VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3181
สัมมนา “วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม” 16 กันยายน 2561
Funds talk: หุ้นเวียดนามผันผวนวิกฤตหรือโอกาส?
พร้อมเจาะลึกกองทุนไทยที่ลงทุนหุ้นเวียดนาม
วิทยากร
1. คุณ วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัยพ์จัดการกองทุน CIMB-Principle ซึ่งได้เปิดกองทุนหุ้นเวียดนามไปเมื่อตค 60 คือ CIMB-VNEQ-A
2. คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป จำกัด ซึ่งบริหารกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในหุ้นเวียดนาม ( Vietnam private fund )
3. คุณ ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ หรือ คุณเผ่า ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด มี Jitta wealthที่ช่วยเลือกหุ้นเวียดนามลงทุน
4. คุณ กมลยศ สุขุมสุวรรณ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ แอสเซทพลัส ซึ่งเปิดกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นเวียดนาม คือ ASP-VIET เมื่อ มกราคม 2561
พิธีกร : คุณ จิตติมา ทวาเรศ
เริ่มสัมมนา โดยคุณวิน ซึ่งแนะนำการลงทุน 3 อย่างคือ ทองคำ, หุ้นจีน และหุ้นเวียดนาม
ทำไมถึงมองว่าหุ้นเวียดนามจะดี เปรียบเทียบ Story ของประเทศไทยกับเวียดนาม เศรษฐกิจครึ่งปีแรกโต 7.08% ซึ่งถือว่าโตมากๆ สูงที่สุดใน ASEAN
แรงงานเวียดนามเก่ง ราคาไม่แพง คะแนนสอบสูงกว่าค่าเฉลี่ยของไทยทุกวิชา
อายุเฉลี่ยของคนไทย ประมาณ 37.2 ปี ส่วนเวียดนาม ประมาณ 30 ปี
ถึงแม้ GDP ของเวียดนามเป็นครึ่งนึงของไทย แต่ GDP growth ต่อปีของเวียดนามเฉลี่ย 6.7% เทียบกับไทย 4.5%
Urbanization ของเวียดนามแค่ 33.6% เทียบกับไทย 50.4%
เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเวียดนามมี 4 อย่าง ได้แก่
Engine # 1 Foreign Direct Investment (FDI ) การลงทุนทางตรง
ปีที่แล้ว มีเงินเข้ามาประมาณ $ 35.9 Billion และ 1H18 $ 20.3 Billion
ปีนี้เงินเข้ามาแล้ว 600,000 กว่าล้านบาท ที่เข้ามาเยอะๆ คือญี่ปุ่น เกาหลี และ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นกรลงทุนในโรงงานผลิตจริงๆ เพื่อส่งออก นอกจากนี้ยังมี Canon , Foxconn , LG , Samsung
ค่าแรงราคาถูกที่พูดถึง ไม่ใช่ Blue collar แต่หมายถึงระดับ engineers ที่ไม่ค่อยแพง คนเวียดนาม upgrade ตัวเองให้มีคุณภาพสูงตลอดเวลา
การส่งออกโต 16% และได้ดุลการค้าด้วย
Engine # 2 Exports การส่งออก
ประเทศใน Emerging market ขาดดุลการค้าเป็นส่วนมาก แต่เวียดนามได้ดุลการค้า จากส่งออกสินค้าที่มีราคาถูกมากๆไปที่ อเมริกา จีน และ ยุโรป
สินค้าที่ส่งออกหลักๆคือ มือถือ เช่น ยี่ห้อ Samsung และผลิตหน้าจอของมือถือเช่น iPhone X ด้วย ส่วน iPhone รุ่นใหม่ยังไม่ได้เช็คข้อมูลว่ามีชิ้นส่วนที่ผลิตที่เวียดนามด้วยหรือไม่
Engine # 3 Tourism การท่องเที่ยว
ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวเข้าเวียดนามประมาณ 10 ล้านคน
ปีนี้ 7 เดือนแรก เข้ามาแล้ว 9 ล้านคน และมี7 ล้านคนในนั้น เป็นคนเอเชีย โดยส่วนใหญ่เป็นคนจีนไปเวียดนามเยอะมาก
เข้าใจว่าตอนที่ไทยปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ คนจีนส่วนนึงเลยหันไปเที่ยวเวียดนามแทน
Engine # 4 Domestic consumption การบริโภคภายในประเทศ
คนเวียดนามรายได้เพิ่มขึ้น ก็เริ่มใช้จ่ายมากขึ้น ยอดค้าปลีกโตเป็นเป็นเลขสองหลัก เดินทางโดยเครื่องบิน ซื้อคอนโด ซื้อรถ
เวียดนาม จุดที่น่าเป็นห่วงคือ หนี้สาธารณะเยอะเกือบ 60% ของ GDP ทำให้การจะเพิ่มการลงทุนก็ลำบากตรงข้ามกับไทยที่หนี้ภาครัฐน้อย
ไทยมีหนี้ครัวเรือนสูง ส่วนเวียดนาม หนี้ครัวเรือนน้อย
ดังนั้นเวียดนามจึงพยายามเอาบริษัทมาขายในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำไปลงทุน Infrastructure
ถาม คุณพิกุล ว่า บางช่วงหุ้นเวียดนามตกหนัก มีวิธีทำใจอย่างไร
คุณพิกุล แนะนำให้ไปนั่งสมาธิ และพูดถึงแนวทางในการลงทุนว่า เรื่องความผันผวนในการลงทุนเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อมันเป็นเรื่องของการคาดหวังก่อนการเอาเงินไปลงทุน
บริหารความเครียดจากจุดตั้งต้น กลับมาที่จุดเริ่มต้นในการซื้อหุ้นของเรา เพราะความคาดหวังเรื่องการเติบโตในอนาคตของบริษัทที่ซื้อ ถ้าหุ้นตกจากปัจจัยเรื่องอื่น เช่นปัจจัยภายนอก Trade War เราก็ควรถือหุ้นไว้ ไม่ขาย แล้วทำใจแบบสบายๆ
แต่คนส่วนใหญ่ ตอนต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นมา 50% ก็หวังว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะขึ้นไปอีก
ถามคุณเผ่า คาดการณ์ผลตอบแทนหุ้นเวียดนามปีละเท่าไหร่
ตอบ ถ้าอ้างอิงจากผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ไทยมา ผลตอบแทนรวมปันผลประมาณ 8% ต่อปี
ถ้านับจากหลังต้มยำกุ้ง จนถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนรวมปันผล 12%
แต่ถ้านับจากช่วงหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มา ผลตอบแทนรวมปันผล15%
ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศจะเท่าๆกัน
ถ้าเป็นภาวะปกติ ผลตอบแทนรวมปันผลประมาณ 8% แต่ถ้าผ่านวิกฤตมาอาจจะได้ 10-20%
แต่เรามีทักษะดี ศึกษาอย่างดีอาจได้ 10-20%
ถ้าตลาดหุ้นโตขึ้น แต่เราไม่พัฒนาเราอาจได้แย่กว่าตลาดหุ้น หรือขาดทุนก็เป็นไปได้
Jitta มี process ที่จะเข้ามาช่วยเรื่องการให้ข้อมูลระดับนึง ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลากับข้อมูลดิบเยอะ
แต่ในการลงทุนยิ่งไม่คาดหวังสูง (เน้นความเป็นไปได้) เช่น ตั้งไว้10%ต่อปี แต่ถ้าเราสามารถทำได้สูงกว่าก็สบายใจ
ถามคุณกมลยศ ปัจจัยอะไรที่ต้องจับตา ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นเวียดนาม
มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เริ่มที่ภายนอกก่อน
ย้อนกลับไปอ้างอิงข้อมูลจากช่วงของ ดร. นิเวศน์ที่ว่าตลาดหุ้นเวียดนามประกอบไปด้วย นักลงทุนรายย่อย คิดเป็น 80% ส่วนต่างประเทศที่มาลงทุนคิดเป็น 20%
แต่ 3-4 ปีที่ผ่านมา เงิน Fund flow มีผลต่อตลาดหุ้นเวียดนามเยอะมาก ต่างชาติลงทุนได้กำไรเยอะ แต่ต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติขายทำกำไรออกไปเป็นระยะ ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เน้นการเก็งกำไรรายวัน ก็ขายตาม
ตอนมี trade war ก็มีเงินเข้ามาเพิ่มช่วงนี้
ระหว่างเวียดนามกับ USA เวียดนามยัง trade surplus (คือเวียดนามยังได้เปรียบ USA อยู่ ณ. ตอนนี้) แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับจีน ที่ได้ surplus เยอะกว่า
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ อีก 6 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อเวียดนามเฉลี่ยแตะ 4% เพราะราคาหมู ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่กำหนดโดยธนาคารกลางเวียดนาม
ค่าเงิน Đong อ่อนเพียง 2.5% จากต้นปี แต่เมื่อเทียบกับอินโด หรือฟิลิปปินส์ ที่ค่าเงินอ่อนค่าถึง 8-9% ถือว่าค่าเงินเวียดนามอ่อนค่าน้อยมาก
และทางคนเวียดนามจะดูค่าเงิน Đong against Yuan ด้วยว่าเป็นอย่างไร เพราะในช่วง Crisis สิบปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามลงเยอะ เพราะมีการอ่อนค่าของค่าเงิน Yuan เงิน Đong เลยอ่อนค่าด้วย ทำให้ตลาดหุ้นลงเยอะ (เป้เพิ่มเติม–- เวลาแข่งกันส่งออก ถ้าค่าเงินใครอ่อนกว่า จะส่งออกได้เยอะกว่า เพราะสินค้าจะมีราคาถูกกว่า ดังนั้นถ้าค่าเงิน Yuan อ่อน ค่าเงิน Đong จะอ่อนตาม เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เวลาเงินอ่อนค่ามากๆ คนที่ลงทุนในหุ้นจะขายเงิน Đong ทิ้งแลกกลับเป็นสกุลอื่น เพื่อไม่ให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้หุ้นตกเข้าไปอีก)
Trade war กับค่าเงินยังคงมีผลต่อตลาดหุ้น
ค่าเงิน เวลาขาย asset และไปถือ US$ ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
แต่ต้องดูเรื่องกระทบหรือไม่ คำตอบคือ ต้องดูแต่ละปัจจัย
Q: มุมมองการลงทุนของกองทุนรวม อยากเจาะลึกในแต่ละท่าน
A: คุณวิน CIMB เริ่มศึกษาหุ้นเวียดนามเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กับคุณวศิน ไปโฮจิมิน ฮานอย เป็นตลาดหุ้นมีstory
ชื่นชอบ เลยคุยกับผู้บริหารว่าตั้งกองเวียดนามกัน ทำกันเกือบปีถึงออกเป็นกองทุนได้
โดยร่วมกับผู้จัดการกองทุนในมาเลเซีย ไปเยี่ยมปีละ 3-4ครั้ง ดูพื้นฐานของบริษัทและหาราคาที่เหมาะสม
และ ดูความคาดหวังของคน ถ้าใครมองข้ามก็เป็นโอกาสของเราในการซื้อ
พอออกกองไม่นาน ติดปัญหาเรื่องภาษา ผู้บริหารของบริษัทไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ
เผอิญได้ลูกศิษย์ของผมที่สอนในนิด้า เป็นคนเวียดนาม คุณแอนนาสอบที่หนึ่งของรุ่น มาทำงานร่วมกับเราตอนต้นปี อยู่กรุงเทพ
ตอนนี้บินไปเวียดนามแทนผม ดูหุ้นรายตัว เลือกหุ้นที่เป็น Mid cap
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ คือ อสังหา ธนาคาร หุ้นบริโภค
ใน port ธนาคารโตเร็ว เราต้องลงในsectorนี้ด้วย
คนเวียดนามมีเงินก็ซื้อคอนโดอยู่
ตลาดหุ้นเวียดนาม มี EPS growth 20% เทียบกับหุ้นไทยโต 7-8%
กองเราเน้นหุ้นขนาดกลาง PE ประมาณ 10เท่า เทียบกับตลาด 14.8 เท่า
เป็นการซื้อในเศรษฐกิจที่โต แต่ซื้อในราคา sales
ซื้อวันนี้ อาจต้องทำใจไม่ได้ขึ้นพรุ่งนี้ แต่ได้ราคาถูก
ใครลงทุนในกองนี้ อยากให้อยู่ยาวสักหน่อย เราห่วงเรื่องต้นทุนด้วย
และ ห่วงสภาพคล่องด้วย อาจมีการให้เพิ่มความถี่ให้เข้า ออก ได้มากขึ้น
คุณพิกุล บริหารprivate fund ซึ่งถือว่าเป็นบัญชีของลูกค้าแต่ละคน
เวลาซื้อหุ้น ที่มี FOL – Foreign Ownership Limit เป็น ล๊อตๆ ถ้ามีจำนวนน้อย คนเข้ามาก่อนก็ได้ไป
เราลงทุนแบบ Bottom up เรามองเวียดนามมีโอกาสโตในระยะยาว 3-5 ปี
มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามโตได้อีกมาก
เราอยากเติบโตพร้อมกับตลาดหุ้นเวียดนามโดยมองหาบริษัทที่สามารถเติบโตไปกับเศรษฐกิจเวียดนามได้
ช่วงที่ระหว่างรอหุ้นที่ติด FOL อาจนำเงินไปลง ETF ได้
คุณกมลยศ Asset plus พูดถึง ASP-VIET ลงทุนแบบ 3 paths
1. JP Morgan 0-50%
2. ลงทุนในตราสารทุนตรง 0-30% ได้ dividend สูงๆด้วย
3. ลงทุนในETF เช่น Deutsche Asset management Xtrackers FTSE
Vietnam Swap UCITS ETS ,Dragon capital 30% จะได้หุ้น IPOด้วย
ส่วนค่าธรรมเนียมเท่าๆกับที่อื่น ประมาณ 1.61%
คุณเผ่า Jitta wealth พูดถึงว่า เราเริ่มจากวิเคราะห์หุ้น ดูงบการเงิน10ปีย้อนหลัง ว่าบริษัทไหนน่าสนใจ
Function Jitta ranking จะช่วยจัดลำดับหุ้นที่มีราคาถูกที่สุดในตลาด 30 อันดับแรก
ถ้าลงทุนตามนี้ เราได้ผลตอบแทน 18% ก็สามารถชนะดัชนีได้ (ดัชนีตลาดเวียดนามที่ผ่านมาได้ประมาณ 13% ต่อปี)
หลายคนก็คิดว่าลงตามJitta ได้ไหม ลงทุนต้นปี 30ตัว และเปลี่ยนตัวตาม 30 ตัวแรก ที่ ranking มาใหม่ตอนปลายปี
Jitta ยังสามารถลงทุนให้ โดยผ่าน Jitta wealth โดยลงแต่ละตัวเท่าๆกัน
Jitta จะซื้อหุ้นเวียดนาม 20 ตัว อย่างละเท่าๆกัน โดยไม่มี bias อะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปีก็ปรับพอร์ตใหม่ ทุกคนจะได้พอร์ตที่ดีในช่วง ณ ขณะนั้น ถ้ามีตัวที่ติด FOL ก็จะไปเลือกหุ้นลำดับถัดมา
ที่ผ่านมาเราเริ่มให้ลงทุนใน Jitta Wealth ช่วงมิถุนา ถึงสิงหา เป็นช่วงที่ดีในการซื้อ
บางต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการซื้อหุ้นเวียดนาม .. กว่าจะครบ โดยใช้ระบบ Jitta จะเป็นคนส่ง order ให้ จนกว่าจะซื้อได้
แต่ตอนปรับพอร์ต อาจ drop ลงไปบ้าง เนื่องจาก liquidity ของหุ้นเวียดนามไม่ค่อยดี
เรามองว่าการลงทุนเป็นเวลาหลายปี น่าคุ้มค่ากว่าลงระยะสั้น เพราะเราใช้หลัก Bottom up เลือกหุ้นรายตัว..ไม่ได้ดูวงจรเศรษฐกิจบางตัวอาจขาดทุน แต่เรามองดูผลตอบแทนทั้งพอร์ตถ้าเป็นบวกก็ Ok
เราลงทุนหุ้นแบบ Passive ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดหรือดัชนีชี้วัด
เราไม่สามารถปรับพอร์ต หุ้นรายตัวในช่วงระหว่างปี ดังนั้นคนที่มาลงทุนกับจิตตะต้องอดทนเข้าใจในความผันผวนระหว่างที่รอคอย
สามารถใช้กับทุกตลาดตามทฤษฏี แต่ต้องมีการทดสอบแต่ละตลาด เช่น อเมริกา เวียดนาม
เราทดสอบข้อมูล Back Test 9 ปีปรากฏว่าผลตอบแทนชนะตลาด
Q; ลงทุนเวียดนามดี แต่ขาดทุนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เราช่วยลูกค้าได้อย่างไร
A: คุณวิน ต้องบอกลูกค้าให้ทำใจว่า ไม่มีใครรับทำธุรกรรมปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินเวียดนาม เราจะบอกนักลงทุนไว้ก่อนลงทุน โชคดีที่ปีนี้ค่าเงินนิ่งเวียดนามมากๆเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
ส่วน Asset plus บอกว่าก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องป้องกันค่าเงินได้
Q: อยากให้คุณวินแนะนำเรื่องจังหวะเข้าลงทุนหุ้นเวียดนาม
A: คุณวินแนะนำ ว่าจังหวะที่น่าสงทุนในหุ้นเวียดนามคือซื้อตอนคนมาสัมมนาน้อยๆ (ฮา) ปีที่แล้วคนชอบเยอะ มันเป็นเรื่องขิงจิตวิทยา ว่าเรามักจะชอบหุ้นตอนที่มันดี
ปีที่แล้วได้กำไร แต่ปีนี้หุ้นตก เหมือนคนจะชอบน้อยลง
คุณพิกุล เวลาที่เราจะขายหุ้นคือเวลาที่ต้องการใช้เงิน (แปลว่าควรถือยาวๆ) ตอนที่ฟิลิปเริ่มสนใจการลงทุนในเวียดนาม ก็เป็นช่วงตลาดหุ้นเวียดนามตกต่ำที่สุด ตอนนั้นเป็นช่วงปี 2013 ถือเป็นช่วงที่น่าลงทุนมากสุดสำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม หาหุ้นได้ไม่ยาก
แต่ตอนที่มางานนี้ เมื่อตอนเดือนมกราปีนี้ ตอนนั้นไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร ตอนนี้ราคาเริ่มลงมาในระดับ reasonable เป็นจังหวะที่ดีกว่าต้นปีมากเลยทีเดียว
ในกรณีที่ต้องการลงทุนระยะยาว ความเสี่ยงจาก currency , liquidity risk จะไม่ค่อยมีผลต่อพอร์ตการลงทุน ระหว่างที่รอเราต้องทำใจ ถ้าลงทุนได้ยาวพอ ตลาดหุ้นเวียดนาม เชื่อว่าจะเติบโตล้อไปตามเศรษฐกิจเวียดนาม ..คิดว่าน่าสนใจลงทุน ตอนนี้ลงทุนถือว่าเหมาะสม
Q: เงินลงทุนในเวียดนาม สามารถทำ DCA ได้ไหม
A: คุณกมลยศ Asset plus แจ้งว่าสามารถทำได้ ผ่าน Fund connect แต่กองทุนของเราซื้อได้ทุกวัน และ ขายได้ทุกอาทิตย์ ส่วนค่า Front end มีการเก็บค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 0.25% ขึ้นไป ไม่อยากให้นักลงทุนเทรดแบบระยะสั้น
Q : บางช่วงตลาดหุ้นเวียดนามทำกำไรได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก มีโอกาสเจอฟองสบู่อีกครั้งไหม
A: คุณวิน บอกว่าตลาดหุ้นเวียดนามเคยเจอฟองสบู่แตกมารอบนึง สาเหตุจาก เงินเฟ้อสูง, ขาดดุลงบประมาณ และ การค้า ตอนนี้เราก็ monitor เงินเฟ้อ ประมาณ 4% เห็นว่าเมื่อก่อนเคยถึงสองหลัก ตอนนี้เงินเฟ้อเหลือแค่หลักเดียว ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศ ตอนวิกฤตมีทุนสำรองน้อย แต่รอบนี้เวียดนามเปลี่ยนไปแล้ว เพราะได้ดุลการค้าเกินดุล มีเงินเข้าประเทศเยอะ จึงมีทุนสำรองเยอะ
เราต้องดูอสังหาริมทรัพย์ รอบที่แล้วคนเวียดนามก็มีเก็งกำไรคอนโด เหมือนไทย คือซื้อขายใบจอ แต่ปัจจุบันรัฐบาลเปลี่ยนแนว ให้กู้กับคนธรรมดาแทนบริษัทมากขึ้น (ให้กู้กับคนที่ต้องการซื้อบ้านจริงๆ) ทำให้ฟองสบู่ไม่น่าเกิด ดูรวมๆน่าจะ ok แต่ก็ไม่วางใจ ยังดูอยู่ใกล้ชิด
คุณพิกุล บอกว่า เวียดนามได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในปี 2007 มา พบว่าวินัยของผู้ประกอบการดีขึ้น มาเน้นทำธุรกิจหลักของตัวเองมากขึ้น พยายามขายทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
คุณกมลยศ Asset plus บอกว่าเวียดนามโตจาก sector Bank เวลาวิกฤตเกิด มักจะมาจาก Bank
ปีนี้เงินเฟ้อเพิ่มเป็น 4% ทำให้เกิดการควบคุมการขยาย credit จาก regulator ส่วนภาคอสังหา อยู่ในช่วงการโต เมื่อก่อนเป็น sector ที่ส่งผลให้เกิดวิกฤต แต่ปัจจุบันการให้ประชาชนซื้อบ้าน แต่ 70% ซื้อด้วยเงินสด ทำให้ปัญหาจากอสังหาไปภาคธนาคารน้อยลงไป..ไม่น่ากังวล
ส่วน NPL ของ Sector Bank ค่อนข้างต่ำ
เวียดนามทำเรื่องแยกธนาคารดี กับ ไม่ดี ตอนวิกฤตทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่เหมือนไทย เวียดนามเป็นตลาดที่มีความเสี่ยง เรื่องผู้บริหารอาจถูกจับ เราต้องยอมรับก่อนลงทุน เลยอยากจะแนะนำให้ลงทุนในหุ้นหลายตัวดีกว่า
คุณเผ่า เสริม Bubble จะเกิดเมื่อไหร่ วอร์เรนเชียร์ให้ลงทุนแบบ passive ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า Active และลงทุนให้ยาวพอ ยกตัวอย่าง เงินลงทุน 10,000$ เมื่อ70 ผ่านไป ได้เงิน 1 ล้านเหรียญ ทุกคนพยายามมองให้เข้าใจ ใช้ประโยชน์จาก Bubble และ หาจังหวะลงทุนเพื่อถือยาว
Q: สอบถามเรื่อง VAMC ถ้ายกเลิกแล้ว ทิศทางของธนาคารเวียดนามจะเป็นอย่างไร
A: คุณพิกุล เล่าย้อนก่อนว่า VAMC ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อนำหนี้เสียของธนาคารแยกออกมาจัดการต่างหาก โดยเอาหนี้เสียยมากองไว้ที่ VAMC แล้ว VAMC ออกตั๋วออกมาใบนึงมูลค่าประมาณ 80% ของมูลหนี้ทั้งหมด แล้วธนาคารพาณิชย์ต่างๆก็นำตั๋วนี้ไปขึ้นเงินกับแบงก์ชาติของเวียดนาม เพื่อแลกกลับเข้าไปเป็น equity ในระบบ โดยธนาคารต่างๆมีหน้าที่ตั้งสำรองทุกๆปี ปีละ 20% แล้วพอครบ 5 ปี ธนาคารต้องซื้อคืนหนี้กลับมา ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบตอนที่จัดตั้งขึ้นมาแรกๆ แต่ผลปรากฎว่า ธนาคารต่างๆ ได้นำเงินที่ไหลกลับเข้ามาในระบบ มาปล่อยกู้มากขึ้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการปล่อยกู้ของเวียดนามเริ่มอยู่ตัว และการที่ไม่ต้องตั้งสำรองทันทีทั้งก้อน ทำให้ธนาคารต่างๆมีเวลาตั้งตัว และเมื่อไม่ต้องนำหนี้เสียมาเร่ขายทันที สามารถรอเวลาให้เศรษฐกิจฟื้นกลับขึ้นมาได้ ทำให้ราคาของสินทรัพย์ NPL ดีขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น (ไม่ต้องเอาออกมาขายในราคาต่ำๆ เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย)
Q: Global play ประเทศไหนน่าสนใจ
A: จีนน่าสนใจ ถึงโดน trade war ท้ายสุดก็น่าจะมีเจรจา จีนตอนนี้เน้นผลิตสินค้า Hitech และทำ cloud computing มากขึ้น
Q: ถามคุณเผ่า สำหรับการลงทุนใน Jitta Wealth เรื่อง market timing กับการholdไม่ซื้อขายใน 1 ปี
อันไหนดีกว่ากัน
A: คุณเผ่า บอกว่า ในระยะสั้น จังหวะเวลามีผล แต่ในระยะยาว เช่น 12 ปี ผลตอบแทนจะใกล้เคียงกัน วินัยในการลงทุน ดีกว่าการจับจังหวะในการลงทุน
Q: ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่างกับรายย่อยหรือไม่
A:คุณกมลยศ asset plus บอกว่าเราลงทุนตรง และ ผ่านกองทุนรวมด้วย เราลงทุนตรง ได้ข้อมูลเยอะกว่า ได้ค่าcomถูกกว่ามาลดค่าใช้จ่าย ETF ปกติจะมีค่า Fee ที่ต่ำอยู่แล้ว ถ้าถือเกินระดับที่กำหนดก็เสียค่าFeeถูกลง
Q: มีแนวคิดอย่างไรกลุ่มก่อสร้าง
A: คุณวิน ตอบว่าธุรกิจก่อสร้างบูม น่าจะได้ประโยชน์
Q: Sector ที่ชอบสำหรับแต่ละท่าน
A: คุณกมลยศ Asset Plus บอกว่าให้ดู กลุ่มค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนต้องทำการบ้านแยกบริษัทที่ดีมาทำ valuation รวมทั้งหาข่าว ว่าบริษัทมีการพัฒนาการอย่างไร ถือเป็น upsideของการลงทุน
คุณวิน เราต้องทำการบ้านเพื่อเลือกหุ้นที่ชอบ ตลาดนี้ บางทีเจอบริษัทดี แต่ไปพบไม่ได้ ก็ต้องตัดไป
คุณพิกุล เสริมเรื่องความเสี่ยง regulationเป็นเรื่องสำคัญ กฎระเบียบเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก
คุณเผ่า Stay invest ลงทุนด้วยความเข้าใจภาพ
เราลงทุนในช่องทางที่ถูกต้อง เช่น กองทุนรวม หรือ ลงทุนด้วยตนเอง อย่าไปปล่อยเงินให้อยู่เฉยๆ
ความรู้เป็นเรื่องดี แต่ต้องปฏิบัติด้วย
สุดท้ายขอขอบคุณ วิทยากรทุกท่านที่มาให้ข้อมูลและความรู้ด้วยครับ/ค่ะ
สรุปโดย น้องเป้ และ พี่อมร
Funds talk: หุ้นเวียดนามผันผวนวิกฤตหรือโอกาส?
พร้อมเจาะลึกกองทุนไทยที่ลงทุนหุ้นเวียดนาม
วิทยากร
1. คุณ วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัยพ์จัดการกองทุน CIMB-Principle ซึ่งได้เปิดกองทุนหุ้นเวียดนามไปเมื่อตค 60 คือ CIMB-VNEQ-A
2. คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป จำกัด ซึ่งบริหารกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในหุ้นเวียดนาม ( Vietnam private fund )
3. คุณ ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ หรือ คุณเผ่า ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด มี Jitta wealthที่ช่วยเลือกหุ้นเวียดนามลงทุน
4. คุณ กมลยศ สุขุมสุวรรณ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ แอสเซทพลัส ซึ่งเปิดกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นเวียดนาม คือ ASP-VIET เมื่อ มกราคม 2561
พิธีกร : คุณ จิตติมา ทวาเรศ
เริ่มสัมมนา โดยคุณวิน ซึ่งแนะนำการลงทุน 3 อย่างคือ ทองคำ, หุ้นจีน และหุ้นเวียดนาม
ทำไมถึงมองว่าหุ้นเวียดนามจะดี เปรียบเทียบ Story ของประเทศไทยกับเวียดนาม เศรษฐกิจครึ่งปีแรกโต 7.08% ซึ่งถือว่าโตมากๆ สูงที่สุดใน ASEAN
แรงงานเวียดนามเก่ง ราคาไม่แพง คะแนนสอบสูงกว่าค่าเฉลี่ยของไทยทุกวิชา
อายุเฉลี่ยของคนไทย ประมาณ 37.2 ปี ส่วนเวียดนาม ประมาณ 30 ปี
ถึงแม้ GDP ของเวียดนามเป็นครึ่งนึงของไทย แต่ GDP growth ต่อปีของเวียดนามเฉลี่ย 6.7% เทียบกับไทย 4.5%
Urbanization ของเวียดนามแค่ 33.6% เทียบกับไทย 50.4%
เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเวียดนามมี 4 อย่าง ได้แก่
Engine # 1 Foreign Direct Investment (FDI ) การลงทุนทางตรง
ปีที่แล้ว มีเงินเข้ามาประมาณ $ 35.9 Billion และ 1H18 $ 20.3 Billion
ปีนี้เงินเข้ามาแล้ว 600,000 กว่าล้านบาท ที่เข้ามาเยอะๆ คือญี่ปุ่น เกาหลี และ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นกรลงทุนในโรงงานผลิตจริงๆ เพื่อส่งออก นอกจากนี้ยังมี Canon , Foxconn , LG , Samsung
ค่าแรงราคาถูกที่พูดถึง ไม่ใช่ Blue collar แต่หมายถึงระดับ engineers ที่ไม่ค่อยแพง คนเวียดนาม upgrade ตัวเองให้มีคุณภาพสูงตลอดเวลา
การส่งออกโต 16% และได้ดุลการค้าด้วย
Engine # 2 Exports การส่งออก
ประเทศใน Emerging market ขาดดุลการค้าเป็นส่วนมาก แต่เวียดนามได้ดุลการค้า จากส่งออกสินค้าที่มีราคาถูกมากๆไปที่ อเมริกา จีน และ ยุโรป
สินค้าที่ส่งออกหลักๆคือ มือถือ เช่น ยี่ห้อ Samsung และผลิตหน้าจอของมือถือเช่น iPhone X ด้วย ส่วน iPhone รุ่นใหม่ยังไม่ได้เช็คข้อมูลว่ามีชิ้นส่วนที่ผลิตที่เวียดนามด้วยหรือไม่
Engine # 3 Tourism การท่องเที่ยว
ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวเข้าเวียดนามประมาณ 10 ล้านคน
ปีนี้ 7 เดือนแรก เข้ามาแล้ว 9 ล้านคน และมี7 ล้านคนในนั้น เป็นคนเอเชีย โดยส่วนใหญ่เป็นคนจีนไปเวียดนามเยอะมาก
เข้าใจว่าตอนที่ไทยปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ คนจีนส่วนนึงเลยหันไปเที่ยวเวียดนามแทน
Engine # 4 Domestic consumption การบริโภคภายในประเทศ
คนเวียดนามรายได้เพิ่มขึ้น ก็เริ่มใช้จ่ายมากขึ้น ยอดค้าปลีกโตเป็นเป็นเลขสองหลัก เดินทางโดยเครื่องบิน ซื้อคอนโด ซื้อรถ
เวียดนาม จุดที่น่าเป็นห่วงคือ หนี้สาธารณะเยอะเกือบ 60% ของ GDP ทำให้การจะเพิ่มการลงทุนก็ลำบากตรงข้ามกับไทยที่หนี้ภาครัฐน้อย
ไทยมีหนี้ครัวเรือนสูง ส่วนเวียดนาม หนี้ครัวเรือนน้อย
ดังนั้นเวียดนามจึงพยายามเอาบริษัทมาขายในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำไปลงทุน Infrastructure
ถาม คุณพิกุล ว่า บางช่วงหุ้นเวียดนามตกหนัก มีวิธีทำใจอย่างไร
คุณพิกุล แนะนำให้ไปนั่งสมาธิ และพูดถึงแนวทางในการลงทุนว่า เรื่องความผันผวนในการลงทุนเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อมันเป็นเรื่องของการคาดหวังก่อนการเอาเงินไปลงทุน
บริหารความเครียดจากจุดตั้งต้น กลับมาที่จุดเริ่มต้นในการซื้อหุ้นของเรา เพราะความคาดหวังเรื่องการเติบโตในอนาคตของบริษัทที่ซื้อ ถ้าหุ้นตกจากปัจจัยเรื่องอื่น เช่นปัจจัยภายนอก Trade War เราก็ควรถือหุ้นไว้ ไม่ขาย แล้วทำใจแบบสบายๆ
แต่คนส่วนใหญ่ ตอนต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นมา 50% ก็หวังว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะขึ้นไปอีก
ถามคุณเผ่า คาดการณ์ผลตอบแทนหุ้นเวียดนามปีละเท่าไหร่
ตอบ ถ้าอ้างอิงจากผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ไทยมา ผลตอบแทนรวมปันผลประมาณ 8% ต่อปี
ถ้านับจากหลังต้มยำกุ้ง จนถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนรวมปันผล 12%
แต่ถ้านับจากช่วงหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มา ผลตอบแทนรวมปันผล15%
ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศจะเท่าๆกัน
ถ้าเป็นภาวะปกติ ผลตอบแทนรวมปันผลประมาณ 8% แต่ถ้าผ่านวิกฤตมาอาจจะได้ 10-20%
แต่เรามีทักษะดี ศึกษาอย่างดีอาจได้ 10-20%
ถ้าตลาดหุ้นโตขึ้น แต่เราไม่พัฒนาเราอาจได้แย่กว่าตลาดหุ้น หรือขาดทุนก็เป็นไปได้
Jitta มี process ที่จะเข้ามาช่วยเรื่องการให้ข้อมูลระดับนึง ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลากับข้อมูลดิบเยอะ
แต่ในการลงทุนยิ่งไม่คาดหวังสูง (เน้นความเป็นไปได้) เช่น ตั้งไว้10%ต่อปี แต่ถ้าเราสามารถทำได้สูงกว่าก็สบายใจ
ถามคุณกมลยศ ปัจจัยอะไรที่ต้องจับตา ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นเวียดนาม
มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เริ่มที่ภายนอกก่อน
ย้อนกลับไปอ้างอิงข้อมูลจากช่วงของ ดร. นิเวศน์ที่ว่าตลาดหุ้นเวียดนามประกอบไปด้วย นักลงทุนรายย่อย คิดเป็น 80% ส่วนต่างประเทศที่มาลงทุนคิดเป็น 20%
แต่ 3-4 ปีที่ผ่านมา เงิน Fund flow มีผลต่อตลาดหุ้นเวียดนามเยอะมาก ต่างชาติลงทุนได้กำไรเยอะ แต่ต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติขายทำกำไรออกไปเป็นระยะ ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เน้นการเก็งกำไรรายวัน ก็ขายตาม
ตอนมี trade war ก็มีเงินเข้ามาเพิ่มช่วงนี้
ระหว่างเวียดนามกับ USA เวียดนามยัง trade surplus (คือเวียดนามยังได้เปรียบ USA อยู่ ณ. ตอนนี้) แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับจีน ที่ได้ surplus เยอะกว่า
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ อีก 6 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อเวียดนามเฉลี่ยแตะ 4% เพราะราคาหมู ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่กำหนดโดยธนาคารกลางเวียดนาม
ค่าเงิน Đong อ่อนเพียง 2.5% จากต้นปี แต่เมื่อเทียบกับอินโด หรือฟิลิปปินส์ ที่ค่าเงินอ่อนค่าถึง 8-9% ถือว่าค่าเงินเวียดนามอ่อนค่าน้อยมาก
และทางคนเวียดนามจะดูค่าเงิน Đong against Yuan ด้วยว่าเป็นอย่างไร เพราะในช่วง Crisis สิบปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามลงเยอะ เพราะมีการอ่อนค่าของค่าเงิน Yuan เงิน Đong เลยอ่อนค่าด้วย ทำให้ตลาดหุ้นลงเยอะ (เป้เพิ่มเติม–- เวลาแข่งกันส่งออก ถ้าค่าเงินใครอ่อนกว่า จะส่งออกได้เยอะกว่า เพราะสินค้าจะมีราคาถูกกว่า ดังนั้นถ้าค่าเงิน Yuan อ่อน ค่าเงิน Đong จะอ่อนตาม เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เวลาเงินอ่อนค่ามากๆ คนที่ลงทุนในหุ้นจะขายเงิน Đong ทิ้งแลกกลับเป็นสกุลอื่น เพื่อไม่ให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้หุ้นตกเข้าไปอีก)
Trade war กับค่าเงินยังคงมีผลต่อตลาดหุ้น
ค่าเงิน เวลาขาย asset และไปถือ US$ ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
แต่ต้องดูเรื่องกระทบหรือไม่ คำตอบคือ ต้องดูแต่ละปัจจัย
Q: มุมมองการลงทุนของกองทุนรวม อยากเจาะลึกในแต่ละท่าน
A: คุณวิน CIMB เริ่มศึกษาหุ้นเวียดนามเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กับคุณวศิน ไปโฮจิมิน ฮานอย เป็นตลาดหุ้นมีstory
ชื่นชอบ เลยคุยกับผู้บริหารว่าตั้งกองเวียดนามกัน ทำกันเกือบปีถึงออกเป็นกองทุนได้
โดยร่วมกับผู้จัดการกองทุนในมาเลเซีย ไปเยี่ยมปีละ 3-4ครั้ง ดูพื้นฐานของบริษัทและหาราคาที่เหมาะสม
และ ดูความคาดหวังของคน ถ้าใครมองข้ามก็เป็นโอกาสของเราในการซื้อ
พอออกกองไม่นาน ติดปัญหาเรื่องภาษา ผู้บริหารของบริษัทไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ
เผอิญได้ลูกศิษย์ของผมที่สอนในนิด้า เป็นคนเวียดนาม คุณแอนนาสอบที่หนึ่งของรุ่น มาทำงานร่วมกับเราตอนต้นปี อยู่กรุงเทพ
ตอนนี้บินไปเวียดนามแทนผม ดูหุ้นรายตัว เลือกหุ้นที่เป็น Mid cap
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ คือ อสังหา ธนาคาร หุ้นบริโภค
ใน port ธนาคารโตเร็ว เราต้องลงในsectorนี้ด้วย
คนเวียดนามมีเงินก็ซื้อคอนโดอยู่
ตลาดหุ้นเวียดนาม มี EPS growth 20% เทียบกับหุ้นไทยโต 7-8%
กองเราเน้นหุ้นขนาดกลาง PE ประมาณ 10เท่า เทียบกับตลาด 14.8 เท่า
เป็นการซื้อในเศรษฐกิจที่โต แต่ซื้อในราคา sales
ซื้อวันนี้ อาจต้องทำใจไม่ได้ขึ้นพรุ่งนี้ แต่ได้ราคาถูก
ใครลงทุนในกองนี้ อยากให้อยู่ยาวสักหน่อย เราห่วงเรื่องต้นทุนด้วย
และ ห่วงสภาพคล่องด้วย อาจมีการให้เพิ่มความถี่ให้เข้า ออก ได้มากขึ้น
คุณพิกุล บริหารprivate fund ซึ่งถือว่าเป็นบัญชีของลูกค้าแต่ละคน
เวลาซื้อหุ้น ที่มี FOL – Foreign Ownership Limit เป็น ล๊อตๆ ถ้ามีจำนวนน้อย คนเข้ามาก่อนก็ได้ไป
เราลงทุนแบบ Bottom up เรามองเวียดนามมีโอกาสโตในระยะยาว 3-5 ปี
มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามโตได้อีกมาก
เราอยากเติบโตพร้อมกับตลาดหุ้นเวียดนามโดยมองหาบริษัทที่สามารถเติบโตไปกับเศรษฐกิจเวียดนามได้
ช่วงที่ระหว่างรอหุ้นที่ติด FOL อาจนำเงินไปลง ETF ได้
คุณกมลยศ Asset plus พูดถึง ASP-VIET ลงทุนแบบ 3 paths
1. JP Morgan 0-50%
2. ลงทุนในตราสารทุนตรง 0-30% ได้ dividend สูงๆด้วย
3. ลงทุนในETF เช่น Deutsche Asset management Xtrackers FTSE
Vietnam Swap UCITS ETS ,Dragon capital 30% จะได้หุ้น IPOด้วย
ส่วนค่าธรรมเนียมเท่าๆกับที่อื่น ประมาณ 1.61%
คุณเผ่า Jitta wealth พูดถึงว่า เราเริ่มจากวิเคราะห์หุ้น ดูงบการเงิน10ปีย้อนหลัง ว่าบริษัทไหนน่าสนใจ
Function Jitta ranking จะช่วยจัดลำดับหุ้นที่มีราคาถูกที่สุดในตลาด 30 อันดับแรก
ถ้าลงทุนตามนี้ เราได้ผลตอบแทน 18% ก็สามารถชนะดัชนีได้ (ดัชนีตลาดเวียดนามที่ผ่านมาได้ประมาณ 13% ต่อปี)
หลายคนก็คิดว่าลงตามJitta ได้ไหม ลงทุนต้นปี 30ตัว และเปลี่ยนตัวตาม 30 ตัวแรก ที่ ranking มาใหม่ตอนปลายปี
Jitta ยังสามารถลงทุนให้ โดยผ่าน Jitta wealth โดยลงแต่ละตัวเท่าๆกัน
Jitta จะซื้อหุ้นเวียดนาม 20 ตัว อย่างละเท่าๆกัน โดยไม่มี bias อะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปีก็ปรับพอร์ตใหม่ ทุกคนจะได้พอร์ตที่ดีในช่วง ณ ขณะนั้น ถ้ามีตัวที่ติด FOL ก็จะไปเลือกหุ้นลำดับถัดมา
ที่ผ่านมาเราเริ่มให้ลงทุนใน Jitta Wealth ช่วงมิถุนา ถึงสิงหา เป็นช่วงที่ดีในการซื้อ
บางต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการซื้อหุ้นเวียดนาม .. กว่าจะครบ โดยใช้ระบบ Jitta จะเป็นคนส่ง order ให้ จนกว่าจะซื้อได้
แต่ตอนปรับพอร์ต อาจ drop ลงไปบ้าง เนื่องจาก liquidity ของหุ้นเวียดนามไม่ค่อยดี
เรามองว่าการลงทุนเป็นเวลาหลายปี น่าคุ้มค่ากว่าลงระยะสั้น เพราะเราใช้หลัก Bottom up เลือกหุ้นรายตัว..ไม่ได้ดูวงจรเศรษฐกิจบางตัวอาจขาดทุน แต่เรามองดูผลตอบแทนทั้งพอร์ตถ้าเป็นบวกก็ Ok
เราลงทุนหุ้นแบบ Passive ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดหรือดัชนีชี้วัด
เราไม่สามารถปรับพอร์ต หุ้นรายตัวในช่วงระหว่างปี ดังนั้นคนที่มาลงทุนกับจิตตะต้องอดทนเข้าใจในความผันผวนระหว่างที่รอคอย
สามารถใช้กับทุกตลาดตามทฤษฏี แต่ต้องมีการทดสอบแต่ละตลาด เช่น อเมริกา เวียดนาม
เราทดสอบข้อมูล Back Test 9 ปีปรากฏว่าผลตอบแทนชนะตลาด
Q; ลงทุนเวียดนามดี แต่ขาดทุนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เราช่วยลูกค้าได้อย่างไร
A: คุณวิน ต้องบอกลูกค้าให้ทำใจว่า ไม่มีใครรับทำธุรกรรมปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินเวียดนาม เราจะบอกนักลงทุนไว้ก่อนลงทุน โชคดีที่ปีนี้ค่าเงินนิ่งเวียดนามมากๆเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
ส่วน Asset plus บอกว่าก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องป้องกันค่าเงินได้
Q: อยากให้คุณวินแนะนำเรื่องจังหวะเข้าลงทุนหุ้นเวียดนาม
A: คุณวินแนะนำ ว่าจังหวะที่น่าสงทุนในหุ้นเวียดนามคือซื้อตอนคนมาสัมมนาน้อยๆ (ฮา) ปีที่แล้วคนชอบเยอะ มันเป็นเรื่องขิงจิตวิทยา ว่าเรามักจะชอบหุ้นตอนที่มันดี
ปีที่แล้วได้กำไร แต่ปีนี้หุ้นตก เหมือนคนจะชอบน้อยลง
คุณพิกุล เวลาที่เราจะขายหุ้นคือเวลาที่ต้องการใช้เงิน (แปลว่าควรถือยาวๆ) ตอนที่ฟิลิปเริ่มสนใจการลงทุนในเวียดนาม ก็เป็นช่วงตลาดหุ้นเวียดนามตกต่ำที่สุด ตอนนั้นเป็นช่วงปี 2013 ถือเป็นช่วงที่น่าลงทุนมากสุดสำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม หาหุ้นได้ไม่ยาก
แต่ตอนที่มางานนี้ เมื่อตอนเดือนมกราปีนี้ ตอนนั้นไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร ตอนนี้ราคาเริ่มลงมาในระดับ reasonable เป็นจังหวะที่ดีกว่าต้นปีมากเลยทีเดียว
ในกรณีที่ต้องการลงทุนระยะยาว ความเสี่ยงจาก currency , liquidity risk จะไม่ค่อยมีผลต่อพอร์ตการลงทุน ระหว่างที่รอเราต้องทำใจ ถ้าลงทุนได้ยาวพอ ตลาดหุ้นเวียดนาม เชื่อว่าจะเติบโตล้อไปตามเศรษฐกิจเวียดนาม ..คิดว่าน่าสนใจลงทุน ตอนนี้ลงทุนถือว่าเหมาะสม
Q: เงินลงทุนในเวียดนาม สามารถทำ DCA ได้ไหม
A: คุณกมลยศ Asset plus แจ้งว่าสามารถทำได้ ผ่าน Fund connect แต่กองทุนของเราซื้อได้ทุกวัน และ ขายได้ทุกอาทิตย์ ส่วนค่า Front end มีการเก็บค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 0.25% ขึ้นไป ไม่อยากให้นักลงทุนเทรดแบบระยะสั้น
Q : บางช่วงตลาดหุ้นเวียดนามทำกำไรได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก มีโอกาสเจอฟองสบู่อีกครั้งไหม
A: คุณวิน บอกว่าตลาดหุ้นเวียดนามเคยเจอฟองสบู่แตกมารอบนึง สาเหตุจาก เงินเฟ้อสูง, ขาดดุลงบประมาณ และ การค้า ตอนนี้เราก็ monitor เงินเฟ้อ ประมาณ 4% เห็นว่าเมื่อก่อนเคยถึงสองหลัก ตอนนี้เงินเฟ้อเหลือแค่หลักเดียว ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศ ตอนวิกฤตมีทุนสำรองน้อย แต่รอบนี้เวียดนามเปลี่ยนไปแล้ว เพราะได้ดุลการค้าเกินดุล มีเงินเข้าประเทศเยอะ จึงมีทุนสำรองเยอะ
เราต้องดูอสังหาริมทรัพย์ รอบที่แล้วคนเวียดนามก็มีเก็งกำไรคอนโด เหมือนไทย คือซื้อขายใบจอ แต่ปัจจุบันรัฐบาลเปลี่ยนแนว ให้กู้กับคนธรรมดาแทนบริษัทมากขึ้น (ให้กู้กับคนที่ต้องการซื้อบ้านจริงๆ) ทำให้ฟองสบู่ไม่น่าเกิด ดูรวมๆน่าจะ ok แต่ก็ไม่วางใจ ยังดูอยู่ใกล้ชิด
คุณพิกุล บอกว่า เวียดนามได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในปี 2007 มา พบว่าวินัยของผู้ประกอบการดีขึ้น มาเน้นทำธุรกิจหลักของตัวเองมากขึ้น พยายามขายทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
คุณกมลยศ Asset plus บอกว่าเวียดนามโตจาก sector Bank เวลาวิกฤตเกิด มักจะมาจาก Bank
ปีนี้เงินเฟ้อเพิ่มเป็น 4% ทำให้เกิดการควบคุมการขยาย credit จาก regulator ส่วนภาคอสังหา อยู่ในช่วงการโต เมื่อก่อนเป็น sector ที่ส่งผลให้เกิดวิกฤต แต่ปัจจุบันการให้ประชาชนซื้อบ้าน แต่ 70% ซื้อด้วยเงินสด ทำให้ปัญหาจากอสังหาไปภาคธนาคารน้อยลงไป..ไม่น่ากังวล
ส่วน NPL ของ Sector Bank ค่อนข้างต่ำ
เวียดนามทำเรื่องแยกธนาคารดี กับ ไม่ดี ตอนวิกฤตทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่เหมือนไทย เวียดนามเป็นตลาดที่มีความเสี่ยง เรื่องผู้บริหารอาจถูกจับ เราต้องยอมรับก่อนลงทุน เลยอยากจะแนะนำให้ลงทุนในหุ้นหลายตัวดีกว่า
คุณเผ่า เสริม Bubble จะเกิดเมื่อไหร่ วอร์เรนเชียร์ให้ลงทุนแบบ passive ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า Active และลงทุนให้ยาวพอ ยกตัวอย่าง เงินลงทุน 10,000$ เมื่อ70 ผ่านไป ได้เงิน 1 ล้านเหรียญ ทุกคนพยายามมองให้เข้าใจ ใช้ประโยชน์จาก Bubble และ หาจังหวะลงทุนเพื่อถือยาว
Q: สอบถามเรื่อง VAMC ถ้ายกเลิกแล้ว ทิศทางของธนาคารเวียดนามจะเป็นอย่างไร
A: คุณพิกุล เล่าย้อนก่อนว่า VAMC ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อนำหนี้เสียของธนาคารแยกออกมาจัดการต่างหาก โดยเอาหนี้เสียยมากองไว้ที่ VAMC แล้ว VAMC ออกตั๋วออกมาใบนึงมูลค่าประมาณ 80% ของมูลหนี้ทั้งหมด แล้วธนาคารพาณิชย์ต่างๆก็นำตั๋วนี้ไปขึ้นเงินกับแบงก์ชาติของเวียดนาม เพื่อแลกกลับเข้าไปเป็น equity ในระบบ โดยธนาคารต่างๆมีหน้าที่ตั้งสำรองทุกๆปี ปีละ 20% แล้วพอครบ 5 ปี ธนาคารต้องซื้อคืนหนี้กลับมา ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบตอนที่จัดตั้งขึ้นมาแรกๆ แต่ผลปรากฎว่า ธนาคารต่างๆ ได้นำเงินที่ไหลกลับเข้ามาในระบบ มาปล่อยกู้มากขึ้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการปล่อยกู้ของเวียดนามเริ่มอยู่ตัว และการที่ไม่ต้องตั้งสำรองทันทีทั้งก้อน ทำให้ธนาคารต่างๆมีเวลาตั้งตัว และเมื่อไม่ต้องนำหนี้เสียมาเร่ขายทันที สามารถรอเวลาให้เศรษฐกิจฟื้นกลับขึ้นมาได้ ทำให้ราคาของสินทรัพย์ NPL ดีขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น (ไม่ต้องเอาออกมาขายในราคาต่ำๆ เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย)
Q: Global play ประเทศไหนน่าสนใจ
A: จีนน่าสนใจ ถึงโดน trade war ท้ายสุดก็น่าจะมีเจรจา จีนตอนนี้เน้นผลิตสินค้า Hitech และทำ cloud computing มากขึ้น
Q: ถามคุณเผ่า สำหรับการลงทุนใน Jitta Wealth เรื่อง market timing กับการholdไม่ซื้อขายใน 1 ปี
อันไหนดีกว่ากัน
A: คุณเผ่า บอกว่า ในระยะสั้น จังหวะเวลามีผล แต่ในระยะยาว เช่น 12 ปี ผลตอบแทนจะใกล้เคียงกัน วินัยในการลงทุน ดีกว่าการจับจังหวะในการลงทุน
Q: ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่างกับรายย่อยหรือไม่
A:คุณกมลยศ asset plus บอกว่าเราลงทุนตรง และ ผ่านกองทุนรวมด้วย เราลงทุนตรง ได้ข้อมูลเยอะกว่า ได้ค่าcomถูกกว่ามาลดค่าใช้จ่าย ETF ปกติจะมีค่า Fee ที่ต่ำอยู่แล้ว ถ้าถือเกินระดับที่กำหนดก็เสียค่าFeeถูกลง
Q: มีแนวคิดอย่างไรกลุ่มก่อสร้าง
A: คุณวิน ตอบว่าธุรกิจก่อสร้างบูม น่าจะได้ประโยชน์
Q: Sector ที่ชอบสำหรับแต่ละท่าน
A: คุณกมลยศ Asset Plus บอกว่าให้ดู กลุ่มค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนต้องทำการบ้านแยกบริษัทที่ดีมาทำ valuation รวมทั้งหาข่าว ว่าบริษัทมีการพัฒนาการอย่างไร ถือเป็น upsideของการลงทุน
คุณวิน เราต้องทำการบ้านเพื่อเลือกหุ้นที่ชอบ ตลาดนี้ บางทีเจอบริษัทดี แต่ไปพบไม่ได้ ก็ต้องตัดไป
คุณพิกุล เสริมเรื่องความเสี่ยง regulationเป็นเรื่องสำคัญ กฎระเบียบเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก
คุณเผ่า Stay invest ลงทุนด้วยความเข้าใจภาพ
เราลงทุนในช่องทางที่ถูกต้อง เช่น กองทุนรวม หรือ ลงทุนด้วยตนเอง อย่าไปปล่อยเงินให้อยู่เฉยๆ
ความรู้เป็นเรื่องดี แต่ต้องปฏิบัติด้วย
สุดท้ายขอขอบคุณ วิทยากรทุกท่านที่มาให้ข้อมูลและความรู้ด้วยครับ/ค่ะ
สรุปโดย น้องเป้ และ พี่อมร
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3182
มา HBD พี่อมร มือจด แห่งวงการVIของไทยครับ
มีความสุข ความจำดีตลอดไป เอาความรู้ที่ได้ มาแบ่งปันให้เพื่อนในห้องนี้ต่อไปนะค๊าบ
ปล.1 ตลาดช่วงเดือนกย.-ถึงวันนี้ มีอัตราหุ้นวิ่งทำnew high มากกว่าnew low...มองด้านเงินไหลเข้า ยังดึงตลาดวิ่งต่อปายนะจ๊ะ
ปล.2 อ่านข่าวแวบๆ เจออันนี้ http://www.thansettakij.com/content/326971
ผมเลยไม่กล้าจะโพสไรมากละ กลัวก๊วนหาดใหญ่ จะโดนรวบยกแกงค์นะครับ
มีความสุข ความจำดีตลอดไป เอาความรู้ที่ได้ มาแบ่งปันให้เพื่อนในห้องนี้ต่อไปนะค๊าบ
ปล.1 ตลาดช่วงเดือนกย.-ถึงวันนี้ มีอัตราหุ้นวิ่งทำnew high มากกว่าnew low...มองด้านเงินไหลเข้า ยังดึงตลาดวิ่งต่อปายนะจ๊ะ
ปล.2 อ่านข่าวแวบๆ เจออันนี้ http://www.thansettakij.com/content/326971
ผมเลยไม่กล้าจะโพสไรมากละ กลัวก๊วนหาดใหญ่ จะโดนรวบยกแกงค์นะครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 3530
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3183
== 42 เคล็ดลับการลงทุน … โจ ลูกอีสาน ==
..
“ผมเรียนไม่เก่ง จบเกรดเฉลี่ย 2.56”
.
เป็นคำเกริ่นนำของพี่โจ ลูกอีสาน ในงานสัมมนาการกุศล VI Know How Charity ครั้งที่ 6 แต่ก็เป็นพี่โจที่สามารถเปลี่ยนหลักในพอร์ตจากเงินเริ่มต้นไม่ถึงล้านเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาเป็นหลายหลักจนนับไม่ถูกในวันนี้ พี่โจมาแบ่งปันเคล็ดลับดี ๆ 42 ข้อในการลงทุน ที่พี่โจบอกว่าเป็น “คำแนะนำธรรมดา เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา” มาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง
…
1) การลงทุนแบบ VI คือ วิธีการเปลี่ยนชนชั้นที่เป็นไปได้มากที่สุด
.
เปรียบเทียบกับการสร้างธุรกิจที่ต้องรู้ทุกอย่าง แต่การลงทุนเราเก่งแค่เฉพาะบางจุดก็พอแล้ว ที่จะทำให้เราเปลี่ยนชนชั้นได้ ที่สำคัญคือเปลี่ยนจากล่างขึ้นบนนะ ไม่ใช่บนลงล่าง
.
2) ความสำเร็จที่ทุกคนเห็น ซ่อนเร้นเบื้องหลังที่ยากลำบาก
.
การที่จะรวยเร็ว ๆ ง่าย ๆ ไม่มีทาง พี่โจต้องใช้เวลา 20 ปี ในการลงทุนจนประสบความสำเร็จ พี่โจบอกว่า เราต้องทำตัวให้สมควรที่จะได้รับมันถึงจะยุติธรรม ปัญหาคือ จะมีสักกี่คนที่ลงมือทำแบบนี้ (แต่ถ้าใครทำงานหนักแล้วยังไม่รวย ลองพิจารณาดูว่าเราทำผิดวิธีหรือเปล่า)
.
3) คุณภาพ / ราคา = ความคุ้มค่า
.
นี่คือจิตวิญญาณของ VI ถ้าเจอหุ้นดีราคาถูก ต้องซื้อให้เยอะ แต่ถ้าเจอหุ้นแย่ ราคาแพง ต้องขายให้ไว
.
4) VI ไม่ใช่แค่ “วิธี” แต่เป็น “ปรัชญา”
.
คุณจะไม่มีวันทำได้ดี ถ้าไม่ได้ทำออกมาจาก “ใจ”
.
5) ความเชื่อต้องฝังเข้าไปในกระดูก เลือด และเส้นเอ็น
.
จะเป็น VI ต้องผ่านข้อนี้ให้ได้ ต้องเข้าใจว่า หุ้นและธุรกิจ คือสิ่งเดียวกัน มันจะเป็นยันต์เสื้อเกราะคุ้มครองเราไปตลอดชีวิต
.
6) ครึ่งหนึ่งของการลงทุนให้สำเร็จอยู่ที่การเลือกอาจารย์ให้ถูกคน
.
ให้ระมัดระวังการเลือก “Idol” เพราะเค้าจะเป็นต้นทางในการลงทุนให้เรา การเลือกผลไม้พิษย่อมให้ผลที่เป็นพิษ เลือกแนวคิดที่ผิดย่อมไปไม่ถึงจุดหมาย พี่โจแนะนำให้ไปดูหนังสือ “The world 99 Greatest Investors” เกินครึ่งของนักลงทุนในหนังสือเล่มนี้ที่ประสบความสำเร็จ ลงทุนแบบ VI รวมถึงดร.นิเวศน์ ก็เป็นตัวอย่างนึงในหนังสือเล่มนี้ด้วย
.
7) เสือทุกตัวย่อมมีเส้นทางของมัน
.
เราเลือกอาจารย์ถูกคนแล้ว แต่ไม่จำเป็นว่าเราต้องเดินตามหรือซื้อหุ้นตามอาจารย์ทุกอย่าง แต่เราควรเชื่อมั่นในแนวทางหรือแบบแผนที่เราเป็นมากกว่า อย่างพี่โจเองก็ไม่เคยซื้อหุ้นตามดร.นิเวศน์เลย แต่ก็มีแอบแซวว่าดร. มีหุ้นเหมือนพี่โจหลายตัวเหมือนกัน
.
8) อุดมการณ์กินไม่ได้ แต่มันทำให้เรารู้ว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”
.
พี่โจประกาศชัดเจนมากว่าจะไม่ใช้ Insider ไม่ไป Company Visit จะตามข่าวที่เผยแพร่เป็น Public เหมือนคนทั่วไป ถ้าเราลงทุนแล้วผลตอบแทนไม่ดี อย่าคิดว่าคนอื่นโกงเรา ให้โทษตัวเองก่อนดีกว่า พี่โจบอกว่าใครมี inside อะไรไม่ต้องโทรหาแกนะครับ ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวแกหวั่นไหว
..
9) พลังของก้าวย่าง (พี่ตูน)
.
คือเรื่องของ “ระยะเวลา” เป็นหนึ่งตัวแปรของสมการการทบต้น (เงินต้น ผลตอบแทน และระยะเวลา) พี่โจบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยง แค่อาศัยความอึด เดินทางหมื่นลี้ก็ต้องเริ่มทีละก้าว เราจะไม่ถึงจุดหมายได้อย่างไร ถ้าเราไม่หยุดเดิน เหมือนกับที่พี่ตูนย่างก้าวไปเรื่อย ๆ ทุกวันจนถึงเส้นชัย
.
10) อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
.
คบหาพูดคุยกับคนกลุ่มเดียวกัน เติมพลังให้กัน บางทีการอ่านหนังสือ บทกวี หรือฟังเพลง ก็ให้กำลังใจเราได้
.
11) ข้อนี้ไม่มี พี่โจน่าจะตกหล่นไป เข้าใจได้เพราะแกนั่งทำสไลด์ถึง 5 ทุ่ม
.
12) อย่าติดกับดักปันผล
.
VI หลายคนหวังปันผล ตายมาเยอะแล้ว เพราะปันผลมันมาจากกำไรในอดีต บางครั้งมาจากกำไรพิเศษ หรือกำไรที่ดีเกินจริงในปีนั้น บางที Capital Gain มันลงมากกว่าปันผลที่ได้รับซะอีก เราต้องมองว่า คุณภาพของปันผลคือสิ่งที่เราต้องการ ต้องดูหุ้นที่ปันผลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคาดการณ์ได้ แบบนี้ถึงจะปลอดภัย
.
13) หุ้นคุณฆ่า VI คือ หุ้นวัฏจักร
.
ปัญหาแรกเลยคือ นักลงทุนไม่รู้ว่าเป็น หุ้นวัฏจักร กำไรมันมาเป็นรอบ ๆ เราดันไปซื้อหุ้นตอนที่มันดีกว่าปกติ เราไม่รู้ว่าจุดที่ดีที่สุดกลับกลายเป็นอันตรายที่สุด และเราก็จะขายตอนที่มันแย่กว่าปกติ แล้วมันก็จะเด้งกลับขึ้นไป เรียกว่าครบสูตรเลยทีเดียว เช่น หุ้นพลาสติก ต้นทุนสูงตอนราคาน้ำมันแพง
พี่โจบอกว่า “นักรบทุกคนย่อมมีบาดแผล แต่ขอให่เป็นแผลของคนอื่นดีกว่า”
..
14) คุณภาพของกำไรสำคัญมาก ๆๆๆๆๆ
.
ตลาดจะให้ราคาสูงกับหุ้นที่กำไรเติบโตยั่งยืน และพร้อมกระทืบหุ้นที่คุณภาพกำไรย่ำแย่ เช่น หุ้นอสังหา ตลาดก็จะให้ PE ต่ำ เพราะกำไรมาไม่สม่ำเสมอ
.
15) ทำทะเลให้แคบลง ขังปลาให้อยู่ในสุ่ม แล้วค่อยเอามือจับปลาขึ้นมาง่ายกว่า
.
ตลาดมีหุ้น 700 กว่าตัว ให้เราขจัดหุ้นที่เราไม่เข้าใจ หุ้นที่ผู้บริหารไม่น่าคบ หุ้นที่ติดตามไม่ได้ กำไรเป็นเต่า (คือไม่เติบโต) หุ้นที่อยู่ในกระแส (เพราะราคาจะ price in ไปหมดแล้ว) แล้วเราก็จะเหลือหุ้นอยู่ไม่กี่ร้อยตัวให้มาพิจารณาต่อได้ง่ายกว่า
.
16) อย่าจับจด
.
คือ อย่าเพ่งไปที่ประเด็นเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญ ทำให้พลาดภาพใหญ่ในการลงทุน เช่น หุ้นค้าปลีกบางตัว เคยมีดราม่าเรื่องผู้บริหาร หุ้นสื่อสารบางตัวมีประเด็นเรื่องประมูลคลื่น เราก็ต้องมาดูแบบองค์รวมว่ารับได้มั้ย เพราะไม่มีหุ้นไร้ตำหนิ เราต้องอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบให้ได้
.
17) ซื้อหุ้น PE สูง เหมือนปีนต้นไม้สูง
.
ถ้าพลัดตกลงมาอาจตายได้ แต่ถ้าเป็นหุ้น PE ต่ำ เหมือนเราปีนต้นไม้เตี้ย ตกลงมาก็แค่จุก ซึ่งเราไม่น่าจะเจอ Floor ในหุ้น PE ต่ำ
.
18) In valuation, you don’t have to be accurate
.
เวลาประเมินราคา เราแค่ต้องการตัวเลขคร่าว ๆ อยู่ในกรอบราคา แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ตัวเลขเป๊ะ ๆ และ valuation is dynamic คือ มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเมื่อเวลาผ่านไปหรือมีเหตุการณ์อะไรผ่านไป ให้คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง
.
19) การวิเคราะห์หุ้น คือ การวิเคราะห์กำไรว่ามันจะขึ้นหรือลงแค่นั้นเอง
.
ถึงแม้ว่าเราจะวิเคราะห์ผู้บริหาร ดูทุกอย่าง แต่สุดท้ายแม่น้ำทุกสายจะไหลมารวมกันที่ “กำไร” และจะเป็นตัวที่ส่งผลถึงราคาหุ้นในท้ายที่สุด
.
20) โชคชะตาจะเล่นตลกกับเราเสมอ
.
ให้คิดว่า โขคร้านจะมาหาเราคนแรกเสมอ และเราจะดวงซวยที่สุดในโลก ทำให้เราไม่ประมาทและเตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน เช่น หุ้นบางตัวถามผู้บริหารว่ากลัวอะไรที่สุด คำตอบคือ กลัวไฟไหม้ แล้วไฟก็ไหม้โรงงานจริง ๆ ไม่ใช่แค่นั้นเจอน้ำท่วมอีก พี่โจเล่าว่ามีน้องคนนึงตามไป meeting ที่หาดใหญ่กับแกตลอด ถือหุ้นตัวนี้แบบ All-in ใช้ margin ด้วย และอีก 2 เดือนจำเป็นต้องใช้เงิน พอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ ราคาหุ้นตกหนัก จนถึงวันนี้น้องคนนั้นก็ไม่ได้ติดต่อพี่โจอีกเลย ใครรู้จักน้องคนนี้ ฝากบอกน้องด้วยครับว่าพี่โจเป็นห่วง ติดต่อหาแกหน่อย
.
21) น้ำท่วมมหาสมุทร หรือ จะสู้เกลือกำมือเดียว
.
“น้ำ” ก็คือข้อมูลข่าวสารที่ไหลบ่ามาท่วมเราตลอดเวลาทั้งจากใน Line, Facebook หรือตามที่ต่าง ๆ แต่นักลงทุน VI ควรโฟกัสสิ่งที่เป็น “เกลือ” นั่นก็คือ กำไรของบริษัทมากกว่า
.
22) “ระยะห่างของเวลา” ทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเต็มที่
.
เพราะอนาคตไม่แน่นอนและนั่นทำให้เกิดช่องว่างที่สร้างโอกาสในการลงทุนให้กับเรา ยกตัวอย่างให้เห็นชัดก็คือ หุ้น SF ตอบรับข่าวดีที่ IKEA จะมาเช่าที่เปิดร้าน ราคาหุ้นขึ้นทันที 15% หลังจากนั้นก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ 30-40% แต่กว่าที่พี่โจจะมาซื้อก็ที่ new high เพราะคิดแล้วว่า โอกาสที่ IKEA จะเจ๊งยากมาก พอซื้อไปราคาก็ตกลงไปซัก 10% แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาถึง 40-50% ยิ่งห้างใกล้เปิด คนรู้เยอะขึ้น ราคาก็ขึ้น
.
คือพี่โจจะบอกว่ามันมี Gap เรื่องของการประเมินกำไรใรอนาคต แล้วให้เราเปรียบเทียบกับราคาปัจจุบันดู ว่ามันคุ้มค่ากับเวลาที่ต้องรอคอยมากน้อยแค่ไหน อย่างหุ้นโรงไฟฟ้าตัวนึงที่แกมีและราคาวิ่งขึ้นไปก็ใช้แนวคิดเดียวกัน พี่โจบอกว่าใช้หลักการแบบนี้ในการหาหุ้นอยู่บ่อย ๆ
.
23) เลิกทาสกันเถอะชาวหุ้น
.
ตื่นเช้าต้องดู Dow Jone ระหว่างวันดู SET Index ตกเย็นดูต่าชาติซื้อหรือขาย สิ่งเหล่านื้คือ “น้ำ” เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนคิดและตอบสนองคล้าย ๆ กันในตลาด ซึ่งมันอาจไม่เกี่ยวกับกำไรของหุ้นที่เราสนใจ
.
24) หุ้นเป็นได้แค่ “แฟน” ห้ามแต่งงานด้วย
.
ให้จำไว้ว่า ความผูกพันธ์คือศัตรูของการลงทุน อย่ารักหุ้น เพราะจะทำให้เราตาบอด เราควรร่วมหัว แต่ไม่จมท้าย เหมือนหุ้นอย่าง BEC เคยมี market cap เป็นแสนล้าน แต่วันนี้เหลือแค่หมื่นล้าน
.
25) นักลงทุนไบโพลาร์
.
เราต้องมองโลกในแง่ดีในวันที่มีแต่ความมืดมิด แต่ต้องมองโลกแง่ร้ายในวันที่ทุกอย่างสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงไหนตลาดดี ๆ ต้องกลัวให้เยอะ แบ่งมาถือเงินสดบ้าง
.
26) This too shall pass แล้วมันจะผ่านไป
.
บางวันเราผิดหวัง บางวันเราสมหวัง อย่าจมกับมัน ให้เดินไปข้างหน้า แล้วเวลาจะเยียวยา กลบฝังมันไปเอง ทุกอย่างมันจะผ่านไปได้ในที่สุด
.
27) เหตุผลที่ฟังดูเข้าท่ามากในวันนี้ กลับกลายเป็นเหตุผลที่ปัญญาอ่อนในวันรุ่งขึ้น
.
บางวันหุ้นตกหนักมากเพราะกังวลอเมริกาเลิก QE กังวลขึ้นดอกเบี้ย แต่วันรุ่งขึ้นกลับบวกอย่างแรง แล้วบอกว่าเมื่อวานขายมากเกินไป
.
28) อย่าเพียรหาสูตรสำเร็จ
.
เป็น VI ต้องยืดหยุ่น ปรับตัว เพราะถ้ามีสูตรที่ใคร ๆ ก็ทำได้ พอมีคนทำตามเยอะ ๆ มันก็จะไม่ได้ผล เช่น อย่าไปยึดติดว่าจะต้องซื้อแต่หุ้น PE ต่ำ อย่างบัฟเฟตเองก็มาซื้อหุ้นเทคที่มีกำไรสูงมีการเติบโต
.
29) ฟังเสียงตัวเธอเองบ้าง
.
“เมื่อมั่นคงในหลักกการ จงมั่นใจในผลลัพธ์” หลายครั้งที่เราชอบฟังเสียงคนอื่น คนที่เราคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่จริง ๆ ถ้าเราทำการบ้านมาดีแล้ว ก็ควรมั่นใจในตัวเองให้มาก
.
30) VI เป็นขบถเสมอ
.
VI จะไม่ตามกระแสสังคม ไม่เชื่อคนง่าย
VI จะไม่จำนนต่อกระแสสังคม แต่จะตอบโต้ด้วยความรู้ ไม่ใช่ความดื้อรั้น
VI จะถูกด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ใช่ถูกเพราะคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ
VI จงเป็น Lone Wolf ที่จะแข็งแกร่งกว่าการอยู่ในฝูง
.
31) ท่ามกลางความผันผวนมีโอกาส
.
VI ดำรงอยู่ได้เพราะมีความ mismatch ในระยะสั้น มันจะมีความไม่มีเหตุผลของราคากับกำไร แม้นายตลาดอาจจะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคนเป็นไบโพลาร์ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ ในระยะยาว เค้ามีสติ ราคาจะวิ่งตามกำไรเสมอ
.
32) อยากเป็น VI ต้องรอดัชนี 400 จุด ?
.
จำเป็นหรือ ที่จะต้องหาหุ้นเจอตอนวิกฤตเท่านั้น หรือ จริง ๆ แล้ว ถ้าเราทำการบ้านอยู่ตลอด เราก็จะหาหุ้นเจอ เพราะในช่วงวิกฤตก็ยังมีหุ้นที่เติบโตได้อยู่ หุ้นต่ำกว่ามูลค่ามันมีอยู่ตลอด รอแค่เราไปเจอมันเท่านั้น
.
33) ไม่ต้องแสวงหา วิกฤตจะมาหาเราเอง
.
วิกฤติจะมาตอนเราไม่ทันตั้งตัวเสมอ เราแค่ต้องขี้ระแวงและระวังอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยมีใครรวยเพราะคาดการณ์วิกฤตได้ มันมีสัญญาณลวงเยอะ
.
34) Performance the name of the game
.
วิธีการไม่สำคัญเท่าผลลัพธ์ (ระยะยาว)
จะ VI, Technical, Fund Flow หรือ มโนศาสตร์ ทำแล้วได้กำไรก็ทำไปเถอะ แต่พี่โจเชื่อว่า จะดีกว่ามั้ยถ้าเดินไปในทางที่มีคนแผ้วถางไว้แล้ว นั่นก็คือทางแบบ VI
.
35) กูไม่กลัวมึง
.
xx ในที่นี้คือ วิกฤต หรือช่วงเวลาที่เลวร้าย เราหลบมันไม่ได้ ยังไงก็ต้องมา เราต้องพร้อมเจอ แต่ให้เหลือ “ใจ” ของเราไว้ให้พร้อม
.
36) อย่าถัวจนตัวตาย
.
- อย่าถัวมั่ว ๆ ตายแน่นอน อย่าถัวเพื่อกลบเกลื่อนความผิด ทำให้จาก -50% เหลือ -25% แล้วสบายใจ
- ลองถามตัวเองว่า ตอนแรกเราประเมินราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้วใช่มั้ย แล้วทำไมมันยังลงต่อล่ะ เพราะเราไม่เข้าใจมันตั้งแต่ต้นหรือเปล่า ถ้าใช่ให้หลีกเลี่ยงการถัว
- แต่ถ้าจะถัวก็ต้องมั่นใจในเหตุผลที่ชัดเจนมาก ๆ หรือไม่ก็เพราะเรายังมีหุ้นไม่มาก เราต้องมีการ limit position ไม่ให้ตัสเองตาย ถ้าสุดท้ายถ้ามันแย่จริง ๆ
.
37) รู้ว่าเป็นขี้ ไม่ต้องเอานิ้วไปจิ้ม
.
เพื่อให้สำเร็จ ไม่เพียงแต่หาหุ้นดี แต่ต้องหลีกเลี่ยงหุ้นเลวด้วย เพราะเราอาจหมดตัวได้ หุ้นตัวไหนเรารู้ว่าธรรมภิบาลไม่ดีก็อย่าไปยุ่ง โปรดจงรู้ว่า ขี้ในตลาดหุ้นไทยมีเยอะกว่าที่เราคิด
.
38) รู้ว่าจะตายที่ไหน อย่าไปที่นั่น
.
การกู้เงินเล่นหุ้น All in ตัวเดียว การพนัน ยาเสพติด เพื่อนไม่ดี ถ้าเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ดีก็อย่างไปยุ่ง
.
39) วิธีการที่ผิด บางครั้งให้ผลที่ถูก
.
นาฬิกาที่เสีย ยังบอกเวลาที่ถูกได้ 2 ครั้งต่อวัน ทำให้เราสับสนได้ เพราะฉะนั้นในระยะยาว วิธีที่ผิดจะเอากำไรคืนจากเราไปทั้งหมด
.
40) คนฉลาดซื้อกองทุน (หุ้น)
.
ซื้อกองทุนรวมที่เป็นหุ้น ได้ผลตอบแทน 7-8% วิธีการแบบนี้คือการเกษียณสบาย อาจไม่รวย แต่รับรองว่าไม่จนแน่นอน
.
41) ต้นทุนของฝันที่เป็นจริง คือ “การลงมือทำ”
.
ถ้าฝันแล้วไม่ทำ คือ ฝันกลางวัน พลาดไปแล้ว ไม่เป็นไร ลงทุนช้า ไม่เป็นไร
เวลาเหมาะสุดที่จะเริ่มคือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เวลาที่เหมาะสมรองลงมาคือ “วันนี้”
.
42) เงินใช้สร้าง “ความสุข”
.
เราคือเจ้านายของเงิน ไม่ใช่ทาส เงินมีเอาไว้ใช้ เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่รัก และเป็นประโยชน์ต่อสังคม เหมือนอย่างที่พี่โจถอนเงินให้ภรรยา 1,111,111 บาท จนพนักงานสาวที่ธนาคารแปลกใจ และอดที่จะถามไม่ได้ว่า พี่ถอนเงินไปทำอะไรคะ พร้อมกับพูดเล่น ๆ ต่อมาว่า “หนูอยากเป็นแฟนพี่บ้างจังเลย” ส่วนพี่โจตอบว่ายังไงให้ไปถามกันเอาเองครับ
..
#VIKH6 #โจลูกอีสาน #วิตามินหุ้น
ขออนุญาต Tag พี่หมอนุ่นครับ Jatuphon Noon Suwanpinij
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3184
ขอบคุณน้องRome และ ยินดีด้วยกับการเป็นคุณพ่ออีกครั้งromee เขียน:มา HBD พี่อมร มือจด แห่งวงการVIของไทยครับ
มีความสุข ความจำดีตลอดไป เอาความรู้ที่ได้ มาแบ่งปันให้เพื่อนในห้องนี้ต่อไปนะค๊าบ
ปล.1 ตลาดช่วงเดือนกย.-ถึงวันนี้ มีอัตราหุ้นวิ่งทำnew high มากกว่าnew low...มองด้านเงินไหลเข้า ยังดึงตลาดวิ่งต่อปายนะจ๊ะ
ปล.2 อ่านข่าวแวบๆ เจออันนี้ http://www.thansettakij.com/content/326971
ผมเลยไม่กล้าจะโพสไรมากละ กลัวก๊วนหาดใหญ่ จะโดนรวบยกแกงค์นะครับ
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3185
ภาพ 24 พฤษภาคม 2558 ที่สัมผัสได้ถึงหนทางความยากลำบากในการเริ่มต้นในเส้นทางการลงทุนแนววีไอ และผลลัพท์ของความพยายาม ก็คุ้มค่าจริงๆ ดั่งที่ อ. โจ ทำได้เป็นที่ประจักษ์ในวันนี้
ภาพ 6 ตุลาคม 2561 สื่อให้ทราบว่า อย่าดูเพียงความสำเร็จเบื้องหน้าที่เห็นชัด ต้องไปดูเบื้องหลังด้วยว่า เป็นมาอย่างไร เพื่อเตือนให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงสิ่งที่กระทำและพิจารณาดูว่า ทำสุดๆ แล้วหรือไม่ เพียงพอที่จะได้รับความสำเร็จจากการกระทำไหม ถ้ายัง ก็ต้องทำให้มากขึ้นกว่าเดิม
ภาพ 6 ตุลาคม 2561 สื่อให้ทราบว่า อย่าดูเพียงความสำเร็จเบื้องหน้าที่เห็นชัด ต้องไปดูเบื้องหลังด้วยว่า เป็นมาอย่างไร เพื่อเตือนให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงสิ่งที่กระทำและพิจารณาดูว่า ทำสุดๆ แล้วหรือไม่ เพียงพอที่จะได้รับความสำเร็จจากการกระทำไหม ถ้ายัง ก็ต้องทำให้มากขึ้นกว่าเดิม
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3186
Property Fund & REITs & Infrafund Series
EP12 TFFIF หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตไทย
รอคอยมานานกว่า2ปี กับไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ หรือ TFFIFหลังอนุมัติ
น่าจะเกิดปัญหาทางเทคนิคเลยออกกองได้ช้ามาก เราไปดูเนื้อหาของกองนี้กันครับ
นโยบายในการลงทุน
ลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่มั่นคงให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน กิจการโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน ท่าอากาศยาน และกิจการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ตอนนี้มีแผนไปสร้างทางด่วนดาวคะนอง และ ที่อื่นๆ
ประโยชน์ทางภาษีของผู้ลงทุน
ภาษีเงินปันผล: ยกเว้นภาษีเงินได้บคุคลธรรมดาส าหรับเงินปันผลเป็น ระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันจดทะเบียนตั้งกองทุน ทั้งนี้สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติให้บริษัทจัดการจัดตั้งและจัดการกองทนุเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 ดังนั้นนับจากวันที่ของเอกสารฉบับนี ผู้ถือหน่วยลงทุนที่เป็น บุคคลธรรมดาจะได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาสำหรับเงินปันผลเป็นระยะเวลาประมาณ 8 ปี
ภาษีกำไรส่วนต่างราคา: ได้รับการยกเว้น
กองทุนนี้เป็นกองทุนปิด ที่ไปลงทุนในทางพิเศษฉลองรัชและบูรพาวิถี ขนาดทุนจดทะเบียนที่หนึ่งพันล้านบาท
คาดว่าจะขายได้ 41,000-45,700 ล้านบาท ความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ7
ข้อดี กองนี้มีอายุมากสุดถ้าเทียบกับกองInfraทั้งหมด ตอนนี้กองEGATIFอายุยาวสุดคือ 20ปี
กระทรวงการคลังจะถือหน่วยลงทุนใน TFFIF เป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน เป็นระยะเวลา 5 ปี ส่วนที่เหลือเสนอขายประชาชนและสถาบันการเงินรวม 90%
โดยได้รับรายได้จากค่าผ่านทางของทั้งสองแห่งเท่ากับ 45% เป็นระยะเวลา 30ปี
แต่ถ้ารายได้ที่จัดเก็บได้จริงมากกว่าที่ประมาณการมากกว่า105%ขึ้นไปก็จะลดส่วนแบ่งลงเป็น 40%
จนถึงถ้ามากกว่าที่ประมาณการ120% จะลดเหลือ 20%ที่แบ่งให้กองทุน หมายถึงว่ารายได้มากกว่าที่คาด
กองทุนก็ไม่ได้ประโยชน์จากรายได้ที่จัดเก็บเพิ่มของทางด่วนมากนัก
ดังนั้นผมขอสรุปว่ากองนี้ต้องทยอยคืนทุนให้จนครบ30ปี ดังนั้นปีนึงก็คืนทุนประมาณ 3.3% ถึงแม้ว่าทางกองทุนบอกว่าจะทยอยคืนในช่วงแรกประมาณ 0.8% ก็ตาม เพื่อจะดูว่ากองนี้ให้ผลตอบแทนจริงๆเท่าไหร่
ผลตอบแทนที่ประกาศไว้ในช่วง 4.75%- 5.3% รวมการจ่ายคืนเงินต้นด้วย
ข้อสำคัญ เมื่อครบเวลา30ปี กองทุนนี้ครบอายุก็ไม่สามารถรับรู้รายได้อีกต่อไปถ้าไม่มีการลงทุนเพิ่ม
ดังนั้น ผมคิดเสมือนลดทุนลงปีละ 3.3% ดังนั้น กองนี้จะจ่ายปันผลจริงๆประมาณไม่เกิน 2%
ถ้านำเงินฝากไม่เกิน 1% ย้ายมาลงทุนกองนี้ ก็ยังดูน่าสนใจ
แต่ถ้าเทียบกับความเสี่ยงระดับ 7 แล้วผลตอบแทนดูจะน้อยเกินไป
และถ้าเทียบกับกองที่อยู่ในตลาดที่ได้ปันผลมากกว่า 6%ต่อปี ดูน่าสนใจน้อยไปอีก
ดังนั้นเป็นการตัดสินใจของผู้ลงทุนว่าจะลงทุนกองนี้ดีหรือไม่
กองนี้บริหารจัดการโดย บลจ กรุงไทย และ บลจ MFC ดูแลผลประโยชน์โดยธนาคารกสิกรไทย
กองทุนนี้มีแผนจะกู้เงินไปลงทุนเพิ่มในทางด่วนพิเศษหมายเลข7และ9ในอนาคต
จองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 12-19 ตค สำหรับประชาชนทั่วไปที่ธนาคารกรุงเทพ
วิธีการจัดสรร แบบ small lot first ดังนั้นมีโอกาสจองได้หน่วยลงทุนแน่นอน แต่ถ้าจองเยอะอาจได้ไม่ครบที่จอง
EP12 TFFIF หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตไทย
รอคอยมานานกว่า2ปี กับไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ หรือ TFFIFหลังอนุมัติ
น่าจะเกิดปัญหาทางเทคนิคเลยออกกองได้ช้ามาก เราไปดูเนื้อหาของกองนี้กันครับ
นโยบายในการลงทุน
ลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่มั่นคงให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน กิจการโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน ท่าอากาศยาน และกิจการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ตอนนี้มีแผนไปสร้างทางด่วนดาวคะนอง และ ที่อื่นๆ
ประโยชน์ทางภาษีของผู้ลงทุน
ภาษีเงินปันผล: ยกเว้นภาษีเงินได้บคุคลธรรมดาส าหรับเงินปันผลเป็น ระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันจดทะเบียนตั้งกองทุน ทั้งนี้สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติให้บริษัทจัดการจัดตั้งและจัดการกองทนุเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 ดังนั้นนับจากวันที่ของเอกสารฉบับนี ผู้ถือหน่วยลงทุนที่เป็น บุคคลธรรมดาจะได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาสำหรับเงินปันผลเป็นระยะเวลาประมาณ 8 ปี
ภาษีกำไรส่วนต่างราคา: ได้รับการยกเว้น
กองทุนนี้เป็นกองทุนปิด ที่ไปลงทุนในทางพิเศษฉลองรัชและบูรพาวิถี ขนาดทุนจดทะเบียนที่หนึ่งพันล้านบาท
คาดว่าจะขายได้ 41,000-45,700 ล้านบาท ความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ7
ข้อดี กองนี้มีอายุมากสุดถ้าเทียบกับกองInfraทั้งหมด ตอนนี้กองEGATIFอายุยาวสุดคือ 20ปี
กระทรวงการคลังจะถือหน่วยลงทุนใน TFFIF เป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน เป็นระยะเวลา 5 ปี ส่วนที่เหลือเสนอขายประชาชนและสถาบันการเงินรวม 90%
โดยได้รับรายได้จากค่าผ่านทางของทั้งสองแห่งเท่ากับ 45% เป็นระยะเวลา 30ปี
แต่ถ้ารายได้ที่จัดเก็บได้จริงมากกว่าที่ประมาณการมากกว่า105%ขึ้นไปก็จะลดส่วนแบ่งลงเป็น 40%
จนถึงถ้ามากกว่าที่ประมาณการ120% จะลดเหลือ 20%ที่แบ่งให้กองทุน หมายถึงว่ารายได้มากกว่าที่คาด
กองทุนก็ไม่ได้ประโยชน์จากรายได้ที่จัดเก็บเพิ่มของทางด่วนมากนัก
ดังนั้นผมขอสรุปว่ากองนี้ต้องทยอยคืนทุนให้จนครบ30ปี ดังนั้นปีนึงก็คืนทุนประมาณ 3.3% ถึงแม้ว่าทางกองทุนบอกว่าจะทยอยคืนในช่วงแรกประมาณ 0.8% ก็ตาม เพื่อจะดูว่ากองนี้ให้ผลตอบแทนจริงๆเท่าไหร่
ผลตอบแทนที่ประกาศไว้ในช่วง 4.75%- 5.3% รวมการจ่ายคืนเงินต้นด้วย
ข้อสำคัญ เมื่อครบเวลา30ปี กองทุนนี้ครบอายุก็ไม่สามารถรับรู้รายได้อีกต่อไปถ้าไม่มีการลงทุนเพิ่ม
ดังนั้น ผมคิดเสมือนลดทุนลงปีละ 3.3% ดังนั้น กองนี้จะจ่ายปันผลจริงๆประมาณไม่เกิน 2%
ถ้านำเงินฝากไม่เกิน 1% ย้ายมาลงทุนกองนี้ ก็ยังดูน่าสนใจ
แต่ถ้าเทียบกับความเสี่ยงระดับ 7 แล้วผลตอบแทนดูจะน้อยเกินไป
และถ้าเทียบกับกองที่อยู่ในตลาดที่ได้ปันผลมากกว่า 6%ต่อปี ดูน่าสนใจน้อยไปอีก
ดังนั้นเป็นการตัดสินใจของผู้ลงทุนว่าจะลงทุนกองนี้ดีหรือไม่
กองนี้บริหารจัดการโดย บลจ กรุงไทย และ บลจ MFC ดูแลผลประโยชน์โดยธนาคารกสิกรไทย
กองทุนนี้มีแผนจะกู้เงินไปลงทุนเพิ่มในทางด่วนพิเศษหมายเลข7และ9ในอนาคต
จองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 12-19 ตค สำหรับประชาชนทั่วไปที่ธนาคารกรุงเทพ
วิธีการจัดสรร แบบ small lot first ดังนั้นมีโอกาสจองได้หน่วยลงทุนแน่นอน แต่ถ้าจองเยอะอาจได้ไม่ครบที่จอง
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3188
หวังว่า ภรรยา อ.โจ คงไม่ได้มาอ่าน FB หรือเข้ามาอ่าน เว็บบอร์ด ครับKaiser เขียน:เป็นห่วง อจ.โจ ข้อนี้ข้อเดียว
IndyVI เขียน:38) รู้ว่าจะตายที่ไหน อย่าไปที่นั่น
.
“หนูอยากเป็นแฟนพี่บ้างจังเลย”
หรือไม่ก็ ไว้ใจ อ.โจ อยู่แล้ว มั่นคงดั่งขุนเขา หุหุ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3189
TFFIF ที่กำลังจะเปิดขาย ผมว่าข้อมูลค่อนข้างซับซ้อน และอธิบายไม่ชัดเจน โดยเเฉพาะประเด็นผลตอบแทนที่แสดง มีส่วนคืนทุนอยู่ด้วย ดังนั้นในอนาคตอาจมีปัญหาเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของผู้ลงทุน โดยเฉพาะรายย่อย
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3190
เห็นด้วยครับ ส่วนคืนทุนไม่ได้บอกไว้ บางท่านอาจเข้าใจว่าครบ30ปี จะได้เงินคืนlukton2000 เขียน:TFFIF ที่กำลังจะเปิดขาย ผมว่าข้อมูลค่อนข้างซับซ้อน และอธิบายไม่ชัดเจน โดยเเฉพาะประเด็นผลตอบแทนที่แสดง มีส่วนคืนทุนอยู่ด้วย ดังนั้นในอนาคตอาจมีปัญหาเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของผู้ลงทุน โดยเฉพาะรายย่อย
และการเปรียบเทียบกับกองinfrastructureอื่น ก็บอกแค่อายุยาวกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้แสดงปันผลซึ่งได้น้อยที่สุดในกลุ่ม
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3191
VIKH#6 : 6/10/61 เคล็ดลับการลงทุน พี่โจ ลูกอีสาน
อ โจ ได้พูดถึงเคล็ดลับทั้ง 42 ข้อ
วันนี้มาพูดถึงข้อที่23
23. เลิกทาสกันเถอะชาวหุ้น - สิ่งที่ควรเลิก
1. ตื่นเช้าดูดาวโจนส์
2. เฝ้ามอง set index ระหว่างวัน
3. ตกเย็นดูต่างชาติซื้อหรือขาย
- สิ่งเหล่านี้คือน้ำ ถ้าวันไหนเลิกได้คือเราเป็นอิสระแล้ว
- นั่นทำให้นักลงทุนคิดเหมือนกัน และตอบสนองคล้ายๆกัน
Cr: น้องบิ๊ก I-saimon
**********************************************************************
วันนี้ได้คุยกับอ โจ ว่าที่ อ โจ พูดหมายถึง นักลงทุนวีไอที่ลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นเมืองไทย
ไม่จำเป็นต้องดูสถานการณ์ดัชนีดาวโจนส์ หรือ ต่างชาติซื้อขายเท่าไหร่ เพราะจริงๆงานหลักคือศึกษาในตัวบริษัท รวมถึงกำไร เป็นหลัก
แต่ถ้านักลงทุนที่ลงทุนลักษณะเป็น Global play ก็ต้องติดตามดูเหตุการณ์และดัชนีต่างๆประกอบการตัดสินใจลงทุน ผมเป็นคนหนึ่งที่ลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุนรวมก็เลยมีการติดตามตลาดต่างประเทศ รวมถึง commodity ด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้จะขอมาอัปเดทสถานการณ์รอบโลกซึ่งปั่นป่วนมากนับจากวันจันทร์ที่8 ตค ที่ผ่านมาหลังจากBond yieldของสหรัฐเด้งไปถึง 3.2% หมายถึง มีคนถือพันธบัตรระยะยาวเทขายแลวไปซื้อBondระยะสั้นแทน
สรุปว่ามุมมองของตลาดว่า Fedน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในช่วง ธค ที่จะถึงนี้แต่จริงๆตลาดก็คาดการณ์อยู่แล้วว่า Yield น่าจะอยู่ที่ 2.9%
การที่Yieldไปถึง 3.2% หมายความว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
Trade War ระหว่างจีนและอเมริกา ส่งผลกระทบต่อGDPของโลก ล่าสุด IMF คาดการณ์ว่าจะโตลดลง 0.2%
เหลือ 3.7%ในปีนี้และปีหน้า ส่วนGDPของสหรัฐและจีนจะลดลง 02%
จีนได้ปรับ RRR (การสำรองของธนาคารพาณิชย์)จาก 15% เหลือ 14% ปรากฏว่าทำให้นักลงทุนสถาบันมีความ
กังวลมากขึ้น ทำให้ดัชนีหุ้นของจีนลดลงกว่า4%ในวันจันทร์ที่8 และส่งผลกระทบต่อ EU ดัชนีลดลง 4% ด้วย
***********************************************************************
หลังจากทรัมป์เก็บภาษีเพิ่มกับจีนในรอบที่สอง ปรากฏว่าฐานเสียงของทรัมป์ลดลง เพราะไปกระทบกับชาวนา
ซึ่งจะกระทบต่อการเลือกตั้งในช่วงเดือน พย ด้วย ส่วนจีนก็กำลังรอผลการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้นแล้วจึงมีการเจรจา
กับสหรัฐ เพราะจีนเสียเปรียบที่ใช้อาวุธไปหมดแล้ว แต่สหรัฐยังมีอีกอย่างน้อนหนึ่งไม้ในการขึ้นภาษีในปีหน้า
สำหรับกองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ ดูจากกองทุนหุ้นจีนที่ลงมาหนักๆ ถ้าการเจรจาไปด้วยดี ก็เชื่อว่า
มีโอกาสปรับตัวเพิ่มกลับไปได้ รวมถึง กองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐก็ยังไปต่อได้ จากอัตราการว่างงานที่ลดลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ส่วนกองทุนน้ำมันก็ลุ้นว่า ถ้าสหรัฐ fully sanction อิหร่านได้ใน 7 พย ก็จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงไปอีก ซึ่งเป็นความปรารถนาของสหรัฐด้วย ดังนั้นราคาทองคำก็ไม่น่าจะไปไกล
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การศึกษาและเข้าใจในแต่ละสถานการณ์จะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น แต่การปรับพอร์ตไม่ควรทำถี่มาก อย่างมากสุดไม่เกินไตรมาสละครั้ง แต่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ก็จะทำปีละครั้งเดียว
ถ้ามีเหตุการณ์ที่ผันผวนอีก ผมจะมาอัปเดทให้อีกครั้งนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
อ โจ ได้พูดถึงเคล็ดลับทั้ง 42 ข้อ
วันนี้มาพูดถึงข้อที่23
23. เลิกทาสกันเถอะชาวหุ้น - สิ่งที่ควรเลิก
1. ตื่นเช้าดูดาวโจนส์
2. เฝ้ามอง set index ระหว่างวัน
3. ตกเย็นดูต่างชาติซื้อหรือขาย
- สิ่งเหล่านี้คือน้ำ ถ้าวันไหนเลิกได้คือเราเป็นอิสระแล้ว
- นั่นทำให้นักลงทุนคิดเหมือนกัน และตอบสนองคล้ายๆกัน
Cr: น้องบิ๊ก I-saimon
**********************************************************************
วันนี้ได้คุยกับอ โจ ว่าที่ อ โจ พูดหมายถึง นักลงทุนวีไอที่ลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นเมืองไทย
ไม่จำเป็นต้องดูสถานการณ์ดัชนีดาวโจนส์ หรือ ต่างชาติซื้อขายเท่าไหร่ เพราะจริงๆงานหลักคือศึกษาในตัวบริษัท รวมถึงกำไร เป็นหลัก
แต่ถ้านักลงทุนที่ลงทุนลักษณะเป็น Global play ก็ต้องติดตามดูเหตุการณ์และดัชนีต่างๆประกอบการตัดสินใจลงทุน ผมเป็นคนหนึ่งที่ลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุนรวมก็เลยมีการติดตามตลาดต่างประเทศ รวมถึง commodity ด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้จะขอมาอัปเดทสถานการณ์รอบโลกซึ่งปั่นป่วนมากนับจากวันจันทร์ที่8 ตค ที่ผ่านมาหลังจากBond yieldของสหรัฐเด้งไปถึง 3.2% หมายถึง มีคนถือพันธบัตรระยะยาวเทขายแลวไปซื้อBondระยะสั้นแทน
สรุปว่ามุมมองของตลาดว่า Fedน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในช่วง ธค ที่จะถึงนี้แต่จริงๆตลาดก็คาดการณ์อยู่แล้วว่า Yield น่าจะอยู่ที่ 2.9%
การที่Yieldไปถึง 3.2% หมายความว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
Trade War ระหว่างจีนและอเมริกา ส่งผลกระทบต่อGDPของโลก ล่าสุด IMF คาดการณ์ว่าจะโตลดลง 0.2%
เหลือ 3.7%ในปีนี้และปีหน้า ส่วนGDPของสหรัฐและจีนจะลดลง 02%
จีนได้ปรับ RRR (การสำรองของธนาคารพาณิชย์)จาก 15% เหลือ 14% ปรากฏว่าทำให้นักลงทุนสถาบันมีความ
กังวลมากขึ้น ทำให้ดัชนีหุ้นของจีนลดลงกว่า4%ในวันจันทร์ที่8 และส่งผลกระทบต่อ EU ดัชนีลดลง 4% ด้วย
***********************************************************************
หลังจากทรัมป์เก็บภาษีเพิ่มกับจีนในรอบที่สอง ปรากฏว่าฐานเสียงของทรัมป์ลดลง เพราะไปกระทบกับชาวนา
ซึ่งจะกระทบต่อการเลือกตั้งในช่วงเดือน พย ด้วย ส่วนจีนก็กำลังรอผลการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้นแล้วจึงมีการเจรจา
กับสหรัฐ เพราะจีนเสียเปรียบที่ใช้อาวุธไปหมดแล้ว แต่สหรัฐยังมีอีกอย่างน้อนหนึ่งไม้ในการขึ้นภาษีในปีหน้า
สำหรับกองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ ดูจากกองทุนหุ้นจีนที่ลงมาหนักๆ ถ้าการเจรจาไปด้วยดี ก็เชื่อว่า
มีโอกาสปรับตัวเพิ่มกลับไปได้ รวมถึง กองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐก็ยังไปต่อได้ จากอัตราการว่างงานที่ลดลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ส่วนกองทุนน้ำมันก็ลุ้นว่า ถ้าสหรัฐ fully sanction อิหร่านได้ใน 7 พย ก็จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงไปอีก ซึ่งเป็นความปรารถนาของสหรัฐด้วย ดังนั้นราคาทองคำก็ไม่น่าจะไปไกล
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การศึกษาและเข้าใจในแต่ละสถานการณ์จะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น แต่การปรับพอร์ตไม่ควรทำถี่มาก อย่างมากสุดไม่เกินไตรมาสละครั้ง แต่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ก็จะทำปีละครั้งเดียว
ถ้ามีเหตุการณ์ที่ผันผวนอีก ผมจะมาอัปเดทให้อีกครั้งนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3192
อ โจ ได้แบ่งเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
ถ้าเราจะตามไปลงทุน การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นอีกทางเลือกนึง
วันนี้ Kasset เปิด IPO กองK-Vietnam กองนี้เป็นกองล่าสุดที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
บริหารโดยบลจ กสิกรไทย
ผมได้ข้อมูลจาก น้องเต๋า น้องเป้ จาก VVI รวมถึง น้องต่าย และ คุณอุ๋ม
ต้องขอบคุณมากครับ เพราะหาข้อมูลค่อนข้างยากสำหรับกองนี้
K-Vietnam มีสัดส่วนลงทุนเองในหุ้น , ETF และกองทุนรวมที่เวียดนาม สัดส่วนประมาณ 80%โดยมีนักวิเคราะห์9คนที่ดูแลอยู่
----------------------------------------------------------------
นโยบายการลงทุนคล้ายกับ CIMB-Vietnam
สามารถซื้อ ขายได้ทุกวัน เหมือนกับกองเวียดนามของ บลจ วรรณ
IPO ระหว่าง 16-22 ตุลาคม 61 Front end fee คิดแค่ 1% โดยได้รับกองตราสารหนี้ 100 บาท ต่อการซื้อทุก 50,000บาทในช่วง IPO และสามารถซื้อเพิ่มได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตค 61 แต่ Frontend fee คิดเป็น 1.5%
กองทุนนี้ซื้อ ขายได้ทุกวัน แต่ทำรายการไม่เกิน 12.00 น
-----------------------------------------------------------------
ผมสรุปข้อดีและข้อเสียของกองทุนนี้ในความคิดเห็นของผมมาให้สำหรับคนที่สนใจครับ
ข้อดีของกองทุนนี้
1.สำหรับคนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นที่ราคายังไม่แพง คล้ายไทยเมื่อ20ปีก่อน มีโอกาสเติบโตเหมือนไทย
ช่วงนี้ราคาไม่ค่อยแพง เพราะดัชนีลงจาก 1,200 มาที่ ประมาณ 900กว่าจุด
2.ต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากมาย ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตขึ้น ทำให้การบริโภคในประเทศสูงขึ้น เราสามารถไปแชร์เรื่องการเติบโตกับเวียดนามได้ผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนบริษัทต่างๆในเวียดนามได้
3.เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้ และ ได้ผลตอบแทนอย่างน้อยเท่ากับดัชนีของตลาดหุ้นเวียดนาม
4.ไม่ต้องปวดหัวในการศึกษาหุ้นเวียดนาม เพราะส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม ทำความเข้าใจยาก
5.ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาทในกองทุนรวม เทียบกับลงทุนหุ้นเอง ต้องใช้เงินมากกว่านี้ ถ้าลงในprivate fundขั้นต่ำที่เห็น3ล้านบาทขึ้นไป
6.ถือเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งในportfoiloเพื่อทำให้พอร์ตกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น
7.ถ้าตลาดหุ้นเวียดนามซึ่งเป็นตลาดชายขอบ ได้รับการอัปเกรดเป็นตลาดเกิดใหม่
ทำให้ราคาหุ้นโตได้อีกเยอะจากสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น
8.กองทุนนี้สภาพคล่องสูง สามารถซื้อ และ ขายได้ทุกวัน แต่เงินจากการขายจะได้รับตอน T+5
ข้อเสีย
1.สำหรับนักลงทุนที่ปกติชอบศึกษาบริษัทเอง อาจไม่ชอบลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะต้องเสีย
ค่าบริหารให้กับกองทุนรวม และ ไม่ได้ใช้ฝีมือตัวเองในการวิเคราะห์บริษัท อันนี้หลายคนนำมาเป็นปัจจัยจะซื้อหรือไม่
2.ส่วนของETF ซึ่งมีหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งอาจไม่ชอบบางบริษัทที่ราคาแพงไป แต่ต้องซื้อไปด้วย
3.เรายังไม่รู้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนว่าเก่งขนาดไหน ข้อนี้แก้ไขโดยอาจรอให้ผลประการออกมาแน่ชัดก่อนแล้วค่อยลงทุนก็ได้
4.สำหรับคนที่ลงในระยะสั้น อาจไม่เหมาะ
เพราะต้องถือกองทุนมากกว่า1ปีขึ้นไป เพื่อรอให้เวียดนามเติบโต เราจะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้น
บทความนี้เป็นข้อมูลและข้อคิดเห็นส่วนตัว นักลงทุนต้องตัดสินใจเองว่าการลงทุนนี้เหมาะสมกับ
ตัวเองหรือไม่
ถ้าเราจะตามไปลงทุน การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นอีกทางเลือกนึง
วันนี้ Kasset เปิด IPO กองK-Vietnam กองนี้เป็นกองล่าสุดที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
บริหารโดยบลจ กสิกรไทย
ผมได้ข้อมูลจาก น้องเต๋า น้องเป้ จาก VVI รวมถึง น้องต่าย และ คุณอุ๋ม
ต้องขอบคุณมากครับ เพราะหาข้อมูลค่อนข้างยากสำหรับกองนี้
K-Vietnam มีสัดส่วนลงทุนเองในหุ้น , ETF และกองทุนรวมที่เวียดนาม สัดส่วนประมาณ 80%โดยมีนักวิเคราะห์9คนที่ดูแลอยู่
----------------------------------------------------------------
นโยบายการลงทุนคล้ายกับ CIMB-Vietnam
สามารถซื้อ ขายได้ทุกวัน เหมือนกับกองเวียดนามของ บลจ วรรณ
IPO ระหว่าง 16-22 ตุลาคม 61 Front end fee คิดแค่ 1% โดยได้รับกองตราสารหนี้ 100 บาท ต่อการซื้อทุก 50,000บาทในช่วง IPO และสามารถซื้อเพิ่มได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตค 61 แต่ Frontend fee คิดเป็น 1.5%
กองทุนนี้ซื้อ ขายได้ทุกวัน แต่ทำรายการไม่เกิน 12.00 น
-----------------------------------------------------------------
ผมสรุปข้อดีและข้อเสียของกองทุนนี้ในความคิดเห็นของผมมาให้สำหรับคนที่สนใจครับ
ข้อดีของกองทุนนี้
1.สำหรับคนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นที่ราคายังไม่แพง คล้ายไทยเมื่อ20ปีก่อน มีโอกาสเติบโตเหมือนไทย
ช่วงนี้ราคาไม่ค่อยแพง เพราะดัชนีลงจาก 1,200 มาที่ ประมาณ 900กว่าจุด
2.ต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากมาย ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตขึ้น ทำให้การบริโภคในประเทศสูงขึ้น เราสามารถไปแชร์เรื่องการเติบโตกับเวียดนามได้ผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนบริษัทต่างๆในเวียดนามได้
3.เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้ และ ได้ผลตอบแทนอย่างน้อยเท่ากับดัชนีของตลาดหุ้นเวียดนาม
4.ไม่ต้องปวดหัวในการศึกษาหุ้นเวียดนาม เพราะส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม ทำความเข้าใจยาก
5.ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาทในกองทุนรวม เทียบกับลงทุนหุ้นเอง ต้องใช้เงินมากกว่านี้ ถ้าลงในprivate fundขั้นต่ำที่เห็น3ล้านบาทขึ้นไป
6.ถือเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งในportfoiloเพื่อทำให้พอร์ตกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น
7.ถ้าตลาดหุ้นเวียดนามซึ่งเป็นตลาดชายขอบ ได้รับการอัปเกรดเป็นตลาดเกิดใหม่
ทำให้ราคาหุ้นโตได้อีกเยอะจากสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น
8.กองทุนนี้สภาพคล่องสูง สามารถซื้อ และ ขายได้ทุกวัน แต่เงินจากการขายจะได้รับตอน T+5
ข้อเสีย
1.สำหรับนักลงทุนที่ปกติชอบศึกษาบริษัทเอง อาจไม่ชอบลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะต้องเสีย
ค่าบริหารให้กับกองทุนรวม และ ไม่ได้ใช้ฝีมือตัวเองในการวิเคราะห์บริษัท อันนี้หลายคนนำมาเป็นปัจจัยจะซื้อหรือไม่
2.ส่วนของETF ซึ่งมีหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งอาจไม่ชอบบางบริษัทที่ราคาแพงไป แต่ต้องซื้อไปด้วย
3.เรายังไม่รู้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนว่าเก่งขนาดไหน ข้อนี้แก้ไขโดยอาจรอให้ผลประการออกมาแน่ชัดก่อนแล้วค่อยลงทุนก็ได้
4.สำหรับคนที่ลงในระยะสั้น อาจไม่เหมาะ
เพราะต้องถือกองทุนมากกว่า1ปีขึ้นไป เพื่อรอให้เวียดนามเติบโต เราจะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้น
บทความนี้เป็นข้อมูลและข้อคิดเห็นส่วนตัว นักลงทุนต้องตัดสินใจเองว่าการลงทุนนี้เหมาะสมกับ
ตัวเองหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3193
สรุปหนังสือ Rise of The Robots ตอนที่1 By Seminar Knowledge by Amorn
หนังสือเขียนโดย Martin Ford และแปลโดย คุณทีปกร วุฒิพิทยามงคล
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจเพราะได้รับรางวัลหนังสือธุรกิจแห่งปี 2015 จาก Financial Time&Mckinsey Business
------------------------------------------------------------------------------------
Martin Ford เป็นนักอนาคตวิทยาและนักเขียนที่เน้นเรื่องผลกระทบจากAI และ หุ่นยนต์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ
หนังสือเล่มนี้เกริ่นนำโดยพูดถึงเรื่อง ประสิทธิภาพของการผลิตและค่าแรง ระหว่างปี 1970 กับ ปี 2013
ผลผลิตเพิ่มขึ้น 107% แต่ค่าแรงกลับลดลง 13% หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว
ช่วง ปี 1970 เกิดทั้งภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง พ่วงเงินเฟ้อ และ วิกฤตพลังงาน แต่ยังสร้างงานใหม่เพิ่ม 27%
เปรียบเทียบกับทศวรรษแรกของศตวรรษที่21 ไม่ได้สร้างตำแหน่งงานใหม่ๆเลย
ความเลื่อมล้ำทางรายได้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่เคยมาก่อนตั้งแต่ปี 1929 ความมั่งคั่งของคนกลุ่มน้อยแค่5%
เพิ่มสูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
--------------------------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่มนี้พูดถึงว่าหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนคนได้ ยกตัวอย่างเช่น งานจัดเรียงกล่อง
อุปกรณ์เล่นเกมได้พัฒนาอย่างรวดเร็วโดย บริษัท นินเทนโด พัฒนาเกมวี โดยมีอุปกรณ์จับความเร่งฝังอยู่ข้างใน
ทำให้การเล่นเกมพลิกโฉมไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นักพัฒนาหุ่นยนต์ได้นำเทคโนโลยีคิเน๊กต์ ไปช่วยทำให้หุ่นยนต์
มองเห็นในราคาที่ถูกมาก ทำให้เครื่องจักรมีความสามารถในการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ในราคาจับต้องได้
ซึ่งต่อมาก็มีผลต่อการจ้างแรงงาน เช่น โรงงานFoxconซึ่งผลิตอุปกรณ์สำหรับมือถือI-Phone เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์
ประกอบแทนคน และ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการผลิต จากเมื่อก่อนย้ายโรงงานผลิตไปที่แรงงานถูก
ต่อไปก็จะมีการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยใช้หุ่นยนต์ผลิตแทน ต้นทุนไม่แตกต่างแต่
สะดวกในการขนส่งไปยังผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ บริษัท Casio มีแผนย้ายฐานการผลิตจากไทยไปญี่ปุ่น
------------------------------------------------------------------------------------
ธุรกิจภาคบริการ ถือเป็นอีกภาคที่ใช้แรงงานค่อนข้างมาก และมีการเรียกร้องขึ้นค่าแรงอยู่เสมอก็เป็นอีกธุรกิจที่มีโอกาส
ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ในการให้บริการ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่น เครือข่ายร้านซูซิคุระ ได้บุกเบิกการใช้ระบบอัตโนมัติจนสำเร็จ
หุ่นยนต์จะปั้นซูชิและใช้สายพานแทนพนักงานเสิร์ฟ ในเมืองไทยก็มีบางร้านใช้หุ่นยนต์และสายพานให้บริการ
หุ่นยนต์ในภาคบริการ
ปี2000 คนงานที่ทำงานในเรือกสวนไร่นา ลดลงจาก 50% เหลือแค่ 2% เครื่องจักร จะทำหน้าที่ในการปลูกพืชไร่
ส่วน2%มีหน้าที่ในการเก็บผลไม้ที่เปราะบางและมีราคาแพง รวมไปถึงไม้ดอกไม้ประดับ
รออ่านตอนต่อไปนะครับ
หนังสือเขียนโดย Martin Ford และแปลโดย คุณทีปกร วุฒิพิทยามงคล
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจเพราะได้รับรางวัลหนังสือธุรกิจแห่งปี 2015 จาก Financial Time&Mckinsey Business
------------------------------------------------------------------------------------
Martin Ford เป็นนักอนาคตวิทยาและนักเขียนที่เน้นเรื่องผลกระทบจากAI และ หุ่นยนต์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ
หนังสือเล่มนี้เกริ่นนำโดยพูดถึงเรื่อง ประสิทธิภาพของการผลิตและค่าแรง ระหว่างปี 1970 กับ ปี 2013
ผลผลิตเพิ่มขึ้น 107% แต่ค่าแรงกลับลดลง 13% หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว
ช่วง ปี 1970 เกิดทั้งภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง พ่วงเงินเฟ้อ และ วิกฤตพลังงาน แต่ยังสร้างงานใหม่เพิ่ม 27%
เปรียบเทียบกับทศวรรษแรกของศตวรรษที่21 ไม่ได้สร้างตำแหน่งงานใหม่ๆเลย
ความเลื่อมล้ำทางรายได้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่เคยมาก่อนตั้งแต่ปี 1929 ความมั่งคั่งของคนกลุ่มน้อยแค่5%
เพิ่มสูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
--------------------------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่มนี้พูดถึงว่าหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนคนได้ ยกตัวอย่างเช่น งานจัดเรียงกล่อง
อุปกรณ์เล่นเกมได้พัฒนาอย่างรวดเร็วโดย บริษัท นินเทนโด พัฒนาเกมวี โดยมีอุปกรณ์จับความเร่งฝังอยู่ข้างใน
ทำให้การเล่นเกมพลิกโฉมไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นักพัฒนาหุ่นยนต์ได้นำเทคโนโลยีคิเน๊กต์ ไปช่วยทำให้หุ่นยนต์
มองเห็นในราคาที่ถูกมาก ทำให้เครื่องจักรมีความสามารถในการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ในราคาจับต้องได้
ซึ่งต่อมาก็มีผลต่อการจ้างแรงงาน เช่น โรงงานFoxconซึ่งผลิตอุปกรณ์สำหรับมือถือI-Phone เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์
ประกอบแทนคน และ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการผลิต จากเมื่อก่อนย้ายโรงงานผลิตไปที่แรงงานถูก
ต่อไปก็จะมีการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยใช้หุ่นยนต์ผลิตแทน ต้นทุนไม่แตกต่างแต่
สะดวกในการขนส่งไปยังผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ บริษัท Casio มีแผนย้ายฐานการผลิตจากไทยไปญี่ปุ่น
------------------------------------------------------------------------------------
ธุรกิจภาคบริการ ถือเป็นอีกภาคที่ใช้แรงงานค่อนข้างมาก และมีการเรียกร้องขึ้นค่าแรงอยู่เสมอก็เป็นอีกธุรกิจที่มีโอกาส
ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ในการให้บริการ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่น เครือข่ายร้านซูซิคุระ ได้บุกเบิกการใช้ระบบอัตโนมัติจนสำเร็จ
หุ่นยนต์จะปั้นซูชิและใช้สายพานแทนพนักงานเสิร์ฟ ในเมืองไทยก็มีบางร้านใช้หุ่นยนต์และสายพานให้บริการ
หุ่นยนต์ในภาคบริการ
ปี2000 คนงานที่ทำงานในเรือกสวนไร่นา ลดลงจาก 50% เหลือแค่ 2% เครื่องจักร จะทำหน้าที่ในการปลูกพืชไร่
ส่วน2%มีหน้าที่ในการเก็บผลไม้ที่เปราะบางและมีราคาแพง รวมไปถึงไม้ดอกไม้ประดับ
รออ่านตอนต่อไปนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3194
พันธบัตรออมทรัพย์น่าสนใจไหมในสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น
สถานการณ์ปัจจุบันของดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น จากเศรษฐกิจเริ่มเติบโตขึ้น
และ สถานการณ์ภายนอกประเทศที่อัตราดอกเบี้ยของFEDที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่า
FEDจะปรับดอกเบี้ยเพิ่มอีกเป็นครั้งที่สี่ในปีนี้ ยิ่งเป็นปัจจัยให้ธนาคารกลางของไทยมีโอกาส
ปรับดอกเบี้ยสูงในปลายปีนี้
ช่วงนี้กระทรวงการคลัง ได้ออกพันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ครั้งที่1
เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท ขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง
จ่ายดอกเบี้ยปีละ2ครั้ง ทุกวันที่ 19 พค และ 19 พย
โดยมีพันธบัตร สองรุ่น คือ
1.อายุ 3 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 2.46% ต่อปี
2.อายุ 7 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี
สามารถติดต่อซื้อ ได้ที่ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น
ตอนนี้มีข่าวว่าปีหน้า กองทุนรวมตราสารหนี้ที่เป็น Term Fund
จะต้องเสียภาษีของเงินปันผลอัตราเดียวกับตราสารหนี้
คือ 15%ทำให้ความสนใจในตราสารหนี้น้อยลงไป ถ้าเทียบระหว่างตราสารหนี้Term Fundที่อายุ3ปีเท่ากันที่ลงในพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ในประเทศไทย หลังหักภาษีเงินปันผลแล้ว ทำให้ความได้เปรียบของกองทุนรวมที่ไม่เสียภาษีเงินปันผลหมดไป ส่วนพันธบัตรรุ่น 7 ปี ระยะเวลายาวไปในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ดูไม่น่าสนใจ
ผมขอสรุปข้อดีและข้อเสียของพันธบัตรรุ่น3ปีนะครับ
ข้อดี
1.อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ น่าจูงใจเพราะอัตราดอกเบี้ยในตลาด 3 ปีได้แค่ 2.08% แต่พันธบัตร3ปีรุ่น1/2562 ให้ถึง2.46%
2.เป็นพันธบัตรที่มีcredit risk ใกล้เคียงกับ risk free rate ความเสี่ยงต่ำมาก
3.ระยะเวลาสั้น ดังนั้นถ้าต้องการขายต่อในตลาดรอง ราคาไม่ผันผวนมากเมื่อเทียบกับรุ่น 7 ปี
4.ขั้นต่ำในการซื้อ 1,000 บาท สามารถทยอยซื้อได้จนถึงปีหน้า
5.คนที่ลงทุนเป็นportfolioที่มีทั้งตราสารหนี้ไทย/ต่างประเทศ ,ตราสารทุนหรือหุ้น อสังหาริมทรัพย์และทองคำ
นี่คือสินทรัพย์ในส่วนตราสารหนี้ที่น่าสนใจเก็บไว้ในportเพราะความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนน่าสนใจ
ข้อเสีย
1.ถ้าไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ อาจได้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่เท่าที่ดูตอนนี้สูงกว่าไม่มาก
แต่ความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศสูงกว่าลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์มาก
2.สภาพคล่องน้อย ถ้าต้องการใช้เงิน ต้องขายในตลาดรอง และ อาจได้ราคาต่ำกว่าที่ซื้อ
3.คนที่รับความเสี่ยงได้สูง พันธบัตร3ปีดูไม่น่าสนใจ เพราะผลตอบแทนหลังหักภาษีแค่ 2.1%
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (propertyfund,RIETs,Infra fund)ดูน่าสนใจกว่า ถ้าเลือกกองได้ถูก
สุดท้ายก็เป็นการประเมินของแต่ละคนว่าพันธบัตร3ปี1เดือน น่าสนใจกับเราหรือไม่ เพราะแต่ละคนยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากัน และกลยุทธ์ในการลงทุนแตกต่างกัน
สถานการณ์ปัจจุบันของดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น จากเศรษฐกิจเริ่มเติบโตขึ้น
และ สถานการณ์ภายนอกประเทศที่อัตราดอกเบี้ยของFEDที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่า
FEDจะปรับดอกเบี้ยเพิ่มอีกเป็นครั้งที่สี่ในปีนี้ ยิ่งเป็นปัจจัยให้ธนาคารกลางของไทยมีโอกาส
ปรับดอกเบี้ยสูงในปลายปีนี้
ช่วงนี้กระทรวงการคลัง ได้ออกพันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ครั้งที่1
เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท ขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง
จ่ายดอกเบี้ยปีละ2ครั้ง ทุกวันที่ 19 พค และ 19 พย
โดยมีพันธบัตร สองรุ่น คือ
1.อายุ 3 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 2.46% ต่อปี
2.อายุ 7 ปี 1 เดือน ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี
สามารถติดต่อซื้อ ได้ที่ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น
ตอนนี้มีข่าวว่าปีหน้า กองทุนรวมตราสารหนี้ที่เป็น Term Fund
จะต้องเสียภาษีของเงินปันผลอัตราเดียวกับตราสารหนี้
คือ 15%ทำให้ความสนใจในตราสารหนี้น้อยลงไป ถ้าเทียบระหว่างตราสารหนี้Term Fundที่อายุ3ปีเท่ากันที่ลงในพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ในประเทศไทย หลังหักภาษีเงินปันผลแล้ว ทำให้ความได้เปรียบของกองทุนรวมที่ไม่เสียภาษีเงินปันผลหมดไป ส่วนพันธบัตรรุ่น 7 ปี ระยะเวลายาวไปในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ดูไม่น่าสนใจ
ผมขอสรุปข้อดีและข้อเสียของพันธบัตรรุ่น3ปีนะครับ
ข้อดี
1.อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ น่าจูงใจเพราะอัตราดอกเบี้ยในตลาด 3 ปีได้แค่ 2.08% แต่พันธบัตร3ปีรุ่น1/2562 ให้ถึง2.46%
2.เป็นพันธบัตรที่มีcredit risk ใกล้เคียงกับ risk free rate ความเสี่ยงต่ำมาก
3.ระยะเวลาสั้น ดังนั้นถ้าต้องการขายต่อในตลาดรอง ราคาไม่ผันผวนมากเมื่อเทียบกับรุ่น 7 ปี
4.ขั้นต่ำในการซื้อ 1,000 บาท สามารถทยอยซื้อได้จนถึงปีหน้า
5.คนที่ลงทุนเป็นportfolioที่มีทั้งตราสารหนี้ไทย/ต่างประเทศ ,ตราสารทุนหรือหุ้น อสังหาริมทรัพย์และทองคำ
นี่คือสินทรัพย์ในส่วนตราสารหนี้ที่น่าสนใจเก็บไว้ในportเพราะความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนน่าสนใจ
ข้อเสีย
1.ถ้าไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ อาจได้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่เท่าที่ดูตอนนี้สูงกว่าไม่มาก
แต่ความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศสูงกว่าลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์มาก
2.สภาพคล่องน้อย ถ้าต้องการใช้เงิน ต้องขายในตลาดรอง และ อาจได้ราคาต่ำกว่าที่ซื้อ
3.คนที่รับความเสี่ยงได้สูง พันธบัตร3ปีดูไม่น่าสนใจ เพราะผลตอบแทนหลังหักภาษีแค่ 2.1%
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (propertyfund,RIETs,Infra fund)ดูน่าสนใจกว่า ถ้าเลือกกองได้ถูก
สุดท้ายก็เป็นการประเมินของแต่ละคนว่าพันธบัตร3ปี1เดือน น่าสนใจกับเราหรือไม่ เพราะแต่ละคนยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากัน และกลยุทธ์ในการลงทุนแตกต่างกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3195
ขอบคุณและสุขสันต์วันเกิด 4ตค. ท่านพี่amornkowaอีกปีนะฮะ (ครั้งที่แล้วกระทู้นี้หน้า99)
เดือนตค.ปีนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาเลคเชอร์อ.ลูกอิสานมาลงต้อนรับวีไอน้องใหม่ที่เพิ่งเกษียณฮะ
แต่บังเอิญเพิ่งมารู้ว่าอาจารย์และเพื่อนกัลยาณมิตรในห้องหาดใหญ่ เกิดเดือนนี้กันหลายท่าน
อ.leky 2ตค.
ท่านลูกหิน 15ตค.
ท่านดำ 25ตค.
เลยขอลอกหนังสือ "ทำนายชีวิตจากตัวเลขวันเกิด" ของคุณจุฑามาศ ณ สงขลา เล่มเดิมมาดูดวงสนุกๆกันนะฮะ
คนเกิดวันที่2
มุมานะอุตสาหะดีเยี่ยม ต่อให้เกิดมาจนก็สร้างเนื้อสร้างตัวให้ก้าวหน้าได้ ทะเยอทะยานรักธรรมชาติ รับราชการจะเด่น
อีกด้านคืองานใช้คำพูด เช่นนักกฎหมาย ทนายความ การทูต รักสงบ ไม่ชอบเผชิญหน้า
นิสัย
รักสันติ สันโดษ รับผิดชอบสูง รับฟังความเห็นผู้อื่นแต่ดื้อหัวชนฝาเงียบๆ ฉลาดคล่องแคล่ว ไฝ่ฝันสูงมุมานะ
แต่ก็มีมากที่อ่อนไหวจนอาจดูเหมือนทำร้ายจิตใจคนอื่น เพราะกลัวและปกป้องตัวเองมากไป บางทีมองโลกแง่ร้่ายเกินเหตุ ถ้าเขื่อใครคนนึงจะปักใจเชื่อทุกเรื่อง เขื่อมั่นตัวเองแต่ซ่อนความไม่มั่นใจไว้ข้างใน ไม่ค่อยรู้ใจตัวเองว่า
อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรกันแน่ มักพลิกชีวิตให้ล่มสลายหรือก้าวกระโดดได้เพราะใจตัวเองเป็นใหญ่
สติปัญญา
ฉลาด เอาใจใส่เรียนรู้ดี เหมาะกับปรัชญา อักษรศาสตร์ เป็นคนคิดซับซ้อน ไม่เหมาะกับวิทยาศาสตร์(อ้าว..)
เพราะแม้ชอบค้นคว้าแต่ก็มักเป็นเรื่องย้อนสมัย ดังนั้นถ้าเป็นประวัติศาสตร์ โบราณคดีจะไปได้ไกล
สติปัญญาเอาตัวรอดมีสูง แต่ความคิดเชยๆ เรื่องสมัยใหม่ไม่ค่อยทัน ก้าวทันโลกเรื่องเดียวคือเรื่องเดินทาง
ยิ่งเดินทางไกลยิ่งเรียนรู้มาก แต่ก็เป็นเรื่องศิลปะประวัติศาสตร์อยู่ดี
มองโลกและมองชีวิตแบบมีแง่มุม ซับซ้อน ชอบสั่งสอนอบรม แต่ไม่ชอบเป็นผู้นำ มั่นใจเรื่องสติปัญญาความรอบรู้เมื่อมีคนให้กำลังใจไกล้ๆ(ผมจะคอยยุ เอ๊ย เชียร์นะฮะ)
อาชีพ
นักประวัติศาสตร์มักเกิดวันที่2 ความที่ชอบเก็บตัวทำให้เหมาะกับงานในห้องทดลอง หรืออยู่บ้านที่ไม่ต้องเจอคนเยอะๆ เป็นนักเขียน วิจัย แต่งเพลงก็ได้
ความสำเร็จด้านธุรกิจก็ทำได้แม้เป็นลูกจ้าง ทำงานในองค์กรใหญ่ก็ได้ดีถ้าไม่เอาใจตัวเองมากนัก
เป็นนักประดิษฐ์ก็ได้ เพราะชอบสร้างสิ่งแปลกใหม่ อายุมากยิ่งมั่นใจด้านอาชีพแต่จะทำงานน้อยลง
บางทีอาจไม่เอาใจใส่สิ่งรอบข้าง เบื่อหน่ายคนรอบข้างจนอาจหันหลังให้งานประจำไปทำงานเล็กๆที่มีคุณค่าทางใจมากกว่าทำเพื่อเงิน
การเงิน
หาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง เก็บเงินแบบค่อนจะขี้เหนียว บางครั้งประหยัดเรื่องกินอยู่จนดูเหมือนเกินเหตุ
แต่กลับไม่เหนียวเรื่องเดินทางท่องเที่ยว ถึงเงินไม่มากตอนเด็ก แต่ก็สร้างตัวจนรวยได้
กระแสเงินจะสะพัดจาก เงินเดือนประจำ ทางธุรกิจได้จากลูกจ้างมากกว่าการลงทุน ไม่ค่อยกล้าได้กล้าเสียเรื่องเงินนัก
ไม่มีผิดพลาดเรื่องเงินแบบเสี่ยงๆ แต่ก็อาจพลาดโอกาสจากเงินที่วูบเข้ามาด้วย
ไฝ่ฝันเรื่องเงินจนลืมสติปัญญาตัวเองไป บางคนอาจให้ค่าเงินมากกว่าค่าความรู้ความคิด
ปั้นปลายจะหมดไปกับการช่วยเหลือคน แจกลูกหลาน ถึงจะมีเงินเท่าไรแต่คนเกิดวันที่2ก็มักไม่ค่อยมีความสุขกับเงินที่มี ช่วงหนุ่มสาวมักไม่ให้เงินใครเปล่าๆหรือให้ยืมเงินง่ายๆ เพราะมีความอ่อนไหวเรื่องเงินสูง
ครอบครัว
สัมพันธ์ดีกับพ่อแม่พี่น้อง ตอนโตจะห่างบ้านมาเรียนหรือทำงานไกล ติดต่อครอบครัวสม่ำเสมอ สนับสนุนญาติพี่น้องพอควร ยางทียอมลำบากจนเสียความสบายของตัวเอง เป็นคนเสียสละเพื่อครอบครัว
ผู้หญิงเกิดวันที่2 มักไม่ยอมแยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่น แต่งงานแล้วก็ยังอยู่ไกล้กัน โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเป็นที่รักของญาติมิตร มักรับหน้าที่อย่างเต็มใจทุกเรื่อง
ผู้ชายวันที่2 ถึงจะใด้ดีไกลบ้านก็ยังไปมาหาสู่ไม่ขาด ในที่สุดก็จะกลับไปสร้างบ้านไกล้พ่อแม่นั่นแหละ
ผูกพันกับอดีตและชนบท แสดงออกเป็นมิตรแบบคนชนบท แต่โลเลเปลี่ยนแปรง่ายจนคนรอบตัวไม่ค่อยเข้าใจ
หลงเสน่ห์เพศตรงข้ามเสมอ ทำให้ครอบครัวพี่น้องห่วงว่าจะตกบ่วงเสน่ห์อยู่บ่อย
ความรักคู่ครอง
มีหลายครั้ง เพราะเชื่อคำเพศตรงข้ามง่ายๆ กว่าจะมีรักแท้ต้องผ่านอกหักหลายครั้งและอาจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับครอบครัวก็มี เช่นรักคนนึงแต่งอีกคนนึง ด้วยเพราะไม่มั่นใจตัวเอง
ชีวิตแต่งงานมักดีตอนแรก แต่อาจมีเหตุสั่นสะเทือนชีวิตคู่จนต้องทนทั้งที่ไม่รัก สิ่งที่ห่วงกังวลคือเรื่องลูก
วัยกลางคนอาจได้แยกห่างแต่ไม่ถึงหย่าร้าง อาจพบรักใหม่ที่จัดการอะไรให้ดีกว่าอยู่ด้วยกันเฉยๆไม่ได้(อ่านแล้วงงแฮะ)บั้นปลายอาจอ้างว้าง แต่มีความสุขเพราะการรู้จักความรัก(นี่ก็งง)
จินตนาการความรักสูงส่ง ธรรมชาติลุ่มหลงง่าย วัยหนุ่มสาวสนใจกามารมณ์เป็นเรื่องใหญ่(เลยมาแล้วใช่มั้ยฮะ)จนทำให้เกิดแผลรักในใจไม่รู้จบ โอกาสรักดีเยี่ยมของคนเกิดวันที่2จะอยู่ช่วง30-35 ระวังเลือกผิดจนเกิดความรับผิดชอบทำให้ครอบครัวตึงเครียด
เพราะปรารถนาดีทำให้ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เรียกร้องสันติ รักสงบ สนใจสมาธิเพื่อเติมเต็มด้านการครองคู่
สุขภาพ
ระวังโรคทางเดินอาหาร นอกนั้นก็หวัด ภูมิแพ้ กระหม่อมบางแพ้อากาศง่าย นอกนั้นไม่ต้องห่วง
พอกลางคนจะร่างกายแข็งแรง แต่ใจอาจเศร้าหมอง เก็บตัวไม่พูดจา อุบัติเหตุไม่มี มีสิ่งศักสิทธ์คุ้มครองดี
เดินทางไกล้ไกลมีคนช่วยเหลืออุปถัมภ์ ระวังโรคจิตใจนี่แหละ อีกอย่างก็วัณโรคกับต่อมน้ำเหลือง
เพื่อนมิตรศัตรู
เป็นมิตรกับผู้คนสูง จะมีคนรักใคร่ผูกพันฉันมิตรเยอะ มีคนปรารถนาดีและสนันสนุนช่วยเหลือมากทั้งเพศเดียว เพศตรงข้าม และผู้ใหญ่ แต่อาจขัดแย้งในตัวเองเด่นชัดจนคนรอบข้างระอา แต่ด้วยอิทธิพลดาวจันทร์ทำให้เสน่ห์แรงดึงดูดมิตรให้ช่วยผ่านเรื่องผิดพลาดน่ารำคาญไปได้
รักใคร่ใยดีกับเพื่อนมากพอควร จริงใจแต่ไม่แสดงออก อ่อนโยนและชอบคบรุ่นพี่มากหน้าหลายตา
ทำตาามและเดินตามรอยรุ่นพี่ อ่อนโยนเข้าใจคนรอบข้าง มีเสน่ห์ให้คนรักใคร่เอ็นดู
ศัตรูก็เรื่องรักใคร่นี่ล่ะ ระวังจะเกิดจากเรื่องกามารมณ์ ศัตรูทางการงานก็มีบ้างถ้าเป็นการเมือง
ถ้าขึ้นถึงจุดสูงสุดก็ไม่นานจะโดนศัตรูดึงลงจนได้ หลายครั้งต้องผลัดกันรุกผลัดกันรับ..(พูดถึงเรื่องงานนะฮะ)
บริวาร
ไม่ค่อยมีรายล้อม ตัวเองเป็นบริวารตัวเอง ยังมีดวงเป็นบริวารคนอื่นอีก
ใครได้คนเกิดวันที่2เป็นบริวาร จะได้ความภักดีจงรักไม่เสื่อมคลาย
แต่คนเกิดวันที่2 ถ้าได้บริวาร มักได้บริวารนำแต่เรื่องเดือดร้องเสียเงินทองมาให้
โชคลาภ
มีมรดกเป็นบ้านที่ดิน แม้ไม่เคยคาดว่าจะได้ แต่ก็ได้รับอยู่ดี
โชคลาภอีกอย่างคือก้าวหน้ารวดเร็วเรื่องอาชีพการงาน ชดเชยเรื่องครอบครัว มีโชคลาภด้านเงินจากผู้ใหญ่เสมอ
จะมีโชคลาภจากอาชีพเกี่ยวกับน้ำหรืออาศัยริมน้ำ เดินทางทางน้ำ มียวดยานทางน้ำก็ให้ให้โชคทางการเงินได้ดี
แต่ลาภผลจากการเสี่ยงโชคเล่นหุ้น เล่นหวยไม่มีเลย(ไม่แม่นแฮะ) พนันได้บ้างถ้าไม่เล่นจริงจัง แค่ๆเล็กๆน้อยๆ
เดินทาง
บก น้ำ ไปได้ทั้งนั้น ทางอากาศยิ่งเสริมดวง เหมาะกับไปทางตะวันออก เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์แปลกใหม่ ไม่เหมาะกับเดินทางเป็นอาชีพ
แต่ต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน คนเกิดวันที่2ก็ยังยึดติดบ้าน ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง
ถ้าเดินทางไม่หยุด อายุ50จะกลายเป็นการเริ่มเดินทางจริงจังไม่อยู่ติดที่ แสวงหาส่วนขาดหายในใจ
ความเชื่อมงคล
คนธาตุน้ำ ใจอ่อนเชื่อคนง่าย สีขาว นวล ครีม เขียวอ่อน ห้ามสีดำ
ตัวเลขแสดงความฉลาด เข้าสังคมได้คือ11,20,29 เลขคู่มิตรคืิอเลข4 ช่วยเหลือไม่ตัดขาด
เลขศัตรูคือ3,5,7,8,9(สงสัยต้องห่างหุ้นbec mcot cpall พวกนั้น..)
คนเกิด2ตค.
รุ่งโรจน์รุ่งเรืองด้านการงาน แต่ต้องฝ่าฟันไปสู่จุดสูงสุดด้วยตัวเอง สร้างเกียรติยศแก่ตัวเองและตระกูลได้ กังวลใจเรื่องครอบครัว บั้นปลายชีวิตจะไปทำงานสาธารณกุศล
เดือนตค.ปีนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาเลคเชอร์อ.ลูกอิสานมาลงต้อนรับวีไอน้องใหม่ที่เพิ่งเกษียณฮะ
แต่บังเอิญเพิ่งมารู้ว่าอาจารย์และเพื่อนกัลยาณมิตรในห้องหาดใหญ่ เกิดเดือนนี้กันหลายท่าน
อ.leky 2ตค.
ท่านลูกหิน 15ตค.
ท่านดำ 25ตค.
เลยขอลอกหนังสือ "ทำนายชีวิตจากตัวเลขวันเกิด" ของคุณจุฑามาศ ณ สงขลา เล่มเดิมมาดูดวงสนุกๆกันนะฮะ
คนเกิดวันที่2
มุมานะอุตสาหะดีเยี่ยม ต่อให้เกิดมาจนก็สร้างเนื้อสร้างตัวให้ก้าวหน้าได้ ทะเยอทะยานรักธรรมชาติ รับราชการจะเด่น
อีกด้านคืองานใช้คำพูด เช่นนักกฎหมาย ทนายความ การทูต รักสงบ ไม่ชอบเผชิญหน้า
นิสัย
รักสันติ สันโดษ รับผิดชอบสูง รับฟังความเห็นผู้อื่นแต่ดื้อหัวชนฝาเงียบๆ ฉลาดคล่องแคล่ว ไฝ่ฝันสูงมุมานะ
แต่ก็มีมากที่อ่อนไหวจนอาจดูเหมือนทำร้ายจิตใจคนอื่น เพราะกลัวและปกป้องตัวเองมากไป บางทีมองโลกแง่ร้่ายเกินเหตุ ถ้าเขื่อใครคนนึงจะปักใจเชื่อทุกเรื่อง เขื่อมั่นตัวเองแต่ซ่อนความไม่มั่นใจไว้ข้างใน ไม่ค่อยรู้ใจตัวเองว่า
อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรกันแน่ มักพลิกชีวิตให้ล่มสลายหรือก้าวกระโดดได้เพราะใจตัวเองเป็นใหญ่
สติปัญญา
ฉลาด เอาใจใส่เรียนรู้ดี เหมาะกับปรัชญา อักษรศาสตร์ เป็นคนคิดซับซ้อน ไม่เหมาะกับวิทยาศาสตร์(อ้าว..)
เพราะแม้ชอบค้นคว้าแต่ก็มักเป็นเรื่องย้อนสมัย ดังนั้นถ้าเป็นประวัติศาสตร์ โบราณคดีจะไปได้ไกล
สติปัญญาเอาตัวรอดมีสูง แต่ความคิดเชยๆ เรื่องสมัยใหม่ไม่ค่อยทัน ก้าวทันโลกเรื่องเดียวคือเรื่องเดินทาง
ยิ่งเดินทางไกลยิ่งเรียนรู้มาก แต่ก็เป็นเรื่องศิลปะประวัติศาสตร์อยู่ดี
มองโลกและมองชีวิตแบบมีแง่มุม ซับซ้อน ชอบสั่งสอนอบรม แต่ไม่ชอบเป็นผู้นำ มั่นใจเรื่องสติปัญญาความรอบรู้เมื่อมีคนให้กำลังใจไกล้ๆ(ผมจะคอยยุ เอ๊ย เชียร์นะฮะ)
อาชีพ
นักประวัติศาสตร์มักเกิดวันที่2 ความที่ชอบเก็บตัวทำให้เหมาะกับงานในห้องทดลอง หรืออยู่บ้านที่ไม่ต้องเจอคนเยอะๆ เป็นนักเขียน วิจัย แต่งเพลงก็ได้
ความสำเร็จด้านธุรกิจก็ทำได้แม้เป็นลูกจ้าง ทำงานในองค์กรใหญ่ก็ได้ดีถ้าไม่เอาใจตัวเองมากนัก
เป็นนักประดิษฐ์ก็ได้ เพราะชอบสร้างสิ่งแปลกใหม่ อายุมากยิ่งมั่นใจด้านอาชีพแต่จะทำงานน้อยลง
บางทีอาจไม่เอาใจใส่สิ่งรอบข้าง เบื่อหน่ายคนรอบข้างจนอาจหันหลังให้งานประจำไปทำงานเล็กๆที่มีคุณค่าทางใจมากกว่าทำเพื่อเงิน
การเงิน
หาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง เก็บเงินแบบค่อนจะขี้เหนียว บางครั้งประหยัดเรื่องกินอยู่จนดูเหมือนเกินเหตุ
แต่กลับไม่เหนียวเรื่องเดินทางท่องเที่ยว ถึงเงินไม่มากตอนเด็ก แต่ก็สร้างตัวจนรวยได้
กระแสเงินจะสะพัดจาก เงินเดือนประจำ ทางธุรกิจได้จากลูกจ้างมากกว่าการลงทุน ไม่ค่อยกล้าได้กล้าเสียเรื่องเงินนัก
ไม่มีผิดพลาดเรื่องเงินแบบเสี่ยงๆ แต่ก็อาจพลาดโอกาสจากเงินที่วูบเข้ามาด้วย
ไฝ่ฝันเรื่องเงินจนลืมสติปัญญาตัวเองไป บางคนอาจให้ค่าเงินมากกว่าค่าความรู้ความคิด
ปั้นปลายจะหมดไปกับการช่วยเหลือคน แจกลูกหลาน ถึงจะมีเงินเท่าไรแต่คนเกิดวันที่2ก็มักไม่ค่อยมีความสุขกับเงินที่มี ช่วงหนุ่มสาวมักไม่ให้เงินใครเปล่าๆหรือให้ยืมเงินง่ายๆ เพราะมีความอ่อนไหวเรื่องเงินสูง
ครอบครัว
สัมพันธ์ดีกับพ่อแม่พี่น้อง ตอนโตจะห่างบ้านมาเรียนหรือทำงานไกล ติดต่อครอบครัวสม่ำเสมอ สนับสนุนญาติพี่น้องพอควร ยางทียอมลำบากจนเสียความสบายของตัวเอง เป็นคนเสียสละเพื่อครอบครัว
ผู้หญิงเกิดวันที่2 มักไม่ยอมแยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่น แต่งงานแล้วก็ยังอยู่ไกล้กัน โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเป็นที่รักของญาติมิตร มักรับหน้าที่อย่างเต็มใจทุกเรื่อง
ผู้ชายวันที่2 ถึงจะใด้ดีไกลบ้านก็ยังไปมาหาสู่ไม่ขาด ในที่สุดก็จะกลับไปสร้างบ้านไกล้พ่อแม่นั่นแหละ
ผูกพันกับอดีตและชนบท แสดงออกเป็นมิตรแบบคนชนบท แต่โลเลเปลี่ยนแปรง่ายจนคนรอบตัวไม่ค่อยเข้าใจ
หลงเสน่ห์เพศตรงข้ามเสมอ ทำให้ครอบครัวพี่น้องห่วงว่าจะตกบ่วงเสน่ห์อยู่บ่อย
ความรักคู่ครอง
มีหลายครั้ง เพราะเชื่อคำเพศตรงข้ามง่ายๆ กว่าจะมีรักแท้ต้องผ่านอกหักหลายครั้งและอาจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับครอบครัวก็มี เช่นรักคนนึงแต่งอีกคนนึง ด้วยเพราะไม่มั่นใจตัวเอง
ชีวิตแต่งงานมักดีตอนแรก แต่อาจมีเหตุสั่นสะเทือนชีวิตคู่จนต้องทนทั้งที่ไม่รัก สิ่งที่ห่วงกังวลคือเรื่องลูก
วัยกลางคนอาจได้แยกห่างแต่ไม่ถึงหย่าร้าง อาจพบรักใหม่ที่จัดการอะไรให้ดีกว่าอยู่ด้วยกันเฉยๆไม่ได้(อ่านแล้วงงแฮะ)บั้นปลายอาจอ้างว้าง แต่มีความสุขเพราะการรู้จักความรัก(นี่ก็งง)
จินตนาการความรักสูงส่ง ธรรมชาติลุ่มหลงง่าย วัยหนุ่มสาวสนใจกามารมณ์เป็นเรื่องใหญ่(เลยมาแล้วใช่มั้ยฮะ)จนทำให้เกิดแผลรักในใจไม่รู้จบ โอกาสรักดีเยี่ยมของคนเกิดวันที่2จะอยู่ช่วง30-35 ระวังเลือกผิดจนเกิดความรับผิดชอบทำให้ครอบครัวตึงเครียด
เพราะปรารถนาดีทำให้ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เรียกร้องสันติ รักสงบ สนใจสมาธิเพื่อเติมเต็มด้านการครองคู่
สุขภาพ
ระวังโรคทางเดินอาหาร นอกนั้นก็หวัด ภูมิแพ้ กระหม่อมบางแพ้อากาศง่าย นอกนั้นไม่ต้องห่วง
พอกลางคนจะร่างกายแข็งแรง แต่ใจอาจเศร้าหมอง เก็บตัวไม่พูดจา อุบัติเหตุไม่มี มีสิ่งศักสิทธ์คุ้มครองดี
เดินทางไกล้ไกลมีคนช่วยเหลืออุปถัมภ์ ระวังโรคจิตใจนี่แหละ อีกอย่างก็วัณโรคกับต่อมน้ำเหลือง
เพื่อนมิตรศัตรู
เป็นมิตรกับผู้คนสูง จะมีคนรักใคร่ผูกพันฉันมิตรเยอะ มีคนปรารถนาดีและสนันสนุนช่วยเหลือมากทั้งเพศเดียว เพศตรงข้าม และผู้ใหญ่ แต่อาจขัดแย้งในตัวเองเด่นชัดจนคนรอบข้างระอา แต่ด้วยอิทธิพลดาวจันทร์ทำให้เสน่ห์แรงดึงดูดมิตรให้ช่วยผ่านเรื่องผิดพลาดน่ารำคาญไปได้
รักใคร่ใยดีกับเพื่อนมากพอควร จริงใจแต่ไม่แสดงออก อ่อนโยนและชอบคบรุ่นพี่มากหน้าหลายตา
ทำตาามและเดินตามรอยรุ่นพี่ อ่อนโยนเข้าใจคนรอบข้าง มีเสน่ห์ให้คนรักใคร่เอ็นดู
ศัตรูก็เรื่องรักใคร่นี่ล่ะ ระวังจะเกิดจากเรื่องกามารมณ์ ศัตรูทางการงานก็มีบ้างถ้าเป็นการเมือง
ถ้าขึ้นถึงจุดสูงสุดก็ไม่นานจะโดนศัตรูดึงลงจนได้ หลายครั้งต้องผลัดกันรุกผลัดกันรับ..(พูดถึงเรื่องงานนะฮะ)
บริวาร
ไม่ค่อยมีรายล้อม ตัวเองเป็นบริวารตัวเอง ยังมีดวงเป็นบริวารคนอื่นอีก
ใครได้คนเกิดวันที่2เป็นบริวาร จะได้ความภักดีจงรักไม่เสื่อมคลาย
แต่คนเกิดวันที่2 ถ้าได้บริวาร มักได้บริวารนำแต่เรื่องเดือดร้องเสียเงินทองมาให้
โชคลาภ
มีมรดกเป็นบ้านที่ดิน แม้ไม่เคยคาดว่าจะได้ แต่ก็ได้รับอยู่ดี
โชคลาภอีกอย่างคือก้าวหน้ารวดเร็วเรื่องอาชีพการงาน ชดเชยเรื่องครอบครัว มีโชคลาภด้านเงินจากผู้ใหญ่เสมอ
จะมีโชคลาภจากอาชีพเกี่ยวกับน้ำหรืออาศัยริมน้ำ เดินทางทางน้ำ มียวดยานทางน้ำก็ให้ให้โชคทางการเงินได้ดี
แต่ลาภผลจากการเสี่ยงโชคเล่นหุ้น เล่นหวยไม่มีเลย(ไม่แม่นแฮะ) พนันได้บ้างถ้าไม่เล่นจริงจัง แค่ๆเล็กๆน้อยๆ
เดินทาง
บก น้ำ ไปได้ทั้งนั้น ทางอากาศยิ่งเสริมดวง เหมาะกับไปทางตะวันออก เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์แปลกใหม่ ไม่เหมาะกับเดินทางเป็นอาชีพ
แต่ต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน คนเกิดวันที่2ก็ยังยึดติดบ้าน ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง
ถ้าเดินทางไม่หยุด อายุ50จะกลายเป็นการเริ่มเดินทางจริงจังไม่อยู่ติดที่ แสวงหาส่วนขาดหายในใจ
ความเชื่อมงคล
คนธาตุน้ำ ใจอ่อนเชื่อคนง่าย สีขาว นวล ครีม เขียวอ่อน ห้ามสีดำ
ตัวเลขแสดงความฉลาด เข้าสังคมได้คือ11,20,29 เลขคู่มิตรคืิอเลข4 ช่วยเหลือไม่ตัดขาด
เลขศัตรูคือ3,5,7,8,9(สงสัยต้องห่างหุ้นbec mcot cpall พวกนั้น..)
คนเกิด2ตค.
รุ่งโรจน์รุ่งเรืองด้านการงาน แต่ต้องฝ่าฟันไปสู่จุดสูงสุดด้วยตัวเอง สร้างเกียรติยศแก่ตัวเองและตระกูลได้ กังวลใจเรื่องครอบครัว บั้นปลายชีวิตจะไปทำงานสาธารณกุศล
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3196
จากหนังสือ ทำนายชีวิตจากตัวเลขวันเกิด คุณจุฑามาศ ณ สงขลา
คนเกิดวันที่15
หมายเลขโชคดีมีพลังแฝงเร้นบางอย่าง ดึงดูดผู้คนให้เข้าไกล้และอยากไกล้ชิด
ถ้ามีเลข15ในดวงชะตามากกว่า1 เช่นเกิดวันที่15 มีชื่อรวมกันได้15 พรอันประเสริฐบางประการจะมุ่งมาที่ตัวคุณ
นิสัย
มีเสน่ห์ ใจกว้าง ขี้สงสาร คบคนมากหน้าเข้าได้หลายระดับ ดาวจันทร์ทำให้อ่านใจคนเก่ง
ข้อเสียคืออาจชอบเอาข้อเสียหรือจุดอ่อนคนอื่นมาพูดถึง ถ้าพูดทางดีจะดึงดูดคนได้มาก
มีพรสวรรค์ รักสวยงาม ชอบธรรมชาติ โรแมนติก มักมองโลกแง่ร้าย แต่ไม่เก็บตัว
ไม่ชอบทุกข์
ข้อดีคือ ชอบเอาชนะทุกสิ่ง หวังจะก้าวหน้าด้วยลำแข้งตัวเอง
มีโอกาสพลาดเพราะหูเบา เชื่อคนง่าย มั่นใจตัวเองมากไป โดยธรรมชาติแล้วคนเกิดวันที่15เป็นคนมั่นใจตัวเองอยู่แล้ว
สติปัญญา
ปฏิภานว่องไว ฉลาด มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ เป็นนักพูดมีคนเชื่อถือและคล้อยตาม รอบรู้และเอาตัวรอดทุกสถาณการณ์
สนใจใคร่รู้สิ่งต่างๆ เก็บความรู้ไว้ใช้ประโยชน์เสมอ การเรียนในระบบทำให้กว้างไกล
แต่มีมากที่ไม่เรียนในสถานศึกษา หาความรู้ด้วยตัวเอง ห้องสมุดเป็นที่ๆโปรด
อีกอย่างคือความรู้จากเดินทางท่องเที่ยว จากประสบการณ์ ทำให้รู้เท่าทันคนเสมอ(แล้วทำไมเชื่อคนง่ายฮะ?)
ถ้าศึกษาศิลปะ ดนตรี ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จะก้าวหน้า ชอบค้นคว้าทดลอง สนใจศาสตร์ลึกลับบางอย่าง แต่ไม่กล้าแสดงออก สติปัญญาดีจึงศึกษาไม่สิ้นสุด
แต่ถ้่าหักเหไปตามกระแสดึงดูดฝ่ายต่ำ จะพาหายนะมาสู่ตัวเองเพราะสติปัญญาฝ่ายต่ำได้ด้วย
อาชีพ
เป็นนักพูด นักร้อง คนใช้เสียงจะก้าวหน้า แต่มีมากที่ทำอาชีพเจรจาต่อรอง ให้คำปรึกษา กิจการใช้วาจา
งานด้านศิลปะบันเทิงก็สำเร็จได้
พลังแฝงเร้นบางอย่าง ทำให้สนใจการถ่ายทอดความรู้ความคิด เช่น เขียน สอน วิจัยค้นคว้าให้ประจักษ์
เลข1กับ5 เป็น"พลังต่อต้านกันเอง" งานที่ทำเลยเหมือนทั้งผลักดันทั้งต่อต้าน
เช่นใด้ทำงานในองค์การแบบมั่นคง แต่กลับต้องการงานอิสระ ทั้งๆที่ออกไปทำงานอิสระ ก็จะโหยหาความมั่นคงอีกจนได้
ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเสมอ เป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่ไม่ถึงจุดสุดยอดด้านการงาน
เพราะดวงขัดแย้งในตัวเองนี่แหละ ความก้าวหน้าในอาชีพเหมือนจะติดขัดด้วยเรื่องที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม คนเกิดวันที่15 ก็ก้าวหน้าในอาชีพได้ก็เพราะตัวเองนี่แหละ รวมทั้งผู้ใหญ่สนับสนุน
การเงิน
ดวงการเงินไม่แน่นอน ไม่รวยแต่ก็ไม่จน มานะอุตสาหะเรื่องทำเงินอยู่มาก มัธยัสถ์และรู้จักใช้เงินมาก
เสียเรื่องเพื่อนและท่องเที่ยวมากกว่า เรื่องใช้จ่ายส่วนตัว ประหยัดและไม่ลำบากเรื่องเงิน
ทรัพย์สินเป็นหลักเป็นฐานด้วยตัวเองบวกญาติมิตรช่วยเหลือ
ลำพังตัวเองคนเดียวการเงินมักขาดมือ(คงติดอยู่ในหุ้นประกัน..)และเงินจะผ่านมือเป็นวูบๆ
อย้าอยากให้เงินเป็นปึกแผ่นต้องทำงานหลายอย่างพร้อมๆกัน
บั้นปลายชีวิต การเงินยังลุ่มๆดอนๆ แต่ไม่เดือดร้อนกังวลใจ เศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องปัญหาของคนเกิดวันที่15
เพราะยังมีช่องทางหากินทำเงินเข้ามาได้ตลอด เงินไม่มั่นคงไม่ได้ทำให้ชีวิตไม่มั่นคงตามไปด้วย
ครอบครัว
ดี รักใคร่กลมเกลียวเหนียวแน่นกับพ่อแม่พี่น้อง ผูกพันกันตลอดเวลา บางทีแต่งานแล้วยังอยู่ละแวกเกียวกับญาติพี่น้อง
ต่างคนต่างได้พึ่งพากันและกัน สืบสาวสายป่านได้ยาวเสมอ
ความรัก คู่ครอง
ดาวจันทร์ทำให้ความรักไม่ค่อยเป็นอย่างที่หวัง มีรักซับซ้อนซ่อนเร้น ไม่เป็ันจริงอยู่มาก
คาดหวังความรักสูงกว่าความเป็นจริง มักผิดหวังรักหลายครั้ง มีรักมากมาย มีรักแท้ในความคิดแต่ปฏิบัติไม่ได้จริง
หากหลงผิดเชื่อคำคนจะหลงในวังวนความรักและกามารมณ์อยู่นาน ติดบ่วงเสน่หากลายเป็นห้วงรักเหวลึกยากหลุดพ้น เพราะพลังอำนาจฝ่ายต่ำ
แต่ถ้ารักอย่างมีสติ ถึงจะพบรักหลายหน ก็จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยคนคนเดียว
อาจอยู่กินกับคนนึงอย่างมีสุข แต่กลับมีเงาอีกคนเป็นรักฝังใจ เติมเต็มส่วนที่ขาดหายบางอย่างในใจ
มีมากที่แต่งงานช้า 30ขึ้นถึงมีคู่ ผ่านการครองคู่มากกว่าหนึ่งครั้ง อกหักครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้แปลว่าไม่สำเร็จ
แต่อาจหมายถึงการรู้จักรักแบบมีประสบการณ์ทุกแง่มุม
สุขภาพ
แข็งแรงไม่ป่วยง่าย นอกจากหลงผิดไปเสพยาหรืออบายมุข ทำให้สุขภาพแย่ด้วยตัวเองเท่านั้น
มีดวงผ่าตัดอย่างน้อย1ครั้ง มีอุบัติเหตุมากมายหลายครั้งแต่ไม่ใหญ่นัก อายุมากให้ระวังตับไต ทางเดินอาหารให้มาก
นอกนั้นไม่มีปัญหา อีกอย่างคือขาดกำลังใจจะทำให้สุขภาพทรุดโทรม(พวกเราเป็นกำลังใจให้เสมอนะฮะ)
เพื่อนมิตรศัตรู
เป็นคนเพื่อนมาก ชอบอยู่ท่ามกลางเพื่อน ใจกว้างใจใหญ่กับเพื่อน มักหลีกห่างเพื่อนที่เด่นกว่า
อาจเพราะรู้สึกมีปมด้อย มีเพื่อนรักมากมายหลายคน และมีเพื่อนใหม่ๆขาจรเวียนมารู้จัก แต่ไม่ผูกพันกันนัก
มีศัตรูบ้างโดยนิสัยและการแสดงออกของเขาหรือเธออาจเป็นที่ไม่พอใจ แต่ไม่ใช่ศัตรูเปิดเผยตัวตน
ศัตรูอีกอย่างคือความคิดและตัวเอง เพราะความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่เกิดจากตัวเองทั้งสิ้น
บริวาร
มีแต่ไม่มาก เป็นเพื่อนเป็นน้องบางคนเท่านั้น เพราะดวงตัวเองก็ตกเป็นบริวารคนอื่นด้วย
มีลางสังหรณ์มักทำให้ไม่ชอบใจนัก ถ้าฉุกคิดได้ว่าคนไกล้ชิดนั้นมีดวงชะตาเหนือกว่า และตัวเองตกเป็นบริวาร
มักชอบพอเมื่อมีบริวารมาไกล้ชิด แต่ไม่ค่อยมีบริวารแวดล้อมเท่าไรนัก มีเพื่อนเสียมากกว่า
บริวารน้อยนิดที่มีก็มักเอาเรื่องร้อนใจมาให้เสมอ ลูกหรือหลานที่เป็นบริวารเสริมให้ก็น้อยเต็มที
โชคลาภ
ไม่ค่อยมี ที่เห็นอยู่ก็เรื่องเดินทาง มีคนสนับสนุน นอกนั้นก็ได้จากเพื่อนหรือผู้ใหญ่เป็นของขวัญของกำนัล
โชคอีกอย่างคือ ลาภปาก ได้ลิ้มชิมอาหารดื่มกินแปลกใหม่เสมอ ลาภผลทางเงินมักได้จากพ่อแม่พี่น้องตัวเอง
เดินทาง
มีเดินทางไกล้ๆบ่อย รักการเดินทางมาตั้งแต่เด็ก ทำงานเกี่ยวกับการเดินทางจะชอบมาก
ไม่ว่ากันดารแค่ไหนก็เดินทางได้เสมอ ยิ่งอายุมากยิ่งใฝ่หาการเดินทาง ยอมเสียเงินเรื่องนี้มากกว่าอย่างอื่น
ประโยชน์คือได้พบเพื่อนใหม่ๆ ชอบเล่าให้คนอื่นรู้ บั้นปลายจะได้ไปในที่ๆตนเองพอใจ โดยมากต้องไปหลายๆคน
จะมีความสุขมากถ้าได้ไปเป็นกลุ่ม หรือกับคนที่รักไคร่ชอบพอกัน
ความเชื่อมงคล
เลข15เกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับบางอย่าง และพลังดาวจันทร์
สีถูกโฉลกคือ ขาว ดำ(คนละเรื่องเลย..) เทา สีหม่นมัวจะช่วยให้ชีวิตไม่มัวหมอง
ควรยึดมั่นศาสนา ทำบุญทำทานอย่างใจศรัทธา มีมากที่คนเกิดวันที่15 ไม่ค่อยศรัทธาศาสนา จิตใจไม่มั่นคงในการทำบุญ หรือไม่ได้ทำด้วยใจเมตตา เพราะมีเหตุผลขัดแย้งในใจ จะทำให้ไม่เป็นมงคล
คนเกิด15ตค.
เฉลียวฉลาด ปัญญาดี ปากกล้าไม่เกรงกลัวใคร แต่ใจอ่อนใจดีกับผู้คน
คบคนง่าย แต่้าไม่พอใจก็ไม่ดูดำดูดีเช่นกัน เอาใจคนเก่ง
จะเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ไม่ต้องกลัวอับจน
คนเกิดวันที่15
หมายเลขโชคดีมีพลังแฝงเร้นบางอย่าง ดึงดูดผู้คนให้เข้าไกล้และอยากไกล้ชิด
ถ้ามีเลข15ในดวงชะตามากกว่า1 เช่นเกิดวันที่15 มีชื่อรวมกันได้15 พรอันประเสริฐบางประการจะมุ่งมาที่ตัวคุณ
นิสัย
มีเสน่ห์ ใจกว้าง ขี้สงสาร คบคนมากหน้าเข้าได้หลายระดับ ดาวจันทร์ทำให้อ่านใจคนเก่ง
ข้อเสียคืออาจชอบเอาข้อเสียหรือจุดอ่อนคนอื่นมาพูดถึง ถ้าพูดทางดีจะดึงดูดคนได้มาก
มีพรสวรรค์ รักสวยงาม ชอบธรรมชาติ โรแมนติก มักมองโลกแง่ร้าย แต่ไม่เก็บตัว
ไม่ชอบทุกข์
ข้อดีคือ ชอบเอาชนะทุกสิ่ง หวังจะก้าวหน้าด้วยลำแข้งตัวเอง
มีโอกาสพลาดเพราะหูเบา เชื่อคนง่าย มั่นใจตัวเองมากไป โดยธรรมชาติแล้วคนเกิดวันที่15เป็นคนมั่นใจตัวเองอยู่แล้ว
สติปัญญา
ปฏิภานว่องไว ฉลาด มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ เป็นนักพูดมีคนเชื่อถือและคล้อยตาม รอบรู้และเอาตัวรอดทุกสถาณการณ์
สนใจใคร่รู้สิ่งต่างๆ เก็บความรู้ไว้ใช้ประโยชน์เสมอ การเรียนในระบบทำให้กว้างไกล
แต่มีมากที่ไม่เรียนในสถานศึกษา หาความรู้ด้วยตัวเอง ห้องสมุดเป็นที่ๆโปรด
อีกอย่างคือความรู้จากเดินทางท่องเที่ยว จากประสบการณ์ ทำให้รู้เท่าทันคนเสมอ(แล้วทำไมเชื่อคนง่ายฮะ?)
ถ้าศึกษาศิลปะ ดนตรี ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จะก้าวหน้า ชอบค้นคว้าทดลอง สนใจศาสตร์ลึกลับบางอย่าง แต่ไม่กล้าแสดงออก สติปัญญาดีจึงศึกษาไม่สิ้นสุด
แต่ถ้่าหักเหไปตามกระแสดึงดูดฝ่ายต่ำ จะพาหายนะมาสู่ตัวเองเพราะสติปัญญาฝ่ายต่ำได้ด้วย
อาชีพ
เป็นนักพูด นักร้อง คนใช้เสียงจะก้าวหน้า แต่มีมากที่ทำอาชีพเจรจาต่อรอง ให้คำปรึกษา กิจการใช้วาจา
งานด้านศิลปะบันเทิงก็สำเร็จได้
พลังแฝงเร้นบางอย่าง ทำให้สนใจการถ่ายทอดความรู้ความคิด เช่น เขียน สอน วิจัยค้นคว้าให้ประจักษ์
เลข1กับ5 เป็น"พลังต่อต้านกันเอง" งานที่ทำเลยเหมือนทั้งผลักดันทั้งต่อต้าน
เช่นใด้ทำงานในองค์การแบบมั่นคง แต่กลับต้องการงานอิสระ ทั้งๆที่ออกไปทำงานอิสระ ก็จะโหยหาความมั่นคงอีกจนได้
ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเสมอ เป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่ไม่ถึงจุดสุดยอดด้านการงาน
เพราะดวงขัดแย้งในตัวเองนี่แหละ ความก้าวหน้าในอาชีพเหมือนจะติดขัดด้วยเรื่องที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม คนเกิดวันที่15 ก็ก้าวหน้าในอาชีพได้ก็เพราะตัวเองนี่แหละ รวมทั้งผู้ใหญ่สนับสนุน
การเงิน
ดวงการเงินไม่แน่นอน ไม่รวยแต่ก็ไม่จน มานะอุตสาหะเรื่องทำเงินอยู่มาก มัธยัสถ์และรู้จักใช้เงินมาก
เสียเรื่องเพื่อนและท่องเที่ยวมากกว่า เรื่องใช้จ่ายส่วนตัว ประหยัดและไม่ลำบากเรื่องเงิน
ทรัพย์สินเป็นหลักเป็นฐานด้วยตัวเองบวกญาติมิตรช่วยเหลือ
ลำพังตัวเองคนเดียวการเงินมักขาดมือ(คงติดอยู่ในหุ้นประกัน..)และเงินจะผ่านมือเป็นวูบๆ
อย้าอยากให้เงินเป็นปึกแผ่นต้องทำงานหลายอย่างพร้อมๆกัน
บั้นปลายชีวิต การเงินยังลุ่มๆดอนๆ แต่ไม่เดือดร้อนกังวลใจ เศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องปัญหาของคนเกิดวันที่15
เพราะยังมีช่องทางหากินทำเงินเข้ามาได้ตลอด เงินไม่มั่นคงไม่ได้ทำให้ชีวิตไม่มั่นคงตามไปด้วย
ครอบครัว
ดี รักใคร่กลมเกลียวเหนียวแน่นกับพ่อแม่พี่น้อง ผูกพันกันตลอดเวลา บางทีแต่งานแล้วยังอยู่ละแวกเกียวกับญาติพี่น้อง
ต่างคนต่างได้พึ่งพากันและกัน สืบสาวสายป่านได้ยาวเสมอ
ความรัก คู่ครอง
ดาวจันทร์ทำให้ความรักไม่ค่อยเป็นอย่างที่หวัง มีรักซับซ้อนซ่อนเร้น ไม่เป็ันจริงอยู่มาก
คาดหวังความรักสูงกว่าความเป็นจริง มักผิดหวังรักหลายครั้ง มีรักมากมาย มีรักแท้ในความคิดแต่ปฏิบัติไม่ได้จริง
หากหลงผิดเชื่อคำคนจะหลงในวังวนความรักและกามารมณ์อยู่นาน ติดบ่วงเสน่หากลายเป็นห้วงรักเหวลึกยากหลุดพ้น เพราะพลังอำนาจฝ่ายต่ำ
แต่ถ้ารักอย่างมีสติ ถึงจะพบรักหลายหน ก็จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยคนคนเดียว
อาจอยู่กินกับคนนึงอย่างมีสุข แต่กลับมีเงาอีกคนเป็นรักฝังใจ เติมเต็มส่วนที่ขาดหายบางอย่างในใจ
มีมากที่แต่งงานช้า 30ขึ้นถึงมีคู่ ผ่านการครองคู่มากกว่าหนึ่งครั้ง อกหักครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้แปลว่าไม่สำเร็จ
แต่อาจหมายถึงการรู้จักรักแบบมีประสบการณ์ทุกแง่มุม
สุขภาพ
แข็งแรงไม่ป่วยง่าย นอกจากหลงผิดไปเสพยาหรืออบายมุข ทำให้สุขภาพแย่ด้วยตัวเองเท่านั้น
มีดวงผ่าตัดอย่างน้อย1ครั้ง มีอุบัติเหตุมากมายหลายครั้งแต่ไม่ใหญ่นัก อายุมากให้ระวังตับไต ทางเดินอาหารให้มาก
นอกนั้นไม่มีปัญหา อีกอย่างคือขาดกำลังใจจะทำให้สุขภาพทรุดโทรม(พวกเราเป็นกำลังใจให้เสมอนะฮะ)
เพื่อนมิตรศัตรู
เป็นคนเพื่อนมาก ชอบอยู่ท่ามกลางเพื่อน ใจกว้างใจใหญ่กับเพื่อน มักหลีกห่างเพื่อนที่เด่นกว่า
อาจเพราะรู้สึกมีปมด้อย มีเพื่อนรักมากมายหลายคน และมีเพื่อนใหม่ๆขาจรเวียนมารู้จัก แต่ไม่ผูกพันกันนัก
มีศัตรูบ้างโดยนิสัยและการแสดงออกของเขาหรือเธออาจเป็นที่ไม่พอใจ แต่ไม่ใช่ศัตรูเปิดเผยตัวตน
ศัตรูอีกอย่างคือความคิดและตัวเอง เพราะความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่เกิดจากตัวเองทั้งสิ้น
บริวาร
มีแต่ไม่มาก เป็นเพื่อนเป็นน้องบางคนเท่านั้น เพราะดวงตัวเองก็ตกเป็นบริวารคนอื่นด้วย
มีลางสังหรณ์มักทำให้ไม่ชอบใจนัก ถ้าฉุกคิดได้ว่าคนไกล้ชิดนั้นมีดวงชะตาเหนือกว่า และตัวเองตกเป็นบริวาร
มักชอบพอเมื่อมีบริวารมาไกล้ชิด แต่ไม่ค่อยมีบริวารแวดล้อมเท่าไรนัก มีเพื่อนเสียมากกว่า
บริวารน้อยนิดที่มีก็มักเอาเรื่องร้อนใจมาให้เสมอ ลูกหรือหลานที่เป็นบริวารเสริมให้ก็น้อยเต็มที
โชคลาภ
ไม่ค่อยมี ที่เห็นอยู่ก็เรื่องเดินทาง มีคนสนับสนุน นอกนั้นก็ได้จากเพื่อนหรือผู้ใหญ่เป็นของขวัญของกำนัล
โชคอีกอย่างคือ ลาภปาก ได้ลิ้มชิมอาหารดื่มกินแปลกใหม่เสมอ ลาภผลทางเงินมักได้จากพ่อแม่พี่น้องตัวเอง
เดินทาง
มีเดินทางไกล้ๆบ่อย รักการเดินทางมาตั้งแต่เด็ก ทำงานเกี่ยวกับการเดินทางจะชอบมาก
ไม่ว่ากันดารแค่ไหนก็เดินทางได้เสมอ ยิ่งอายุมากยิ่งใฝ่หาการเดินทาง ยอมเสียเงินเรื่องนี้มากกว่าอย่างอื่น
ประโยชน์คือได้พบเพื่อนใหม่ๆ ชอบเล่าให้คนอื่นรู้ บั้นปลายจะได้ไปในที่ๆตนเองพอใจ โดยมากต้องไปหลายๆคน
จะมีความสุขมากถ้าได้ไปเป็นกลุ่ม หรือกับคนที่รักไคร่ชอบพอกัน
ความเชื่อมงคล
เลข15เกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับบางอย่าง และพลังดาวจันทร์
สีถูกโฉลกคือ ขาว ดำ(คนละเรื่องเลย..) เทา สีหม่นมัวจะช่วยให้ชีวิตไม่มัวหมอง
ควรยึดมั่นศาสนา ทำบุญทำทานอย่างใจศรัทธา มีมากที่คนเกิดวันที่15 ไม่ค่อยศรัทธาศาสนา จิตใจไม่มั่นคงในการทำบุญ หรือไม่ได้ทำด้วยใจเมตตา เพราะมีเหตุผลขัดแย้งในใจ จะทำให้ไม่เป็นมงคล
คนเกิด15ตค.
เฉลียวฉลาด ปัญญาดี ปากกล้าไม่เกรงกลัวใคร แต่ใจอ่อนใจดีกับผู้คน
คบคนง่าย แต่้าไม่พอใจก็ไม่ดูดำดูดีเช่นกัน เอาใจคนเก่ง
จะเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ไม่ต้องกลัวอับจน
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3197
เมื่อวานได้ฟัง ดร นิเวศน์พูดถึง บริษัทที่ทำธุรกิจเปิดร้านสะดวกซื้ออยู่ปากซอยว่า หนี้ที่กู้มาซื้อSuperstore
ว่าดอกเบี้ยที่กู้จะเพิ่มขึ้นในภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของFEDที่ขยับดอกเบี้ยมา3ครั้งแล้วในปีนี้ และช่วงธค
ก็น่าจะมีโอกาสเพิ่มดอกเบี้ยอีกครั้ง ส่วนไทยก็มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐ
ดร นิเวศน์ให้แนวคิดเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ดังนั้นเราลองไปดูประเทศที่ผ่านสังคมผู้สูงอายุเช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปแล้ว
ปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ขยับขึ้นนานแล้ว อยู่ในช่วง0-2% ดังนั้นประเทศไทยก็น่าจะเป็นเหมือนกัน
ประกอบกับผมได้ไปเช็คอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหลายคนบอกว่าสูงถึง 2-3% ปรากฏว่าตอนนี้ไม่เกิน1%
ดังนั้นดูแล้วก็สนับสนุนความคิดของ ดร นิเวศน์ที่ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยไม่น่าจะขึ้นสูง
ก็เลยไปดูสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำเช่น พันธบัตรออมทรัพย์รุ่น 3 ปี 2.46% ก็ดูน่าสนใจถ้า
เราแบ่งสินทรัพย์ที่จะลงทุน(Asset Allocation) โดยส่วนที่ลงในตราสารหนี้ ส่วนตัวผมกำหนดไว้
5% ก็สามารถโยกย้ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาลงทุนส่วนนี้ได้ เพียงแต่ว่าสภาพคล่องจะน้อยลง
พันธบัตรออมทรัพย์ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก หรือ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ต่อไปต้องเสียภาษีถ้าเป็น
Term Fund และพันธบัตรความเสี่ยงน้อยมาก
ถ้าต้องการไถ่ถอน ก็สามารถขายผ่านตลาดรองที่รับซื้อได้ เช่นธนาคาร
ตอนนี้เริ่มเปิดให้ซื้อพันธบัตรผ่านธนาคารเช่น กรุงไทยแล้ว ลองศึกษาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจนะครับ
ว่าดอกเบี้ยที่กู้จะเพิ่มขึ้นในภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของFEDที่ขยับดอกเบี้ยมา3ครั้งแล้วในปีนี้ และช่วงธค
ก็น่าจะมีโอกาสเพิ่มดอกเบี้ยอีกครั้ง ส่วนไทยก็มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐ
ดร นิเวศน์ให้แนวคิดเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ดังนั้นเราลองไปดูประเทศที่ผ่านสังคมผู้สูงอายุเช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปแล้ว
ปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ขยับขึ้นนานแล้ว อยู่ในช่วง0-2% ดังนั้นประเทศไทยก็น่าจะเป็นเหมือนกัน
ประกอบกับผมได้ไปเช็คอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหลายคนบอกว่าสูงถึง 2-3% ปรากฏว่าตอนนี้ไม่เกิน1%
ดังนั้นดูแล้วก็สนับสนุนความคิดของ ดร นิเวศน์ที่ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยไม่น่าจะขึ้นสูง
ก็เลยไปดูสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำเช่น พันธบัตรออมทรัพย์รุ่น 3 ปี 2.46% ก็ดูน่าสนใจถ้า
เราแบ่งสินทรัพย์ที่จะลงทุน(Asset Allocation) โดยส่วนที่ลงในตราสารหนี้ ส่วนตัวผมกำหนดไว้
5% ก็สามารถโยกย้ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาลงทุนส่วนนี้ได้ เพียงแต่ว่าสภาพคล่องจะน้อยลง
พันธบัตรออมทรัพย์ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก หรือ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ต่อไปต้องเสียภาษีถ้าเป็น
Term Fund และพันธบัตรความเสี่ยงน้อยมาก
ถ้าต้องการไถ่ถอน ก็สามารถขายผ่านตลาดรองที่รับซื้อได้ เช่นธนาคาร
ตอนนี้เริ่มเปิดให้ซื้อพันธบัตรผ่านธนาคารเช่น กรุงไทยแล้ว ลองศึกษาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจนะครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3198
ลองอ่านดูนะครับ ว่าเกี่ยวกับหุ้นมั้ย
ข้อเท็จจริงไม่สำคัญเท่าความเชื่อ
OCTOBER 21, 2018 / ANONTAWONG MARUKPITAK
ก่อนจะจบมหาวิทยาลัยผมอยากจะหาเงินเข้าชมรมดนตรี เลยเอาเพลงที่ตัวเองและน้องๆ แต่งกันมาอัดกันง่ายๆ และไรท์ลงซีดี
เราทำปกซีดีและพิมพ์สติ๊กเกอร์แปะทับบนซีดีด้วย ส่วนกล่องซีดีก็ใช้แบบบางเฉียบให้ดูวัยรุ่น ทำออกมา 200 แผ่นก็ขายให้นักศึกษาจนหมดเกลี้ยง ได้เงินมาซื้อกลองชุดและแอมป์ให้ชมรมดนตรีสมความตั้งใจ
แต่ผมก็ได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ซื้อซีดีไป (คงมีบางคนสงสัยจึงลองแกะสติ๊กเกอร์ดู) ว่าไม่น่าใช้แผ่น Princo เลย
ครับ พวกเราไรท์ซีดีโดยใช้แผ่น Princo ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นยี่ห้อที่ดังที่สุด ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง
Princo สมัยนั้นมีหลายเกรดด้วย แผ่นเปล่าตกราคาตั้งแต่แผ่นละ 5 บาทถึงเกือบ 20 บาท ผมมั่นใจว่าเราไม่ได้ใช้รุ่นต่ำสุดแน่ๆ แต่ภาพจำของคนก็คือ ซีดี Princo เป็นยี่ห้อที่ถูกที่สุด เกลื่อนตลาดที่สุด มันจึงดูเหมือนเราทำสินค้าโดยไม่ลงทุนเท่าไหร่ เขาบอกว่าทำไมไม่ใช้แผ่นมียี่ห้ออย่าง Sony หรือ maxell จะได้รู้สึกดีหน่อย
ผมพยายามจะอธิบายว่าเราใช้ Princo คุณภาพดีนะ แถม Princo ก็เล่นได้กับทุกเครื่องด้วย ไม่เหมือนแผ่นยี่ห้ออื่นๆ ที่ใช้กับบางเครื่องแล้วจะเปิดไม่ได้
แต่คำอธิบายเหล่านี้ไม่เป็นผล เพราะคนเชื่อและเสียความรู้สึกไปแล้วว่าเราใช้ของถูก
ผมจึงพบความจริงที่ว่า การที่เราไปโฟกัสกับการอธิบายข้อเท็จจริง บางทีมันก็ไม่ช่วยอะไร เพราะข้อเท็จจริงนั้นไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อคนได้
ไม่ใช่แค่ความเชื่อในเรื่องยี่ห้อซีดี แต่ยังหมายรวมถึงความเชื่อในตัวบุคคลอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ คุณทักษิณ พลเอกประยุทธ์ กำนันสุเทพ และคุณธนาธรด้วย
หรือความเชื่อว่าโลกแบน (theflatearthsociety.org) และความเชื่อว่าการไปเหยียบดวงจันทร์เป็นเรื่องหลอกลวงนั่นก็ใช่
เมื่อคนเราเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว การเอาข้อมูลที่ตรงกันข้ามไปใส่ให้เขามากขึ้น มีแต่จะทำให้เขายึดถือความเชื่อของตัวเองยิ่งกว่าเดิม
เพราะข้อเท็จจริงนั้นมีหลายด้านเสมอ
ความเชื่อ + ข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับความเชื่อนั้น = ความจริงของคนๆ นั้น
แล้วจะเปลี่ยนความเชื่อเขาอย่างไร?
ผมเองไม่มีความสามารถพอที่จะชี้ทางออก ได้แต่ชี้ทางเข้า เพื่อที่คราวหน้าเราจะได้เห็นและรู้ตัว
จะได้ไม่เสียแรงหรือเสียเวลาไปกับการพยายามเปลี่ยนใจคนมากจนเกินไปครับ
Cr. https://anontawong.com/2018/10/21/facts ... TVa5TAc2ek
ข้อเท็จจริงไม่สำคัญเท่าความเชื่อ
OCTOBER 21, 2018 / ANONTAWONG MARUKPITAK
ก่อนจะจบมหาวิทยาลัยผมอยากจะหาเงินเข้าชมรมดนตรี เลยเอาเพลงที่ตัวเองและน้องๆ แต่งกันมาอัดกันง่ายๆ และไรท์ลงซีดี
เราทำปกซีดีและพิมพ์สติ๊กเกอร์แปะทับบนซีดีด้วย ส่วนกล่องซีดีก็ใช้แบบบางเฉียบให้ดูวัยรุ่น ทำออกมา 200 แผ่นก็ขายให้นักศึกษาจนหมดเกลี้ยง ได้เงินมาซื้อกลองชุดและแอมป์ให้ชมรมดนตรีสมความตั้งใจ
แต่ผมก็ได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ซื้อซีดีไป (คงมีบางคนสงสัยจึงลองแกะสติ๊กเกอร์ดู) ว่าไม่น่าใช้แผ่น Princo เลย
ครับ พวกเราไรท์ซีดีโดยใช้แผ่น Princo ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นยี่ห้อที่ดังที่สุด ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง
Princo สมัยนั้นมีหลายเกรดด้วย แผ่นเปล่าตกราคาตั้งแต่แผ่นละ 5 บาทถึงเกือบ 20 บาท ผมมั่นใจว่าเราไม่ได้ใช้รุ่นต่ำสุดแน่ๆ แต่ภาพจำของคนก็คือ ซีดี Princo เป็นยี่ห้อที่ถูกที่สุด เกลื่อนตลาดที่สุด มันจึงดูเหมือนเราทำสินค้าโดยไม่ลงทุนเท่าไหร่ เขาบอกว่าทำไมไม่ใช้แผ่นมียี่ห้ออย่าง Sony หรือ maxell จะได้รู้สึกดีหน่อย
ผมพยายามจะอธิบายว่าเราใช้ Princo คุณภาพดีนะ แถม Princo ก็เล่นได้กับทุกเครื่องด้วย ไม่เหมือนแผ่นยี่ห้ออื่นๆ ที่ใช้กับบางเครื่องแล้วจะเปิดไม่ได้
แต่คำอธิบายเหล่านี้ไม่เป็นผล เพราะคนเชื่อและเสียความรู้สึกไปแล้วว่าเราใช้ของถูก
ผมจึงพบความจริงที่ว่า การที่เราไปโฟกัสกับการอธิบายข้อเท็จจริง บางทีมันก็ไม่ช่วยอะไร เพราะข้อเท็จจริงนั้นไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อคนได้
ไม่ใช่แค่ความเชื่อในเรื่องยี่ห้อซีดี แต่ยังหมายรวมถึงความเชื่อในตัวบุคคลอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ คุณทักษิณ พลเอกประยุทธ์ กำนันสุเทพ และคุณธนาธรด้วย
หรือความเชื่อว่าโลกแบน (theflatearthsociety.org) และความเชื่อว่าการไปเหยียบดวงจันทร์เป็นเรื่องหลอกลวงนั่นก็ใช่
เมื่อคนเราเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว การเอาข้อมูลที่ตรงกันข้ามไปใส่ให้เขามากขึ้น มีแต่จะทำให้เขายึดถือความเชื่อของตัวเองยิ่งกว่าเดิม
เพราะข้อเท็จจริงนั้นมีหลายด้านเสมอ
ความเชื่อ + ข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับความเชื่อนั้น = ความจริงของคนๆ นั้น
แล้วจะเปลี่ยนความเชื่อเขาอย่างไร?
ผมเองไม่มีความสามารถพอที่จะชี้ทางออก ได้แต่ชี้ทางเข้า เพื่อที่คราวหน้าเราจะได้เห็นและรู้ตัว
จะได้ไม่เสียแรงหรือเสียเวลาไปกับการพยายามเปลี่ยนใจคนมากจนเกินไปครับ
Cr. https://anontawong.com/2018/10/21/facts ... TVa5TAc2ek
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3199
จากหนังสือทำนายชีวิตจากตัวเลขวันเกิด คุณจุฑามาศ ณ สงขลา
คนเกิดวันที่25
ดวงชะตาขึ้นๆลงๆ ดีร้าย เอาแน่นอนกับประมาทชีวิตไม่ได้เลย เลข2และ5 คือดาวจันทร์และดาวพฤหัส
ดูเหมือนดีแต่กลายเป็นดวงขึ้นๆลงๆ เพราะบวกกันได้7คือดาวเสาร์ เป็นดาวทุกข์โทษ
พบอุปสรรคมากมายกว่าจะสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เลข2คือธาตุน้ำ เลข5คือธาตุไฟ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ทำให้ชีวิตหาความแน่นอนไม่ได้ ต้องต่อสู้อุปสรรคอย่างเหน็ดเหนื่อยทีเดียว(ก็ยังดีกว่าหลายที..)
นิสัย
จิตใจเข้มแข็ง กล้าแกร่ง รับปัญหาทุกอย่างอย่างมีสติและรอบคอบ ใจร้อน ไม่ยอมคนแต่สุขุมนุ่มลึก
ไม่ยอมให้อุปสรรคผ่านไปโดยไม่แก้ไข อดทนงานและอดทนชีวิตทุกด้าน มุ่งหวังความสำเร็จไม่ยอมแพ้โชคชะตา
สร้างสรรค์ดีแต่อ่อนไหวกับคำพูดของคนที่รักไคร่นับถือ
ไม่ชอบเผชิญหน้าความโกรธ ไม่ชอบทะเลาะกับใคร โดยเฉพาะคนที่รตัวเองรักและศรัทธา
เก็บความทุกข์ไว้ในใจ ใช้คำพูดหวานหูกับใครไม่เป็น พูดจาตรงๆขวานผ่าซากด้วยซ้ำไป
แต่จิตใจดีและหวังดีกับผู้คน ทะเยอทะยานรักการต่อสู้ รักธรรมชาติแต่นิยมวัตถุ
ยามเบื่อหน่ายมากๆ จะหันหลังให้กับสิ่งที่ทำ แทบจะเรียกว่ายอมหักไม่ยอมงอ
ยอมเปลี่ยนชีวิตตัวเองกลับด้านแล้วเริ่มต้นใหม่ ดีกว่าจะยอมให้ใครหรืออะไรมาเปลี่ยน
สติปัญญา
พอประมาณ แต่สนใจใคร่รู้จดจำเรื่องต่างๆได้แม่นยำ ชอบหาความรู้ใหม่ๆเสมอ ข้อเสียคือมักไม่รู้ลึกรู้จริงเลยสักด้าน
อาจพบอุปสรรคการเรียนได้กลางคัน หรืออาจไม่ได้เรียนในมหาลัย มาเรียนเอาจากประสบการณ์
ไม่ได้คาดหวังเรื่องเรียนสูงนัก ชอบใช้แรงงานมากกว่า ชอบอยู่ไกล้ผู้ใหญ่เก่งๆที่สนับสนุน เลียนแบบคนที่เป็นต้นแบบเสมอ
แต่จะเห็นความสำคัญของการศึกษา คือสนับสนุนคนไกล้ชิดให้เรียนสูงๆขึ้นไปแทนตัวเอง
เหมาะกับช่างฝีมือทุกประเภท ผู้หญิงก็เรียนแบบผู้ชายได้
ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นไกด์ ท่องเที่ยว โรงแรม การศึกษาที่ต้องใช้การพูดจาทำงาน
เรียนออกแบบ สร้างหนัง วางแผนโครงการใหญ่ๆจะดีกว่า อีกด้านคือเกษตรแผนใหม่
อาชีพ
มีหลายอาชีพในคนเดียว มีทั้งทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน ดวงทำอย่างนั้นจึงดี
กับเปลี่ยนแปลงงานบ่อยจนแทบจำไม่ได้ ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง(สงสัยเทรดหุ้นพัลวัน..)
มักไม่ค่อยพอใจกับงานที่ทำนัก ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆ มักพลาดเพราะการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนี่แหละ
กว่าจะสำเร็จ ต้องพบอุปสรรคและเหน็ดเหนื่อยมากมาย ไม่เหมาะกับเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง ยิ่งจะทำให้ล้มลุกคลุกคลานไม่สิ้นสุด
ควรเป็นลูกจ้างในองค์กรเล็กใหญ่จะดีกว่า เข้าออกงานใหม่เป็นว่าเล่น แม้ตัวเองไม่เปลี่ยน ดวงชะตาก็หักเหให้จนได้
พลัดตกจากเก้าอี้ตำแหน่งได้ไม่รู้ตัว ถึงผู้ใหญ่อุปถัมภ์ แต่นิสัยมักโผงผาง ขวานผ่าซาก จนคนรอบข้างรับไม่ค่อยได้
การงานชีวิตเลยมักขึ้นๆลงๆเสมอ ต้องรับผิดชอบทำงานไปตลอด เหมาะกับช่างทุกสาขา ทหารตำรวจ เกษตรกร(ไปคนละทางเลย)
การเงิน
ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดวงเงินขึ้นๆลงๆ(น่าจะเหมาะกับหุ้นขึ้นๆลงๆนะฮะ)เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบชีวิตนั่นแหละ
ถ้าจัดระเบียบทางการเงินจะดีขึ้น เพราะเป็นคนมีเงินหมุนเวียนเข้ามืิมาตลอด
หาเงินเก่ง อดทนเก็บเล็กผสมน้อยให้ได้อย่างตั้งใจ ไม่ให้เงินใครง่ายๆ แต่ก็ไม่มัธยัสถ์จนเกินไป
สามารถสร้างเงินเป็นหลักฐานและทำลายไปด้วยมือตัวเองได้ ระวังการตัดสินใจเรื่องงานที่กระทบการเงินและชีวิต
จนบั้นปลายต้องเจอปัญหาหนักใจเรื่องเงิน จนต้องเปลี่ยนแปลงเล่นแร่แปรธาตุตลอด
ภูมิใจกับการทำเงินด้วยตัวเองได้ ควรยักย้ายเงินไว้ในมือคู่ครองลูกหลานจะดีกว่า
เพราะถ้าอยู่ในมือตัวเอง หรือมีทรัพย์สินที่ดินในชื่อตัวเอง ก็มีทางเปลี่ยนมือไปจนได้ ต้องพยามทำใจว่าความไม่แน่นอนเป็นสัจธรรมของชีวิต
ความสัมพันธ์ครอบครัว
ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก มีคนเกิดวันที่25 หลายคนที่มีแผลจากครอบครัว ถ้าครอบครัวดีก็มักนึกว่าตัวเองไม่เท่าเทียมกับพี่น้องคนอื่น พ่อแม่ไม่รักเท่าคนอื่น แม้ติดต่อไกล้ชิดยังรู้สึกเปรียบเทียบเสมอ
โดยดวงชะตาคนเกิดวันที่25 มักต้องเสียพ่อหรือแม่คนใดคนนึงตั้งแต่ยังไม่เข้าวัยรุ่น
ถึงครอบครัวมีฐานะไม่เดือดร้อนก็มักไม่ค่อยพอใจ ถ้าเกิดในครอบครัวยากจน จิตใจจะผลักดันให้ห่างครอบครัวมากขึ้น ได้อุปการะส่งเสริมญาติพี่น้องบ้างแต่ก็ไม่มาก
ความรักคู่ครอง
ดวงความรักขึ้นๆลงๆเช่นกัน ยามดีก็ดีเป็นน้ำ เอาอกเอาใจดี ยามเป็นไฟก็ทำบรรยากาศดีๆเสียเพราะคำพูดตัว
ความรักเร่าร้อนรุนแรง ต้องการเก็บรักเป็นของตัวคนเดียวไม่แบ่งใคร ขี้หึงแต่แสดงออกว่าไม่สนใจ
หยิ่งในศักดิ์ศรีจนอาจเสียรักเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าแต่งงานมักเป็นคู่ครองที่ขึ้นกับอารมณ์เป็นใหญ่
ส่วนใหญ่ต้องโทษตัวเองเรื่องคำพูดและอารมณ์ อาจแต่งานสองคร้้ง มีความรักซ่อนเร้นง่าย
อยากให้คนรักมองเห็นคุณค่าและความแกร่งกล้าจนดูเหมือนข่มอีกฝ่าย
สุขภาพ
แทบไม่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ค่อยป่วย นอกจากเครียดกังวล ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ใช้ยากล่อมประสาทอาจเป็นปัญหา
มีดวงผ่าตัดอย่างน้อย1ครั้ง ไม่ชอบเรียกร้องความสงสารเห็นใจจากใคร ยามป่วยก็ไม่บอกใครเช่นกัน
ระวังกระเพาะ ลำไส้ ทางเดินหายใจ
เพื่อนมิตรศัตรู
เพื่อนเยอะ มีคนรักใคร่หวังดี แต่ด้วยจิตใจอาจผลักมิตรแท้ออกไปจากชีวิตใด้ ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะแยะ
คบคนผิวเผินไม่ค่อยไว้ใจใครนัก บางครั้งไม่เห็นความหวังดีคนไกล้ชิด สร้างมิตรง่ายๆพอกับสร้างศัตรูได้เก่งเหลือเกิน
ศัตรูที่มีคือ ศัตรูจากคำพูดการกระทำของตนเอง รวมถึงคู่แข่งการงาน ถ้าทำตัวเป็นคู่แข่งใครจะได้ศัตรูทันที
ควรระวังบุคลิกทั้งๆที่จิตใจตัวเองไม่ได้คิดหรือตั้งใจจะสร้างศัตรูเช่นนั้น
ข้อดีคือศัตรูทำอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดี โดยเนื้อแท้เป็นคนจิตใจดี เพียงแต่ระวังคำพูดและอารมณ์บ้างเท่านั้น
บริวาร
คนรักใคร่ไกล้ชิดเยอะ แต่ไม่ใช่ดวงบริวาร บริวารมีส่วนน้อย ถ้าบริวารเป็นเพศตรงข้ามอายุน้อยกว่ามากๆจะดีกว่า
ผิดหวังเศร้าหมองได้จากบริวาร ผลักดันให้บริวารเป็นศัตรูเผชิญหน้าได้ แต่ในที่สุดคุณเองจะเป็นฝ่ายเลี่ยงการเผชิญหน้านี้ ไม่ควรหวังพึ่งบริวารเรื่องความก้าวหน้าการงาน
โชคลาภ
มีเสมอ ทั้งเรื่องงานเข้ามาฟลุกๆหรือบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่จะบนบานมั้ยเท่านั้น
ถ้าเล่นหุ้นเล่นหวยจะมีโชคลาภเข้ามาฟลุกๆเล็กน้อยเสมอไม่ขาด
เดินทาง
เพราะชีวิตชอบการเปลี่ยนแปลงเสมอ ดวงเดินทางเลยมีต่อเนื่อง ไม่ว่าจะย้ายงาน ที่อยู่
ชีวิตมีเดินทางตลอด ไม่ค่อยสงบนิ่งที่ใดนานๆ
ความเชื่อมงคล
เสื้อผ้าสีอ่อน ขาว ฟ้า เขียวอ่อน ครีม รถสีขาว ครีม ตะกั่ว
เพราะดวงขึ้นๆลงๆ รถสีดำ แดงห้ามใช้เด็ดขาดเพราะเป็นดวงปะทะ
คนเกิด25ตค.
ชีวิตเปลี่ยนแปลงบ่อย พบอุปสรรคตลอด บั่นทอนจิตใจให้ไม่ค่อยไว้ใจใครนัก กลัวการเปลี่ยนแปลงกับผู้คน
อดทนแต่อ่อนไหวกับการกระทำของคนไกล้ชิด ความรักมักเป็นที่พึ่งทางใจมากกว่าเป็นรักแท้จริง
คนเกิดวันที่25
ดวงชะตาขึ้นๆลงๆ ดีร้าย เอาแน่นอนกับประมาทชีวิตไม่ได้เลย เลข2และ5 คือดาวจันทร์และดาวพฤหัส
ดูเหมือนดีแต่กลายเป็นดวงขึ้นๆลงๆ เพราะบวกกันได้7คือดาวเสาร์ เป็นดาวทุกข์โทษ
พบอุปสรรคมากมายกว่าจะสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เลข2คือธาตุน้ำ เลข5คือธาตุไฟ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ทำให้ชีวิตหาความแน่นอนไม่ได้ ต้องต่อสู้อุปสรรคอย่างเหน็ดเหนื่อยทีเดียว(ก็ยังดีกว่าหลายที..)
นิสัย
จิตใจเข้มแข็ง กล้าแกร่ง รับปัญหาทุกอย่างอย่างมีสติและรอบคอบ ใจร้อน ไม่ยอมคนแต่สุขุมนุ่มลึก
ไม่ยอมให้อุปสรรคผ่านไปโดยไม่แก้ไข อดทนงานและอดทนชีวิตทุกด้าน มุ่งหวังความสำเร็จไม่ยอมแพ้โชคชะตา
สร้างสรรค์ดีแต่อ่อนไหวกับคำพูดของคนที่รักไคร่นับถือ
ไม่ชอบเผชิญหน้าความโกรธ ไม่ชอบทะเลาะกับใคร โดยเฉพาะคนที่รตัวเองรักและศรัทธา
เก็บความทุกข์ไว้ในใจ ใช้คำพูดหวานหูกับใครไม่เป็น พูดจาตรงๆขวานผ่าซากด้วยซ้ำไป
แต่จิตใจดีและหวังดีกับผู้คน ทะเยอทะยานรักการต่อสู้ รักธรรมชาติแต่นิยมวัตถุ
ยามเบื่อหน่ายมากๆ จะหันหลังให้กับสิ่งที่ทำ แทบจะเรียกว่ายอมหักไม่ยอมงอ
ยอมเปลี่ยนชีวิตตัวเองกลับด้านแล้วเริ่มต้นใหม่ ดีกว่าจะยอมให้ใครหรืออะไรมาเปลี่ยน
สติปัญญา
พอประมาณ แต่สนใจใคร่รู้จดจำเรื่องต่างๆได้แม่นยำ ชอบหาความรู้ใหม่ๆเสมอ ข้อเสียคือมักไม่รู้ลึกรู้จริงเลยสักด้าน
อาจพบอุปสรรคการเรียนได้กลางคัน หรืออาจไม่ได้เรียนในมหาลัย มาเรียนเอาจากประสบการณ์
ไม่ได้คาดหวังเรื่องเรียนสูงนัก ชอบใช้แรงงานมากกว่า ชอบอยู่ไกล้ผู้ใหญ่เก่งๆที่สนับสนุน เลียนแบบคนที่เป็นต้นแบบเสมอ
แต่จะเห็นความสำคัญของการศึกษา คือสนับสนุนคนไกล้ชิดให้เรียนสูงๆขึ้นไปแทนตัวเอง
เหมาะกับช่างฝีมือทุกประเภท ผู้หญิงก็เรียนแบบผู้ชายได้
ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นไกด์ ท่องเที่ยว โรงแรม การศึกษาที่ต้องใช้การพูดจาทำงาน
เรียนออกแบบ สร้างหนัง วางแผนโครงการใหญ่ๆจะดีกว่า อีกด้านคือเกษตรแผนใหม่
อาชีพ
มีหลายอาชีพในคนเดียว มีทั้งทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน ดวงทำอย่างนั้นจึงดี
กับเปลี่ยนแปลงงานบ่อยจนแทบจำไม่ได้ ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง(สงสัยเทรดหุ้นพัลวัน..)
มักไม่ค่อยพอใจกับงานที่ทำนัก ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆ มักพลาดเพราะการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนี่แหละ
กว่าจะสำเร็จ ต้องพบอุปสรรคและเหน็ดเหนื่อยมากมาย ไม่เหมาะกับเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง ยิ่งจะทำให้ล้มลุกคลุกคลานไม่สิ้นสุด
ควรเป็นลูกจ้างในองค์กรเล็กใหญ่จะดีกว่า เข้าออกงานใหม่เป็นว่าเล่น แม้ตัวเองไม่เปลี่ยน ดวงชะตาก็หักเหให้จนได้
พลัดตกจากเก้าอี้ตำแหน่งได้ไม่รู้ตัว ถึงผู้ใหญ่อุปถัมภ์ แต่นิสัยมักโผงผาง ขวานผ่าซาก จนคนรอบข้างรับไม่ค่อยได้
การงานชีวิตเลยมักขึ้นๆลงๆเสมอ ต้องรับผิดชอบทำงานไปตลอด เหมาะกับช่างทุกสาขา ทหารตำรวจ เกษตรกร(ไปคนละทางเลย)
การเงิน
ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดวงเงินขึ้นๆลงๆ(น่าจะเหมาะกับหุ้นขึ้นๆลงๆนะฮะ)เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบชีวิตนั่นแหละ
ถ้าจัดระเบียบทางการเงินจะดีขึ้น เพราะเป็นคนมีเงินหมุนเวียนเข้ามืิมาตลอด
หาเงินเก่ง อดทนเก็บเล็กผสมน้อยให้ได้อย่างตั้งใจ ไม่ให้เงินใครง่ายๆ แต่ก็ไม่มัธยัสถ์จนเกินไป
สามารถสร้างเงินเป็นหลักฐานและทำลายไปด้วยมือตัวเองได้ ระวังการตัดสินใจเรื่องงานที่กระทบการเงินและชีวิต
จนบั้นปลายต้องเจอปัญหาหนักใจเรื่องเงิน จนต้องเปลี่ยนแปลงเล่นแร่แปรธาตุตลอด
ภูมิใจกับการทำเงินด้วยตัวเองได้ ควรยักย้ายเงินไว้ในมือคู่ครองลูกหลานจะดีกว่า
เพราะถ้าอยู่ในมือตัวเอง หรือมีทรัพย์สินที่ดินในชื่อตัวเอง ก็มีทางเปลี่ยนมือไปจนได้ ต้องพยามทำใจว่าความไม่แน่นอนเป็นสัจธรรมของชีวิต
ความสัมพันธ์ครอบครัว
ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก มีคนเกิดวันที่25 หลายคนที่มีแผลจากครอบครัว ถ้าครอบครัวดีก็มักนึกว่าตัวเองไม่เท่าเทียมกับพี่น้องคนอื่น พ่อแม่ไม่รักเท่าคนอื่น แม้ติดต่อไกล้ชิดยังรู้สึกเปรียบเทียบเสมอ
โดยดวงชะตาคนเกิดวันที่25 มักต้องเสียพ่อหรือแม่คนใดคนนึงตั้งแต่ยังไม่เข้าวัยรุ่น
ถึงครอบครัวมีฐานะไม่เดือดร้อนก็มักไม่ค่อยพอใจ ถ้าเกิดในครอบครัวยากจน จิตใจจะผลักดันให้ห่างครอบครัวมากขึ้น ได้อุปการะส่งเสริมญาติพี่น้องบ้างแต่ก็ไม่มาก
ความรักคู่ครอง
ดวงความรักขึ้นๆลงๆเช่นกัน ยามดีก็ดีเป็นน้ำ เอาอกเอาใจดี ยามเป็นไฟก็ทำบรรยากาศดีๆเสียเพราะคำพูดตัว
ความรักเร่าร้อนรุนแรง ต้องการเก็บรักเป็นของตัวคนเดียวไม่แบ่งใคร ขี้หึงแต่แสดงออกว่าไม่สนใจ
หยิ่งในศักดิ์ศรีจนอาจเสียรักเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าแต่งงานมักเป็นคู่ครองที่ขึ้นกับอารมณ์เป็นใหญ่
ส่วนใหญ่ต้องโทษตัวเองเรื่องคำพูดและอารมณ์ อาจแต่งานสองคร้้ง มีความรักซ่อนเร้นง่าย
อยากให้คนรักมองเห็นคุณค่าและความแกร่งกล้าจนดูเหมือนข่มอีกฝ่าย
สุขภาพ
แทบไม่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ค่อยป่วย นอกจากเครียดกังวล ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ใช้ยากล่อมประสาทอาจเป็นปัญหา
มีดวงผ่าตัดอย่างน้อย1ครั้ง ไม่ชอบเรียกร้องความสงสารเห็นใจจากใคร ยามป่วยก็ไม่บอกใครเช่นกัน
ระวังกระเพาะ ลำไส้ ทางเดินหายใจ
เพื่อนมิตรศัตรู
เพื่อนเยอะ มีคนรักใคร่หวังดี แต่ด้วยจิตใจอาจผลักมิตรแท้ออกไปจากชีวิตใด้ ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะแยะ
คบคนผิวเผินไม่ค่อยไว้ใจใครนัก บางครั้งไม่เห็นความหวังดีคนไกล้ชิด สร้างมิตรง่ายๆพอกับสร้างศัตรูได้เก่งเหลือเกิน
ศัตรูที่มีคือ ศัตรูจากคำพูดการกระทำของตนเอง รวมถึงคู่แข่งการงาน ถ้าทำตัวเป็นคู่แข่งใครจะได้ศัตรูทันที
ควรระวังบุคลิกทั้งๆที่จิตใจตัวเองไม่ได้คิดหรือตั้งใจจะสร้างศัตรูเช่นนั้น
ข้อดีคือศัตรูทำอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดี โดยเนื้อแท้เป็นคนจิตใจดี เพียงแต่ระวังคำพูดและอารมณ์บ้างเท่านั้น
บริวาร
คนรักใคร่ไกล้ชิดเยอะ แต่ไม่ใช่ดวงบริวาร บริวารมีส่วนน้อย ถ้าบริวารเป็นเพศตรงข้ามอายุน้อยกว่ามากๆจะดีกว่า
ผิดหวังเศร้าหมองได้จากบริวาร ผลักดันให้บริวารเป็นศัตรูเผชิญหน้าได้ แต่ในที่สุดคุณเองจะเป็นฝ่ายเลี่ยงการเผชิญหน้านี้ ไม่ควรหวังพึ่งบริวารเรื่องความก้าวหน้าการงาน
โชคลาภ
มีเสมอ ทั้งเรื่องงานเข้ามาฟลุกๆหรือบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่จะบนบานมั้ยเท่านั้น
ถ้าเล่นหุ้นเล่นหวยจะมีโชคลาภเข้ามาฟลุกๆเล็กน้อยเสมอไม่ขาด
เดินทาง
เพราะชีวิตชอบการเปลี่ยนแปลงเสมอ ดวงเดินทางเลยมีต่อเนื่อง ไม่ว่าจะย้ายงาน ที่อยู่
ชีวิตมีเดินทางตลอด ไม่ค่อยสงบนิ่งที่ใดนานๆ
ความเชื่อมงคล
เสื้อผ้าสีอ่อน ขาว ฟ้า เขียวอ่อน ครีม รถสีขาว ครีม ตะกั่ว
เพราะดวงขึ้นๆลงๆ รถสีดำ แดงห้ามใช้เด็ดขาดเพราะเป็นดวงปะทะ
คนเกิด25ตค.
ชีวิตเปลี่ยนแปลงบ่อย พบอุปสรรคตลอด บั่นทอนจิตใจให้ไม่ค่อยไว้ใจใครนัก กลัวการเปลี่ยนแปลงกับผู้คน
อดทนแต่อ่อนไหวกับการกระทำของคนไกล้ชิด ความรักมักเป็นที่พึ่งทางใจมากกว่าเป็นรักแท้จริง
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3200
ใครคือผู้ชนะท้ายสุดสำหรับทีวีในปัจจุบัน
เจ้าของช่องทีวีดิจิตอล ? ผู้สร้างContent? เจ้าของPlatform?
จากสัมมนาที่ภัทร เมื่อวันที่ 19 ตค 18
#ใครฆ่าประเสริฐ แฮทแทคที่เป็นtalk ใน social network จากละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง ที่ฉายทางช่อง ONE31ตอนนี้คงทราบแล้วว่าใครเป็นคนฆ่า แต่มูลเหตุจูงใจให้ฆ่าอะไร ก็ต้องติดตามตอนต่อไป
อาจารย์นิเวศน์ได้พูดว่า ตอนนี้ผู้บริโภคสื่อทีวีจะไม่loyaltyกับช่องที่ดังๆสมัยก่อน เช่น ช่อง3 โดย อาจารย์สังเกตจากภรรยาเริ่มหันเหจากช่อง3มาดูช่องONE ซึ่งอาจารย์เริ่มมาสังเกตว่าละครดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ดูน่าติดตามมาก ทำให้มีโอกาส
เปลี่ยนจากช่องที่เคยชินมาดูช่องใหม่ๆได้ไม่ยาก ตอนนี้ก็ติดละคร เลือดข้นคนจาง เสาร์นี้จะรีบกลับไปดูว่าใครฆ่าประเสริฐ
ส่วนช่องที่สร้างcontentเก่งอย่างWorkpoint ซึ่งเมื่อก่อนเชื่อว่าคนสร้างcontentเท่านั้นจะอยู่รอด แต่ตอนนี้ratingตกลงอย่างมาก ส่วนช่องMonoเริ่มขยับมาแทนที่
แต่คุณรู้ไหมนอกจากเจ้าของช่องทีวีดิจิตอลแล้ว ไทยยังมี OTT Streaming service
ซึ่งแบ่งออกเป็น Advertising ได้แก่ Line TV , Mellow(ช่อง3) ,
และอีกกลุ่มคือ Subscription ได้แก่ Mono Max , AIS Play ,Netflix ,Iflix
ปรากฏว่าคนไทยนิยมดูฟรี แต่ยอมให้มีโฆษณาได้ ทำให้ Line TV และ AIS Play
เริ่มต้นมาพร้อมกันเมื่อ2 ปีที่แล้ว
แต่ตอนนี้ยอดคนดู ของ LineTV 20ล้านคน ส่วน AIS Play 1.6 ล้านคนเท่านั้น
แล้วคุณรู้ไหมว่า คนที่ดูละคร เรื่องเลือดข้นคนจาง ส่วนใหญ่ดูจากสื่ออะไร
ปรากฏว่า 78%ดูจากLine TV ที่เหลือดูจากช่องOne31 ส่วนYoutubeไม่สามารถดูเรื่องนี้ได้
ทำให้ตอนนี้ ใครที่เป็นเจ้าของPlatform และมีคนติดตามดูเยอะอย่างLineTV,Youtubeจะได้เปรียบ
และยอดการเติบโตก็สูงถึง 50-60 ล้านคน ดังนั้นน่าเป็นห่วง คนที่ทำDigital TVว่าคู่แข่งไม่ใช่ช่องทีวีด้วยกันแล้วแต่คู่แข่งจากนอกธุรกิจทีวีรุกเข้ามาสู่Digital TV ซึ่งในต่างประเทศเจอปัญหานี้แล้ว เชื่อว่าต่อไปไทยก็คง
เจอสภาพที่คล้ายกัน และต่อไปเจ้าของPlatformก็จะมาทำรายการของตัวเอง เหมือนกับ Netflixกำลังทำอยู่
ทำให้ เจ้าของcontentก็โดนผลกระทบไปด้วย สุดท้ายใครเป็นผู้ชนะก็เดาได้ไม่ยาก
เจ้าของช่องทีวีดิจิตอล ? ผู้สร้างContent? เจ้าของPlatform?
จากสัมมนาที่ภัทร เมื่อวันที่ 19 ตค 18
#ใครฆ่าประเสริฐ แฮทแทคที่เป็นtalk ใน social network จากละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง ที่ฉายทางช่อง ONE31ตอนนี้คงทราบแล้วว่าใครเป็นคนฆ่า แต่มูลเหตุจูงใจให้ฆ่าอะไร ก็ต้องติดตามตอนต่อไป
อาจารย์นิเวศน์ได้พูดว่า ตอนนี้ผู้บริโภคสื่อทีวีจะไม่loyaltyกับช่องที่ดังๆสมัยก่อน เช่น ช่อง3 โดย อาจารย์สังเกตจากภรรยาเริ่มหันเหจากช่อง3มาดูช่องONE ซึ่งอาจารย์เริ่มมาสังเกตว่าละครดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ดูน่าติดตามมาก ทำให้มีโอกาส
เปลี่ยนจากช่องที่เคยชินมาดูช่องใหม่ๆได้ไม่ยาก ตอนนี้ก็ติดละคร เลือดข้นคนจาง เสาร์นี้จะรีบกลับไปดูว่าใครฆ่าประเสริฐ
ส่วนช่องที่สร้างcontentเก่งอย่างWorkpoint ซึ่งเมื่อก่อนเชื่อว่าคนสร้างcontentเท่านั้นจะอยู่รอด แต่ตอนนี้ratingตกลงอย่างมาก ส่วนช่องMonoเริ่มขยับมาแทนที่
แต่คุณรู้ไหมนอกจากเจ้าของช่องทีวีดิจิตอลแล้ว ไทยยังมี OTT Streaming service
ซึ่งแบ่งออกเป็น Advertising ได้แก่ Line TV , Mellow(ช่อง3) ,
และอีกกลุ่มคือ Subscription ได้แก่ Mono Max , AIS Play ,Netflix ,Iflix
ปรากฏว่าคนไทยนิยมดูฟรี แต่ยอมให้มีโฆษณาได้ ทำให้ Line TV และ AIS Play
เริ่มต้นมาพร้อมกันเมื่อ2 ปีที่แล้ว
แต่ตอนนี้ยอดคนดู ของ LineTV 20ล้านคน ส่วน AIS Play 1.6 ล้านคนเท่านั้น
แล้วคุณรู้ไหมว่า คนที่ดูละคร เรื่องเลือดข้นคนจาง ส่วนใหญ่ดูจากสื่ออะไร
ปรากฏว่า 78%ดูจากLine TV ที่เหลือดูจากช่องOne31 ส่วนYoutubeไม่สามารถดูเรื่องนี้ได้
ทำให้ตอนนี้ ใครที่เป็นเจ้าของPlatform และมีคนติดตามดูเยอะอย่างLineTV,Youtubeจะได้เปรียบ
และยอดการเติบโตก็สูงถึง 50-60 ล้านคน ดังนั้นน่าเป็นห่วง คนที่ทำDigital TVว่าคู่แข่งไม่ใช่ช่องทีวีด้วยกันแล้วแต่คู่แข่งจากนอกธุรกิจทีวีรุกเข้ามาสู่Digital TV ซึ่งในต่างประเทศเจอปัญหานี้แล้ว เชื่อว่าต่อไปไทยก็คง
เจอสภาพที่คล้ายกัน และต่อไปเจ้าของPlatformก็จะมาทำรายการของตัวเอง เหมือนกับ Netflixกำลังทำอยู่
ทำให้ เจ้าของcontentก็โดนผลกระทบไปด้วย สุดท้ายใครเป็นผู้ชนะก็เดาได้ไม่ยาก
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3201
ดาวที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้
หนาวแล้วววววว 55555
อ่ะ มาเข้าเรื่องเข้าราวกันดีกว่า ผมไม่หาเหตุผลนะ แต่ให้ดูประวัติศาสตร์เล่นๆ
ช่วงวิกฤติแฮมเบอเกอร์ ก่อนหน้านั้นตลาดเคยทำhigh ที่1,148.2 วันที่1-11-2007 PE17 PBV2.15
แล้วก็ไหลlow ที่ 380 วันที่26-11-2008 PE 6.19 PBV0.87
ก่อนจะวิ่งยาวถึงปี2013 หุ้นทำhigh ที่1,649 วันที่21-05-2013 PE set18.6 PBV2.6 (สร้างเซียน, celeb, เปลี่ยนชีวิตหลายคนไปในรอบนี้ )
และไหลlow ที่1,205 วันที่6-01-2014 PE13.8 PBV1.9
และมาทำhighที่1615 วันที่4-2-2015 PE19.1 PBV2.3
แล้วก็ไหลลงไปทำlow ที่1224.8 วันที่7-1-2016 PE21.4 PBV1.65
แล้วก็วิ่งยาวมาทำ ATH ที่1852.5 วันที่ 27-2-2018 PE19.1 PBV2.1
จบประวัติปู่SET แบบคร่าวๆครับ
ไม่ขอสรุปและวิเคราะห์อะไรนะครับ ให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆทั่นอื่น มาแชร์ไอเดียกันดีกว่า
จากไปด้วยคำพูดแบบสวยๆฮะ
หนาวแล้วววววว 55555
อ่ะ มาเข้าเรื่องเข้าราวกันดีกว่า ผมไม่หาเหตุผลนะ แต่ให้ดูประวัติศาสตร์เล่นๆ
ช่วงวิกฤติแฮมเบอเกอร์ ก่อนหน้านั้นตลาดเคยทำhigh ที่1,148.2 วันที่1-11-2007 PE17 PBV2.15
แล้วก็ไหลlow ที่ 380 วันที่26-11-2008 PE 6.19 PBV0.87
ก่อนจะวิ่งยาวถึงปี2013 หุ้นทำhigh ที่1,649 วันที่21-05-2013 PE set18.6 PBV2.6 (สร้างเซียน, celeb, เปลี่ยนชีวิตหลายคนไปในรอบนี้ )
และไหลlow ที่1,205 วันที่6-01-2014 PE13.8 PBV1.9
และมาทำhighที่1615 วันที่4-2-2015 PE19.1 PBV2.3
แล้วก็ไหลลงไปทำlow ที่1224.8 วันที่7-1-2016 PE21.4 PBV1.65
แล้วก็วิ่งยาวมาทำ ATH ที่1852.5 วันที่ 27-2-2018 PE19.1 PBV2.1
จบประวัติปู่SET แบบคร่าวๆครับ
ไม่ขอสรุปและวิเคราะห์อะไรนะครับ ให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆทั่นอื่น มาแชร์ไอเดียกันดีกว่า
จากไปด้วยคำพูดแบบสวยๆฮะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3202
ปล.เข้ามาแก้ไขข้อมูลromee เขียน:ช่วงวิกฤติแฮมเบอเกอร์ ก่อนหน้านั้นตลาดเคยทำhigh ที่924.27 วันที่1-11-2007 PE17 PBV2.15
แล้วก็ไหลlow ที่ 380 วันที่26-11-2008 PE 6.19 PBV0.87
ใช้เวลาเกือบ3ปี setถึงกลับมาที่ highเดิมแถว920
ก่อนจะวิ่งยาวถึงปี2013 หุ้นทำhigh ที่1,649 วันที่21-05-2013 PE set18.6 PBV2.6 (สร้างเซียน, celeb, เปลี่ยนชีวิตหลายคนไปในรอบนี้ )
และไหลlow ที่1,205 วันที่6-01-2014 PE13.8 PBV1.9
ใช้เวลาขาลง6เดือน ใช้เวลาขาขึ้นอีก1ปี
และมาทำhighที่1615 วันที่4-2-2015 PE19.1 PBV2.3
แล้วก็ไหลลงไปทำlow ที่1224.8 วันที่7-1-2016 PE21.4 PBV1.65
ใช้เวลาขาลง1ปี ใช้เวลาเป็นขาขึ้น2ปี
แล้วก็วิ่งยาวมาทำ ATH ที่1852.5 วันที่ 27-2-2018 PE19.1 PBV2.1
และเพิ่มระยะเวลาช่วงขาขึ้น และช่วงขาลง
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3203
งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 ของสมาคมไทยวีไอ 27 ตค 2561
ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พิธีกร คุณบอล และ น้องเบส
คุณบอลเกริ่นนำ ว่าก่อนจจหน้านี้ บัตรเข้างานสัมมนาครั้งนี้ยังไม่เต็ม แต่พอใกล้วันงาน
มีคนติดต่อมาเยอะมาก ถามว่ายังมีที่นั่งเหลือหรือไม่ ซึ่งปกติช่วงหุ้นตก จะมาร่วมงานกันน้อยมาก
มาเริ่มคำถามข้อแรกกันครับ
Q: ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงไหน
A: อ นิเวศน์บอกว่า เคยพูดเมื่อ3-4 ปีที่แล้วว่า ได้ขายไปพอสมควร แล้วกลับมาตลาดหุ้นอีกครั้งเพราะ
เทียบกับนำไปฝากกับเงินปันผลของหุ้นแล้วมาลงหุ้นดีกว่า ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ผมเลยเจ็บตัวไปในรอบนี้
ตอนช่วงหลังเริ่มเห็นสัญญาณตลาดหุ้นไม่ไปไหน ปีที่แล้วก็ออกหนังสือชื่อว่า ลงทุนในตลาดหุ้นSideways
ซึ่งตลาดหุ้นช่วงปี 57-60 ไม่ได้ไปไหนเลย
กลยุทธ์ในการลงทุนมี 2 ทาง คือ
1. ตลาดหุ้นตกแรงๆ แล้วค่อยขึ้นกลับมา
2. ตลาดหุ้นตกช้าๆ และ ไม่ไปไหนไกล
ส่วนตัวอาจารย์คิดว่าเป็นข้อ 1 แต่ไม่เกิดขึ้นเพราะ เม็ดเงินของคนไทยที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือลงทุนเอง
มารับที่ต่างชาติขายออกมาช่วงนั้นจนถึงปัจจุบันคิดเป็นยอดขาย 500,000-600,000 ล้านบาท ปีนี้ก็ขายอีก
260,000 ล้านบาท ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีการขายจากต่างชาติแบบนี้ ตลาดPanicแล้ว
แต่ตอนนี้ต่างชาติขาย รายย่อยและกองทุนรับ
ช่วงนี้พื้นฐานเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้น คนไทยเริ่มแก่ตัวลง ผลประกอบการบริษัทไม่ค่อยดี
เริ่มมาดีเอาตอนปีนี้ เพราะรัฐบาลก่อนหน้าลดภาษีของบริษัทลง ช่วยประคองไปได้
คนไทยอยู่ในช่วงเก็บเงินมากสุดเทียบกับช่วงที่ผ่านมา มีการออมเงินผ่าน กองทุนประหยัดภาษ๊เช่น RMF,LTF
ซึ่งเป็นตัวหนุนให้หุ้นไม่ค่อยลง
กิจการไม่ค่อยขยายตัว ดังนั้นเจ้าของบริษัทเลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน
ปีนี้ส่งออกดีขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มชะลอแล้ว ส่งออกของเวียดนามเริ่มตามทันเราแล้ว
นักลงทุนที่มีประสบการณ์ ศึกษามาเพียงพอก็ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ได้นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่มีทางออกในเรื่องการลงทุน
ซื้อทองก็เจ๊ง Propertyก็เฟ้อมาก เลยเข้าตลาดหุ้นแทน ทำให้ประคองตลาดไปได้
ส่วนตัวอาจารย์เองหลังจากรอPanicมาหลายปีไม่เกิดสักที เลยเข้าตลาดหุ้นรอบใหม่
ปันผลได้แค่5%ก็happyแล้ว และเงินส่วนนึงไปลงทุนตลาดหุ้นเวียดนาม ผลตอบแทนที่ผ่านมา
ได้ปีละ5% ซึ่งน้อยมาก ไม่ได้ดีกว่าเมืองไทย แต่ถือว่าเป็นการDiversify หรือการกระจายความเสี่ยง
รอคนเวียดนามมีรายได้เพิ่ม และ นำมาลงทุนในตลาดหุ้น
ผมลงทุนแบบหว่านแห ทั้งที่หุ้นปันผล 10% แต่หุ้นก็ลง แม้ว่าผู้บริหารบอกว่าจะปันผลปีหน้า 12%
แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะมีทางออกที่สามารถหาผลตอบแทนได้มากกว่านี้
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ด้วยเหตุผลข้างต้น ตลาดหุ้นไทยเลยไม่Panicด้วยพลังเงินของรายย่อยและกองทุน
ดอกเบี้ยต่ำติดดิน บริษัทใหญ่ ธนาคารขนาดใหญ่ กำไรเยอะ แต่ไม่โต เพราะโดนdisruptionในเรื่องค่าธรรมเนียม
ที่หายไป ส่วน Teleco คนมีมือถือกันหมดแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่ๆโตยากแล้ว
ท่าอากาศยาน (AOT) ซึ่งใหญ่มากแล้ว จะโตมากกว่านี้ก็ยาก ที่กำไรมากๆที่ผ่านมาเนื่องมาจากรัฐบาลและท่องเที่ยวโต
ส่วนธุรกิจโรงแรม ที่มีโรงแรมในตลาดประเทศ ก็มีคู่แข่งมาเปิดตาม ไม่สามารถป้องกันคู่แข่งเข้ามา กำไรก็โตยาก
ส่วนค้าปลีกก็โตช้าลง เพราะคนเกิดในอัตราที่ต่ำลง แทบไม่มีsectorใหญ่ๆที่โตได้ เราเลยต้องกระจายความเสี่ยง
ไปลงในต่างประเทศ
เราผ่านช่วงsuper growthมาแล้ว คนก็ไม่กล้าลงทุนเพิ่ม เพราะอาจมีปัจจัยจากรัฐมาแทรกแซงเช่น ลดค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน เป็นต้น
ตอนนี้ ก็เลยหาหุ้น Deep Value ซึ่งได้ผลตอบแทน 10-15% ก็มีความสุขแล้ว
ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พิธีกร คุณบอล และ น้องเบส
คุณบอลเกริ่นนำ ว่าก่อนจจหน้านี้ บัตรเข้างานสัมมนาครั้งนี้ยังไม่เต็ม แต่พอใกล้วันงาน
มีคนติดต่อมาเยอะมาก ถามว่ายังมีที่นั่งเหลือหรือไม่ ซึ่งปกติช่วงหุ้นตก จะมาร่วมงานกันน้อยมาก
มาเริ่มคำถามข้อแรกกันครับ
Q: ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงไหน
A: อ นิเวศน์บอกว่า เคยพูดเมื่อ3-4 ปีที่แล้วว่า ได้ขายไปพอสมควร แล้วกลับมาตลาดหุ้นอีกครั้งเพราะ
เทียบกับนำไปฝากกับเงินปันผลของหุ้นแล้วมาลงหุ้นดีกว่า ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ผมเลยเจ็บตัวไปในรอบนี้
ตอนช่วงหลังเริ่มเห็นสัญญาณตลาดหุ้นไม่ไปไหน ปีที่แล้วก็ออกหนังสือชื่อว่า ลงทุนในตลาดหุ้นSideways
ซึ่งตลาดหุ้นช่วงปี 57-60 ไม่ได้ไปไหนเลย
กลยุทธ์ในการลงทุนมี 2 ทาง คือ
1. ตลาดหุ้นตกแรงๆ แล้วค่อยขึ้นกลับมา
2. ตลาดหุ้นตกช้าๆ และ ไม่ไปไหนไกล
ส่วนตัวอาจารย์คิดว่าเป็นข้อ 1 แต่ไม่เกิดขึ้นเพราะ เม็ดเงินของคนไทยที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือลงทุนเอง
มารับที่ต่างชาติขายออกมาช่วงนั้นจนถึงปัจจุบันคิดเป็นยอดขาย 500,000-600,000 ล้านบาท ปีนี้ก็ขายอีก
260,000 ล้านบาท ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีการขายจากต่างชาติแบบนี้ ตลาดPanicแล้ว
แต่ตอนนี้ต่างชาติขาย รายย่อยและกองทุนรับ
ช่วงนี้พื้นฐานเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้น คนไทยเริ่มแก่ตัวลง ผลประกอบการบริษัทไม่ค่อยดี
เริ่มมาดีเอาตอนปีนี้ เพราะรัฐบาลก่อนหน้าลดภาษีของบริษัทลง ช่วยประคองไปได้
คนไทยอยู่ในช่วงเก็บเงินมากสุดเทียบกับช่วงที่ผ่านมา มีการออมเงินผ่าน กองทุนประหยัดภาษ๊เช่น RMF,LTF
ซึ่งเป็นตัวหนุนให้หุ้นไม่ค่อยลง
กิจการไม่ค่อยขยายตัว ดังนั้นเจ้าของบริษัทเลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน
ปีนี้ส่งออกดีขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มชะลอแล้ว ส่งออกของเวียดนามเริ่มตามทันเราแล้ว
นักลงทุนที่มีประสบการณ์ ศึกษามาเพียงพอก็ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ได้นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่มีทางออกในเรื่องการลงทุน
ซื้อทองก็เจ๊ง Propertyก็เฟ้อมาก เลยเข้าตลาดหุ้นแทน ทำให้ประคองตลาดไปได้
ส่วนตัวอาจารย์เองหลังจากรอPanicมาหลายปีไม่เกิดสักที เลยเข้าตลาดหุ้นรอบใหม่
ปันผลได้แค่5%ก็happyแล้ว และเงินส่วนนึงไปลงทุนตลาดหุ้นเวียดนาม ผลตอบแทนที่ผ่านมา
ได้ปีละ5% ซึ่งน้อยมาก ไม่ได้ดีกว่าเมืองไทย แต่ถือว่าเป็นการDiversify หรือการกระจายความเสี่ยง
รอคนเวียดนามมีรายได้เพิ่ม และ นำมาลงทุนในตลาดหุ้น
ผมลงทุนแบบหว่านแห ทั้งที่หุ้นปันผล 10% แต่หุ้นก็ลง แม้ว่าผู้บริหารบอกว่าจะปันผลปีหน้า 12%
แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะมีทางออกที่สามารถหาผลตอบแทนได้มากกว่านี้
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ด้วยเหตุผลข้างต้น ตลาดหุ้นไทยเลยไม่Panicด้วยพลังเงินของรายย่อยและกองทุน
ดอกเบี้ยต่ำติดดิน บริษัทใหญ่ ธนาคารขนาดใหญ่ กำไรเยอะ แต่ไม่โต เพราะโดนdisruptionในเรื่องค่าธรรมเนียม
ที่หายไป ส่วน Teleco คนมีมือถือกันหมดแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่ๆโตยากแล้ว
ท่าอากาศยาน (AOT) ซึ่งใหญ่มากแล้ว จะโตมากกว่านี้ก็ยาก ที่กำไรมากๆที่ผ่านมาเนื่องมาจากรัฐบาลและท่องเที่ยวโต
ส่วนธุรกิจโรงแรม ที่มีโรงแรมในตลาดประเทศ ก็มีคู่แข่งมาเปิดตาม ไม่สามารถป้องกันคู่แข่งเข้ามา กำไรก็โตยาก
ส่วนค้าปลีกก็โตช้าลง เพราะคนเกิดในอัตราที่ต่ำลง แทบไม่มีsectorใหญ่ๆที่โตได้ เราเลยต้องกระจายความเสี่ยง
ไปลงในต่างประเทศ
เราผ่านช่วงsuper growthมาแล้ว คนก็ไม่กล้าลงทุนเพิ่ม เพราะอาจมีปัจจัยจากรัฐมาแทรกแซงเช่น ลดค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน เป็นต้น
ตอนนี้ ก็เลยหาหุ้น Deep Value ซึ่งได้ผลตอบแทน 10-15% ก็มีความสุขแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3204
งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 ของสมาคมไทยวีไอ 27 ตค 2561
ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (ต่อ)
Q: นักลงทุนบางคนยังไม่เคยเจอวิกฤตใหญ่ เช่น วิกฤตSubprime ซึ่งตลาดหุ้นตกวันละ10%ติดต่อกัน อยากให้
อาจารย์ช่วยแชร์
A: สมัยก่อนตลาดหุ้นลงแรง ลง10%เป็นเรื่องธรรมดา สมัยนี้ถ้าเป็นเหมือนสมัยก่อน ต่างประเทศขาย5,000ล้านบาท
ตลาดหุ้นก็ตกเป็นเดือนๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป ตลาดหุ้นไม่ได้ลงหนัก ถึงมีการขายติดต่อกัน แต่ไม่เจอวันพิฆาต
ตอนนี้คนจะชินว่า เวลาตลาดหุ้นตกก็รอตลาดหุ้นเด้ง เลยไม่รู้ถึงเหตุการณ์สมัยก่อน
ความชินนั้นน่ากลัวมาก หุ้นลงมาได้50% ถึงแม้storyยังดี ยี่ห้อขายได้ดี คิดว่าถูก แต่PEของหุ้นยัง 30 เท่า
คนดูแต่สิ่งใกล้ๆ ยอมรับหุ้นPE 20-30 เท่า คิดว่าราคาลงมาก็น่าจะขึ้นไปได้ ดังนั้นหลายคนจึงเข้าไปซื้อ
ซึ่งที่ผ่านมาก็เด้งจริงๆ ดังนั้นต้องรอให้คนหมดกำลังใจ เงินหมด จึงจะเกิดวิกฤต
สมัยก่อน หุ้นต้องลงจนมีPE 10 เท่าจึงค่อยเข้าไปซื้อ แต่ปัจจุบัน หุ้นที่ลงมามากๆ ก็ยังมี PE 30เท่า
และไม่ใช่หุ้นที่เด่น อันดับในอุตสาหกรรมก็ อันดับ 2-3
ตอนตลาดแย่ อาจารย์แนะนำว่า เราควรเกี่ยงเรื่องราคา สมัยก่อนหุ้นที่มีPE 15 เท่าก็คิดว่ายังแพง
คนที่เป็นHard Core ก็มีการใช้Leverage , Block Trade หรือมีการใช้ margin เพื่อให้มีกำไรเยอะๆ
ถึงแม้หุ้นขึ้นไม่เยอะก็สามารถทำกำไรเยอะ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยประคองตลาดหุ้นไม่ให้ลงลึกมาก
Q: อยากให้อาจารย์แนะนำคนที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้น จะปรับmindset อย่างไร
A: อาจารย์แนะนำให้ขายหมด ตอนหุ้นวิกฤต PE เหลือแค่10เท่า คนยังไม่ซื้อเลย
ตอนนี้ต้องอย่าให้ความเคยชินมาหลอกลวงเรา ถ้าเกิดการล้างไพ่ ตลาดจะลงหนักมาก
จะมานึกว่าทำไมเราไปซื้อหุ้น ที่มีPE 30เท่าได้อย่างไร
Q: อาจารย์มีเปลี่ยนตัวหุ้นระหว่างทางหรือไม่
A: ไม่เคยเปลี่ยน เพราะตอนตัดสินใจลงทุนในหุ้นแต่ละตัวนั้น ได้มองแล้วว่า
บริษัทที่เลือกมีโอกาสที่จะชนะในระยะยาวหรือไม่
เราชินเรื่องเกี่ยวกับstartupว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ประสบความสำเร็จในช่วง20ปีที่ผ่านมา เช่น Facebook
ถ้าเราเจอบริษัทแบบเดียวกันนี้ก็จะซื้อ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปทุกคนรู้เหมือนกันหมด
อาจารย์คิดอีกแบบว่า สมัยก่อนไม่มีคนรู้ เลยประสบความสำเร็จ แต่ในปัจจุบันถ้าคุณทำเหมือนกัน
ไม่สามารถเติบโตได้อย่างFacebook , Google เพราะต้องแข่งขันกับบริษัทใหญ่ๆที่ลงมาแข่งกับเรา หรือบางที
อาจถูกซื้อจากบริษัทเหล่านี้
ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนชับ ก็มีหลายบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในวงการ แต่ก็เข้ามาทำเหมือนกัน
เพราะบริษัทเหล่านี้มีเงินสดในมือมาก สามารถลงทุนวิจัย พัฒนาได้ กลายเป็นว่าบริษัทใหญ่ๆก็ต่อสู้กัน
และต้องมีบริษัทที่หายไปจากการต่อสู้ บาดเจ็บกันทั้งหมด ทายไม่ถูกว่าสุดท้ายใครเป็นผู้ชนะ ใครได้ประโยชน์
สุดท้ายก็จะทำธุรกิจคล้ายๆกันหมด
อาจารย์แนะนำว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่งในส่วนที่เราไม่ชำนาญ พยายามหาในส่วนที่ยังไม่มีคนเล่นน่าจะมีโอกาสมากกว่า
มองตลาดเมืองไทย จุดไหนที่เราชนะได้ กินแค่ตรงนี้ก็พอ การซื้อstartupเล็กๆเพื่อหวังโตในระยะยาวเป็นunicornไม่ง่ายเลย เพราะรายใหญ่ดักไว้หมดแล้ว
Q: อยากให้อาจารย์แนะนำว่า จะดูยอดขายต่อMarketcapในแต่ละอุตสาหกรรม ดูอย่างไร
A: ยอดขายในแต่ละproductไม่เท่ากัน เช่น ยอดขายของน้ำมัน หรือ ข้าวซึ่งเป็นสินค้าcommodity ไม่มีความหมาย
เนื่องจากสินค้าอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ ราคาขึ้นกับตลาดโลก
อาจารย์แนะนำให้ไปดูยอดขายที่ก่อให้เกิดกำไรที่ชัดเจน รักษาmarginได้ มีคนfavorสินค้า หรือ เป็นผู้นำมีmarket shareเยอะ หรือ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งเสมอ
ตัวอย่างเช่น บริษัทAppleขายสินค้าในราคาแพงกว่า ถ้ายอดขายโต ก็ส่งผลดีต่อกำไร
ดังนั้นต้องดูเฉพาะยอดขายที่ก่อให้เกิดกำไรที่ชัดเจน ถ้าสินค้ามีความแตกต่าง marginจะเป็นตัวบอกกำไร
ถ้าเป็นสินค้าcommodityจะผันผวน ต้องเฉลี่ยไป
ตัวอย่างเช่น จะคำนวณหากำไรของบริษัทที่ขายน้ำมัน สมมติเรารู้ว่ากำไรจะได้ 2%ของยอดขาย
ดังนั้นคำนวณได้ว่า จำนวนยอดเงินที่ขายในแต่ละปั้ม*2%*จำนวนปั้ม จะรู้ว่ากำไรที่เป็น
longrun / averageว่าได้เท่าไหร่
แต่เราทำผิด คือตอนยอดขายดีๆ marginก็โตเป็น4% กำไรโตพรวด คนก็ขยับ PEจาก 10เป็น20เท่า เพราะถือเป็นหุ้นgrowthรวมถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยให้PEเป็น40เท่า หุ้นเลยขึ้น 4 เท่า อะไรก็ตามที่โตผิดปกติเช่น marginที่ผิดปกติก็อยู่ไม่ได้นาน ทำให้ราคาหุ้นลงพรวด ดังนั้นจะไม่ซื้อหุ้นที่เป็นcommodityที่ขึ้นแรงๆ
ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (ต่อ)
Q: นักลงทุนบางคนยังไม่เคยเจอวิกฤตใหญ่ เช่น วิกฤตSubprime ซึ่งตลาดหุ้นตกวันละ10%ติดต่อกัน อยากให้
อาจารย์ช่วยแชร์
A: สมัยก่อนตลาดหุ้นลงแรง ลง10%เป็นเรื่องธรรมดา สมัยนี้ถ้าเป็นเหมือนสมัยก่อน ต่างประเทศขาย5,000ล้านบาท
ตลาดหุ้นก็ตกเป็นเดือนๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป ตลาดหุ้นไม่ได้ลงหนัก ถึงมีการขายติดต่อกัน แต่ไม่เจอวันพิฆาต
ตอนนี้คนจะชินว่า เวลาตลาดหุ้นตกก็รอตลาดหุ้นเด้ง เลยไม่รู้ถึงเหตุการณ์สมัยก่อน
ความชินนั้นน่ากลัวมาก หุ้นลงมาได้50% ถึงแม้storyยังดี ยี่ห้อขายได้ดี คิดว่าถูก แต่PEของหุ้นยัง 30 เท่า
คนดูแต่สิ่งใกล้ๆ ยอมรับหุ้นPE 20-30 เท่า คิดว่าราคาลงมาก็น่าจะขึ้นไปได้ ดังนั้นหลายคนจึงเข้าไปซื้อ
ซึ่งที่ผ่านมาก็เด้งจริงๆ ดังนั้นต้องรอให้คนหมดกำลังใจ เงินหมด จึงจะเกิดวิกฤต
สมัยก่อน หุ้นต้องลงจนมีPE 10 เท่าจึงค่อยเข้าไปซื้อ แต่ปัจจุบัน หุ้นที่ลงมามากๆ ก็ยังมี PE 30เท่า
และไม่ใช่หุ้นที่เด่น อันดับในอุตสาหกรรมก็ อันดับ 2-3
ตอนตลาดแย่ อาจารย์แนะนำว่า เราควรเกี่ยงเรื่องราคา สมัยก่อนหุ้นที่มีPE 15 เท่าก็คิดว่ายังแพง
คนที่เป็นHard Core ก็มีการใช้Leverage , Block Trade หรือมีการใช้ margin เพื่อให้มีกำไรเยอะๆ
ถึงแม้หุ้นขึ้นไม่เยอะก็สามารถทำกำไรเยอะ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยประคองตลาดหุ้นไม่ให้ลงลึกมาก
Q: อยากให้อาจารย์แนะนำคนที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้น จะปรับmindset อย่างไร
A: อาจารย์แนะนำให้ขายหมด ตอนหุ้นวิกฤต PE เหลือแค่10เท่า คนยังไม่ซื้อเลย
ตอนนี้ต้องอย่าให้ความเคยชินมาหลอกลวงเรา ถ้าเกิดการล้างไพ่ ตลาดจะลงหนักมาก
จะมานึกว่าทำไมเราไปซื้อหุ้น ที่มีPE 30เท่าได้อย่างไร
Q: อาจารย์มีเปลี่ยนตัวหุ้นระหว่างทางหรือไม่
A: ไม่เคยเปลี่ยน เพราะตอนตัดสินใจลงทุนในหุ้นแต่ละตัวนั้น ได้มองแล้วว่า
บริษัทที่เลือกมีโอกาสที่จะชนะในระยะยาวหรือไม่
เราชินเรื่องเกี่ยวกับstartupว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ประสบความสำเร็จในช่วง20ปีที่ผ่านมา เช่น Facebook
ถ้าเราเจอบริษัทแบบเดียวกันนี้ก็จะซื้อ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปทุกคนรู้เหมือนกันหมด
อาจารย์คิดอีกแบบว่า สมัยก่อนไม่มีคนรู้ เลยประสบความสำเร็จ แต่ในปัจจุบันถ้าคุณทำเหมือนกัน
ไม่สามารถเติบโตได้อย่างFacebook , Google เพราะต้องแข่งขันกับบริษัทใหญ่ๆที่ลงมาแข่งกับเรา หรือบางที
อาจถูกซื้อจากบริษัทเหล่านี้
ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนชับ ก็มีหลายบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในวงการ แต่ก็เข้ามาทำเหมือนกัน
เพราะบริษัทเหล่านี้มีเงินสดในมือมาก สามารถลงทุนวิจัย พัฒนาได้ กลายเป็นว่าบริษัทใหญ่ๆก็ต่อสู้กัน
และต้องมีบริษัทที่หายไปจากการต่อสู้ บาดเจ็บกันทั้งหมด ทายไม่ถูกว่าสุดท้ายใครเป็นผู้ชนะ ใครได้ประโยชน์
สุดท้ายก็จะทำธุรกิจคล้ายๆกันหมด
อาจารย์แนะนำว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่งในส่วนที่เราไม่ชำนาญ พยายามหาในส่วนที่ยังไม่มีคนเล่นน่าจะมีโอกาสมากกว่า
มองตลาดเมืองไทย จุดไหนที่เราชนะได้ กินแค่ตรงนี้ก็พอ การซื้อstartupเล็กๆเพื่อหวังโตในระยะยาวเป็นunicornไม่ง่ายเลย เพราะรายใหญ่ดักไว้หมดแล้ว
Q: อยากให้อาจารย์แนะนำว่า จะดูยอดขายต่อMarketcapในแต่ละอุตสาหกรรม ดูอย่างไร
A: ยอดขายในแต่ละproductไม่เท่ากัน เช่น ยอดขายของน้ำมัน หรือ ข้าวซึ่งเป็นสินค้าcommodity ไม่มีความหมาย
เนื่องจากสินค้าอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ ราคาขึ้นกับตลาดโลก
อาจารย์แนะนำให้ไปดูยอดขายที่ก่อให้เกิดกำไรที่ชัดเจน รักษาmarginได้ มีคนfavorสินค้า หรือ เป็นผู้นำมีmarket shareเยอะ หรือ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งเสมอ
ตัวอย่างเช่น บริษัทAppleขายสินค้าในราคาแพงกว่า ถ้ายอดขายโต ก็ส่งผลดีต่อกำไร
ดังนั้นต้องดูเฉพาะยอดขายที่ก่อให้เกิดกำไรที่ชัดเจน ถ้าสินค้ามีความแตกต่าง marginจะเป็นตัวบอกกำไร
ถ้าเป็นสินค้าcommodityจะผันผวน ต้องเฉลี่ยไป
ตัวอย่างเช่น จะคำนวณหากำไรของบริษัทที่ขายน้ำมัน สมมติเรารู้ว่ากำไรจะได้ 2%ของยอดขาย
ดังนั้นคำนวณได้ว่า จำนวนยอดเงินที่ขายในแต่ละปั้ม*2%*จำนวนปั้ม จะรู้ว่ากำไรที่เป็น
longrun / averageว่าได้เท่าไหร่
แต่เราทำผิด คือตอนยอดขายดีๆ marginก็โตเป็น4% กำไรโตพรวด คนก็ขยับ PEจาก 10เป็น20เท่า เพราะถือเป็นหุ้นgrowthรวมถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยให้PEเป็น40เท่า หุ้นเลยขึ้น 4 เท่า อะไรก็ตามที่โตผิดปกติเช่น marginที่ผิดปกติก็อยู่ไม่ได้นาน ทำให้ราคาหุ้นลงพรวด ดังนั้นจะไม่ซื้อหุ้นที่เป็นcommodityที่ขึ้นแรงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3205
รูปแบบการจ่ายเงินที่เปลี่ยนไป
จำได้ว่าสมัยสัก20ปีก่อน ตอนนั้นบัตรเครดิตยังไม่ค่อยนิยม ค่าสมัครและค่าธรรมเนียมรายปีก็แพง
ดังนั้นจะนิยมจ่ายเป็นเงินสดมากกว่า แต่อาจทำไว้สักใบเพื่อจ่ายในกรณีเป็นเงินก้อนใหญ่
แต่ร้านค้าที่รับก็ไม่มาก แถมยังเก็บค่าธรรมเนียมการรูดด้วย
เวลาไปซื้อหนังสือเช่นร้านดอกหญ้า ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถ้าเงินไม่พอก็ไปเบิกเงิน
ที่ตู้ATMมาจ่าย เพราะสมัยนั้นร้านยังไม่รับบัตรเครดิต
ต่อมาบัตรเครดิตก็ได้รับความนิยมเมื่อ10ปีที่ผ่านมา เพราะส่วนใหญ่จะขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีได้
ทำให้กับจับจ่ายก็สะดวกขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดว่าอาจต้องมียอดเงินขึ้นต่ำที่จะรูดบัตร
จึงยังจำเป็นต้องมีเงินสดติดตัวบ้าง
นักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มมาท่องเที่ยวในไทย ทาง 7-11 ก็เปิดให้จ่ายเงินผ่าน Alipay ซึ่งถือเป็น E Wallet
หรือ กระเป๋าเงินอิเลคทรอนิคส์ ซึ่งสะดวกในการจับจ่ายสำหรับชาวจีนมาก เพราะ ที่ประเทศจีนไม่นิยมบัตรเครดิต
วิวัฒนาการการชำระเงินที่เมืองจีน ก็เลยข้ามขั้นจาก จ่ายเงินสด ไปเป็น จ่ายผ่าน Alipay หรือ Wechat Pay
การชำระเงินก็สะดวก เวลาจะชำระสินค้า เจ้าของร้านก็สแกนQR codeของผู้ซื้อ ก็ถือจบขั้นตอนการจ่ายเงิน
หลังจากนั้นก็มีการประยุกต์การใช้อย่างกว้างขวาง เช่น ร้านที่ไม่ได้ลงทุนเรื่องอุปกรณ์การสแกน ก็พิมพ์QR code
เพื่อให้คนซื้อสแกนจ่ายเงิน แม้แต่ให้อั่งเปาในช่วงตรุษจีนก็ยังให้ผ่านQR code เลย ถ้าต้องการบริจาคเงินให้วัดหรือ
ทำบุญกับขอทาน ก็สแกนQR codeของเขาก็ได้
ย้อนมาเมืองไทยบ้าง ทางธนาคารขนาดใหญ่ก็เริ่มให้ใช้กัน โดย ธนาคารวายุภักษ์ เริ่มก่อนโดยทำป้ายQR codeแจก
ไปตามร้านค้าตลาดสด แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยมีร้านค้าใช้ อีกธนาคารสีม่วง ก็ได้ไอเดียเรื่องนางกวัก ว่าเป็นที่นับถือของ
พ่อค้าแม่ค้า ดังนั้น จึงทำเป็นตุ๊กตาแม่มณีคล้ายกับเรียกลูกค้า ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างมาก รวมถึงการโปรโมตผ่านตัวละคร แม่การะเกด จากเรื่องบุพเพสันนิวาสด้วย
นอกจากนี้ E wallet ในไทยยังมีหลายเจ้าที่ลงมาแข่งขัน เจ้าใหญ่อย่าง True ก็มาทำ True e wallet และ โปรโมตผ่านร้าน 7-11 ก็รับจ่ายผ่าน True e wallet ก็สามารถเรียกลูกค้าได้ ส่วน ค่าย Line ก็ร่วมมือกับ BTS ทำ Rabbit Line pay
ออกมา ตอนนี้ยังสามารถlink บัตร Rabbit กับ Rabbit line pay เข้าด้วยกัน สามารถเช็ครายการใช้จ่าย เกี่ยวกับ
รถไฟฟ้าผ่านทาง app rabbit line pay ได้ด้วย
แล้วค่ายบัตรเครดิตละ จะยอมแพ้เหรอครับ ไม่มีทาง ตอนนี้ได้ข่าวว่า Master card , Visa car , China Union pay
รวมกันเพื่อทำมาตรฐานระบบ QR code สำหรับการใช้จ่าย
สุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์จริงๆน่าจะเป็นผู้บริโภค ต่อไปอาจไม่ต้องพกเงินออกนอกบ้าน แค่มีมือถือเครื่องเดียวก็ได้แล้ว
จำได้ว่าสมัยสัก20ปีก่อน ตอนนั้นบัตรเครดิตยังไม่ค่อยนิยม ค่าสมัครและค่าธรรมเนียมรายปีก็แพง
ดังนั้นจะนิยมจ่ายเป็นเงินสดมากกว่า แต่อาจทำไว้สักใบเพื่อจ่ายในกรณีเป็นเงินก้อนใหญ่
แต่ร้านค้าที่รับก็ไม่มาก แถมยังเก็บค่าธรรมเนียมการรูดด้วย
เวลาไปซื้อหนังสือเช่นร้านดอกหญ้า ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถ้าเงินไม่พอก็ไปเบิกเงิน
ที่ตู้ATMมาจ่าย เพราะสมัยนั้นร้านยังไม่รับบัตรเครดิต
ต่อมาบัตรเครดิตก็ได้รับความนิยมเมื่อ10ปีที่ผ่านมา เพราะส่วนใหญ่จะขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีได้
ทำให้กับจับจ่ายก็สะดวกขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดว่าอาจต้องมียอดเงินขึ้นต่ำที่จะรูดบัตร
จึงยังจำเป็นต้องมีเงินสดติดตัวบ้าง
นักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มมาท่องเที่ยวในไทย ทาง 7-11 ก็เปิดให้จ่ายเงินผ่าน Alipay ซึ่งถือเป็น E Wallet
หรือ กระเป๋าเงินอิเลคทรอนิคส์ ซึ่งสะดวกในการจับจ่ายสำหรับชาวจีนมาก เพราะ ที่ประเทศจีนไม่นิยมบัตรเครดิต
วิวัฒนาการการชำระเงินที่เมืองจีน ก็เลยข้ามขั้นจาก จ่ายเงินสด ไปเป็น จ่ายผ่าน Alipay หรือ Wechat Pay
การชำระเงินก็สะดวก เวลาจะชำระสินค้า เจ้าของร้านก็สแกนQR codeของผู้ซื้อ ก็ถือจบขั้นตอนการจ่ายเงิน
หลังจากนั้นก็มีการประยุกต์การใช้อย่างกว้างขวาง เช่น ร้านที่ไม่ได้ลงทุนเรื่องอุปกรณ์การสแกน ก็พิมพ์QR code
เพื่อให้คนซื้อสแกนจ่ายเงิน แม้แต่ให้อั่งเปาในช่วงตรุษจีนก็ยังให้ผ่านQR code เลย ถ้าต้องการบริจาคเงินให้วัดหรือ
ทำบุญกับขอทาน ก็สแกนQR codeของเขาก็ได้
ย้อนมาเมืองไทยบ้าง ทางธนาคารขนาดใหญ่ก็เริ่มให้ใช้กัน โดย ธนาคารวายุภักษ์ เริ่มก่อนโดยทำป้ายQR codeแจก
ไปตามร้านค้าตลาดสด แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยมีร้านค้าใช้ อีกธนาคารสีม่วง ก็ได้ไอเดียเรื่องนางกวัก ว่าเป็นที่นับถือของ
พ่อค้าแม่ค้า ดังนั้น จึงทำเป็นตุ๊กตาแม่มณีคล้ายกับเรียกลูกค้า ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างมาก รวมถึงการโปรโมตผ่านตัวละคร แม่การะเกด จากเรื่องบุพเพสันนิวาสด้วย
นอกจากนี้ E wallet ในไทยยังมีหลายเจ้าที่ลงมาแข่งขัน เจ้าใหญ่อย่าง True ก็มาทำ True e wallet และ โปรโมตผ่านร้าน 7-11 ก็รับจ่ายผ่าน True e wallet ก็สามารถเรียกลูกค้าได้ ส่วน ค่าย Line ก็ร่วมมือกับ BTS ทำ Rabbit Line pay
ออกมา ตอนนี้ยังสามารถlink บัตร Rabbit กับ Rabbit line pay เข้าด้วยกัน สามารถเช็ครายการใช้จ่าย เกี่ยวกับ
รถไฟฟ้าผ่านทาง app rabbit line pay ได้ด้วย
แล้วค่ายบัตรเครดิตละ จะยอมแพ้เหรอครับ ไม่มีทาง ตอนนี้ได้ข่าวว่า Master card , Visa car , China Union pay
รวมกันเพื่อทำมาตรฐานระบบ QR code สำหรับการใช้จ่าย
สุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์จริงๆน่าจะเป็นผู้บริโภค ต่อไปอาจไม่ต้องพกเงินออกนอกบ้าน แค่มีมือถือเครื่องเดียวก็ได้แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3206
งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 ของสมาคมไทยวีไอ 27 ตค 2561
ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตอนที่2
พิธีกร คุณบอล และ น้องเบส
Q: อยากสอบถามความเห็นของอาจารย์เกี่ยวกับ อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง และ ตอกเสาเข็ม
A: อุตสาหกรรมรับเหมามากับประชากรที่เพิ่มขึ้น และ รวยขึ้น แต่ตอนนี้เด็กเกิดใหม่น้อยลง
Facilityที่สร้างมาเยอะ สะสมมาเรื่อยๆ Mega projectที่เกิดขึ้น สุดท้ายเป็นอย่างไร
การที่ประเทศญี่ปุ่นไมร่วมลงทุนกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ไปเชียงใหม่จากข่าวเมื่อวันที่ 26 ตค 18
ความคิดเก่าเกี่ยวกับว่าจำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง สุดท้ายสร้างขึ้นมาก็เจ๊ง จริงๆนาทีนี้ใช้เครื่องบินดีกว่า
ถ้าญี่ปุ่นถอยก็รอรัฐบาลหน้ามาตัดสินใจ ท้ายสุดก็ขึ้นกับcapacity
การรับงานpublicเป็นธุรกิจสีเทา กำไรได้มาจะถึงกระเป๋าเราเท่าไหร่
ธุรกิจเสาเข็ม มีข้อดี คือ กำไรจากการเก็บเงินหลังงานเสร็จ ไม่ต้องรอตึกเสร็จ คำนวณง่าย มีmarginค่อนข้างดี
กำไรจะโตมากในช่วงนี้ กำไรเพิ่ม ถ้าให้PEเพิ่มอีก เราก็จะติดกับดัก PEเพิ่ม เราเข้าไปซื้อของแพง บางคนคิดว่า
ซื้อแพง ก็ขายแพงกว่า แต่มีคนอื่นรู้ดีกว่าเรา
หุ้นเสาเข็มไม่ใช่หุ้นGrowth เพราะว่าถ้าprojectหมด ก็กลับมาสู่ช่วงปกติ ซึ่งปกติPEไม่เกิน 10 เท่า
ระยะสั้น PEสูงได้จากนักเก็งกำไร เป็นเหตุว่าหุ้นตัวเล็กมีmarket cap 10,000-100,000 ลบ ตัวอย่างเช่น
บริษัทขายขนมทำไมจะโตได้ขนาดนี้ ถึงแม้เขาบริหารดีกว่า แต่ธุรกิจไม่ใช่ธุรกิจหลักในเมืองไทย อาจมีคู่แข่งเข้ามาได้
Q: ราคาห้นบางตัว เช่น Jxxxt ลงมาเยอะสุดในปีนี้ เกิดอะไรขึ้น จะเจ๊งไหม มีโอกาสกลับเหมือนเดิมไหม
A: ตอนหุ้นขึนมีstory : JxT, Jaxxxt อะไรก็ดูดีหมด มือถือก็เป็นผู้นำ พยายามทำเป็นหุ้นgrowth
ตอนนี้กลับมาสู่ความเป็นจริง ขายมือถือเท่าไหร่ marginเท่าไหร่
ตอนนี้ต้องเข้าสู่ความเป็นจริง ควรมีmarket cap เท่าไหร่ ถ้าresonableก็ถึงจะเข้าไป
Marketcapรวมหนี้ด้วย ถ้าเราวิเคราะห์แบบนี้ได้ ตัวธุรกิจขายมือถือไม่มีvalue marginบางมาก
Q: Bond 10 years Yieldเพิ่ม มีโอกาสเกิดวิกฤตไหม
A: มีโอกาส เพราะถ้าYieldสูง คนหันมาซื้อBondแทน เวลานั้นคนย้ายจากหุ้นมาBond มีผลสูงมาก
คนกลัวมา ดอกเบี้ยขึ้นแรงๆ แต่ยังมั่นใจดอกเบี้ยในไทยไม่ขึ้นแรง เพราะว่าเงินยังมีอยู่เยอะ ไม่มีทางไป
รัฐบาลพยายามกดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ความเสี่ยงมีแต่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐ แต่ถ้าสหรัฐเกิดไป
เราก็โดนไม่แรง และ ฟื้นตัวได้
Q: อาจารย์มีการขายหุ้นบางตัวไป อยากให้ช่วยแนะนำว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ขายหุ้นไป
A: ส่วนใหญ่ดูfundamental ราคาเป็นส่วนน้อยที่เป็นตัวตัดสินใจในการขาย
หุ้นตกไม่ใช่ประเด็นในการขาย เวลากิจการดี สุดท้ายราคาก็กลับมา
ตอน Hmpro เปิด Magahome มีคู่แข่งเช่น ไทวัสดุ Global houseเข้ามาตลาดใกล้เคียง
แทนกันได้เยอะในต่างจังหวัด อีกหน่อยก็แย่ คนที่improveบ้านแบบ middle income ก็จะไปที่อื่น
ผมซื้อHmproมา10ปี ราคาขึ้นก็เลยขายหมูไป เพราะว่าหลังจากการขาย ราคาก็ขึ้นไปอีก ต่อมาซื้อ
QHซึ่งถือHmpro 25% valuationได้ ขยายไปมาเลเซีย ถ้าธุรกิจที่นั่นลงตัว ก็เป็นตัวเร่งได้
ช่วงนี้ Hmpro ขึ้นสวนกระแสมาตลอด
การซื้อหุ้น QH เหมือนการซื้อหุ้น Hmpro ในราคาdiscount ปันผลดี ดูแลผู้ถือหุ้นดี มีธรรมมาภิบาล
ส่วน BCP ซื้อมาก่อน BCPG เพราะตอนหลังหาหุ้นซื้อยาก ส่วนsuper stock ราคาแพงเวอร์มาก
เลยหาหุ้นแบบ Supercheap stockแทน BCP ราคาค่อนข้างถูก ปันผล 5-6%
Commodity long run ,marginบาง 2-3% แต่ยอดขาย แสนล้านบาท ได้กำไร 2,000-3,000 ล้านบาท
ประกอบกับ ลงทุนในธุรกิจBattery ซื้อบ่อน้ำมัน ซึ่งอาจารย์ไม่เห็นด้วย เพราะเจ๊งไปบ่อนึงแล้ว
ถือหุ้น50%ในโรงเอทานอลด้วย P/B 1 เท่า , PE < 10 เท่า ปันผล 5-6% ดูย้อนหลัง 5-6 ปี
มีเงินสำหรับจ่ายปันผลได้ Cash flowดี , EBITDA / cash 10,000 กว่าล้านบาทต่อปี
Market cap 50,000 ลบ แสดงว่าเก็บแค่ 3-4 ปี ก็คืนหมดแล้ว พอใจกับปันผล 5%
BCPG มั่นคงน้อยกว่า BCP เป็นหุ้นแนว growth
Q: วิกฤต ถ้าเกิดจริงๆ อาจารย์สนใจหุ้นUS, VN หรือ ไทยครับ
A: น่าจะเป็นหุ้นไทย เพราะเรารู้ดีกว่าหุ้นในตลาดอื่น เวลาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
เห็นว่าหลายอย่างไม่เหมือนกับไทย เกณฑ์การทำธุรกิจ มีความแตกต่าง
ถ้าย้อนหลังไปได้ ประเทศเวียดนามตอนนั้นกำลังพุ่ง ย้ายโรงงานจากไทยไปเวียดนาม
ทำให้เรารู้สึกว่าเวียดนามจะเป็น Next Thailand and Beyond
เราเข้าตอนเริ่มต้น น่าจะได้กำไร และต้องการdiversify เพราะเห็นriskในไทย
อาจารย์ใช้robotหาหุ้นจากเกณฑ์ที่อาจารย์กำหนด และ ซื้อลงทุนไป 100 กว่าตัวที่เข้าเกณฑ์
แต่3 ปีไม่ไปไหน ลงอีก ได้แต่ปันผล และ ปกติต้องปรับportทุกปี แต่ไม่มีสภาพคล่องให้ปรับportเลย
ยังหวังว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม รายย่อยจะแห่มาเล่นจนPE 40 เท่า ครั้งนึงในชีวิต ซึ่งคุ้มมาก
Q: ตอนวิกฤต ตลาดหุ้นเวียดนามจะแย่กว่าไทยไหม
A: ตอนนี้ก็ลงไปเยอะแล้ว หุ้นที่อาจารย์ลงไปส่วนใหญ่เป็นของรัฐ ไม่มีแรงจูงใจใรการเติบโต
แต่ถือว่าเป็นการกระจายการลงทุน
Q: อยากให้อาจารย์ช่วยแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดมาแบ่งปันเพื่อเป็นกำลังใจ
A: ความรู้ที่เรียนมาอาจผิด แต่สถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หุ้นขึ้นมา
บางทีรวยจากการผิด ถ้าเราลงอย่างไม่ถูกต้อง จะไม่ยั่งยืน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุน แต่ยืนอยู่บนฐานที่ถูกต้อง
ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ก็ฟื้นมาได้
นักเก็งกำไรระดับโลก บางครั้งรวยกว่าวอร์เรน แต่ก็มีโอกาสขาดทุนและหายไป
ให้ล้างสมอง ไม่ได้อยู่ตอนนี้ แต่ไปอยู่ตอนวิกฤต ไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีการเชียร์หุ้น
คุณจะให้valueเท่าไหร่ วอร์เรนไม่เคยซื้อของแพง
ตอนซื้อapple PE 10กว่าเท่า เขาซื้อหุ้นราคาถูก
บางทีต้องคิดว่าแต่ละคนมีจุดยืนอย่างไร
เวลาขึ้นดีมากๆ ได้ไม่ค่อยมาก แต่เวลาตลาดลง ขาดทุนไม่เยอะ ประมาณ 20% แต่หลายคนเจอขาดทุน 50%
วอร์เรน ไม่เคยเจอกำไรเกิน 100% มีแค่2ปีที่กำไรเยอะ กำไร 40-45%ต่อปี อาศัยความอึดและทน ไม่ตื่นเต้นมาก
ปกตินักลงทัเวลาหุ้นตก ก็เศร้า ทำใจให้มันผ่านไป เราต้องรอหุ้นขึ้นในอีก2-3 ปี ซึ่งทำยาก แต่ผมรอเป็น 10 ปีเลย
ร้านสะดวกซื้อ ก็เคยลงหนักๆมาหลายรอบ รอบละ 10-20% บางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมลง
เราต้องมั่นใจในธุรกิจ อนาคตขยายสาขาได้อีก ยังพอถือได้
Q: คำแนะนำสำหรับคนที่ซื้อไปแล้วตอนPE สูง จะปรับportอย่างไร
A: ระยะต่อจากนี้หลายปี จะกลับมาเป็นช่วงของหุ้นvalue เน้นหุ้นถูก อนาคตค่อนข้างโตยาก
หุ้นgrowthดีๆ ค่อนข้างแพงซึ่ง downside risk สูง
ต้องปรับเปลี่ยนความคิด ล้างสมอง กลับมาเริ่มต้นใหม่ ไม่รับรู้ว่าหุ้นขึ้นแบบนี้
เล่นกันแบบบ้าคลั่ง กำไรเป็น 100% ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดปกติ
การลงทุนต้องค่อยๆไป ได้ ปีละ 10-15% ก็ทำให้ฐานะการเงินดีขึ้นแล้ว
หวังแต่ financially ดีขึ้น ตอนเข้าตลาดหวังปันผลอย่างเดียว สุดท้ายอยู่ที่คนในบริษัท
เวลาไปเที่ยวก็ดูพฤติกรรมของคนแต่ละประเทศ เปรียบเทียบกับคนไทย
วัดได้ถ้าคนมีศักยภาพ ท้ายสุด ประเทศมีความก้าวหน้า
ตอนนี้เราเจริญกว่า เขามีปัญหาเรื่องระบบ ถ้าแก้ได้ก็เจริญกว่า
จีนเมื่อ30ปีที่แล้วล้าหลัง จีนที่อยู่นอกประเทศเจริญกว่า พอเปลี่ยนแปลงระบบ ก็เจริญอย่างรวดเร็ว
ขึ้นอยู่กับคน ดังนั้นที่เวียดนาม อย่างไรก็เจริญ ถือเป็นเสือตัวต่อไป
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ คุณบอล น้องเบสมากครับ
ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตอนที่2
พิธีกร คุณบอล และ น้องเบส
Q: อยากสอบถามความเห็นของอาจารย์เกี่ยวกับ อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง และ ตอกเสาเข็ม
A: อุตสาหกรรมรับเหมามากับประชากรที่เพิ่มขึ้น และ รวยขึ้น แต่ตอนนี้เด็กเกิดใหม่น้อยลง
Facilityที่สร้างมาเยอะ สะสมมาเรื่อยๆ Mega projectที่เกิดขึ้น สุดท้ายเป็นอย่างไร
การที่ประเทศญี่ปุ่นไมร่วมลงทุนกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ไปเชียงใหม่จากข่าวเมื่อวันที่ 26 ตค 18
ความคิดเก่าเกี่ยวกับว่าจำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง สุดท้ายสร้างขึ้นมาก็เจ๊ง จริงๆนาทีนี้ใช้เครื่องบินดีกว่า
ถ้าญี่ปุ่นถอยก็รอรัฐบาลหน้ามาตัดสินใจ ท้ายสุดก็ขึ้นกับcapacity
การรับงานpublicเป็นธุรกิจสีเทา กำไรได้มาจะถึงกระเป๋าเราเท่าไหร่
ธุรกิจเสาเข็ม มีข้อดี คือ กำไรจากการเก็บเงินหลังงานเสร็จ ไม่ต้องรอตึกเสร็จ คำนวณง่าย มีmarginค่อนข้างดี
กำไรจะโตมากในช่วงนี้ กำไรเพิ่ม ถ้าให้PEเพิ่มอีก เราก็จะติดกับดัก PEเพิ่ม เราเข้าไปซื้อของแพง บางคนคิดว่า
ซื้อแพง ก็ขายแพงกว่า แต่มีคนอื่นรู้ดีกว่าเรา
หุ้นเสาเข็มไม่ใช่หุ้นGrowth เพราะว่าถ้าprojectหมด ก็กลับมาสู่ช่วงปกติ ซึ่งปกติPEไม่เกิน 10 เท่า
ระยะสั้น PEสูงได้จากนักเก็งกำไร เป็นเหตุว่าหุ้นตัวเล็กมีmarket cap 10,000-100,000 ลบ ตัวอย่างเช่น
บริษัทขายขนมทำไมจะโตได้ขนาดนี้ ถึงแม้เขาบริหารดีกว่า แต่ธุรกิจไม่ใช่ธุรกิจหลักในเมืองไทย อาจมีคู่แข่งเข้ามาได้
Q: ราคาห้นบางตัว เช่น Jxxxt ลงมาเยอะสุดในปีนี้ เกิดอะไรขึ้น จะเจ๊งไหม มีโอกาสกลับเหมือนเดิมไหม
A: ตอนหุ้นขึนมีstory : JxT, Jaxxxt อะไรก็ดูดีหมด มือถือก็เป็นผู้นำ พยายามทำเป็นหุ้นgrowth
ตอนนี้กลับมาสู่ความเป็นจริง ขายมือถือเท่าไหร่ marginเท่าไหร่
ตอนนี้ต้องเข้าสู่ความเป็นจริง ควรมีmarket cap เท่าไหร่ ถ้าresonableก็ถึงจะเข้าไป
Marketcapรวมหนี้ด้วย ถ้าเราวิเคราะห์แบบนี้ได้ ตัวธุรกิจขายมือถือไม่มีvalue marginบางมาก
Q: Bond 10 years Yieldเพิ่ม มีโอกาสเกิดวิกฤตไหม
A: มีโอกาส เพราะถ้าYieldสูง คนหันมาซื้อBondแทน เวลานั้นคนย้ายจากหุ้นมาBond มีผลสูงมาก
คนกลัวมา ดอกเบี้ยขึ้นแรงๆ แต่ยังมั่นใจดอกเบี้ยในไทยไม่ขึ้นแรง เพราะว่าเงินยังมีอยู่เยอะ ไม่มีทางไป
รัฐบาลพยายามกดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ความเสี่ยงมีแต่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐ แต่ถ้าสหรัฐเกิดไป
เราก็โดนไม่แรง และ ฟื้นตัวได้
Q: อาจารย์มีการขายหุ้นบางตัวไป อยากให้ช่วยแนะนำว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ขายหุ้นไป
A: ส่วนใหญ่ดูfundamental ราคาเป็นส่วนน้อยที่เป็นตัวตัดสินใจในการขาย
หุ้นตกไม่ใช่ประเด็นในการขาย เวลากิจการดี สุดท้ายราคาก็กลับมา
ตอน Hmpro เปิด Magahome มีคู่แข่งเช่น ไทวัสดุ Global houseเข้ามาตลาดใกล้เคียง
แทนกันได้เยอะในต่างจังหวัด อีกหน่อยก็แย่ คนที่improveบ้านแบบ middle income ก็จะไปที่อื่น
ผมซื้อHmproมา10ปี ราคาขึ้นก็เลยขายหมูไป เพราะว่าหลังจากการขาย ราคาก็ขึ้นไปอีก ต่อมาซื้อ
QHซึ่งถือHmpro 25% valuationได้ ขยายไปมาเลเซีย ถ้าธุรกิจที่นั่นลงตัว ก็เป็นตัวเร่งได้
ช่วงนี้ Hmpro ขึ้นสวนกระแสมาตลอด
การซื้อหุ้น QH เหมือนการซื้อหุ้น Hmpro ในราคาdiscount ปันผลดี ดูแลผู้ถือหุ้นดี มีธรรมมาภิบาล
ส่วน BCP ซื้อมาก่อน BCPG เพราะตอนหลังหาหุ้นซื้อยาก ส่วนsuper stock ราคาแพงเวอร์มาก
เลยหาหุ้นแบบ Supercheap stockแทน BCP ราคาค่อนข้างถูก ปันผล 5-6%
Commodity long run ,marginบาง 2-3% แต่ยอดขาย แสนล้านบาท ได้กำไร 2,000-3,000 ล้านบาท
ประกอบกับ ลงทุนในธุรกิจBattery ซื้อบ่อน้ำมัน ซึ่งอาจารย์ไม่เห็นด้วย เพราะเจ๊งไปบ่อนึงแล้ว
ถือหุ้น50%ในโรงเอทานอลด้วย P/B 1 เท่า , PE < 10 เท่า ปันผล 5-6% ดูย้อนหลัง 5-6 ปี
มีเงินสำหรับจ่ายปันผลได้ Cash flowดี , EBITDA / cash 10,000 กว่าล้านบาทต่อปี
Market cap 50,000 ลบ แสดงว่าเก็บแค่ 3-4 ปี ก็คืนหมดแล้ว พอใจกับปันผล 5%
BCPG มั่นคงน้อยกว่า BCP เป็นหุ้นแนว growth
Q: วิกฤต ถ้าเกิดจริงๆ อาจารย์สนใจหุ้นUS, VN หรือ ไทยครับ
A: น่าจะเป็นหุ้นไทย เพราะเรารู้ดีกว่าหุ้นในตลาดอื่น เวลาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
เห็นว่าหลายอย่างไม่เหมือนกับไทย เกณฑ์การทำธุรกิจ มีความแตกต่าง
ถ้าย้อนหลังไปได้ ประเทศเวียดนามตอนนั้นกำลังพุ่ง ย้ายโรงงานจากไทยไปเวียดนาม
ทำให้เรารู้สึกว่าเวียดนามจะเป็น Next Thailand and Beyond
เราเข้าตอนเริ่มต้น น่าจะได้กำไร และต้องการdiversify เพราะเห็นriskในไทย
อาจารย์ใช้robotหาหุ้นจากเกณฑ์ที่อาจารย์กำหนด และ ซื้อลงทุนไป 100 กว่าตัวที่เข้าเกณฑ์
แต่3 ปีไม่ไปไหน ลงอีก ได้แต่ปันผล และ ปกติต้องปรับportทุกปี แต่ไม่มีสภาพคล่องให้ปรับportเลย
ยังหวังว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม รายย่อยจะแห่มาเล่นจนPE 40 เท่า ครั้งนึงในชีวิต ซึ่งคุ้มมาก
Q: ตอนวิกฤต ตลาดหุ้นเวียดนามจะแย่กว่าไทยไหม
A: ตอนนี้ก็ลงไปเยอะแล้ว หุ้นที่อาจารย์ลงไปส่วนใหญ่เป็นของรัฐ ไม่มีแรงจูงใจใรการเติบโต
แต่ถือว่าเป็นการกระจายการลงทุน
Q: อยากให้อาจารย์ช่วยแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดมาแบ่งปันเพื่อเป็นกำลังใจ
A: ความรู้ที่เรียนมาอาจผิด แต่สถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หุ้นขึ้นมา
บางทีรวยจากการผิด ถ้าเราลงอย่างไม่ถูกต้อง จะไม่ยั่งยืน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุน แต่ยืนอยู่บนฐานที่ถูกต้อง
ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ก็ฟื้นมาได้
นักเก็งกำไรระดับโลก บางครั้งรวยกว่าวอร์เรน แต่ก็มีโอกาสขาดทุนและหายไป
ให้ล้างสมอง ไม่ได้อยู่ตอนนี้ แต่ไปอยู่ตอนวิกฤต ไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีการเชียร์หุ้น
คุณจะให้valueเท่าไหร่ วอร์เรนไม่เคยซื้อของแพง
ตอนซื้อapple PE 10กว่าเท่า เขาซื้อหุ้นราคาถูก
บางทีต้องคิดว่าแต่ละคนมีจุดยืนอย่างไร
เวลาขึ้นดีมากๆ ได้ไม่ค่อยมาก แต่เวลาตลาดลง ขาดทุนไม่เยอะ ประมาณ 20% แต่หลายคนเจอขาดทุน 50%
วอร์เรน ไม่เคยเจอกำไรเกิน 100% มีแค่2ปีที่กำไรเยอะ กำไร 40-45%ต่อปี อาศัยความอึดและทน ไม่ตื่นเต้นมาก
ปกตินักลงทัเวลาหุ้นตก ก็เศร้า ทำใจให้มันผ่านไป เราต้องรอหุ้นขึ้นในอีก2-3 ปี ซึ่งทำยาก แต่ผมรอเป็น 10 ปีเลย
ร้านสะดวกซื้อ ก็เคยลงหนักๆมาหลายรอบ รอบละ 10-20% บางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมลง
เราต้องมั่นใจในธุรกิจ อนาคตขยายสาขาได้อีก ยังพอถือได้
Q: คำแนะนำสำหรับคนที่ซื้อไปแล้วตอนPE สูง จะปรับportอย่างไร
A: ระยะต่อจากนี้หลายปี จะกลับมาเป็นช่วงของหุ้นvalue เน้นหุ้นถูก อนาคตค่อนข้างโตยาก
หุ้นgrowthดีๆ ค่อนข้างแพงซึ่ง downside risk สูง
ต้องปรับเปลี่ยนความคิด ล้างสมอง กลับมาเริ่มต้นใหม่ ไม่รับรู้ว่าหุ้นขึ้นแบบนี้
เล่นกันแบบบ้าคลั่ง กำไรเป็น 100% ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดปกติ
การลงทุนต้องค่อยๆไป ได้ ปีละ 10-15% ก็ทำให้ฐานะการเงินดีขึ้นแล้ว
หวังแต่ financially ดีขึ้น ตอนเข้าตลาดหวังปันผลอย่างเดียว สุดท้ายอยู่ที่คนในบริษัท
เวลาไปเที่ยวก็ดูพฤติกรรมของคนแต่ละประเทศ เปรียบเทียบกับคนไทย
วัดได้ถ้าคนมีศักยภาพ ท้ายสุด ประเทศมีความก้าวหน้า
ตอนนี้เราเจริญกว่า เขามีปัญหาเรื่องระบบ ถ้าแก้ได้ก็เจริญกว่า
จีนเมื่อ30ปีที่แล้วล้าหลัง จีนที่อยู่นอกประเทศเจริญกว่า พอเปลี่ยนแปลงระบบ ก็เจริญอย่างรวดเร็ว
ขึ้นอยู่กับคน ดังนั้นที่เวียดนาม อย่างไรก็เจริญ ถือเป็นเสือตัวต่อไป
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ คุณบอล น้องเบสมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3207
สัมมนา ฺฺฺBetter Trade 2018
ตอน ฉวยโอกาสจากนอกประเทศ
โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
ดร วิศิษฐ์ได้นำกราฟperformanceของสินทรัพย์ทั่วโลกมาเปรียบเทียบระหว่างปีนี้( 25ตค 61) กับปีที่แล้ว
ปีที่แล้วตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ค่อนข้างดี ส่วนปีนี้ปรากฏว่าลบหมดทุกตลาดยกเว้นตลาดหุ้นสหรัฐบวกเพียง 1.2%
โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนลบ 21%
ส่วนcommodity เช่นน้ำมันเป็นขาขึ้น บวกไป 10.5% ส่วนทองคำติดลบไป 5.4% ช่วงเดือน ตค ทองคำดีดตัวขึ้นมาจากต่ำสุด
1180 มาที่ 1230 $ต่อออนซ์ ดร มองว่าทองคำน่าสนใจสำหรับปีหน้า
ราคาน้ำมัน perform (+10.5%) แต่ราคาcommodities อื่นๆไม่ perform เลยแปลว่าตลาดกังวลภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ต้องกลัว เพราะว่าจะมาแน่นอนเพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ และก็จะมีช่วงนึงที่ได้กำไรเยอะจากวิธีการ buy and hold ซึ่งควรจะทำในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี2019
ดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐ(Real US Bond Yield) ปรับตัวสวนทางกับราคาทองคำ เช่น ช่วงปี 2009 ดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวลดลง ทองกลับตัวเป็นขาขึ้นจนถึงปี 2011 และในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น ทองเปลี่ยนทิศกลายเป็น sideways ทันที
คำถามคือ ทำไมทองคำถึงจะเริ่มขึ้นได้จากนี้ไป ให้ดูดอกเบี้ยนโยบายจากเฟด เรามองว่าเฟดจะไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ไกล
ถ้าดูจาก guidance เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกซัก 2- 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็จะนิ่งดังนั้นจะทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่สามารถขึ้นต่อได้อีก
เฟดไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ยเพราะว่าถ้าขึ้นอีกเศรษฐกิจจะไปไม่รอด (ต้นทุนสูงจนทำผลตอบแทนไม่ทันดอกเบี้ยที่จ่าย)
รอบนี้เชื่อว่าเหมือน ปี2011(กรีซ) และปี 2016 (Brexit) เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน เดือนธันวาคมนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแต่เมื่อเดือนที่แล้วทุกคนมั่นใจว่าขึ้นดอกเบี้ย 90%แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 70%แล้ว
ซึ่งอีก 2 อาทิตย์ถัดไปอาจจะลดระดับความเชื่อมั่นลงอีก (หมายถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธค น่าจะลดลงอีก)
จีนเริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน คล้ายกับการทำ QE แต่จะไม่ใช้คำนี้เหมือนกับฝั่งอเมริกา
เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ หรือ QE นั้นตอนนี้ ECBและBOJ มีปริมาณเงินมากกว่าสหรัฐแล้ว
จากข้อมูลBloomberg และ Trinity research พบว่า แนวโน้มที่FEDจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก1ครั้งหลังจากนั้น
ก็คงดอกเบี้ยไว้ ส่วน ECB จะหยุดQEในช่วงธคปีนี้ และจะเริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้นในช่วง Q4 219
ถ้าplot กราฟของ Yield curve ผลต่างพันธบัตร10ปีลบด้วย Yieldผลต่างพันธบัตร2ปี พบว่า ถ้าต่ำกว่า0%มีโอกาสเกิดวิกฤต
เช่น ช่วงปี 2000 ( Dot com crisis ) และ ปี 2008 (Hamberger crisis)
ทุก 10 ปีมีเศรษฐีและทุก 10 ปีมีคนจน ที่พูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าดูจาก Yield curve ผลต่างพันธบัตร10ปีลบด้วย Yieldผลต่างพันธบัตร2ปี เมื่อไหร่ก็ตามขาลงมันจะบ่มการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง 1997 Lehman2007 เพียงแต่ระหว่างทางมีการทำQE ตลอดทางเพื่อทำให้การเกิดวิกฤตชะลอช้าลง ตอนนี้ยังมีการต่อเวลาอยู่ถ้าดูจาก yield curveล่าสุดลงมาที่ 3%และวกกลับ ดูอีกซัก 1 ปี แต่การต่อเวลาก็ยังมีโอกาสให้ทำกำไรได้ ซึ่งปีหน้าจะติดตามอย่างใกล้ชิด
ประเทศไทยมีหนี้รัฐบาลน้อยเมื่อก่อนภาคเอกชนของไทยอ่อนแอแต่ปัจจุบันแข็งแกร่ง กลับกันในภาคครัวเรือนเมื่อก่อนแข็งแกร่งแต่ปัจจุบันอ่อนแอ ในประเทศจีน ภาคครัวเรือน ภาครัฐแข็งแรง แต่ภาคเอกชนอ่อนแอดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือภาคเอกชน ถ้ามองไม่ผิดจีนต้องใช้นโยบายนี้
หุ้นไทยมองว่าดัชนี 1580-1600 ที่ลงมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นจุดต่ำสุดแต่ว่าขาขึ้นจะเป็นปลายไตรมาส 1 ต่อ ไตรมาส 2 ปีหน้า***
และถ้าเกิดจีนทำนโยบายการเงินแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดคือ ทองคำ ซึ่งถ้าถามว่าซื้อทองแล้วขึ้นเลยได้มั้ย คำตอบก็คือใช่ซื้อแถวนี้
คำถามคือจะหลุด 1580 -1600 มั้ยส่วนตัวคิดว่าหลุดไม่ง่าย เพราะว่า 1600 เมื่อก่อนเป็นแนวต้าน ถ้าไม่มีอะไรช็อคโลก ไม่น่าจะหลุด 1600 ตลาดเป็นไซด์เวย์ ยังไม่เป็นขาขึ้น 1900ได้ต้องเป็นเหตุการณ์ช๊อคโลกซึ่งมาจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน ซึ่งจีนจะเริ่ม relax นโยบายทางการเงินซึ่งจีนจะเริ่มลด RRR (required reserve ratio) คือการตั้งสำรองลดน้อยลงมาเพื่อให้เงินมีในระบบมากขึ้น
ถ้าธันวาคมขึ้นดอกเบี้ยเสร็จแล้วพูดต่ออีกว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ให้หลบแสดงว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงกำลังจะขึ้นต่อและมีผลต่อสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งตอนนี้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.25 สิ้นปีจะขึ้นเป็น 2.50 ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเป็น 4% ทองคำก็ไม่รอด
SET Index รอบนี้ ถ้าดูจาก Earning Yield Gap (ส่วนกลับของPE ratio ) เคยลงไปที่3% ดัชนี1850 ซึ่งยืนอยู่ไม่ได้
จึงต้องหล่นลงมา ณ ที่ดัชนี 1600จุด EY = 4.35% ดูน่าจะเป็นแนวรับ ไม่น่าจะต่ำกว่านี้
ฝรั่งถือหุ้นเราแค่ 29%ถือว่าต่ำสุด นับตั้งแต่ปี 2004 แต่ก็ยังไม่สัญญาณว่าต่างชาติจะเข้ามาซื้อกลับ
ปีนี้ตัวที่ outperform จะเป็นหุ้นตัวที่มี high dividend yield เพราะว่ากระทรวงการคลังเก็บภาษีกองทุนพวก fixed income 15 เปอร์เซ็นต์ทำให้กองที่ลงทุนย้ายมาเปลี่ยนเป็นลงทุนใน Equity High dividend yield แทน
สไลด์ประกอบการบรรยาย
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 4232617862
ตอน ฉวยโอกาสจากนอกประเทศ
โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
ดร วิศิษฐ์ได้นำกราฟperformanceของสินทรัพย์ทั่วโลกมาเปรียบเทียบระหว่างปีนี้( 25ตค 61) กับปีที่แล้ว
ปีที่แล้วตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ค่อนข้างดี ส่วนปีนี้ปรากฏว่าลบหมดทุกตลาดยกเว้นตลาดหุ้นสหรัฐบวกเพียง 1.2%
โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนลบ 21%
ส่วนcommodity เช่นน้ำมันเป็นขาขึ้น บวกไป 10.5% ส่วนทองคำติดลบไป 5.4% ช่วงเดือน ตค ทองคำดีดตัวขึ้นมาจากต่ำสุด
1180 มาที่ 1230 $ต่อออนซ์ ดร มองว่าทองคำน่าสนใจสำหรับปีหน้า
ราคาน้ำมัน perform (+10.5%) แต่ราคาcommodities อื่นๆไม่ perform เลยแปลว่าตลาดกังวลภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ต้องกลัว เพราะว่าจะมาแน่นอนเพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ และก็จะมีช่วงนึงที่ได้กำไรเยอะจากวิธีการ buy and hold ซึ่งควรจะทำในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี2019
ดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐ(Real US Bond Yield) ปรับตัวสวนทางกับราคาทองคำ เช่น ช่วงปี 2009 ดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวลดลง ทองกลับตัวเป็นขาขึ้นจนถึงปี 2011 และในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น ทองเปลี่ยนทิศกลายเป็น sideways ทันที
คำถามคือ ทำไมทองคำถึงจะเริ่มขึ้นได้จากนี้ไป ให้ดูดอกเบี้ยนโยบายจากเฟด เรามองว่าเฟดจะไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ไกล
ถ้าดูจาก guidance เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกซัก 2- 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็จะนิ่งดังนั้นจะทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่สามารถขึ้นต่อได้อีก
เฟดไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ยเพราะว่าถ้าขึ้นอีกเศรษฐกิจจะไปไม่รอด (ต้นทุนสูงจนทำผลตอบแทนไม่ทันดอกเบี้ยที่จ่าย)
รอบนี้เชื่อว่าเหมือน ปี2011(กรีซ) และปี 2016 (Brexit) เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน เดือนธันวาคมนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแต่เมื่อเดือนที่แล้วทุกคนมั่นใจว่าขึ้นดอกเบี้ย 90%แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 70%แล้ว
ซึ่งอีก 2 อาทิตย์ถัดไปอาจจะลดระดับความเชื่อมั่นลงอีก (หมายถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธค น่าจะลดลงอีก)
จีนเริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน คล้ายกับการทำ QE แต่จะไม่ใช้คำนี้เหมือนกับฝั่งอเมริกา
เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ หรือ QE นั้นตอนนี้ ECBและBOJ มีปริมาณเงินมากกว่าสหรัฐแล้ว
จากข้อมูลBloomberg และ Trinity research พบว่า แนวโน้มที่FEDจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก1ครั้งหลังจากนั้น
ก็คงดอกเบี้ยไว้ ส่วน ECB จะหยุดQEในช่วงธคปีนี้ และจะเริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้นในช่วง Q4 219
ถ้าplot กราฟของ Yield curve ผลต่างพันธบัตร10ปีลบด้วย Yieldผลต่างพันธบัตร2ปี พบว่า ถ้าต่ำกว่า0%มีโอกาสเกิดวิกฤต
เช่น ช่วงปี 2000 ( Dot com crisis ) และ ปี 2008 (Hamberger crisis)
ทุก 10 ปีมีเศรษฐีและทุก 10 ปีมีคนจน ที่พูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าดูจาก Yield curve ผลต่างพันธบัตร10ปีลบด้วย Yieldผลต่างพันธบัตร2ปี เมื่อไหร่ก็ตามขาลงมันจะบ่มการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง 1997 Lehman2007 เพียงแต่ระหว่างทางมีการทำQE ตลอดทางเพื่อทำให้การเกิดวิกฤตชะลอช้าลง ตอนนี้ยังมีการต่อเวลาอยู่ถ้าดูจาก yield curveล่าสุดลงมาที่ 3%และวกกลับ ดูอีกซัก 1 ปี แต่การต่อเวลาก็ยังมีโอกาสให้ทำกำไรได้ ซึ่งปีหน้าจะติดตามอย่างใกล้ชิด
ประเทศไทยมีหนี้รัฐบาลน้อยเมื่อก่อนภาคเอกชนของไทยอ่อนแอแต่ปัจจุบันแข็งแกร่ง กลับกันในภาคครัวเรือนเมื่อก่อนแข็งแกร่งแต่ปัจจุบันอ่อนแอ ในประเทศจีน ภาคครัวเรือน ภาครัฐแข็งแรง แต่ภาคเอกชนอ่อนแอดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือภาคเอกชน ถ้ามองไม่ผิดจีนต้องใช้นโยบายนี้
หุ้นไทยมองว่าดัชนี 1580-1600 ที่ลงมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นจุดต่ำสุดแต่ว่าขาขึ้นจะเป็นปลายไตรมาส 1 ต่อ ไตรมาส 2 ปีหน้า***
และถ้าเกิดจีนทำนโยบายการเงินแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดคือ ทองคำ ซึ่งถ้าถามว่าซื้อทองแล้วขึ้นเลยได้มั้ย คำตอบก็คือใช่ซื้อแถวนี้
คำถามคือจะหลุด 1580 -1600 มั้ยส่วนตัวคิดว่าหลุดไม่ง่าย เพราะว่า 1600 เมื่อก่อนเป็นแนวต้าน ถ้าไม่มีอะไรช็อคโลก ไม่น่าจะหลุด 1600 ตลาดเป็นไซด์เวย์ ยังไม่เป็นขาขึ้น 1900ได้ต้องเป็นเหตุการณ์ช๊อคโลกซึ่งมาจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน ซึ่งจีนจะเริ่ม relax นโยบายทางการเงินซึ่งจีนจะเริ่มลด RRR (required reserve ratio) คือการตั้งสำรองลดน้อยลงมาเพื่อให้เงินมีในระบบมากขึ้น
ถ้าธันวาคมขึ้นดอกเบี้ยเสร็จแล้วพูดต่ออีกว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ให้หลบแสดงว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงกำลังจะขึ้นต่อและมีผลต่อสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งตอนนี้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.25 สิ้นปีจะขึ้นเป็น 2.50 ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเป็น 4% ทองคำก็ไม่รอด
SET Index รอบนี้ ถ้าดูจาก Earning Yield Gap (ส่วนกลับของPE ratio ) เคยลงไปที่3% ดัชนี1850 ซึ่งยืนอยู่ไม่ได้
จึงต้องหล่นลงมา ณ ที่ดัชนี 1600จุด EY = 4.35% ดูน่าจะเป็นแนวรับ ไม่น่าจะต่ำกว่านี้
ฝรั่งถือหุ้นเราแค่ 29%ถือว่าต่ำสุด นับตั้งแต่ปี 2004 แต่ก็ยังไม่สัญญาณว่าต่างชาติจะเข้ามาซื้อกลับ
ปีนี้ตัวที่ outperform จะเป็นหุ้นตัวที่มี high dividend yield เพราะว่ากระทรวงการคลังเก็บภาษีกองทุนพวก fixed income 15 เปอร์เซ็นต์ทำให้กองที่ลงทุนย้ายมาเปลี่ยนเป็นลงทุนใน Equity High dividend yield แทน
สไลด์ประกอบการบรรยาย
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 4232617862
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3208
Thailand 2019 จัดโดย ประชาชาติธุรกิจ
ดร สมคิดมากล่าวเปิดงาน
"สมคิด" แนะไทยใช้โอกาสเป็นเจ้าภาพอาเซียนปี 62 สร้างความเชื่อมั่น ดึงการค้าการลงทุนจากจีน-ญี่ปุ่น
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานสัมมนา "THAILAND 2019 : เมื่อคนเปลี่ยน Landscapeธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไร" ว่า
ในปี 62 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากเป็นปีที่เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มาจากโลกและไทยเอง
โอกาสอันแรกอยู่ที่เอเชีย โดยเฉพาะ ญึ่ปุ่นและจีน ที่มีเศรษฐกิจที่เป็นกำลังหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชีย เรต้องสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และ ก้าวไปเรื่อยๆไม่เห็นประเทศไหนทันเรา
จีนเมื่อ 15 ปีก่อน เราคุยในระดับคณะรัฐมนตรีว่าจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ล่าสุดมีการเดินทางไปยังประเทศจีน
โดยมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนจาก high level การค้า ไปสู่ระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงและกระทรวง รวมไปถึงความสัมพันธ์
กับอนุภูมิภาค หรือ Subregion ประกอบด้วยจีน11มณฑล รวม เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน ทำให้จีนก้าวหน้า ซึ่งหากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางของ CLMVT ในการประสานประเทศต่างๆ ได้ ไทยจะมีโปรไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นและเป็นจุดสนใจของประเทศยักษ์ใหญ่ เช่น จีน, ญี่ปุ่น ที่จะใช้ไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รองนายกรัฐมนตรี ยังมองว่าประเทศจีนในขณะนี้ มีความต้องการเชื่อมโยงเส้นทางจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่นๆ โดยใช้เส้นทางรถไฟ หรือเรียกว่าโครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ (One Belt One Road : OBOR) โดยสิ่งสำคัญ คือ การค้าและการลงทุนจะขยายไปตามเส้นทางดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เส้นทางที่จะเป็นไปได้มากที่สุด คือ การเชื่อมโยงเส้นทางทางภาคใต้ของไทยถึงแม้จะไม่รวมมาเลเซียก็ตาม เราจะเพิ่มจากEECไปถึงชุมพร สุราษฏร์ เชื่อมอันดามันกับอ่าวไทย
หากสามารถทำให้ไทยและจีนเชื่อมโยงกันได้ ก็จะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับประเทศ ที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะเดียวกัน ภายในปีนี้จะมีการผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียน กับ 6 ประเทศคู่เจรจา คือ จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ให้สำเร็จตามเป้าหมาย ซี่งจะส่งผลทำให้ RCEP มีเขตการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา โดยขณะนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณชัดเจนในการผลักดันให้ RCEP เกิดขึ้นจริงในปีนี้ หรืออย่างช้าปีหน้า
"เมื่อไรที่ RCEP เกิด One Belt One Road พาดผ่าน และประเทศไทยสามารถทำตัวของเราเองให้เป็นหัวใจของ CLMVT ได้ อันนี้คือโอกาสมหาศาล ซึ่งผมเคยพูดว่าประเทศเล็ก-ใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญคือ เราต้องแสดงให้เห็นถึงนัยสำคัญกับ geopolitics ของโลก และวันนี้กำลังเกิดขึ้น" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากนี้ ประเทศจีนยังต้องการที่จะเปิดประเทศ ซึ่งถือเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการที่จีนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลก จากการผลักดันการค้าในประเทศฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ให้เกิดขึ้น โดยไทยเองแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการค้าเสรี และต้องการบอกกับประเทศจีนว่าการดำเนินยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนนั้นจำเป็นต้องอาศัย Connectivity โดยไทยเป็นกลุ่มของ CLMVT ขอให้ใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์
สีเจี้ยนผิง ชัดเจนที่ต้องการให้จีนเปิดประเทศ ต้องการให้ One Belt One Road ไปทุกชาติด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. เขาต้องการเป็นผู้นำระดับโลก ไม่ใช่เพื่อประโยชน์สำหรับคนจีนเท่านั้น
2. จากการประชุม One Belt One Road มีการจัดงานหงเฉียวฟอร์รั่ม ผู้ค้าขายมาเจอกัน ฮ่องกง มาเก๊า กวางตุ้ง ถือเป็นหัวมังกร และ ผู้ว่าอีก8มณฑลเป็นท้องมังกรมารับแขก เขาต้องการผลักดันให้เกิดการค้าในภูมิภาคให้ได้
เราเห็นด้วยกับจีน ในการสร้างกำลังใจ สร้างบทบาทเกื้อกูลกัน ปีหน้าเราเป็นประธานอาเซียนจะหนุนไทยให้เด่น ปีหน้าจีนยังโตดี RCEPเกิด และ ไทยอยู่ใน TPP ตอนก่อนหน้า Harry Landเดิมจะตั้งที่เวียดนาม แต่เราชวนมาไทย ซึ่งเขาก็ตกลง แต่ขอเรื่องอำนวยความสะดวกในการธุรกรรม ถ้าเราแก้ไขได้ ต้นปีหน้าจะมีการค้าขายจากฮ่องกงมา เราต้องการสร้างกลไกขึ้นมาสามารถพูดทีเดียว 3 มณฑล คือ ฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ผู้ว่าทางเขาก็เห็นด้วย เมื่อวานนายกของสิงคโปร์จับมือกับจีน เพื่อยกระดับFTAระหว่างกัน แต่ก็ตามหลังไทยเยอะ
โอกาสที่สองนั้น เป็นเรื่องของBOI ในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เป็นปัญหาในขณะนี้ ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ โดยวันที่ 19 พ.ย.นี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะเสนอบอร์ดเพื่อออกมาตรการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับประเทศไทยในปีหน้า
ขณะที่ยังมองเป็นโอกาสสำหรับภาคเอกชนไทยด้วยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อรองรับ อีกทั้งรัฐบาลยังคงผลักดันในเรื่องของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งหากสามารถรักษาภาพการลงทุนภาครัฐและเอกชนไว้ได้ สิ่งที่ตามมาคือ ความเชื่อมั่นของภาคประชาชน
ส่วนความเสี่ยงของประเทศไทย ก็คือ มีการเลือกตั้ง ถ้าทำได้ดีจะไปต่อได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะแย่ ไทยเคยเป็นประธานอาเซียน และ เกิดเหตุประท้วงจนประเทศอื่นต้องกลับก่อนกำหนด หวังว่าคราวนี้จะไม่เกิดอีก
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร สมคิด ที่มากล่าวเปิดงานและอัปเดท นโยบายให้ครับ
ดร สมคิดมากล่าวเปิดงาน
"สมคิด" แนะไทยใช้โอกาสเป็นเจ้าภาพอาเซียนปี 62 สร้างความเชื่อมั่น ดึงการค้าการลงทุนจากจีน-ญี่ปุ่น
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานสัมมนา "THAILAND 2019 : เมื่อคนเปลี่ยน Landscapeธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไร" ว่า
ในปี 62 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากเป็นปีที่เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มาจากโลกและไทยเอง
โอกาสอันแรกอยู่ที่เอเชีย โดยเฉพาะ ญึ่ปุ่นและจีน ที่มีเศรษฐกิจที่เป็นกำลังหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชีย เรต้องสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และ ก้าวไปเรื่อยๆไม่เห็นประเทศไหนทันเรา
จีนเมื่อ 15 ปีก่อน เราคุยในระดับคณะรัฐมนตรีว่าจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ล่าสุดมีการเดินทางไปยังประเทศจีน
โดยมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนจาก high level การค้า ไปสู่ระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงและกระทรวง รวมไปถึงความสัมพันธ์
กับอนุภูมิภาค หรือ Subregion ประกอบด้วยจีน11มณฑล รวม เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน ทำให้จีนก้าวหน้า ซึ่งหากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางของ CLMVT ในการประสานประเทศต่างๆ ได้ ไทยจะมีโปรไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นและเป็นจุดสนใจของประเทศยักษ์ใหญ่ เช่น จีน, ญี่ปุ่น ที่จะใช้ไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รองนายกรัฐมนตรี ยังมองว่าประเทศจีนในขณะนี้ มีความต้องการเชื่อมโยงเส้นทางจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่นๆ โดยใช้เส้นทางรถไฟ หรือเรียกว่าโครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ (One Belt One Road : OBOR) โดยสิ่งสำคัญ คือ การค้าและการลงทุนจะขยายไปตามเส้นทางดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เส้นทางที่จะเป็นไปได้มากที่สุด คือ การเชื่อมโยงเส้นทางทางภาคใต้ของไทยถึงแม้จะไม่รวมมาเลเซียก็ตาม เราจะเพิ่มจากEECไปถึงชุมพร สุราษฏร์ เชื่อมอันดามันกับอ่าวไทย
หากสามารถทำให้ไทยและจีนเชื่อมโยงกันได้ ก็จะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับประเทศ ที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะเดียวกัน ภายในปีนี้จะมีการผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียน กับ 6 ประเทศคู่เจรจา คือ จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ให้สำเร็จตามเป้าหมาย ซี่งจะส่งผลทำให้ RCEP มีเขตการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา โดยขณะนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณชัดเจนในการผลักดันให้ RCEP เกิดขึ้นจริงในปีนี้ หรืออย่างช้าปีหน้า
"เมื่อไรที่ RCEP เกิด One Belt One Road พาดผ่าน และประเทศไทยสามารถทำตัวของเราเองให้เป็นหัวใจของ CLMVT ได้ อันนี้คือโอกาสมหาศาล ซึ่งผมเคยพูดว่าประเทศเล็ก-ใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญคือ เราต้องแสดงให้เห็นถึงนัยสำคัญกับ geopolitics ของโลก และวันนี้กำลังเกิดขึ้น" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากนี้ ประเทศจีนยังต้องการที่จะเปิดประเทศ ซึ่งถือเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการที่จีนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลก จากการผลักดันการค้าในประเทศฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ให้เกิดขึ้น โดยไทยเองแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการค้าเสรี และต้องการบอกกับประเทศจีนว่าการดำเนินยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนนั้นจำเป็นต้องอาศัย Connectivity โดยไทยเป็นกลุ่มของ CLMVT ขอให้ใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์
สีเจี้ยนผิง ชัดเจนที่ต้องการให้จีนเปิดประเทศ ต้องการให้ One Belt One Road ไปทุกชาติด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. เขาต้องการเป็นผู้นำระดับโลก ไม่ใช่เพื่อประโยชน์สำหรับคนจีนเท่านั้น
2. จากการประชุม One Belt One Road มีการจัดงานหงเฉียวฟอร์รั่ม ผู้ค้าขายมาเจอกัน ฮ่องกง มาเก๊า กวางตุ้ง ถือเป็นหัวมังกร และ ผู้ว่าอีก8มณฑลเป็นท้องมังกรมารับแขก เขาต้องการผลักดันให้เกิดการค้าในภูมิภาคให้ได้
เราเห็นด้วยกับจีน ในการสร้างกำลังใจ สร้างบทบาทเกื้อกูลกัน ปีหน้าเราเป็นประธานอาเซียนจะหนุนไทยให้เด่น ปีหน้าจีนยังโตดี RCEPเกิด และ ไทยอยู่ใน TPP ตอนก่อนหน้า Harry Landเดิมจะตั้งที่เวียดนาม แต่เราชวนมาไทย ซึ่งเขาก็ตกลง แต่ขอเรื่องอำนวยความสะดวกในการธุรกรรม ถ้าเราแก้ไขได้ ต้นปีหน้าจะมีการค้าขายจากฮ่องกงมา เราต้องการสร้างกลไกขึ้นมาสามารถพูดทีเดียว 3 มณฑล คือ ฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ผู้ว่าทางเขาก็เห็นด้วย เมื่อวานนายกของสิงคโปร์จับมือกับจีน เพื่อยกระดับFTAระหว่างกัน แต่ก็ตามหลังไทยเยอะ
โอกาสที่สองนั้น เป็นเรื่องของBOI ในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เป็นปัญหาในขณะนี้ ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ โดยวันที่ 19 พ.ย.นี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะเสนอบอร์ดเพื่อออกมาตรการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับประเทศไทยในปีหน้า
ขณะที่ยังมองเป็นโอกาสสำหรับภาคเอกชนไทยด้วยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อรองรับ อีกทั้งรัฐบาลยังคงผลักดันในเรื่องของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งหากสามารถรักษาภาพการลงทุนภาครัฐและเอกชนไว้ได้ สิ่งที่ตามมาคือ ความเชื่อมั่นของภาคประชาชน
ส่วนความเสี่ยงของประเทศไทย ก็คือ มีการเลือกตั้ง ถ้าทำได้ดีจะไปต่อได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะแย่ ไทยเคยเป็นประธานอาเซียน และ เกิดเหตุประท้วงจนประเทศอื่นต้องกลับก่อนกำหนด หวังว่าคราวนี้จะไม่เกิดอีก
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร สมคิด ที่มากล่าวเปิดงานและอัปเดท นโยบายให้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3209
งานสัมมนา Thailand 2019 ที่ประชาชาติจัดขึ้นมาเป็นปีที่สามและมีทำหนังสือจัดอันดับ 100 บริษัทในอาเซียน
มีวิทยากรทรงคุณวุฒิมาพูดมากมาย ได้แก่
รองนายกรัฐมนตรี ดร สมคิด
ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ
CEO ปตท / คุณศุภจี จาก ดุสิตธานี และ คุณชฏาทิพ จาก siampiwat มาพูด เนื้อหาอัดแน่นมากครับ ดร สมคิด ผมสรุปก่อนหน้านี้แล้ว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวในงานสัมมนา "THAILAND 2019" เมื่อคนเปลี่ยน แลนด์สเคปธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไรว่า เบื้องต้นภาพเศรษฐกิจไทยในปี 62 จะเติบโตต่ำกว่าระดับ 4% ซึ่งเป็นอัตราชะลอตัวลงจากปีนี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.3% โดยภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าจะเติบโตได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจใหม่ คือการที่ภาครัฐสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการผลักดันลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนั้น จะหนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมาหรือไม่ หลังจากที่ในปีนี้การลงทุนของภาคเอกชนเติบโตเพียง 3.5% หากโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จก็ควรจะเห็นการลงทุนของภาคเอกชนเติบโตมากกว่า 3.5% ค่อนข้างมาก หรือเติบโตสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังผลักดันหลักในขณะนี้ คือการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่งจะเป็นการนำทรัพย์สินที่มีการใช้น้อยกลับมาใช้ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะสนามบินอู่ตะเภาที่ปัจจุบันรองรับผู้โดยสารอยู่เพียง 1 ล้านคน ก็จะสามารถผลักดันให้รองรับได้ถึง 20-30 ล้านคน ก็จะหนุนให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน และจะมีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมอย่างน้อยในช่วงครึ่งหลังปี 62
สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองของไทย นายศุภวุฒิ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 62 จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น เพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ไทยไม่มีการเลือกตั้งมาเป็นเวลาประมาณ 8 ปี จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่อย่างในปัจจุบัน ทำให้มองว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 62 จะเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง การนับคะแนน การจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง wait & see ว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอย่างไร และมีศักยภาพ ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองในระดับไหน และในช่วงครึ่งหลังของปี 62 ก็จะมุ่งที่การบริหารจัดการการเมืองและความไม่แน่นอนให้หมดลงไป
ด้านปัจจัยต่างประเทศที่การส่งออก คิดเป็นสัดส่วน 50% ของจีดีพี และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพี ทำให้กำลังซื้อที่มาจากภายนอกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของจีดีพีจะได้รับผลกระทบอย่างไร ท่ามกลางประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้น ขณะที่ด้านตลาดยุโรป ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกได้ หลังยังมีปัญหางบประมาณของอิตาลี และกรณีการถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) รวมถึงเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศแกนหลักของยุโรปก็จะออกจากการมีบทบาททางการเมือง
ด้านจีนก็จะเป็นลักษณะการประคองตัว และใช้นโยบายให้ค่าเงินหยวนทยอยอ่อนค่า เพื่อรับมือกับสงครามการค้า ซึ่งการลดค่าเงินนับเป็นการลดอำนาจซื้อลง ขณะที่การอ่อนค่าของเงินหยวน กดดันให้ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อ่อนค่าลงด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อตลาดโลกให้ลดลงไปด้วยในปี 62
"มองดูเศรษฐกิจโลก ค่าเงินที่ไม่ชัดเจน คุณเป็นนักลงทุน คุณเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ ๆ ก็ wait & see เหมือนกัน เกรงว่าการลงทุนของโลกจะแผ่ว"นายศุภวุฒิ กล่าว
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ น่าจะยังคงมีทิศทางปรับขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้อีก 1 ครั้ง และในปี 62 ปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐปรับขึ้นอย่างร้อนแรงจึงจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ไทยจะจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่นั้น อยู่ที่ภาครัฐจะพิจารณา โดยเฉพาะในกรณีที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเพียงแค่ 1% ,การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดยังแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 7-8% ของจีดีพีในปีนี้ และคาดว่าจะอยู่ระดับ 6-7% ของจีดีพีในปีหน้า ซึ่งเงินทุนยังไหลเข้าประเทศ จากภาคการส่งออกที่มากกว่าการนำเข้าเดือนละ 2-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
"ประเด็นที่น่าสนใจต้องดูค่าเงินดอลลาร์ไปทางไหน แนวโน้มก็คงจะแข็งค่าขึ้น ก็ต้องดูว่าเรามีศักยภาพที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ คือดูว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังสูงอยู่หรือเปล่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาหรือเปล่า การส่งออกสินค้าโดยรวมเป็นอย่างไร คือภาพรวมการมองภาพเศรษฐกิจไทยในปีหน้า สิ่งที่เราคงจะเห็นครึ่งปีแรกเราก็คงจะพะวงสนใจหาคำตอบให้ตัวเองด้านการเมือง และครึ่งหลังประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ"นายศุภวุฒิ กล่าว
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี (DTC) กล่าวว่า การปรับตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงแค่ในระยะสั้นปี 62 แต่ควรจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ที่ทิศทางของภาคการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น นักเดินทางท่องเที่ยวในปัจจุบันจะเป็นการเติบโตของชนชั้นกลาง และผู้เดินทางส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอาจทำให้รูปแบบของการให้บริการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักเดินทางจากภาตตะวันตกต้องการรับบริการในรูปแบบหนึ่ง แต่ในภาคเอเชียต้องการรับบริการในรูปแบบหนึ่ง ,การนำเทคโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาร่วมให้บริการ ,ฝึกบุคลากรเพื่อรองรับกับการให้บริการ ,การมีจพื้นฐานให้เพียงพอกับการอำนวยความสะดวกของนักท่องเที่ยว ตลอดจนการท่องเที่ยวด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อมและให้เกิดความยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้ เห็นว่าภาคธุรกิจจะต้องพึงมีปัจจัย 3 ด้านเพื่อรองรับและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวไทย เช่น ความสะดวกสบายในการเข้าถึงบริการ , ประสบการณ์ที่ดีเหนือความคาดหมาย และความคุ้มค่าให้กับผู้รับบริการ
ส่วนคุณ ชฎาทิพ จูตระกูล ผู้บริหารของSiampiwat มากล่าวถึงโครงการ
ICONSIAM ซึ่งดร สมคิดกล่าวชมว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้กล้าเปิดโครงการ
คุณชฏาทิพ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ซื้อที่ดินมา 40 ไร่ติดแม่นำ้เจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรี ซึ่งตอนนั้นเมื่อ6ปีที่แล้วยังมีกีฬาสีอยู่เลย ตอนแถลงโครงการก็หลังจาก22 พย 14 สองสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้น ไม่ค่อยมีใครกล้าเปิดโครงการใหญ่ๆ
มีอุปสรรคมากมายในการทำงาน รวมทั้งการวางแผนเชื่อมinfrastructureร่วมกับชุมชน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และ ภาครัฐ มีทั้่งรถไฟสายสีทอง 2,000ลบ กับท่านั้ำ 500 ลบ เพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมทางน้ำ และส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย
ICONSIAM Model แนวความคิดใหม่ในการทำธุรกิจสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
1.The Combine Excellence การรวมสุดยอดฝีมือไทยและจาก 4 ทวีปทั่วโลก
เพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบ ศิลปะและ วัฒนธรรม
2.The Share Values model การผนึกกำลังคร้้งยิ่งใหญ่เพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยา
เป็น The Next Global Destination.
3.The CO-Creation การสร้างเมืองสุขสยาม ด้วยความร่วมมือระดับชาติจากชุมชมท้องถิ่นไทย
ต้องขอบคุณ ICONSIAM ทำให้ชาวฝั่งธนมีที่พักผ่อนหย่อนใจไม่แพ้คนในเมืองแล้ว ต่อไปไม่ต้องง้อพารากอนแล้ว
Cr: ข้อมูลบางส่วนจาก InfoQuest
มีวิทยากรทรงคุณวุฒิมาพูดมากมาย ได้แก่
รองนายกรัฐมนตรี ดร สมคิด
ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ
CEO ปตท / คุณศุภจี จาก ดุสิตธานี และ คุณชฏาทิพ จาก siampiwat มาพูด เนื้อหาอัดแน่นมากครับ ดร สมคิด ผมสรุปก่อนหน้านี้แล้ว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวในงานสัมมนา "THAILAND 2019" เมื่อคนเปลี่ยน แลนด์สเคปธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไรว่า เบื้องต้นภาพเศรษฐกิจไทยในปี 62 จะเติบโตต่ำกว่าระดับ 4% ซึ่งเป็นอัตราชะลอตัวลงจากปีนี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.3% โดยภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าจะเติบโตได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจใหม่ คือการที่ภาครัฐสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการผลักดันลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนั้น จะหนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมาหรือไม่ หลังจากที่ในปีนี้การลงทุนของภาคเอกชนเติบโตเพียง 3.5% หากโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จก็ควรจะเห็นการลงทุนของภาคเอกชนเติบโตมากกว่า 3.5% ค่อนข้างมาก หรือเติบโตสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังผลักดันหลักในขณะนี้ คือการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่งจะเป็นการนำทรัพย์สินที่มีการใช้น้อยกลับมาใช้ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะสนามบินอู่ตะเภาที่ปัจจุบันรองรับผู้โดยสารอยู่เพียง 1 ล้านคน ก็จะสามารถผลักดันให้รองรับได้ถึง 20-30 ล้านคน ก็จะหนุนให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน และจะมีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมอย่างน้อยในช่วงครึ่งหลังปี 62
สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองของไทย นายศุภวุฒิ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 62 จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น เพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ไทยไม่มีการเลือกตั้งมาเป็นเวลาประมาณ 8 ปี จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่อย่างในปัจจุบัน ทำให้มองว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 62 จะเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง การนับคะแนน การจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง wait & see ว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอย่างไร และมีศักยภาพ ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองในระดับไหน และในช่วงครึ่งหลังของปี 62 ก็จะมุ่งที่การบริหารจัดการการเมืองและความไม่แน่นอนให้หมดลงไป
ด้านปัจจัยต่างประเทศที่การส่งออก คิดเป็นสัดส่วน 50% ของจีดีพี และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพี ทำให้กำลังซื้อที่มาจากภายนอกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของจีดีพีจะได้รับผลกระทบอย่างไร ท่ามกลางประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้น ขณะที่ด้านตลาดยุโรป ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกได้ หลังยังมีปัญหางบประมาณของอิตาลี และกรณีการถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) รวมถึงเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศแกนหลักของยุโรปก็จะออกจากการมีบทบาททางการเมือง
ด้านจีนก็จะเป็นลักษณะการประคองตัว และใช้นโยบายให้ค่าเงินหยวนทยอยอ่อนค่า เพื่อรับมือกับสงครามการค้า ซึ่งการลดค่าเงินนับเป็นการลดอำนาจซื้อลง ขณะที่การอ่อนค่าของเงินหยวน กดดันให้ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อ่อนค่าลงด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อตลาดโลกให้ลดลงไปด้วยในปี 62
"มองดูเศรษฐกิจโลก ค่าเงินที่ไม่ชัดเจน คุณเป็นนักลงทุน คุณเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ ๆ ก็ wait & see เหมือนกัน เกรงว่าการลงทุนของโลกจะแผ่ว"นายศุภวุฒิ กล่าว
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ น่าจะยังคงมีทิศทางปรับขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้อีก 1 ครั้ง และในปี 62 ปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐปรับขึ้นอย่างร้อนแรงจึงจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ไทยจะจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่นั้น อยู่ที่ภาครัฐจะพิจารณา โดยเฉพาะในกรณีที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเพียงแค่ 1% ,การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดยังแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 7-8% ของจีดีพีในปีนี้ และคาดว่าจะอยู่ระดับ 6-7% ของจีดีพีในปีหน้า ซึ่งเงินทุนยังไหลเข้าประเทศ จากภาคการส่งออกที่มากกว่าการนำเข้าเดือนละ 2-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
"ประเด็นที่น่าสนใจต้องดูค่าเงินดอลลาร์ไปทางไหน แนวโน้มก็คงจะแข็งค่าขึ้น ก็ต้องดูว่าเรามีศักยภาพที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ คือดูว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังสูงอยู่หรือเปล่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาหรือเปล่า การส่งออกสินค้าโดยรวมเป็นอย่างไร คือภาพรวมการมองภาพเศรษฐกิจไทยในปีหน้า สิ่งที่เราคงจะเห็นครึ่งปีแรกเราก็คงจะพะวงสนใจหาคำตอบให้ตัวเองด้านการเมือง และครึ่งหลังประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ"นายศุภวุฒิ กล่าว
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี (DTC) กล่าวว่า การปรับตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงแค่ในระยะสั้นปี 62 แต่ควรจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ที่ทิศทางของภาคการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น นักเดินทางท่องเที่ยวในปัจจุบันจะเป็นการเติบโตของชนชั้นกลาง และผู้เดินทางส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอาจทำให้รูปแบบของการให้บริการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักเดินทางจากภาตตะวันตกต้องการรับบริการในรูปแบบหนึ่ง แต่ในภาคเอเชียต้องการรับบริการในรูปแบบหนึ่ง ,การนำเทคโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาร่วมให้บริการ ,ฝึกบุคลากรเพื่อรองรับกับการให้บริการ ,การมีจพื้นฐานให้เพียงพอกับการอำนวยความสะดวกของนักท่องเที่ยว ตลอดจนการท่องเที่ยวด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อมและให้เกิดความยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้ เห็นว่าภาคธุรกิจจะต้องพึงมีปัจจัย 3 ด้านเพื่อรองรับและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวไทย เช่น ความสะดวกสบายในการเข้าถึงบริการ , ประสบการณ์ที่ดีเหนือความคาดหมาย และความคุ้มค่าให้กับผู้รับบริการ
ส่วนคุณ ชฎาทิพ จูตระกูล ผู้บริหารของSiampiwat มากล่าวถึงโครงการ
ICONSIAM ซึ่งดร สมคิดกล่าวชมว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้กล้าเปิดโครงการ
คุณชฏาทิพ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ซื้อที่ดินมา 40 ไร่ติดแม่นำ้เจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรี ซึ่งตอนนั้นเมื่อ6ปีที่แล้วยังมีกีฬาสีอยู่เลย ตอนแถลงโครงการก็หลังจาก22 พย 14 สองสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้น ไม่ค่อยมีใครกล้าเปิดโครงการใหญ่ๆ
มีอุปสรรคมากมายในการทำงาน รวมทั้งการวางแผนเชื่อมinfrastructureร่วมกับชุมชน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และ ภาครัฐ มีทั้่งรถไฟสายสีทอง 2,000ลบ กับท่านั้ำ 500 ลบ เพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมทางน้ำ และส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย
ICONSIAM Model แนวความคิดใหม่ในการทำธุรกิจสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
1.The Combine Excellence การรวมสุดยอดฝีมือไทยและจาก 4 ทวีปทั่วโลก
เพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบ ศิลปะและ วัฒนธรรม
2.The Share Values model การผนึกกำลังคร้้งยิ่งใหญ่เพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยา
เป็น The Next Global Destination.
3.The CO-Creation การสร้างเมืองสุขสยาม ด้วยความร่วมมือระดับชาติจากชุมชมท้องถิ่นไทย
ต้องขอบคุณ ICONSIAM ทำให้ชาวฝั่งธนมีที่พักผ่อนหย่อนใจไม่แพ้คนในเมืองแล้ว ต่อไปไม่ต้องง้อพารากอนแล้ว
Cr: ข้อมูลบางส่วนจาก InfoQuest
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3210
5G จุดเปลี่ยนLandscape เศรษฐกิจและการเมือง
นาย ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยในงานสัมมนา 5G จุดเปลี่ยนLandscape เศรษฐกิจและการเมือง ว่าจะเสนอให้ อนุญาติ 2 โอเปอเรเตอร์ คือ บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) สามารถทดลอง 5G บนคลื่นความถี่ 2.6 GHz โดย ADVANC จะทดลองที่เอ็มโพเรียม และ TRUE ทดลองที่เอ็มควอเทียร์ ขณะที่ดีแทคอยู่ระหว่างขออนุญาต
โดยทั้ง 3 ค่ายเตรียมความพร้อม เพื่อเจ้าสู่เทคโนโลยี 5G ในปี 63 ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
นอกจาก5Gจะเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ยังต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมด้วย
นายฐากร ได้กล่าวย้อนหลังการใช้งานมือถือก่อนการเลือกตั้งล่าสุด คือ 3 กค 2554 ซึ่งมีการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย ซึ่งตอนนั้น
มีคนใช้มือถือ 71.7 ล้านเลขหมายในระบบ2Gทั้งหมด ดูประวัติการเติบโตของ3G,4Gจากในรูป
ล่าสุด ปี 61 มีเลขหมาย2G จำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย ส่วน 3G/4G จำนวนเลขหมายเท่ากับ 123.5 ล้านเลขหมาย มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากและเกิดอย่างรวดเร็วมาก
ส่วนถ้าดูเปรียบเทียบระหว่างปี 2554 / 2561 สำหรับ Social
ปี 2554 ยังไม่มีการใช้smartphone มีใช้บนPCอย่างเดียว
Facebook มีผู้ใช้ 6.1 ล้านคน , Twister 70,000คน , Youtube 120,000 คน
ส่วนปี 2561 Facebook มีผู้ใช้ 49 ล้านคน , Twister 13.6ล้านคน , Youtube 6ล้านคน , Line 44 ล้านคน
ทายว่าหลังปี2563 เมื่อ5Gเข้ามีบทบาทในช่วงปี 2563-2565 มีการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพหลังจากเริ่มใช้งาน5ปี
จุดเปลี่ยนที่วิเคราะห์ได้
1. มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ 5 อย่าง
1.1 โครงสร้างภาคการผลิต ซึ่งมองว่าจะช่วยลูกค้าลดต้นทุนการผลิต เปลี่ยนแปลงการผลิตครั้งยิ่งใหญ่
1.2 ห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนแปลงไป ยุคเดิม เน้นผลิตจำนวนมาก ส่งผ่านคนกลาง
เปลี่ยนเป็น เน้นการผลิต ขายผ่านplatformตรงตามความต้องการของลูกค้า
1.3 ทฤษฏี Demand&Supply อาจอธิบายเศรษฐกิจใหม่ไม่ได้ เพราะว่ามีการใช้Big data เข้าไปคำนวณความ ต้องการใช้สินค้าที่แท้จริง ราคาสินค้าควรถูกลง เพราะไม่ต้องผลิตเผื่อและบวกเข้ากับราคาสินค้า
1.4 ธุรกิจที่เป็นตัวกลางในการประกอบธุรกิจ ถูกลดบทบาท และ หายไปในที่สุด ต่อไปจะมีการผ่านplatform
ระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ เช่น ธนาคารใช้พนักงานสินเชื่อมาปล่อยสินเชื่อ อนาคตAIจะเข้ามาแทนที่ วิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อ
1.5 5Gจะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆตามเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้น
2. ส่วนโครงสร้างทางการเมืองที่ปรับเปลี่ยน
2.1 ระบบการเลือกตั้ง หลักกฎหมายเรื่องลงคะแนนเสียงในสถานที่กลาง อนาคตการใช้สิทธิของประชาชนในที่หน่วยเลือกตั้งไหนก็ได้ ข้อมูลต้องเชื่อมระหว่างหน่วยเลือกตั้งเข้าด้วยกันหมด ทำให้เพิ่ม%ในการใช้สิทธิมากขึ้น
2.2 โครงสร้างการหาเสียงของพรรคการเมืองและผู้สมัครจะไม่ผ่านคนกลาง เช่น หัวคะแนน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู
อนาคตไม่ต้องผ่านหัวคะแนนแล้ว ประชาชนคุยผ่านผู้สมัครได้แล้ว
สรุปคือ 5G จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเอกชนเป็นผู้ลงทุน โดยรัฐเป็นฝ่ายสนับสนุนให้เกิด5G
สัมมนา 5G จุดเปลี่ยนLandscape เศรษฐกิจและการเมือง ในเง่มุมของ Operator
คุณวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร บมจ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส
พูดถึง5Gต่างจาก4G
1.SPEED : ความเร็ว 4G = 100 MHz , 5G = 10 GHz application ที่ใช้ได้แก่ กล้อง VR resolutionละเอียด , AR , หนัง3มิติเช่น Star war.
2.Capacity : อุปกรณ์ที่ต่อได้ ก็เพิ่มจาก100,000 ชิ้น เป็น 1,000,000 ชิ้นต่อตารางกม
3.Latency : ความเร็วเพิ่มจาก 10ms เป็น 1ms ทำให้รอบรับ Autonomous car ,การผ่าตัดโดยrobotผ่าน
คุณหมอที่อยู่ห่างออกไป
นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) TRUE กล่าวว่า เทคโนโลยี 5G จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐโดยเฉพาะการประมูลคลื่นความถี่ ที่5G ต้องใช้คลื่นความถี่มากถึง 100 MHz หากต้องใช้เงินลงทุนมากเทียบเคียงราคา 900MHz ครั้งก่อนที่ประมูล 10 MHz ในราคาถึง 7.6 หมื่นล้านบาทก็อาจจะทำให้ 5G ไม่เกิด ทั้งนี้ยกตัวอย่างในจีนที่รัฐบาลจีนให้คลื่นความถี่กับ China Mobile 160MHz เพื่อใช้กับ 5G ซึ่งมีผู้ใช้บริการกว่า 900 ล้านคน ( วิทยากรในช่วงถัดไปไม่เห็นด้วย เพราะ
China mobileเป็นของรัฐ และ จีนเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ ดังนั้นต้องเร่งผลิตก่อนสหรัฐ แต่ไทยเป็นผู้ใช้ ดังนั้นต้องเก็บค่าใช้คลื่น)
"นโยบายภาครัฐต้องชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนของคลื่นความถี่ 5G ต้องการใช้คลื่น 100 MHz ถ้าต้นทุนสูง ก็คงจะเกิดยาก ฉะนั้นในปี 63 จะเกิดได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล"นายวิเชาวน์ กล่าว
ส่วนทางด้าน DTAC พูดถึงการใช้เทคโนโลยีมาช่วย smart farm และตอนนี้กำลังจะทดสอบ5G โดยรอทางกสทชอนุมัติ
นาย ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยในงานสัมมนา 5G จุดเปลี่ยนLandscape เศรษฐกิจและการเมือง ว่าจะเสนอให้ อนุญาติ 2 โอเปอเรเตอร์ คือ บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) สามารถทดลอง 5G บนคลื่นความถี่ 2.6 GHz โดย ADVANC จะทดลองที่เอ็มโพเรียม และ TRUE ทดลองที่เอ็มควอเทียร์ ขณะที่ดีแทคอยู่ระหว่างขออนุญาต
โดยทั้ง 3 ค่ายเตรียมความพร้อม เพื่อเจ้าสู่เทคโนโลยี 5G ในปี 63 ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
นอกจาก5Gจะเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ยังต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมด้วย
นายฐากร ได้กล่าวย้อนหลังการใช้งานมือถือก่อนการเลือกตั้งล่าสุด คือ 3 กค 2554 ซึ่งมีการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย ซึ่งตอนนั้น
มีคนใช้มือถือ 71.7 ล้านเลขหมายในระบบ2Gทั้งหมด ดูประวัติการเติบโตของ3G,4Gจากในรูป
ล่าสุด ปี 61 มีเลขหมาย2G จำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย ส่วน 3G/4G จำนวนเลขหมายเท่ากับ 123.5 ล้านเลขหมาย มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากและเกิดอย่างรวดเร็วมาก
ส่วนถ้าดูเปรียบเทียบระหว่างปี 2554 / 2561 สำหรับ Social
ปี 2554 ยังไม่มีการใช้smartphone มีใช้บนPCอย่างเดียว
Facebook มีผู้ใช้ 6.1 ล้านคน , Twister 70,000คน , Youtube 120,000 คน
ส่วนปี 2561 Facebook มีผู้ใช้ 49 ล้านคน , Twister 13.6ล้านคน , Youtube 6ล้านคน , Line 44 ล้านคน
ทายว่าหลังปี2563 เมื่อ5Gเข้ามีบทบาทในช่วงปี 2563-2565 มีการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพหลังจากเริ่มใช้งาน5ปี
จุดเปลี่ยนที่วิเคราะห์ได้
1. มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ 5 อย่าง
1.1 โครงสร้างภาคการผลิต ซึ่งมองว่าจะช่วยลูกค้าลดต้นทุนการผลิต เปลี่ยนแปลงการผลิตครั้งยิ่งใหญ่
1.2 ห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนแปลงไป ยุคเดิม เน้นผลิตจำนวนมาก ส่งผ่านคนกลาง
เปลี่ยนเป็น เน้นการผลิต ขายผ่านplatformตรงตามความต้องการของลูกค้า
1.3 ทฤษฏี Demand&Supply อาจอธิบายเศรษฐกิจใหม่ไม่ได้ เพราะว่ามีการใช้Big data เข้าไปคำนวณความ ต้องการใช้สินค้าที่แท้จริง ราคาสินค้าควรถูกลง เพราะไม่ต้องผลิตเผื่อและบวกเข้ากับราคาสินค้า
1.4 ธุรกิจที่เป็นตัวกลางในการประกอบธุรกิจ ถูกลดบทบาท และ หายไปในที่สุด ต่อไปจะมีการผ่านplatform
ระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ เช่น ธนาคารใช้พนักงานสินเชื่อมาปล่อยสินเชื่อ อนาคตAIจะเข้ามาแทนที่ วิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อ
1.5 5Gจะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆตามเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้น
2. ส่วนโครงสร้างทางการเมืองที่ปรับเปลี่ยน
2.1 ระบบการเลือกตั้ง หลักกฎหมายเรื่องลงคะแนนเสียงในสถานที่กลาง อนาคตการใช้สิทธิของประชาชนในที่หน่วยเลือกตั้งไหนก็ได้ ข้อมูลต้องเชื่อมระหว่างหน่วยเลือกตั้งเข้าด้วยกันหมด ทำให้เพิ่ม%ในการใช้สิทธิมากขึ้น
2.2 โครงสร้างการหาเสียงของพรรคการเมืองและผู้สมัครจะไม่ผ่านคนกลาง เช่น หัวคะแนน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู
อนาคตไม่ต้องผ่านหัวคะแนนแล้ว ประชาชนคุยผ่านผู้สมัครได้แล้ว
สรุปคือ 5G จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเอกชนเป็นผู้ลงทุน โดยรัฐเป็นฝ่ายสนับสนุนให้เกิด5G
สัมมนา 5G จุดเปลี่ยนLandscape เศรษฐกิจและการเมือง ในเง่มุมของ Operator
คุณวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร บมจ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส
พูดถึง5Gต่างจาก4G
1.SPEED : ความเร็ว 4G = 100 MHz , 5G = 10 GHz application ที่ใช้ได้แก่ กล้อง VR resolutionละเอียด , AR , หนัง3มิติเช่น Star war.
2.Capacity : อุปกรณ์ที่ต่อได้ ก็เพิ่มจาก100,000 ชิ้น เป็น 1,000,000 ชิ้นต่อตารางกม
3.Latency : ความเร็วเพิ่มจาก 10ms เป็น 1ms ทำให้รอบรับ Autonomous car ,การผ่าตัดโดยrobotผ่าน
คุณหมอที่อยู่ห่างออกไป
นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) TRUE กล่าวว่า เทคโนโลยี 5G จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐโดยเฉพาะการประมูลคลื่นความถี่ ที่5G ต้องใช้คลื่นความถี่มากถึง 100 MHz หากต้องใช้เงินลงทุนมากเทียบเคียงราคา 900MHz ครั้งก่อนที่ประมูล 10 MHz ในราคาถึง 7.6 หมื่นล้านบาทก็อาจจะทำให้ 5G ไม่เกิด ทั้งนี้ยกตัวอย่างในจีนที่รัฐบาลจีนให้คลื่นความถี่กับ China Mobile 160MHz เพื่อใช้กับ 5G ซึ่งมีผู้ใช้บริการกว่า 900 ล้านคน ( วิทยากรในช่วงถัดไปไม่เห็นด้วย เพราะ
China mobileเป็นของรัฐ และ จีนเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ ดังนั้นต้องเร่งผลิตก่อนสหรัฐ แต่ไทยเป็นผู้ใช้ ดังนั้นต้องเก็บค่าใช้คลื่น)
"นโยบายภาครัฐต้องชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนของคลื่นความถี่ 5G ต้องการใช้คลื่น 100 MHz ถ้าต้นทุนสูง ก็คงจะเกิดยาก ฉะนั้นในปี 63 จะเกิดได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล"นายวิเชาวน์ กล่าว
ส่วนทางด้าน DTAC พูดถึงการใช้เทคโนโลยีมาช่วย smart farm และตอนนี้กำลังจะทดสอบ5G โดยรอทางกสทชอนุมัติ