห.ใหญ่หลายคนที่เป็นเซียนหน้าใหม่ ใช้มาจิ้นในการซื้อหุ้นในช่วง2ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ขายหนีตายกันบ้างแล้ว (ตัดแขนรักษาชีวิต :8) )

4.1 ในวิกฤติ ย่อมมีวิบัติ เอ้ยไม่ใช่ :la: ย่อมมีโอกาส หลายบริษัทกลับenjoy กับสถานการแบบนี้ เช่นประกันภัย
แหล่งข่าวสูงยาว เข่าดี บอกว่า คนเดินทางกันน้อยลง ก็แปลว่าโอกาสรถชนน้อยลง คชจ.การเคลมลดลง ก็แปลว่ากำไรของบริษัทเหล่านี้น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย :ohno:

4.2ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ work from home เช่นอินเตอร์เน็ต ที่ยังไงคนก็ต้องใช้ ก็น่าจะกำไรไม่ลด
บางคนบอกธุรกิจหมอ รพ. ก็น่าจะดี เพราะคนนั่งทำงานนานๆ ได้เป็นโรค Office syndrom กันเพิ่มแหงๆ (ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังเป็นอยู่ :'O )
ธุรกิจอาหารส่งออกอาหาร ก็น่าจะออเดอร์ดีเพราะทั่วโลกต้องการอาหารกันมากขึ้น แถมค่าเงินก็ดีขึ้นแล้วด้วย
ธุรกิจอาหารเสริม คนก้panic กันระดับนึง อาจจะขายดีก็ได้
หรือไม่ก็ธุรกิจที่แย่ชั่วคราว พอปีหน้าฟื้น ก็เป็นโอกาสที่ดีมากๆเช่นกัน

5.กลยุทธ์การลงทุนที่ดี ในช่วงตลาดหุ้นฟื้นตัว คือหุ้นPE, PBVต่ำ (อ้างอิงจากรูปที่ผมเคยโพสไป)
แต่ก็คำนวนPE, PBV, ปันผลให้ดีๆนะครับ

เด๋วจะเหมือนกับรูปนี้ :oops:
S__3244060.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3354

โพสต์

คำแนะนำที่ชัดเจนที่สุดของ ดร.นิเวศน์ ต่อการลงทุนในวิกฤต Covid-19 และราคาน้ำมัน

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมถอดความ การให้สัมภาษณ์ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบแห่งวีไอไทย ในรายการ Suthichai Live ท่านได้พูดถึงการลงทุนในวิกฤต Covid-19 บวกกับราคาน้ำมัน ไว้อย่างชัดเจนมากๆ สรุปไว้เป็นข้อๆ แล้ว ลองอ่านดูนะครับ

ประเทศไทย ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องลดดอกเบี้ย แม้จะไม่ถึง 0 โดยการ take action ที่เป็นอยู่นี่ถือว่าช้าแล้ว
มาตรการหลายอย่างของทางการไทยถือว่าช้ามาก ขาดความรวดเร็วและการมองไปข้างหน้า
สำหรับนักลงทุน อยู่ที่ว่า กล้าคิดต่างแล้วเข้าไปซื้อหรือไม่ ถ้าคิดว่าลงมากเกินไปก็ควรเข้าไปซื้อ นี่คือหลักพื้นๆ
แม้กระนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะจิตใจเรามักไม่แข็งแกร่งพอ พอหุ้นลงมาเยอะๆ เราก็จะใจเสีย คิดว่า “หุ้นตายแน่แล้ว”

และในเวลาที่คนส่วนใหญ่คิดว่า “หุ้นตายแน่แล้ว” นี่แหละ คือโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะสำหรับพวกวีไอ หรือนักลงทุนระยะยาว
แต่ทั้งนี้ ต้องกล้าแล้วตัดสินใจถูกด้วย ถ้ากล้าแล้วตัดสินใจผิดก็ตายอยู่ดี เพราะฉะนั้น จึงต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้ง

ให้มองหุ้นที่ราคาตก แต่มั่นใจว่าถือไว้ 2-3 ปีแล้วจะกลับมา
ให้มองหุ้นที่เป็นบริษัทหลักๆ สถาบันหลักๆ ของประเทศ เป็นหุ้นที่ถ้าเจ๊ง ประเทศไทยจะอยู่ไม่ได้ พวกนี้ลงทุนได้
เวลาจะเข้าซื้อ ต้องใจแข็ง ต้องบอกตัวเองว่า เราเข้าซื้อรอบนี้ ถึงลงต่อเราก็ไม่ขาย จะลงก็ลงไป แต่อย่าลงเงินไปทั้งหมด อย่าทุ่มสุดตัว ไม่งั้นถ้าหุ้นกลับมาช้าเราจะแย่
คนที่มีโอกาสดีที่สุดตอนนี้ คือคนที่ไม่มีหุ้นเลย และไม่เคยลงทุน เป็นเวลาดีที่จะเริ่ม
ราคาหุ้นบลูชิพหลายตัวเป็นราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นราคาย้อนหลังไปสิบปี หมายความว่า ถ้าคุณลงทุนมาสิบปี มันเอาคืนไปหมดแล้ว
เช่น หุ้นตัวใหญ่ๆ หุ้นแบงก์ บางตัว ราคาลงมาครึ่งหนึ่ง ปันผลก็ 6-7% เข้าไปแล้ว ถ้าเรามั่นใจว่าอีก 2-3 ปีมันจะฟื้นขึ้นมาได้ ก็ลงทุนได้เลย (หุ้นพวกนี้ถ้าตัวแกเองมีเงินเยอะจะซื้อแน่ แต่ตอนนี้เหลือเงินน้อย จึงต้องรอให้นิ่งก่อน)
อเมริกาหุ้นก็ตกพอๆ กับเรา แต่ที่ต่างกันคือช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นอเมริกาขึ้นมาตลอด ถ้าลงทุนระยะยาวแล้วถือมาเรื่อยๆ ยังไงก็ยังกำไร
ต่างจากเมืองไทย ที่ดัชนีหุ้น 7-8 ปี ไม่เคยขึ้นเลย เคยขึ้นไป 1700-1800 แล้วก็ตกลงมา ไม่ไปไหนเลย 7-8 ปี
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเจ็บกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นขึ้นแล้วตก ขณะที่เราไม่ขึ้น แต่เวลาตก ตกเท่ากับเค้า

ช่วงวิกฤตซับไพร์ม หุ้นไทยตกจาก 800 เป็น 400 จุด แต่แค่สองปีก็กลับขึ้นเป็น 1010 จุด ซึ่งก็คือจุดที่เป็นอยู่ตอนนี้ เท่ากับว่า เวลาผ่านมาสิบปี เราย้อนกลับไปสู่จุดเดิม ซึ่งเป็นอะไรที่หนักมาก
การจะซื้อหุ้นได้หรือยัง ต้องดูพื้นฐานเศรษฐกิจ ดูเรื่องของโควิด แกเชื่อว่าถ้าโควิดดีขึ้น มีความชัดเจนขึ้น ส่วนราคาน้ำมัน เดี๋ยวเค้าคงต้องทำอะไรให้มันปรับขึ้นมา ถึงจุดนั้นหุ้นจะเด้งแน่นอน แล้วคนที่กล้าลงตอนนี้ก็จะได้กำไร
แต่หลังจากนั้น เมื่อวิกฤตหายไป เมื่อฝุ่นหายตลบ สิ่งสำคัญก็จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่น่าเสียดายที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมานานหลายปี 5-6 ปี ที่ผ่านมา GDP โตแค่ 3% และจะลดลงอีก ส่วนสำคัญเพราะคนอายุมากขึ้น

นอกจากนี้ เมืองไทยนอกจากคนจะแก่ตัวลงแล้ว ยังไม่มีเศรษฐกิจใหม่ๆ โอกาสเพิ่มประสิทธิภาพจึงยาก
ทุกคนถ้ามีเงินเหลือต้องลงทุน อย่าเอาเงินฝากไว้เฉยๆ เพราะการฝากเงินเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนน้อยมาก และสุดท้ายดอกเบี้ยจะลงไปเกือบเป็นศูนย์ ถ้าทิ้งเงินไว้ในแบงก์จะเสียหายเยอะ และเสียหายไปเรื่อยๆ ทุกปี
ตอนนี้หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 4% แล้ว หากลงทุนในหุ้นต่อไป ต่อให้ไม่ขึ้น ก็ยังได้ปันผลอาจถึง 5-6% แล้วอย่างนี้จะไม่เอาหรือ?

หุ้นใหญ่ๆ ตอนนี้ลงมามาก จนลงต่อได้ยากแล้ว ต้องกล้าเข้า และต้องตัดสินใจเลือกให้ถูก ให้ดูเป็นรายตัว แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ซื้อ SET50 ไปเลย
ให้ดูหุ้นที่เจ๊งไม่ได้ เช่น หุ้นโทรศัพท์มือถือ เศรษฐกิจจะตกต่ำยังไง คนก็ต้องใช้ ยิ่งคนออกจากบ้านไม่ได้ ก็ย่ิงต้องใช้โทรศัพท์ ใช้เน็ต รายได้-กำไรจึงไม่น่าจะลด ปันผลตอนนี้ 4-5% หุ้นพวกนี้ถ้าเจ๊ง ตัวเราเองก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเน็ต จะอยู่ได้อย่างไร
หรือพวกสาธารณูปโภค พวกธนาคาร พวกนี้ถ้าเจ๊ง ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ แต่ต้องดูปันผลด้วย อย่าไปซื้อหุ้นปันผลน้อยๆ
ให้ดูหุ้นเป็นรายตัว เกณฑ์คือ ต้องมั่นคง ไม่ถูกดิสรัป มีความจำเป็น รายได้กำไรไม่ลด ปันผลต้องดี 4% ขึ้นไป อาจไม่ต้องเป็นหุ้นใหญ่มาก แต่เป็นหุ้นหลักของอุตสาหกรรม
ไม่ต้องไปมองพันธบัตร ดอกเบี้ยแค่ 2-3% แต่เสี่ยงกว่าซะอีก ยิ่งหุ้นกู้ เศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งไม่รู้บริษัทจะมีปัญญาใช้หนี้เรามั้ย แม้จะให้ดอกเบี้ยดี แต่ไม่รู้ซื้อไปแล้วจะได้เงินคืนมั้ย จะไปซื้อทองก็ไม่มีดอกผล บางทีอยู่ๆ ก็ตก
ตัว ดร.นิเวศน์ เองพลาดมาก เพราะเคยมองว่าวิกฤตจะมา จึงทยอยขายหุ้น จนถือเงินสด 20% ปรากฏว่าพอหุ้นไม่ลงสักที ก็คิดว่าวิกฤตไม่มาแล้ว เลยเข้าไปซื้อ พอซื้อแล้ววิกฤตค่อยมา ก็เลยเจ็บตัว
แต่ในเมื่อเจ็บตัวแล้ว “จงอย่าเจ็บแบบหายนะ” ตอนนี้ตัวแกเองกำเงินสด 5% ที่เหลือ กำลังรอเข้ารอบสุดท้ายอยู่
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3355

โพสต์

476: บันทึกไว้ในช่วงที่เกิดไวรัสโคโรน่า
Cr:คุณสุมาอี้

ช่วงนี้ผมใช้วิธีเขียนบล็อกล่วงหน้าไว้เยอะๆ แล้วค่อยทยอยปล่อยออกมา ไม่นึกว่าจะต้องมาเขียนหัวข้อฉุกเฉิกในช่วงนี้ มันมาถึงเร็วกว่าที่คิด
โรคระบาดใหญ่ เป็นปัจจัยที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลยก่อนหน้านี้ หรือถ้าจะเคยมีก็อาจเป็นช่วงหลังจากโรคซาร์สใหม่ๆ ซึ่งความกลัวแบบนั้นก็อาจจะอยู่กับเราไปสามสี่ปี แต่พอหลังจากนั้น ไม่เกิดขึ้น เราก็จะเลิกสนใจไปเอง คนเราก็เป็นแบบนี้นะครับ

หรือต่อให้ยังคงระวังเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มกันรึเปล่า อาจทำให้เรากล้าๆ กลัวๆ อยู่เป็นสิบปี คิดแล้วไม่คุ้ม ความเสี่ยงแบบนี้ยังมีอีกหลายอย่าง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ถ้าต้องระวังหมดทุกเรื่องก็คงไม่ไหว บางอันเกิดนิดเดียวแล้วจบ รีบขายหนีก็เสียโอกาส แต่บางอันก็อาจบานปลายระดับสูงสุด

สรุปแล้วมันคือความเสี่ยงที่นักลงทุนในตลาดหุ้นต้องแบกรับไปนั่นแหละ ป้องกันล่วงหน้าได้ยาก
เมื่อเร็วๆ นี้ดูเหมือนจะเริ่มมีสัญญาณในเชิงบวก เพราะจีนควบคุมไวรัสได้แล้ว และราคาน้ำมันก็ตกลงมาต่ำกว่ายุคซัพไพรม์แล้ว แต่ยุโรปก็เพิ่งเริ่มต้น และดูเหมือนชาวตะวันตกจะยังมองไม่เห็นความน่ากลัวของมัน แบบเดียวกับที่เราก็เป็นในช่วงแรกๆ กว่าข่าวร้ายสุดๆ ของเรื่องนี้จะออกมา คือ ไวรัสกระจายเต็มสหรัฐฯ ตลาดหุ้นก็อาจจะยังตกต่อได้อีกนาน ทรัมป์เองก็ต้องพยายามพยุงตลาดหุ้นไว้ให้ผ่านเลือกตั้งปลายปีนี้ไปก่อนค่อยพัง มิหน่ำซำ้ ถ้าหากไวรัสไปจุดชนวนให้เศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งขยายตัวติดต่อกันมานานที่สุดในประวัติศาสตร์และรอแตกมาตั้งนานแล้ว เข้าสู่ภาวะถดถอยอีก ตลาดหุ้นทั่วโลกก็อาจจะต้องอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อีกนาน

ก็เหมือนกับทุกรอบที่ตลาดหุ้นตกหนัก ในช่วงแรกๆ ทุกคนก็จะรีบเข้าไปรับ เพราะเป็นการตกลงมาที่มากกว่าปกติที่เคยเห็นอยู่ทุกวัน คนเรามักรู้สึกว่าหุ้นถูกหรือแพงโดยเทียบกับราคาในช่วงใกล้ๆ เช่น เดือนที่แล้ว สองเดือนที่แล้ว ทุกคนเป็น contrarian เข้าไปรับ พอหุ้นเริ่มตกมากกว่านั้นอีก นักลงทุนก็รับไปจนเงินหมด แต่จะยังไม่ขายหุ้น เพราะว่าติดตัวแดงหมดทั้งพอร์ต จำใจขายได้ลำบาก ได้แต่นั่งดูหุ้นตกไปเรื่อยๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย

พอหุ้นตกต่อไปอีก คราวนี้ราคาหุ้นที่ลงไปเรื่อยๆ จะค่อยๆ บั่นทอนความเชื่อมั่นในตัวหุ้นที่ถืออยู่ ธุรกิจดีแล้วทำไมราคาลง เกิดภาวะจิตตก เริ่มเกลียดหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ อยากขายออกมาทั้งที่ขาดทุนมากกว่าเดิม คิดว่าควรตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แต่นี้จะมีคนไปถามกูรูหุ้นเยอะมากกว่า หุ้นหนูขาดทุนไปแล้ว 70% จะแก้ไขยังไงดี ความคิดของผู้คนจะค่อยๆ เปลี่ยนจากยิ่งตกต้องยิ่งซื้อ กลายเป็นเชื่อว่าหุ้นจะลงไปเรื่อยๆ โบรกเกอร์ก็เริ่มปรับเป้าจากขึ้นมาเป็นลงต่อ ตอนนี้คนจะมีความคิดอีกแบบหนึ่งขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้น เข้าไปซอร์ตหุ้นดีมั้ย หรือไม่ก็ซื้อ DW หรือไม่ก็ TFEX หรือถ้าใครเงินหมดแล้ว แม้แต่เงินวางประกันยังไม่มี ก็อาจจะคิดเรื่อง short against port ขายหุ้นทั้งที่ขาดทุนหนักอย่างนั้นออกไปก่อน แล้วรอให้ตลาดหุ้นตกลงไปมากกว่านี้ค่อยไปรับกลับคืน แต่ช่วงเวลาแบบนี้การชอร์ตหุ้นทุกรูปแบบเสี่ยงมาก ถ้าโชคดีหุ้นลงต่อในวันที่ทำพอดีก็โชคดีไป แล้วบ่อยครั้ง หุ้นมักจะมี tech rebound เกิดขึ้นระหว่างทาง หรือบางทีก็มีข่าวรัฐออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ยพิเศษ ออกแพจเกจพยุงหุ้น รวมไปถึงการออกคำสั่งห้ามช็อตหุ้นเพื่อพยุงตลาด short ผิดวัน ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก หรือแม้แต่การ short against port แล้วหุ้นเด้ง ไม่ยอม cover short กลายเป็นขาดทุนถาวร เป็นต้น
หรือต่อให้เป็นคนที่โชคดีมองถูกตั้งแต่แรกๆ ขายหุ้นออกมาถือเงินสดไว้ ก็จะมีความคิดว่า จะรอให้ตลาดหุ้นตกลงจนถึงจุดต่ำสุดก่อน แล้วจะค่อยกลับเข้าไปใหม่ แล้วก็จะรวย แต่การกะว่าจุดต่ำสุดของวิกฤตจะอยู่ที่ตรงไหนนั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เวลาที่เราไม่มีหุ้น เราจะเป็นกองเชียร์ฝั่งที่อยากให้หุ้นลงต่อ ซึ่งหลายๆ หน เราก็อาจจะคิดถูก หุ้นลงต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ สักพัก เราจะเริ่มเชื่อว่าหุ้นจะลงต่อไปเรื่อยๆ ความเชื่อว่าหุ้นจะลงของเรามันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหุ้นลงไปต่ำมากๆ แล้ว เพราะคนที่ทำแบบนั้นได้ เวลาหุ้นเด้งระหว่างทางจะต้องยืนกระต่ายขาเดียวว่าหุ้นจะลงต่อ เป็นการสะสมความเชื่อว่าหุ้นจะลงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอถึงเวลาที่หุ้นมันกลับตัวได้จริงๆ เราจะไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อได้ทัน เพราะเราเคยเชื่อถูกมาแล้วตั้ง 4-5 ครั้งแล้ว จะให้มาเปลี่ยนความคิดว่าหุ้นจะขึ้น มันยาก แล้วเราก็จะมองดูมันกลับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย สุดท้ายกว่าเราจะยอมรับความจริงว่าหุ้นมันขึ้นจริงๆ หุ้นก็อาจกลับตัวขึ้นไปมากแล้ว
ถ้าใครอยากได้คำแนะนำว่าหุ้นจะลงไปต่ำสุดแค่ไหน ผมช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะมองไม่ออกเลย ที่ผ่านมาก็มีอะไรหลายอย่างที่ผิดจากที่ผมคาดไว้ เช่น ก่อนหน้านี้ผมคิดว่า ถ้าน้ำมันต่ำเท่ากับช่วงซับไพร์มเมื่อไรน่าจะใกล้ต่ำสุด แต่ตอนนี้มันก็ต่ำกว่าแล้ว (อย่างรวดเร็ว) แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่งจะเริ่มลงเท่านั้น ถ้าเทียบกับภูเขาลูกมหึมาที่ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ประสบการณ์ในอดีตเอามาช่วยไม่ได้เลยจริงๆ
แทนที่เราจะพยายามทายจุดต่ำสุดให้ถูก ผมมีคำแนะนำอีกแบบหนึ่ง ลองพยายามตั้งสติดีๆ อะไรที่มันเสียหายไปแล้วก็ช่างมันไปก่อน ลองคิดดูดีๆ ว่าหลังจากวิกฤตไวรัสผ่านพ้นไปหมดแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แล้วค่อยมองย้อนกลับมาว่าเราควรจะทำยังไงดีกว่า

ประการแรก ไวรัสอาจจะอยู่กับเราได้อีกเป็นปี แต่คงไม่ใช่ตลอดไปแน่นอน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโดยตรง อาจจะลงต่อจากนี้อีกมากแค่ไหนก็ได้ในระยะสั้น แต่ว่าไม่ตลอดไปแน่นอน ตรงกันข้ามหุ้นเหล่านี้มีโอกาสลงมามากเกินไปแล้ว ลองคิดดูว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีไวรัสเหลืออยู่เลย เราจะให้ราคาหุ้นเหล่านี้อย่างต่ำเท่าไร โลกที่ไม่มีไวรัสแล้ว ทุกอย่างก็ไม่ได้ดูขี้เหร่ ต่อให้ไม่เลิศที่สุด แต่อย่างน้อยก็น่าจะไปได้เรื่อยๆ แน่ๆ ดอกเบี้ยก็คงยังต่ำเตี้ยติดดินต่อไป หรือตำ่ยิ่งกว่าเดิม เงินล้นโลก เงินไม่มีที่ไปเหมือนเดิม สุดท้ายแล้วเงินก็ยังต้องไหลกลับมาตลาดหุ้นอยู่ดี

ประการต่อมา เมื่อไวรัสจบแล้ว ผลกระทบที่ตกค้างต่อเศรษฐกิจจะมีอะไรได้บ้าง โดยส่วนตัว ผมมองว่าในกรณีร้ายสุด สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะซบเซา เป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่ำลง หรือต่อให้เศรษฐกิจโลกไม่ซบเซา แต่ก่อนหน้านี้ไทยก็อยู่ในภาวะต้มกบมาก่อนไวรัสแล้ว จบไวรัสแล้วเราก็อาจจะต้องกลับมาต้มกบกันต่ออีกก็ได้ หุ้นที่น่าสนใจในภาวะแบบนั้นคือหุ้นที่ไม่เน้นการเติบโตสูง แต่เน้นความมั่นคงของรายได้ อาจโตช้าหน่อย แต่ไม่ค่อยขาดทุน และกำไรก็ลดยาก เราอาจต้องปรับพอร์ตของเราให้มีความ conservative มากขึ้น สะสมหุ้นแข็งแรง มากกว่าหุ้นเติบโต

ประการที่สาม หลังวิกฤต อะไรเน่าๆ ที่ซ่อนไว้ในตลาดการเงิน มักโผล่ออกมา ดั้งนั้นผมมีความเป็นห่วงหุ้นที่มีหนี้มากๆ หรือเกี่ยวข้องกับหนี้ เช่น หุ้นที่ต้องแบกหนี้เสีย บริษัทที่หนี้เยอะ การเงินไม่แข็งแรง กระแสเงินสดไม่ดี เงินจม ลูกค้าต้องกู้เงินเท่านั้นถึงจะซื้อของเราได้ เป็นต้น เราอาจต้องตัดหุ้นพวกนี้ออกไปจากเรดาห์ของเรา แม้ว่าหุ้นเหล่านี้จะมีราคาถูกอย่างเหลือเชื่อในเวลานี้ก็ตาม อย่าเห็นแก่ของถูก เน้นคุณภาพไว้ก่อน ราคาเป็นเรื่องรอง

ประการสุดท้าย อันนี้แค่ optional อาจไม่เกี่ยวกับวิกฤตไวรัสเท่าไร ถ้าเป็นไปได้ หุ้นที่เราน่าจะพึ่งพาได้ในอนาคต ควรจะเป็นหุ้นที่ทนทานของ Digital Disruption ด้วย ก็จะยิ่งดี เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้อยู่พอดี ไม่ว่าจะมีไวรัสเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม พยายามลืมภาพเก่าๆ ไปบ้าง อย่าคิดว่าหุ้นที่เคยแข็งแรงในอดีตจะต้องแข็งแรงต่อไปในอนาคต ลองคิดถึงโลกที่ทุกคนทำทุกอย่างด้วยสมาร์ทโฟน ธุรกิจอะไรบ้างที่จะไม่ได้รับผลกระทบ

ลองคิดภาพลางๆ ดูว่า การลงทุนของตัวเราหลังจากวิกฤตไวรัสจะเป็นประมาณไหน พอร์ตในฝันของเราควรมีหุ้นอะไรอยู่บ้าง ใครที่ยังพอมีเงินสดเหลืออยู่ ลองดูว่าหุ้นที่เราอยากได้เหล่านั้น มีราคาถูกกว่าราคาที่แพงที่สุดที่เรารับได้ของหุ้นตัวนั้นเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็ซื้อไปเถิด ซื้อแล้วก็เลิกสนใจไปเลย ไม่ต้องสนใจว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน แล้วอีกสามปีข้างหน้าค่อยมาดูใหม่ก็ได้ หรือถ้าใครไม่มีเงินสดเหลืออยู่แล้ว สิ่งที่ทำได้คือการปรับเปลี่ยนตัวหุ้นในพอร์ตไปสู่หุ้นที่อยากฝากฝีฝากไข้ช่วงหลังวิกฤตให้มากขึ้น ถึงเราจะผิดพลาดกับการลงทุนรอบนี้ แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะได้รับประสบการณ์ที่มากขึ้น

ลองทบทวนสิ่งที่เราเชื่อในอดีตว่ามีอะไรที่ผิดพลาดบ้าง นี่คือเวลาที่คนเราจะตาสว่าง ถ้าพ้นวิกฤตไปแล้ว ก็ยังเชื่อแบบเดิม ทำแบบเดิมอยู่ เราก็คือคนที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากวิกฤต หลังจากนี้ไปเราต้องเป็นนักลงทุนที่เก่งกว่าเดิมให้ได้ นั่นอาจเป็นกำไรที่มีค่าที่สุดที่เราได้รับจากวิกฤตรอบนี้ เส้นทางสายหุ้นไม่ได้ประสบความสำเร็จกันง่ายๆ ถ้าลองไปค้นประวัติของพวกเซียนหุ้นดู จะพบว่าล้วนต้องเคยเจ๊งหุ้นก่อนค่อยสำเร็จกันทั้งนั้น บางทีที่คุณล้มเหลวในรอบนี้อาจเป็นเพราะคุณกำลังอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จแบบเดียวกันอยู่ก็ได้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3356

โพสต์

เราต้องไม่ตายและผ่านไปให้ได้

นี่คือคำพูดของ อาจารย์โจ ลูกอีสาน หรือ อนุรักษ์ บุญแสวง
ให้สัมภาษณ์กับ Moneychat

Q:Circuit Breaker 2 ครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นใกล้ผ่านจุดต่ำสุดหรือยัง มองตลาดหุ้นเป็นอย่างไร
A: หุ้นลงเป็นัจจัยเชิงเทคนิค ไม่ใช่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ
หุ้นลงมาจากจุดสูงสุด 1850 จุดเหลือ 1,000ต้นๆ คิดเป็น ลงมา30-40%
แต่สุดท้ายก็ผ่านไป เราก็ผ่านไปได้ และ เราต้องไม่ตายด้วย

อาจารย์โจ แนะนำ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ
1.อย่าขายหุ้นทิ้ง (หมายถึงหุ้นที่ดี) วิกฤตต้องผ่านไปเสมอ
คนที่ตายส่วนใหญ่เล่นมาร์จิ้น ซึ่งเวลาได้ ได้เยอะ แต่เวลาเสีย มันอัดคนเล่นตายเลย
ดังนั้นถ้าไม่เล่นมาร์จิ้น โอกาสตายน้อยมาก

2. ปัญหาอีกอย่างคือ การหาเงินมาซื้อหุ้น และหุ้นที่แนะนำ สำหรับคนทั่วไปคือ หุ้นในSet50

Q: คนที่ถือเงินสดตอนนี้ควรทำอย่างไร
A: หุ้นลงมาเยอะ ผมก็ทยอยซื้อ แต่ไม่กล้าซื้อจนเงินหมด ไม่แน่ใจว่าต่ำสุดหรือยัง
หุ้นลงเป็นธรรมชาติของหุ้น หุ้นเปรีบเสมือนนายตลาด ช่วงตลาดหดหู่ ก็จะขาย
แบบpanic เราก็ทำตรงกันข้าม คือเข้าไปซื้อหุ้น
ตอนนี้เห็นธนาคารขนาดใหญ่หลายบริษัทลงมาเยอะ และมีปันผลพอสมควร

Q: วิกฤตรอบที่ผ่านมาหุ้นที่ทำเงินเป็นเป็นกำอยู่ในกลุ่มไหน
A: หุ้นขนาดใหญ่ ทำให้portไม่เติบโต แต่มั่นคงกว่า แนะนำให้ลงทุนสำหรับคนทั่วไป
สำหรับหุ้นตัวเล็กลงมามาก ก็มีโอกาสกลับไปเยอะ แต่ไม่แน่อาจไม่รอดจากวิกฤตได้
ควรเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ก่อน

เราควรบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญด้วย
โรคระบาดไม่คาดคิด แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ
เราต้องเตรียมพร้อมในช่วงที่เลวร้ายเสมอ
แต่ไม่ควรวิตกจริตเกินไป

อาจารย์ได้กระจายความเสี่ยงไปลงต่างประเทศ ซึ่งถ้าลงไม่มาก
ก็ขายมาซื้อหุ้นไทย รวมถึง การshort TFex ได้กำไรมาพอสมควร นำไปซื้อหุ้นได้อีก

สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์โจที่มาให้คำแนะนำในช่วงวิกฤตนี้ครับ
ขอบคุณMoneychat
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3357

โพสต์

เราต้องรอด
สัมภาษณ์สด กับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โดย น้องเฟิร์น จาก Wealth Me Up

วันนี้ (13 มีนาคม 63) ถือว่าเป็นวันที่ผันผวนมากวันนึง เปิดตลาดไม่นานก็เจอCircuit breaker
ถือเป็นครั้งแรก ที่เจอCircuit Breakerสองวันติดกัน และ ดัชนีต่ำกว่า 1000 จุด และต่ำสุดในรอบ 9ปี
หลังจากนั้นก็ปรับบวกมา 20กว่าจุด คิดเป็น2% ซึ่งถือว่าเยอะ จากนั้นก็กลับมาลบ สุดท้ายปิดบวก 14 จุด
เป็นอาการที่มีคนเล่นการเก็งกำไรค่อนข้างสูง รายย่อยยังมีเงิน นี่คือความแตกต่างที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับ
ต้มยำกุ้งตอนนั้น คนรวยจนหมด หนี้มหาศาล คนไม่มีเงิน แต่คนชั้นกลางยังมีเงิน
ภาคการเกษตรก็มีเงิน การส่งออกดี จากค่าเงินบาทอ่อน คนจากภาคการเกษตรกลับมาทำที่โรงงานส่งออกได้
แต่ปัจจุบัน คนจนไม่มีเงิน แต่คนรวยมีเงินมหาศาล
นักธุรกิจไม่ได้ลงทุนเพิ่มมานาน ไม่ได้สร้างcapacityใหม่เพิ่ม ตอนนี้เลยมีเงิน

ส่วนตลาดหุ้น ดร นิเวศน์ ก่อนหน้านี้ซื้อมาตลอด แต่ตอนนี้หยุดซื้อแล้วในช่วงpanic
เราเป็นนักลงทุน เลยไม่รีบลงทุน เพราะเราวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว
รอหุ้นให้นิ่งก่อนค่อยลงทุน เราจะไม่ลงทุนซื้อหรือขายในช่วง panic
ช่วงนี้ คนที่ลงทุน เป็นนักเก็งกำไร รายย่อยที่เข้ามา ซื้อเช้า บ่ายขาย
และเล่นในตลาดfuture

Q: ตลาดจะpanic อีกนานไหม
อาจารย์ตอบว่าไม่รู้ เราจะไม่คาดเดาตลาด แต่ไปหาว่าหุ้นไหนที่มีคุณภาพดี ราคาถูก ซึ่งคิดว่ามีในตลาดตอนนี้
มีหลายตัว เลือกไม่ถูก บางตัวลงมา 10% บางตัวขึ้นไป 10% และ ซื้อไม่ทัน
เราไม่รีบซื้อ เพราะ ไม่ใช่เวลาที่ลงทุน เงินสดอาจารย์เหลือ 5% ซื้อหุ้นเร็วไปสองปี
คิดมานาน ว่าวิกฤตน่าจะมา พูดจนคิดว่าไม่มา ก็เลยเริ่มซื้อ ทำให้หุ้นที่ซื้อขาดทุน ตอนนี้ขาดทุน 10%กว่าแล้ว
เทียบกับวิกฤตที่ผ่านมา เคยขาดทุนมากสุด 20% แต่ตอนนั้นพอร์ตยังเล็กอยู่
สำหรับรายย่อยที่พอร์ตหายไป 20%กว่า
การอยู่ในตลาดก็มีโอกาสขาดทุน ต้องยอมรับว่ามีโอกาสขาดทุนได้

แต่สำหรับการเป็นนักลงทุน ความคิดต้องเป็นอีกแบบ มองในระยะยาว
ลงทุนหุ้น เหมือนการลงทุนในกิจการ ถือหุ้นยาว และ โตไปกับธุรกิจ
การมองหุ้นก็เป็นการมองในระยะยาว กิจการจะโตเป็นเท่าไหร่
ต้องมีความมั่นใจว่า สิ่งที่เราวิเคราะห์ ถูกต้อง

การวิเคราะหุ้นที่จะลงทุน
หุ้นนี้ อยู่ในธุรกิจเติบโต เป็นผู้นำ มีอำนาจเหนือผู้ซื้อ ดีกว่ายี่ห้ออื่น จึงเลือกลงทุน
ส่วน การเติบโตระยะสั้น มีข่าววงใน เป็นเรื่องที่ไม่นำมาคิด
อาจารย์ชอบบริษัทที่มี track recordที่ดีมานาน และ ต่อเนื่อง
อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ตกต่ำ

Q: หุ้นที่โดนกระทบช่วงนี้ ควรปรับเปลี่ยนไหม
A: อุตสาหกรรมดี ไม่ใช่จะดีทุกบริษัท ต้องดูว่าบริษัทอาจจะแย่
ประเด็นคือ คู่แข่ง ถ้าเข้ามาได้ตลอดเวลา ต่อให้อุตสาหกรรมโตเร็ว
เช่น สายการบิน ช่วงเศรษฐกิจดี ก็มีสายการบินใหม่เข้ามาตลอด
นี่คือ อุตสาหกรรมที่ ไม่สามารถสร้างroyalty การลดราคา คู่แข่งก็ลดตามได้
โรงแรมก็เหมือนกัน ช่วงที่ดี ก็อาจดีหลายปี เพราะกว่าจะสร้างใหม่ใช้เวลานาน
แต่ถ้าราคาหุ้นตกมาเยอะๆ ก็อาจน่าสนใจ เพราะตอนไวรัสหายก็มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา

Q: รอบนี้ กลุ่มไหนน่าสนใจ
A: เหตุการณ์นี้ ถือเป็น Perfect storm แรกเริ่มเป็น covid-19 ต่อมาเจอสงครามราคาน้ำมัน
กระทบต่อหุ้นไทย เพราะ กลุ่มน้ำมัน ถือเป็นสัดส่วนเยอะ ประมาณ 30% ของตลาด
กิจการขุดน้ำมัน เป็นเรื่องเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า จะทำให้การใช้น้ำมันลดลง
Supply น้ำมันก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นต้องพิจารณาเป็นพิเศษ
อะไรที่หมดยุด เริ่มเปลี่ยนภาพ ปตท เริ่มถูกแซงโดย AOT (Market cap)
ประเทศไทยกำลังเปลี่ยน แต่เมืองนอกเปลี่ยนมานานแล้ว
และหลังจากเปลี่ยนไปแล้ว ก็จะไม่กลับมา
การพัฒนาประเทศเป็นตัวกำหนด เมืองไทยก็พัฒนามาเรื่อยๆ
ประเทศเราใกล้กับประเทศพัฒนาแล้ว แต่เราจะพัฒนาต่อหรือเปล่าเป็นประเทศที่
มีอุตสาหกรรมไฮเทค
ค้าปลีกก็อาจจะเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เหมือนกับสหรัฐสมัยก่อน
แต่ธุรกิจน้ำมัน จะไม่กลับยิ่งใหญ่เหมือนเดิมแล้ว

ดังนั้น เราต้องดู
1.อุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่ต้องดูอันดับแรก ถ้าดี
ต้องดูว่ามีใครเป็นผู้ชนะเป็นอันดับต่อมา

2.กิจการ เราพิจารณาต่อว่า ผู้ชนะมีโอกาสถูกทำลายโดยเทคโนโลยีหรือไม่
ชนะในเกมเดิม แต่ถ้าเป็นเกมใหม่จะชนะได้อีกไหม

ถ้ามั่นใจว่าบริษัทที่พิจารณา ไม่ถูกdisrupt โดยเทคโนโลยี
แต่เป็นผู้ใช้ในเทคโนโลยี และราคาตอนนี้ถูก ก็น่าสนใจ

ข้อมูลล่าสุด ปันผลในตลาดหลักทรัพย์ คิดเป็น 4.5%
ถ้าเราหาบริษัทที่มั่นใจ กำไรอาจลดนิดหน่อย แต่สามารถปันผลได้ตลอด
คนไทยมีเงิน และมีการลงทุน การลงทุนในหุ้นที่ปันผลดี
ถ้าcrisisรอบนี้เมื่อผ่านไป จีนเริ่มจะดีขึ้น แต่ยุโรปต้องใช้เวลา
ในที่สุด ก็ผ่านไป ก็ใช้เวลานิดหน่อย
เรื่องน้ำมัน รัสเซีย โอเปก หยุดสู้กัน ราคาน้ำมันก็กลับขึ้นมา
ทำให้ตลาดหุ้นก็ recover กลับมา ทำให้ผลตอบแทนหุ้นดีขึ้น
เราไม่เก็งกำไรในตลาดหุ้น ที่panicตอนนี้ เพราะราคาหุ้นเปลี่ยนตลอดเวลา
การเลือกหุ้นรายตัวที่ดี ในช่วงหุ้นเริ่มนิ่ง และ volumeเริ่มนิ่ง
ปี40 volumeแค่ 2,000-3,000ล้านบาทต่อวัน ไม่ต้องรีบซื้อ
ดังนั้นตอนนี้ถ้าvolumeประมาณ 30,000 ลบ ก็เริ่มมาดูอีกที
ต้องใจเย็นนิดนึง

Q: ถ้าลงทุนแบบ DCA ต้องเลือกหุ้นกลุ่มไหน
A: การทำDCA ต้องเลือกหุ้นรายตัว และเป็นหุ้นแนว Superstock
เพราะเป็นหุ้นที่ปลอดภัย

Q: SET50 ลงอีกเท่าไหร่
A: ต้องรอให้ตลาดหุ้นเริ่มนิ่ง ถึงเริ่มลงในหุ้นSET50
Port อาจารย์ที่นับจากต้นปี ลบหมดทุกตัว แต่ถ้านับจากที่ซื้อยังเป็นบวก
เพราะซื้อมานาน บางตัว 10กว่าปี

ดังนั้น อย่าคิดเก็งกำไร เพราะจะเครียดเกินไป
ผมไม่รู้สึกเดือดเนื้อ ร้อนใจ ดัชนีขึ้นลง ไม่มีผลต่อตัวอาจารย์ตอนนี้เพราะพอร์ตใหญ่แล้ว
การลงทุนเป็นแบบเพื่อชีวิต

Q: พื้นฐานของไทย และ ปัญหาต่างๆ เช่น ภัยแล้ง หนี้ครัวเรือนสูง จะทำอย่างไร
A:นี่คือพื้นฐานของไทย คนสูงอายุสูง ญี่ปุ่น 20ปีไม่ไปไหน ตลาดหุ้นไม่ไปไหน
ตอนนี้ตลาดหุ้นตกหนักรอบนี้ ถ้ามองสั้นๆ ก็มีโอกาสที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น
ถ้ามองยาวๆ ปัญหาโครงสร้าง ก็ยังน่ากังวล
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
วิมานดิน
Verified User
โพสต์: 170
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3358

โพสต์

ขอบคุณครับพี่อมร
ฉันรัก Money Talk
ภาพประจำตัวสมาชิก
วิมานดิน
Verified User
โพสต์: 170
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3359

โพสต์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนวีไอ ให้สัมภาษณ์ใน รายการ Suthichai Live เกี่ยวกับมุมมองตลาดหุ้นไทย หลังการแพร่ระบาดที่ลุกลามไปทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 จนทำให้เกิดวิกฤตหุ้นในรอบนี้ว่า...

1. เหตุการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดรอบนี้ หนักรองมาจาก วิกฤตต้มยำกุ้ง แต่สุดท้ายก็จะผ่านพ้นไป

2. ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้เคลื่อนไหวไปตามเทรนด์โลก เพราะประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ เพิ่งเริ่มต้น

3. กนง. อาจลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดจะลดลงเหลือ 0.25% แต่คงไม่ถึง 0%

4. นักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการถือหุ้นยาว 2-3 ปี ช่วงนี้เหมาะกับการทยอยสะสมของถูก หากมั่นใจว่า หุ้นตัวนั้นจะกลับมา เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย แต่ก่อนลงทุนต้องดูจังหวะด้วย “กล้าลงทุนแล้วต้องตัดสินใจให้ถูกด้วย”

5. ได้เวลาซื้อหรือยัง ? ให้ดูปัจจัยต่างๆ เป็นหลัก เช่น ภาวะเศรษฐกิจกำลังกลับมา และแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มดีขึ้น หากสถานการณ์คลายความตึงเครียด “หุ้นเด้ง” แน่นอน

6. หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจ ? กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น น้ำ และ ไฟ เน้นลงทุนตัวหลักของอุตสาหกรรม, มีความมั่นคงสูง, ธุรกิจไม่ถูกดิสรัปชั่นภายในระยะเวลา 10 ปี, จ่ายเงินปันผลดีเฉลี่ย 4% ขึ้นไป และผลประกอบการเติบโตใกล้เคียงของเดิม เป็นต้น

7. หากไม่รู้จะลงทุนหุ้นอะไรดี...แนะนำลงทุนใน “หุ้นกลุ่ม SET50” เพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศ หลายตัวจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 5%

8. สินทรัพย์เสี่ยงในมุมของเซียนหุ้น คือ 1.พันธบัตรรัฐบาล” แม้มีดอกเบี้ยเฉลี่ย 2-3% แต่ไม่ได้ดีไปกว่าเงินฝากแถมยังเสี่ยงกว่าด้วย โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชนที่ไม่แข็งแกร่ง 2. ทองคำ เพราะระหว่างที่ถือลงทุนนักลงทุนแทบไม่ได้อะไรเลย ไม่เหมือนถือหุ้นที่ยังได้รับปันผลเฉลี่ย 4% ถือเป็นผลตอบแทนที่ดีในนาทีนี้

9. วันนี้ความมั่งคั่งของผมหายไปมาก แต่ผมเจอวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง ผมไม่ช็อก เพราะคิดไว้แล้วว่า วันหนึ่งก็ต้องเกิดวิกฤตแบบนี้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องปรับการลงทุนให้ไม่เจ็บตัวแบบหายนะ ด้วยการเข้าลงทุนใน “หุ้นปลอดภัย”

“ตอนนี้ต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อจะรอดูว่าเมื่อไรจะเข้าไปซื้อหุ้นรอบสุดท้าย” เซียนหุ้นวีไอ กล่าว

ที่มา : BLS
ฉันรัก Money Talk
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3360

โพสต์

AGM SF 25 MAR 2020 15.00
ผู้เข้าประชุม 208 ราย รวมจำนวนหุ้น 1,158,782,279 หุ้น

วาระที่ 1 – 7 ใช้เวลาอนุมัติ แค่ 10 นาที ก็เสร็จ
มาฟังคำถามและคำตอบในวารที่ 8 อื่นๆกันครับ

Q: ศูนย์การค้าที่ มาร์เก็ตเพลส ดุสิต มีการเช่าคิดเป็น กี่%
A: ประมาณ 80%

Q: ผลกระทบจาก Covid-19 เป็นอย่างไร
A: ผลกระทบที่เราพึ่งเจอมา เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคาดการณ์ได้
การสั่งปิดโรงหนังก็เร็วมากในช่วง 17-18 มีค ที่ผ่านมา เราไม่สามารถคำนวณผลกระทบได้
กำลังเจรจากับผู้เช่าเรื่องการลดค่าเช่า supermarketไม่ค่อยได้รับผลกระทบ
แต่บางราย อาจลดค่าเช่าให้ ส่วนที่ Mega บางนา ก็กำลังต่อรอง เช่น Top supermarket เราshareรายได้
ตอนนี้ขายดี ก็ได้รับรายได้มากขึ้น เรากำลังพิจารณาในการลดค่าใช้จ่ายที่หยุดไป 22 วัน
ซึ่งรอมาตรการใหม่จากรัฐบาลอีก ยังคาดการณ์ไม่จบ ต้องดูว่ากระทบต่อ ศก ไทยเท่าไหร่
ตอนต้มยำกุ้ง และ แฮมเบอร์เกอร์ Crisis เป็นวิกฤตจากความโลภ
แต่คราวนี้ โรคระบาดและตามด้วยวิกฤต ศก หนักกว่า 2 ครั้งก่อน
GDP สิ้นปีคาดว่า ติดลบ3% แต่ในวิกฤตมีข้อดีต่างจาก สองครั้งก่อน
1.ราคาน้ำมันคราวนี้ถูกมาก
2.เงินเฟ้อต่ำ
3. ว่างงานแค่ 1%
4.ฐานะทางการเงินของประเทศแข็งแกร่งมาก
ภาพรวมยังแข็งแรง แต่ก็ยังคางเหลือง
ความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่ในอันดับที่42 ดีกว่า สหรัฐ ฮ่องกง จีน และ สิงคโปร์
แต่วิกฤตคราวนี้ หนักกว่าคราวที่แล้ว ตอนนี้หุ้นไทยไม่ได้ตกหนักสุดแล้ว อินโด และ ฟิลิปปินส์ลงเยอะกว่า
จีนเริ่มอนุญาตให้เดินทางได้ใน 8 เมษายน สำหรับอู่เหว่ย Lock down ประเทศแค่ 2 เดือน
ส่วนไทยคงประมาณ 3-4 เดือน ภายในQ3 น่าจะpick up ได้ Q4 คนจีนน่าจะกลับมาเที่ยวไทย

Q: มุมมองสำหรับสถานการณ์ก่อน Covid-19 ที่จะมี Bangkok Mallจะเข้ามา มีมุมมองอย่างไร
A: เราคาดว่า ห้างใหม่ ร้านค้าจะชะลอการตัดสินใจ การแข่งขันน่าจะชะลอออกไป

Q: มุมมองต่อการdisrupt อนาคตจะเดินห้างน้อยลงหรือไม่
A: Nature คนเอเชียอากาศร้อน เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย คนจะเข้าห้างปกติ
Megaบางนา ทำ online Platformให้ทุกร้านค้า เพื่อให้มีโอกาส diversify เพื่อเพิ่มยอดขายให้ร้านค้า
เพื่อให้ร้านค้าสามารถจ่ายค่าเช่าให้เราเหมือนเดิมได้

จบการประชุม 15.40