VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3301

โพสต์

ดีใจครับที่ คุณ jverakul ไปดูแล้วชอบ
.
หลังจากไปตรวจสอบข้อมูล หนังซีรี่ย์จีน จบเพียงบางส่วนในหนังสือนิยาย
หนังสือนิยาย จะมีทั้งหมด 26 เล่ม วางจำหน่ายถึงปัจจุบันแล้ว 22 เล่ม (หมายถึงเล่มแปลไทยครับ)
ทั้งนี้ ในหนังซีรี่ย์จีน ทำถึงเล่มที่ 14-15 โดยประมาณครับ ไม่แน่ใจว่า จะมีทำภาค 2 เมื่อไร ถ้ามี ก็คงดูครับ
.
ช่วงนี้ OppDay แน่นทุกวันเลยนะครับ ก็ต้องเลือกๆ กิจการบ้าง ดูหมดทุกบริษัท ก็ตามไม่ทัน เพราะหลายบริษัทไม่ค่อยได้ตาม
การดู OppDay ก็ช่วยย่นระยะเวลาในการทำความเข้าใจกิจการ รวมถึงทราบถึงแผนในอนาคตถ้าเค้าบอก
แถมบางที อาจได้โอกาสในการลงทุนสร้างกำไรได้อีกด้วย แต่ก็ต้องระวัง ผบห โม้ มากเกินไป ก็มีเช่นกันครับ
.
เทรนของ e-sport มาแรงจริงๆ พบว่า ปัจจุบันซีรี่ย์หลายเรื่อง เอาเรื่องราวของ e-sport มาผูกในเรื่องด้วยครับ
อาจต้องจับตากิจการที่เกี่ยวข้องกับ e-sport เช่น อุปกรณ์คอมฯ ต่างๆ (พวกเครื่องระดับ hi-end), สโมสร e-sport (ในไทย น่าจะอีกนานมาก กว่าจะมี 5555) ฯลฯ
.
ไว้จะมาสรุปเนื้อหาหนังซีรี่ย์เรื่องอื่น ถ้ามีเวลาครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3302

โพสต์

Company Visit AUCT 19 SEP 2019 10.00

คุณสุวิทย์ มากล่าวแนะนำผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุมวันนี้
1.คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส ประธานกรรมการบริหาร และ กรรมการ
2.คุณ วรัญญา ศิลา รองกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการบริหารความเสี่ยง
3.คุณ ศราวุธ จารุจินดา กรรมการและกรรมการบริหารความเสี่ยง
4.คุณ สุธี สมาธิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด
5.คุณ อัมพาพร หลักเรืองทรัพย์ เลขานุการบริษัท

โครงสร้างของบริษัท สหการประมูลการประมูล หรือ AUCT บริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นปีที่5
จุดแข็งอยู่ที่กรรมการบริหาร คือ ตัวประธานกรรมการ
บริษัทมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ 5,400 ลบ ถ้าดูจาก ROA 32%

พื้นฐานเราอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์
ซึ่งการคาดการณ์เรื่องเทคโนโลยียาก บางธุรกิจดูไม่ออกว่าโต แต่อุตสาหกรรมรถยนต์โตมาตลอด

สหการประมูลอยู่มา 28 ปี เรามีDatabase ข้อมูลราคารถที่ประมูลกลายเป็น green book ของเรา
(Red book เป็นข้อมูลเรื่องราคาประมูลรถของเมืองนอก ส่วน Blue Book เป็นข้อมูลของธนาคารในไทย)
เมื่อก่อนเราต้องซื้อข้อมูลBlue book หรือ ซื้อSOFTWARE ของแคนาดา สำหรับ E-auction
ตอนนี้เรามี SOFTWARE ของเราเอง

พื้นฐานของธุรกิจของเรามาจากสามส่วน
1.ตลาดเดิมของเรามาจาก การประมูลรถที่เป็นหนี้สินของสถาบันการเงิน
กำไรเกิดจากตลาดเดิมนี้เท่ากับ 90%
2.ตลาดรถมือสอง ซึ่งจะมาเสริมmarket shareเพิ่มขึ้นได้
3.บริการเสริมพิเศษ เช่น การตรวจสภาพรถ

ข้อ1 ตลาดรถที่มาจากNPL ตอนนี้เข้าไปสู่ Blue ocean
โชคดีเราไม่เข้าไปในตลาดred ocean เช่น มือถือ
เราจะไปในส่วนรายได้ภาคที่สาม เรื่องของการให้บริการเสริม
ตอนนี้กำไรของบริษัทดีสุด เทียบกับเมื่อ4ปีที่แล้วมีกำไร 202 ลบ
แต่ปีนี้กำไรน่าจะดีกว่าปีที่ดีที่สุด

Market share ตอนนี้ > 50%ของตลาด
ปีนึง มีรถใหม่ตีว่าประมาณล้านคัน ผ่านสินเชื่อมาระดับนึง มียอดหนี้เสียเฉลี่ย 2%
ส่วนใหญ่เรามีส่วนแบ่ง 50%ขึ้นไป
ตลาดเดิมของสหการประมูล คือรถที่มาจากกลุ่มleasing
การที่บริษัทจะโตโดย มีmarket share สูงขึ้น
เมื่อก่อนทำตลาด B2B ส่วนใหญ่คนที่มาประมูลคือเต้นท์รถมือสอง
เราแตกต่างกับธุรกิจอื่น คือเรามีทั้ง supplier และ consumer
ลูกค้าฝ่ายที่เอารถเข้ามาประมูลอยากได้ราคาขายสูงสุด
แต่ลูกค้าที่มาประมูลซื้ออยากได้ราคาต่ำสุด

Key success : Fair Value
ประธานกรรมการ และ อ เสาวนีย์ เป็นผู้รู้เรื่องนี้ดี คือ บริษัทต้องมี Good government
เรามีจุดนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างfair value ทำให้ทุกคนไว้ใจเราได้ โดยทุกคนพอใจ
เราได้ค่าบริการจากการขายรถยนต์ 8,000 บาทต่อคัน และ มอเตอร์ไซด์ 1,500 บาทต่อคัน
แต่รถทั้งหมดในตลาดที่ยึดมา 200,000 คัน ต่อปี การที่จะโตจาก50%ไปที่ 70%-80% ค่อนข้างจะยาก
ก็ต้องไปตลาดอื่นที่มากกว่า 200,000 คัน
รถใหม่ขายอย่างต่ำปีละล้านคัน วันนี้จะชิงลูกค้าได้ด้วยการเพิ่มคุณภาพการให้บริการ
ให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจสูงสุด

การเข้าสู่Blue ocean รถเข้ามาปีละล้านคัน
เมืองไทย โดยเฉลี่ยจะใช้รถมากกว่า 10 ปี เพียงแต่เปลี่ยนclassผู้ใช้
รถไม่พังง่าย เพราะรถราคาเท่าบ้าน เรารักษารถดีกว่าที่ต่างประเทศ
รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ Fully synthetic จะเปลี่ยนทุก 5,000 กม
แต่เมืองนอก วิ่งครบ15,000 กม ค่อยเปลี่ยนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
รถที่อยู่ในระบบfinance 2 ล้านคัน จาก 10 ล้านคัน

แต่ก็มีบางคนอยากไปที่เต้นท์รถ ซึ่งจากพฤติกรรมผู้บริโภค
จะเปิดwebsite: Thaisecondhand.com และดูว่าที่ไหนให้ราคาดีสุด
พอคิดว่ารถขายได้สามแสนบาท แต่จริงแล้วเจอdiscount30%ได้เงินแค่ 2.1 แสนบาท โดยที่ยอมขายเฉลี่ย 96%
สหการประมูลมีให้บริการประมูลรถ เรามีธุรกิจตรงนี้ คนที่อยากซื้อรถหรือ ขายรถให้มาที่นี่
ดังนั้นเราหวังแค่4%ที่ไม่ได้ไปที่เต้นท์ที่มาขายรถกับเรา

วันนี้เราก้าวมาสู่market place เต็มตัว
ในส่วนที่คิดจะขายรถเอง เริ่มแรกถ้ามาขายให้เพื่อน แต่คิดไปมา เพื่อนอาจด่าเรา
แต่ถ้าเรามาที่สหการประมูล เราจะตั้งราคาให้เปรียบเทียบกับราคาเมื่อวัน (Green book)
ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของเรา ตอนนี้Bankชาติก็มาเอาข้อมูลราคาประมูลรถของเรา(Green book)ไปอ้างอิง
โดยเซ็นต์สัญญาการใช้ข้อมูลของเรา
ต่อไปสหการประมูล มีintangible asset คือ Big Data เป็นอีกตัวนึง ซึ่งไม่อยู่ใน 3 ขุมทรัพย์ที่กล่าวมา
คุณไม่ต้องดูเรื่องราคาเลย เพราะมันเป็นราคาfair price
วันเสาร์ ถ้ามาดู จะเห็นมีคนมาประมูล 700 คน, 40% เป็นลูกค้ารายใหม่
เราปรับตัวมา4 ปีแล้ว ทำให้มีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามา
โดยเฉพาะลูกค้ามอเตอร์ไซด์ ซึ่งมีเพิ่มอย่างมีนัยยะ

เราวิเคราะห์ว่าการประมูลรถมอเตอร์ไซด์กับEnduser จะเกิดขึ้นก่อน
ราคาประมูลประมาณ20,000-30,000 บาท สามารถซื้อขายได้ง่ายกว่า
(ผมเห็นการประมูลรถมอเตอร์ไซด์จริงหลังประชุมเสร็จ พบว่าราคาประมูลก็ประมาณนี้)
ตอนนี้เราเซ็นต์สัญญากับบริษัท KTC ต่อไปลูกค้าสามารถมัดจำตอนประมูลรถได้ผ่านบัตรKTCได้แล้ว
จากตัวอย่างวีดีโอ Model .”เถ้าแก่น้อยModel”
คนที่เปลี่ยนอาชีพจากขายปลา มาขายรถมือสอง กำไรคันละสี่หมื่นขึ้นไป
ไม่จำเป็นต้องมีเต้นท์รถ ซื้อมาและขายไปทีละคัน

เต้นท์รถมาประมูลรถจากสหการประมูลทั้งนั้น เขาประมูลรถและนำไปปรับปรุงพร้อมใช้แล้วค่อยขายให้Enduser
การประมูลเริ่มจาก ประมูลรถมอเตอร์ไซด์ จากนั้นก็ประมูลรถยนต์ ต่อมาก็ไปเปิดเต้นท์
คุณสุธีได้คุยกับfinance 3 ปีก่อน ตอนนั้นเราถูกกระทบจากนโยบายรถคันแรก
ต่อมาเรื่อง สคบ ออกกฎหมาย เรื่องคุ้มครองการยึดรถ

เรามีที่100 ไร่ที่คลองแปด แต่ตอนนี้ที่ก็เต็ม ไม่มีว่าง
วันนี้ดูธุรกิจรถมือสองว่าดีไม่ดี ดูจากจำนวนรถมือสองได้เลย
ผมสร้างความพึงพอใจของกลุ่มLeasing โดยทำให้เขาขายได้ราคาดีขึ้น
ถ้าเขาพอใจ ก็จะส่งรถให้เรามากขึ้น
ถ้าเคสแย่สุด เราจะเหลือกำไร76ลบต่อปี
แต่ปีนี้เป็นปีbest case กำไรดีที่สุด
ตลาดBlue ocean 2 ล้านคัน ผมรับแค่ 4% คือ 80,000 คัน ถ้าเป็นรถยนต์ น่าจะเกิน กำไรจะเป็นdouble
ซึ่งตอนนี้ยังไม่เกิดจริง

ถ้าใครอยู่ในตลาดปัจจุบัน แนวโน้มไปสู่การตลาดแบบretail
ทุกคนสั่งสินค้าจากลาซาด้า หรือ shopee
ผมเชื่อว่า เราวางโปรแกรมไปสู่ retail market จากเดิมที่เรายึดหัวหาดตลาดWholesales
วันนี้directionไปสู่retail market
การจะเกิดผู้มาขายรถจากรายย่อย ต้องมีรายย่อยมาประมูลก่อน
ใครอยู่อุตสาหกรรมสาหกรรมนี้ 28 ปี(หมายถึงสหการประมูล) จะเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนี้
ถ้าไม่ซื้อเงินผ่อน ก็ไม่มีโอกาสใช้รถเลย
เรามีประมูลรถเพื่อการเกษตร ซึ่งสามารถไปประมูลรถที่คลอง8
เวลารถโดนยึด เราเป็นคนกลาง เจ้าของ กับ ผู้ครอบครอง อาจตกลงกันไม่ได้
แต่สหการประมูลเป็นคนกลาง เจ้าหนี้สบายใจ ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง
เราเป็นservice ของ ห่วงโซ่อุปทาน

กลับมาที่ตลาด Blue Ocean รถเข้าออก ตอนเอารถออกโดยประมูลซื้อรถไป
ถ้าลูกค้าไม่รู้จักรถจริง สมมติราคาที่คาดไว้สองแสนบาท
ลูกค้าก็ประมูลให้มีส่วนเผื่อความไม่แน่ใจสัก 1.6 แสนบาท
ลูกค้าประมูลต่ำกว่าราคาที่คาดไว้ ผมก็จะโตเต็มที่ไม่ได้
เราเลยเสนอการตรวจสภาพ ให้คำปรึกษา รวมถึง Financeให้
มันจะโยงใยกันไป ตลาดonlineโต ก็เพราะผู้ประกอบการต้องลงทุนเรื่องonline
ซื้อแล้วไม่เอา ส่งคืน ก็แค่ขาดทุนค่าส่งของ

ดังนั้น ผมจะสร้างความพึงพอใจให้เขา เช่น
-ให้คำปรึกษา
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3303

โพสต์

เอาข้อมูลของ Sectorในตลาดหุ้น ที่มีผลตอบแทน เทียบจากต้นปี2018 ถึงปัจจุบัน
https://marketdata.set.or.th/mkt/sectorquotation.do? (เพื่อดูว่าหุ้นเราอยู่กลุ่มไหน, หรือแต่ละกลุ่มมีหุ้นอะไรบ้าง)
sector.JPG
อยากให้ดูแนวโน้มของธุรกิจ แต่ละ sector ว่ากลุ่มไหนหัวปัก(สำหรับชาวสวน, New low New love :oops: )
กลุ่มไหนดีขึ้น(สำหรับชาวไล่ :B ) เผื่อจะเป็นไอเดียในการลงทุนครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3304

โพสต์

บริษัท สหการประมูล
ข้อมูลจากงานMoneyTalk 19/10/62


อ เสน่ห์สอบถามคุณสุวิทย์ว่า บริษัทประมูลอะไรเป็นหลัก มีอะไรที่อัพเดทและมาเล่าให้ฟัง
หมอเค บอกว่า คุณสุวิทย์ได้ออกมาพูดเมื่อต้นปีว่าปีนี้เป็นปีทองของสหการประมูล
เลยอยากถามว่า ปีนี้ปีทองไหม และ ปีหน้าเป็นปีอะไร

คุณสุวิทย์ ตอบ ปีหน้าจะเจอขุมทรัพย์ก้อนใหม่ ไม่ใช่ธุรกิจเดิมที่ทำอยู่
ธุรกิจของสหการประมูลเน้นประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นหลัก
สัดส่วนจำนวนรถที่เข้ามาเป็น 60:40 ส่วนรายได้จะเป็นสัดส่วน 85:15
รถจากการประมูล เราจะเก็บค่าดำเนินการ
รถยนต์ คันละแปดพันบาท ส่วนมอเตอร์ไซค์ คันละพันห้าร้อยบาท ไม่ว่ารถจะขายมากน้อยเพียงใด
จำนวนรถเพิ่มขึ้น 20%กว่าในปีที่แล้ว. ปีนี้ตั้งกำไรมากกว่าปีที่แล้ว 14% สูงกว่าเป้า3%
อีกสองเดือนเป็นช่วงที่ดีที่สุดของเรา

ธุรกิจแบบเดิม เป็นรถที่ยึดจากธนาคาเป็นหลักและส่งมาที่เราทำการประมูล คนที่เข้ามาซื้อคือเต้นท์รถมือสอง ซึ่งเรียกว่า B2B
จุดเด่นของเราคือ Fair Price

คนที่เป็นเต้นท์รถ มาประมูลในราคาแฟร์
คนซื้ออยากซื้อถูกสุด คนขายอยากขายในราคาดีที่สุด เราเป็นตัวกลางแบบมืออาชีพของสองฝ่าย
เราต้องแจงข้อมูลของรถเพื่อใช้สำหรับการประมูลของรถ
ถ้าคนประมูลออกไปเป็นB2B เช่น เต้นท์รถมือสอง แล้วไปปรับปรุงรถ ให้คนไปซื้อต่ออีกที

ตอนนี้เรามีเพิ่มลูกคัารายย่อย ซึ่งมีความต้องการรถที่มีสภาพดี ปรับปรุงน้อยสุด
ซึ่งราคาจะดีกว่าที่เต้นท์รถมาซื้อ (ราคาสูงกว่าที่เต้นท์รถประมูลเพราะมีการปรับปรุงสภาพรถให้ดีสำหรับลูกค้าไปใช้ต่อได้)

ปกติเริ่มจากมอเตอร์ไซค์ก่อน ลูกค้ากำเงินสด สองหรือสามหมื่นบาทมา ก็ซื้อออกไปได้เลย
ซึ่งในแง่ของคนที่ประมูล อาจเป็นเงินจำนวนมาก ตอนนี้สามารถรูดผ่านบัตรKTCได้เเล้ว

เริ่มมาถูกทางเเล้ว การไปตลาดรถยนต์ที่ใหญ่กว่า โดยมีFinanceมารับรอง
ปกติถ้าหลายที่มีการเอารถไปโดยไม่มีดาวน์ จะขายดี (จริงๆมีเทคนิคในการทำ)
ว่าสามารถรับรถยนต์ออกไป โดยมีfinance มารับรอง

ถ้าตลาดend userโต market share ตลาดเดิมจาก50% หรือ แปดหมื่นคัน ต่อปี
จะเพิ่มขึ้น ตอนนี้financeใหญ่ส่งเราเกือบหมด

เรามีการบริหารความเสี่ยง เช่น อุทกภัย ตอนนี้ครอบคลุม100% และ วาตภัย
ต้นทุนที่กำไร รวมความเสี่ยงหมดแล้ว

วันนี้ตลาด200,000คัน เรามีสัดส่วนรถผ่านเรา แปดหมื่นคัน ตอนนี้เกือบได้แสนคันแล้ว
เรามีตลาดใหม่ ที่เอารถมาเทิรน์ด้วย ขาเข้าได้แปดพัน ขาออกก็ได้แปดพันบาทด้วย
ต่อไปรถมือสอง มีประกันรถในเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้บริษัทประกันมาทำการประกันให้

รถ 36ล้านคัน ตีว่าเอาเข้าระบบ 10ล้านคัน เอาแค่สองล้านคัน ตีว่าได้แค่4%คือ 80,000คัน
80,000 คันคูณด้วย 16,000 บาทคือรายได้ในอนาคตของเรา
กำไรมาจากการให้บริการทั้งขาเข้าแปดพัน และขาออกแปดพันบาท
คู่แข่งทำให้เราถดถอย ดังนั้นตลาดใหม่ รายละ16,000 บาทต่อคัน จะไปเพิ่มในส่วนกำไร

ลูกค้าต้องการ one stop service ไม่อยากขับมา ก็ให้เราไปรับรถมาตรวจสภาพรถได้
คนไทยปกติดูแลรถดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เพราะรถราคาเท่าบ้าน
เราตรวจเช็ครถให้ว่าอยู่ในสภาพไหน จะได้ตีราคาซึ่งดีกว่าที่อื่น
แต่มีการเก็บค่าบริการในการตรวจเช็ครถ แต่ละอย่างๆละ400บาท
ถ้าบริการสิบอย่างก็4,000บาท เป็นรายได้เข้าบริษัท

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเป็นต้องการการบริการแบบ one stop service
อ เสน่ห์ พูดว่า ตอนนี้เราทำอยู่ในeco system หากินอยู่วงจรที่คุ้นเคย

คุณสุวิทย์ พูดถึงแนวโน้มครึ่งปีหลัง
ปีที่แล้วโต20%กว่า ปีนี้โตขนาดนี้ ทีมบริหารพอใจ

เราปูพื้นฐานไปตลาดใหม่ในปีหน้า
ในเเง่ทุนประกอบการ ROA อยู่ในระดับต้นๆ
ปีหน้า จะไปสู่ตลาดใหม่ 4ที่โดยไม่ใช้เงินเยอะ
เพราะเป็นตลาดที่ต่อเนื่อง เราจ่ายปันผลเกือบ100%
4-5ปีที่ผ่านมา สหการประมูล ชื่อเหมือนเก่าแก่ เราไม่เคยขาดทุน

อยากคุยเรื่องvalue ของเราหมายถึงเรื่องโครงสร้างของบริษัท
บอร์ดบริหาร ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น อาจารย์เสาวณีย์
เราเป็นคนกลาง และ โปร่งใสที่สุด
Board สามารถforcast อนาคตได้แม่น

คุณเทพไท ศิลา ถือหุ้นมากกว่า50% รวมถึงผมและทีมงาน
ผมก็อยากได้ปันผลเพิ่ม ถือว่าเป็นvalueอีกอย่าง
อีกอย่าง เรื่องการเติบโต ตลาดเดิมเราโตอยู่แล้ว
แต่ถ้าจะโตขึ้นอีก คู่แข่งจะบาดเจ็บกัน
ดังนั้นตลาดที่ไปและสร้างvalueให้สังคม
สหการประมูล มีการประมูลทุกวัน จาก8-9 แห่ง ทำให้เรามีราคารถที่ประมูล ซึ่งทันสมัยที่สุด
Red book , Blue book ถ้าเข้าไปดูต้องเสียเงิน
เราเลยทำ Green book ให้สามารถเข้าไปดูราคาประมูลได้

เราคิดว่าตอนนี้ไม่มีที่เพียงพอ ลูกค้าไม่มีที่จอดรถ
เพราะรายย่อยเพิ่ม 40%
ผมบริการ และ ใส่ใจละเอียด เช่น บริการรถGolf
ผมมีการให้บริการรายย่อยทั้งสองข้าง
ตอนนี้มีการประมูลแบบonsiteโดยใช้ipadมาประมูล
ตอนนี้เราเข้าประมูลในส่วนที่ล้างรถในห้างสรรพสินค้า
เรามีเครื่องมือล้างรถที่ทันสมัย มีตรวจ ตรอ
ผมสามารถประมูลonlineโดยเอารถ15คันมาเป็นตัวอย่างเพื่อประมูลonline

ผมเชื่อว่า เรามีสถานที่บริการการประมูลเยอะสุด
แต่จะโตแบบtripple เราต้องไปหาลูกค้า
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3305

โพสต์

พี่ๆ ท่านใด อ่านเล่มนี้แล้วบ้างครับ ชาร์ลี มังเกอร์ : ชายผู้ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับความผิดพลาดในการลงทุน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3306

โพสต์

ท่านaricaฮะ
ผมซื้อมาแล้วฮะ แต่ไม่ได้อ่านเลย รวมทั้งเซเปียนส์และอีกสองเล่มหลัง และอีกหลายเล่มของหลายคน
สงสัยว่ายุคของการอ่านหนังสือกระดาษจะสิ้นสุดแล้วมั้ย
แต่ท่านaricaอย่าหยุดแนะนำหนังสือนะฮะ ไม่มีท่านก็ไม่รู้จะมีใครอีกแล้วมั้ย

เที่ยวนี้เพื่อเป็นการกตัญญูต่ออ.(ที่ให้ผมใช้สิทธิชราภาพเข้ามี้ตติ้ง)เลยมีไอเดียใหม่ๆจากมี้ตติ้งวีไอหาดใหญ่
มาฝากกัน

Q3:ปี62
ภาพรวม ตลาดไม่ไปไหน ปีนี้อ.ลูกอิสานอาจแพ้ตลาดเป็นปีที่2 อ.ty ยังชนะตลาดอยู่
(คล้ายๆ2013 กระทู้นี้หน้า5-6 สมาชิกหน้าแห้งฮือๆมากกว่าเฮฮา)
หุ้นเล็ก เจ้าไม่ปั่นเพราะโดนจับได้,พวกพีอีสูงตัวใหม่ๆพอกำไรหดก็เป็นนางฟ้าตกสวรรค์(แล้วลงนรกไปเลย)

ที่เคยใช้วิธีมาเก็งกำไรรายไตรมาศเลยชักจะไม่เวิร์ค เลยมีการทดลองแบบใหม่ๆดูบ้าง
1. ชอร์ตหุ้น(กระทืบซ้ำ)
1.1 ดูงบ ตัวไหนเน่า ก็ไปดักชอร์ตวันรุ่งขึ้นเลย
1.2 เลือกตัวที่มีปัญหา แต่ไม่มีเจ้าคุม (กันเจ้าลาก)เช่นอาหารส่งออกโดนค่าเงินแข็ง,หุ้นที่จะเจ๊งแน่ถ้าผบห.ไม่แก้ไขอะไร(สุริยะ)อ.ไปช็อตมา10ตัว กำไร9ตัว
1.3 ชอร์ตผอร์ทตัวเอง ขายออกมาบ้างรอซื้อกลับ แต่แบบนี้เหนื่อยหน่อย
แต่อันตรายของการชอร์ตหุ้นคือ ขาดทุนได้ไม่จำกัด แต่กำไรจำกัดนะจ๊ะ ระวังกันด้วย
2. เล่นกับคอมโมแบบซื้อขายล่วงหน้า เช่นราคาน้ำมัน ดูว่ามันถูกเกินไปก็ไปเก็งว่าแพง ถ้าfuture(อ่านว่าฟิวเจ้อร์นะจ๊ะ ไม่ใช่ฟูทัวร์)ราคาน้ำมันไม่มีขายก็ไปซื้อsingle stock futureของสผ.แทน
3. ไปดักซื้อหุ้นที่โดนฟอร์ซเซล เช่นมะลิบอดแบน ฟลอร์วันแรกงงๆ วันที่สองลงต่อเอาซะหน่อย กำไรมาล้านนึงเอาไปประมูลทุเรียนออนไลน์ลูกละแปดพันมากินเล่นแก้เซ็ง แต่เคยทำแบบนี้กับถ่านหินอินโดแล้วเงิบไปเลยจร้า(กระทู้หน้าเก่าปีก่อนๆจำไม่ได้แระ)
4. เปลี่ยนจากหุ้นเล็กๆไม่มีคนรู้จัก มาเล่นหุ้นกลางๆรอขายกองทุนดู
คือเดิมไม่สนสภาพคล่องมาดูสภาพคล่อง เพราะกองทุนยังมีตังค์มาซื้อหุ้นต่อจากเรา ส่วนรายย่อย กลายเป็นรายย่อยยับ,ยับเยินไปหมดแล้ว
คือแต่ก่อน จากที่หุ้นลงลิฟท์มาแล้วใช้วิธีแจกบั้งไฟกลับขึ้นไป ครั้งนี้ก็เปลี่ยนจากบั้งไฟเป็นจรวดลำใหญ่ขึ้นมาหน่อยนึง

หุ้นที่เลือกมามีเจ็ดตัว มีความสามารถในการแข่งขัน คุณภาพอยู่ในระดับที่กองทุนลงทุนได้
1. เรือบินแดง ตัวนี้ออกจะวัฎฎจักรนิสนุงนะ pbvต่ำมาก ,เรือบินบูติกไม่ชอบเพราะแนวโฮลดิ้งไม่ถนัดและไม่คิดว่าปลดล็อคมูลค่า,เรือบินจำปีก็โดนเพิ่มทุนและไม่คิดว่าอ.นิเวศน์จะเข้าอีก(แบบตอนสับพรามที่ราคาต่ำสิบแล้วมาร์จิ้นมาซื้อ)
2. ปั๊มเขียวจำนวนปั๊มที่1(จำนวนหัวจ่ายกับยอดขายไม่นับจร้า)โตเยอะดี ผบห.จริงใจ ไตรมาศไหนร้องเพลงในออพเดย์ก็ลุยเลย ไตรมาศไหนหน้าแห้งๆก็รอดูก่อน
3. หุ้นขายอุปกรณ์สำนักงานเก่าแล้วมาทำออนไลน์ (จะสู้เจ้าอื่นทันมั้ยหว่า)
ตัวอื่นๆยังเก็บไม่ครบ(ตังค์อ.เยอะ เก็บทีราคาคงจะกระฉูด ใครรู้ มาบอกกันได้จ้ะ)

แต่สังเกตว่า หุ้นที่อ.อธิบายเยอะหน่อยตอนมีคนถามก็มี
แบงค์ที่ดินกับบ้าน เห็นว่าได้เงินมาแล้ว แต่ยังไม่มีทางลง
หุ้นยาง ตัวที่ปิดความเสี่ยงไว้หมดแล้ว (ตัวที่เคยเจ๊งมาหลายปีก่อนพร้อมssiนั่นชอบวิ่งเข้าหาความเสี่ยงตัลหลอดดด)
หุ้นขายอุปกรณ์การแพทย์จะไปทำบ้านพักคนชรา
นิคมนะวะ( อย่าพูดวะกันสิเว้ย)ขายที่ไม่ได้ยังได้กินค่าน้ำไฟอยู่

ประสบการที่พลาดในช่วงนี้
1. สายพานถ่านหิน จากที่คิดว่าน่าจะกำไร30กลายเป็นขาดทุน300แสดงว่ายังมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้และคาดไม่ถึงอีกมากในการลงทุน ปล่อยไว้ก่อน ยังไม่ถัว
2. หุ้นฟัน ที่ฟันวีไอตายหมู่ซะเละ ยังไม่ขาย รอใช้สิทธิเพิ่มทุน
3. หุ้นรับเหมา ปลายปีนี้สัมมนามันนี่ถอก ถ้ามีคำถามว่าหุ้นอะไรจะมาคงไม่ตอบว่าหุ้นรับเหมาอีกแล้วจร้า ตอบไปสองรอบแล้ว
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3307

โพสต์

เห็นมีโพสต์หนังสือลุงชาร์ลี ไอ้ผมก็ติ่งลุงแกด้วยสิ
กดสั่งซื้อไปละครับ เดี๋ยวได้มาแล้วอ่านจบ อาจเอาประเด็นที่น่าสนใจมาคุยกันครับ :mrgreen:
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3308

โพสต์

อ่านแล้วดีจึงบอกต่อ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3309

โพสต์

#แก่ช้าลงแน่_แค่ปล่อยให้ท้องหิว
.
ในยุคที่ประเทศไทยมีประชากรที่มีอายุเพิ่มขึ้น ย่างเข้าสู่ยุคคนสูงวัย (ทั้งนี้ จากข้อมูลของ บล กสิกร อายุเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 37 ปี - ไม่ใช่อายุขัยนะ ถ้าอายุขัย น่าจะ 80 ปีแล้ว เข้าใจว่า โลกทันสมัยขึ้น การรักษาโรคดีขึ้น คนป่วยตายย่อมลดน้อยลง นั่นก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้เข้ายุคคนสูงไวเร็วขึ้น หากไม่มีการปั้มลูกมามากๆ 5555)
.
หนังสือเล่มนี้เป็นแนวสุขภาพที่ทำให้คนสงสัยกันมาก เมื่อเห็นชื่อหนังสือ และที่น่าประหลาดใจ คือ อายุของผู้เขียน เทียบหน้าตาแล้ว ช่างขัดแย้งกันมากนัก จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ที่ชอบ คือ มีภาพสีที่เข้าใจง่าย เด็กๆ ก็อ่านง่ายด้วย เพราะภาพประกอบวาดแบบการ์ตูน อธิบายคำให้เข้าใจได้ง่ายอีกด้วย เรามาเข้าเนื้อหาสั้นๆ กันเลยครับ
.
เริ่มมาก็จะอธิบายเกี่ยวกับเซลล์ในร่างกายคนสั้นๆ ง่ายๆ รวมไปถึงส่วนภายในร่างกายเน้นหลอดต่างๆ (ไม่มีหลอดดูดน้ำนะ 555) *** คำสำคัญของหนังสือ คือ “โกรทฮอร์โมน(Growth Hormone)” — เราควรจะชอบกันนะ เหมือนนักลงทุนที่ชอบหุ้นโกรทๆ ฮ่าๆๆๆ โดยหนังสือจะบอกเราว่า เมื่อไรที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา เกือบลืมบอกไปว่า Growth Hormone เป็น ฮอร์โมนที่ทำให้กลับมาหนุ่มสาว ซึ่งช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังช่วยสมานแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
.
เมื่อไรที่ร่างกายจะหลั่ง โกรทฮอร์โมน ออกมาล่ะ ก็จะมี (1) ช่วงเวลาการนอน ก็จะมีเวลาที่ดีที่สุดที่ฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมา (2) ช่วงที่ร่างการกำลังหิว !!! รู้หรือไม่ว่า ตอนเราหิวจนท้องร้อง “จ๊อกๆ” จะมีสารออกมา 3 ตัว คือ โกรทฮอร์โมน(Growth Hormone) ยีนต่ออายุขัย(ยีนเซอร์ทูอิน) และฮอร์โมนมหัศจรรย์(อะดิโพเนคทิน) — ใครที่อยู่วงการแพทย์ ออกมาให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารที่หลั่งออกมาจากร่างกายก็ดีครับ
.
ในหนังสือก็จะบอกว่า เราควรนอนช่วงไหน กินอาหารอะไร/เมื่อไร เพื่อกระตุ้นให้ร่างการผลิตฮอร์โมนโกรทออกมามากๆ รวมไปถึงการออกกำลังกาย การเดิน และกิจวัตรประจำวันด้วย อ้อ อีกเรื่องที่จะบอก ความเครียด (เราต้องพยายามอย่าให้เกิดความเครียดบ่อยๆ) เพราะความเครียดทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ต่อการรักษาความสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติ ก่อให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติจนส่งผลต่อสุขภาพของเรานั่นเอง (ช่วงหุ้นตกๆ ก็อย่าไปสนมากนัก พยายามอย่าเครียดด้วย) ในหนังสือบอกถึงความเครียดเล็กน้อย ใครที่เป็นหมอ (คิดถึงพี่หมอหนึ่งคนแรกเลยครับ Dr1) ก็น่ามาช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยครับ เพื่อสุขภาพที่ดีต่อคนที่มาอ่านครับ
.
จากหนังสือเรื่องนี้ ก็คิดไปถึง Intermittent Fasting (IF) ซึ่งเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ก็สอดคล้องกับเรื่องการปล่อยให้ท้องหิวเช่นกัน ขอข้ามไปถึงพระภิกษุก็งดอาหารเย็นด้วยเช่นกัน (พระพุทธเจ้าอาจรู้ก่อนก็ได้ ใครจะรู้) คงไม่กล่าวถึงทางศาสนามาก เพราะไม่มีความรู้ไรเลยทางด้านนี้ครับ แค่เปิดประเด็นไว้ รอท่านอื่นมาให้ความเห็นครับ
.
สุขภาพดีง่ายๆ เพียงแค่ปล่อยให้ท้องหิว แถมประหยัดเงินด้วย เหมาะกับสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นตก ไม่ไปไหน โดยเฉพาะหุ้นเล็ก/หุ้นกลางจำนวนมากที่มีแต่ทรงกะทรุดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3310

โพสต์

ถูกต้องล่ะคร้าาบบ ท่านAnieLee

กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว
กินก่อนเที่ยง เอาไปใช้ กินหลังเที่ยง เอาไปเก็บ
แม่เคยเล่าว่า คนโบราณเชื่อว่าร่างกายมีโควต้าเรื่องกิน เช่นโควต้าน้ำตาลอยู่ที่ร้อยกระสอบ(สมัยก่อนกินขนมหวานปีละหนสองหนตามเทศกาล ไม่ใช่ทุกวันแบบนี้)
กินเกินไปก็ล้นออกเป็บเบาหวาน
กินเนื้อใด้ไ้ม่เกินสองตัน (แต่ก่อนกินไก่เฉพาะตอนตรุษจีน กินเนื้อตอนงานใหญ่ๆ)กินเกินก็ล้นออกเป็นเกาท์
แล้วเราจะมีผอร์ทใหญ่ไปทำต๊องอะไรกันฮะเนี่ย ในเเมื่อต้องมาอดๆอยากๆอย่างงี้..

ขออนุญาตมาเล่าให้ฟังไอเดียลงทุนอ.tyกันต่อหน่อยนึงฮะ
ปรากฎว่า อ.ty เป็นเพื่อนบัญชีธรรมศาสตร์โต๊ะเดียวกับ ท่านlonesomecook( อดีตCFOอาหารสุรพล มามี้ตติ้ง4ครั้งเพิ่งเจอกันครั้งแรก)
ไอเดียอ.tyช่วงเศรษฐกิจแย่ๆ กับเทรนด์อนาคตคือ
1. บ.ติดตามหนี้ กับบบส. น่าจะโตดีในช่วงที่หนี้เสียเพิ่มขึ้นแบบนี้ฮะ
2. บ.ที่เป็นตัวกลางที่มีbig data น่าจะได้เปรียบพวกที่ไม่มีbig dataและจะโดนdisruptไปในที่สุด
ที่ลงทุนไปแล้วคือโบรคเกอร์ประกันภัย เลือกเจ้าที่
2.1 ใหญ่ที่สุด ทิ้งห่างอันดับสอง(มีความสามารถในการแข่งขัน,โตในตลาดที่กำลังโต(เมืองนอกโบรคธุรกิจดีไม่แพ้บ.ประกัน))
2.2 มีbig data ของลูกค้าล้านกว่าคน เผื่อไปขายอย่างอื่น เช่นประกันสุขภาพเพิ่ม (มั่นใจว่าขายเก่งกว่าบ.ประกันขายเอง)
2.3 ยังไม่แพง อ.tyลงทุนตั้งแต่พีอี 20 ตอนนี้พีอี30 เต็มมูลค่า แต่หวังว่าปีหน้าถ้าโต20% แล้วถ้าตลาดยังให้พีอีเท่าเดิม ก็กำไรเพิ่ม
2.4งบดุลแข็งแรง เงินจากไอพีโอยังไม่ได้ใช้เลย(แล้วจะไอพีโอไปเพื่อ..)รายจ่ายลงทุนพนักงานบันทึกไปแล้ว

มีอะไรมาเสริมมาแก้ให้ด้วยนะฮะ

วีไอผอร์ทหด อดอาหารเพราะอยากจะกินก็กินไม่ลง เห็นผอร์ทแล้วเซ็งเป็ด รายงาน
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3311

โพสต์

#BigMistakes
.
ขอบคุณพี่หมอหนึ่งที่มาช่วยยืนยันข้อมูล แนะนำครับ หนังสือสุขภาพที่ดี แถมประหยัดยามตลาดหุ้นแย่ๆ ด้วย พี่หมอหนึ่ง สู้ๆ ครับ ระหว่างนี้ จะอ่านหนังสืออีกเล่มก็ได้ครับ ข้างล่างเลย แม้แต่เซียนหุ้นยังพลาด นับอะไรกับเราที่ตัวเล็กมากๆครับ
.
.
เป็นหนังสือที่ช่วยในการเรียนรู้ประสบการณ์การล้มเหลวของนักลงทุนท่านอื่น เพื่อเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น โดยเราไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงด้วยตนเอง โดยหนังสือนี้จะเล่าถึงประสบการณ์ที่ล้มเหลวของนักลงทุนชื่อดังหลายท่าน ประกอบด้วย Benjamin Graham, Jesse Livermore, Mark Twain, John Meriweter, Jack Bogle, Michael Steinhardt, Jerry Tsai, Warren Buffett, Bill Ackman, Stanley Druckenmiller, กองทุน Sequoia, John Maynard Keynes, John Paulson, Charlie Munger, Chris Sacca, Michael Batnick รวม 16 เรื่องราวที่น่าสนใจ ทั้งๆ ที่ทุกท่านที่กล่าวมา ล้วนประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้เช่นกัน ขอเพียงให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ถึงกับเสียหายหนักมากจนไม่สามารถกลับมาได้หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตไปเลย
.
1. ตลาดหุ้น ร่วงต่ำแล้ว แต่มีต่ำกว่าได้ – ในปี 1930 เกรแฮม คาดว่า ตลาดเลวร้ายที่สุดผ่านไปแล้ว จึงทำการลงทุนแถมใช้มาร์จิ้น เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงมากๆ ปรากฏว่า ตลาดหุ้น Dow ยังไม่ถึงจุดเลวร้าย และตลาดก็พังลงมา จนเขาขาดทุนมากถึง 50% คำคมเกรแฮม: “In my nearly fifty years of experience in Wall Street I've found that I know less and less about what the stock market is going to do but I know more and more about what investors ought to do; and that's a pretty vital change in attitude.”

.

2. ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในอดีต ก็ไม่ได้รับประกันว่า ความสำเร็จในอนาคตจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง หากปราศจากความรอบคอบ - Jesse Livermore นักลงทุนสายเทคนิคชื่อดังท่านหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากๆ โดยเฉพาะปี 1929 ที่เข้าทำการเปิด Short หุ้น 100 ตัวในตลาดหุ้น Dow และตลาดก็ตกลงไปมากถึง 32% และเขาสามารถปิด short position ได้กำไรปีนั้นมากถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว ต่อมา ปี 1932 ตลาดฟื้นตัวจากการพังยับเยิน และตลาดเริ่มปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ เพียง 42 วัน ขึ้นไปมากถึง 93% ดังนั้น Livermore จึงเข้าไปทำการเปิด Short อีกครั้งหนึ่ง (เขาคงคาดหวังความสำเร็จที่เคยทำได้ในปี 1929 อีกครั้ง) แต่แล้ว เขาก็ขาดทุนอย่างหนักหลังจากปิด short positon ไป แล้วก็เปิด long position ทันที ณ จุดที่สูงสุดของตลาดหุ้น จากนั้น ตลาดก็พลิกผันตกลงมา จนเค้าขาดทุนถึงขนาดล้มละลายไปเลย ต่อมาก็ได้ฆ่าตัวตายไปในที่สุด

.

3. แม้แต่วอเรน บัฟเฟตต์ ก็เคยพูดถึงความผิดพลาดของความเชื่อมั่นมากเกินไป (Over Confidence) จากดีลที่เข้าไปซื้อกิจการ Dexter (กิจการผลิตรองเท้าของ) ในปี 1993 โดยเชื่อมั่นในตัวของ Frank Rooney, H.H. Brown มากเกินไป ทั้งนี้ เพราะเขาเคยซื้อกิจการรองเท้าแห่งหนึ่ง H.H.Brown ในปี 1991 ไปแล้ว จึงมั่นใจในการซื้อ Dexter ไป เป็นการแลกหุ้นของ Berkshire มูลค่าตอนนั้น 433 ล้านเหรียญ (ราคาหุ้นตอนนั้น 16,765 เหรียญ ในปี 1993) แต่มูลค่าหุ้น Berkshire ในปัจจุบันมีมูลค่าสูงมาก ในขณะที่ Dexter ที่เติบโตน้อยแถมลดลงด้วย หลังจากซื้อกิจการผ่านไป 5 ปี ในปี 1994 รายได้และกำไรของ Dexter เริ่มลดลง และในปี 1999 รายได้ลดลงมากถึง 18% ในขณะที่กำไรลดลงถึง 57% / นอกจากผลกำไรของ Dexter ไม่ดีแล้ว ยังพลาดที่จ่ายหุ้นของ Berkshire ไปในการเข้าซื้อกิจการ Dexter อีกด้วย นับเป็นความผิดพลาดที่มีมูลค่าสูงมากเลยทีเดียว

.

นี่แค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ เพื่อให้เกิดความสนใจที่จะเข้าไปอ่านของเพื่อนๆ หนังสือ Big Mistakes นับเป็นหนังสือที่อ่านแล้ว สนุก เพิ่มพูนความรู้ในการลงทุน ผ่านประสบการณ์ของนักลงทุนอันมีชื่อเสียงระดับโลกเลยครับ enjoy reading ^ ^
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3312

โพสต์

#ยิ่งหิว_ยิ่งสุขภาพดี

.

หนังสือเล่มนี้ อาจจะเรียกภาคขยายของหนังสือเล่มที่แล้ว “แก่ช้าลงแน่ แค่ปล่อยให้ท้องหิว” โดยอธิบายรายละเอียดมากขึ้นว่า ทำไมการไม่กินอาหาร จึงดีต่อสุภาพ และยืนยันการดำเนินชีวิตด้วยอาหารวันละมื้อที่คุณสามารถทำได้ รวมถึงผลการเปลี่ยนแปลงจากการกินเพียงมื้อเดียว เกือบลืมไป ผู้เขียนมีบอกถึงที่มาในการค้นพบเรื่องการหิว ทำให้สุขภาพดีด้วยประสบการณ์ตรงของเค้าเองด้วย

.

เนื้อหาจะเจาะรายละเอียดเข้าไปมากขึ้นกว่าเล่มเดิมมาก มีหลายเรื่องที่น่าแปลกใจอีกด้วย เช่น คนที่พยายามลดความอ้วน ถึงกินน้อย ก็ยังอ้วน, พฤติกรรมการกินอาหารมากเกินไปและกินอย่างขาดสมดุลของโรคร้าย 4 ตัว คือ โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ,โรคหลอดเลือดสมอง, โรคเบาหวาน ด้วย แล้วก็มี ทำไมหนาวแล้วร่างกายจึงสั่น , แนะนำประเภทอาหารที่ดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ เพื่อที่ให้ผู้อ่านปรับการกินอาหาร โดยเฉพาะ ชาและกาแฟ ห้ามดื่มตอนหิว เพราะชามีสารแทนนินที่ทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารเปลี่ยนไป ทำให้การย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ กาแฟมีสารคาเฟอีนที่กระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ฤทธิ์คล้ายๆ ยาเสพติดอย่างมอร์ฟินนั่นเอง

.

เรื่องที่สำคัญที่เราคนไทยควรตระหนักคือ การบริโภคน้ำตาล และการออกกำลังกาย เพราะ น้ำตาลจะทำให้ร่างกายแก่ชราและเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุขัยสั้น (ขอเสริมข้อมูลเพิ่มเติมด้วยคลิป https://www.youtube.com/watch?v=ASaZEhMsc3M เกี่ยวกับน้ำตาล) ส่วนการออกกำลังกายหักโหม ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผลเสีย ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับหัวใจ คือ อัตราการเต้นของหัวใจตั้งแต่เกืดจนตายถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยสัตว์ทุกชนิด ชีพจรจะเต้น 2 ล้านล้านครั้ง (ฝากหมอๆ หรือคนในวงการแพทย์ ตรวจสอบข้อมูลก็ดีครับ) อีกเรื่องที่สำคัญ คนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย และจู่ๆ มาเล่นกีฬามากๆ ย่อมเสี่ยงได้รับอันตราย เพราะหัวใจอาจรับภาระหนักโดยไม่ทันตั้งตัวจนเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหากไม่เกิดภาวะที่กล่าว แต่อัตราการเต้นของหัวใจตั้งแต่เกิดจนตาย อาจถูกใช้หมดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนคนที่เล่นกีฬา จะมีหัวใจกีฬา เนื่องจากชีพจรปกติจะเต้นเพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะเล่นกีฬา อัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก มีนักสรีรวิทยา ฟิล มาฟฟีตอน นำเสนอ อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ โดยให้นำอายุลบออกจาก 180 และผลที่ได้ จะเป็นขอบเขตของอัตราการเต้นของหัวใจที่ปลอดภัยสำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ส่วนคนที่ไม่ได้ออกเป็นประจำ ให้ใช้เลข 170 แทน และคนที่อายุเกิน 70 ปี ควรออกกำลังกายให้อัตราการเต้นของหัวใจไม่เกิน 100 ครั้งต่อนาที

.

ส่วนอื่นๆ ก็เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจเช่นกัน ถ้าได้อ่าน ก็แทบจะวางไม่ลง ตัวผมเอง อ่านเล่มนี้ รวดเดียวจบ หนังสือมีเพียง 200+ หน้าเท่านั้น ผมใช้เวลาอ่านราวๆ 3 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น สรุปสั้นๆ ว่า "ออกกำลัง เป็น เรื่องดี แต่จะดีกว่า ถ้าออกกำลังกายอย่างถูกต้อง และสุขภาพ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ควรละเลย ถึงแม้มีเงินทองเท่าไร ถ้าสุขภาพไม่ดี ก็ไม่มีความสุขเช่นกัน นอกจากออกำลังกายแล้ว อาหารก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกันครับ"

.

จบครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3313

โพสต์

#Margin_of_Safety
.
เล่มนี้ น่าเป็นหนังสือในตำนานที่ทรงคุณค่าเช่นกัน “Margin of Safety” ผู้เขียน Seth Klarman เป็น ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงแห่งหนึ่ง โดยใช้แนวการลงทุนเน้นคุณค่าเป็นหลัก ด้วยพื้นฐานปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Cornell และ MBA จาก Harvard ทำให้เขาเข้าสู่โลกของการบริหารกองทุน ด้วยการก่อตั้ง Baupost Group ในปี 1982 ซึ่งในเวลานั้น เขาอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น ตั้งแต่เริ่มกองทุนมาจนถึงปี 2008 กองทุนของ Seth สามารถทำผลตอบแทนทบต้นราว 20% เลยทีเดียว ขนาดกองทุน ณ กลางปี 2019 มีขนาดมากถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
.
เนื้อหาในหนังสือ อธิบายถึงแนวทางและความแตกต่างระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไร โดยให้คำนิยามว่า การลงทุนเป็นการลงทุนที่เชื่อว่า ราคาหุ้นที่เป็นไปตามพื้นฐานของกิจการ ในขณะที่การเก็งกำไร เป็นการลงทุนที่เข้าไปเล่นโดยพิจารณาเพียงแค่ราคาหุ้น โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานเลย และประเด็นที่สำคัญคือ การใช้ประโยชน์จากนายตลาด ทั้งนี้ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะไม่มีการใช้อารมณ์ตามภาวะตลาดในการลงทุน ส่วนนักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักใช้อารมณ์ในการตัดสินใจตามภาวะตลาด ทำให้เกิดความผิดพลาด ทั้งนี้การลงทุนบนปัจจัยพื้นฐานแนวเน้นคุณค่านั้น ต้องทำการบ้านอย่างหนักมาก มีวินัยสูง และลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ระลึกไว้ว่า “ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนักลงทุน ก็คือ ตัวเราเอง”
.
เป้าหมายหลักของการลงทุนเน้นคุณค่า คือ การป้องกันเงินลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องหา margin of safety เพื่อที่จะเผื่อไว้ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดต่างๆ จากการลงทุน และหลีกเลี่ยงการขาดทุนมากๆ เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ถึงแม้ว่า เราจะมีการประเมินมูลค่าไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่เราเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ย่อมมีโอกาสผิดพลาดอยู่แล้ว โดยทั่วไป เมื่อตลาดร่วงลงมา margin of safety ก็ยิ่งมีมากขึ้น ความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะลดลง ก็น้อยลง โอกาสที่เราจะเสี่ยงต่อการขาดทุนมากๆ ก็น้อยลงตาม ในทางกลับกัน เมื่อตลาดขึ้นทะยานสูงมากๆ margin of safety ก็ยิ่งน้อยลง นั่นคือ ความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะลดลง มีเพิ่มขึ้น โอกาสที่เราจะขาดทุนมากๆ ก็มีสูงขึ้น ในทางปฏิบัติแล้ว การฝืนตลาดที่สวนกระแส นับว่าทำได้ยาก เพราะคนเราจะถูกกระทบจากภาวะตลาด นั่นคือ นายตลาดที่เข้ามารบกวนจิตใจของเราให้มีความโลภ ความกลัว เป็นเรื่องปกติมากที่เวลาหุ้นขึ้น ความโลภจะมากขึ้นจนผู้คนเริ่มมองข้ามเหตุผลไปจนลืมระมัดระวัง ในขณะที่เวลาหุ้นลง ความกลัวจะปรากฏขึ้น จนเราหวั่นวิตกว่า เราคิดผิดหรือไม่ และเราอาจกลัวจนลืมเหตุผลที่ดีตอนเราซื้อหุ้นนั้น และเราอาจแพ้ภัยตัวเองด้วยการขายหุ้นนั้นออกไปอีกด้วย นี่ล่ะ ศัตรูที่ร้ายกาจของการลงทุน คือ ตัวเราเอง
.
เนื้อหาอื่นๆ ก็น่าสนใจ ทั้งเรื่องของการพิจารณาความเสี่ยง การจัดสรรเงินลงทุนใน portfolio การประเมินมูลค่าหุ้น เป็นต้น หนังสือเล่มนี้ นับว่า มีเนื้อหาที่ดีมาก เหมาะสำหรับนักลงทุนอย่างยิ่ง // ตีพิมพ์ปี 1991 ครับ ตอนนี้คงเป็นหนังสือหายากไปแล้ว และคนที่มีเล่มนี้ ก็โชคดี เพราะมูลค่าหนังสือเล่มนี้ น่าสูงมากเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ // ผมอ่านฉบับ e-book ครับ สบายๆ
.
จบเพียงเท่านี้ครับ (ปล น่าจับแต่ละบท มาโพสประเด็นหลักๆ ก็ดีครับ แต่ก็นะ กินเวลามากๆ เช่นกัน)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3314

โพสต์

#หมาน้อยสอนรวย
.
เป็นหนังสือที่สอนให้รู้จักการบริหารเงิน ด้วยวิธีการง่ายๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่ง กับ น้องหมาตัวหนึ่ง น่าเหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ มีไว้ เพื่ออ่านเป็นนิทานให้ลูกๆ เป็นการสอนเรื่องของเงินทางอ้อมด้วย ทั้งนี้ การบริหารเงิน ไม่เคยถูกบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอนของบ้านเราแทบทุกระดับชั้นเลย ดังนั้น หนังสือนี้จึงเหมาะสมกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กๆ
.
เริ่มเรื่องจากการที่เด็กหญิงมีโอกาสช่วยเหลือน้องหมาตัวหนึ่งจากการบาดเจ็บ ระหว่างที่ไม่พบเจ้าของน้องหมา เด็กหญิงก็ดูแลน้องหมาไป ฐานะทางบ้านของเด็กหญิงไม่ค่อยดี พ่อแม่มักมีปัญหาการเงินให้ถกคิดกันตลอดเวลา แต่ใครจะรู้ น้องหมาตัวนั้น พูดได้ และได้แนะนำวิธีการบางอย่างเกี่ยวกับการบริหารอ้อม โดยให้เด็กหญิงตั้งเหตุผล 10 อย่างว่า ทำไมถึงอยากรวย จากนั้นให้เลือก 3 ข้อแรกที่สำคัญ และน้องหมาบอกให้จินตนาการออกมาเป็นภาพ ทำออกมาเป็นอัลบั้มความฝัน จากนั้นน้องหมาก็ให้เริ่มลงมือทำ มันเป็นที่มีของกระปุ๊กความฝัน เพื่อให้เด็กหญิงเริ่มต้นด้วยการออมเงิน โดยแบ่งเงิน 10 มาร์ค จากค่าขนมที่ได้มา 20 มาร์คต่อเดือน ลงในกระปุ๊ก // คำคม (1) “จงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตอนที่มันยังเล็กอยู่ เพราะทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ย่อมเริ่มจากเล็กเสมอ” และ (2) “มนุษย์ทุกคนที่บรรลุอะไรสักอย่างในชีวิต ต้อง ฝัน ก่อนทั้งนั้นแหละเธอจ๋า พวกเขาต้องจินตนาการซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า มันจะเป็นยังไงน้าถ้าไปถึงเป้าหมาย แน่นอน เราจะไม่หนุดอยู่แค่นั่งฝัน” (3) เงินเป็นอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่มันจะสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาที่เราไม่มีมัน
.
ปัญหาที่เด็กหญิงพบก็คือ ถ้าเก็บออมได้แค่นี้ เมื่อไรถึงจะได้ทำตามความฝันที่ว่าไว้ ดังนั้น น้องหมาจึงแนะนำการหาเงินให้แก่เด็กหญิง โดยแนะนำ 2 ข้อสำคัญคือ (1) จงพยายามหาทางแก้ปัญหาให้คนอื่น (2) จงค้นหาและตั้งใจทำสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราทำได้ และสิ่งที่เรามี // คำคม “ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะเป็นตัวตัดสินว่า เธอจะกล้าเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างมั้ย เธอกล้าเชื่อตัวเองมั้ย ถ้าเธอไม่กล้าเชื่อในอะไรสักอย่าง เธอก็จะเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้เลย แล้วเมื่อเธอไม่เริ่มต้น ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” // แล้วเด็กหญิงก็เริ่มต้นด้วย การรับจ้างดูแลเจ้าตูบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำได้ และแถวบ้านเธอก็มีความเป็นไปได้สำหรับงานนี้ด้วย
.
หนึ่งในความฝันของเด็กหญิงคือ การปลดหนี้ให้กับพ่อแม่ แล้วน้องหมาก็แนะนำกฏ 4 ข้อ คือ (1) ใครก็ตามที่มีหนี้สิน ต้องโยนบัตรเครดิตทิ้งไปให้หมด (2) อาจฟังแปลกๆ สำหรับพวกผู้ใหญ่ ก็คือ พวกเขาควรจะจ่ายหนี้คืนให้น้อยที่สุด ซึ่งพวกผู้ใหญ่เขาเรียกกันว่า การผ่อนชำระ ยิ่งต้องผ่อนสูง พวกเขาก็ยิ่งมีเงินใช้ต่อเดือนน้อยลง — ข้อนี้ ผู้เขียนหนังสือมองว่า ถ้าจ่ายไปมากๆ จนไม่มีเงินเหลือ ก็ขาดสภาพคล่อง สุดท้ายก็ต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อเอามาจ่ายหนี้อยู่ดี (3) จงออมเงินไว้ 50% ของเงินที่มี ส่วนอีก 50% นำไปจ่ายหนี้อุปโภคบริโภค แต่ไม่ควรก่อหนี้อุปโภคบริโภคเลยจะดีที่สุด (4) จำเป็นแน่หรือ ที่จะจ่ายเงินออกไป // เพื่อที่จะได้ยับยั้งชั่งใจตอนจะจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ไม่ให้ช้อปแหลกมากเกินไป
.
เด็กหญิงได้พบเจ้าของน้องหมาแล้ว เป็นคนร่ำรวย หลังจากมีโอกาสได้คุยกับท่านนั้น เด็กหญิงได้รับความรู้เพิ่มมาอีกเรื่อง เรื่องการลงทุน โดยอธิบายเรื่องห่านทองคำให้ฟังว่า เจ้าห่านตัวนี้ก็เปรียบเหมือนกับเงินของหนู ถ้าหากหนูเอาเงินไปลงทุน หนูก็จะได้ดอกเบี้ยและดอกเบี้ยที่ออกมา ก็คือ ไข่ทองคำ นั่นเอง และไม่นาน เด็กหญิงก็ก้าวสู่โลกการลงทุน นั่นเอง
.
อยากรู้กันไหมว่า เด็กหญิงสามารถที่จะบรรลุความฝันของเธอได้หรือไม่ หลังจากนี้เป็นไงต่อ ก็ติดตามอ่านกันได้ในหนังสือครับ สุดท้าย ผมคิดว่า น่าเป็นหนังสือที่ให้เด็กๆ อ่านได้ เพื่อปูพื้นฐานทางการเงินเอาไว้ตั้งแต่เด็กๆ ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3315

โพสต์

AnieLee เขียน:
อังคาร ธ.ค. 17, 2019 2:40 pm
#หมาน้อยสอนรวย
.
เป็นหนังสือที่สอนให้รู้จักการบริหารเงิน ด้วยวิธีการง่ายๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่ง กับ น้องหมาตัวหนึ่ง น่าเหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ มีไว้ เพื่ออ่านเป็นนิทานให้ลูกๆ เป็นการสอนเรื่องของเงินทางอ้อมด้วย ทั้งนี้ การบริหารเงิน ไม่เคยถูกบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอนของบ้านเราแทบทุกระดับชั้นเลย ดังนั้น หนังสือนี้จึงเหมาะสมกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กๆ
.
เริ่มเรื่องจากการที่เด็กหญิงมีโอกาสช่วยเหลือน้องหมาตัวหนึ่งจากการบาดเจ็บ ระหว่างที่ไม่พบเจ้าของน้องหมา เด็กหญิงก็ดูแลน้องหมาไป ฐานะทางบ้านของเด็กหญิงไม่ค่อยดี พ่อแม่มักมีปัญหาการเงินให้ถกคิดกันตลอดเวลา แต่ใครจะรู้ น้องหมาตัวนั้น พูดได้ และได้แนะนำวิธีการบางอย่างเกี่ยวกับการบริหารอ้อม โดยให้เด็กหญิงตั้งเหตุผล 10 อย่างว่า ทำไมถึงอยากรวย จากนั้นให้เลือก 3 ข้อแรกที่สำคัญ และน้องหมาบอกให้จินตนาการออกมาเป็นภาพ ทำออกมาเป็นอัลบั้มความฝัน จากนั้นน้องหมาก็ให้เริ่มลงมือทำ มันเป็นที่มีของกระปุ๊กความฝัน เพื่อให้เด็กหญิงเริ่มต้นด้วยการออมเงิน โดยแบ่งเงิน 10 มาร์ค จากค่าขนมที่ได้มา 20 มาร์คต่อเดือน ลงในกระปุ๊ก // คำคม (1) “จงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตอนที่มันยังเล็กอยู่ เพราะทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ย่อมเริ่มจากเล็กเสมอ” และ (2) “มนุษย์ทุกคนที่บรรลุอะไรสักอย่างในชีวิต ต้อง ฝัน ก่อนทั้งนั้นแหละเธอจ๋า พวกเขาต้องจินตนาการซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า มันจะเป็นยังไงน้าถ้าไปถึงเป้าหมาย แน่นอน เราจะไม่หนุดอยู่แค่นั่งฝัน” (3) เงินเป็นอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่มันจะสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาที่เราไม่มีมัน
.
ปัญหาที่เด็กหญิงพบก็คือ ถ้าเก็บออมได้แค่นี้ เมื่อไรถึงจะได้ทำตามความฝันที่ว่าไว้ ดังนั้น น้องหมาจึงแนะนำการหาเงินให้แก่เด็กหญิง โดยแนะนำ 2 ข้อสำคัญคือ (1) จงพยายามหาทางแก้ปัญหาให้คนอื่น (2) จงค้นหาและตั้งใจทำสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราทำได้ และสิ่งที่เรามี // คำคม “ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะเป็นตัวตัดสินว่า เธอจะกล้าเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างมั้ย เธอกล้าเชื่อตัวเองมั้ย ถ้าเธอไม่กล้าเชื่อในอะไรสักอย่าง เธอก็จะเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้เลย แล้วเมื่อเธอไม่เริ่มต้น ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” // แล้วเด็กหญิงก็เริ่มต้นด้วย การรับจ้างดูแลเจ้าตูบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำได้ และแถวบ้านเธอก็มีความเป็นไปได้สำหรับงานนี้ด้วย
.
หนึ่งในความฝันของเด็กหญิงคือ การปลดหนี้ให้กับพ่อแม่ แล้วน้องหมาก็แนะนำกฏ 4 ข้อ คือ (1) ใครก็ตามที่มีหนี้สิน ต้องโยนบัตรเครดิตทิ้งไปให้หมด (2) อาจฟังแปลกๆ สำหรับพวกผู้ใหญ่ ก็คือ พวกเขาควรจะจ่ายหนี้คืนให้น้อยที่สุด ซึ่งพวกผู้ใหญ่เขาเรียกกันว่า การผ่อนชำระ ยิ่งต้องผ่อนสูง พวกเขาก็ยิ่งมีเงินใช้ต่อเดือนน้อยลง — ข้อนี้ ผู้เขียนหนังสือมองว่า ถ้าจ่ายไปมากๆ จนไม่มีเงินเหลือ ก็ขาดสภาพคล่อง สุดท้ายก็ต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อเอามาจ่ายหนี้อยู่ดี (3) จงออมเงินไว้ 50% ของเงินที่มี ส่วนอีก 50% นำไปจ่ายหนี้อุปโภคบริโภค แต่ไม่ควรก่อหนี้อุปโภคบริโภคเลยจะดีที่สุด (4) จำเป็นแน่หรือ ที่จะจ่ายเงินออกไป // เพื่อที่จะได้ยับยั้งชั่งใจตอนจะจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ไม่ให้ช้อปแหลกมากเกินไป
.
เด็กหญิงได้พบเจ้าของน้องหมาแล้ว เป็นคนร่ำรวย หลังจากมีโอกาสได้คุยกับท่านนั้น เด็กหญิงได้รับความรู้เพิ่มมาอีกเรื่อง เรื่องการลงทุน โดยอธิบายเรื่องห่านทองคำให้ฟังว่า เจ้าห่านตัวนี้ก็เปรียบเหมือนกับเงินของหนู ถ้าหากหนูเอาเงินไปลงทุน หนูก็จะได้ดอกเบี้ยและดอกเบี้ยที่ออกมา ก็คือ ไข่ทองคำ นั่นเอง และไม่นาน เด็กหญิงก็ก้าวสู่โลกการลงทุน นั่นเอง
.
อยากรู้กันไหมว่า เด็กหญิงสามารถที่จะบรรลุความฝันของเธอได้หรือไม่ หลังจากนี้เป็นไงต่อ ก็ติดตามอ่านกันได้ในหนังสือครับ สุดท้าย ผมคิดว่า น่าเป็นหนังสือที่ให้เด็กๆ อ่านได้ เพื่อปูพื้นฐานทางการเงินเอาไว้ตั้งแต่เด็กๆ ครับ
ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม
.
อย่าสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (นั่นคือ หนี้การบริโภค) จะดีที่สุด ถ้าเป็นหนี้ที่สร้างรายได้ อันนี้โอเค ใช้หนี้มาทำธุรกิจ แทนที่จะใช้เงินลงทุนของตนเองล้วนๆ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3316

โพสต์

EGM D 17 DEC 2019 9.30
วันนี้มาประชุม ที่ รพ ฟัน แห่งใหม่ของ บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน
ผู้เข้าประชุม 67 ราย หุ้น 151,623,65 หุ้น
วาระที่ 1 พิจารณารับรองรายงานการประชุม ประจำปี 2562
มีผู้เสนอว่า เอกสารเชิญประชุมแบบใหม่อย่างย่อ ไม่สดวกกับผู้ถือหุ้นต้องprintมาอ่านรายละเอียด
ถึงแม้ว่าจะแจกในงาน ก็อาจอ่านไม่ทัน ขอให้ผู้บริหารช่วยพิจารณาว่าควรแจกเป็นรูปแบบเดิม
รวมถึง ถ้ายังส่งแบบนี้ ให้เพิ่มใบรับมอบฉันทะเพิ่ม
อนุมัติ

วาระที่ 2 พิจารณาอนุมัติการลดจดทะเบียนของบริษัท
ส่วนที่ออกเพิ่มทุนจำนวน 10ล้านบาท ในส่วนทุนจดทะเบียน เพื่อทำ PP ให้กับสถาบัน
มีคำถามจากผถห ว่า ทำไมไม่ออก RO แทนการทำ PP
ผบห ตอบว่า ไม่อยากเอาเปรียบผถห รายย่อย เลยออกมาเป็น PP แต่สถานการณ์ ไม่เอื้ออำนวย
และ คนที่จะมาซื้อได้ต่อรองราคา 10 บาทเลยไม่ได้เกิดรายการ PP ขึ้น
และอีกเหตุผลคือ เรื่องไม่ได้ อย ทำให้ Execute ไม่ได้ ทำให้ผู้ที่เข้ามาจะซื้อยกเลิกไป
อนุมัติ


เหลือทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็น 200 ล้านหุ้น หุ้นละ 50 สต
อนุมัติ

วาระที่4 พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท
ต้องอนุมัติด้วยเสียง 3 ใน 4 ของเสียงที่มาประชุม
เงินทุนที่ได้รับจะมาเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ ไปลดหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
และปรับโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสม โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 เป็น 140 ล้านบาท
โดยออกหุ้นสามัญ 80ล้านหุ้นๆละ 50 สต
Q: ผบห ควรแจ้งฐานะการเงินว่าเป็นอย่างไร ทำไมมาเพิ่มทุน
และอ่านจากงบการเงิน รายได้ Q3 599 ลบ จากปีที่แล้ว 622 ลบ กำไรสุทธิลดลงเหลือ 4ลบ ( 9M )
อยากให้อธิบายด้วย
A: ผบห แจ้งว่า การเพิ่มทุนให้กับ Strategic partner และ นักลงทุนสถาบันเพื่อนำไปใช้คืนเงินกู้
ที่ใช้สร้าง BIDH และใช้เป็นเงินสำรองสำหรับprojectในอนาคต ( ซึ่งน่าจะเป็น Lab ทันตกรรม )
ส่วนที่กำไรลดลงในงวด9เดือนและขาดทุนในไตรมาสสามเพราะ พึ่งเปิดโรงพยาบาล BIDH
ในวันที่ 1 กค ซึ่งยังเกิดผลขาดทุนจากการเปิดดำเนินงานในช่วงแรก

วาระที่ 5-9 เป็นการพิจารณาแก้ไขหนังสือบริคณฑ์สนธิ การขออนุมัติจัดสรรหุ้นสามัญพิ่มทุนไม่เกิน 80 ล้านหุ้น
และ ออก Warrant เพิ่ม
ทพ.พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ อธิบายรายละเอียดของหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 80 ล้านหุ้น ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯจำนวน 40 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.50 บาท กำหนดวันจองซื้อและชำระเงินระหว่างวันที่ 13-17 ม.ค.2563

   ส่วนหุ้นเพิ่มทุนอีก 40 ล้านหุ้น เพื่อรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิหรือ วอร์แรนท์ D-W1 ที่จะออกและจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยบริษัทจะออก D-W1 จำนวนไม่เกิน 40 ล้านหน่วย เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนและเป็นการจูงใจในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งกำหนดอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญใหม่ต่อ 1 วอร์แรนท์ ในราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 4.00 บาทต่อหุ้น

   เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยการเพิ่มทุนดังกล่าวเป็นการรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคตของบริษัทฯ และช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างทางการเงินทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลง รวมทั้งทำให้บริษัทฯมีสภาพคล่องของเงินทุนหมุนเวียนสูงขึ้น
ผู้เข้าประชุมมาเกิน 100 คน รวมเสียง 152,814,909 เสียง

ข้อมูลเพิ่มเติม
รพ ฟัน ที่เชียงใหม่ เปิดมาสองเดือน มีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ คาดว่าจะคุ้มทุนเร็วกว่าสาขาอื่นเพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า
ส่วนสาขาที่ขาดทุนมีแผนที่จะปิด2สาขา คาดว่า Q1 กำไรจะดีขึ้น จะได้โครงการเพิ่มเติม

จบการประชุม 11.15
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3317

โพสต์

#Fooled_by_Randomness

.

คำถาม 3 ข้อที่เปิดไว้ให้ถถกัน มาจากหนังสือ Fooled by Randomness ** คำตอบไม่มีถูกผิดครับ แค่เอามาให้ลองคิดกัน ถกประเด็นกันแบบสนุกๆ เท่านั้นเอง แบบว่า ทดลองการโพสแนวคำถาม แทนการเขียนออกไปให้อ่านทันที (เพราะถ้าเขียนสรุปตามหนังสือไป มันก็เหมือนกับเราโดนจำกัดกรอบความคิดไปแล้วตามหนังสือนั่นเอง) ทั้งนี้การคิดและการถกประเด็น แลกเปลี่ยนมุมมอง แลกเปลี่ยนแนวคิด ก็ถือเป็นการพัฒนาไอเดียอย่างหนึ่งครับ

.

A.ให้ท่านเลือกเป็นคนที่ (1) หรือ คนที่ (2) ท่านจะเลือกเป็นคนไหน เพราะอะไร ระหว่าง

(1) นักค้าหุ้นแนวอนุรักษ์นิยม ฐานะรวยพอดี กำไรพอประมาณ ไปได้เรื่อยๆ มีความรู้เยอะมาก ดีกรี ปริญญาเอกด้านปรัชญา มีประสบการณ์การค้าหุ้นมาเยอะมาก มากกว่าคนที่(2) 8-10 ปี

(2) นักค้าหุ้นแนวกล้าได้กล้าเสีย เดิมพันสูงๆ ทีเดียว ฐานะรวยมาก กำไรมากมาย แต่กำไรจะเหวี่ยงตามภาวะตลาด มีความรู้พอประมาณ ดีกรี MBA

*โดยมีเงื่อนไขอีกว่า คนที่ (1) ต้องอยู่เป็นเพื่อนบ้านของคนที่(2) บ้านของคนที่(2) ก็ใหญ่กว่า หรูกว่า ของใช้ต่างๆ มีระดับ รถสปอร์ตหรู ในขณะที่คนที่ (1) บ้านพอดี ไม่หรูมาก ของใช้ปานกลาง รถธรรมดาทั่วไป แต่ 2 คนนี้ ต้องเจอกันทุกวันในตอนเช้า เพราะทำงานที่เดียวกัน เจอกันที่ไร คนที่(1) ก็ถูกข่ม ดูเหยียดหยามตลอดเวลา ทั้งๆที่ คนที่ (1) ทำงานมานานกว่า และอายุมากกว่าหลายปี นอกจากนี้ภรรยาของคนที่(1) ก็โดนภรรยาคนที่(2)ดูถูกเช่นกันแทบทุกวัน จนกระทั่งภรรยาคนที่(1) มาด่าสามีตนเองแทบทุกวัน

**ผลลัพท์สุดท้ายของคนทั้งสองในหนังสือ ค่อยว่ากันครับ เปิดประเด็นให้คุยกันในเม้นท์อีกทีหลังช่วยกันถกว่า เลือกเป็นคนที่ (1) หรือ (2) เพราะอะไร

.

B. มีคนเสนอเงินให้ 300 ล้านบาท เพื่อให้ท่านเล่นเกมส์ “เอาปืนที่ใส่กระสุนเพียงนัดเดียวในลูกโม้ที่มี 6 รู แล้วสุ่มหมุนลูกโม้ไป จากนั้นเอาปืนมาจ่อที่หัว แล้วกดลั่นไกยิง”

*ท่านยินดีตอบรับเสี่ยงเล่นเกมส์นี้ไหม ไม่ว่ารับหรือไม่รับ โปรดให้เหตุผลประกอบคำตอบด้วย

.

C. คำพูดในทำนองเดียวกัน แต่คนพูดคนละคนกัน ฐานะต่างกันมาก และอยู่คนละเวลา (อาจต่างกันสัก 8 ปี++) ในขณะที่สมมุติให้ความรู้ทุกอย่างเหมือนกัน - ให้ท่านแสดงความคิดเห็น วิจารณ์คนที่ (2) และ คนที่ (2) ว่า ท่านมองเค้าทั้งสองอย่างไร สำหรับคำพูดที่แต่ละคนพูด ตอนมีคนไปสัมภาษณ์ถามว่า ทำไมถึงประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จแบบอีกคน

คนที่ (1) คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนจนมีชื่อเสียงโด่งดัง พูดว่า “พอดี ผมโชคดี อยู่ที่ ถูกเวลา เลยลงทุนแล้วได้กำไรจนร่ำรวยจากการลงทุนในหุ้น ถ้าให้ผมย้อนกลับไปทำอีกที ก็ทำไม่ได้หรอก”

คนที่ (2) คนที่พออยู่ได้ ความสำเร็จลุ่มๆ ดอนๆ จากการลงทุน พูดว่า “พอดี คนที่(1) โชคดี อยู่ถูกที่ ถูกเวลา เลยประสบความสำเร็จในการลงทุนจนร่ำรวยมาก ถ้าผมมีโอกาสแบบคนที่ (1) ผมก็ทำได้แน่นอน

.

เอา 3 ข้อ ก่อนครับ ก็น่าจะพอสรุปประเด็นหลักที่ผู้เขียนอยากสื่อแล้วครับ
.
*** คำตอบจากหนังสือครับ ตาม link —> https://www.facebook.com/groups/2540411 ... 557078391/
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
AnieLee
Verified User
โพสต์: 1436
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3318

โพสต์

#Fooled_by_Randomness (ต่อ)

.

เอาง่ายๆ ครับ ตอบคำถามที่ตั้งคำถามไว้ก่อนหน้า มาโพสเลยครับ ส่วนใครที่เพิ่งมาอ่าน อาจจะงง ให้กลับไปดูคำถามในโพสเก่าข้างบนหรือ อ่านได้ตาม link ของ fb ที่ลงไว้อีกไม่กี่บรรทัดครับ ทีนี้ เรามาอ่านต่อกันว่า ผู้เขียนเค้าสื่ออะไรจากคำถามที่ผมลองยกมาตั้งไว้

.

Link ที่กลับไปดูคำถามครับ —-> https://www.facebook.com/groups/2540411 ... 324385381/

.

/* ————————————--———— */

แนวคิดจากหนังสือที่เอามาทดลองตั้งคำถาม

.

ข้อ C ผู้เขียนมองว่า ในเหตุการณ์ต่างๆ ดูเหมือนเราประเมินความบังเอิญต่ำเกินไป โชคหรือความบังเอิญที่ปลอมตัวมาและถูกมองว่าไม่ใช่โชคหรือความบังเอิญ แต่เป็นความสามารถหรือความไม่บังเอิญ โดยความสับสนนี้ มีผลต่อผู้คนในระดับที่แตกต่างกัน อย่างเช่น สถานการณ์ของโชค อาจมองว่าเป็นทักษะ คนโง่ที่โชคดีในตลาดหุ้นเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถ อคติในการเอาตัวรอดคิอผลงานที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม เป็นต้น (ดูภาพตารางในคอมเม้น) ทีนี้มาคิดถึงคนที่ (1) และคนที่ (2) ในคำถามดู คนที่ (1) ที่พูดออกไป เค้าอาจตั้งใจพูดเรื่องจริงๆ ที่เค้าประสบมา เพราะมันเป็นทั้งฝีมือและโชคที่บังเอิญเข้ามาหาเค้าจริงๆ ไม่ได้คิดถ่อมตัวแต่อย่างไร แต่คนภายนอกย่อมมองว่า เค้าถ่อมตัว ก็สืบเนื่องมาจากคนภายนอกมองถึงความสำเร็จของเค้ามาพิจารณาด้วย ส่วนคนที่ (2) เค้าไม่ได้อวดดีหรือพูดเพื่อกลบความไม่ประสบความสำเร็จของเค้าแต่อย่างไร เค้ามองเป็นเรื่องโชคจริงๆ แต่เค้าก็ลืมคิดไปว่า ถ้าเค้ากลับไปจริงๆ อาจทำไม่ได้ก็ได้ เพราะมันน่ามีสถานการณ์ที่แตกต่างจากคนที่ (1) เพราะปัจจัยสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างกัน นั่นเอง // คำคม “จงพูด เมื่อคำพูดมีผลกว่าความเงียบ” — นั่นคือ คนที่ (2) ไม่ควรพูดเลย ควรที่จะเงียบมากกว่า

.

ข้อ B เกมส์นี้มีความเป็นไปได้ 6 ทางเลือก โดยมีทางเดียวที่ผู้เล่นเกมส์ ต้องเสียชีวิต ลองคิดดูว่า ถ้าผลลัพท์ของเกมส์ออกมาเป็น 5 ทางเลือกที่รอดตาย ผู้นั้นก็ได้รับเสียงยกย่องและชื่นชมจากผู้คน โดยเฉพาะนักข่าว แต่ถ้าเกิดออกทางเลือกเดียวที่ตายมาพอดีด้วยความบังเอิญล่ะ คนภายนอกก็อาจมองว่า ผู้นั้นเป็นคนโง่ ปัญญาอ่อนที่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง สำหรับคนที่ปฏิเสธการเล่นเกมส์นี้ ย่อมเป็นคนที่คิดละเอียดรอบคอบและมีความกล้าหาญด้วย (เรื่องเกมส์นี้ อาจเปรียบกับผู้บริหารของ บมจ ที่ทำให้บริษัทกำไรดี บางทีอาจเป็นแค่ผลพวงที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญก็ได้เช่นกัน)

.

ข้อ A คนที่ (1) เป็นนักค้าหุ้นที่ให้ความสำคัญต่อความบังเอิญหรือความโชคดี เพราะเค้าเชื่อว่า ความสำเร็จของเค้า น่าไม่ได้มาจากที่เค้าเก่ง แต่น่ามาจากความโชคดี เพราะจากประสบการณ์ของเค้า ผ่านช่วงที่เลวร้ายและช่วงที่ดีของตลาดหุ้นมาแล้ว เห็นนักค้าหุ้นที่ดวงกุดถูกโยนออกไปจากตลาด ว่าง่ายๆ เค้ารอด แต่คนส่วนใหญ่ ไม่รอดนั่นเอง ก็เพราะเค้าเป็นคนที่ระมัดระวัง รอบคอบ เค้าไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่น่าเบื่อที่เป็นชีวิตก่อนที่จะมาทำอาชีพค้าหุ้น เค้าจึงไม่ทำอะไรที่เสี่ยงๆ แต่จะเน้นกำไรพอประมาณ แต่อยู่ได้ยาวนาน เค้าจะไม่เสี่ยงต่อสถานการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อการทำให้เค้าถูกกวาดลงท่อไปเลยในพริบตา ถึงแม้มันจะดูเย้ายวนมากก็ตาม ว่าง่ายๆ เป็นนักค้าหุ้นที่ขี้กลัว ขี้กังวล ทำนองนั้น ทั้งนี้เพราะเค้าเรียนรู้ทฤษฎีความน่าจะเป็นได้นั่นเอง ส่วนคนที่ (2) เอาง่ายๆ กับคำว่า สามล้อถูกหวย นั่นล่ะ เค้าเข้ามาในวงการค้าหุ้น ในช่วงเวลาที่ดีพอดี ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ได้รับความเสียหายจากความโง่เขลาของตนเอง และไม่ได้นึกว่า ผลสำเร็จของตนเองอาจมาจากความบังเอิญ ความโชคดี แต่กลับมองว่า เป็นความสามารถ ความเก่งของเค้านั่นเอง เค้ามองคนที่ (1) เป็นพวกขี้แพ้ คนรุ่นเก่าที่รอโล๊ะออกไป พวกคงแก่เรียน ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต่างจากเค้าที่เป็นเด็กใหม่ ไฟแรง อนาคตรุ่งเรือง แต่แท้จริงแล้ว คนที่ (1) เค้าตระหนักถึงความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อาจทำให้เค้าจบเลยก็ได้ โดยที่เค้าเองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคนที่(2) เพราะหากมีอะไรพลาดมา คนที่ (2) ก็จบเลยได้ ในขณะที่คนที่ (2) ไม่ได้คิดถึงความเสี่ยงเลย คิดแต่เร่งผลตอบแทนไวๆ // ผลลัพธ์น่าจะเดาออกกันแล้วนะว่า คนที่ (1) และคนที่ 2 เป็นอย่างไรในตอนท้าย

.

ประเด็นหลักจากที่ยกมาถามตอบนั้น คือ ความโชคดีหรือความบังเอิญ และ ความเสี่ยง ที่บรรดานักค้าหุ้นหรือนักลงทุนต้องคอยคำนึงถึงไว้ตลอดครับ

.

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ Nassim Nicholas Talib ที่โด่งดังจาก ทฤษฎีหงส์ดำ Black Swan หมายถึง เหตุการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น และยากที่จะคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นภายใต้กรอบความเชื่อหรือสามัญสำนึกโดยทั่วไป แต่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในวงกว้าง และที่สำคัญเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้น จะชี้ให้เห็นถึงความเบาปัญญา และการไม่คิดนอกกรอบของมนุษยชาติ และ Talib เน้นว่า เหตุการณ์เกือบทุกเหตุการณ์ที่มีผลต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์เกิดจากเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย โดยหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว มนุษย์ก็พยายามหาหนทางอธิบายการเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นว่าเป็นผลมาจากความไม่ได้ตระหนักรอบคอบทางความคิด (hindsight หรือ bias) นั่นเอง

.

ทั้งนี้ หนังสือ Black Swan ของเค้า ยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 12 หนังสือขายดีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ผมเอาหนังสือของเค้าอีกเล่มมานำเสนอก่อน Fooled by Randomness เนื้อหาที่ยกประเด็นมาในโพสนี้ แค่เพียงน้ำจิ้มเท่านั้นเองครับ ในหนังสือก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่สนุก น่าอ่าน น่าสนุกและน่าสนใจมาก อ้อ คาดว่า เร็วๆ นี้จะมีฉบับแปลใหม่ออกวางตลาดแล้ว (เล่มนี้เคยมีคนแปลไว้นานมาก ปี 2546 เลยทีเดียวครับ)

.

จบครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3319

โพสต์

#เชิงอรรถมังกรหยก3

เล่มนี้แต่งโดย คุณ ต่อพงษ์ เศวตามร์ ซึ่งเป็นเล่มที่สามจากซีรีย์มังกรหยก

ภาคนี้ถือเป็นภาคที่สร้างใหม่มากสุดในสามภาค เนื้อหา และ ฉากค่อนข้างอลังการ

ตอนนี้นำมาฉายที่ช่อง9 วันเสาร์บ่าย

หนังสือเล่มนี้จะแบ่งเป็นรายละเอียดภาคประวัติศาสตร์ และ ภาคจอมยุทธ

ภาคประวัติศาสตร์ เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากตัวละครที่มีอยู่จริง

เช่น จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์ของราชวงค์หมิง ทำอย่างไร จากตัวละครที่มีตำแหน่งที่ต่ำในพรรคเม้งก่า

มาเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงค์หมิง มีกลยุทธ์อย่างไรที่แย่งชิงแผ่นดินคืนจากมองโกล ถือเป็นราชันต์แห่งแดนใต้

หรือ แดนกังหนำ ซึ่งมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เปรียบกับ แผ่นดิน ของ ซุนกวนในเรื่องสามก๊ก

ส่วนภาคจอมยุทธ

การเพิ่มรายละเอียดของตัวละครต่างในหนังสือดาบมังกรหยก รวมถึง อาวุธที่ใช้

เช่น กระบี่เหล็กนิลกาฬ ที่เอี้ยก๊วยใช้ในมังกรหยกภาค2 ซึ่งได้มาจากอินทรียักษ์ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของต๊กโกวคิ่วป่าย

ผู้ที่แสวงหาความพ่ายแพ้ แต่รายละเอียดไม่ค่อยเด่นชัดในภาคสอง แต่ปรากฏที่ เรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร

ที่ เล้งฮู้ชง ได้มีโอกาสฝึกฝนจากผู้อาวุโส ฮวงเช็งเอี้ยง ที่ด้านหลังเขาฮั่วซัว

แล้ว วิทยายุทธของเตียบ่อกี้ เก่งสุดในยุทธภพหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ เพราะสตรีชุดเหลืองที่มีช่วยเหลือ

นั้นสืบทอดวิทยายุทธมาจากเอี้ยก๊วยและเซียวเล่งนึ่ง ก็ไม่น่าจะแพ้นะครับ ถือว่าเป็นจินตนาการ

ต่อไปของผู้อ่าน ต่อไป

ถือว่าเป็นหนังสือที่ช่วยตอบคำถามของนักอ่าน ดาบมังกรหยกได้ดีอีกเล่ม

เวลาตลาดหุ้น แดงเถือกเมื่อไร ผมก็ได้มีโอกาสแวะมาอ่านนวนิยายที่สนุกๆเป็นประจำ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3320

โพสต์

#PASTปัญญาอดีต

โดย คุณ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

เล่มนี้เป็นเล่มที่สองของ Series Past , Future , Present

เจอเล่มนี้ครั้งแรก มีจั่วหัวที่หน้าปกว่า อากู๋จากGrammy ซื้อให้ลูกทั้ง4คนอ่าน

ก็เลยมาดูว่าทำไมเล่มนี้ดีอย่างไร

คุณภิญโญ เป็นผู้หนึ่งซึ่งศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกมาอย่างดี ทำให้สามารถเขียน

ยกตัวอย่างของคนในอดีต ที่เป็นตัวแทนของปัจจัยความสำเร็จของผู้นำไว้

ในอนาคตข้างหน้าอันใกล็

เมื่อเทคโนโลยีทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างหลากหลาย

เราจะมีความหมายอย่างไร

ดังนั้น เราควรมาศึกษาปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ โดยดูจากตัวอย่างในอดีต

ผมจะยกตัวอย่างมาสักสามข้อ ที่เหลือถ้าสนใจก็ติดตามจากหนังสือได้ครับ

1.Courage ความกล้าหาญ - พระเจ้าตากสินที่มีความกล้าหาญในการกอบกู้กรุงศรีอยุธยาที่ถูกพม่ายึดไป

2.Long View มองไกล – ตอนที่กำลังเสียกรุงครั้งที่สอง พระยาตากนำกำลังตีฝ่าไปตั้งมั่นที่จันทบูร

เพื่อรวบรวมไพร่พลกลับมาตีกรุงศรีคืนได้ ถ้ามัวแต่อยู่ในพระนครก็ไม่สามารถแก้ไขได้

3.Grand Strategy - คิดการใหญ่ ขงเบ้งอธิบายถึงกลยุทธ์ระยะยาวแก่เล่าปี่เพื่อสามารถทำให้เล่าปี่ตั้งตัวได้

4.The Big Picture - ภาพใหม่

5.The Bigger Picture - ใจกว้าง

6.The Biggest Picture -ปล่อยวาง

7.Revolution -เส้นทางปฏิวัติ

8.Big Idea - คิดชัด

9.Turning Point -จุดตัด

10.Power - ผลัดแผ่นดิน

11.Zeitgeist - วิญญาณแห่งยุคสมัย

12.The Good Life – เดินทางต่อไป

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะครับ

เล่มนี้ถือว่าอ่านง่ายในSeriesสามเล่มที่คุณภิญโญเขียน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3321

โพสต์

วันนี้ได้มีโอกาสนำเงินของสมาชิกประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ร่วมกับของพี่ๆ น้องๆ รวมเป็น 1 แสนบาท
ไปบริจาคที่โรงเรียนสอนคนตาบอด ธรรมสากล หาดใหญ่

ก่อนหน้านี้ได้บริจาคอีก 3 หมื่น บาท ร่วมกับสโมสรโรตารี่ เพื่อนำไปซื้อเตียงฟอกไต ให้ รพ.สงขลา
ขอบคุณพี่ๆน้องๆวีไอภาคใต้ รวมเงินอีกส่วนที่เพื่อนวีไอ กรุงเทพ ร่วมสมทบอีก หมื่นกว่าบาท
และบางท่านได้ร่วมบริจาคอีกบางส่วน เงินทุกบาททุกสตางค์ได้นำไปทำประโยชน์อย่างแท้จริง ขอบคุณที่ร่วมช่วยกันแบ่งเบาความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์คนอื่นครับ

(หลังจากบริจาคเสร็จ ก็มานั่งปรับทุกข์กันนะครับ :) :P )
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorn adis
Verified User
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3322

โพสต์

สาธุ ตื้นตันใจ สีหน้าพี่ๆน้าๆอิ่มบุญ สีหน้าน้องๆอิ่มสุข
คาถาลงทุน
BuVaPiCaMos
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3323

โพสต์

สาธุ คุณโจและทีมงานครับ

สวัสดีพี่ๆ ทุกคน

สวัสดีปีใหม่ อาจารย์หมอหนึ่งด้วยนะครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3324

โพสต์

ได้มีโอกาสฟังสัมนา ของคุณมด แมงเม่าคลับ เรื่อง Money & risk Management มีทั้งทฤษฎี และการback test

สรุปสั้นๆ 1.ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การเข้าซื้อ ขาย หุ้น ว่าในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์ของเรามันทำกำไรได้จริงใช่มั้ย
(อยากรู้ก็ให้จดบันทึกสัก1-2ปี แล้วมาดู%กำไร %ขาดทุนต่อครั้ง)

2.ถ้ากลยุทธ์เราทำกำไรในระยะยาวได้จริง ก็ให้กระจายการลงทุน อย่าอัดหนักตัวเดียว ตามทฤษฏีก็10-20ตัว, หรือเอาที่เราติดตามไหว

3.ให้เข้าใจธรรมชาติการลงทุนของกลยุทธ์เรา ว่าท้ายสุดแล้ว ยังไงก็ต้องเจอขาดทุนหนักๆ(20%-30%ขึ้นไป) ขนาดกลยุทธ์พอร์ต AllWeather ของกองทุน Bridghtwater ของ เรย์ ดาลิโอ ช่วงซัพไพร์มยังติดลบมากๆเลย :la:
(https://board.thaivi.org/viewtopic.php? ... start=3270 อ้างอิงในหน้านี้ ที่ผมเคยแปะรูปไว้ จะพบว่านักลงทุนระดับโลก ติดลบหนักๆทั้งนั้นละจ้า เวลาตลาดพังอ่ะ)
bridgewater_gr_big.png
4.จากข้อ2 เรื่องการอัดตัว สองตัวในพอร์ต คุณมดบอกว่า ถ้ามีคนเข้ามาในตลาดทุกปีเป็นพันคน สมมุติให้พันคนนั้นซื้อหุ้นในตลาดกระจายไป แสดงว่าต้องมีสักคน ที่พอร์ตโตเป็นเด้งในรอบปี(กลายเป็นเซียนหุ้นซะงั้น :rofl: ) เพราะมีหุ้น1เด้งเกิดขึ้นในตลาดทุกปี
ดังนั้น อย่าไปเชื่อ!!! ไอ้พวกเข้าตลาดไม่กี่ปี แล้วกำไรเว่อๆ โดยไม่เคยดูวิธีการเทรด :twisted:

5.จุดเข้าซื้อ หรือกลยุทธ์ที่ดี ที่ทำกำไรในระยะยาวจริงๆ + แล้วเราเข้าใจในธรรมชาติของมัน + ก็แค่กระจายตัวหุ้นออกไป อย่าไปหวังรวยเร็วเกิน เด๋วผลตอบแทนก็จะดีแน่นอน

Merry X'mas กับพี่ๆทุกท่านนะครับ ขอให้สนุกและมีความสุข กับช่วงหยุดยาวปีใหม่นะคร๊าบ :B
180016.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3325

โพสต์

ต่อยอดจากคุณ romee

บางเรื่องมันต้องอาศัยเวลาพิสูจน์กว่าจะเห็นของจริง ขณะที่บางเรื่องมันเห็นชัดๆ ต่อหน้าทั้งที่เป็นเหมือนภาพลวงตา

ประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยู่ในตลาดไม่นานพอ บางทีก็แยกไม่ออกว่าอะไรเท็จอะไรจริงครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3326

โพสต์

เมอรี่คริสต์มาสกับทุกท่านฮะ ทั้งอ.nevercryboyด้วยฮะ อ.เดินทางไกลไปไหนมาเล่าให้ฟังกันมั่งนะฮะ
จิงกะเบลจิงโจ้แบบกราฟหุ้นเลย(ตลาดหมีกราฟดิ่ง ตลาดกระทิงกราฟพุ่ง ตลาดจิงโจ้กราฟกระโดดเหยงๆแบบจิงโจ้..)

หนังสือคุณภิญโญ ที่ท่านAnieLeeแนะนำผมซื้อมาทั้งpast present futureเลยฮะ เพราะคำนิยมจากอุดม แต้พานิชย์มั้งจำไมได้ แม่เอาไปอ่านต่อบอกสนุกดี

และก็ทบทวนความจำหลักการวีไอนิสนุง เป็นของท่านดำรีวิวอ.lekyในห้องนี้ฮะ ลองย้อนอ่านกันดู..

- เคล็ดวิชาวีไอ 4 ประการ คือ Downside ต่ำ / มีตัวเร่ง / Upside สูง / Timing ที่ตัวเร่งจะทำงาน
- ที่เน้นเป็นพิเศษคือเรื่องไม่ซื้อไม่ขาดทุน และความสำคัญของ MOS โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ชอบ Cut Loss ดังนั้นต้อง "เน้น Downside ต่ำไว้ก่อน"
- หุ้นที่ทำผลตอบแทนให้ดีมากมักไม่ใช่ตัวที่เราหมายมั่นปั้นมือว่ามันจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง (ดังนั้นอย่าซื้อหุ้นตัวเดียว)
- การซื้อหุ้นเร็วเกินไปโดยที่อีกนานกว่าตัวเร่งจะทำงานย่อมเกิดความสูญเสียโอกาส (บางครั้งตัวเร่งก็ไม่เกิดขึ้นจริง กลายเป็นซื้อบนความคาดหวัง) ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นที่ช้าเกินไปโดยรอจนกระทั่งตัวเร่งมันทำงานไปมากแล้วก็ทำให้สูญเสีย MOS เช่นกัน ต้องลองหาวิธีประเมินจังหวะ "การเข้าทำ" ให้เหมาะสม
- ในการหาหุ้น บางครั้งดูจากการซื้อขายของผบห.
- การดู Downside บางครั้งดูจากการทำ Stress Test ของราคาหุ้น
- จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ต้องอาศัยความรู้เป็นพื้นฐาน
- แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น ตลาด/บทวิเคราะห์มักจะมองแต่ด้านบวก ซึ่งถ้าได้ฟังจาก ผบห.ที่ตรงไปตรงมาจะรู้ว่าความจริงนั้นมักจะต่างกันมาก
- การกะเก็งหรือคาดเดาราคาหุ้น/ดัชนีหรือคาดเดาผลต่อเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้านั้น ที่จริงแล้วโอกาสถูกมีน้อยมาก ไม่ว่ากับใครก็ตาม
- คำกล่าวที่ว่า ราคาหุ้นเป็นตัวสะท้อนอนาคต 3-6 เดือนนั้นไม่จริงเสมอไป ที่จริงคือหลายครั้งราคาหุ้นจะสะท้อนความคาดหวังล่วงหน้าซึ่งอาจต่างกับความจริง และหากเป็นอย่างนั้นราคาก็พร้อมจะกลับลงมาที่เดิม
- หุ้นนั้นมีคุณสมบัติ High Risk High Return ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญด้าน Return มากจนเกินไป ในระยะยาว ขอเพียงเราปิดด้าน Risk ให้มันจำกัดอยู่ในขอบเขตที่เรารับได้ สุดท้ายแล้ว ด้าน Return จะทำงานของมันเอง ความผันผวนทำให้มีทั้งช่วงที่ราคาต่ำเกินจริงและสูงเกินจริง สิ่งที่ควรทำคือ ปิดความเสี่ยง เปิดโอกาสกำไร (โอกาสมีอยู่เสมอในตลาด)
- สิ่งสำคัญคือ การบริหารความเสี่ยง และการมีมุมมองที่ถูกต้องต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกับปัจจัยทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง (ทั้งปัจจัยด้านมูลค่า ด้านจิตวิทยา และด้านเทคนิค) จะต้องเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จาก "ความมีและไม่มีประสิทธิภาพของตลาด"
- สิ่งที่ต้องฝึกฝนต่อไปอีกก็คือ "ความอดทนรอให้เป็น ความนิ่ง ความใจเย็น" เพื่อใช้ความผันผวนของตลาดให้เป็นประโยชน์ ซื้อในจุดที่มองว่าความเสี่ยงต่ำ มี MOS สูงพอ และ "การฝึกมองภาพใหญ่ โมเดลธุรกิจ ภาพระยะยาวของธุรกิจที่มี Growth Potential มีโอกาสเจอ Story ด้านบวกใหม่ๆ"

และก็เพิ่มข้อ5.เรื่องกระจายหุ้นกับให้น้ำหนักให้พอควร อย่าโฟกัสอัดมาร์จิ้นจัดเต็มจนคนตายไม่ได้พูดเน้อ..
จะได้เป็นเพื่อนลงทุนกันไปนานๆนะฮะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3327

โพสต์

แวะมาสวัสดีปีใหม่ครับ ทุกคน
อะไรที่ผิดพลาดไปในปีก่อน เอามาเป็นบทเรียน พัฒนาปีนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปครับ :D
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
syj
Verified User
โพสต์: 4241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3328

โพสต์

สคส 2563 จาก อ.โจ ลูกอิสาน มาแล้วนะครับ
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3329

โพสต์

อาจารย์ อาร์ม มาพูดถึงเนื้อหาของหนังสือ AI SuperPowers ผู้แต่งคือ Kai Fu Lee

เมื่อก่อนคนจีนคิดว่าเป็นที่หนึ่งของโลก
แต่เมื่อเจอฝรั่ง พบว่าฝรั่งเก่งกว่ามาก
ปลายราชวงค์ชิง มีการประชุมกัน ปรากฏว่า มีคนจีนที่ร่วมประชุมอายุเกิน60ปีขึ้นไป
แต่ฝรั่งมีแต่คนหนุ่มๆมาร่วมประชุม
แต่ปัจจุบัน กลับกันว่า คนจีนมีแต่คนหนุ่มเข้าประชุม และฝรั่งมีแต่คนแก่เข้า

คนจีนคิดว่าเขาอยู่โลกใหม่
เคยคุยกับนักธุรกิจไทย พบว่า
จริงๆเมืองจีนตอนนี้เหมือนกับสหรัฐในสมัยหนึ่ง

เราเคยอ่านหนังสือของสหรัฐแนวHow to เช่น ทำอย่างไรได้เงินเยอะ
ตอนนี้คนสหรัฐ ที่รวยมากๆก็เลยทำตัวเฉื่อยๆ

ถามว่า American dream ได้ย้ายไปอยู่ที่จีนหรือเปล่า

ลี ไคฟู บอกว่าคนจีนทำงานหนักมาก
ตอนลีไปขอดูกิจการที่สหรัฐ ในวันหยุดหรือตอนเย็น ก็ได้รับตอบว่า ไม่มีใครทำงาน

ตอนไปห้องสมุดจีน เปิด 6.00 แต่6.10ที่นั่งเต็มแล้ว
จริงๆการทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดี เป็นเคล็ดลับความสำเร็จของคนจีน

หนังสือ Rest ที่หยิบยกขึ้นมา บอกว่า คนที่
ประสบความสำเร็จ นั้นปล่อยให้สมองโล่ง
จะได้ปิ้งไอเดียใหม่ๆ
นิวตัน ไม่ได้ทำอะไร เลยได้ไอเดียเรื่องแรงโน้มถ่วงตอนนอนเล่นใต้ต้นไม้

การทำงานมีข้อดี แต่คนสหรัฐไม่ใช่คนขี้เกียจ เขามีนวัตกรรม
ตอนนี้ คนในซิลิคอน บอกว่าอย่าทำงานหนักมาก เดี๋ยวไม่ปิ้งไอเดียขึ้นมา

จีนหมดเวลากินบุญเก่าเพราะเหตุผลดังต่อไปนี้

1.แรงงานถูก ตอนนี้แรงงานจีนแพงกว่า ไทย เวียดนาม กัมพูชา บุญเก่านี้หมดแล้ว

2.เมื่อก่อนเศรษฐีฮ่องกงมาลงทุนที่จีน มีคนเอาเงินส่งมาให้ โดยเมื่อผลิตเสร็จก็ส่งไปขายทั่วโลก
ซึ่งเป็นยุคการค้าเสรี
ตอนนี้ EU,US ศกไม่ดี ปัจจุบันเกิดสงครามการค้า ทำให้การผลิตลดลง

3.ตั้งแต่ปี2008 คนจีนรู้ว่าส่งออกไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน
แต่จีนได้อัดฉีดการลงทุนเอง เช่น สร้างสะพาน ท่าเรือ สนามบิน รถไฟความเร็วสูง ซึ่งบุญหมดแล้ว
ไม่สร้างต่ออีกเพราะinfrastructures ล้นแล้ว

แต่จีนก็มีข้อดีคือ

สิ่งที่ไม่สามารถเอาไปจากจีนได้

1.Scale สเกล ตลาดเมืองจีนใหญ่มาก
จิ๋นซีเป็นคนรวมประเทศ ให้เป็นวัฒนธรรมเดียวกัน ใช้ตัวอักษรเดียวกัน
ตอนนี้จีนสร้างเมืองเยอะ จนเป็นcluster เมือง จนมีประชากรบางเมือง100ล้านคน
มากกว่าไทยสองเท่าอยู่ในเมือง และ บริโภคผ่านQR code

2.ทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นแรงงานทักษะปานกลางในจีน
เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พอใช้ ไม่ต้องการคนคิดใหม่ แต่ต้องการคนปรับใช้
เรามีprogrammer ที่เขียนโปรแกรมได้
วิชาที่สำคัญที่จีนเรียนคือ math,science

ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งสองข้อ ทำให้มีโอกาสในเรื่อง AI

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนของภาครัฐ และ มีstartup คูปองกว่า6,000เจ้า
Technology 5.0 ความสำคัญ ไม่ใช่คิดใหม่ แต่อยู่ที่การปรับใช้ อยู่ที่ข้อมูลที่เก็บ
เช่น ลำโพงที่เก็บข้อมูลการใช้ชีวิต การบริโภค ก็นำข้อมูลมา ก็มาปรับปรุงให้ดีขึ้น
AI ที่ฉลาดที่สุดคือมีข้อมูลเยอะสุด
ตัวอย่างเช่น
การแข่งขันเรื่องทาย สุนัข และ แมว ทีมที่ชนะ คือ ป้อนลักษณะสุนัข และ แมวใส่ลงไปเยอะสุด

ประเด็นสำคัญของหนังสือ เทคโนโลยีของAI เป็นยุคสมัยของการปรับใช้ เป็นจุดแข็งของข้อมูล
แต่ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วย เช่น

Peter thiel ผู้เขียน Zero to One ซึ่งเป็นนักกฎหมาย สนับสนุนทรัมป์
พูดเลคเชอร์ประจำปี ในเนื้อหา
คำถามที่ถามประจำ คือ ธุรกิจสเกลกันอย่างไร
การทำtechก็มีพูดถึงสเกล
การทำธุรกิจใหม่ๆ สหรัฐมีคน300ล้านคนน้อยกว่าอังกฤษ ซึ่งสเกลไม่ได้
ตอนนี้สเกลได้แล้ว
แต่ปัจจุบันถ้าดูสหรัฐเทียบกับจีน จีนได้ประโยชน์จากสเกลมากสุด
ตอนนี้สหรัฐสร้างอะไรใหม่ ไม่ได้เปรียบแล้ว ดังนั้นต้องมาแข่งเรื่องคุณภาพ
แต่จีนสร้างได้สเกลมากกว่า ถูกกว่า

ทำอย่างไรให้Tech ของสหรัฐ เกิด break though, innovationได้
ลี ไคฟู ไม่ได้คิดว่าในช่วงอายุของคนตอนนี้ ไม่มีอะไรใหม่แล้ว ไม่มี break thoughอีก
แต่เรื่อง Deep learning ต้องมีข้อมูลเยอะมาก ต้องใช้เวลาหลายสิบปีก่อนเกิดขึ้น
ดังนั้นลีคิดว่าจีนได้เปรียบสหรัฐ


ถ้าคำทำนายใหม่ ถ้าgoogleหรือ บริษัทในสหรัฐ เกิดมีbreak thoughใหม่ ก็เป็นอีกเรื่องนึง

ในหนังสือ ลี ไคฟู บอกว่าเป็นการแข่งขันระหว่างจีน กับ สหรัฐ และยุโรปไม่อยู่ในสนามแข่ง
ประเด็นของเขาคือ ยุโรปถึงแม้อยู่เบอร์สาม แต่ห่างชั้นเบอร์หนึ่งและสองมาก

จริงๆ ทั้งUS,China มีscales มีความได้เปรียบทั้งสองฝ่าย
แต่กฎระเบียบของEU มีผลต่อการเก็บข้อมูล ซึ่งมีการกระทบต่อพัฒนาของAI
ดังนั้น ลีบอกว่าEUเหมือนยกเวทีaiให้จีน

Seven Giants of the A.I. Age

Google , Facebook , Amazon , Microsoft , Baidu , Alibaba , Tencent

แต่ตอนนี้ Baidu ไม่ติดกลุ่ม อาจเป็นเหม่ยถ่วน หรือ หัวเหว่ยมาแทน


งานตีพิมพ์ของจีน เยอะสุด แต่เป็น implementation ไม่ใช่ break though

ญึ่ปุ่นเมื่อก่อน มีคนมองว่าเคยจะมาแทนสหรัฐ แต่เมื่อมีการbreak though สหรัฐก็ยังเป็นผู้ชนะ
แต่กรณีจีน ลี ไคฟู บอกว่าไม่มีBreak thougในช่วงชีวิตนี้ ทำให้สหรัฐไม่อาจกลับมาเหมือนสมัยญี่ปุ่นได้

ส่วนอินเดีย เก่งมากเรื่องbreak though
วรรณกรรมจีน ได้อิทธิพลจากอินเดีย แต่วรรณกรรมอินเดียจากimagination เช่นรามเกียรติ์
แต่ไม่ได้เติบโตเรื่องtech

หนังสือของลีไคฟู ภาษาจีน เอไอเว่ยไหล แปลว่า อนาคตของเอไอ
แต่พอเป็นversion ฝรั่ง จะดูตื่นเต้นขึ้น

อ อาร์มพูดถึงหนังสือที่เขียน
China 5.0 เป็นเรื่องที่สำคัญกับจีน ตอบโจทย์เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และ เทคโนโลยี
ส่วนหนังสือ จีน-อเมริกา เป็นเรื่องเทคโนโลยีเป็นตัวที่ทำให้เกิด Tech war

คำทำนายในอนาคตของ ลี ไคฟู ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันก็ไม่ตรงเช่น

Internet. China : US. 6:4. ,ปัจจุบัน 5:5
Business AI. 3:7 ปัจจุบัน 1:9
Perception AI. 8:2 ปัจจุบัน 6:4
Autonomous AI. 5:5 ปัจจุบัน 1:9



การคิดเชิงกลยุทธ์ในระดับบุคคล ธุรกิจ
-บุญเก่า กับ ปัจจัยพื้นฐาน
- Discovery vs. Implementation
- Quality VS. Scale. จีนจะได้ในเรื่องscale แต่ถ้าเราสู้ไม่ได้ ก็มาเน้นเรื่องคุณภาพ
- ระมัดระวัง Vs. ลุยไปข้างหน้า. ถ้าบุญเก่าหมดแล้ว เราต้องลุยไปข้างหน้า
- การเปลี่ยนแปลงรอบตัวที่รวดเร็ว
- การคิดการใหญ่ เวลาท่านอ่านสามก๊ก จะมีการทัก ว่าคุณคิดการใหญ่หรือเปล่า

ลี ไคฟู บอกว่า จีนกำลังสร้างเมืองAI เรียกว่า สงอัน จากทุ่งหญ้า มาเป็นเมืองใหม่
สเกลการคิดไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นเมืองจีน รัฐบาลจะถามว่าถ้าทำรถไร้คนขับต้องทำอย่างไร
คำตอบคือ ต้องใช้กับทางใต้ดินเพราะควบคุมแสงได้


ขอบคุณ สมาคมThaivi และทีมงานทุกท่านรวมถึงวิทยากรที่มาให้ความรู้ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 3330

โพสต์

สัมมมา KGI Wealth เรื่อง ค้นหาดาวเด่นในการลงทุนปี 2020
คุณ กมลยศ สุขุมสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นเวียดนาม บลจ Asset Plus

US GDP โต 2.1% , Global 2.3% , EU 1.7% , JP เกือบติดลบ
ส่วนจีน 6% soft-landing

PMI ซึ่งมันขัดแย้งกัน PMIของ US ส่งสินค้าจากจีนมา
แต่ค่าPMIต่ำกว่า50% ส่วนจีน ยังอยู่ที่ 51%
ภาพรวมตลาดโลก PMI ยังอยู่เหนือ 50%
เศรษฐกิจชะลอตัวแต่ก็ไปได้ (Extended Late cycle)

บริษัทเทคโนโลยี valuationสูง PE สูง เช่น Apple , Facebook
Valuation อยู่ที่ Earning Yield Gap ตอนนี้valuationยังพอไปได้ ไม่ถึง +2SD

คิดว่าปีนี้หุ้นยังมีreturn ต่อไปได้
เรามองregion ที่มีupside ประเทศที่เราชอบได้แก่

ประเทศจีน ปลายปี2018ลง 25% และปีที่แล้ว +28% ปีนี้จะโตอย่างต่อเนื่องเต็มตัว
มีสภาพคล่องสูง
หุ้นดีในปีนี้ โดยเฉพาะ Asia Emerging Market เช่น จีน

กลุ่มที่น่าสนใจ Consumer , Technology ดูสดใส

Asset ที่น่าสนใจ
Fix income , Alternative : Infrastructure , Real Estate ก็ยังน่าสนใจ

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม ปีที่แล้วดีกว่าทุกตลาดในอาเซียน +7%
แต่ VN30 +2.8% ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ใน Frontier market ซึ่งผันผวนกว่าEmerging Market

จีนมีrelocationโรงงานมาเวียดนาม ตอนนี้แซงเกาหลีไปแล้ว
ความได้เปรียบเรื่องแรงงานยังได้เปรียบอยู่

Urbanization มีคนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองในฮานอย ส่วน โฮจิมินต์จะมีรถไฟใต้ดนแล้วเป็นของญี่ปุ่นสร้าง

Consumption ในอนาคตจะโต รายได้ดี การซื้อบ้านและรถยังเติบโต
หนี้สินต่อGDP ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชีย การใช้สินเชื่อเกิดขึ้นแน่นอน
คนอายุมากกว่า 15 ปี ยังมีบัญชีกับธนาคารไม่ถึงครึ่งนึง

GDPปีนี้น่าจะได้5-7% อีก5ปี GDPจะแซงสิงคโปร์ เป็นอันดับ 3-4
คูเวตย้ายไป Emerging Market ทำให้Fund flow ไหลเข้ามาเวียดนามอีก 300 ล้าน$ และ 1,200 ล้าน$ ถ้าสามารถเข้าไปใน Emerging market ในอีก 1-5 ปี