VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3273
3 กูรู เปิดเทคนิคการออมและการลงทุน สำหรับชีวิตหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน และสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เหมือนเดิม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดเสวนาหัวข้อ “จัดพอร์ตต่อยอดเงินก้อนสุดท้าย” โดยวงเสวนาประกอบด้วย นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย จำกัด, นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด และนายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงเสวนา
ในยุคปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่ได้ใส่ใจเรื่องการนำเงินไปลงทุนมากเท่าไรนัก จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า กว่า 80% ของคนไทย นิยมการออมเงินด้วยการนำเงินไปฝากธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีประชากรที่นำเงินไปลงทุนมีจำนวนเพียงน้อยนิด เนื่องจากคนส่วนใหญ่กลัวเรื่องความเสี่ยง
แต่การที่นำเงินไปฝากไว้ในธนาคาร โดยที่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่ต่ำ นั่นคือความเสี่ยงที่ผู้ฝากจะได้รับหลังจากเกษียณ เนื่องจากเงินฝากไม่งอกเงย และยังต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อทุกปี ดังนั้นชีวิตหลังเกษียณอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เราจึงนำเทคนิควางแผนการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ จาก 3 กูรู มาให้ได้ลองนำไปปรับใช้กับวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณเป็นไปอย่างมั่นคง และพึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด
นายสมจินต์ กล่าวว่า คนวัยเกษียณชีวิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวัยทำงานมากนัก แต่ข้อดีของคนวัยนี้คือจะมีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยโอกาสจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มตามขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อไปดูสถิติของคนหลังเกษียณในไทยพบว่ากว่า 60% มีรายได้ 50,000 บาท/ปี ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะที่สุด
นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ของวัยนี้มีรายได้ที่น้อยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้สถิติยังบอกว่าแหล่งรายของคนวัยเกษียณส่วนใหญ่มาจากลูกหลาน คิดเป็น 34% โดยรายได้ที่มาจากการออมมีเพียงแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ลำดับท้ายๆ อีกด้วย
ดังนั้นจึงอยากให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการออมให้มากขึ้น เพื่อไม่ต้องพึ่งพาใครในวัยเกษียณ แต่ปัจจุบันมีความท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมายเช่นอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ดอกเบี้ยผลตอบแทนต่ำ รวมไปถึงวิถีดำเนินชีวิตของคนยุคปัจุบัน
ย้อนไปหลายสิบปีก่อนอาจพูดได้ว่าแค่คุณออมเงินได้ คุณก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีรายใหม่ได้เช่นกัน เพราะดอกเบี้ยเงินฝากมีอัตราที่สูง ประกอบกับคนในยุคนั้นส่วนใหญ่ทำเกษตร เมื่อเกษียณก็อาจมีเงินก้อนโตจากดอกเบี้ยเงินฝาก และยังมีที่ดินที่อาจขายได้ หรือใครไม่ขายที่ก็ยังมีพืชผลในไร่ให้เก็บกินและขาย
แต่ปัจจุบันคนหันมาเป็นพนักงานเอกชนมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องวางแผนเก็บเงินไว่ใช้หลังเกษียณ เพราะหลังเลิกทำงานจะไม่มีรายได้อะไรเข้ามาเลย ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเช่นกัน
แนะสูตร 100-อายุ สำหรับบริหารพอร์ตลงทุน ส่วนหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 3-6 ล้านบาท
จากสถิติยังบอกอีกว่าหลังเกษียณในวัย 60 ปี มนุษย์เราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 17-22 ปี แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มให้เป็น 25 ปี ซึ่งคนวัยทำงานต้องเก็บเงินสำหรับใช้หลังเกษียณอีก 25 ปี โดยที่จะไม่มีรายได้เข้ามา
ตัวเลขที่ดีที่สุดคือหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 25,000 บาท ไปอีก 20 ปี และแต่ละปีต้องดึงเงินออกมา 5% เพื่อนำไปลงทุนต่ออีกเพื่อให้สามารถมีเงินสำหรับใช้ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
แต่ในกรณีที่อาจจะเก็บไม่ถึง 6 ล้านบาท ขอแนะนำว่าควรมีอย่างน้อย 3 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 12,500 บาท ไปอีก 20 ปี และก็นำเงิน 5% จากจำนวนนั้นออกมาลงทุนหลังเกษียณด้วยเช่นกัน
แต่ระหว่างทางที่พนักงานเอกชนยังอยู่ในช่วงทำงาน ขอแนะนำว่าควรหั่นเงินออกมา 15% จากเงินเดือนนำไปลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกเดือน และเมื่อมาถึงวัยเกษียณจะมีเงินก้อนที่นำไปลงทุนสามารถนำมาใช้เป็นเงินหลังเกษียณได้
“ขณะที่สัดส่วนของการลงทุน ที่หลายคนอาจยังลังเลอยู่ว่าจะลงทุนอย่างไร จึงมีสูตร 100-อายุ นำมาให้ลองเอาไปใช้กัน เช่นอายุ 40 ปี ก็นำ 100-40 จะได้ 60 นั่นหมายความว่า ในช่วงอายุ 40 ปี คุณสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ 60% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด และพออายุเพิ่มขึ้น จึงค่อยปรับลดการลงทุนจากพอร์ตเสี่ยงมากออกไปอยู่ในการลงทุนที่ปลอดภัยขึ้น”
ด้านนายธีรนาถ เผยว่า คนในยุคนี้ส่วนใหญ่คิดถึงการลงทุนช้าเกินไป ตนเองเคยไปบรรยายให้ความรู้เรื่องการออมและการลงทุนยังหน่วยงานเอกชนต่างๆ ซึ่งพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของพนักงานเอกชนคือ ไม่ตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการออมและการลงทุน
จากที่ได้สัมผัสมาจะแบ่งคนออกเป็น 2 วัย คือวัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย และวัยทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยเด็กที่เพิ่งจบใหม่ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีความคิดอยากจะเป็นสตาร์ทอัพ เพราะคิดว่ารวยเร็ว และประสบความสำเร็จไว คนประเภทนี้ก็จะไม่มีการออม โดยจะนำเงินไปลงทุนแทบทั้งหมด ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข่อเสีย นั่นคือถ้าโชคดีก็รวยไปเลย แต่ถ้าลงทุนผิดพลาดเงินก็หายหมดเช่นกัน
ส่วนเด็กจบใหม่อีกกลุ่มเป็นประเภทแสวงหาประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายเกินกำลัง และมีพฤติกรรมชอบนำเงินในอนาคตมาใช้เป็นเงินปัจจุบัน จึงเป็นสังคมแห่งการสร้างหนี้ คนกลุ่มนี้จึงมีชีวิตติดลบตั้งแต่อายุยังน้อย พอจะมาพูดถึงเรื่องการลงทุนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องมาบริหารหนี้ของตัวเองเสียก่อน
ด้านคนที่ทำงานมาสักระยะ เช่นอายุ 40 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้จะกลัวความเสี่ยงมา โดยส่วนใหญ่มักนำเงินไปจมอยู่ในธนาคารที่มีผลตอบแทนต่ำ เงินจึงไม่สามารถงอกเงยได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญในอนาคตคือการพึ่งพาคนอื่น
ขณะที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปอีกกลุ่มจะเป็นประเภทที่ลงทุนง่าย ตามคำชักชวนของผู้อื่น โดยไม่ศึกษาหาความรู้ ปัญหาที่ตามมาของคนกลุ่มนี้นั่นคือมักโดนหลอกและสูญเงินนั่นเอง
“ดังนั้นการลงทุนต้องทำอย่างเข้าใจ ด้วยการหาความรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ ว่าสิ่งที่ลงทุนไป เขาเอาเงินเราไปทำอะไร และจะได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างไร ซึ่งในโลกนี้ไม่มีกองทุนหรือหุ้นตัวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน”
มือใหม่หัดลงทุนแนะลงทุนในกองทุนรวมแบบผสม
จากที่ได้กล่าวไปนั่นคือการลงทุนต้องมีการทำการบ้านและวางแผนที่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราจะมีเงินออมได้เท่าไร และเป้าหมายของการลงทุนของเราอยู่ที่ไหน จึงจะรู้ว่าควรจะนำเงินไปลงทุนกับอะไร
“แต่สำหรับมือให่ที่ยังงงๆอยู่ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต แต่อยากลงทุน จึงขอแนะนำให้เริ่มการลงทุนใน ”กองทุนรวมแบบผสม”เนื่องจากกองทุนประเภทนี้จะนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่มีความเสี่ยงและปลอดภัย โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจ”
และการกระจายการลงทุนแบบนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย แต่สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ต้องทำเป็นอันดับแรกก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวมแบบผสมคือ ถามก่อนว่ากองทุนที่จะซื้อนั้นเอาเงินไปลงทุนในอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกกองทุนที่ตัวเองชอบที่สุด
แนะจัดพอร์ตลงทุน 5 ส่วน
ส่วนนายพจน์ หล่นความเห็นปิดท้ายว่า ปัจจุบันสถิติของคนที่แต่งงานและไม่มีลูกพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับคนโสด ซึ่งสถิตินี้เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศไทยละทั่วโลก ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณคนเหล่านี้จะไม่มีลูกหลานไว้เลี้ยงดู ดังนั้นจึงต้องยิ่งนำเงินไปลงทุนมากที่สุด
และจากพฤติกรรมของคนไทยนั้น กว่า 78% ฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแต่กลัวความเสี่ยง จึงไม่นำเงินไปลงทุน และเมื่อถามว่าจะลงทุนอย่างไร ก็มีสูตรการลงทุนที่มากมายหลายสูตรน่าปวดหัวเหลือเกิน
“สำหรับสูตรที่แนะนำนั่นคือแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 5 ส่วน เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นอันดับแรกๆ โดยเงิน 5 ส่วนเราจะนำไปลงทุนในหุ้น 27%, REITs 26%, ตราสารหนี้ 17%, Real Estate 13% และฝากธนาคาร 17%”
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดเสวนาหัวข้อ “จัดพอร์ตต่อยอดเงินก้อนสุดท้าย” โดยวงเสวนาประกอบด้วย นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย จำกัด, นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด และนายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงเสวนา
ในยุคปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่ได้ใส่ใจเรื่องการนำเงินไปลงทุนมากเท่าไรนัก จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า กว่า 80% ของคนไทย นิยมการออมเงินด้วยการนำเงินไปฝากธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีประชากรที่นำเงินไปลงทุนมีจำนวนเพียงน้อยนิด เนื่องจากคนส่วนใหญ่กลัวเรื่องความเสี่ยง
แต่การที่นำเงินไปฝากไว้ในธนาคาร โดยที่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่ต่ำ นั่นคือความเสี่ยงที่ผู้ฝากจะได้รับหลังจากเกษียณ เนื่องจากเงินฝากไม่งอกเงย และยังต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อทุกปี ดังนั้นชีวิตหลังเกษียณอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เราจึงนำเทคนิควางแผนการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ จาก 3 กูรู มาให้ได้ลองนำไปปรับใช้กับวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณเป็นไปอย่างมั่นคง และพึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด
นายสมจินต์ กล่าวว่า คนวัยเกษียณชีวิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวัยทำงานมากนัก แต่ข้อดีของคนวัยนี้คือจะมีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยโอกาสจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มตามขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อไปดูสถิติของคนหลังเกษียณในไทยพบว่ากว่า 60% มีรายได้ 50,000 บาท/ปี ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะที่สุด
นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ของวัยนี้มีรายได้ที่น้อยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้สถิติยังบอกว่าแหล่งรายของคนวัยเกษียณส่วนใหญ่มาจากลูกหลาน คิดเป็น 34% โดยรายได้ที่มาจากการออมมีเพียงแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ลำดับท้ายๆ อีกด้วย
ดังนั้นจึงอยากให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการออมให้มากขึ้น เพื่อไม่ต้องพึ่งพาใครในวัยเกษียณ แต่ปัจจุบันมีความท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมายเช่นอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ดอกเบี้ยผลตอบแทนต่ำ รวมไปถึงวิถีดำเนินชีวิตของคนยุคปัจุบัน
ย้อนไปหลายสิบปีก่อนอาจพูดได้ว่าแค่คุณออมเงินได้ คุณก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีรายใหม่ได้เช่นกัน เพราะดอกเบี้ยเงินฝากมีอัตราที่สูง ประกอบกับคนในยุคนั้นส่วนใหญ่ทำเกษตร เมื่อเกษียณก็อาจมีเงินก้อนโตจากดอกเบี้ยเงินฝาก และยังมีที่ดินที่อาจขายได้ หรือใครไม่ขายที่ก็ยังมีพืชผลในไร่ให้เก็บกินและขาย
แต่ปัจจุบันคนหันมาเป็นพนักงานเอกชนมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องวางแผนเก็บเงินไว่ใช้หลังเกษียณ เพราะหลังเลิกทำงานจะไม่มีรายได้อะไรเข้ามาเลย ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเช่นกัน
แนะสูตร 100-อายุ สำหรับบริหารพอร์ตลงทุน ส่วนหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 3-6 ล้านบาท
จากสถิติยังบอกอีกว่าหลังเกษียณในวัย 60 ปี มนุษย์เราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 17-22 ปี แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มให้เป็น 25 ปี ซึ่งคนวัยทำงานต้องเก็บเงินสำหรับใช้หลังเกษียณอีก 25 ปี โดยที่จะไม่มีรายได้เข้ามา
ตัวเลขที่ดีที่สุดคือหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 25,000 บาท ไปอีก 20 ปี และแต่ละปีต้องดึงเงินออกมา 5% เพื่อนำไปลงทุนต่ออีกเพื่อให้สามารถมีเงินสำหรับใช้ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
แต่ในกรณีที่อาจจะเก็บไม่ถึง 6 ล้านบาท ขอแนะนำว่าควรมีอย่างน้อย 3 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 12,500 บาท ไปอีก 20 ปี และก็นำเงิน 5% จากจำนวนนั้นออกมาลงทุนหลังเกษียณด้วยเช่นกัน
แต่ระหว่างทางที่พนักงานเอกชนยังอยู่ในช่วงทำงาน ขอแนะนำว่าควรหั่นเงินออกมา 15% จากเงินเดือนนำไปลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกเดือน และเมื่อมาถึงวัยเกษียณจะมีเงินก้อนที่นำไปลงทุนสามารถนำมาใช้เป็นเงินหลังเกษียณได้
“ขณะที่สัดส่วนของการลงทุน ที่หลายคนอาจยังลังเลอยู่ว่าจะลงทุนอย่างไร จึงมีสูตร 100-อายุ นำมาให้ลองเอาไปใช้กัน เช่นอายุ 40 ปี ก็นำ 100-40 จะได้ 60 นั่นหมายความว่า ในช่วงอายุ 40 ปี คุณสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ 60% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด และพออายุเพิ่มขึ้น จึงค่อยปรับลดการลงทุนจากพอร์ตเสี่ยงมากออกไปอยู่ในการลงทุนที่ปลอดภัยขึ้น”
ด้านนายธีรนาถ เผยว่า คนในยุคนี้ส่วนใหญ่คิดถึงการลงทุนช้าเกินไป ตนเองเคยไปบรรยายให้ความรู้เรื่องการออมและการลงทุนยังหน่วยงานเอกชนต่างๆ ซึ่งพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของพนักงานเอกชนคือ ไม่ตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการออมและการลงทุน
จากที่ได้สัมผัสมาจะแบ่งคนออกเป็น 2 วัย คือวัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย และวัยทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยเด็กที่เพิ่งจบใหม่ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีความคิดอยากจะเป็นสตาร์ทอัพ เพราะคิดว่ารวยเร็ว และประสบความสำเร็จไว คนประเภทนี้ก็จะไม่มีการออม โดยจะนำเงินไปลงทุนแทบทั้งหมด ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข่อเสีย นั่นคือถ้าโชคดีก็รวยไปเลย แต่ถ้าลงทุนผิดพลาดเงินก็หายหมดเช่นกัน
ส่วนเด็กจบใหม่อีกกลุ่มเป็นประเภทแสวงหาประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายเกินกำลัง และมีพฤติกรรมชอบนำเงินในอนาคตมาใช้เป็นเงินปัจจุบัน จึงเป็นสังคมแห่งการสร้างหนี้ คนกลุ่มนี้จึงมีชีวิตติดลบตั้งแต่อายุยังน้อย พอจะมาพูดถึงเรื่องการลงทุนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องมาบริหารหนี้ของตัวเองเสียก่อน
ด้านคนที่ทำงานมาสักระยะ เช่นอายุ 40 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้จะกลัวความเสี่ยงมา โดยส่วนใหญ่มักนำเงินไปจมอยู่ในธนาคารที่มีผลตอบแทนต่ำ เงินจึงไม่สามารถงอกเงยได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญในอนาคตคือการพึ่งพาคนอื่น
ขณะที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปอีกกลุ่มจะเป็นประเภทที่ลงทุนง่าย ตามคำชักชวนของผู้อื่น โดยไม่ศึกษาหาความรู้ ปัญหาที่ตามมาของคนกลุ่มนี้นั่นคือมักโดนหลอกและสูญเงินนั่นเอง
“ดังนั้นการลงทุนต้องทำอย่างเข้าใจ ด้วยการหาความรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ ว่าสิ่งที่ลงทุนไป เขาเอาเงินเราไปทำอะไร และจะได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างไร ซึ่งในโลกนี้ไม่มีกองทุนหรือหุ้นตัวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน”
มือใหม่หัดลงทุนแนะลงทุนในกองทุนรวมแบบผสม
จากที่ได้กล่าวไปนั่นคือการลงทุนต้องมีการทำการบ้านและวางแผนที่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราจะมีเงินออมได้เท่าไร และเป้าหมายของการลงทุนของเราอยู่ที่ไหน จึงจะรู้ว่าควรจะนำเงินไปลงทุนกับอะไร
“แต่สำหรับมือให่ที่ยังงงๆอยู่ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต แต่อยากลงทุน จึงขอแนะนำให้เริ่มการลงทุนใน ”กองทุนรวมแบบผสม”เนื่องจากกองทุนประเภทนี้จะนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่มีความเสี่ยงและปลอดภัย โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจ”
และการกระจายการลงทุนแบบนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย แต่สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ต้องทำเป็นอันดับแรกก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวมแบบผสมคือ ถามก่อนว่ากองทุนที่จะซื้อนั้นเอาเงินไปลงทุนในอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกกองทุนที่ตัวเองชอบที่สุด
แนะจัดพอร์ตลงทุน 5 ส่วน
ส่วนนายพจน์ หล่นความเห็นปิดท้ายว่า ปัจจุบันสถิติของคนที่แต่งงานและไม่มีลูกพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับคนโสด ซึ่งสถิตินี้เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศไทยละทั่วโลก ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณคนเหล่านี้จะไม่มีลูกหลานไว้เลี้ยงดู ดังนั้นจึงต้องยิ่งนำเงินไปลงทุนมากที่สุด
และจากพฤติกรรมของคนไทยนั้น กว่า 78% ฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแต่กลัวความเสี่ยง จึงไม่นำเงินไปลงทุน และเมื่อถามว่าจะลงทุนอย่างไร ก็มีสูตรการลงทุนที่มากมายหลายสูตรน่าปวดหัวเหลือเกิน
“สำหรับสูตรที่แนะนำนั่นคือแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 5 ส่วน เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นอันดับแรกๆ โดยเงิน 5 ส่วนเราจะนำไปลงทุนในหุ้น 27%, REITs 26%, ตราสารหนี้ 17%, Real Estate 13% และฝากธนาคาร 17%”
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3274
Unknown China
Economicจีนที่คุณต้องติดตาม
เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
โดย ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร
ดร อาร์มบอกว่า มีคนถามว่า China 5.0 เกี่ยวข้องกับ Thailand 4.0อย่างไร
4.0 หมายถึงยุคดิจิตอล แต่5.0หมายถึง ปัญญาประดิษฐ์หรือAI
...
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น.. ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้ และ.. จะเป็นไปอีกหลายปี
ตั้งแต่ จีน มีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ
โดย เติ้ง เสี่ยว ผิง เมื่อ 40 ปีก่อน
ปัจจุบัน "สี จิ้น ผิง"
เป็น.. ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ
เป็น.. ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารและมหาศาล. การเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น2ยุค
ยุคแรก จากช่วงประธานเหมาเจ๋อตุงต่อมาช่วงเติ้งเสี่ยวผิง
ในช่วง40ปีที่แล้ว ช่วงนั้นประธานเหมาต้องการให้ศกเจริญแบบสหรัฐ
ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าอุตสาหกรรมไหนของสหรัฐน่าสนใจและมีผลต่อการเติบโตทางศก
ทำให้จีนช่วงนั้นก้าวจากอุตสาหกรรมการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นของภาครัฐ100%
ซึ่งอุตสาหกรรมไหนทำขาดทุน รัฐก็มาอุดหนุน
การวางแผนการผลิตก็มาจากส่วนกลาง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการ
พอเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมา ก็ไม่รู้อะไรมากมากยเพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ทำที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ก็กลับไปแก้ไข
เช่น เซิ่นเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านชนบท ก็ถูกพัฒนาจาก40ปีที่แล้วมาเป็นเขตศกพิเศษ
ได้ชวนนักลงทุนจากฮ่องกงมาลงทุน ซึ่งมีคำถามว่าจะขายใคร เพราะที่เซิ่นเจิ้นไม่น่าจะมีกำลังซื้อ
ซึ่งได้คำตอบคือผลิตและส่งออกสินค้าไปขายตลาดโลก
ซึ่งจีนมีโชค2เด้ง
1. ชาวจีนโพ้นทะเลที่มีฐานะหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจในต่างแดนลงขันมาช่วย
2.ศกโลกช่วงจีนเริ่มเปิดประเทศอยู่ในช่วงจังหวะฟื้นตัวพอดี
การลงทุนในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นซึ่งจีนได้เปรียบเรื่องค่าแรงถูก
และต่อมาศกจีนก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นเอกชน90%ดำเนินธุรกิจ
แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังคงเป็นของรัฐวิสาหกิจ
รัฐยังยอมให้เอกชนมีบทบาททางการตลาด
รัฐบาลต่อมา เจียงเจ๋อหมองมีนายกรัฐมนตรีที่เก่งคือคุณจูหรงจี
รัฐวิสาหกิจใดไม่กำไร ก็ควรให้เอกชนไปทำแทน
แปรเปลี่ยนกลไกภาครัฐมาทางเอกชนมากขึ้น
ยุคที่สอง
ผู้นำยุคที่สี่คุณหูจิ่นเทา สถานการณ์โลกมาบีบจีนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ศกโลก หดตัว กระทบต่อการส่งออกของจีนฟุบ
ได้ขยายการลงทุนอย่างมหาศาลซึ่งถือเป็นยุคที่สอง
ถือเป็นการกระตุ้นศกอย่างมโหฬาร
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่น สร้างสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ถนน สะพาน
การทำแบบนี้มีข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
1.ทำให้เกิดโมเดลความสำเร็จของจีนซึ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
2.เกิดเมืองใหม่
3.เกิดความเชื่อมโยงด้วยรถไฟความเร็วสูงเกิดClusterเมือง 4แห่งรวมประชากรกว่า600ล้านนคร
ข้อเสีย
1.จากการส่งออกได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ทำให้เกิดสงครามการค้า
2.เกิดอุปทานส่วนเกินในการผลิตover capacity เช่นเหล็ก ถ่านหิน Cement
เกิดปัญหา over capacity ปัญหาหนี้และสิ่งแวดล้อมคือ PM2.5 ซึ่งเกิดก่อนไทยอีก
ดังนั้นจึงแก้ไขโดยส่งออกวัตถุดิบไปขายต่างประเทศ
ส่งออกคนที่มีความสามารถไปทำงานช่วยประเทศอื่นในอาเซียน
เช่นเป็นที่ปรึกษาในการสร้างรถไฟความเร็วสูง
โดยนำโมเดลขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เมือง และ ความเชื่อมโยงไปใช้ในประเทศต่างๆ
ส่วนต่างๆของจีนก็ไปเชื่อมโยงกับประเทศพื้นบ้าน
เช่น กวางตุ้งเชื่อมกับอาเซียน
และทำให้จีนเจริญรุดหน้าประเทศอื่น
Economicจีนที่คุณต้องติดตาม
เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
โดย ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร
ดร อาร์มบอกว่า มีคนถามว่า China 5.0 เกี่ยวข้องกับ Thailand 4.0อย่างไร
4.0 หมายถึงยุคดิจิตอล แต่5.0หมายถึง ปัญญาประดิษฐ์หรือAI
...
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น.. ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้ และ.. จะเป็นไปอีกหลายปี
ตั้งแต่ จีน มีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ
โดย เติ้ง เสี่ยว ผิง เมื่อ 40 ปีก่อน
ปัจจุบัน "สี จิ้น ผิง"
เป็น.. ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ
เป็น.. ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารและมหาศาล. การเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น2ยุค
ยุคแรก จากช่วงประธานเหมาเจ๋อตุงต่อมาช่วงเติ้งเสี่ยวผิง
ในช่วง40ปีที่แล้ว ช่วงนั้นประธานเหมาต้องการให้ศกเจริญแบบสหรัฐ
ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าอุตสาหกรรมไหนของสหรัฐน่าสนใจและมีผลต่อการเติบโตทางศก
ทำให้จีนช่วงนั้นก้าวจากอุตสาหกรรมการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นของภาครัฐ100%
ซึ่งอุตสาหกรรมไหนทำขาดทุน รัฐก็มาอุดหนุน
การวางแผนการผลิตก็มาจากส่วนกลาง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการ
พอเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมา ก็ไม่รู้อะไรมากมากยเพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ทำที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ก็กลับไปแก้ไข
เช่น เซิ่นเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านชนบท ก็ถูกพัฒนาจาก40ปีที่แล้วมาเป็นเขตศกพิเศษ
ได้ชวนนักลงทุนจากฮ่องกงมาลงทุน ซึ่งมีคำถามว่าจะขายใคร เพราะที่เซิ่นเจิ้นไม่น่าจะมีกำลังซื้อ
ซึ่งได้คำตอบคือผลิตและส่งออกสินค้าไปขายตลาดโลก
ซึ่งจีนมีโชค2เด้ง
1. ชาวจีนโพ้นทะเลที่มีฐานะหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจในต่างแดนลงขันมาช่วย
2.ศกโลกช่วงจีนเริ่มเปิดประเทศอยู่ในช่วงจังหวะฟื้นตัวพอดี
การลงทุนในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นซึ่งจีนได้เปรียบเรื่องค่าแรงถูก
และต่อมาศกจีนก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นเอกชน90%ดำเนินธุรกิจ
แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังคงเป็นของรัฐวิสาหกิจ
รัฐยังยอมให้เอกชนมีบทบาททางการตลาด
รัฐบาลต่อมา เจียงเจ๋อหมองมีนายกรัฐมนตรีที่เก่งคือคุณจูหรงจี
รัฐวิสาหกิจใดไม่กำไร ก็ควรให้เอกชนไปทำแทน
แปรเปลี่ยนกลไกภาครัฐมาทางเอกชนมากขึ้น
ยุคที่สอง
ผู้นำยุคที่สี่คุณหูจิ่นเทา สถานการณ์โลกมาบีบจีนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ศกโลก หดตัว กระทบต่อการส่งออกของจีนฟุบ
ได้ขยายการลงทุนอย่างมหาศาลซึ่งถือเป็นยุคที่สอง
ถือเป็นการกระตุ้นศกอย่างมโหฬาร
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่น สร้างสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ถนน สะพาน
การทำแบบนี้มีข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
1.ทำให้เกิดโมเดลความสำเร็จของจีนซึ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
2.เกิดเมืองใหม่
3.เกิดความเชื่อมโยงด้วยรถไฟความเร็วสูงเกิดClusterเมือง 4แห่งรวมประชากรกว่า600ล้านนคร
ข้อเสีย
1.จากการส่งออกได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ทำให้เกิดสงครามการค้า
2.เกิดอุปทานส่วนเกินในการผลิตover capacity เช่นเหล็ก ถ่านหิน Cement
เกิดปัญหา over capacity ปัญหาหนี้และสิ่งแวดล้อมคือ PM2.5 ซึ่งเกิดก่อนไทยอีก
ดังนั้นจึงแก้ไขโดยส่งออกวัตถุดิบไปขายต่างประเทศ
ส่งออกคนที่มีความสามารถไปทำงานช่วยประเทศอื่นในอาเซียน
เช่นเป็นที่ปรึกษาในการสร้างรถไฟความเร็วสูง
โดยนำโมเดลขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เมือง และ ความเชื่อมโยงไปใช้ในประเทศต่างๆ
ส่วนต่างๆของจีนก็ไปเชื่อมโยงกับประเทศพื้นบ้าน
เช่น กวางตุ้งเชื่อมกับอาเซียน
และทำให้จีนเจริญรุดหน้าประเทศอื่น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3275
หลังจากMSCIปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในวันที่28พค ทำให้เม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามา และ ยอดซื้อสุทธิเป็นบวกเมื่อเทียบกับต้นปี ทำให้ผลตอบแทนของ SET ปรับเพิ่มขึ้น 10.3% ในช่วงนี้ถ้าจะลงทุนเพิ่มก็ต้องหากลุ่มที่ยังไม่ได้ขึ้นมาก
ผมเลยมาดูรายละเอียดแต่ละกลุ่มที่ขึ้นน้อยกว่าตลาดจนถึงกลุ่มที่ติดลบ
กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ และกลุ่มปิโตรเคมี ติดลบ 12.3% ยังไม่น่าสนใจจากเรื่องtrade warทำให้demandชิ้นส่วนลดลง
หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มLaggardตามหลังSET แต่ยังมีผลตอบแทนเป็นบวกซึ่งอาจมีโอกาสกลับมาได้
ลองมาศึกษารายละเอียดกันครับ
ผลตอบแทนของกลุ่มตั้งแต่ต้นปี ขึ้นเพียง1.2% เทียบกับSET เพิ่มขึ้น10.3%
ถ้าดูจากกราฟแล้วพบว่ากลุ่มธนาคารเริ่มกลับมาขาขึ้นหลังจากลงมาตั้งแต่ตคปีที่แล้ว ที่ดัชนีกลุ่ม560จุด ต่ำสุดที่ประมาณ500จุดหลังจากนั้นก็ทยอยขึ้นไปตั้งแต่ปลายเดือนพค หลังจากMSCI ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นไทย
เรามาดูยอดการขอสินเชื่อของกลุ่มปรากฎว่าโตน้อยมาก 0.78%
ธนาคารที่มียอดสินเชื่อโตมากกว่ากลุ่มได้แก่ BAY,KTB,TCAP,KKPและSCB
สินเชื่อในการลงทุนยังไม่ได้โต ส่วนสินเชื่อบ้านเติบโตได้ดีในไตรมาสแรกก่อนที่มาตรการLTVเริ่มใช้ในเดือนเมษายน
ที่มีผลกระทบอีกเรื่องคือการตั้งสำรองสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุที่เพิ่มจาก300วันเป็น400วันก็อาจกระทบต่อ
ผลกำไรของกลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาส2
ลองมาตามดูธนาคารที่ยอดสินเชื่อโตกว่ากลุ่มกัน
1. SCB หลังจากมาเน้นCore business และเริ่มตัดขายธุรกิจอื่นออก ก็มีข่าวที่SCBขายSCBLifeซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาดให้กับFWDทำให้คนมาสนใจลงทุนในธนาคารไทยพาณิชย์มากขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค = 1.2%
2. BAY กำไรครึ่งปีแรกคาดการณ์ว่าโต 54%เนื่องจากขายธุรกิจเงินติดล้อ
Loan growth YTD ถึง พค = 2.61%
3. KTB Loan growth YTD ถึง พค = 2.61% ส่วนที่โตมาจากสินเชื่อ Bridging ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะสั้น
ส่วนกำไรในช่วง1H19 ใกล้เคียงปีที่แล้ว
4. TCAP กำไรคาดว่าลดลง7%เนื่องจากการตั้งสำรองสำหรับคนเกษียณเพิ่มขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค =2.01% แต่ก็มีลุ้นสำหรับการรวมกันกับธนาคารทหารไทยและได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น
5. KKP ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนธนาคารและหลักทรัพย์
ส่วนธนาคาร มีLoan growth YTD ถึง พค =2.01%
ส่วนหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้ค่าคอมจากต่างชาติที่มาเทรดผ่านภัทร ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในช่วง พค และ มิย
และรายได้จากดีล SCB ขาย SCBLife รวมถึง รายได้จาก IPO เช่น PTTOR
รวมถึงกำไรจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจสร้างsurpriseได้
เวลาดูกำไรของธนาคาร ปกติกำไรที่แสดงจะรวมกำไรพิเศษเข้าไปด้วย ดังนั้นการวิเคราะห์ต้องตัดกำไรพิเศษออก
และมากำไรปกติจะเห็นperformanceของธนาคารที่ถูกต้อง นี่เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ก่อนการลงทุน
ขอขอบคุณ Finasia สำหรับข้อมูล
ขอให้โชคดีกับการลงทุนนะครับ
ผมเลยมาดูรายละเอียดแต่ละกลุ่มที่ขึ้นน้อยกว่าตลาดจนถึงกลุ่มที่ติดลบ
กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ และกลุ่มปิโตรเคมี ติดลบ 12.3% ยังไม่น่าสนใจจากเรื่องtrade warทำให้demandชิ้นส่วนลดลง
หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มLaggardตามหลังSET แต่ยังมีผลตอบแทนเป็นบวกซึ่งอาจมีโอกาสกลับมาได้
ลองมาศึกษารายละเอียดกันครับ
ผลตอบแทนของกลุ่มตั้งแต่ต้นปี ขึ้นเพียง1.2% เทียบกับSET เพิ่มขึ้น10.3%
ถ้าดูจากกราฟแล้วพบว่ากลุ่มธนาคารเริ่มกลับมาขาขึ้นหลังจากลงมาตั้งแต่ตคปีที่แล้ว ที่ดัชนีกลุ่ม560จุด ต่ำสุดที่ประมาณ500จุดหลังจากนั้นก็ทยอยขึ้นไปตั้งแต่ปลายเดือนพค หลังจากMSCI ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นไทย
เรามาดูยอดการขอสินเชื่อของกลุ่มปรากฎว่าโตน้อยมาก 0.78%
ธนาคารที่มียอดสินเชื่อโตมากกว่ากลุ่มได้แก่ BAY,KTB,TCAP,KKPและSCB
สินเชื่อในการลงทุนยังไม่ได้โต ส่วนสินเชื่อบ้านเติบโตได้ดีในไตรมาสแรกก่อนที่มาตรการLTVเริ่มใช้ในเดือนเมษายน
ที่มีผลกระทบอีกเรื่องคือการตั้งสำรองสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุที่เพิ่มจาก300วันเป็น400วันก็อาจกระทบต่อ
ผลกำไรของกลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาส2
ลองมาตามดูธนาคารที่ยอดสินเชื่อโตกว่ากลุ่มกัน
1. SCB หลังจากมาเน้นCore business และเริ่มตัดขายธุรกิจอื่นออก ก็มีข่าวที่SCBขายSCBLifeซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาดให้กับFWDทำให้คนมาสนใจลงทุนในธนาคารไทยพาณิชย์มากขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค = 1.2%
2. BAY กำไรครึ่งปีแรกคาดการณ์ว่าโต 54%เนื่องจากขายธุรกิจเงินติดล้อ
Loan growth YTD ถึง พค = 2.61%
3. KTB Loan growth YTD ถึง พค = 2.61% ส่วนที่โตมาจากสินเชื่อ Bridging ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะสั้น
ส่วนกำไรในช่วง1H19 ใกล้เคียงปีที่แล้ว
4. TCAP กำไรคาดว่าลดลง7%เนื่องจากการตั้งสำรองสำหรับคนเกษียณเพิ่มขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค =2.01% แต่ก็มีลุ้นสำหรับการรวมกันกับธนาคารทหารไทยและได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น
5. KKP ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนธนาคารและหลักทรัพย์
ส่วนธนาคาร มีLoan growth YTD ถึง พค =2.01%
ส่วนหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้ค่าคอมจากต่างชาติที่มาเทรดผ่านภัทร ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในช่วง พค และ มิย
และรายได้จากดีล SCB ขาย SCBLife รวมถึง รายได้จาก IPO เช่น PTTOR
รวมถึงกำไรจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจสร้างsurpriseได้
เวลาดูกำไรของธนาคาร ปกติกำไรที่แสดงจะรวมกำไรพิเศษเข้าไปด้วย ดังนั้นการวิเคราะห์ต้องตัดกำไรพิเศษออก
และมากำไรปกติจะเห็นperformanceของธนาคารที่ถูกต้อง นี่เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ก่อนการลงทุน
ขอขอบคุณ Finasia สำหรับข้อมูล
ขอให้โชคดีกับการลงทุนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3276
NER Company Visit 7 July 2019
เนื่องจากในวันที่ 7 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไป Company Visit บริษัท NER หรือ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) กับนิตยาสาร stock focus ซึ่งในครั้งนี้นั้นนอกจากจะเข้าใจในธุรกิจของ NER มากขึ้นแล้วยังทำให้ภาพในอนาคตของ NER ชัดขึ้นด้วย ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่แชร์ข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากการไป company visit ให้เพื่อนๆนักลงทุนที่สนใจในหุ้นตัวนี้ได้รับทราบ ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้
************************************
1. สิ่งที่ทำให้ NER น่าสนใจคือประเด็นเพิ่มกำลังการผลิตจากในช่วงสิ้นปีที่แล้ว NER มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 232,800 ตัน/ปี แต่ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมาได้เพิ่มกำลังการผลิตสินค้า RSS Compound เพิ่มอีก 60,000 ตัน/ปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตสินค้าชนิดนี้อยู่แล้ว 60,000 ตัน/ปี (เพิ่มกำลังการผลิตเท่าตัว) และในช่วงต้นปีหน้าจะมีกำลังการผลิต STR20 เพิ่มขึ้นอีก 172,800 ตัน/ปี ทำให้ในช่วงต้นปี 2563 จะมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 465,600 ตัน/ปี ซึ่งเท่ากับว่ากำลังการผลิตในปี 2563 จะคิดเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตในปี 2561
************************************
2. นอกจากประเด็นขยายกำลังการผลิตแล้วยังมีประเด็นลดค่าไฟฟ้าจากโครงการ Bio Gas ซึ่งบริษัทวางแผนจะดำเนินการ 2 เฟสโดยมีขนาดเฟสละ 2 MW โดยใช้วัตถุดิบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น น้ำเสียที่มีค่า COD สูงซึ่งนำมาจากน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตของบริษัทเอง หรือ หญ้าเนเปียร์ ที่บริษัทปลูกไว้ในพื้นที่ของโรงงานเอง โดยคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ 60 ล้านบาท/ปี (กรณีที่สามารถผลิตได้ 4 MW) แต่เมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบและค่าดำเนินการอื่นๆแล้ว จะเหลือเป็น Net Profit ส่วนเพิ่ม 20 ล้านบาท/ปี เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทที่ปรกติจะอยู่ที่ 100-150 ล้านบาท/ไตรมาส กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสองโครงการนี้ก็คิดเป็น 3-5% ของกำไรสุทธิเดิม
************************************
3. จากข้อมูลใน Opportunity Day ที่ ผบห. ได้ให้ข้อมูลว่าจะมีการสรุปและจบโครงการ Bio Gas Phase 1 ขนาด 2 MW ไม่เกิน 30 มิถุนายน 2562 ซึ่งผลการสรุปนั้นผู้บริหารได้แจ้งว่าทางผู้รับเหมาจะขอเลื่อนการส่งมอบงานออกไปอีก 150 วัน เนื่องจาก Performance การผลิตไฟฟ้านั้นยังไม่ได้ตามที่กำหนดในสัญญา ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือบริษัทจะเสียโอกาสในการทำกำไรช้ากว่าที่กำหนดไป 150 วัน และเสียค่าดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินมาลงทุน 100 ล้านบาทในช่วง 150 วันที่ผู้รับเหมาจากญี่ปุ่นขอเลื่อนกำหนดส่งมอบงาน แต่ในระหว่างนี้จะยังไม่มีการบันทึกค่าเสื่อมราคาลงในงบการเงิน
************************************
4. จากที่ดูที่หน้างานผมคิดว่าโครงการ Bio Gas Phase 2 (กำลังการผลิต 2 MW เท่ากัน) นั้นที่เดิมมีกำหนดสรุปปิดโครงการในเดือน 9 ปีนี้มีโอกาสที่จะเริ่มใช้งานได้ก่อน Bio Gas Phase 1 โดยที่โครงการ Bio Gas Phase 2 นั้น ผบห. เลือกที่จะใช้เทคโนโลยีในการผลิตจากประเทศเยอรมันซึ่งแตกต่างจาก Phase 1 ที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเงินลงทุนในโครงการ Bio Gas Phase 1 และ Phase 2 นั้นเท่ากับ 100 และ 200 ล้านบาทตามลำดับ จากที่ผมได้คุยกับทาง CFO นั้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการคำนวนค่าเสื่อมราคาเฉลี่ยประมาณ 13-14 ปี (โดยปกติจะคำนวนแยกกันระหว่างอาคาร,สิ่งปลูกสร้าง และ เครื่องจักร) ดังนั้นหากทั้งสองโครงการเสร็จเรียบร้อยเท่ากับว่าจะมีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นอีกปีละ 20 ล้านบาท/ปี ซึ่งก็เทียบเท่ากับกำไรสุทธิที่ได้เพิ่มจากการประหยัดค่าไฟฟ้า
************************************
5. สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิต RSS ขนาด 60,000 ตัน/ปี ที่ได้เริ่มผลิตไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา โดยแผนในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิต 50% หรือ 30,000 ตัน จากที่ได้คุยล่าสุดอัตราการใช้กำลังการผลิตของไลน์การผลิตใหม่นี้ยังเป็นไปตามแผนที่ 50% โดยหากสามารถใช้กำลังการผลิตได้ 100% จะทำให้กำลังการผลิตรวมจะเพิ่มขึ้น 26% ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไปเพียงแค่ 40 ล้านบาท เท่านั้นซึ่งประเด็นนี้นั้นผมได้สอบถามทาง CFO ถึงจำนวนเงินที่ใช้ในการขยายกำลังการผลิตที่ค่อนข้างน้อยว่าเกิดจากสาเหตุใด CFO ได้แจ้งว่าสำหรับการขยายกำลังการผลิต RSS นั้นจะมีการใช้เครื่องจักรเก่าบางส่วน ทำให้จำนวนเงินที่ใช้สำหรับลงทุนในเครื่องจักรใหม่น้อยลง และจากเงินลงทุนที่ค่อนข้างต่ำทำให้เกิดต้นทุนค่าเสื่อมราคา(Depreciation) ของไลน์การผลิตนี้ประมาณ 3-4 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น (คิดค่าเสื่อมราคาเฉลี่ยประมาณ 10-13 ปี) ดังนั้นหากประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนจะพบว่าคุ้มค่ามากเพราะระยะเวลาในการคืนทุนน่าจะต่ำกว่า 9 เดือน
************************************
6. สำหรับการขยายกำลังการผลิต STR20 ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 172,800 ตัน/ปี นั้นผมได้สอบถามทาง CEO ว่าก่อนที่จะขยายกำลังการผลิตนั้นสัดส่วนของรายได้จากการขายประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 60:40 แต่หากขยายกำลังการผลิตไลน์ STR20 นั้นสัดส่วนดังกล่าวจะยังใกล้เคียงเดิมหรือไม่ สาเหตุที่ผมสอบถามประเด็นนี้เนื่องจากหากใครติดตาม NER มาจะทราบดีว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของสินค้าที่ขายในประเทศจะสูงกว่าสินค้าที่ถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ เนื่องจากเหตุผลหลักคือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาจากการส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ค่าระวางเรือ ค่าประกัน เงินสงเคราะห์ (CESS) เก็บจากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักรซึ่งคิดค่าใช้จ่ายกิโลกรัมละ 2 บาท แต่ราคาขายที่เพิ่มขึ้นนั้นต่ำกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ Net Margin นั้นต่ำกว่าสินค้าที่ขายในประเทศ กับประเด็นนี้คุณชูวิทย์ได้ให้ข้อมูลว่าหลังจากเพิ่มกำลังการผลิตเต็มที่แล้วนั้นคาดว่าสัดส่วนการขายในประเทศและต่างประเทศจะอยู่ที่ 70:30 ซึ่งประเด็นนี้จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการทั้งในแง่ของยอดขายและ Margin จากการขาย ซึ่งประกอบกับ Net Profit Margin เดิมของ NER ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว จึงทำให้น่าติดตามอย่างยิ่งว่าผลประกอบการหลังจากการเพิ่มกำลังการผลิตนั้นจะเป็นอย่างไร
************************************
7. หลังจากที่ขยายกำลังการผลิต STR20 ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 172,800 ตัน/ปี นั้นต้นทุนการผลิตจะต่ำลงเมื่อเทียบกับ STR20 ที่ผลิตจากไลน์การผลิตเดิมเนื่องจากสามารถใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกันได้ไม่ว่าจะเป็น CEO,CFO,ผู้จัดการหน่วยงานผลิต,ผู้จัดการหน่วยงานซ่อมบำรุง,พนักงานผลิต,พนักงานซ่อมบำรุง หรือว่าทีม QA ที่คอยตรวตสอบคุณภาพของสินค้า โดยจากที่ผมเข้าไปดูในโรงงานพบว่าส่วนใหญ่นั้นใช้เครื่องจักรในการผลิตเป็นหลักจะมีการใช้คนอยู่บ้างแต่คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก ดังนั้นหากมองภาพรวมเราจะเห็นต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงหากเทียบที่ราคาวัตถุดิบเท่าเดิมหลังจากที่มีการขยายกำลังกาผลิตแล้ว
************************************
8. ผมได้สอบถามถึงอัตราการใช้กำลังกาผลิตของไลน์การผลิต STR20 ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 172,800 ตัน/ปี ที่สอบถามเนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเป็นปัจจัยที่สำคัญมีผลต่อการประมาณการกำไรในอนาคต โดย ผบห.ได้ให้ข้อมูลว่าในปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดใช้งานไลน์การผลิตดังกล่าวคาดว่าจะมี Utilization Rate ที่ 70% ,ในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 85% และเป็น 100% ในปี 2564 ซึ่งผมได้สอบถามต่อถึงแผนการหลังจากปี 2564 เนื่องจากเห็นว่า NER ได้ใช้กำลังการผลิต 100% ของกำลังกาผลิตแล้ว แต่ประเด็นนี้นั้นทางผู้บริหารแจ้งว่าตอนนี้คงยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ คงต้องรอประกาศพร้อมกันหลังจากแจ้งข้อมูลกับตลาดหลักทรัพย์แล้ว(ตรงนี้ผมคิดว่าน่าสนใจ)
************************************
9. อีกประเด็นที่ผมเป็นห่วงหลังจากที่โครงการขยายกำลังกาผลิตต่างๆเริ่มดำเนินการครบหมดแล้วคือ Working Capital หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าแนวทางของ NER นั้นคือรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าก่อนวันกำหนดส่งมอบ 4 เดือนดังนั้นหลังจากที่ผลิตแล้วเสร็จ NER จะต้องเก็บ Finish Good รอส่งมอบถึง 4 เดือนจึงทำให้ Working Capital คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับยอดขาย (ปัจจุบัน NER มี Working Capital ประมาณ 5,400 ล้านบาท จากยอดขาย 3038 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้น่าสนใจเพราะ Working cap ในปัจจุบันนั้นจะสะท้อนยอดขายในอีก 4 เดือนข้างหน้าหากลองคำนวนดูจะพอประมาณการยอดขายในไตรมาสที่ 2 ได้) ซึ่งแน่นนอนว่าหลังจากขยายกำลังการผลิตแล้ว Working Capital ก็น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกเท่าตัวเช่นกัน ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผมจึงได้สอบถามประเด็น Inventory Turnover และ Account Receivable Turnover หลังจากที่ขยายกำลังการผลิตแล้วนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับค่าเดิมก่อนที่จะขยายกำลังกาผลิต ซึ่งคำตอบคือค่าเหล่านี้มีค่าใกล้เคียงเดิม(ในไตรมาสที่ 1 ปี 19 Inventory turnover เท่ากับ 14 เท่า เเละ Account Recievable turnover เท่ากับ 7.19 เท่า) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการสินค้าของลูกค้าและอำนาจการต่อรองกับลูกค้านั้นไม่ได้ลดลงจากการเพิ่มกำลังการผลิต (บางบริษัทหลังจากขยายกำลังการผลิตแล้วเพื่อให้ Utilization Rate ค่อนข้างสูงด้วยการให้ Credit Term กับลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งกรณีแบบนี้จะทำให้สภาพคล่องของบริษัทลดลง)
************************************
10. สุดท้ายผมสอบถามเรื่องแนวทางการขายหุ้นกรณีที่มีกองทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศสนใจลงทุนใน NER ผบห.แจ้งว่าจะยังคงใช้แนวทางเดิมคือหากกองทุนใดสนใจนั้นให้ซื้อจากกระดานเท่านั้นจะไม่มีการซื้อขายหุ้นส่วนตัวนอกกระดานแน่นอน ซึ่งล่าสุดที่มีการคุยกับกองทุนสิงคโปร์ก็ได้แจ้งให้ลักษณะเดียวกัน
************************************
หมายเหตุ :
1. ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลปฐมภูมิเท่านั้นดังนั้นขอให้วิเคราะห์ด้วยตัวเองก่อนที่จะนำข้อมูลไปใช้
2. ไตรมาส 2 ของ NER ปีที่เเล้วมีกำไรสุทธิประมาณ 47 ล้านบาท ดังนั้นมีโอกาสสูงที่ในไตรมาส 2 ปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
3. สุดท้ายต้องขอบคุณทีมที่จัดงานและผู้บริหารที่ตอบคำถามได้อย่างชัดเจนและแม้ว่าอากาศจะร้อนแต่คุณชูวิทย์ก็ยังเป็นผู้อธิบายถึงสินค้าและกระบวนการผลิตด้วยตัวเองตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงครับ
Cr:นักลงทุนที่ไปcv Nerกับstock focus
เนื่องจากในวันที่ 7 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไป Company Visit บริษัท NER หรือ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) กับนิตยาสาร stock focus ซึ่งในครั้งนี้นั้นนอกจากจะเข้าใจในธุรกิจของ NER มากขึ้นแล้วยังทำให้ภาพในอนาคตของ NER ชัดขึ้นด้วย ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่แชร์ข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากการไป company visit ให้เพื่อนๆนักลงทุนที่สนใจในหุ้นตัวนี้ได้รับทราบ ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้
************************************
1. สิ่งที่ทำให้ NER น่าสนใจคือประเด็นเพิ่มกำลังการผลิตจากในช่วงสิ้นปีที่แล้ว NER มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 232,800 ตัน/ปี แต่ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมาได้เพิ่มกำลังการผลิตสินค้า RSS Compound เพิ่มอีก 60,000 ตัน/ปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตสินค้าชนิดนี้อยู่แล้ว 60,000 ตัน/ปี (เพิ่มกำลังการผลิตเท่าตัว) และในช่วงต้นปีหน้าจะมีกำลังการผลิต STR20 เพิ่มขึ้นอีก 172,800 ตัน/ปี ทำให้ในช่วงต้นปี 2563 จะมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 465,600 ตัน/ปี ซึ่งเท่ากับว่ากำลังการผลิตในปี 2563 จะคิดเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตในปี 2561
************************************
2. นอกจากประเด็นขยายกำลังการผลิตแล้วยังมีประเด็นลดค่าไฟฟ้าจากโครงการ Bio Gas ซึ่งบริษัทวางแผนจะดำเนินการ 2 เฟสโดยมีขนาดเฟสละ 2 MW โดยใช้วัตถุดิบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น น้ำเสียที่มีค่า COD สูงซึ่งนำมาจากน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตของบริษัทเอง หรือ หญ้าเนเปียร์ ที่บริษัทปลูกไว้ในพื้นที่ของโรงงานเอง โดยคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ 60 ล้านบาท/ปี (กรณีที่สามารถผลิตได้ 4 MW) แต่เมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบและค่าดำเนินการอื่นๆแล้ว จะเหลือเป็น Net Profit ส่วนเพิ่ม 20 ล้านบาท/ปี เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทที่ปรกติจะอยู่ที่ 100-150 ล้านบาท/ไตรมาส กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสองโครงการนี้ก็คิดเป็น 3-5% ของกำไรสุทธิเดิม
************************************
3. จากข้อมูลใน Opportunity Day ที่ ผบห. ได้ให้ข้อมูลว่าจะมีการสรุปและจบโครงการ Bio Gas Phase 1 ขนาด 2 MW ไม่เกิน 30 มิถุนายน 2562 ซึ่งผลการสรุปนั้นผู้บริหารได้แจ้งว่าทางผู้รับเหมาจะขอเลื่อนการส่งมอบงานออกไปอีก 150 วัน เนื่องจาก Performance การผลิตไฟฟ้านั้นยังไม่ได้ตามที่กำหนดในสัญญา ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือบริษัทจะเสียโอกาสในการทำกำไรช้ากว่าที่กำหนดไป 150 วัน และเสียค่าดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินมาลงทุน 100 ล้านบาทในช่วง 150 วันที่ผู้รับเหมาจากญี่ปุ่นขอเลื่อนกำหนดส่งมอบงาน แต่ในระหว่างนี้จะยังไม่มีการบันทึกค่าเสื่อมราคาลงในงบการเงิน
************************************
4. จากที่ดูที่หน้างานผมคิดว่าโครงการ Bio Gas Phase 2 (กำลังการผลิต 2 MW เท่ากัน) นั้นที่เดิมมีกำหนดสรุปปิดโครงการในเดือน 9 ปีนี้มีโอกาสที่จะเริ่มใช้งานได้ก่อน Bio Gas Phase 1 โดยที่โครงการ Bio Gas Phase 2 นั้น ผบห. เลือกที่จะใช้เทคโนโลยีในการผลิตจากประเทศเยอรมันซึ่งแตกต่างจาก Phase 1 ที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเงินลงทุนในโครงการ Bio Gas Phase 1 และ Phase 2 นั้นเท่ากับ 100 และ 200 ล้านบาทตามลำดับ จากที่ผมได้คุยกับทาง CFO นั้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการคำนวนค่าเสื่อมราคาเฉลี่ยประมาณ 13-14 ปี (โดยปกติจะคำนวนแยกกันระหว่างอาคาร,สิ่งปลูกสร้าง และ เครื่องจักร) ดังนั้นหากทั้งสองโครงการเสร็จเรียบร้อยเท่ากับว่าจะมีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นอีกปีละ 20 ล้านบาท/ปี ซึ่งก็เทียบเท่ากับกำไรสุทธิที่ได้เพิ่มจากการประหยัดค่าไฟฟ้า
************************************
5. สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิต RSS ขนาด 60,000 ตัน/ปี ที่ได้เริ่มผลิตไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา โดยแผนในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิต 50% หรือ 30,000 ตัน จากที่ได้คุยล่าสุดอัตราการใช้กำลังการผลิตของไลน์การผลิตใหม่นี้ยังเป็นไปตามแผนที่ 50% โดยหากสามารถใช้กำลังการผลิตได้ 100% จะทำให้กำลังการผลิตรวมจะเพิ่มขึ้น 26% ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไปเพียงแค่ 40 ล้านบาท เท่านั้นซึ่งประเด็นนี้นั้นผมได้สอบถามทาง CFO ถึงจำนวนเงินที่ใช้ในการขยายกำลังการผลิตที่ค่อนข้างน้อยว่าเกิดจากสาเหตุใด CFO ได้แจ้งว่าสำหรับการขยายกำลังการผลิต RSS นั้นจะมีการใช้เครื่องจักรเก่าบางส่วน ทำให้จำนวนเงินที่ใช้สำหรับลงทุนในเครื่องจักรใหม่น้อยลง และจากเงินลงทุนที่ค่อนข้างต่ำทำให้เกิดต้นทุนค่าเสื่อมราคา(Depreciation) ของไลน์การผลิตนี้ประมาณ 3-4 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น (คิดค่าเสื่อมราคาเฉลี่ยประมาณ 10-13 ปี) ดังนั้นหากประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนจะพบว่าคุ้มค่ามากเพราะระยะเวลาในการคืนทุนน่าจะต่ำกว่า 9 เดือน
************************************
6. สำหรับการขยายกำลังการผลิต STR20 ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 172,800 ตัน/ปี นั้นผมได้สอบถามทาง CEO ว่าก่อนที่จะขยายกำลังการผลิตนั้นสัดส่วนของรายได้จากการขายประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 60:40 แต่หากขยายกำลังการผลิตไลน์ STR20 นั้นสัดส่วนดังกล่าวจะยังใกล้เคียงเดิมหรือไม่ สาเหตุที่ผมสอบถามประเด็นนี้เนื่องจากหากใครติดตาม NER มาจะทราบดีว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของสินค้าที่ขายในประเทศจะสูงกว่าสินค้าที่ถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ เนื่องจากเหตุผลหลักคือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาจากการส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ค่าระวางเรือ ค่าประกัน เงินสงเคราะห์ (CESS) เก็บจากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักรซึ่งคิดค่าใช้จ่ายกิโลกรัมละ 2 บาท แต่ราคาขายที่เพิ่มขึ้นนั้นต่ำกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ Net Margin นั้นต่ำกว่าสินค้าที่ขายในประเทศ กับประเด็นนี้คุณชูวิทย์ได้ให้ข้อมูลว่าหลังจากเพิ่มกำลังการผลิตเต็มที่แล้วนั้นคาดว่าสัดส่วนการขายในประเทศและต่างประเทศจะอยู่ที่ 70:30 ซึ่งประเด็นนี้จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการทั้งในแง่ของยอดขายและ Margin จากการขาย ซึ่งประกอบกับ Net Profit Margin เดิมของ NER ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว จึงทำให้น่าติดตามอย่างยิ่งว่าผลประกอบการหลังจากการเพิ่มกำลังการผลิตนั้นจะเป็นอย่างไร
************************************
7. หลังจากที่ขยายกำลังการผลิต STR20 ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 172,800 ตัน/ปี นั้นต้นทุนการผลิตจะต่ำลงเมื่อเทียบกับ STR20 ที่ผลิตจากไลน์การผลิตเดิมเนื่องจากสามารถใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกันได้ไม่ว่าจะเป็น CEO,CFO,ผู้จัดการหน่วยงานผลิต,ผู้จัดการหน่วยงานซ่อมบำรุง,พนักงานผลิต,พนักงานซ่อมบำรุง หรือว่าทีม QA ที่คอยตรวตสอบคุณภาพของสินค้า โดยจากที่ผมเข้าไปดูในโรงงานพบว่าส่วนใหญ่นั้นใช้เครื่องจักรในการผลิตเป็นหลักจะมีการใช้คนอยู่บ้างแต่คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก ดังนั้นหากมองภาพรวมเราจะเห็นต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงหากเทียบที่ราคาวัตถุดิบเท่าเดิมหลังจากที่มีการขยายกำลังกาผลิตแล้ว
************************************
8. ผมได้สอบถามถึงอัตราการใช้กำลังกาผลิตของไลน์การผลิต STR20 ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 172,800 ตัน/ปี ที่สอบถามเนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเป็นปัจจัยที่สำคัญมีผลต่อการประมาณการกำไรในอนาคต โดย ผบห.ได้ให้ข้อมูลว่าในปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดใช้งานไลน์การผลิตดังกล่าวคาดว่าจะมี Utilization Rate ที่ 70% ,ในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 85% และเป็น 100% ในปี 2564 ซึ่งผมได้สอบถามต่อถึงแผนการหลังจากปี 2564 เนื่องจากเห็นว่า NER ได้ใช้กำลังการผลิต 100% ของกำลังกาผลิตแล้ว แต่ประเด็นนี้นั้นทางผู้บริหารแจ้งว่าตอนนี้คงยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ คงต้องรอประกาศพร้อมกันหลังจากแจ้งข้อมูลกับตลาดหลักทรัพย์แล้ว(ตรงนี้ผมคิดว่าน่าสนใจ)
************************************
9. อีกประเด็นที่ผมเป็นห่วงหลังจากที่โครงการขยายกำลังกาผลิตต่างๆเริ่มดำเนินการครบหมดแล้วคือ Working Capital หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าแนวทางของ NER นั้นคือรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าก่อนวันกำหนดส่งมอบ 4 เดือนดังนั้นหลังจากที่ผลิตแล้วเสร็จ NER จะต้องเก็บ Finish Good รอส่งมอบถึง 4 เดือนจึงทำให้ Working Capital คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับยอดขาย (ปัจจุบัน NER มี Working Capital ประมาณ 5,400 ล้านบาท จากยอดขาย 3038 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้น่าสนใจเพราะ Working cap ในปัจจุบันนั้นจะสะท้อนยอดขายในอีก 4 เดือนข้างหน้าหากลองคำนวนดูจะพอประมาณการยอดขายในไตรมาสที่ 2 ได้) ซึ่งแน่นนอนว่าหลังจากขยายกำลังการผลิตแล้ว Working Capital ก็น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกเท่าตัวเช่นกัน ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผมจึงได้สอบถามประเด็น Inventory Turnover และ Account Receivable Turnover หลังจากที่ขยายกำลังการผลิตแล้วนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับค่าเดิมก่อนที่จะขยายกำลังกาผลิต ซึ่งคำตอบคือค่าเหล่านี้มีค่าใกล้เคียงเดิม(ในไตรมาสที่ 1 ปี 19 Inventory turnover เท่ากับ 14 เท่า เเละ Account Recievable turnover เท่ากับ 7.19 เท่า) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการสินค้าของลูกค้าและอำนาจการต่อรองกับลูกค้านั้นไม่ได้ลดลงจากการเพิ่มกำลังการผลิต (บางบริษัทหลังจากขยายกำลังการผลิตแล้วเพื่อให้ Utilization Rate ค่อนข้างสูงด้วยการให้ Credit Term กับลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งกรณีแบบนี้จะทำให้สภาพคล่องของบริษัทลดลง)
************************************
10. สุดท้ายผมสอบถามเรื่องแนวทางการขายหุ้นกรณีที่มีกองทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศสนใจลงทุนใน NER ผบห.แจ้งว่าจะยังคงใช้แนวทางเดิมคือหากกองทุนใดสนใจนั้นให้ซื้อจากกระดานเท่านั้นจะไม่มีการซื้อขายหุ้นส่วนตัวนอกกระดานแน่นอน ซึ่งล่าสุดที่มีการคุยกับกองทุนสิงคโปร์ก็ได้แจ้งให้ลักษณะเดียวกัน
************************************
หมายเหตุ :
1. ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลปฐมภูมิเท่านั้นดังนั้นขอให้วิเคราะห์ด้วยตัวเองก่อนที่จะนำข้อมูลไปใช้
2. ไตรมาส 2 ของ NER ปีที่เเล้วมีกำไรสุทธิประมาณ 47 ล้านบาท ดังนั้นมีโอกาสสูงที่ในไตรมาส 2 ปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
3. สุดท้ายต้องขอบคุณทีมที่จัดงานและผู้บริหารที่ตอบคำถามได้อย่างชัดเจนและแม้ว่าอากาศจะร้อนแต่คุณชูวิทย์ก็ยังเป็นผู้อธิบายถึงสินค้าและกระบวนการผลิตด้วยตัวเองตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงครับ
Cr:นักลงทุนที่ไปcv Nerกับstock focus
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3277
สัมมนา ของ UOB Privilege Banking ช่วงของ Schroders
Navigating the late cycle,Will Asia withstand the global slowdown ?
วิทยากร Mr. Arthit Thongcharoen-Head of Business , Thailand.
คุณ อาทิตย์ จาก ชโรเดอร์ บอกว่าบริษัทเป็น บลจ มาจาก ประเทศอังกฤษ
ผู้ก่อตั้ง เป็นคนเยอรมันเชื้อสายอังกฤษ
ก่อนอื่น คุณอาทิตย์ได้สอบถามว่า ตลาดหุ้นปีที่แล้ว มีกี่ประเทศไม่ติดลบบ้าง
คำตอบก็คือ ไม่มีประเทศใดที่ไม่ติดลบ ดูจาก MSCI World index
ปี2017 ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นอย่างแรง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างสดใส ซื้อหุ้นตัวไหนก็บวก
แต่พอย่างเข้าปี2018 ตลาดหุ้นหลายๆที่ทำNew Highในหลายที่รวมถึงประเทศไทยด้วย
ต่อมาก็จะมีหลายปัจจัยทำให้ตลาดหุ้นเริมลดลง เช่น FEDประกาศขึ้นดอกเบี้ย จากเศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง
ซึ่งปีที่แล้ว ขึ้นไป4ครั้ง ส่วน Trump ซึ่งเริ่มเก็บภาษีนำเข้าของสินค้าจีน เพื่อลดการขาดดุลการค้า
ทำให้เกิด Trade War ทำให้ตลาดหุ้นปี2018 ติดลบอย่างหนัก
สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก นอกจากพันธบัตรรัฐบาลแล้วที่วิทยากรพูด ผมขอเสริมว่า
สินทรัพย์อีกตัวที่โดดเด่นอย่างมากในช่วงปีที่แล้ว ที่เติบโตเป็นบวกคือ Reits,Property fund
ซึ่งปีที่แล้ว ถ้าใครจัดasset allocation ดีๆ ก็อาจเป็นบวกได้
คุณอาทิตย์ ถามว่า มีใครซื้อหุ้นตอนต้นปี2019บ้าง ปรากฏว่าไม่มีใครยกมือตอบ
แสดงว่า ยังไม่มั่นใจในตลาดหุ้นปีนี้ ปรากฏว่าตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นอย่างแรง โดยเฉพาะใช้ในตลาดDM
เช่น สหรัฐ พอเข้าเดือน พค ปรากฏว่า Trump ไม่พอใจในการเจรจาการค้ากับจีนที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาอีมครึมอีกรอบ
ตลาดหุ้นไทย มีเงินเข้าจากการเพิ่มสัดส่วนของ MSCI ทำให้วันที่ 28 พค มียอดซื้อขาย 200,000 ลบ
หลังจากนั้นก็มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องมาถึงตอนนี้
ส่วนบรรยากาศตลาดหุ้นทั่วโลกก็ถือว่าเติบโตขึ้นจากการที่Trumpกลับมาเจรจาการค้ากับจีนใน
การประชุมที่โอซาก้าปลายเดือน มิย
ช่วงนี้ เศรษฐกิจอยู่ในช่วง Late cycle ซึ่งเศรษฐกิจเริ่มเติบโตช้าลง
คนจับจ่ายใช้สอยลดลง เพราะกลัวเรื่องสงครามการค้า
ดังนั้นเราจะหวังผลตอบแทนสูงๆอย่างช่วงปี2017 ไม่ได้
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในช่วงปี2019
1.ค่าเงิน$ซึ่งตอนนี้มีแนวโน้มแข็งค่าต่อ ซึ่งส่งผลลบกับการส่งออกของสหรัฐ ระยะยาว ค่าเงินจะอ่อนตัวลงจากการลดดอกเบี้ยของFED
2.FED Fund rate จะการคาดการณ์ของตลาดว่าจะมีการลดลงของดอกเบี้ยถึง1%
ทำให้ตลาดกลับตัว วิ่งต่อ แต่ถ้าช่วง30-31 กค FEDมีการประชุมกัน
แล้วผลออกมาไม่ใช่ที่ตลาดคาดก็อาจทำให้มีการขายหุ้นออกมา
3.Trade War ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการจบและหายไป แต่ก็ยังมีการเจรจาที่ยืดเยื้อต่อไปแต่สามารถคาดเดาTrumpได้ ว่าจะเกิดปัญหาและจบลงเป็นช่วงๆ
ทำให้คนจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง
วิทยากรได้สอบถามผู้ฟังว่า ประชากรregionใดที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากสุดในปี2065
คำตอบคือ เอเชีย ได้แก่ จีน ไทย ญี่ปุ่น
บริษัทในเอเชีย EBITDAสูง หนี้ต่ำ และ มีกระแสเงินสดสูง ดูน่าสนใจกว่าสหรัฐ
ทำให้หุ้นในตลาดหุ้นเอเชียดูน่าใจมากขึ้น
กองทุนTerm Fund ,กองทุนตราสารหนี้ในไทยต่อมา 20สค จะเริ่มต้องโดนหักภาษี15%จากดอกเบี้ย
ซึ่งแต่ก่อนยกเว้นให้ ทำให้ผลตอบแทนลดลง ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้เฉพาะในไทยผลตอบแทนจะลดลง
ถ้าเรามองในตลาดโลก หรือ เอเชียยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูง ตราสารหนี้ในเอเชียก็ดูน่าสนใจจากแนวโน้ม
FED ลดดอกเบี้ยลง
หรือ กอง High yield ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูง ดูน่าสนใจ
สรุป
1. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง แต่ยังไม่Recession
2. ค่าเงิน$ แข็งค่าสูงสุดแล้ว อีก 3-6 เดือน อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลง
3. FED น่าจะหยุดขึ้นและปรับลดดอกเบี้ยลง
4. เศรษฐกิจถดถอย Trade war
5. สิ่งที่มีลงทุน คือ หุ้นในเอเชีย และ $อ่อนค่าทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจ
6. ถ้าดอกเบี้ยลดลง ทำให้ราคาตราสารหนี้ในเฉพาะภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ดูน่าสนใจขึ้น
สุดท้ายขอขอบคุณ UOB Privilege Banking ,Schroders ครับ
Navigating the late cycle,Will Asia withstand the global slowdown ?
วิทยากร Mr. Arthit Thongcharoen-Head of Business , Thailand.
คุณ อาทิตย์ จาก ชโรเดอร์ บอกว่าบริษัทเป็น บลจ มาจาก ประเทศอังกฤษ
ผู้ก่อตั้ง เป็นคนเยอรมันเชื้อสายอังกฤษ
ก่อนอื่น คุณอาทิตย์ได้สอบถามว่า ตลาดหุ้นปีที่แล้ว มีกี่ประเทศไม่ติดลบบ้าง
คำตอบก็คือ ไม่มีประเทศใดที่ไม่ติดลบ ดูจาก MSCI World index
ปี2017 ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นอย่างแรง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างสดใส ซื้อหุ้นตัวไหนก็บวก
แต่พอย่างเข้าปี2018 ตลาดหุ้นหลายๆที่ทำNew Highในหลายที่รวมถึงประเทศไทยด้วย
ต่อมาก็จะมีหลายปัจจัยทำให้ตลาดหุ้นเริมลดลง เช่น FEDประกาศขึ้นดอกเบี้ย จากเศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง
ซึ่งปีที่แล้ว ขึ้นไป4ครั้ง ส่วน Trump ซึ่งเริ่มเก็บภาษีนำเข้าของสินค้าจีน เพื่อลดการขาดดุลการค้า
ทำให้เกิด Trade War ทำให้ตลาดหุ้นปี2018 ติดลบอย่างหนัก
สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก นอกจากพันธบัตรรัฐบาลแล้วที่วิทยากรพูด ผมขอเสริมว่า
สินทรัพย์อีกตัวที่โดดเด่นอย่างมากในช่วงปีที่แล้ว ที่เติบโตเป็นบวกคือ Reits,Property fund
ซึ่งปีที่แล้ว ถ้าใครจัดasset allocation ดีๆ ก็อาจเป็นบวกได้
คุณอาทิตย์ ถามว่า มีใครซื้อหุ้นตอนต้นปี2019บ้าง ปรากฏว่าไม่มีใครยกมือตอบ
แสดงว่า ยังไม่มั่นใจในตลาดหุ้นปีนี้ ปรากฏว่าตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นอย่างแรง โดยเฉพาะใช้ในตลาดDM
เช่น สหรัฐ พอเข้าเดือน พค ปรากฏว่า Trump ไม่พอใจในการเจรจาการค้ากับจีนที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาอีมครึมอีกรอบ
ตลาดหุ้นไทย มีเงินเข้าจากการเพิ่มสัดส่วนของ MSCI ทำให้วันที่ 28 พค มียอดซื้อขาย 200,000 ลบ
หลังจากนั้นก็มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องมาถึงตอนนี้
ส่วนบรรยากาศตลาดหุ้นทั่วโลกก็ถือว่าเติบโตขึ้นจากการที่Trumpกลับมาเจรจาการค้ากับจีนใน
การประชุมที่โอซาก้าปลายเดือน มิย
ช่วงนี้ เศรษฐกิจอยู่ในช่วง Late cycle ซึ่งเศรษฐกิจเริ่มเติบโตช้าลง
คนจับจ่ายใช้สอยลดลง เพราะกลัวเรื่องสงครามการค้า
ดังนั้นเราจะหวังผลตอบแทนสูงๆอย่างช่วงปี2017 ไม่ได้
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในช่วงปี2019
1.ค่าเงิน$ซึ่งตอนนี้มีแนวโน้มแข็งค่าต่อ ซึ่งส่งผลลบกับการส่งออกของสหรัฐ ระยะยาว ค่าเงินจะอ่อนตัวลงจากการลดดอกเบี้ยของFED
2.FED Fund rate จะการคาดการณ์ของตลาดว่าจะมีการลดลงของดอกเบี้ยถึง1%
ทำให้ตลาดกลับตัว วิ่งต่อ แต่ถ้าช่วง30-31 กค FEDมีการประชุมกัน
แล้วผลออกมาไม่ใช่ที่ตลาดคาดก็อาจทำให้มีการขายหุ้นออกมา
3.Trade War ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการจบและหายไป แต่ก็ยังมีการเจรจาที่ยืดเยื้อต่อไปแต่สามารถคาดเดาTrumpได้ ว่าจะเกิดปัญหาและจบลงเป็นช่วงๆ
ทำให้คนจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง
วิทยากรได้สอบถามผู้ฟังว่า ประชากรregionใดที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากสุดในปี2065
คำตอบคือ เอเชีย ได้แก่ จีน ไทย ญี่ปุ่น
บริษัทในเอเชีย EBITDAสูง หนี้ต่ำ และ มีกระแสเงินสดสูง ดูน่าสนใจกว่าสหรัฐ
ทำให้หุ้นในตลาดหุ้นเอเชียดูน่าใจมากขึ้น
กองทุนTerm Fund ,กองทุนตราสารหนี้ในไทยต่อมา 20สค จะเริ่มต้องโดนหักภาษี15%จากดอกเบี้ย
ซึ่งแต่ก่อนยกเว้นให้ ทำให้ผลตอบแทนลดลง ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้เฉพาะในไทยผลตอบแทนจะลดลง
ถ้าเรามองในตลาดโลก หรือ เอเชียยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูง ตราสารหนี้ในเอเชียก็ดูน่าสนใจจากแนวโน้ม
FED ลดดอกเบี้ยลง
หรือ กอง High yield ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูง ดูน่าสนใจ
สรุป
1. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง แต่ยังไม่Recession
2. ค่าเงิน$ แข็งค่าสูงสุดแล้ว อีก 3-6 เดือน อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลง
3. FED น่าจะหยุดขึ้นและปรับลดดอกเบี้ยลง
4. เศรษฐกิจถดถอย Trade war
5. สิ่งที่มีลงทุน คือ หุ้นในเอเชีย และ $อ่อนค่าทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจ
6. ถ้าดอกเบี้ยลดลง ทำให้ราคาตราสารหนี้ในเฉพาะภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ดูน่าสนใจขึ้น
สุดท้ายขอขอบคุณ UOB Privilege Banking ,Schroders ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3278
สัมมนา Bangkok Asian Tour 2019
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงสัมภาษณ์ ดร นิเวศน์ เกี่ยวกับประสบการณ์การลงทุน รับมือวิกฤตอย่างไร
Q: ดร นิเวศน์ เป็นนักลงทุนที่โด่งดัง ได้รับฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย และ ยังมีหลายฉายา
ถามดร ว่าชอบฉายาอะไรมากที่สุด
A: ปกติในเมืองไทยไม่มีใครเรียกแบบนี้ แต่เมืองนอกตั้งชื่อนี้ จากหนังสือฉบับนึงได้จัดอันดับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน 99 คนทั่วโลก อาจารย์เป็นหนึ่งใน99คนได้รับการบันทึกชื่อไว้
อาจารย์บอกว่า ผมเกิดในช่วงจังหวะที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้น (ช่วงต้มยำกุ้ง)
เราเป็นคนริเริ่มลงทุนในแนววีไอ และเผยแพร่การลงทุนแบบวีไอออกไป คนรู้จักก็มาหาผมเพื่อศึกษาแนวทางวีไอ
(ผู้เขียนขอเสริมว่า นักลงทุนที่เข้าไปหาอาจารย์ช่วงนั้น หนึ่งในนั้นก็คือ คุณธันวา อดีตนายกสมาคมไทยวีไอคนแรก
ขณะทำงานอยู่ที่ IBM สิงคโปร์ พอมีเวลามาไทย ก็ไปพูดคุยกับอาจารย์เรื่องแนวการลงทุนแบบวีไอ ซึ่งถือว่าใหม่มาก ไม่ค่อยมีคนรู้จัก)
หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนบทความลง นสพ ( กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ โลกในมุมมองValue Investor ลงทุกวันอังคาร)
ออกรายการทีวี และ มีการสอนหลักการลงทุนแนววีไอ คนตามมาศึกษาการลงทุนแบบวีไอเยอะ
ซึ่งเป็นหลักการที่ปลอดภัย คนที่ทำตามหลักการนี้ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี เลยเกิดกระแสการลงทุนแบบวีไอขึ้นมา
ทำให้หุ้นที่อยู่ในข่ายการลงทุนแบบวีไอ เติบโตขึ้นเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจารย์เล่าว่า ตอนนั้นลงทุนแบบวีไอ เพราะว่าตกงาน (จากวิกฤตต้มยำกุ้ง) มีเงินเก็บก้อนนึง ประมาณ 10 ล้านบาท
ก็เลยนำเงินก้อนนี้มาลงทุน เพื่อเอาตัวรอดในขณะที่อายุ40กว่าปี ตอนนั้นมีเงินอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สินอื่น
บ้านก็เป็นของแม่ยาย ส่วนรถก็เป็นรถบริษัท หลังจากไปลงทุนก็พออยู่ได้
ตอนนั้นอาจารย์บังเอิญลงทุนในช่วงสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย (ช่วงต้มยำกุ้ง ราคาหุ้นลดต่ำจาก 1789 มาที่ 204 จุด
ทำให้มีหุ้นคุณภาพดีราคาถูก ปันผล 10% ที่สามารถเลือกลงทุนได้ ) ซึ่งทำให้อาจารย์รวยไปด้วยไม่ทันตั้งตัว
เคยให้สัมภาษณ์กับ นสพ กรุงเทพธุรกิจ ว่า ก่อนตายตอนอายุ 80 ปี ตั้งเป้าจะมีเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นยังมี
เวลาอีก 30กว่าปี ถ้าลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ทบต้น ระยะเวลา 30กว่าปี สามารถทำเงินจาก 10 ไปที่ 1,000 ล้านบาทได้ ผมวางแผนไว้หมด และศึกษาหุ้นทั่วโลก มีความเป็นไปได้ในการลงทุนหุ้นและได้ 1,000 ล้านบาท
ช่วงนั้นผมพูดการลงทุนแบบวีไอเป็นคนแรก เลยกลายเป็นผู้นำ นอกจากเผยแพร่แนววีไอ ก็ได้ 1,000 ล้านบาท
เร็วกว่ากำหนด คือ แค่ 10 ปีเท่านั้น แต่ก็ยังลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนั้น คิดใหม่ว่าขอให้ได้ผลตอบแทนแค่ 10%ต่อปีไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อมา
ระยะหลัง เป้าเพื่อเงินไม่มีความหมาย สมัยที่ไม่มีเงิน ตั้งเป้าเป็นเรื่องเงิน แต่พอมีเงิน 1,000 ล้านบาท ชีวิตก็ไม่มี
อะไรเปลี่ยนแปลง เพราะ การไปเที่ยวทั่วโลก ไม่ต้องใช้เงินมากมาย
การหาเงินนะง่าย แต่การใช้เงินเช่น วันละ 2 ล้านบาท นั้นยาก เพราะต้องหาทางใช้เงิน 2ล้านบาททุกวัน จะไปซื้ออะไรทุกวัน การใช้เงิน 200 บาทต่อวัน ง่ายกว่าเยอะ ก็เลยจบเรื่องตั้งเป้าเกี่ยวกับเงิน
ส่วนเรื่องฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์เมืองไทย นั้น ความจริงเราไม่สามารถเกิดมาเพื่อเป็นใคร เราเกิดมาเป็นตัวของเราเอง
แต่ก็ศึกษาประวัติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งจริงๆเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทำตามแบบไม่ต้องเลียนแบบ
อาจารย์บอกว่า วันนี้มางานนี้ รู้สึกsurprise นึกว่ามีคนมาฟัง 30 คน ( จริงๆมีคนมาฟังอาจารย์ 350 คน )
จะมาลงรายละเอียดวิชาการ กลุ่มคนที่มาฟังแตกต่างกับที่ผ่านมา ดูเป็นหนุ่มสาวทั้งนั้น
Q : Major Learning หลังจากกำไรก้อนโต หรือ ขาดทุนก้อนโต อยากให้แชร์ประสบการณ์
A : ทำเงินก้อนโต มีตลอด แต่ขาดทุนก้อนโต ไม่เจอ (ว้าว อาจารย์ทำได้อย่างไร ตามมาศึกษากัน)
อาจารย์ให้เหตุผลว่า เราออกแบบการลงทุนไว้แล้ว ถ้าเราขาดทุนก้อนโต แสดงว่าเราไม่ได้วางแผนตั้งแต่เริ่มลงทุน
การทำเงินก้อนโต เราออกแบบ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนก้อนโต คือ การถือหลักทรัพย์ไว้นานๆ ( สังเกตจากนักลงทุน
แนววีไอ บางคน ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ สามารถถือหุ้นที่ดีได้ยาวนาน ไม่ได้ขายออก อาจมีซื้อเพิ่มขึ้นด้วย )
ต้องมีศรัทธา มีความมั่นใจ มีการตรวจสอบว่า ยังเป็นธุรกิจ Great company หรือไม่ ถ้าใช่ เราก็โตตามมันไป
การขาดทุนเยอะ ต้องหลีกเลี่ยง อะไรที่ทำให้ขาดทุนก้อนโต ก็หลีกเลี่ยง
ไม่ลงทุนหุ้น PE 100 เท่า ถ้าไม่เป็นตามที่เราคิด จะขาดทุนก้อนโตได้
ต้องดูว่า ธุรกิจเป็น Great Business หรือไม่ ถ้าเป็นธุรกิจธรรมดา คนอื่นก็สู้ได้ ไม่น่าสนใจ
เราต้องสัมผัสกับธุรกิจจริงๆ ทำไมคนกล้าไปซื้อ ธุรกิจโตได้อย่างไร โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
20 กว่าปีที่ลงทุนมา ขาดทุนน้อยมาก ขาดทุนแค่ 3 ปี จาก 20 กว่าปี
( ซึ่งปีที่ขาดทุน จะเป็นปีที่ SET ติดลบหนัก
1.ปี 2547 -28.2% เทียบกับตลาด -13.5% ซึ่งปี 2546 port +146% เทียบกับตลาด +116%
2.ปี 2551 Port -14.6% เทียบกับตลาด -47.5% ช่วงแฮมเบอเกอร์ ไคซิส
3.ปี 2561 Port -9.9% เทียบกับ ตลาด -11%
แหล่งที่มา : จากหนังสือของดร นิเวศน์ ที่รวบรวมบทความจาก คอลัมน์ โลกในมุมมองของValue Investor)
ดังนั้นลงทุนอย่าขาดทุน เราต้องคิดแล้วคิดอีกสำหรับหุ้นทุกตัว
หุ้นที่ขาดทุน เช่น ลงทุน3ปีแล้วยังขาดทุนอีก เราต้องคิดว่าทำไมยังขาดทุน
เหมือนการทำธุรกิจแล้วเจ๊ง จะต้องคิดแล้วทำไมถึงขาดทุน ลงทุนหุ้นก็เหมือนกัน
ซึ่งเป็นหลักการวีไอพันธ์แท้
ผมเคยลงทุนหุ้นทั้งชีวิตแค่ 20 กว่าตัว ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ 10 ตัว
ปีที่แล้ว รวมถึงปีนี้ 18 เดือน ไม่ได้ซื้อ ขาย หุ้นเลย อยู่เฉยๆมา 18 เดือน
Broker โทรมาให้ซื้อ ขาย ทุกวัน ซึ่งปีที่แล้วไม่มี volume ซื้อขายเลย
คุณลงทุนหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ ทำแล้วต้องตั้งใจ ไม่ใช่ขายทิ้งและซื้อธุรกิจใหม่ๆไปเรื่อยๆ
ปกติซื้อหุ้นอาจมีขาดทุน 2 ปี แต่ถ้าปีที่3 ยังขาดทุน ต้องพิจารณาแล้ว
Q: อยากทราบว่า วิกฤตจะมาเมื่อไหร่ และ จะทำอย่างไรที่จะคว้าโอกาสทำเงินจากวิกฤตได้
A: อาจารย์บอกว่า ผ่านมา2วิกฤต ทำให้เรารวยขึ้น
คิดว่าเมื่อไหร่จะเกิดสักที
สิ่งที่เตรียมการคือ
หุ้นที่เราถืออยู่ ไม่เป็นไร
ตอนปี 2008 Port ลดลง 10 %กว่า หลังจากนั้น Port ก็กระโดดขึ้นเยอะมาก ตอนตก ตกน้อยกว่าตลาด เรามีเงินสดบางส่วน เอามาซื้อหุ้นที่ตกเยอะๆ
เลือกหุ้นให้ถูก ตอนนี้มีเงินสดรอซื้อหุ้นที่ตกมากๆ ส่วนหุ้นที่ถืออยู่ไม่ค่อยตก
สมัยปี1997 เศรษฐี ทรัพย์สินตกลงมาเยอะ ทำให้เรารวยขึ้นจากหุ้นที่ถือ ซึ่งตกน้อยกว่า
ตลาด พอเกิดวิกฤตหลายครั้ง ตอนนี้ผมรวยกว่าเศรษฐีแล้ว
อย่าไปกลัว พยายามอยู่บนเรือที่แข็งแกร่งให้ได้ ไม่มีใครทำนายได้ว่าเกิดเมื่อไหร่
แต่ถ้าเราแข็งแกร่ง หุ้นที่เราถือก็ปลอดภัย
3-4 ปีก่อน ขายหุ้นไป และ ถือเงินสด ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยกว่า 1% ตอนนี้ก็เข้าไปซื้อหุ้น
มีเงินสด 10กว่า % รอซื้อหุ้นตอนวิกฤต
แต่ก็กลัวๆอยู่ เพราะ นานแล้วที่ไม่เกิด ( 11 ปีหลังจาก วิกฤตแฮมเบอเกอร์ )
สุดท้ายขอขอบคุณ Fullerton Market และ ดร นิเวศน์ที่มาให้ความรู้สำหรับรับมือวิกฤตครั้งต่อไปนะครับ
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงสัมภาษณ์ ดร นิเวศน์ เกี่ยวกับประสบการณ์การลงทุน รับมือวิกฤตอย่างไร
Q: ดร นิเวศน์ เป็นนักลงทุนที่โด่งดัง ได้รับฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย และ ยังมีหลายฉายา
ถามดร ว่าชอบฉายาอะไรมากที่สุด
A: ปกติในเมืองไทยไม่มีใครเรียกแบบนี้ แต่เมืองนอกตั้งชื่อนี้ จากหนังสือฉบับนึงได้จัดอันดับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน 99 คนทั่วโลก อาจารย์เป็นหนึ่งใน99คนได้รับการบันทึกชื่อไว้
อาจารย์บอกว่า ผมเกิดในช่วงจังหวะที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้น (ช่วงต้มยำกุ้ง)
เราเป็นคนริเริ่มลงทุนในแนววีไอ และเผยแพร่การลงทุนแบบวีไอออกไป คนรู้จักก็มาหาผมเพื่อศึกษาแนวทางวีไอ
(ผู้เขียนขอเสริมว่า นักลงทุนที่เข้าไปหาอาจารย์ช่วงนั้น หนึ่งในนั้นก็คือ คุณธันวา อดีตนายกสมาคมไทยวีไอคนแรก
ขณะทำงานอยู่ที่ IBM สิงคโปร์ พอมีเวลามาไทย ก็ไปพูดคุยกับอาจารย์เรื่องแนวการลงทุนแบบวีไอ ซึ่งถือว่าใหม่มาก ไม่ค่อยมีคนรู้จัก)
หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนบทความลง นสพ ( กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ โลกในมุมมองValue Investor ลงทุกวันอังคาร)
ออกรายการทีวี และ มีการสอนหลักการลงทุนแนววีไอ คนตามมาศึกษาการลงทุนแบบวีไอเยอะ
ซึ่งเป็นหลักการที่ปลอดภัย คนที่ทำตามหลักการนี้ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี เลยเกิดกระแสการลงทุนแบบวีไอขึ้นมา
ทำให้หุ้นที่อยู่ในข่ายการลงทุนแบบวีไอ เติบโตขึ้นเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจารย์เล่าว่า ตอนนั้นลงทุนแบบวีไอ เพราะว่าตกงาน (จากวิกฤตต้มยำกุ้ง) มีเงินเก็บก้อนนึง ประมาณ 10 ล้านบาท
ก็เลยนำเงินก้อนนี้มาลงทุน เพื่อเอาตัวรอดในขณะที่อายุ40กว่าปี ตอนนั้นมีเงินอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สินอื่น
บ้านก็เป็นของแม่ยาย ส่วนรถก็เป็นรถบริษัท หลังจากไปลงทุนก็พออยู่ได้
ตอนนั้นอาจารย์บังเอิญลงทุนในช่วงสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย (ช่วงต้มยำกุ้ง ราคาหุ้นลดต่ำจาก 1789 มาที่ 204 จุด
ทำให้มีหุ้นคุณภาพดีราคาถูก ปันผล 10% ที่สามารถเลือกลงทุนได้ ) ซึ่งทำให้อาจารย์รวยไปด้วยไม่ทันตั้งตัว
เคยให้สัมภาษณ์กับ นสพ กรุงเทพธุรกิจ ว่า ก่อนตายตอนอายุ 80 ปี ตั้งเป้าจะมีเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นยังมี
เวลาอีก 30กว่าปี ถ้าลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ทบต้น ระยะเวลา 30กว่าปี สามารถทำเงินจาก 10 ไปที่ 1,000 ล้านบาทได้ ผมวางแผนไว้หมด และศึกษาหุ้นทั่วโลก มีความเป็นไปได้ในการลงทุนหุ้นและได้ 1,000 ล้านบาท
ช่วงนั้นผมพูดการลงทุนแบบวีไอเป็นคนแรก เลยกลายเป็นผู้นำ นอกจากเผยแพร่แนววีไอ ก็ได้ 1,000 ล้านบาท
เร็วกว่ากำหนด คือ แค่ 10 ปีเท่านั้น แต่ก็ยังลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนั้น คิดใหม่ว่าขอให้ได้ผลตอบแทนแค่ 10%ต่อปีไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อมา
ระยะหลัง เป้าเพื่อเงินไม่มีความหมาย สมัยที่ไม่มีเงิน ตั้งเป้าเป็นเรื่องเงิน แต่พอมีเงิน 1,000 ล้านบาท ชีวิตก็ไม่มี
อะไรเปลี่ยนแปลง เพราะ การไปเที่ยวทั่วโลก ไม่ต้องใช้เงินมากมาย
การหาเงินนะง่าย แต่การใช้เงินเช่น วันละ 2 ล้านบาท นั้นยาก เพราะต้องหาทางใช้เงิน 2ล้านบาททุกวัน จะไปซื้ออะไรทุกวัน การใช้เงิน 200 บาทต่อวัน ง่ายกว่าเยอะ ก็เลยจบเรื่องตั้งเป้าเกี่ยวกับเงิน
ส่วนเรื่องฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์เมืองไทย นั้น ความจริงเราไม่สามารถเกิดมาเพื่อเป็นใคร เราเกิดมาเป็นตัวของเราเอง
แต่ก็ศึกษาประวัติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งจริงๆเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทำตามแบบไม่ต้องเลียนแบบ
อาจารย์บอกว่า วันนี้มางานนี้ รู้สึกsurprise นึกว่ามีคนมาฟัง 30 คน ( จริงๆมีคนมาฟังอาจารย์ 350 คน )
จะมาลงรายละเอียดวิชาการ กลุ่มคนที่มาฟังแตกต่างกับที่ผ่านมา ดูเป็นหนุ่มสาวทั้งนั้น
Q : Major Learning หลังจากกำไรก้อนโต หรือ ขาดทุนก้อนโต อยากให้แชร์ประสบการณ์
A : ทำเงินก้อนโต มีตลอด แต่ขาดทุนก้อนโต ไม่เจอ (ว้าว อาจารย์ทำได้อย่างไร ตามมาศึกษากัน)
อาจารย์ให้เหตุผลว่า เราออกแบบการลงทุนไว้แล้ว ถ้าเราขาดทุนก้อนโต แสดงว่าเราไม่ได้วางแผนตั้งแต่เริ่มลงทุน
การทำเงินก้อนโต เราออกแบบ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนก้อนโต คือ การถือหลักทรัพย์ไว้นานๆ ( สังเกตจากนักลงทุน
แนววีไอ บางคน ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ สามารถถือหุ้นที่ดีได้ยาวนาน ไม่ได้ขายออก อาจมีซื้อเพิ่มขึ้นด้วย )
ต้องมีศรัทธา มีความมั่นใจ มีการตรวจสอบว่า ยังเป็นธุรกิจ Great company หรือไม่ ถ้าใช่ เราก็โตตามมันไป
การขาดทุนเยอะ ต้องหลีกเลี่ยง อะไรที่ทำให้ขาดทุนก้อนโต ก็หลีกเลี่ยง
ไม่ลงทุนหุ้น PE 100 เท่า ถ้าไม่เป็นตามที่เราคิด จะขาดทุนก้อนโตได้
ต้องดูว่า ธุรกิจเป็น Great Business หรือไม่ ถ้าเป็นธุรกิจธรรมดา คนอื่นก็สู้ได้ ไม่น่าสนใจ
เราต้องสัมผัสกับธุรกิจจริงๆ ทำไมคนกล้าไปซื้อ ธุรกิจโตได้อย่างไร โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
20 กว่าปีที่ลงทุนมา ขาดทุนน้อยมาก ขาดทุนแค่ 3 ปี จาก 20 กว่าปี
( ซึ่งปีที่ขาดทุน จะเป็นปีที่ SET ติดลบหนัก
1.ปี 2547 -28.2% เทียบกับตลาด -13.5% ซึ่งปี 2546 port +146% เทียบกับตลาด +116%
2.ปี 2551 Port -14.6% เทียบกับตลาด -47.5% ช่วงแฮมเบอเกอร์ ไคซิส
3.ปี 2561 Port -9.9% เทียบกับ ตลาด -11%
แหล่งที่มา : จากหนังสือของดร นิเวศน์ ที่รวบรวมบทความจาก คอลัมน์ โลกในมุมมองของValue Investor)
ดังนั้นลงทุนอย่าขาดทุน เราต้องคิดแล้วคิดอีกสำหรับหุ้นทุกตัว
หุ้นที่ขาดทุน เช่น ลงทุน3ปีแล้วยังขาดทุนอีก เราต้องคิดว่าทำไมยังขาดทุน
เหมือนการทำธุรกิจแล้วเจ๊ง จะต้องคิดแล้วทำไมถึงขาดทุน ลงทุนหุ้นก็เหมือนกัน
ซึ่งเป็นหลักการวีไอพันธ์แท้
ผมเคยลงทุนหุ้นทั้งชีวิตแค่ 20 กว่าตัว ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ 10 ตัว
ปีที่แล้ว รวมถึงปีนี้ 18 เดือน ไม่ได้ซื้อ ขาย หุ้นเลย อยู่เฉยๆมา 18 เดือน
Broker โทรมาให้ซื้อ ขาย ทุกวัน ซึ่งปีที่แล้วไม่มี volume ซื้อขายเลย
คุณลงทุนหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ ทำแล้วต้องตั้งใจ ไม่ใช่ขายทิ้งและซื้อธุรกิจใหม่ๆไปเรื่อยๆ
ปกติซื้อหุ้นอาจมีขาดทุน 2 ปี แต่ถ้าปีที่3 ยังขาดทุน ต้องพิจารณาแล้ว
Q: อยากทราบว่า วิกฤตจะมาเมื่อไหร่ และ จะทำอย่างไรที่จะคว้าโอกาสทำเงินจากวิกฤตได้
A: อาจารย์บอกว่า ผ่านมา2วิกฤต ทำให้เรารวยขึ้น
คิดว่าเมื่อไหร่จะเกิดสักที
สิ่งที่เตรียมการคือ
หุ้นที่เราถืออยู่ ไม่เป็นไร
ตอนปี 2008 Port ลดลง 10 %กว่า หลังจากนั้น Port ก็กระโดดขึ้นเยอะมาก ตอนตก ตกน้อยกว่าตลาด เรามีเงินสดบางส่วน เอามาซื้อหุ้นที่ตกเยอะๆ
เลือกหุ้นให้ถูก ตอนนี้มีเงินสดรอซื้อหุ้นที่ตกมากๆ ส่วนหุ้นที่ถืออยู่ไม่ค่อยตก
สมัยปี1997 เศรษฐี ทรัพย์สินตกลงมาเยอะ ทำให้เรารวยขึ้นจากหุ้นที่ถือ ซึ่งตกน้อยกว่า
ตลาด พอเกิดวิกฤตหลายครั้ง ตอนนี้ผมรวยกว่าเศรษฐีแล้ว
อย่าไปกลัว พยายามอยู่บนเรือที่แข็งแกร่งให้ได้ ไม่มีใครทำนายได้ว่าเกิดเมื่อไหร่
แต่ถ้าเราแข็งแกร่ง หุ้นที่เราถือก็ปลอดภัย
3-4 ปีก่อน ขายหุ้นไป และ ถือเงินสด ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยกว่า 1% ตอนนี้ก็เข้าไปซื้อหุ้น
มีเงินสด 10กว่า % รอซื้อหุ้นตอนวิกฤต
แต่ก็กลัวๆอยู่ เพราะ นานแล้วที่ไม่เกิด ( 11 ปีหลังจาก วิกฤตแฮมเบอเกอร์ )
สุดท้ายขอขอบคุณ Fullerton Market และ ดร นิเวศน์ที่มาให้ความรู้สำหรับรับมือวิกฤตครั้งต่อไปนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3279
คุณ โจ ลูกอีสาน พูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นMAI ในงาน MoneyTalk@MAI FORUM 2019
ผมลงหุ้นทั้งหมด 70ตัวเป็นหุ้นไทย55ตัว หุ้นต่างประเทศอีก20ตัว
ส่วนหุ้นต่างประเทศที่ลง ก็เป็นหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
และตลาดหุ้นสหรัฐโดยซื้อกองทุนดัชนี
ผมลงหุ้นในMAIประมาณ 10 ตัว ส่วนใหญ่ขาดทุน ซึ่งบริษัทก็มาในงานMAIด้วย
ขอขอบคุณผู้บริหารของตลาดMAI ทำให้เรามีกระทบไหล่ผู้บริหารของตลาดMAI โอกาสที่ไปกระทบไหล่ผู้บริหารในSETยาก แต่ในตลาดMAIยังมีโอกาส เช่นในงานนี้ วันนี้ผู้บริหารบริษัทมากันร่วมร้อยคน
อ โจพูดต่อว่า ส่วนผลประกอบการของนักลงทุนที่ผ่านมา ผมสังเกตดูนักลงทุนยิ้มแย้มกัน มางานMAIมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว บ่งบอกว่าปีนี้ฝนตกทั่วฟ้า
ปีที่แล้ว ครึ่งปีหลัง หุ้นกลาง เล็ก ลงมา60-70% ปีนี้มีเด้งขึ้นมาก
ถามคุณโจว่า การเลือกซื้อหุ้น ดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณโจ บอกว่า ไม่รู้อยู่ตลาดไหน ขอให้หุ้นดีไว้ก่อน และถูก
ถามต่อว่าดีและถูกดูอย่างไร
คุณโจตอบว่า หุ้นดี ก็คือ คาดว่ากำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ไม่ถูกdisrupt เช่น ไม่ถูกกระทบจากเงินบาทแข็งค่า
มีความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหารเก่ง ทำEPSเพิ่มขึ้น
ตอนเข้าซื้อ ต้องดูราคาที่เข้าซื้อด้วย
ถามว่าหุ้นที่ซื้อมากสุดกี่เด้ง
คุณโจบอกว่าจำไม่ได้ อย่าไปโฟกัสมาก
ไม่เคยได้สิบเด้งในชีวิต แต่ได้หลายเด้งแต่รวมๆกันก็เยอะ
การทำได้สิบเด้ง ต้องทำผลตอบแทน 26%ต่อปี ทบต้นสิบปีถึงจะได้สิบเด้ง
มีหุ้นหลายตัวที่ได้สิบเด้ง
เงินลงทุน 1ล้าน สิบปีได้เงินส่งลูกเรียนคือ 10 ล้านบาท
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป คุณโจมีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณโจ บอกว่า ทำได้ ไม่ยาก
ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ถือไว้นานหน่อย มั่นคง
บางครั้งเราทำถูกต้องแล้ว แต่เนื่องจากสภาวะตลาดปลายปีลงมา
ถ้าเราcutไป ก็น่าเสียดาย เราต้องมีจิตใจที่มั่นคง
แค่นี้ ไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากนี้
คำว่าหุ้นดี สำหรับเรา ดีอย่างไร
ราคาถูก ระดับPEเท่าไหร่ถูก เป็นปัญหา
ความมั่นคง ทำได้ยากนะ
คุณโจ พูดถึงตอนปี42 ไม่มีหุ้นIPOเข้ามา
ตอนนั้นมีหุ้นราชบุรี เข้ามา
ส่วน PTT มาขาย35บาทคิดเป็น PE 4 เท่า และ ราคาหลังIPOลงมาเหลือ 29 บาท
ปี61 ต้นปี มีหุ้นipoมากสุด ตอนดัชนีหุ้นnew high
ดังนั้น ช่วงหุ้นแพง มีการขายipoเยอะ ได้ราคาแพง
คนที่ซวยคือพวกเรา
ผลประโยชน์ ของคนขาย ipo ต้องการขายราคาแพงสุด
นักลงทุนต้องการราคาถูก ซึ่งมันขัดแย้งกัน
FA เป็นคนกลางที่ทำให้ราคาขายเหมาะสม
ตอนนี้ตั้งราคาขายมีdiscountจากPEของตลาด MAI
ซึ่ง PE ธุรกิจคล้ายกันในSET แค่ 4 เท่าเอง
Netbay อ โจซื้อหุ้นหลังเข้าตลาด สูงกว่าIPOเยอะ แต่ราคาก็ขึ้นไปอีก
บริษัทจำนำทะเบียนรถ ขายIPOที่ถูก ตอนนี้ราคาขึ้นไป50กว่าบาท
เราต้องดูคุณภาพ และ ราคา
ผมแน่ใจ หุ้นipo ขายความสดใหม่ เขาเลยมีprojectมากมายมาแสดง
แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ สรุป ซื้อได้ แต่ค่อนข้างน้อย
หุ้นที่ อ โจ ชอบซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้น MAI 3 บริษัท
อ โจ ตอบว่า
ผมชอบหุ้นรายได้แน่นอน เติบโตเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาdisrupt
มีปันผลดี ผู้บริหารดี
1.หุ้นในMAI ก็มี บริษัทที่ซื้อมีPE 10 เท่า และมีการขยายกำลังการผลิต1เท่า
มีคนรับซื้อของแน่นอนที่บริษัทขยายกำลังการผลิต โอกาสขาดทุนไม่มี
ไม่เข้าใจว่าบางช่วงบางเวลา ทำไมไม่มีคนซื้อ
เป็นหุ้นในตลาดMAI เป้นบริษัทที่ผลิตพลังงาน
เวลารวยไม่ใช่บังเอิญ ต้องเป็นการตั้งใจทำการบ้าน สวนกระแสคนอื่น
2.อีกบริษัท ผลิตวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากเมืองนอก
แต่ไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่นที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
ถ้าปรับปรุงได้ก็จะฟื้นตัวได้ PE แค่11 เท่า
3.อีกบริษัท ขายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ กำไรดี ปันผลดี
ที่คุณเทิดศักดิ์ พูด ก็คือต้องทำการบ้านก่อนการลงทุน
เราสามารถหาข้อมูลได้ ไม่ใช่แดนสนธยา
สุดท้าย ขอขอบ อ โจ ที่มาเล่าถึงวิธีการเลือกหุ้น แถมหุ้นที่ อ ชื่นชอบมาให้อีกครับ
ผมลงหุ้นทั้งหมด 70ตัวเป็นหุ้นไทย55ตัว หุ้นต่างประเทศอีก20ตัว
ส่วนหุ้นต่างประเทศที่ลง ก็เป็นหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
และตลาดหุ้นสหรัฐโดยซื้อกองทุนดัชนี
ผมลงหุ้นในMAIประมาณ 10 ตัว ส่วนใหญ่ขาดทุน ซึ่งบริษัทก็มาในงานMAIด้วย
ขอขอบคุณผู้บริหารของตลาดMAI ทำให้เรามีกระทบไหล่ผู้บริหารของตลาดMAI โอกาสที่ไปกระทบไหล่ผู้บริหารในSETยาก แต่ในตลาดMAIยังมีโอกาส เช่นในงานนี้ วันนี้ผู้บริหารบริษัทมากันร่วมร้อยคน
อ โจพูดต่อว่า ส่วนผลประกอบการของนักลงทุนที่ผ่านมา ผมสังเกตดูนักลงทุนยิ้มแย้มกัน มางานMAIมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว บ่งบอกว่าปีนี้ฝนตกทั่วฟ้า
ปีที่แล้ว ครึ่งปีหลัง หุ้นกลาง เล็ก ลงมา60-70% ปีนี้มีเด้งขึ้นมาก
ถามคุณโจว่า การเลือกซื้อหุ้น ดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณโจ บอกว่า ไม่รู้อยู่ตลาดไหน ขอให้หุ้นดีไว้ก่อน และถูก
ถามต่อว่าดีและถูกดูอย่างไร
คุณโจตอบว่า หุ้นดี ก็คือ คาดว่ากำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ไม่ถูกdisrupt เช่น ไม่ถูกกระทบจากเงินบาทแข็งค่า
มีความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหารเก่ง ทำEPSเพิ่มขึ้น
ตอนเข้าซื้อ ต้องดูราคาที่เข้าซื้อด้วย
ถามว่าหุ้นที่ซื้อมากสุดกี่เด้ง
คุณโจบอกว่าจำไม่ได้ อย่าไปโฟกัสมาก
ไม่เคยได้สิบเด้งในชีวิต แต่ได้หลายเด้งแต่รวมๆกันก็เยอะ
การทำได้สิบเด้ง ต้องทำผลตอบแทน 26%ต่อปี ทบต้นสิบปีถึงจะได้สิบเด้ง
มีหุ้นหลายตัวที่ได้สิบเด้ง
เงินลงทุน 1ล้าน สิบปีได้เงินส่งลูกเรียนคือ 10 ล้านบาท
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป คุณโจมีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณโจ บอกว่า ทำได้ ไม่ยาก
ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ถือไว้นานหน่อย มั่นคง
บางครั้งเราทำถูกต้องแล้ว แต่เนื่องจากสภาวะตลาดปลายปีลงมา
ถ้าเราcutไป ก็น่าเสียดาย เราต้องมีจิตใจที่มั่นคง
แค่นี้ ไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากนี้
คำว่าหุ้นดี สำหรับเรา ดีอย่างไร
ราคาถูก ระดับPEเท่าไหร่ถูก เป็นปัญหา
ความมั่นคง ทำได้ยากนะ
คุณโจ พูดถึงตอนปี42 ไม่มีหุ้นIPOเข้ามา
ตอนนั้นมีหุ้นราชบุรี เข้ามา
ส่วน PTT มาขาย35บาทคิดเป็น PE 4 เท่า และ ราคาหลังIPOลงมาเหลือ 29 บาท
ปี61 ต้นปี มีหุ้นipoมากสุด ตอนดัชนีหุ้นnew high
ดังนั้น ช่วงหุ้นแพง มีการขายipoเยอะ ได้ราคาแพง
คนที่ซวยคือพวกเรา
ผลประโยชน์ ของคนขาย ipo ต้องการขายราคาแพงสุด
นักลงทุนต้องการราคาถูก ซึ่งมันขัดแย้งกัน
FA เป็นคนกลางที่ทำให้ราคาขายเหมาะสม
ตอนนี้ตั้งราคาขายมีdiscountจากPEของตลาด MAI
ซึ่ง PE ธุรกิจคล้ายกันในSET แค่ 4 เท่าเอง
Netbay อ โจซื้อหุ้นหลังเข้าตลาด สูงกว่าIPOเยอะ แต่ราคาก็ขึ้นไปอีก
บริษัทจำนำทะเบียนรถ ขายIPOที่ถูก ตอนนี้ราคาขึ้นไป50กว่าบาท
เราต้องดูคุณภาพ และ ราคา
ผมแน่ใจ หุ้นipo ขายความสดใหม่ เขาเลยมีprojectมากมายมาแสดง
แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ สรุป ซื้อได้ แต่ค่อนข้างน้อย
หุ้นที่ อ โจ ชอบซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้น MAI 3 บริษัท
อ โจ ตอบว่า
ผมชอบหุ้นรายได้แน่นอน เติบโตเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาdisrupt
มีปันผลดี ผู้บริหารดี
1.หุ้นในMAI ก็มี บริษัทที่ซื้อมีPE 10 เท่า และมีการขยายกำลังการผลิต1เท่า
มีคนรับซื้อของแน่นอนที่บริษัทขยายกำลังการผลิต โอกาสขาดทุนไม่มี
ไม่เข้าใจว่าบางช่วงบางเวลา ทำไมไม่มีคนซื้อ
เป็นหุ้นในตลาดMAI เป้นบริษัทที่ผลิตพลังงาน
เวลารวยไม่ใช่บังเอิญ ต้องเป็นการตั้งใจทำการบ้าน สวนกระแสคนอื่น
2.อีกบริษัท ผลิตวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากเมืองนอก
แต่ไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่นที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
ถ้าปรับปรุงได้ก็จะฟื้นตัวได้ PE แค่11 เท่า
3.อีกบริษัท ขายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ กำไรดี ปันผลดี
ที่คุณเทิดศักดิ์ พูด ก็คือต้องทำการบ้านก่อนการลงทุน
เราสามารถหาข้อมูลได้ ไม่ใช่แดนสนธยา
สุดท้าย ขอขอบ อ โจ ที่มาเล่าถึงวิธีการเลือกหุ้น แถมหุ้นที่ อ ชื่นชอบมาให้อีกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3280
คุณ ทิวา หรือ เซียนมี่ พูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นMAI ในงาน MoneyTalk@MAI
By Seminar knowledge page
คณมี่เล่าถึงการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งSET,MAI ว่าปีนี้การลงทุนผลตอบแทนดีขึ้น ตอนนี้ ลงทุนหุ้น 10กว่าตัว ต่างจากเมื่อก่อนลงน้อยตัว แค่2-3 ตัว
ลงหุ้นMAI ทั้ง2ตัวซึ่งบริษัททั้งสองมาร่วมงาน และ portมีกำไรแล้ว
ผมลงทุนไม่ได้ดูว่าอยู่SETหรือ MAI ดูที่ทรงน่าจะไปได้ สามารถแข่งขันได้ความสามารถของผู้บริหารที่ดี ผลประกอบการ เราฟังแล้วเราชอบ
และพึ่งมารู้ว่าทีหลังว่าอยู่ในSET,MAI
ผมชอบผู้บริหารที่เก่ง พูดและทำได้ เขามีความพยายามทำให้กิจการเติบโต
มีความโปร่งใส บางทีผู้บริหารที่เน้นปันผล พูดอะไรที่ทำได้ ทำอย่างไรให้เติบโตขึ้น
ชอบผู้บริหารที่หนุ่ม แต่บางทีผู้บริหารสูงวัยอาจมีไฟแรงกว่าคนหนุ่มก็ได้
ดูที่ผลงานที่ทำมากกว่า
อ เสน่ห์ ถามคุณมี่ว่า หุ้นในตลาดMAI ซื้อเมื่อไหร่
คุณมี่ตอบว่า พึ่งซื้อหุ้นสองตัวนี้ในMAIเมื่อต้นปี
ตัวนึง เพื่อนนักลงทุนมาเล่าให้ฟัง แต่ราคาสูง PEสูงไปหน่อย
แต่หลังจากนั้น มีการเพิ่มทุน ราคาลงมาเหลือ40% ก็เลยเข้าไปซื้อ
อีกตัวตามศึกษาธุรกิจมา รายได้ประกอบด้วย รายได้ที่เป็นrecurring income
ค่อยๆทยอยซื้อ ธุรกิจเติบโตได้ท่ามกลางสภาวการณ์ปัจจุบัน
บางบริษัท อาจมีการใช้งานมากขึ้น แต่รายได้ไม่ได้โตตาม
ถามคุณมี่ว่า การเลือกซื้อหุ้นดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณมี่เคยได้มากสุด สิบกว่าเด้ง แต่ลงในWarrant แต่หุ้นแม่ขึ้น5เด้ง
ช่วงแรกที่เข้ามาลงทุน ต่างจากตอนนี้
เมี่อก่อน PE 4-5 เท่าเรียกว่าหุ้นถูก ถ้าPE 10กว่าเท่า เรียกว่าหุ้นแพง
หลังจากนั้นมีการปรับPEขึ้น PE 10กว่าเท่า เป็นหุ้นถูก
หุ้นPE 30-50กว่าเท่าถือเป็นหุ้นแพง โอกาสได้สิบเด้งยาก
การเลือกหุ้นไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ แต่การถือหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ
ว่าจะถืออย่างไรให้ได้สิบเด้ง แต่ส่วนใหญ่จะขายก่อนอันควร
ทำให้ไม่ได้สิบเด้ง
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป มีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณมี่ ตอบว่า ถ้าสำหรับมือใหม่ หรือ ผู้ใหญ่อายุมากนิดนึง
แนะนำให้ถือหุ้นใหญ่
เราเคยอยู่ในธุรกิจอะไรที่คุ้นเคย ก็จะเข้าใจในธุรกิจนั้น
เข้าใจว่าดีกว่าคู่แข่งอย่างไร
อย่าซื้อตอนที่หุ้นนั้นทุกคนสนใจเยอะ
และอีกกรณี ถ้าเราซื้อหุ้นดี แต่มีการเชียร์หุ้น ราคาที่ซื้อคิดเป็น PE 50 เท่า
อาจทำให้ขาดทุน50% ก็ต้องหลีกเลี่ยง
อ ไพบูลย์ สอบถามหุ้นที่ชื่นชอบในตลาดMAI
คุณมี่ บอกว่าบริษัทที่ผมสนใจ3บริษัทมีซ้ำกับอ โจ คือ บริษัทที่หนึ่ง
บริษัทที่1.บริษัทที่ขายเครื่องมือทางการแพทย์ PEไม่แพง มีprojectตลอด
บริษัทที่2.หุ้นค้าปลีก PEค่อนข้างต่ำ ถ้าบริษัทคล้ายๆกันอยู่ในSET PEก็30 เท่า
หุ้นนี้ Forward PE 10 เท่านิดๆ ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ลูกค้าเป็นผู้หญิง
บริษัทที่3.บริษัทให้เช่าวงจรสื่อสาร บริษัทที่ให้เช่ากับ ศรีสวัสดิ์หรือMTC เพื่อใช้intranetภายใน เป็นวงจรที่เชื่อมต่อสาขาเข้าระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรับเหมาโครงข่ายด้วย
เติบโต30-40%ต่อปี ต่อเนื่องไปอีก3-4ปี แต่PEไม่ถูกมาก Forward PE ใกล้ๆ20เท่า
มองดูว่า Potentialมีการเติบโต
ถามว่า หุ้นIPO ต่อจากนี้ควรจองไหม
คุณมี่บอกว่า
ผมต้องคำนวณตามกระบวนปกติในการหาหุ้น เพื่อดูว่าหุ้นipoน่าจองไหม
บางตัว performanceดีหมด ดูน่าสนใจ
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณมี่ที่มาให้ความรู้เรื่องวิธีการคัดเลือกหุ้นลงทุน
และบอกถึงลักษณะหุ้นที่ชื่นชอบด้วยครับ
By Seminar knowledge page
คณมี่เล่าถึงการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งSET,MAI ว่าปีนี้การลงทุนผลตอบแทนดีขึ้น ตอนนี้ ลงทุนหุ้น 10กว่าตัว ต่างจากเมื่อก่อนลงน้อยตัว แค่2-3 ตัว
ลงหุ้นMAI ทั้ง2ตัวซึ่งบริษัททั้งสองมาร่วมงาน และ portมีกำไรแล้ว
ผมลงทุนไม่ได้ดูว่าอยู่SETหรือ MAI ดูที่ทรงน่าจะไปได้ สามารถแข่งขันได้ความสามารถของผู้บริหารที่ดี ผลประกอบการ เราฟังแล้วเราชอบ
และพึ่งมารู้ว่าทีหลังว่าอยู่ในSET,MAI
ผมชอบผู้บริหารที่เก่ง พูดและทำได้ เขามีความพยายามทำให้กิจการเติบโต
มีความโปร่งใส บางทีผู้บริหารที่เน้นปันผล พูดอะไรที่ทำได้ ทำอย่างไรให้เติบโตขึ้น
ชอบผู้บริหารที่หนุ่ม แต่บางทีผู้บริหารสูงวัยอาจมีไฟแรงกว่าคนหนุ่มก็ได้
ดูที่ผลงานที่ทำมากกว่า
อ เสน่ห์ ถามคุณมี่ว่า หุ้นในตลาดMAI ซื้อเมื่อไหร่
คุณมี่ตอบว่า พึ่งซื้อหุ้นสองตัวนี้ในMAIเมื่อต้นปี
ตัวนึง เพื่อนนักลงทุนมาเล่าให้ฟัง แต่ราคาสูง PEสูงไปหน่อย
แต่หลังจากนั้น มีการเพิ่มทุน ราคาลงมาเหลือ40% ก็เลยเข้าไปซื้อ
อีกตัวตามศึกษาธุรกิจมา รายได้ประกอบด้วย รายได้ที่เป็นrecurring income
ค่อยๆทยอยซื้อ ธุรกิจเติบโตได้ท่ามกลางสภาวการณ์ปัจจุบัน
บางบริษัท อาจมีการใช้งานมากขึ้น แต่รายได้ไม่ได้โตตาม
ถามคุณมี่ว่า การเลือกซื้อหุ้นดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณมี่เคยได้มากสุด สิบกว่าเด้ง แต่ลงในWarrant แต่หุ้นแม่ขึ้น5เด้ง
ช่วงแรกที่เข้ามาลงทุน ต่างจากตอนนี้
เมี่อก่อน PE 4-5 เท่าเรียกว่าหุ้นถูก ถ้าPE 10กว่าเท่า เรียกว่าหุ้นแพง
หลังจากนั้นมีการปรับPEขึ้น PE 10กว่าเท่า เป็นหุ้นถูก
หุ้นPE 30-50กว่าเท่าถือเป็นหุ้นแพง โอกาสได้สิบเด้งยาก
การเลือกหุ้นไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ แต่การถือหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ
ว่าจะถืออย่างไรให้ได้สิบเด้ง แต่ส่วนใหญ่จะขายก่อนอันควร
ทำให้ไม่ได้สิบเด้ง
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป มีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณมี่ ตอบว่า ถ้าสำหรับมือใหม่ หรือ ผู้ใหญ่อายุมากนิดนึง
แนะนำให้ถือหุ้นใหญ่
เราเคยอยู่ในธุรกิจอะไรที่คุ้นเคย ก็จะเข้าใจในธุรกิจนั้น
เข้าใจว่าดีกว่าคู่แข่งอย่างไร
อย่าซื้อตอนที่หุ้นนั้นทุกคนสนใจเยอะ
และอีกกรณี ถ้าเราซื้อหุ้นดี แต่มีการเชียร์หุ้น ราคาที่ซื้อคิดเป็น PE 50 เท่า
อาจทำให้ขาดทุน50% ก็ต้องหลีกเลี่ยง
อ ไพบูลย์ สอบถามหุ้นที่ชื่นชอบในตลาดMAI
คุณมี่ บอกว่าบริษัทที่ผมสนใจ3บริษัทมีซ้ำกับอ โจ คือ บริษัทที่หนึ่ง
บริษัทที่1.บริษัทที่ขายเครื่องมือทางการแพทย์ PEไม่แพง มีprojectตลอด
บริษัทที่2.หุ้นค้าปลีก PEค่อนข้างต่ำ ถ้าบริษัทคล้ายๆกันอยู่ในSET PEก็30 เท่า
หุ้นนี้ Forward PE 10 เท่านิดๆ ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ลูกค้าเป็นผู้หญิง
บริษัทที่3.บริษัทให้เช่าวงจรสื่อสาร บริษัทที่ให้เช่ากับ ศรีสวัสดิ์หรือMTC เพื่อใช้intranetภายใน เป็นวงจรที่เชื่อมต่อสาขาเข้าระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรับเหมาโครงข่ายด้วย
เติบโต30-40%ต่อปี ต่อเนื่องไปอีก3-4ปี แต่PEไม่ถูกมาก Forward PE ใกล้ๆ20เท่า
มองดูว่า Potentialมีการเติบโต
ถามว่า หุ้นIPO ต่อจากนี้ควรจองไหม
คุณมี่บอกว่า
ผมต้องคำนวณตามกระบวนปกติในการหาหุ้น เพื่อดูว่าหุ้นipoน่าจองไหม
บางตัว performanceดีหมด ดูน่าสนใจ
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณมี่ที่มาให้ความรู้เรื่องวิธีการคัดเลือกหุ้นลงทุน
และบอกถึงลักษณะหุ้นที่ชื่นชอบด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3281
เกษียณแล้วไปทำอะไรดี
เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้คุยกับคุณครูท่านนึงที่จะเกษียณในเดือนหน้านี้
ว่าเกษียณแล้วได้วางแผนทำอะไรบ้าง ครูท่านได้ตอบว่า
ช่วงแรกๆก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะจัดเก็บของสนบ้าน
แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่รู้ว่าทำอะไรดี
ทำให้ผมนึกถึงคอร์สอบรมหลายๆหลักสูตรที่ทางหน่วยงานราชการจัดขึ้นเรื่องการวางแผนการเกษียณ
ให้ทายสิว่า อายุของผู้ร่วมสัมมนาสักเท่าไหร่
1.25-35 ปี
2.36-55 ปี
3.56-59 ปี
4.60ปี
คำตอบก็คือ ข้อ 4 หรือ ข้อ 3 อายุประมาณ59ปี
ซึ่งจริงๆแล้ววัยที่เหมาะมาฟังคือช่วงอายุ 25-35ปี ซึ่งมีเงินเก็บบ้างแล้ว
เวลาก่อนเกษียณยังก็อีกนาน สามารถเรียนรู้การลงทุนได้
ถึงพลาดก็ยังมีเวลาแก้ตัวใหม่ได้เพราะยังมีรายได้จากงานประจำ
สำหรับคนที่ใกล้เกษียณ ถ้ามีเงินเก็บไม่มากเช่น 1แสนบาท ถ้ารวมกับเงินจาก กบข หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วก็ดูไม่มาก ถ้ามาฟังสัมมนาเรื่องวางแผนการเกษียณ
ก็อาจได้ประโยชน์ไม่มาก ยกเว้นว่ามีเงินเก็บมาก
เพราะปัจจัยที่จะทำให้เงินงอกเงยนั้น
ประกอบไปด้วย3ปัจจัย คือ เงินลงทุน เวลาที่สามารถลงทุนได้ และ ความรู้ด้านลงทุน
ซึ่งจะเห็นว่า ปัจจัยเรื่องเงินลงทุน และเวลา ค่อนข้างเหลือน้อย
วิธีการนำเงินไปลงทุนอาจจะไม่เหมาะแล้ว
เราต้องไปหาวิธีอื่นๆเพื่อให้สามารถอยู่ได้หลังเกษียณ
อย่างเช่น
1.การขอยืดอายุเกษียณออกไป ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับชีวิตครู
เพราะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ยังขาดอยู่จึงสามารถยื่นคำร้องได้
2.ทำงานในองค์กรที่รับคนที่เกษียณแล้ว แต่เงินเดือนก็ไม่มากนัก
3.ไปเป็นที่ปรึกษาในที่ต่างๆ ถ้าเรามีคุณวุฒิที่เหมาะสม
4.รับสอนพิเศษ ในวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ
5.ไปทำธุรกิจส่วนตัว มีความเสี่ยงสูง ต้องหาธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย
6.ทำอาชีพอิสระ เช่นถ่ายภาพ ไปขายในwebต่างๆ
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าคนที่เกษียณยังมีโอกาสเก็บเงินต่อได้
แต่ถ้ามีโอกาสวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะดีกว่านะครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้คุยกับคุณครูท่านนึงที่จะเกษียณในเดือนหน้านี้
ว่าเกษียณแล้วได้วางแผนทำอะไรบ้าง ครูท่านได้ตอบว่า
ช่วงแรกๆก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะจัดเก็บของสนบ้าน
แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่รู้ว่าทำอะไรดี
ทำให้ผมนึกถึงคอร์สอบรมหลายๆหลักสูตรที่ทางหน่วยงานราชการจัดขึ้นเรื่องการวางแผนการเกษียณ
ให้ทายสิว่า อายุของผู้ร่วมสัมมนาสักเท่าไหร่
1.25-35 ปี
2.36-55 ปี
3.56-59 ปี
4.60ปี
คำตอบก็คือ ข้อ 4 หรือ ข้อ 3 อายุประมาณ59ปี
ซึ่งจริงๆแล้ววัยที่เหมาะมาฟังคือช่วงอายุ 25-35ปี ซึ่งมีเงินเก็บบ้างแล้ว
เวลาก่อนเกษียณยังก็อีกนาน สามารถเรียนรู้การลงทุนได้
ถึงพลาดก็ยังมีเวลาแก้ตัวใหม่ได้เพราะยังมีรายได้จากงานประจำ
สำหรับคนที่ใกล้เกษียณ ถ้ามีเงินเก็บไม่มากเช่น 1แสนบาท ถ้ารวมกับเงินจาก กบข หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วก็ดูไม่มาก ถ้ามาฟังสัมมนาเรื่องวางแผนการเกษียณ
ก็อาจได้ประโยชน์ไม่มาก ยกเว้นว่ามีเงินเก็บมาก
เพราะปัจจัยที่จะทำให้เงินงอกเงยนั้น
ประกอบไปด้วย3ปัจจัย คือ เงินลงทุน เวลาที่สามารถลงทุนได้ และ ความรู้ด้านลงทุน
ซึ่งจะเห็นว่า ปัจจัยเรื่องเงินลงทุน และเวลา ค่อนข้างเหลือน้อย
วิธีการนำเงินไปลงทุนอาจจะไม่เหมาะแล้ว
เราต้องไปหาวิธีอื่นๆเพื่อให้สามารถอยู่ได้หลังเกษียณ
อย่างเช่น
1.การขอยืดอายุเกษียณออกไป ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับชีวิตครู
เพราะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ยังขาดอยู่จึงสามารถยื่นคำร้องได้
2.ทำงานในองค์กรที่รับคนที่เกษียณแล้ว แต่เงินเดือนก็ไม่มากนัก
3.ไปเป็นที่ปรึกษาในที่ต่างๆ ถ้าเรามีคุณวุฒิที่เหมาะสม
4.รับสอนพิเศษ ในวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ
5.ไปทำธุรกิจส่วนตัว มีความเสี่ยงสูง ต้องหาธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย
6.ทำอาชีพอิสระ เช่นถ่ายภาพ ไปขายในwebต่างๆ
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าคนที่เกษียณยังมีโอกาสเก็บเงินต่อได้
แต่ถ้ามีโอกาสวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะดีกว่านะครับ
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3282
ไปสัมนาของ โบรก z.com ร่วมกับคุณมด แมงเม่าคลับ (นักลงทุนสายquant เจ้าของเพจแมงเม่าคลับและsiamquant) มาพูดเรื่องเบื้องหลังของกลยุทธ์ นักลงทุนระดับโลก
1.2 ยกเว้นปีเตอร์ ลินซ์ไว้คน13ปีที่ลงทุน ไม่มีติดลบเลย (แต่13ปีนั้นตลาด S&P ก็เป็นบวกตลอด...เหมือนจะสื่อว่าตลาดก็เป็นใจด้วยส่วนนึง)
1.3 ผลตอบแทนทบต้นระดับตำนานเหล่านี้ เฉลี่ยในระยะยาวอยู่แถว15-30 กันทั้งนั้น
1.4 ปีเตอร์ ลินซ์ ช่วงแรกของการลงทุน ถือหุ้นเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งปีนะจ๊ะ แต่พอพอร์ตใหญ่มากขึ้นก็ซื้อขายน้อยลงไปเอง
2.1นักลงทุนระดับโลก มีปีที่ติดลบหนักๆ(Worst Year)ระดับ20-50% จากตารางจะเห็นว่าบัฟเฟตติดลบถึง50% ก็เลยมีประโยคคลาสสิกที่ว่า ถ้าลงทุนหุ้นแล้วทนเห็นราคาลบไป50%ไม่ได้ก็อย่าลงทุนเลย
2.1 ระยะเวลากว่าที่พอร์ตจะกลับไปบวก ทำจุดสูงสุดอีกครั้ง (Longest DD) ใช้เวลากันไม่ต่ำกว่า4-6ปี บัฟเฟต6ปี จอนเนฟ,มังเกอร์ 4ปี
3. สิ่งนึงที่เหมือนกันของนักลงทุนระดับโลกคือ เขาลงทุนนานมากเป็น10กว่าปีทั้งนั้น
4.1พอร์ตของนักลงทุนเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นลงตามตลาด (R Squared) พิสูจน์เรื่องตลาดมีประสิทธิภาพ ไม่เป็นจริงเสมอไป
4.2 ค่าความเสี่ยง,ความผันผวน (beta) เกือบทุกคนจะเสี่ยงต่ำ บางคนต่ำกว่า1ด้วยซ้ำ (beta=1 แปลว่าความเสี่ยงเท่ากับตลาด, น้อยกว่า1แปลว่าเสี่ยงน้อยกว่าตลาด, ถ้าเป็น1.2แปลว่าพอร์ตนี้ผันผวนกว่าตลาด20%)
5.1 ต่อให้เป็นการลงทุนที่มีอัตราได้กำไร มากกว่าขาดทุน (expectancy เป็นบวก) แต่ก็ต้องให้เวลาในการลงทุนนานมากพอ
5.2 จากในรูป expectancy=4บาท/การเทรด ก็ยังต้องใช้เวลาในการเทรดถึง300การเทรด เพื่อให้ผลตอบแทนของพอร์ตเป็นบวก (ไม่ได้บอกว่าให้เทรดบ่อย แต่ให้ความสำคัญกับวิธีการ และให้เวลากับมัน)
5.3 ในตลาดหุ้นทุกกลยุทธ์จะมีปีที่ดี ปีที่แย่ อย่าหาholy grail, ขนาดAll Weather Portfolio ของคุณray dalio ยังต้องกระจายassetเลย ไม่ได้อยู๋ในตลาดหุ้นอย่างเดียว เพราะรู้ว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะให้พอร์ตหุ้นเป็นบวกตลอดไปได้
6.1 มีหุ้นกระจายความเสี่ยงกี่ตัวดี บทวิจัยอันนึงบอกว่า สัก20-25 เป็นจุดเหมาะสม มากกว่านั้นก็ไม่ต่างแล้ว )
6.2 พวกเซียนหุ้นในไทยที่เล่นหุ้นน้อยตัว(อัดมาจิ้น) ต้องไปดูว่าตลาดตอนนั้นกี่ร้อยจุด และพวกเซียนทั้งหลายก็มีหุ้นขาดทุนหนักๆกันทั้งนั้น
6.3 คนตายไม่ได้พูด
7.1 22%ของหุ้นในSET มักราคาลงต่ำ25%ในปีๆนึง
7.2 จากการbacktest กลยุทธ์การลงทุนของตลาดไทย ที่ยังได้ผลดี ก็พวกแนวvalue, growth, momentum
7.3 ถ้าได้บันทึกการลงทุนในทุกๆการซื้อขายของเรา แล้วหมดปีมาดู ว่าผลงานเป็นยังไงบ้าง ก็น่าจะช่วยยกระดับการลงทุนของเราเพิ่มไปได้อีก
ref: https://www.siamquant.com/the-greatest- ... nce-study/
https://www.marketoracle.co.uk/Article12274.html
https://docs.google.com/presentation/d/ ... PcYMu2jJY/
1.1นักลงทุนระดับโลก มีปีที่ขาดทุนกันทั้งนั้น บัฟเฟตเองมีปีที่ติดลบตั้ง11ปี จาก53ปีที่ลงทุน(เก็บสถิติ)1.2 ยกเว้นปีเตอร์ ลินซ์ไว้คน13ปีที่ลงทุน ไม่มีติดลบเลย (แต่13ปีนั้นตลาด S&P ก็เป็นบวกตลอด...เหมือนจะสื่อว่าตลาดก็เป็นใจด้วยส่วนนึง)
1.3 ผลตอบแทนทบต้นระดับตำนานเหล่านี้ เฉลี่ยในระยะยาวอยู่แถว15-30 กันทั้งนั้น
1.4 ปีเตอร์ ลินซ์ ช่วงแรกของการลงทุน ถือหุ้นเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งปีนะจ๊ะ แต่พอพอร์ตใหญ่มากขึ้นก็ซื้อขายน้อยลงไปเอง
2.1นักลงทุนระดับโลก มีปีที่ติดลบหนักๆ(Worst Year)ระดับ20-50% จากตารางจะเห็นว่าบัฟเฟตติดลบถึง50% ก็เลยมีประโยคคลาสสิกที่ว่า ถ้าลงทุนหุ้นแล้วทนเห็นราคาลบไป50%ไม่ได้ก็อย่าลงทุนเลย
2.1 ระยะเวลากว่าที่พอร์ตจะกลับไปบวก ทำจุดสูงสุดอีกครั้ง (Longest DD) ใช้เวลากันไม่ต่ำกว่า4-6ปี บัฟเฟต6ปี จอนเนฟ,มังเกอร์ 4ปี
3. สิ่งนึงที่เหมือนกันของนักลงทุนระดับโลกคือ เขาลงทุนนานมากเป็น10กว่าปีทั้งนั้น
4.1พอร์ตของนักลงทุนเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นลงตามตลาด (R Squared) พิสูจน์เรื่องตลาดมีประสิทธิภาพ ไม่เป็นจริงเสมอไป
4.2 ค่าความเสี่ยง,ความผันผวน (beta) เกือบทุกคนจะเสี่ยงต่ำ บางคนต่ำกว่า1ด้วยซ้ำ (beta=1 แปลว่าความเสี่ยงเท่ากับตลาด, น้อยกว่า1แปลว่าเสี่ยงน้อยกว่าตลาด, ถ้าเป็น1.2แปลว่าพอร์ตนี้ผันผวนกว่าตลาด20%)
5.1 ต่อให้เป็นการลงทุนที่มีอัตราได้กำไร มากกว่าขาดทุน (expectancy เป็นบวก) แต่ก็ต้องให้เวลาในการลงทุนนานมากพอ
5.2 จากในรูป expectancy=4บาท/การเทรด ก็ยังต้องใช้เวลาในการเทรดถึง300การเทรด เพื่อให้ผลตอบแทนของพอร์ตเป็นบวก (ไม่ได้บอกว่าให้เทรดบ่อย แต่ให้ความสำคัญกับวิธีการ และให้เวลากับมัน)
5.3 ในตลาดหุ้นทุกกลยุทธ์จะมีปีที่ดี ปีที่แย่ อย่าหาholy grail, ขนาดAll Weather Portfolio ของคุณray dalio ยังต้องกระจายassetเลย ไม่ได้อยู๋ในตลาดหุ้นอย่างเดียว เพราะรู้ว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะให้พอร์ตหุ้นเป็นบวกตลอดไปได้
6.1 มีหุ้นกระจายความเสี่ยงกี่ตัวดี บทวิจัยอันนึงบอกว่า สัก20-25 เป็นจุดเหมาะสม มากกว่านั้นก็ไม่ต่างแล้ว )
6.2 พวกเซียนหุ้นในไทยที่เล่นหุ้นน้อยตัว(อัดมาจิ้น) ต้องไปดูว่าตลาดตอนนั้นกี่ร้อยจุด และพวกเซียนทั้งหลายก็มีหุ้นขาดทุนหนักๆกันทั้งนั้น
6.3 คนตายไม่ได้พูด
7.1 22%ของหุ้นในSET มักราคาลงต่ำ25%ในปีๆนึง
7.2 จากการbacktest กลยุทธ์การลงทุนของตลาดไทย ที่ยังได้ผลดี ก็พวกแนวvalue, growth, momentum
7.3 ถ้าได้บันทึกการลงทุนในทุกๆการซื้อขายของเรา แล้วหมดปีมาดู ว่าผลงานเป็นยังไงบ้าง ก็น่าจะช่วยยกระดับการลงทุนของเราเพิ่มไปได้อีก
ref: https://www.siamquant.com/the-greatest- ... nce-study/
https://www.marketoracle.co.uk/Article12274.html
https://docs.google.com/presentation/d/ ... PcYMu2jJY/
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3283
ขอบคุณคุณโรมสำหรับข้อมูลที่น่าสนใจครับ
จะเห็นว่าประเด็นนึงที่สำคัญคือ เราต้องยึดมั่นในหลักการไม่ว่าระหว่างทางจะเจออุปสรรค เจอ draw down ให้ความคิดไขว้เขว ในที่สุด ถ้าเราอดทนพอและผ่านไปได้ ผลตอบแทนที่ดีจะตามมาเอง
แต่ที่สำคัญที่สุด หลักการนั้นต้องตั้งอยู่บนเหตุและผล ผ่านการพิสูจน์มาแล้วด้วยนะครับ
ถ้าทิศทางถูก ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย
แต่ถ้าทิศทางผิด ยิ่งเดินจะยิ่งเข้ารกเข้าพงครับ
จะเห็นว่าประเด็นนึงที่สำคัญคือ เราต้องยึดมั่นในหลักการไม่ว่าระหว่างทางจะเจออุปสรรค เจอ draw down ให้ความคิดไขว้เขว ในที่สุด ถ้าเราอดทนพอและผ่านไปได้ ผลตอบแทนที่ดีจะตามมาเอง
แต่ที่สำคัญที่สุด หลักการนั้นต้องตั้งอยู่บนเหตุและผล ผ่านการพิสูจน์มาแล้วด้วยนะครับ
ถ้าทิศทางถูก ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย
แต่ถ้าทิศทางผิด ยิ่งเดินจะยิ่งเข้ารกเข้าพงครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3284
สุดยอด....
romee เขียน:ไปสัมนาของ โบรก z.com ร่วมกับคุณมด แมงเม่าคลับ (นักลงทุนสายquant เจ้าของเพจแมงเม่าคลับและsiamquant) มาพูดเรื่องเบื้องหลังของกลยุทธ์ นักลงทุนระดับโลก1.1นักลงทุนระดับโลก มีปีที่ขาดทุนกันทั้งนั้น บัฟเฟตเองมีปีที่ติดลบตั้ง11ปี จาก53ปีที่ลงทุน(เก็บสถิติ)
1.2 ยกเว้นปีเตอร์ ลินซ์ไว้คน13ปีที่ลงทุน ไม่มีติดลบเลย (แต่13ปีนั้นตลาด S&P ก็เป็นบวกตลอด...เหมือนจะสื่อว่าตลาดก็เป็นใจด้วยส่วนนึง)
1.3 ผลตอบแทนทบต้นระดับตำนานเหล่านี้ เฉลี่ยในระยะยาวอยู่แถว15-30 กันทั้งนั้น
1.4 ปีเตอร์ ลินซ์ ช่วงแรกของการลงทุน ถือหุ้นเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งปีนะจ๊ะ แต่พอพอร์ตใหญ่มากขึ้นก็ซื้อขายน้อยลงไปเอง
2.1นักลงทุนระดับโลก มีปีที่ติดลบหนักๆ(Worst Year)ระดับ20-50% จากตารางจะเห็นว่าบัฟเฟตติดลบถึง50% ก็เลยมีประโยคคลาสสิกที่ว่า ถ้าลงทุนหุ้นแล้วทนเห็นราคาลบไป50%ไม่ได้ก็อย่าลงทุนเลย
2.1 ระยะเวลากว่าที่พอร์ตจะกลับไปบวก ทำจุดสูงสุดอีกครั้ง (Longest DD) ใช้เวลากันไม่ต่ำกว่า4-6ปี บัฟเฟต6ปี จอนเนฟ,มังเกอร์ 4ปี
3. สิ่งนึงที่เหมือนกันของนักลงทุนระดับโลกคือ เขาลงทุนนานมากเป็น10กว่าปีทั้งนั้น
4.1พอร์ตของนักลงทุนเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นลงตามตลาด (R Squared) พิสูจน์เรื่องตลาดมีประสิทธิภาพ ไม่เป็นจริงเสมอไป
4.2 ค่าความเสี่ยง,ความผันผวน (beta) เกือบทุกคนจะเสี่ยงต่ำ บางคนต่ำกว่า1ด้วยซ้ำ (beta=1 แปลว่าความเสี่ยงเท่ากับตลาด, น้อยกว่า1แปลว่าเสี่ยงน้อยกว่าตลาด, ถ้าเป็น1.2แปลว่าพอร์ตนี้ผันผวนกว่าตลาด20%)
5.1 ต่อให้เป็นการลงทุนที่มีอัตราได้กำไร มากกว่าขาดทุน (expectancy เป็นบวก) แต่ก็ต้องให้เวลาในการลงทุนนานมากพอ
5.2 จากในรูป expectancy=4บาท/การเทรด ก็ยังต้องใช้เวลาในการเทรดถึง300การเทรด เพื่อให้ผลตอบแทนของพอร์ตเป็นบวก (ไม่ได้บอกว่าให้เทรดบ่อย แต่ให้ความสำคัญกับวิธีการ และให้เวลากับมัน)
5.3 ในตลาดหุ้นทุกกลยุทธ์จะมีปีที่ดี ปีที่แย่ อย่าหาholy grail, ขนาดAll Weather Portfolio ของคุณray dalio ยังต้องกระจายassetเลย ไม่ได้อยู๋ในตลาดหุ้นอย่างเดียว เพราะรู้ว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะให้พอร์ตหุ้นเป็นบวกตลอดไปได้
6.1 มีหุ้นกระจายความเสี่ยงกี่ตัวดี บทวิจัยอันนึงบอกว่า สัก20-25 เป็นจุดเหมาะสม มากกว่านั้นก็ไม่ต่างแล้ว )
6.2 พวกเซียนหุ้นในไทยที่เล่นหุ้นน้อยตัว(อัดมาจิ้น) ต้องไปดูว่าตลาดตอนนั้นกี่ร้อยจุด และพวกเซียนทั้งหลายก็มีหุ้นขาดทุนหนักๆกันทั้งนั้น
6.3 คนตายไม่ได้พูด
7.1 22%ของหุ้นในSET มักราคาลงต่ำ25%ในปีๆนึง
7.2 จากการbacktest กลยุทธ์การลงทุนของตลาดไทย ที่ยังได้ผลดี ก็พวกแนวvalue, growth, momentum
7.3 ถ้าได้บันทึกการลงทุนในทุกๆการซื้อขายของเรา แล้วหมดปีมาดู ว่าผลงานเป็นยังไงบ้าง ก็น่าจะช่วยยกระดับการลงทุนของเราเพิ่มไปได้อีก
ref: https://www.siamquant.com/the-greatest- ... nce-study/
https://www.marketoracle.co.uk/Article12274.html
https://docs.google.com/presentation/d/ ... PcYMu2jJY/
" Risk comes from not knowing what you’re doing " Warrent Buffett
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3286
IT กำลังจะโตจากธุรกิจมือถือ ???
หลังจากที่ไอทีซิตี้ ออกข่าวว่าจะเข้าซื้อ CSC
ก็มีคำถามว่า CSC ดีจริงไหม เพราะเห็นมีสาขาในห้างมากมาย หน้าร้านก็จัดดูน่าสนใจ
เรามาดูข้อมูลของบริษัท CSC กันครับ
CSC หรือ บริษัท คอมพิวเตอร์ ซีสเท็ม คอนเน็คชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย
คุณ พิชัย นีรนาถโกมล
รายชื่อผู้ถือหุ้นของ CSC ล่าสุด
1. บริษัท ไบร์ท แอนด์ โกรว์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัท 99.9999%
2. พิชัย นีรนาถโกมล สัดส่วน 0.0001%
3. คณภณ ปิยะลักษณางกูร สัดส่วน 0.0001%
เดิมขายสินค้า IT ร้านค้าเป็นตึกแถวตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี
แต่ช่วง 6 ปีที่แล้วหลัง IT ซบเซาก็หันไปทำธุรกิจ Tablet,มือถือ
จนตอนนี้มีสาขาทั้งหมด 143 สาขา โดยเป็น shop 120 สาขา และ Kiosk 23 สาขา
แยกประเภทของสาขา Brand shop 25 สาขา และเป็นร้าน CSC shop 118 สาขา
ธุรกิจหลัก คือ
1.โทรศัพท์มือถือ smartphone อุปกรณ์เสริม ถือเป็นรายได้หลัก ประมาณ 85-90%
2.อุปกรณ์ต่อพ่วง รายได้ประมาณ 2-3%
3.รายได้จากAir time ประมาณ 0.15%
4.รายได้จากAIS ประมาณ 7-9%
5.รายได้จากการสนับสนุนการขาย 1.5%
6.รายได้อื่นๆ 1.2%
ยอดขายของบริษัท CSC ประมาณ 3,000 ลบต่อปี
GP ของมือถือ ประมาณ 16-17%
ส่วน IT city มียอดขาย 5000 ลบ GP ประมาณ 12.7% ซึ่งน้อยกว่า CSC
ยอดขายมือถือแค่ 700 ลบ หลังจากรุกตลาดมือถือมา 4 ปี มีอำนาจต่อรองกับ Supplierน้อย
ต่างจาก CSC ที่ยอดขายมากจนดึงดูด supplierมือถือมาsupport การขาย
เหตุผลที่ IT city เข้าซื้อ
1. คลื่น 5G มาทำให้เกิด IOT และ มือถือจะขายดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะเข้า
มามากมาย ถือเป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปมีส่วนร่วม ถ้าได้ซื้อ CSC ทำให้ยอดขาย
กลายเป็น 3000+700 ลบ มีอำนาจต่อรองกับsupplierมากขึ้น
สาขา ก็เพิ่มจาก 300 สาขา เป็น 500 สาขา
2. เกิด Economy of scale มีอำนาจต่อรองกับ supplierมากขึ้น
3. กำไรรวมของบริษัท IT จะดีขึ้น เพราะ ธุรกิจมือถือ GPดีกว่า 4%
4. IT สามารถไปลดต้นทุนทางการเงินของ CSC ซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาด ที่มีภาระการเงิน 50 ลบ
ลดลงไป 20 ลบ ทำให้กำไรของCSC ดีขึ้น
5. มีการเติบโตทั้ง IT,CSC โดย ร้าน IT จะมีมุมมือถือ by CSC และ
ร้านมือถือ CSC จะมีมุม IT city ขายสินค้าIT เพิ่มยอดขายและกำไรให้กับIT
การเข้าซื้อ CSC 100% ในราคา 336.5 ลบ และ คุณพิชัยจะเข้าซื้อหุ้นPP ของ IT ในสัดส่วน 21.83%
มูลค่ากว่า 200 ลบ ดังนั้น IT ก็จ่ายเงินสดออกไป ประมาณ 136.5 ลบ ซึ่งเงินสดของ IT มีเพียงพอ
คุณพิชัย ถือเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง รองจาก SVOA
ในความเห็นส่วนตัว สำหรับเหตุผลว่าจะขายมือถือได้มากขึ้นจาก 5G กำลังจะมา
อาจจะเกิดขึ้นได้ยากในเวลาอันใกล้ เพราะจากข้อมูล ของ กสทช คุณ ฐากร ได้บอกไว้ว่า
5G จะเกิดจริง ต้องรอให้เครื่องมือถือพร้อม ซึ่งอาจจะอีก 2-3 ปี ซึ่งตอนนี้ operator ยังไม่สนใจ
จะลงทุน อาจจะไปโปรโมตให้ใช้ เป็น โซน เช่น EEC สำหรับ อุตสาหกรรมการผลิต ขนส่ง เป็นต้น
รวมถึงดึงดูด operator ผ่านการชำระหลังจากเริ่มมีรายได้จาก5Gแล้ว
ส่วนกำไรของบริษัทโดยรวม หลัง merge ก็มีข้อดีหลายอย่างเช่น
1. GP โดยรวมน่าจะดีขึ้น หลัง ธุรกิจมือถือ มีสัดส่วนมากขึ้น
2. อำนาจต่อรองกับsupplierมือถือดีขึ้น ทำให้เพิ่มPCของbrandมาช่วยโปรโมตร้านเพีมขึ้น
3. ต้นทุนทางการเงินของCSC ลดลง
สุดท้าย ผลการดำเนินงานในอนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าดีลนี้ ประสบความสำเร็จหรือไม่
หลังจากที่ไอทีซิตี้ ออกข่าวว่าจะเข้าซื้อ CSC
ก็มีคำถามว่า CSC ดีจริงไหม เพราะเห็นมีสาขาในห้างมากมาย หน้าร้านก็จัดดูน่าสนใจ
เรามาดูข้อมูลของบริษัท CSC กันครับ
CSC หรือ บริษัท คอมพิวเตอร์ ซีสเท็ม คอนเน็คชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย
คุณ พิชัย นีรนาถโกมล
รายชื่อผู้ถือหุ้นของ CSC ล่าสุด
1. บริษัท ไบร์ท แอนด์ โกรว์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัท 99.9999%
2. พิชัย นีรนาถโกมล สัดส่วน 0.0001%
3. คณภณ ปิยะลักษณางกูร สัดส่วน 0.0001%
เดิมขายสินค้า IT ร้านค้าเป็นตึกแถวตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี
แต่ช่วง 6 ปีที่แล้วหลัง IT ซบเซาก็หันไปทำธุรกิจ Tablet,มือถือ
จนตอนนี้มีสาขาทั้งหมด 143 สาขา โดยเป็น shop 120 สาขา และ Kiosk 23 สาขา
แยกประเภทของสาขา Brand shop 25 สาขา และเป็นร้าน CSC shop 118 สาขา
ธุรกิจหลัก คือ
1.โทรศัพท์มือถือ smartphone อุปกรณ์เสริม ถือเป็นรายได้หลัก ประมาณ 85-90%
2.อุปกรณ์ต่อพ่วง รายได้ประมาณ 2-3%
3.รายได้จากAir time ประมาณ 0.15%
4.รายได้จากAIS ประมาณ 7-9%
5.รายได้จากการสนับสนุนการขาย 1.5%
6.รายได้อื่นๆ 1.2%
ยอดขายของบริษัท CSC ประมาณ 3,000 ลบต่อปี
GP ของมือถือ ประมาณ 16-17%
ส่วน IT city มียอดขาย 5000 ลบ GP ประมาณ 12.7% ซึ่งน้อยกว่า CSC
ยอดขายมือถือแค่ 700 ลบ หลังจากรุกตลาดมือถือมา 4 ปี มีอำนาจต่อรองกับ Supplierน้อย
ต่างจาก CSC ที่ยอดขายมากจนดึงดูด supplierมือถือมาsupport การขาย
เหตุผลที่ IT city เข้าซื้อ
1. คลื่น 5G มาทำให้เกิด IOT และ มือถือจะขายดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะเข้า
มามากมาย ถือเป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปมีส่วนร่วม ถ้าได้ซื้อ CSC ทำให้ยอดขาย
กลายเป็น 3000+700 ลบ มีอำนาจต่อรองกับsupplierมากขึ้น
สาขา ก็เพิ่มจาก 300 สาขา เป็น 500 สาขา
2. เกิด Economy of scale มีอำนาจต่อรองกับ supplierมากขึ้น
3. กำไรรวมของบริษัท IT จะดีขึ้น เพราะ ธุรกิจมือถือ GPดีกว่า 4%
4. IT สามารถไปลดต้นทุนทางการเงินของ CSC ซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาด ที่มีภาระการเงิน 50 ลบ
ลดลงไป 20 ลบ ทำให้กำไรของCSC ดีขึ้น
5. มีการเติบโตทั้ง IT,CSC โดย ร้าน IT จะมีมุมมือถือ by CSC และ
ร้านมือถือ CSC จะมีมุม IT city ขายสินค้าIT เพิ่มยอดขายและกำไรให้กับIT
การเข้าซื้อ CSC 100% ในราคา 336.5 ลบ และ คุณพิชัยจะเข้าซื้อหุ้นPP ของ IT ในสัดส่วน 21.83%
มูลค่ากว่า 200 ลบ ดังนั้น IT ก็จ่ายเงินสดออกไป ประมาณ 136.5 ลบ ซึ่งเงินสดของ IT มีเพียงพอ
คุณพิชัย ถือเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง รองจาก SVOA
ในความเห็นส่วนตัว สำหรับเหตุผลว่าจะขายมือถือได้มากขึ้นจาก 5G กำลังจะมา
อาจจะเกิดขึ้นได้ยากในเวลาอันใกล้ เพราะจากข้อมูล ของ กสทช คุณ ฐากร ได้บอกไว้ว่า
5G จะเกิดจริง ต้องรอให้เครื่องมือถือพร้อม ซึ่งอาจจะอีก 2-3 ปี ซึ่งตอนนี้ operator ยังไม่สนใจ
จะลงทุน อาจจะไปโปรโมตให้ใช้ เป็น โซน เช่น EEC สำหรับ อุตสาหกรรมการผลิต ขนส่ง เป็นต้น
รวมถึงดึงดูด operator ผ่านการชำระหลังจากเริ่มมีรายได้จาก5Gแล้ว
ส่วนกำไรของบริษัทโดยรวม หลัง merge ก็มีข้อดีหลายอย่างเช่น
1. GP โดยรวมน่าจะดีขึ้น หลัง ธุรกิจมือถือ มีสัดส่วนมากขึ้น
2. อำนาจต่อรองกับsupplierมือถือดีขึ้น ทำให้เพิ่มPCของbrandมาช่วยโปรโมตร้านเพีมขึ้น
3. ต้นทุนทางการเงินของCSC ลดลง
สุดท้าย ผลการดำเนินงานในอนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าดีลนี้ ประสบความสำเร็จหรือไม่
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3287
ฝากคำคมตามภาพ “ความพ่ายแพ้ก็เปรียบเหมือนแสงสุดท้ายของชัยชนะ” (จริงๆ อยากเปลี่ยนคำว่า แสงสุดท้าย เป็น แสงนำทาง) จาก ซีรีย์จีนเรื่อง King’s Avatar มาเป็นกำลังใจสำหรับ นลท ในภาวะตลาดผันผวนมาก แทบจะรายวันเลยทีเดียว (ตามอารมณ์ของนายทรัมป์มาก 555) ไหนๆ ก็โพสแล้ว เอาสาระที่ได้มาจากซีรีย์เรื่องนี้ด้วย
.
ก่อนอื่น ขอเล่าเรื่องย่อก่อน ค่อยนำเสนอแนวคิดสาระที่ได้ตามครับ เริ่มเรื่องมา พระเอกเป็นผู้เล่น e-sport ของสโมสรชั้นนำในลีกของประเทศ โดยพระเอกเป็นผู้ปั้นตัวละครในเกมส์จากเริ่มต้นมาจนถึงระดับเทพในตำนานเลยทีเดียว แต่แล้ว เพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของสโมสรที่ร่วมก่อนตั้งกันมากับพระเอก ก็ไล่พระเอกออกไปซะงั้น ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ แล้วยึดตัวละครระดับเทพไว้ แล้วไปจ้างคนอื่นมาเสียบแทน เป็นผู้เล่นที่มาควบคุมตัวละครในเกมส์ที่เดิมทีปั้นมาโดยพระเอก แล้วพระเอกก็ต้องไปเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ตั้งแต่ 0 โดยต้องสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมาตั้งแต่ lvl 0 และต้องหาวัตถุดิบต่างๆ มาทำอาวุธประจำตัว รวมถึงการ up lvl และอาวุธไปให้ก้าวถึงระดับเทพ และยังต้องสร้างสโมสร และหาลูกทีมหน้าใหม่ ปั้นลูกทีม เพื่อเข้าสู่การแข่งขันในระดับลีกให้ได้ ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ รวมถึงการจัดขวางจากศัตรู(เพื่อนสนิทตัวแสบ) ส่วนทีมเดิมที่พระเอกเคยอยู่ ก็ตกชั้นจากลีก (คนมาใหม่ ไม่เทพพอ ถึงแม้ได้ตัวละครระดับเทพของพระเอกก็ตาม) จนทำให้ต้องมาแข่งขันชิงเก้าอี้ เพื่อหลับไปเล่นในลีกอีกครั้ง โดยนัดชิงชนะเลิศ ก็เป็นการประลองกันระหว่าง ทีมเดิมของพระเอก(ทีมของเพื่อนสนิทตัวแสบ) กับ พระเอก ที่เป็นทีมใหม่ พร้อมลูกทีมหน้าใหม่ในวงการ สุดท้าย ทีมของพระเอก ก็ชนะการแข่งขันได้ตั๋วเข้าไปแข่งขันในลีกได้สำเร็จจนได้
.
ข้อคิดที่ได้จากซีรี่ย์เรื่องนี้
1. ถึงแม้ว่า เราจะพ่ายแพ้จนต้องมาเริ่มต้นใหม่ ขอเพียงให้ใจเราไม่ยอมแพ้ กล้าที่จะเริ่มใหม่ สักวัน ย่อมไปถึงเป้าหมายได้ เหมือนเราอยู่ในวงการลงทุน ไม่ว่า จะแพ้เท่าไร ขอเพียงไม่ล้มเลิก ย่อมมีสักวันที่เป็นวันของเรา (อจ โจ ก็บอกอยู่เสมอในมีทติ้ง)
2. ผู้เล่น e-sport เปรียบเหมือน นลท และตัวละครในเกมส์ เปรียบเหมือน เงิน หากว่า เรามีเงินมากๆ แต่เราไม่มีความรู้ ไม่มีทักษะการลงทุน ก็ยากประสบความสำเร็จ (เหมือนทีมเก่าพระเอก ที่เอาคนใหม่มา แล้วใช้ตัวละครระดับเทพในเกมส์ แต่ก็ไม่สามารถดึงศักยภาพความเก่งของตัวละครออกมาได้) ในทางกลับกัน นลท ที่เก่ง ถึงแม้จะมีเงินไม่มาก แต่ด้วยความรู้ ความสามารถที่มีมาก ย่อมที่จะประสบความสำเร็จได้ (เหมือนพระเอกที่ต้องปั้นตัวละครใหม่ตั้งแต่เริ่มและทำอาวุธใหม่ จนกระทั่งตัวละครใหม่เก่งกาจ สามารถต่อกรกับตัวละครระดับเทพได้เลยทีเดียว)
3. การแข่งขันของผู้เล่นในซีรีย์ เล่นกันเป็นทีม ในมุมเดียวกัน การลงทุนก็ควรที่จะลงทุนเป็นทีม มีเพื่อนๆ ช่วยกัน ระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจการ ความให้กำลังใจกันยามตลาดตก ให้ความฮึกเหิมยามตลาดวิ่ง เป็นต้น ดังนั้น ลงทุน อย่าเล่นคนเดียว คิดคนเดียว ก็ควรไปมีทติ้งบ้าง คุยกันในเว็บบอร์ดบ้าง ย่อมดีกว่า คิดเอง เออเองคนเดียว
4. นักกีฬา e-sport น่าเป็นอาชีพใหม่ในยุคนี้และอนาคตได้ ดูจากข่าวล่าสุดที่มีการแข่งขัน Dota ในงาน The International 9 ที่ทีมชนะได้เงินรางวัลมากถึง 15 ล้านเหรียญ usd เลยทีเดียว
5. เวลาผิดพลาด อย่ามองเพียงความผิดคนอื่น ควรมองความผิดพลาดของตนเองด้วย ยอมรับและเข้าใจมัน พร้อมที่จะปรับแก้ไขให้ดีกว่าเดิม อย่าผิดซ้ำอีก (เหมือนตอนทีมพระเอกแพ้ เล่นพลาด ผู้เล่นในทีม ต่างเลือกตนเองว่า เป็นคนทำผิด ถ่วงให้ทีมแพ้)
6. ความเชื่อมั่น จงเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในความฝัน เชื่อมั่นในเป้าหมาย และทำไปเรื่อยๆ (just do it) โดยไม่มีข้อกังขา ข้อสงสัยใดๆ เหมือนตัวพระเอกที่เชื่อมั่นในทางของตนเองที่เลือกไว้และทำตามความฝันเพื่อให้เป็นจริง
.
จบครับ
.
ก่อนอื่น ขอเล่าเรื่องย่อก่อน ค่อยนำเสนอแนวคิดสาระที่ได้ตามครับ เริ่มเรื่องมา พระเอกเป็นผู้เล่น e-sport ของสโมสรชั้นนำในลีกของประเทศ โดยพระเอกเป็นผู้ปั้นตัวละครในเกมส์จากเริ่มต้นมาจนถึงระดับเทพในตำนานเลยทีเดียว แต่แล้ว เพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของสโมสรที่ร่วมก่อนตั้งกันมากับพระเอก ก็ไล่พระเอกออกไปซะงั้น ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ แล้วยึดตัวละครระดับเทพไว้ แล้วไปจ้างคนอื่นมาเสียบแทน เป็นผู้เล่นที่มาควบคุมตัวละครในเกมส์ที่เดิมทีปั้นมาโดยพระเอก แล้วพระเอกก็ต้องไปเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ตั้งแต่ 0 โดยต้องสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมาตั้งแต่ lvl 0 และต้องหาวัตถุดิบต่างๆ มาทำอาวุธประจำตัว รวมถึงการ up lvl และอาวุธไปให้ก้าวถึงระดับเทพ และยังต้องสร้างสโมสร และหาลูกทีมหน้าใหม่ ปั้นลูกทีม เพื่อเข้าสู่การแข่งขันในระดับลีกให้ได้ ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ รวมถึงการจัดขวางจากศัตรู(เพื่อนสนิทตัวแสบ) ส่วนทีมเดิมที่พระเอกเคยอยู่ ก็ตกชั้นจากลีก (คนมาใหม่ ไม่เทพพอ ถึงแม้ได้ตัวละครระดับเทพของพระเอกก็ตาม) จนทำให้ต้องมาแข่งขันชิงเก้าอี้ เพื่อหลับไปเล่นในลีกอีกครั้ง โดยนัดชิงชนะเลิศ ก็เป็นการประลองกันระหว่าง ทีมเดิมของพระเอก(ทีมของเพื่อนสนิทตัวแสบ) กับ พระเอก ที่เป็นทีมใหม่ พร้อมลูกทีมหน้าใหม่ในวงการ สุดท้าย ทีมของพระเอก ก็ชนะการแข่งขันได้ตั๋วเข้าไปแข่งขันในลีกได้สำเร็จจนได้
.
ข้อคิดที่ได้จากซีรี่ย์เรื่องนี้
1. ถึงแม้ว่า เราจะพ่ายแพ้จนต้องมาเริ่มต้นใหม่ ขอเพียงให้ใจเราไม่ยอมแพ้ กล้าที่จะเริ่มใหม่ สักวัน ย่อมไปถึงเป้าหมายได้ เหมือนเราอยู่ในวงการลงทุน ไม่ว่า จะแพ้เท่าไร ขอเพียงไม่ล้มเลิก ย่อมมีสักวันที่เป็นวันของเรา (อจ โจ ก็บอกอยู่เสมอในมีทติ้ง)
2. ผู้เล่น e-sport เปรียบเหมือน นลท และตัวละครในเกมส์ เปรียบเหมือน เงิน หากว่า เรามีเงินมากๆ แต่เราไม่มีความรู้ ไม่มีทักษะการลงทุน ก็ยากประสบความสำเร็จ (เหมือนทีมเก่าพระเอก ที่เอาคนใหม่มา แล้วใช้ตัวละครระดับเทพในเกมส์ แต่ก็ไม่สามารถดึงศักยภาพความเก่งของตัวละครออกมาได้) ในทางกลับกัน นลท ที่เก่ง ถึงแม้จะมีเงินไม่มาก แต่ด้วยความรู้ ความสามารถที่มีมาก ย่อมที่จะประสบความสำเร็จได้ (เหมือนพระเอกที่ต้องปั้นตัวละครใหม่ตั้งแต่เริ่มและทำอาวุธใหม่ จนกระทั่งตัวละครใหม่เก่งกาจ สามารถต่อกรกับตัวละครระดับเทพได้เลยทีเดียว)
3. การแข่งขันของผู้เล่นในซีรีย์ เล่นกันเป็นทีม ในมุมเดียวกัน การลงทุนก็ควรที่จะลงทุนเป็นทีม มีเพื่อนๆ ช่วยกัน ระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจการ ความให้กำลังใจกันยามตลาดตก ให้ความฮึกเหิมยามตลาดวิ่ง เป็นต้น ดังนั้น ลงทุน อย่าเล่นคนเดียว คิดคนเดียว ก็ควรไปมีทติ้งบ้าง คุยกันในเว็บบอร์ดบ้าง ย่อมดีกว่า คิดเอง เออเองคนเดียว
4. นักกีฬา e-sport น่าเป็นอาชีพใหม่ในยุคนี้และอนาคตได้ ดูจากข่าวล่าสุดที่มีการแข่งขัน Dota ในงาน The International 9 ที่ทีมชนะได้เงินรางวัลมากถึง 15 ล้านเหรียญ usd เลยทีเดียว
5. เวลาผิดพลาด อย่ามองเพียงความผิดคนอื่น ควรมองความผิดพลาดของตนเองด้วย ยอมรับและเข้าใจมัน พร้อมที่จะปรับแก้ไขให้ดีกว่าเดิม อย่าผิดซ้ำอีก (เหมือนตอนทีมพระเอกแพ้ เล่นพลาด ผู้เล่นในทีม ต่างเลือกตนเองว่า เป็นคนทำผิด ถ่วงให้ทีมแพ้)
6. ความเชื่อมั่น จงเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในความฝัน เชื่อมั่นในเป้าหมาย และทำไปเรื่อยๆ (just do it) โดยไม่มีข้อกังขา ข้อสงสัยใดๆ เหมือนตัวพระเอกที่เชื่อมั่นในทางของตนเองที่เลือกไว้และทำตามความฝันเพื่อให้เป็นจริง
.
จบครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3289
ต่อข้อคิดดีๆ ที่ได้จากซีรีย์เพิ่มผ่านตัวละครอื่นบ้าง
.
1. เสี่ยวถัง สาวที่ชื่นชอบการแข่งขันและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ ก่อนมาเป็นลูกทีมพระเอก ศึกษาด้านดนตรีมา(เปียโน) กลับมาจากเมืองนอกหาพี่สาว โดนพี่สาวขุดหลุมหลอกให้แข่งเล่นเกมส์กับพระเอก ถ้าชนะ พี่สาวจะยอมเชื่อทุกอย่าง ทั้งๆ ที่เสี่ยวถังเล่นเกมส์ glory ไม่เป็นเลย ก็มาขยันฝึกฝีมือ อ่านตำรา ดูคลิปเทพของพระเอก สุดท้ายพระเอกก็ถ่ายทอดวิชาให้ด้วย จนฝีมือทัดเทียมผู้เล่นมืออาชีพเลยทีเดียว ด้วยระยะเวลาไม่นาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- ถึงไม่มีความรู้ในเรื่องที่สนใจเลย ขอเพียงมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ฝึกฝน ย่อมทำได้แน่นอน เหมือน คนที่ลงทุนในหุ้น แต่ไม่รู้งบการเงินเลย อาจกลัวว่า บัญชีเป็นเรื่องยาก เชื่อเถอะ ถ้าตั้งใจ รับรอง รู้เรื่องงบการเงินได้แน่นอน
- เลือกอาจารย์ถูกคน เป็นทางลัดให้เรียนรู้และฝึกฝนได้ก้าวหน้าอย่างไวมาก การลงทุนก็เช่นกัน เลือกอาจารย์ถูกคน ย่อมมีโอกาสสำเร็จแน่ๆ
.
2. อี้ฟาน เดิมที อยู่สโมสรอื่น เป็นได้แค่เด็กรับใช้ แต่ใจชอบเกมส์ glory ฝีมือไม่เอาไหน กัปตันไม่ส่งเสริม แต่โชคชะตา ทำให้ได้พบพระเอกและได้รับการชี้แนะให้เปลี่ยนอาชีพตัวละครในเกมส์ให้มาสายอื่น เป็นอาชีพ นักดาบผี แทน เพราะพี่เอกมองเห็นว่า น่าเหมาะกับศักยภาพของคนนี้ สุดท้าย ก็พัฒนาฝีมือจนทัดเทียมผู้เล่นมืออาชีพได้เช่นกัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- เลือกแนวทางที่ถูกและเหมาะสมกับตนเอง ย่อมสำเร็จง่ายกว่าแนวทางอื่น เปรียบเทียบ นลท ที่ลงทุนแนว A ไม่สำเร็จ หากกล้าลองเปลี่ยนไปแนว B ก็อาจจะสำเร็จได้ ถ้าแนว B ไม่สำเร็จ ก็ไปแนว C จนกว่าเจอแนวที่ใช่
- เหมือนเสี่ยวถัง เลือกอาจารย์ถูกคน
.
3. เหล่าเว่ย เดิมเป็นอดีตกัปตันตกกระป๋อง อายุมากแล้ว แต่ยังชอบในเกมส์ glory เล่นเป็น นักเวทย์อาคม พระเอกก็ดึงตัวมาช่วย เพราะเห็นความสามารถ รวมถึงความอยากเล่นของเค้า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- อายุ ไม่ใช่ข้อจำกัด ขอเพียงมีความฝัน จงก้าวไป อย่าได้ท้อ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
.
4. อู่เฉิง แนวเดียวกับเหล่าเว่ย แต่เล่นอาชีพ ปืนใหญ่ หลังจากที่แข่งขันแพ้ ทีมแตก สโมสรยุบไป แต่ด้วยใจที่ยังรักในเกมส์ glory และได้รับโอกาสจากพระเอกเช่นกัน ก็เลยได้มาร่วมทีมสโมสรใหม่ของพระเอกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสานฝันในการคว้าแชมป์ในลีก grory เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- ถึงแม้จะล้มเหลวจากความฝัน/ความหวังที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ใช่ว่า ไร้หนทางกลับมาสานฝันใหม่ ขอเพียงมองหาโอกาสไป ย่อมมีโอกาสแน่นอน อย่ายอมแพ้ ตราบใดที่ยังไม่สุด
.
5. น้องสาวพระเอก (ตัวละครตัวโปรดของผมเลย) ซูฟู่เฉิง เป็นผู้เล่นมืออาชีพของสโมสรเดิมที่พระเอกเคยอยู่ เล่นอาชีพ ปืนใหญ่ และเป็นคนที่พระเอกปั้นมากับมือ เล่นเป็นทีมด้วยกันในสโมสรเดิม เข้าขาและรู้ใจกันเป็นอย่างดี ด้วยความเป็นมืออาชีพ รอบแข่งขันนัดชิงตั๋วเข้าลีก glory ก็ต้องมาแข่งกับทีมพระเอก (เจอทางเลือกที่ยาก คือ ถ้าเล่นแพ้ อาจโดนโจมตีว่า ยอมอ่อนข้อให้ทีมพระเอก แต่ถ้าเล่นชนะ ก็ลำบากใจ เพราะหลังแข่งจบ อายุสัญญากับทีมเดิมหมด ก็จะไปอยู่ทีมพระเอก) แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ก็เล่นตามสไตล์เดิม และชนะทีมพระเอก จนทำให้ทีมพระเอกตกที่นั่งลำบากในการพลิกเกมส์เลยทีเดียว เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- การทำอะไร ต้องมีความเป็นมืออาชีพมากๆ / นักลงทุนก็เช่นกัน ในยุคปัจจุบัน คนเก่งมากมาย ยิ่งต้องมีความเป็นมืออาชีพ ถึงจะอยู่ได้ในวงการเถื่อนของการลงทุน
.
ยาวเกินแล้ว พอแค่นี้ครับ ไม่งั้นมีอีกหลายคนเลยทีเดียว 5555
.
1. เสี่ยวถัง สาวที่ชื่นชอบการแข่งขันและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ ก่อนมาเป็นลูกทีมพระเอก ศึกษาด้านดนตรีมา(เปียโน) กลับมาจากเมืองนอกหาพี่สาว โดนพี่สาวขุดหลุมหลอกให้แข่งเล่นเกมส์กับพระเอก ถ้าชนะ พี่สาวจะยอมเชื่อทุกอย่าง ทั้งๆ ที่เสี่ยวถังเล่นเกมส์ glory ไม่เป็นเลย ก็มาขยันฝึกฝีมือ อ่านตำรา ดูคลิปเทพของพระเอก สุดท้ายพระเอกก็ถ่ายทอดวิชาให้ด้วย จนฝีมือทัดเทียมผู้เล่นมืออาชีพเลยทีเดียว ด้วยระยะเวลาไม่นาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- ถึงไม่มีความรู้ในเรื่องที่สนใจเลย ขอเพียงมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ฝึกฝน ย่อมทำได้แน่นอน เหมือน คนที่ลงทุนในหุ้น แต่ไม่รู้งบการเงินเลย อาจกลัวว่า บัญชีเป็นเรื่องยาก เชื่อเถอะ ถ้าตั้งใจ รับรอง รู้เรื่องงบการเงินได้แน่นอน
- เลือกอาจารย์ถูกคน เป็นทางลัดให้เรียนรู้และฝึกฝนได้ก้าวหน้าอย่างไวมาก การลงทุนก็เช่นกัน เลือกอาจารย์ถูกคน ย่อมมีโอกาสสำเร็จแน่ๆ
.
2. อี้ฟาน เดิมที อยู่สโมสรอื่น เป็นได้แค่เด็กรับใช้ แต่ใจชอบเกมส์ glory ฝีมือไม่เอาไหน กัปตันไม่ส่งเสริม แต่โชคชะตา ทำให้ได้พบพระเอกและได้รับการชี้แนะให้เปลี่ยนอาชีพตัวละครในเกมส์ให้มาสายอื่น เป็นอาชีพ นักดาบผี แทน เพราะพี่เอกมองเห็นว่า น่าเหมาะกับศักยภาพของคนนี้ สุดท้าย ก็พัฒนาฝีมือจนทัดเทียมผู้เล่นมืออาชีพได้เช่นกัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- เลือกแนวทางที่ถูกและเหมาะสมกับตนเอง ย่อมสำเร็จง่ายกว่าแนวทางอื่น เปรียบเทียบ นลท ที่ลงทุนแนว A ไม่สำเร็จ หากกล้าลองเปลี่ยนไปแนว B ก็อาจจะสำเร็จได้ ถ้าแนว B ไม่สำเร็จ ก็ไปแนว C จนกว่าเจอแนวที่ใช่
- เหมือนเสี่ยวถัง เลือกอาจารย์ถูกคน
.
3. เหล่าเว่ย เดิมเป็นอดีตกัปตันตกกระป๋อง อายุมากแล้ว แต่ยังชอบในเกมส์ glory เล่นเป็น นักเวทย์อาคม พระเอกก็ดึงตัวมาช่วย เพราะเห็นความสามารถ รวมถึงความอยากเล่นของเค้า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- อายุ ไม่ใช่ข้อจำกัด ขอเพียงมีความฝัน จงก้าวไป อย่าได้ท้อ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
.
4. อู่เฉิง แนวเดียวกับเหล่าเว่ย แต่เล่นอาชีพ ปืนใหญ่ หลังจากที่แข่งขันแพ้ ทีมแตก สโมสรยุบไป แต่ด้วยใจที่ยังรักในเกมส์ glory และได้รับโอกาสจากพระเอกเช่นกัน ก็เลยได้มาร่วมทีมสโมสรใหม่ของพระเอกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสานฝันในการคว้าแชมป์ในลีก grory เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- ถึงแม้จะล้มเหลวจากความฝัน/ความหวังที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ใช่ว่า ไร้หนทางกลับมาสานฝันใหม่ ขอเพียงมองหาโอกาสไป ย่อมมีโอกาสแน่นอน อย่ายอมแพ้ ตราบใดที่ยังไม่สุด
.
5. น้องสาวพระเอก (ตัวละครตัวโปรดของผมเลย) ซูฟู่เฉิง เป็นผู้เล่นมืออาชีพของสโมสรเดิมที่พระเอกเคยอยู่ เล่นอาชีพ ปืนใหญ่ และเป็นคนที่พระเอกปั้นมากับมือ เล่นเป็นทีมด้วยกันในสโมสรเดิม เข้าขาและรู้ใจกันเป็นอย่างดี ด้วยความเป็นมืออาชีพ รอบแข่งขันนัดชิงตั๋วเข้าลีก glory ก็ต้องมาแข่งกับทีมพระเอก (เจอทางเลือกที่ยาก คือ ถ้าเล่นแพ้ อาจโดนโจมตีว่า ยอมอ่อนข้อให้ทีมพระเอก แต่ถ้าเล่นชนะ ก็ลำบากใจ เพราะหลังแข่งจบ อายุสัญญากับทีมเดิมหมด ก็จะไปอยู่ทีมพระเอก) แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ก็เล่นตามสไตล์เดิม และชนะทีมพระเอก จนทำให้ทีมพระเอกตกที่นั่งลำบากในการพลิกเกมส์เลยทีเดียว เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- การทำอะไร ต้องมีความเป็นมืออาชีพมากๆ / นักลงทุนก็เช่นกัน ในยุคปัจจุบัน คนเก่งมากมาย ยิ่งต้องมีความเป็นมืออาชีพ ถึงจะอยู่ได้ในวงการเถื่อนของการลงทุน
.
ยาวเกินแล้ว พอแค่นี้ครับ ไม่งั้นมีอีกหลายคนเลยทีเดียว 5555
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3293
ดูทางแอพนี้ เพิ่มความเร็วในการเล่นได้ไหมครับ
ไม่อยากลงแอฟ เพราะmem ไม่เยอะ เคยดูที่นิชคุณ เล่นตอนแรกทาง Youtube แต่เขาลงไม่หมด
เลยดูผ่านเว็บแทน แต่เร่งความเร็วไม่ได้ ทำให้ต้องกดข้ามเอง บางครั้งดูไม่รู้เรื่องต้องย้อนกลับมาดูใหม่
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3294
ไม่ได้ครับ แต่คิดว่า คุณอาจไม่อย่กข้าม เพราะมันก็สนุกทุกตอนเลย
เสียดายที่ซีรี่ย์มีแค่ภาค 1 มันจบแบบให้อยากดูภาค 2 ที่จะฉายปี 2020 ครับ ผมเลยไปซื้อหนังสือนิยายมาอ่านต่อแทน ก็สนุกดีครับ
หนังสือนิยาย เล่ม 1-18 เป็น ซีรีย์ภาค 1 ส่วน เล่ม 19 จนจบ (น่าจะ 30 กว่าเล่ม) เป็นภาค 2 ครับ // นิยายที่เป็นไทย แปลออกวางจำหน่ายถึงเล่ม 27 ครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3295
ขออภัย ที่บอกนิยาย คนละเรื่องนะครับ 555 มึนไปหน่อยAnieLee เขียน: ↑พฤหัสฯ. ก.ย. 05, 2019 1:58 pmไม่ได้ครับ แต่คิดว่า คุณอาจไม่อย่กข้าม เพราะมันก็สนุกทุกตอนเลย
เสียดายที่ซีรี่ย์มีแค่ภาค 1 มันจบแบบให้อยากดูภาค 2 ที่จะฉายปี 2020 ครับ ผมเลยไปซื้อหนังสือนิยายมาอ่านต่อแทน ก็สนุกดีครับ
หนังสือนิยาย เล่ม 1-18 เป็น ซีรีย์ภาค 1 ส่วน เล่ม 19 จนจบ (น่าจะ 30 กว่าเล่ม) เป็นภาค 2 ครับ // นิยายที่เป็นไทย แปลออกวางจำหน่ายถึงเล่ม 27 ครับ
นิยายก็มีนะ glory น่าจะ 31 เล่มครับ แล้วที่บอกภาค 2 ปี 2020 ก็ไม่ใช่ glory จำผิดเรื่องเช่นกัน 555 ข่วงนี้ ดูซีรีย์ อ่านนิยายเยอะ เพราะกลัวมือลั่น ทำของหลุดครับ หุ้นตัวไหนดีๆ ก็รอๆ ไป 55555
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3296
ไหนๆ ก็เอ่ยอีกเรื่องไปแล้ว เรื่องที่เอ่ยไป คือ เรื่อง สยบฟ้าพิชิตปฐพี ครับ บนแอพ WeTV มีพากย์ไทยด้วยครับ ดูฟรี / บน Youtube ก็มี แต่บางตอน ยน Youtube อาจหายไปครับ เรื่องนี้ ภาค 2 กำลังถ่ายทำ ฉายปี 2020 ผมก็เลยอ่านนิยายเป็นเล่มต่อเลยครับ อ่านถึงเล่ม 26 แล้วครับ ไว้ว่างๆ จะสรุปข้อคิดดีๆจากเรื่องนี้ครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3298
ประชุมวิสามัญ บริษัท โรบินสัน หรือ Robin
05/09/2019 13:30 ที่ รร ดิเอ็มเมอรัล
วันนี้สังเกตดู มีนักลงทุนที่สนใจเยอะ
ที่นั่งด้านหน้ามีคนที่ถามเก่งๆหลายท่านเลย
ครั้งแรกว่าจะนั่งหลังๆแต่ไม่มีโต๊ะให้จด เลยต้องมานั่งด้านหน้า
ได้เห็นผู้บริหารชัดเจนเลย
ช่วงเปิดการประชุมมีผู้ร่วมประชุม 1438ราย
มาด้วยตนเอง 112ราย คิดเป็นจำนวนหุ้น 85.7857%
วาระ 1
รับรองรายงานการประชุมผระจำปี 2562 เมื่อ 25/04/2019
วาระ 2
อนุมัติเพิกถอนหุ้น robins เพื่อให้ crc เข้าจดทะเบียนแทน
คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
ได้พูดถึงภาพรวมธุรกิจ
ที่มาของรายการ
วันที่26July ทางcrcได้แจ้งเรื่องการปรับโครงสร้างของcentral retail
โดยนำธุรกิจค้าปลีกทั้งหมดรวมเวียดนาม อิตาลีเข้ามาเป็นบริษัทเดียวเข้าจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อให้เป็นผู้นำค้าปลีกใหญ่สุดในไทย
โดยมีหลายformat การipoครั้งนี้ ทำพร้อมกับการswapหุ้นrobinเป็นcrcด้วย
วัตถุประสงค์ของรายการนี้มีอยู่5ข้อ ดังภาพที่แนบมา
หลักทรัพย์ที่เสนอซื้อจากทางrobin 46.17%ในราคา 66.50บาท
ในรูปแบบswap options
หลังจากประชุมคราวนี้เเละอนุมัติ จะส่งให้ก.ล.ต.พิจารณา 165วัน
หลังอนุมัติจากกลต ก็ใช้เวลาอีก25-45วันเปิดคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
รวมแล้วประมาณ5-7เดือนกว่าจะทำการswapหุ้นเรียบร้อย
กลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลในประเทศ เวียดนาม อิตาลี
+ robinson มี 49สาขาในไทยและ 1สาขาที่เวียดนาม
มีศูนย์การค้าแบบLifestyle 22สาขา
ภาพรวมของกลุ่มCFC
+ crc รายได้ปี61 รวม 2.06แสนล้าน เติบโตในช่วงปี59-61= 8.1%
ประกอบด้วย3กลุ่ม
1.ธุรกิจแฟชั่น เช่น ห้างเซ็นทรัล supersport Robinson Rinascente 74,773ล้าน 36%
2.กลุ่มฮาร์ทไลน์ เช่น power buy,ไทยวัสดุ ,เหงียนคิม 42,921 ล้านบาท 21%
3.+ Food top, bigc viatnam ,family mart,central food hall 88,384ล้าน 43%
ข้อดีของ crc คือมีหลายธุรกิจ รวมทุกsegment luxury ก่อสร้าง อาหารและมีธุรกิจที่เวียดนามและอิตาลี มีแบรนด์กว่า 30 แบรนด์
ความเห็นของที่ปรึกษาอิสระ ต่อราคาที่เสนอซื้อ 66.5บ มากกว่า ที่คำนวณจากวิธี ราคาตลาด และdcf เห็นว่าเหมาะสม
วิธีmarket priceเหมาะสมเพราะหุ้นมีสภาพคล่องเพียงพอ
ส่วนวิธี dcfก็เหมาะสมเพราะคำนึงการเติบโตในอนาคตด้วย
ส่วนวิธีอื่นเช่นPE,PB,PB adjustไม่เหมาะสม รายละเอียดตามslide
ค่าใช้จ่ายของที่ปรึกษาอิสระ ทางrobinเป็นคนจ่าย
นอกจากความเห็นของที่ปรึกษาอิสระที่บริษัทจ้างมา ยังมีความเห็นของ
กรรมการอิสระ คุณสมชัย เห็นด้วยใน3ข้อคือ
การเพิกถอนมีความเหมาะสม ราคาswapยุติธรรม ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
ส่วนกรรมการของบริษัท ได้ดูผลกระทบจากแผนการปรับโครงสร้าง
ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ความเสี่ยงที่มีต่อผู้ถือหุ้น เห็นด้วย
คำถาม
Q:กรณีที่การแลกหุ้นlateกว่าปันผล จะมีผลการปันไหม
A:ถ้ามีการปันผล ราคาจะลดจากราคาที่ tender
Q:ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ไปทำรายการswapหุ้นจะเป็นอย่างไร
A:จะเป็นการถือหุ้น robins แล้วออกจากตลาดไป และได้รับปันผลจากrobinด้วย
Q: กำไรของ crc จะเติบโตหรือไม่
A: การเติบโตดีกว่า retailเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
Omnichannel ใช้เงินมาก การรวมกันน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
05/09/2019 13:30 ที่ รร ดิเอ็มเมอรัล
วันนี้สังเกตดู มีนักลงทุนที่สนใจเยอะ
ที่นั่งด้านหน้ามีคนที่ถามเก่งๆหลายท่านเลย
ครั้งแรกว่าจะนั่งหลังๆแต่ไม่มีโต๊ะให้จด เลยต้องมานั่งด้านหน้า
ได้เห็นผู้บริหารชัดเจนเลย
ช่วงเปิดการประชุมมีผู้ร่วมประชุม 1438ราย
มาด้วยตนเอง 112ราย คิดเป็นจำนวนหุ้น 85.7857%
วาระ 1
รับรองรายงานการประชุมผระจำปี 2562 เมื่อ 25/04/2019
วาระ 2
อนุมัติเพิกถอนหุ้น robins เพื่อให้ crc เข้าจดทะเบียนแทน
คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
ได้พูดถึงภาพรวมธุรกิจ
ที่มาของรายการ
วันที่26July ทางcrcได้แจ้งเรื่องการปรับโครงสร้างของcentral retail
โดยนำธุรกิจค้าปลีกทั้งหมดรวมเวียดนาม อิตาลีเข้ามาเป็นบริษัทเดียวเข้าจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อให้เป็นผู้นำค้าปลีกใหญ่สุดในไทย
โดยมีหลายformat การipoครั้งนี้ ทำพร้อมกับการswapหุ้นrobinเป็นcrcด้วย
วัตถุประสงค์ของรายการนี้มีอยู่5ข้อ ดังภาพที่แนบมา
หลักทรัพย์ที่เสนอซื้อจากทางrobin 46.17%ในราคา 66.50บาท
ในรูปแบบswap options
หลังจากประชุมคราวนี้เเละอนุมัติ จะส่งให้ก.ล.ต.พิจารณา 165วัน
หลังอนุมัติจากกลต ก็ใช้เวลาอีก25-45วันเปิดคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
รวมแล้วประมาณ5-7เดือนกว่าจะทำการswapหุ้นเรียบร้อย
กลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลในประเทศ เวียดนาม อิตาลี
+ robinson มี 49สาขาในไทยและ 1สาขาที่เวียดนาม
มีศูนย์การค้าแบบLifestyle 22สาขา
ภาพรวมของกลุ่มCFC
+ crc รายได้ปี61 รวม 2.06แสนล้าน เติบโตในช่วงปี59-61= 8.1%
ประกอบด้วย3กลุ่ม
1.ธุรกิจแฟชั่น เช่น ห้างเซ็นทรัล supersport Robinson Rinascente 74,773ล้าน 36%
2.กลุ่มฮาร์ทไลน์ เช่น power buy,ไทยวัสดุ ,เหงียนคิม 42,921 ล้านบาท 21%
3.+ Food top, bigc viatnam ,family mart,central food hall 88,384ล้าน 43%
ข้อดีของ crc คือมีหลายธุรกิจ รวมทุกsegment luxury ก่อสร้าง อาหารและมีธุรกิจที่เวียดนามและอิตาลี มีแบรนด์กว่า 30 แบรนด์
ความเห็นของที่ปรึกษาอิสระ ต่อราคาที่เสนอซื้อ 66.5บ มากกว่า ที่คำนวณจากวิธี ราคาตลาด และdcf เห็นว่าเหมาะสม
วิธีmarket priceเหมาะสมเพราะหุ้นมีสภาพคล่องเพียงพอ
ส่วนวิธี dcfก็เหมาะสมเพราะคำนึงการเติบโตในอนาคตด้วย
ส่วนวิธีอื่นเช่นPE,PB,PB adjustไม่เหมาะสม รายละเอียดตามslide
ค่าใช้จ่ายของที่ปรึกษาอิสระ ทางrobinเป็นคนจ่าย
นอกจากความเห็นของที่ปรึกษาอิสระที่บริษัทจ้างมา ยังมีความเห็นของ
กรรมการอิสระ คุณสมชัย เห็นด้วยใน3ข้อคือ
การเพิกถอนมีความเหมาะสม ราคาswapยุติธรรม ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
ส่วนกรรมการของบริษัท ได้ดูผลกระทบจากแผนการปรับโครงสร้าง
ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ความเสี่ยงที่มีต่อผู้ถือหุ้น เห็นด้วย
คำถาม
Q:กรณีที่การแลกหุ้นlateกว่าปันผล จะมีผลการปันไหม
A:ถ้ามีการปันผล ราคาจะลดจากราคาที่ tender
Q:ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ไปทำรายการswapหุ้นจะเป็นอย่างไร
A:จะเป็นการถือหุ้น robins แล้วออกจากตลาดไป และได้รับปันผลจากrobinด้วย
Q: กำไรของ crc จะเติบโตหรือไม่
A: การเติบโตดีกว่า retailเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
Omnichannel ใช้เงินมาก การรวมกันน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3299
Central village ที่เป็นกระแสตอนนี้ ก็อยู่ใน CRC ใช่ไหมครับamornkowa เขียน: ↑ศุกร์ ก.ย. 06, 2019 8:35 amประชุมวิสามัญ บริษัท โรบินสัน หรือ Robin
+ crc รายได้ปี61 รวม 2.06แสนล้าน เติบโตในช่วงปี59-61= 8.1%
ประกอบด้วย3กลุ่ม
1.ธุรกิจแฟชั่น เช่น ห้างเซ็นทรัล supersport Robinson Rinascente 74,773ล้าน 36%
2.กลุ่มฮาร์ทไลน์ เช่น power buy,ไทยวัสดุ ,เหงียนคิม 42,921 ล้านบาท 21%
3.+ Food top, bigc viatnam ,family mart,central food hall 88,384ล้าน 43%
ข้อดีของ crc คือมีหลายธุรกิจ รวมทุกsegment luxury ก่อสร้าง อาหารและมีธุรกิจที่เวียดนามและอิตาลี มีแบรนด์กว่า 30 แบรนด์
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3300
คุณ AnieLee
ดูจบแล้วครับ สนุกมากจนไม่ได้นอนเลยหนึ่งคืน 555 และได้แนวคิดอย่างที่คุณ AnieLee บอก
ผมดูผ่านแอฟ แต่สามารถเร่ง speed ได้ แต่ต้องดูเต็มหน้าจอ แบบแนวนอน จะมีเมนู speed ให้เห็น
เมื่อปรับแล้ว ก็สามารถมาดูแบบแนวตั้งได้ โดยที่ speed จะไม่เปลี่ยนไปจากที่เราตั้งไว้
วันนี้สงสัยเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เลยเข้าไปหาในพันทิพย์ เลยเจอความคิดเห็นเด็ดๆ มา แล้วมามองย้อนกลับ
ว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นแบบเขาได้
ส่วนใหญ่ จะเจอจากทางตะวันตกมากกว่า เช่น Moneyball , Begin again ...
ดูจบแล้วครับ สนุกมากจนไม่ได้นอนเลยหนึ่งคืน 555 และได้แนวคิดอย่างที่คุณ AnieLee บอก
ผมดูผ่านแอฟ แต่สามารถเร่ง speed ได้ แต่ต้องดูเต็มหน้าจอ แบบแนวนอน จะมีเมนู speed ให้เห็น
เมื่อปรับแล้ว ก็สามารถมาดูแบบแนวตั้งได้ โดยที่ speed จะไม่เปลี่ยนไปจากที่เราตั้งไว้
วันนี้สงสัยเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เลยเข้าไปหาในพันทิพย์ เลยเจอความคิดเห็นเด็ดๆ มา แล้วมามองย้อนกลับ
ว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นแบบเขาได้
ขอบคุณที่แนะนำซีรี่ส์ดีๆ ให้ครับ ไม่คิดว่าจะเจอจากทางฝั่งตะวันออกระยะหลัง ๆ จีนทำละครแนวไม่มีนางเอก หรือมีแต่ก็ไม่เลิฟจ๋ามาก แต่เนื้อเรื่องเป็นพี่น้อง มิตรสหาย ที่มีความรัก ความผูกพัน ความสามัคคี เป็นกลุ่มก้อนที่ร่วมมือร่วมใจกันฟันฝ่าอุปสรรค เหตุการณ์หรืออะไรสักอย่างบ่อยมาก เหมือนจีนกำลังหล่อหลอมเยาวชนหรือกลุ่มคนดูให้มีวิถีชีวิตหรือแนวคิดแบบที่กล่าวมา ซึ่ง the king's avatar นี่เห็นชัดเลย ผู้ชายโขยงนึงอยู่บ้านกับผู้หญิง 2 คน แต่ไม่มีเรื่องชู้สาวเลย ซึ่งรู้สึกดี // เหมือนเมื่อหลายปีที่ผ่านมาเกาหลีก็ไม่ทำละครแนวข่มขืน นิยมให้รักนวลสงวนตัว และส่งเสริมละครให้ผู้ชายให้เกียรติผู้หญิง (ตรงข้ามกับพฤติกรรมชายเกาหลี) เพื่อส่งต่อคนรุ่นใหม่ให้เอาเป็นแบบอย่างที่ดี // พอเสพเนื้อเรื่องจบ ก็เสพอย่างอื่นต่อเป็นอรรถรสในละคร
ส่วนใหญ่ จะเจอจากทางตะวันตกมากกว่า เช่น Moneyball , Begin again ...
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "