แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 451

โพสต์

พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ 2527
ถ้าหากใครจำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ในปี 2527 ได้ มีเหตุการณ์อันหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้น
คือคดีความแม่ชม้อย เป็นคดีที่ใหญ่โตมากในช่วงเวลานั้น เพราะว่า กฏหมายในประเทศไทย
ไม่สามารถดำเนินการอะไรกับแม่ชม้อยในคดีแชร์ลูกโซ่ได้เลย เรียกได้ว่า เครื่องมือที่มีอยู่ในสมัยนั้น
ไม่สามารถจัดการแชร์ลูกโซ่ได้
โดยแชร์แม่ชม้อย ขนาดของความเสียหายคือระดับพันล้านบาท ในปี 2527 ไม่ใช่ว่าเกิดในเวลาอันสั้นแต่ทว่า
เกิดมาในระยะเวลาหนึ่ง พร้อมทั้ง เศรษฐกิจของประเทศไทย ในช่วงเวลานั้นมีปัญหา คือเราต้องลดค่าเงินบาท
อีกครั้งหนึ่งในช่วงเวลานั้น ก่อนที่เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเวลาต่อมาจนเราเป็น เสือตัวห้าแห่งเอเชียได้
คดีแชร์แม่ชม้อยนั้น ศาลตัดสินมีความผิด และติดคุกเป็นแสนปี แต่ทว่า ตามกฏหมายสามารถลงโทษได่แต่ 20 ปีเป็นโทษที่สูงที่สุด ตามกฏหมายที่มีอยู่ในเวลานั้น แต่ทว่าการติดคุกจริงๆประมาณ7-8 ปี เท่านั้น เนื่องจากได้รับอภัยโทษจากการพฤติดี ในระว่างการได้รับโทศในเรือนจำ

ในปัจจุบันก็ยังคงมีเรื่องราวของแชร์ลูกโซ่เล่าขานกันอยู่ในสังคมตลอดระเวลาที่ผ่านมาหลังจากแชร์แม่ชม้อยแล้ว
ก็ยังคงมีเรื่อยๆ แต่ทว่า รูปแบบนั้นอยู่ในรูปแบบใหม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ผู้ที่ลงทุนในแชร์ มีความโลภเหมือนกันทั้งหมดคือต้องการผลตอบแทนที่สูงผิดปกติ แต่ทำไม บุคคลเหล่านั้นถึงกล้าที่ลงทุนแหละนั้น

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราเองก็โดนชวนไปลงทุน ผลตอบแทนเรียกได้ว่า 2 หลักต้นๆ ในสมันช่วงปี 2548-49 เลยทีเดียว
เรียกได้ว่า ผลตอบแทนเวอร์เกินไป เป็นผลตอบแทนจากการเข้าพักอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในเขตภาคตะวันออก
ซึ่งดูแล้วไม่ make sense ในความคิด เพราะ ผลตอบแทนมันสูงเวอร์และเงื่อนไข มันแปลกๆ ว่าเราต้องเข้าพัก แต่ถ้าไม่พักแล้วขายสิทธิ ให้คนอื่นได้ผลตอบแทนด้วย เรียกได้ว่า คนที่ลงทุนนั้นเห็นเรื่องเงินเป็นหลัก
แล้วเรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยคือ ความเชื่อถือ ในตัวของผู้ชักชวน เป็นสำคัญเลย
Profile ดูดีอย่างยิ่งมีหลักฐานต่างๆยกมา ให้เราเห็นได้ว่า มีโอกาสที่ได้ผลตอบแทนนั้นเอง

เรื่องนี้ต้องบอกว่า เงินของเรา เราต้องเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ความโลภทั้งให้เรานั้นตัดสินใจผิด
คุ้นๆในวงการการเงินไหมละ มันก็คล้ายๆ แต่ทว่า วงการเงินนั้น มันมีข้อพิสูจน์ได้ อยู่ เวลาผ่านไป
ถ้าหากหลอกลวง เดี๋ยวระเบิดเวลาที่ตั้งเวลาไว้ก็แตกออกมาเอง โดยตัวของมันเอง
แต่ทว่า แชร์ลูกโซ่มันไม่ใช่แบบนั้นซิ มันคือความเชื่อ และสิ่งที่ทำว่า เราได้ผลตอบแทนดังที่บอกไว้
ยิ่งวงใหญ่เท่าไร มันก็ยิ่งล้มดัง ยิ่งคนรู้จักมาก ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นบุคคลมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเวลาแชร์ล้มก็ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ในภาครวมของประเทศ

อันนั้น ควรศึกษาอดีต เพื่อที่ให้เรา รู้ว่า ความโลภมันเป็นเช่นไรในอดีต และเราก็เตรียมตัวรับมือในรูปแบบใหม่ๆ
ที่มีขึ้นในอนาคตต่อไปนั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 452

โพสต์

ตลาดพร้อมที่ลงเสมอ
เมื่อผลประกอบการของ Facebook ออกมา มีแรงเทขายแล้วดิ่งหนักมากๆ
ซึ่งจริงๆ แล้วผลประกอบการก็ยังเติบโตอยู่ในเกณฑ์ แต่ทว่า น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
เมื่อ เป็นเช่นนั้น การเกร็งกำไรก็ถล่มทลายลงมา
ประเด็นนี้ น่าสนใจ คือ เมื่อปี 2008 ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งนั้น มีประเด็นเรื่องการถือครองหลักทรัพย์
ในประเทศ US ที่จากเดิมในช่วงปี 1970 นักลงทุน (ต้องใช้ชื่อนี้ละกันในช่วงนั้น) ถือครองหลักทรัพย์
ประมาณ 27 เดือน แต่ทว่า ตอนที่ก่อนเกิดเหตุ 2008 เล็กน้อย นักเกร็งกำไรถือครอง หลักทรัพย์ เหลือแค่ 7-9 เดือนเท่านั้น
ระยะเวลาหดตัวลงอย่างมากมาย ถือครองน้อยกว่า 1 ปี

ประเด็นนี้ พูดกันมากในระยะเวลานั้น เมือ่เปรียบเทียบกับระยะเวลานี้
มันคืออะไร คือ การเกร็งกำไร จากเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ มาจากการอัดฉีดเงินเข้าระบบ ในช่วง สมัยโอบาม่า เพื่อพยุงเศรษฐกิจ และ บริษัทขนาดใหญ่ในวงการเงินไม่ให้ล้ม (To big too fail นั้นเอง) ถ้าหากล้มไป กระทบเป็นวงกว้าง
ช่วงนี้เป็นช่วงระยะเวลาที่มีต้นทุนเงินทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ เมื่อมองในมุมมองของความคุ้มค่าเริ่มกล่าวถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าหากหุ้นตัวไหนที่ไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง พร้อมที่ลดลง เมื่อ ผลประกอบการออกมาไม่ดี นั้นเอง

ยังไม่เพียงแค่นั้น ยังมีทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วย ความคาดหวัง (Expectation) ในการอธิบายมุมมองของผู้บริโภค หากผู้บริโภคมองว่าเศรษฐกิจดี ก็ใช้จ่ายมากขึ้น ถ้ามองว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็รัดเข็มขัดนั้นเอง
สามารถเอาทฤษฏีนี้มาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้นั้นเอง

สุดท้ายคือ เจ้ามือตัวจริงคือผลประกอบการ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 453

โพสต์

เรื่องของน้ำ ในปี 2018
เรื่องของน้ำนั้นสำคัญ ปี 2017 นั้นเป็นปีที่ฝนตกมาก เนื่องจากเด็กหญิง (เอลนิญ่า)
ต่อด้วยปีนี้ 2018 เขื่อนทางด้านภาคตะวันตก เริ่มมีปริมาณน้ำมาก ในสองเขื่อนหลักคือ เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อน วชิราลงกรณ ที่ปริมาณกักเก็บประมาณ 80% ต้องย้อนไปถึงปี 2002 ที่มีปริมาณน้ำมากในภาคตะวันตกของประเทศ
ไม่เพียงแค่สองเขื่อนในภาคตะวันตกเท่านั้น
ยังมีเขื่อนหลักทางภาคเหนือคือ เขื่อน สิริกิติ์ ที่ในปี 2554 นั้นต้องปล่อยให้น้ำล้นสปริงค์เวย์ เลยทีเดียว
ตอนนี้ 63% แล้ว น้ำไหลเข้าเขื่อนประมาณ 130 ล้านลบ.ม. ทีเดียว มาซักระยะหนึ่งแล้ว ต้องรอดูว่า การจัดการจัดน้ำในเขื่อนนี้จะเป็นเช่นไร
ซึ่งในปีนี้ ถ้าหากผ่านพ้นไปได้ด้วย ก็ถือว่าการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
โดยที่ประชาชน ได้ใช้ข้อมูลที่ทางภาครัฐเปิดไว้บริการประชาชน สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนต่างทั่วประเทศ

รอดูว่าปีนี้น้ำท่วมหนักอีกหรือไม่ ต้องลุ้นกันเป็นระยะๆ ละ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 454

โพสต์

ขอแจ้งบอกกล่าวเกี่ยวกับกลุ่มประกันภัย ก่อนละกัน
การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มประกันภัย ในช่วงเวลานี้ มันเกิดจากพิษของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ถ้าหากใครจำกันได้ บริษัท AIG เข้าไปรับประกันผลตอบแทนของ CDO,CDS ในช่วงนั้น
ทำให้เมื่อผลตอบแทน ของ CDO,CDS ไม่ได้ตามนั้น AIG ก็รับไป
ซึ่งตอนนี้ rating ของ CDO กับ CDS ที่ขายคือ rating Aเป็นอย่างต่ำ (อ้างอิงจาก Rating ระดับประเทศด้วย ของ US ในเวลานั้นคือ AAA)

เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป ก็ต้องปิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมา ไม่ใช่แค่วงการการเงิน-การธนาคาร-มันก็ลามไปที่วงการประกันภัยด้วย นั้นเอง

มาคราวนี้มันมาที่เมืองไทย เมืองไทยก็ต้องค่อยๆปรับก็ค่อยเปลี่ยนกันไป เพราะว่า วงการประกันภัยของไทยมันใหญ่มาก เป็นดินแดงสนธยา ที่เรียกได้ว่า เฉพาะกลุ่ม เพราะทำมานานแล้ว (ครั้งหลังสุดที่เปิดให้ออกใบอนุญาตก็ประมาณปี 2539 หลังจากนั้นไม่มีใครได้อีกเลย มีแต่คืน จากการโดนปิดกิจการหรือควบรวมกิจการเท่านั้น)

คราวนี้ บริษัทไหนอยู่รอดได้ น่าจะต้องมีรายได้เกิน 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ถึงอยู่ได้ แต่อยู่ได้แบบไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง (บริษัทประกันภัยยิ่งขนาดใหญ่ก็รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น ถ้าขนาดไม่ใหญ่ รับงานประกันภัยได้เพียงนายหน้าแล้วก็ต้องส่งต่อให้รายใหญ่อยู่ดี เช่นพวกโรงกลั่นน้ำมัน อาคารสนามบิน เป็นต้น)

แล้วบริษัทขนาดเล็ก แหละทำอย่างไรดี ก็ต้องขายกิจการให้ต่างชาติ หรือควบรวมกิจการให้มันใหญ่ขึ้น
ก็เหมือนในอดีตที่กลุ่มธนาคารในช่วงปี 2540 ควบรวมกิจการ ในขณะที่หนีตายกันจ้าละหวั่น (ไม่เห็นโรงศพก็ไม่ทำ) แล้วกลุ่มประกัน แหละจะเดินตามรอยนั้นหรือเปล่า

ยิ่งลดจำนวนลงยิ่งดีกับบริษัทที่อยู่ต่อ แต่ถ้ามันมากก็ไม่ดี
ตอนนี้ บริษัท 10 อันดับแรกก็กินส่วนแบ่งไปประมาณ 60-70% แล้ว ของเบี้ยทั้งหมดในระบบ
จากเดิมที่ย้อนหลังไป 10 ปีที่แล้ว 10 บริษัทแรกได้เบี้ยแค่ 30-40% เท่านั้น เรียกได้ว่าค่อยเติบโต ขึ้นมา
ดังนั้นก็ต้องดูกันต่อไปว่า บริษัทตัวเล็กดำเนินการอย่างไรต่อไป
ควบรวมกิจการ หรือ ขายกิจการ เป็นเรื่องที่น่าคิด

ปล. ตลาดตราหนี้เป็นตลาดที่ผู้ถือตราสารคือ บริษัทประกันภัย ต้องดูกันต่อไปว่า
ถ้าหากควบรวมกันแล้ว งานนี้ตราสารหนี้ก็อยู่ในมือบริษัทประกันภัย น้อยรายลง แล้วอำนาจต่อรองเป็นเช่นไร
น่าสนใจ อย่างยิ่ง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 455

โพสต์

ลับ ลวง ซ่อน พราง
เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการเมืองนอกประเทศหน่อยละกัน ทุกท่านที่ได้อ่านได้เห็นภาพหน่อย
ต้องย้อนกลับไป ซัก 5-6 ปีที่แล้ว แหล่งน้ำมันแหล่งหนึ่งที่สำคัญของยุโรปนั้น ได้หยุดดำเนินการผลิต
นั้นคือ แหล่ง Brent ทะเลเหนือ อยู่ระหว่างอังกฤษ และ นอร์เวย์
จุดนี้เป็นแหล่งผลิตสำคัญของยุโรปเลยก็ว่าได้
ระยะเวลาต่อมาก็เริ่มมีการลดการใช้พลาสติก ในประชาชนทั่วไป
ต้องบอกว่า พลาสติกที่เราใช้งาน นั้นมาจากผลผลอยได้ของน้ำมัน
เมื่อน้ำมันหมดก็เริ่ม ไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เป็นผลพลอยได้
รวมไปถึงรถยนต์ ที่เปลี่ยนแปลงเป็นจักรยานหรือ รถไฟฟ้า นั้นเอง

มาดูที่ US บ้าง น้ำมันรอบที่ราคาสูงๆ นั้น US เองก็ไปขุดเจาะน้ำมันในชั้นหินดินดาน ขึ้นมา
(อ่านเอกสารเก่าๆได้ เพราะมีบริษัทจดทะเบียนในไทยก็ไปลงทุนที่ทวีปอเมริกาเหนือในการขุดเจาะน้ำมันแบบนี้)
ราคาก็ไล่ลงมา จนกระทั่ง US ต้องยอมเปิดให้เกิดการส่งออกเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกในรอบ 30-40 ปีมาทีเดียว
และปีนี้เอกสารที่ออกรายงานกลับกลายเป็น US เป็นผู้ค้ารายใหญ่อีกรายนอกกลุ่มโอเปก ไปแล้ว

ดังนั้น การดูว่า ละ ลด เลิก อะไรนั้น มันมีสาเหตุที่มาที่ไป
ไตร่ตรองให้ดีมันเป็นเพราะอะไร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 456

โพสต์

ประมูลคลื่น 1800 MHz รอบ 2 กับ คลื่น 900 MHz
ปี 2561 เป็นปีที่สัมปทานอนุญาตของ ดีแตกหมดอายุในเดือน กันยายน 2561
การหมดอายุครั้งนี้ ทาง กสทช ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบนั้น เปิดประมูลมา 2 ครั้ง
รอบแรกให้ประมูล 3 ช่วงคลื่นความถี่ ช่วงละ 15 MHz แต่ประสบความล้มเหลว ไม่มีบริษัทเข้าร่วมประมูล
ครั้งที่สอง ลดช่วงคลื่นลง เป็น 5Mhz จำนวน 9 ใบ ได้สูงสุด 4 ใบ คือ 20 MHz
มีบริษัทสนใจ 2 แห่ง ดังนั้น การบ้านของนักลงทุนคือ ต้องกลับไปดูช่วงคลื่น 1800 MHz ที่ถ่อครองอยู่ และที่ประมูล นั้นใครต้องการช่วงไหน นั้นเองและต้องการถึง 30 MHz ไหม
แล้วช่วงคลื่นที่ต้องการส่วนใหญ่ติเต่อกัน ไม่ได้แยกกันเพื่อการบริหารจัดการนั้นเอง

ส่วน 900 MHz ถึงแม้นว่า คลื่นสั้นกว่าส่งได้ไกลกว่า สถานีฐานน้อยกว่า แต่เปิดให้ประมูล แค่ 5 MHz และมีต้นทุนคือ ต้องติดตั้งตัวป้องกันความถี่แทรกซ้อนให้กับแนวรถไฟความเร็วสูง
ซึ่งหาก มองในเคสรถไฟฟ้ามาหานะเธอ คือ รถไฟความเร็วสูงเป็นคนทีควรติดตั้งแทน เพราะมาที่หลัง แถม เทคโนโลยีที่ใช้ บริการจัดการรถไฟความเร็วสูงโดยใช้คลื่น 900 MHz นั้น อยู่ในบั้นปลายของเทคโนโลยีแล้ว ตอนนี้ กพลังขยับไปใช้ช่วงคลื่นอื่นทดแทน
มันก็น่าคิดว่า ใช้ของเก่ากับของใหม่ ควรที่ใช้ของใหม่มากกว่าหรือเปล่า เพราะเทคโนโลยีเดิม เมื่อถึงบั้นปลายแล้ว อุปกรณ์ไม่มีใครผลิต ไม่มีสต๊อกอุปกรณ์ ผู้เชี่ยงชาญหาได้ยาก ราคาตัดหาแพงมันเป็นช่องทางที่เปิดโอกาส ทุจริตเชิงนโยบาย หรือเปล่า ก็น่าคิด

อีกประเด็นของ 900 MHz คือ มีคลื่น 700 MHz ที่ ใช้งานกับ digital tv ในปัจจุบัน
ซึ่งจุดนี้น่าสนใจ ว่า digital tv ต้องย้ายความถี่ ทุกบ้าน
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 457

โพสต์

กำหนดคลอด TFF (Thailand future fund) เดิมพันสูง
กองทุน TFF ไม่ใช่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานกองทุนแรกของประเทศไทย
กองทุน TFF ไม่ใช่กองทุนที่รัฐวิสาหกิจขายรายได้ จากทรัพย์สินของตัวเองในระยะเวลา 30 ปี ที่กำหนด (กองแรก EGATIFเป็นการขายไฟฟ้า)
แต่ทว่า TFF นั้นเดิมพันสูง ในการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานในครั้งนี้ เพราะอะไรหรือ
เพราะว่า กองทุนนี้เป็นกองทุนแรก ที่รัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวกับการเดินทาง คือ ทางด่วน นำรายได้ 40% มาตั้งกอง
ซึ่งรายละเอียดยังไม่มีให้อ่าน ว่า รายได้ 40% นั้นต้องหักส่วนต่างๆในการดำเนินการอะไรบ้าง และเงื่อนไข ในการดำเนินการอย่างไร
อีกด้านหนึ่ง กองทุนนี้ เรียกได้ว่าให้ผลตอบแทนของผู้ลงทุน ณ ตอนนี้ที่เป็นข่าวคือ 5%
ซึ่งทำให้ต้นทุนมันสูงหรือเปล่า เพราะ ถ้าหาก กทพ ไปออก Bond เพื่อสร้าง ทางด่วนเอง ก็กลายเป็นภาระของรัฐเป็นผู้การันตีให้ แถมคิด เป็นหนี้สินสาธารณะด้วยอีกต่างหาก แต่หากออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นั้นคือ ขายสิทธิ์รายได้ในอนาคตที่เกิดจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ ทำให้ไม่เกิดภาระแก่ภาครัฐ นั้นเอง
สิ่งที่บอกทำให้ TFF นั้นเดิมพันสูงในการออกกองทุนนี้ต้องให้สำเร็จ ให้ได้ คือขายหมดและขายเกินจำนวนที่ออกด้วย
แล้วผู้เล่นหลักของกองทุนนี้ คงหนีไม่พ้นคือ บริษัท ประกันชีวิต ที่แสวงหาการลงทุนที่ไม่เสีย Risk Based คือ การตั้งสำรองเงินลงทุน นั้นเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นั้นเอง ทำให้ยอดจองของบริษัทประกันชีวิตคงเกินแน่นอน
ส่วน ของ กทพ ต้องถืออย่างน้อย ตามที่กฏระเบียบของ กลต กำหนดไว้ ในการออก กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
กองทุนต่างๆ ที่ต้องการ
สหกรณ์ของ กทพ เอง ก็น่าจะเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย (เหมือนของ EGATIF)
ดังนั้น น่าสนใจว่า การกระจายหน่วยลงทุนครั้งนี้ ถึงมือนักลงทุนรายย่อยแค่ไหน

อีกประการหนึ่งที่ต้องดูว่า ตอนนี้ Time frame ในการออก หน่วยลงทุนของกองทุนนี้คือ กันยายน 2561
ดังนั้น ระยะเวลาในการจัดเตรียมเงินในการลงทุนกองทุนนี้ ณ ตอนนี้เหลือเวลาประมาณ หนึ่งถึงหนึ่งเดือนครึ่ง
ในการระดมทุน ในระดับ 4 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น ต้องจับตาดูว่า เงินที่มาลงทุนนั้น มาจากแหล่งไหน
ซึ่งก่อนหน้าที่ ออกกองทุนนี้ ธนาคารต้องปล่อยกู้ให้แก่ ผู้ประมูล คลื่นความถี่ 1800 MHz จำนวน 2 เจ้า ที่แจ้งแก่ ตลท ว่า เข้าร่วมประมูล ต้องลุ้นกันว่า ประมูลกี่ช่วงคลื่น ใช้เงินเท่าไร
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ เงินในระบบอาจจะตรึงตัวได้ จะต้องมมีการระดมเงิน ได้

จับตาให้ดีละกัน เรียกได้ว่า TFF นั้นเดิมพันสูง มิใช่เดิมพันกันต่ำในด้านตลาดทุนช่วงนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 458

โพสต์

เขียนสั้นๆว่า ตุรกี และ อินโดนีเซีย ต้องจับตา ว่าวิกฤติทางการเงินหรือเปล่า
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 459

โพสต์

แปลกทำไม GDP เพิ่ม แต่ทว่าประชาชนรู้สึกว่าเงินไม่พอใช้
ช่วงนี้รัฐ ประกาศผลงานในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านตัวแทนคือ GDP
ซึ่งประกาศมาแต่ละครั้งในปี 2561 เป็นต้นมา มีแต่ปรับตัวเลขขึ้นหลังจากประกาศออกมาทุกสำนักทางเศรษฐกิจที่คาดเดาเรื่องนี้
แต่ด้านของประชาชน ยังคงรู้สึกว่า เงินไม่พอใช้ แล้วคำถามจึงเกิดว่าเงินมันหายไปไหนหนอ
ที่แน่นอนที่ดูดเงินในกระเป๋าประชาชนคือ ค่าน้ำมัน แต่ตัวค่าน้ำมันดันไม่อยู่ในการคำนวนเงินเฟ้อ
โดยตัดออกหลายปีแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อน้ำมันเพิ่มขึ้น ตอนนี้เกือบ 30 บาทสำหรับ ก๊าซโซฮออล์ 91 ซึ่งราคาใกล้เคียงกับโซฮอลล์ 95 อย่างมากๆ เมื่อก่อนหน้านี้ตอบกัน 20 ต้นๆ เท่านั้น
เรียกได้ว่า น้ำมันขึ้นเกือบ 10 บาทในช่วงเวลา 1-2 ปีมานี้
เมื่อน้ำมันขึ้น อย่างอื่นควรขึ้นได้ตาม แต่ทว่าขึ้นได้เพราะ เงินเฟ้อ ไม่ได้นำเอาน้ำมันมาคำนวณนั้นเอง

ต่อมา การใช้การโอนเงิน แบบ Prompt pay อันนี้เสมือนเร่งให้ประชาชนใช้จ่าย การที่ใช้ prompt pay นั้นหมายความว่าประชาชนไม่ได้จับเงินทั้งเงินเหรียญหรือเงินกระดาษ ทำให้ความรู้สึกว่าใช้เงินมากเกินไปแล้ว ไม่เกิดขึ้น ทำให้พอมารู้ตัวอีกที เงินก็บินไปแล้ว จนไม่เหลือใช้นั้นเอง
อีกสิ่งที่ได้มาจาก Prompt pay แต่ธนาคารยังเอาออกมาใช้ซักแห่ง คือ DATA ที่มาจากพฤติกรรมของการใช้งาน Prompt pay นั้นเอ ยังไม่เห็นว่า ธนาคารไหนเอาออกมาใช้งาน หรือ ร่วมกับ กิจการอื่นๆ ในด้านซื้อมาขายไปทำ โปรโมทชั่นออกมาให้เห็นๆจะๆๆ ว่า มันทำได้ ออกมาถูกต้องหรืออย่างไร ต้องรอเพลงรอไปก่อน

ต่อมาเรื่องของราคาพิชผลทางการเกษตรที่ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง
ไล่ตั้งแต่ราคาน้ำยางพารา ,ราคาน้ำม้นปาล์ม พวกนี้ยังไม่กระเตืองขึ้นเท่าไร
ดังนั้น เกษตรกรแย่ เห็นเริ่มมีประท้วงให้ลดหนี้จาก ธกส แล้ว ในเวลานี้

ดังนั้นต้องรอดูกันต่อไปว่าเป็นเช่นไรในอนาคตต่อไป
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 460

โพสต์

Prompt pray
เขียนเรื่องของ GDP กับ Prompt pay ไปแล้ว มาต่อด้วย Prompt pray อีกตัวหนึ่งละกัน
pray ตัวนี้ ต้องย้อนกลับไปสมัยที่ บิล เกต ขึ้นเวที นำเสนอผลิตภัณฑ์ ที่เปลี่ยนยุคของวงการคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะคือ MS Windows 95 ที่เปลี่ยนหน้าตาการแสดงผลไปจากยุคของ DOS ที่มาคู่กับ MS Windows 3.11
การนำเสนอครั้งนั้น มีอยู่สองเหตุการณ์เกิดขึ้นคือ Blue Screen of dead แสดงถึงความไม่เสถียรของระบบปฏิบัติ ที่ทำงานอยู่ และ อีกอย่างหนึ่งที่ปฏิวัติวงการคือ Plug and Play แต่กลับกลายเป็น Plug and pray เพราะว่า เสียบอุปกรณ์ใหม่เข้าไป ระบบปฏิบัติการ MS Windows 95 เกิด Blue screen of dead นั้นเอง
มาถึงเมืองไทย ตอนนี้ยุคที่ Mobile Banking และ Prompt pay ครองเมือง โดยมาจากนโยบาย
National payment ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ลดการสูญเสียรายได้จาก การที่ให้ต่างประเทศดำเนินการแทน
แต่ทว่า เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเป็นพักๆ ระบบล่ม เป็นระยะ ตั้งแต่ต้นปี 2561 มา ล่าสุดเกิดช่วงปลายเดือนสิงหาคม และต่อเนื่องต้นเดือนกันยายน 2561

มันก็น่าคิดว่า ธนาคารพาณฺิชย์ มีข้อมูลในมือแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยที่ทำ National Payment ในส่วนนี้ธุรกรรม มากในช่วงปลายเดือน (พนักงานเคาน์เตอร์ของธนาคารทุกแห่ง ไม่อยากมีเวรนั่งเคาน์เตอร์ในช่วงเวลานี้เลย เพราะว่า คิวแน่นทั้งวัน ไม่ได้พัก ไม่พอกลับดึกอีกต่างหาก ธนาคารปิดแล้ว ธุรกรรมของประชาชนยังเหลือ ยังต่อคิวอยู่เลย) ประเด็นนี้สำคัญ ธนาคารรู้อยู่ว่า ปลายเดือน นั้นธุรกรรมแน่นมากๆ
ยุคของ ATM รุ่งเรือง นั้นก็มีปัญหาทุกสิ้นเดือนที่กดข้ามธนาคารไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นระยะ แต่ละธนาคารมีปัญหาช่องทางสื่อสารไปอีกธนาคารหนึ่ง โดยอ้างว่าช่องสัญญาณเต็ม ทำให้ทำธุรกรรมล่าช้าจนระบบรอไม่ได้ตัดการทำธุรกรรมทิ้งไปเลย
มันเกิดเป็นยุคแรกแต่ทว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่ได้ลงมาแก้ไขเอาจริงเอาจัง สั่งการซักที
แบบทุบโต๊ะ หรือ สั่งปรับ ไม่เป็นเป็นเยี่ยงย่างซักที เหตุการณ์เหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้น

ทำอย่างไรต้องไม่เกิดขึ้น การรับจ่ายเงิน มันคือความเชื่อถือระบบ หากระบบไม่เสถียร/ล่มบ่อย /ทำรายการไม่สำเร็จ/รอเงินคืนอีก 1 วัน แล้วอะไรเกิดขึ้นแก่ ระบบโดยรวมละ
อำนาจมีในมือ สำหรับ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล้าหรือเปล่า วัดกันละกัน
ให้เดาว่า คาบโทษเท่านั้น แล้วสั่งให้แก้ แล้วดูอาการปลายกันยายน ถึงต้นเดือน ตุลาคม 2561
ว่าเกิดอีกหรือไม่

เนี่ยล่าสุดไปเจอกับตัวเองมา จ่ายประกัน กับเคาน์เตอร์ธนาคาร โดยเรารอคิวจนธนาคารปิดไปแล้ว แต่เคาน์เตอร์ต้องเรียกคิวต่อเพราะยังเหลือคิวที่รอรับบริการ
ปัญหาคือ เราจ่ายเกินเวลา แต่อยู่ในช่วงผ่อนผันของบริษัทประกันชีวิต
อันนี้ต้องอธิบายก่อนว่า เช่น กรมธรรม์ต้องจ่ายต่ออายุ ในวันที่ 10 สิงหาคม 2561 นั้น
ระยะเวลาผ่อนผัน มีระยะประมาณ 1 เดือนหลังจากวันที่ครบ นั้นคือวันที่ 10 กันยายน 2561
เอกสารก็เขียนชัดเจนว่า สามารถจ่ายเกินระยะเวลาได้ คือ วันที ่10 สิงหาคม 2561
ธนาคารแห่งแรก ไปถอนเงินจากบัญชีแล้วจ่าย ปรากฏ ครั้งแรกพนักงานก็ยิงบาร์โค้ด แล้วลบข้อมูลวันที่จ่ายออก เพราะ มันล็อคเป็นวันที่ 10 สิงหาคม 2561 แก้ไขเป็นวันที่ 1 กันยายน 2561
ปรากฏว่าทำไม่ได้
รอบสองพนักงานหันเอาหน้าจอคอมพิวเตอร์มา แล้วเปิดให้ดูว่า ทุกอย่างทำแล้วน่า แต่ไม่ได้
แถมเปิด ข้อกำหนดการป้อนข้อมูลในเรื่องการโอนเงินให้ดูเลย อธิบาย ชัดเจนว่า สามารถทำได้
แต่ทว่า เกิดเหตุทำไม่ได้ งานเข้าซิ
น้องเค้าแก้ไขสถานการณ์ดีมาก แนะนำไปที่ธนาคารอื่นๆที่ปิด ในเวลาอื่นให้ แนะนำปสองแห่ง แห่งแรก ปิด 20.00 น. อีกแห่ง 19.30 น. ซึ่งเวลานี้ 19.22 น. แล้ว
น้องก็จัดการถอนเงินให้ เราก็วิ่งไปธนาคารจัดการเรื่องประกัน ไปอีกแห่ง
น้องที่ปฏิบัตงานที่เคาน์เตอร์ดูเอกสาร ถามก่อนว่าจ่ายเกินเวลาได้ไหม
เราก็ตอบไปเกินเวลาได้ จากนั้นน้องก็จัดการทำรายการให้ ผ่านสบาย
(ธนาคารนี้ เป็นผู้นำด้านฟรีค่าธรรมเนี่ยม) เราเลยเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจน
ที่หน้าเคาน์เตอร์ของทั้งสองธนาคาร

ขนาดเคาน์เตอร์ยังขนาดนี้ แล้ว Mobile Application ขนาดไหนคิดดูเอาละกัน

ไม่ต้องถามธนาคารแรกละกันว่าเป็นที่ไหน

เล่าไว้ว่าเป็นอุทธรณ์ สอนว่า Pay= Pray ได้ทุกเมื่อ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 461

โพสต์

Prompt pray กับ National payment
Prompt pray นั้น ถ้าหากโอนเงินข้ามธนาคารต้องผ่าน ITMX
ITMX นั้นเป็นการลงขันของธนาคาร โดยธนาคารถือหุ้นตามสัดส่วนการตลาดของธนาคารแต่ละแห่ง
ITMX นั้นมีรายได้เป็นค่าธรรมเนี่ยมตามจำนวน Transaction ที่ใช้งาน
จากเหตุการณ์ที่เกิด 31 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2561
ปรากฏว่า ITMX รองรับได้แค่ 500 Transasction ต่อวินาที และเมื่อเกิดเรื่องคือขยายเป็น 1,000 Transaction ต่อวินาที
ธนาคารไหนมีปัญหาระบบตัดทิ้ง

หากprompt pray โอนภายในธนาคารก็ ระบบธนาคารนั้นเป็นคนทำหน้าที่จัดการ

เห็นได้ว่า คอขวดในการทำงานคือ ITMX
แต่ทำไม คดขวดที่ ITMX ซึ่ง National Payment น่าจะเห็นว่าคอขวดอยู่แล้ว แต่ทำไมเพิ่งมาขยายแต่ขยายก็ขยายน้อยไปหรือเปล่าก็น่าคิด
คำตอบเบื้องต้นคือ ITMX เก็บรายได้ตาม Transation แต่ Prompt pray นั้นไม่ได้เสียค่าธรรมเนี่ยม
ธนาคารก็ควักเนื้อนั้นเอง แบบนี้จะให้ประชาชนทั่วไปใช้งานมากไปทำไมละ
แล้วถ้าคิดแบบนั้น มันสนองนโยบาย หรือเปล่า (จิงใจหรือจิ้งโจ้)

ส่วนเรื่องหมายเลขบัญชีผิดแล้ว ตัดเค้าทิ้ง อันนี้ต้องบอกว่า เงื่อนไขมันต้องมากกว่านั้น ITMX น่ากลัว DDOS หรือเปล่า
เพราะถ้าหาก ITMX ตายนั้นคือทั้งระบบ แต่หากตัดแล้วรอด ระบบก็ยังอยู่ ไม่โดนอะไร ความรับผิดชอบไปอยู่กับธนาคารที่โดนตัดการสื่อสารแทน ระบบส่วนรวมรอด ก็เพียงพอ

ดังนั้น เบื้องหลัง จากการอ่านข่าวก็ต้องดูกันต่อไปว่า เมื่อเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เกิดปัญหาแล้ว ก็ต้องแก้ไขกันไป
แต่ละธนาคารมีงบลงด้าน IT ค่อนข้างที่สูงอยู่แล้ว ไม่น้อยระดับ 1,000 ล้านบาท สำหรับธนาคารใหญ่ๆ ก็น่าคิด อยู่
ว่ามันคือค่าใช้จ่าย หรือ หน่วยงานที่หาเงิน ให้แก่ธนาคารในยุคนี้

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 462

โพสต์

การกลับมาของโนเกีย
โนเกียยี่ห้อมือถือ อันโด่งดังในช่วง 1990-2000
เรียกได้ว่าเป็นเจ้าตลาดมือถือ ในสมัยก่อน แต่ทว่า มาตกมาตายแพ้ iPhone ในช่วงของ smart phone
ตอนนั้นจุดเด่นของโนเกียคือ อึด ทึก ทนทาน ตกไม่แตก ไม่พัง แม้นตกแล้วชิ้นส่วนของเครื่องกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
ถ้าเก็บอุปกรณ์ได้ครบถ้วน สามารถประกอบมาเป็นเครื่องเดิมใช้งานต่อได

แต่แพ้ iPhone แล้ว ก็โดนขายให้ MS ก็ไม่ร่วงเท่าไร จนกระทั่งขายให้ HMD ไปบริการต่อ
HMD ก็เดินกลยุทธ์ มือถือโดยใช้ Pure Anroid คือไม่ปรับแต่ซอฟแวร์จาก Google เลย
เรียกได้ว่า ปล่อยอะไรมาใช้ได้ update บ่อย เดือนละครั้ง ในเรื่องของระบบปฏิบัติการ
ความอึด ความทึก ความทนทาน ก็ยังอยู่ ตกไม่แตก ยังคงอยู่

กลับมารอบนี้คือ เจาะตลาดล่างและกลางก่อน แล้วค่อยเจาะตลาดบน ออกมาใน Series 1,2,3,5,6,7
ซึ่ง Series พวก 1-3 นั้นเป็น Feature Phone คือ เน้นไปในการใช้งานการโทร ก็ต้องปรับ Anroid ลงมาให้เหลือ feature น้อยที่สุดๆ เรียกว่า สลิมมากๆ เหมาะกับ memory ที่มีรองรับน้อย ซึ่งก็ยังคงเป็น Pure anroid อยู่ดี

ตอนนี้ก็เริ่มเป็นอันดับ 5 ของตลาดเมืองไทยและของโลก ก็น่าจับตามองว่า Nokia กลับมายิ่งใหญ่ได้ไหม
ในกระแสที่ ค่ายมือถือจากจีนกำลังมาแรง แซงโค้งค่ายจากเกาหลีใต้ในตอนนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 463

โพสต์

เรื่องของน้ำ ต่อ
จำได้ว่า เดือนที่แล้ว ทางเขื่อนสิริกิตต์ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต นั้น ได้เชิญนักข่าวช่องต่างๆไปทำข่าวว่า
เขื่อนยังรองรับน้ำได้จำนวนมาก ณ วันที่เชิญไปนั้น ปริมาณน้ำที่กักเก็บประมาณ 60-62%
มาวันนี้ ปริมาณน้ำในเขือ่นอยู่ทีป่ระมาณ 82% หรือ 7,751 ลูกบาศก์เมตร จากที่กักเก็บได้ 9,510 ลูกบาศก์เมตร
พร้อมกับพายุอีก 2 ลูกที่กำลังเข้ามายื่นโดยเฉพาะที่น่าจับตาคือ ลูกมังคุด ที่มีกำลังลม 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดเข้าถล่ม
ประเทศฟิลิปปินส์อยู่ในช่วงวันที่ 14-16 กันยายน 2561 มีแนวโน้มในการพยากรณ์เข้ามาทางเวียดนาม ->ลาวและไทยตอนบน
น่าเสียวมากๆๆสำหรับเขื่อนนี้
ถ้าหากไม่เร่งระบายน้ำ หรือ บริหารจัดการน้ำดีๆในช่วงระยะเวลาที่เหลือ ก่อนที่ ล้น สปริงค์เวย์เหมือนปี 2554 ที่ผานมาอีกรอบ

ส่วนเขื่อนทางภาคตะวันตกนั้น อาการเริ่มดีขึ้น หลังจากได้กักเก็บมากก่ว่า 90% อยู่นาน แต่ทว่า ถ้าตามที่เขียนบนเขียนก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันละ ว่ามีน้ำมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่
:)
:)
lukton2000
Verified User
โพสต์: 314
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 464

โพสต์

การปล่อยให้ระดันน้ำสูงถึง 80-90 % หรือมากกว่านั้น ในหลายๆเขื่อน ไปจนถึงล้นสปริงเวน์ ทั้งที่พึ่งจะต้นกันยายน เป็นเรื่องอันตรายมาก
แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีปัญหาแน่ๆ บางเขื่อนระดับเกินสูงมากๆ ฝนตกมาหลายวันแล้ว และพายุมังคุดกำลังจะส่งอิทธิพลถึงไทย
ในอีกไม่กี่วัน ก็พื่งจะออกมาบอกว่าจะพร่องน้ำเพิ่มรองรับพายุ ปัญหาคือมันจะทันได้อย่างไร แล้วมาเร่งพร่องน้ำตอนนี้ ท้ายเขื่อนน้ำก็สูงขึ้น
พอดีกับพายุเข้า น้ำก็ท่วมพอดี ถึงเวลานั้นก็จะได้ยินการสั่งการประมาณว่าได้สั่งการให้ไปบูรณาการการจัดการน้ำ พิจานณาการปล่อยน้ำจากเขื่อน
โดยไม่ให้มีผลกระทบพื้นที่ใต้เขื่อน หรือกระทบน้อยสุด พอออกมาแบบนี้คนปฎิบัติ จะทำอย่างไร นอกจากอั้นน้ำไว้ ไปลุ้นเอาดาบหน้าว่า ฝนจะน้อยลง
เขื่อนจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นโอกาสจะเกิดน้ำท่วมมากๆอีก ก็เป็นเรื่องเป็นไปได้
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 465

โพสต์

ไม่ขออธิบายต่อในเรื่องน้ำละกัน เพราะว่า เดี๋ยวรอดูผลละกันว่าเตือนแล้ว

ส่วนเรื่องอยากบอกคือ เรื่องของมาตรฐานในอดีต เช่น รถยนต์คันแรก ,กรุงเทพเมืองหนังสือโลก เป็นต้น เป็นเหตุการณ์ผิดเศษ แต่ทว่า มันคือ การดึงเอา Demand ในอนาคตมาเกิดในปัจจุบัน
อย่างเช่น กรุงเทพเมืองหนังสือ ในปี 2556-2557 นั้น ตอนนั้น ขึ้นรถประจำทาง มีหนังสือแขวนไว้ทีหลังเบาะแถวหน้า
แขวนไม่ใช่เล่มเดียวแต่ มาเป็น 2-5 เล่มอย่างน้อย
แต่หลังจากนั้น ทยอยหายไป จนปัจจุบันไม่มีแขวนให้อ่านแล้ว

ช่วงเวลานั้น เรียกได้ว่า ระดม โปรโมทชั่น จัดงานกันใหญ่ เพื่อรณรงค์คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น
จากเดิม 7 บรรทัด ตอนนี้น่าจะมากขึ้นแล้ว แต่กลับกลายเป็น โรงพิมพ์ ,นิตยสารห่างไปแทน

ตอนนั้นดึงกำลังซื้อออกมา แถมไม่พอ ก็เพิ่มกำลังการผลิต สิ่งตีพิมพ์ออกมา ขยายกันแบบ ทำกันทั้งวันทั้งคืน
หนังสือออกมาถี่มากๆในช่วงเวลานั้น เรียกได้ว่า ขนหนังสือกันออกมา มีสำนักพิมพ์เกิดใหม่กันมากในช่วงเวลานั้น
แต่ต่อมาก็ล้มหายตายจากไป

เมื่อไม่กี่วันนี้ พวกที่อ่านหนังสือการ์ตูนออนไลน์แบบถูกลิขสิทธิ์ ก็เริ่มมีเสียงบ่น พึมพลับ ว่า ราคาออนไลน์ถูกกว่าหนังสือจริงไม่เท่าไรแล้ว ราคาออนไลน์ ขายเป็นเล่มละ 70 บาท ของจริง 75 บาท (ยังไม่ได้ลดจากหน้าร้าน) แบบนี้ มันแสดงว่าอะไร
เริ่มกลับด้านจากก่อนหน้านี้หรือเปล่า ที่หนังสือกำลังจะหายไป มันไปอยู่ที่ออนไลน์แทน ซึ่งก็จริงแต่ทว่า
ทำไม Amezon ถึงต้องกลับไปเปิดร้านหนังสือจริงด้วยๆ ก็น่าคิด ว่ามันกลับด้านจากก่อนหน้านี้แล้ว
มันต้องมีเหตุการณ์อะไรบ้างอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้น

มหกรรมการลดราคาหนังสือเพื่อกระตุ้นตอนนี้เกิดบ่อยๆ ลดแบบล้างสต๊อกที่คงค้างตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
แบบว่าใส่ถุงผ้า ใส่ถุงพลาสติก ถุงละ 199-200 บาทไม่จำกัดจำนวนแต่ห้ามเกินปากถุง
หิ้วกันทีเต็มถุง มันก็เกิดอาการเคยชินของคนซื้อหนังสือว่า ไม่ซื้อวันนี้วันหน้าก็ต้องลดราคาลงเพื่อขาย
รอไปก่อนก็ได้ ซึ่งหนังสือบางเล่ม ก็จ้องมาหลายปี ก็เพิ่งได้ซื้อเพราะมหกรรมการลดราคาล้างสต๊ฮก นั้นเอง

ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ พฤติกรรมคนก็เปลี่ยนแปลง รอการลดราคา แบบนี้แหละ เป็นการกระตุ้นยอดแทน
ไม่มียอดก็ไม่มา

เคสต่อมา คือ ปิดเมืองปั่นจักรยาน อันนี้เรียกได้ว่ากระแสมา ปี 2558-2559 จนกระทั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มสร้างช่องทางเฉพาะจักรยานใหม่ ซึ่งตอนนั้น จักรยานราคาเป็นแสน (แพงกว่ารถยนต์ด้วย) ก็ออกมาอวดกัน
แต่ตอนนี้ตลาดนี้ก็เรียกว่าวาย แบบรุนแรง ร้านที่เปิดกันมาก ก็ทยอยปิด ร้านจักรยานทั้งมือหนึ่งและมือสอง ห่างไปมากพอควร
คนที่ขายก็ไม่กล้าเอาสินค้ามาขาย เพราะออกมาใหม่ทุกปี กำลังซื้อไม่กลับมา เรียกได้ว่า มหกรรมปิดถนนปั่นจักรยาน เอากำลังซื้อจักรยานไปหมด
อันนี้ต้องบอกก่อนว่า คนไทยไม่ชอบให้จักรยานปั่นบนถนน เพราะรถชนได้ง่ายๆ มีอุบัติเหตุได้ แต่ทว่า มองกลับกัน
ข่าวเรื่องของคนขับรถหัวร้อนก็มีให้ลงข่าวอยู่เนื่องๆ นั้นคืออะไร ไก่กับไข่ ซึ่ง รถยนต์นั้น เป็นสินค้า ที่ทำเงินมากกว่าจักรยาน
มองว่ารถยนต์ วิ่งได้เติมน้ำมัน คนขับคนนั้น ไม่ได้ออกกำลังกาย ก็ป่วยได้ (มีการศึกษาว่า ขับรถ 1 ชั่วโมงติดต่อกัน ก็ทำให้รอบเอวเพิ่มได้ 1 นิ้วในระยะ 1 ปีที่จับต่อเนื่องกัน) ยิ่งใช้รถก็อุปปกรณ์ภายในรถก็เสื่อมไปตามการใช้งาน ราคาก็ลดลง
แต่จักรยาน ก็ใช้มากก็ต้องซ่อม แล้ว ยิ่งใช้มากสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย มันคือการป้องกันโรคที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ลองคิดกลับด้านแล้วมันเห็นอะไรแปลกๆ ไหมละ

เคสทีก่ำลังเกิดตอนนี้คือ วิ่ง อันนี้รอกระแสซักระยะว่ายืนได้นานไหม เพราะว่า การวิ่ง ทดแทนด้วยกีฬาอื่นๆได้ จัดงานที่ก็ต้องปิดถนน ดังนั้นต้องขยายสวนสาธารณะเพิ่มเติม เพื่อให้คนออกกำลังกายประเภทนี้ แตกต่างกับจักรยาน คือต้องมีถนน หรือช่องทางให้ขับ ลงทุนไม่มากอะไร แต่กระแสมาต่อจากจักรยาน แต่ทว่า จำได้ว่า กระแสก็มาเป็นพักๆ แต่รอบนี้นานหน่อย
กันนี้ก็ต้องจับตาว่า หมดกระแสเมื่อไรเป็นอย่างไร

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 466

โพสต์

เรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับค่ายรถยนต์
ย้อนกลับปลายปี 2552 จากการทุบรถยนต์ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ที่ผู้หญิงท่านหนึ่งซื้อรถไปแล้ว
รถมีปัญหาซ่อมบ่อย ผู้หญิงท่านนี้จึงทุบรถยนต์โชว์ การทุบรถก็ฮิตกันพักใหญ่
แต่ในปี 2554 มีเหตุการณ์อันหนึ่งที่สำคัญคือ โครงการถยนต์คันแรก ทำให้ค่ายทุกค่ายต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
มีอยู่คายรถยนต์ค่ายหนึ่ง มีข่าวเรื่องรถยนต์มีปัญหาเรื่องเกียร์และคลัสที่ใช้งาน
มีการวมตัวของผู้ซื้อรถยนต์ไปเป็นหลักร้อย ในการให้ค่ายรถยนต์แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
เรียกร้องผ่าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามออกสื่อต่างๆ แต่ไม่มีความคืบหน้า จึงต้องตัดสินใจ พึ่งศาล
ในการระงับเหตุที่เกิดขึ้น จนกระทั่งศาลก็มีคำสั่งให้ ค่ายรถยนต์ชดใช้

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้น่าคิดว่า
1. คำว่าผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางมันจริงหรือในเมื่องไทย
2. กฏหมายไทย ก็เขียนไว้ชัดเจนว่า รถยนต์ต้องพร้อมใช้ แต่หากมีปัญหา จากโรงงานใครรับผิดชอบ
ในต่างประเทศ แค่ไม่กี่รายมีปัญหาเดียวกัน ก็ต้องเรียกรถยนต์มาซ่อมกันหมด แล้วในไทยละ
3. หน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยได้ จนทำให้เรื่องถึงศาล
นั้นคือสิ่งที่บอกว่า ถ้าไม่สามารถตกลงได้ ก็ไปสู้กันที่ศาล นั้นเอง จนกันที่ศาล นั้นเอง
4. สื่อของไทย ไม่กล้าที่ ลงเรื่องพวกนี้ ในหน้าสื่อหลักบาง มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
เรื่องอื่นๆลงได้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับรถยนต์ ลงน้อยมากๆ ผิดเหตุการณ์ทีเ่กิดขึ้นที่ต่างประเทศ

ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรก และครั้งต่อไปในอนาคต แต่ทว่า ทำให้ดีขึ้นอย่างไรหนอในเรื่องนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 467

โพสต์

ทำไม ต้องทำขาดดุลงบประมาณ
คำถามที่ระยะหลัง ที่เห็นรัฐบาลแต่ละประเทศทำงบประมาณขาดดุลนั้นมีเหตุผลในการดำเนินการ
การขาดทุนงบประมาณแสดงว่า รายรับของรัฐบาลที่ได้จาก ภาษี/การจัดเก็บอากร/ค่าธรรมเนี่ยมต่างๆ ต่ำกว่ารายจ่ายที่ต้องจ่ายของรัฐบาล
ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลมีทั้ง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน,เขื่อน,รถไฟ,รถไฟฟ้า .... /ดอกเบี้ยเงินกู้หรือเงินกู้ต่างประเทศ /เงินเดือนข้าราชการ ซึ่งเป็นรายการจ่ายประจำอยู่แล้ว
เมื่อรายได้ น้อยกว่ารายจ่าย หากเป็นบริษัททั่วไปก็ต้องกู้เงินหรือ ต้องเพิ่มเงินทุน แต่สำหรับรัฐบาลนั้น
ไม่มีการเพิ่มทุน มีแต่ขึ้นภาษีกับ กู้เงิน เท่านั้น
หากขึ้นภาษีก็ทำให้ ประชาชนเดือดร้อน และกระทบกับฐานเสียงได้
แต่หากกู้เงิน ก็ดูดเงินในระบบ แต่ทว่า ธปท ก็สามารถ สร้าเงินเพิ่มขึ้นในระบบทดแทนได้

ดังนั้นการกู้เงินก็คือการกระตุ้นทางอ้อม แต่ทว่าสิ่งนี้ถ้าทำมากเกินไปในแง่ของบริษัท ก็ทำให้ ดอกเบี้ยที่จ่ายเพิ่มขึ้นได้
จนกระทั่งเจ้าหนี้ไม่ให้กู้ จากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไปเป็นเงาตามตัว (ยิ่งกู้มากยิ่งเสียงมาก)
ดังนั้น การขาดดุลในเรื่องนี้ใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ดีที่สุด

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 468

โพสต์

GDP กับ Prompt pray
สมการของ GDP สำหรับเศรษฐกิจระบบเปิด คือ
GDP=C+I+G+(X-M)
C คือการบริโภคของประชาชน ถ้าหากประชาชนใช้จ่ายคล่องก็สามารถเพิ่ม GDP ได้
I คือการลงทุนของภาคเอกชน ก็ทำให้กลัวจากการโดน Disruption /ทำให้ Startup เกิดมากๆ
G คือการบริโภคของรัฐ รัฐการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วน,รถไฟฟ้าหลากหลายสี,รถไฟความเร็วสูง,รถไฟรางคู่ ,ถนนหนทางที่เป็นที่จอดรถ โดยรัฐทำงบประมาณขาดดุลนั้นเอง
(X-M) ก็ทำให้ส่งออกมันง่ายๆ ส่วนนำเข้าก็ทำให้มันยากหน่อย แคนั้นเอง

มาสังเคราะห์ C ว่า เมื่อโจทย์คือการทำให้ประชาชนใช้จ่ายคล่อง และเงินในบัญชีทำให้ไงให้มัน โอนไปมาคล่องคอ
นั้นคือ Prompt pray นั้นเอง

ยิ่งประชาชนไม่ได้จับเงินสด ก็ยิ่งไม่รู้สึกว่า ใช้จ่ายไปเท่าไรแล้ว มันเป็นเพียงตัวเลข ก็เหมือนครั้งหนึ่งที่ บัตรเครดิตเข้ามาในประเทศไทย รูดกันสนั่นเมือง รูดกันสบายใจ จนกระทั่งติดหนี้ติดสินกัน แบบว่าผ่อนขั้นต่ำเป็นลูกค้าชั้นดีของบัตรเครดิต
บริษัท บัตรก็ขยายวงเงินให้ เรื่อยๆ รูดจนลืมตัว ก็เหมือน prompt pray จ่ายออก รับเข้า จนลืมว่า เงินสดหมด งานก็เข้าต่อซิ เมื่อเงินสดต้องจ่ายค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าเล่าเรียนของลูก ค่ากินอยู่ ค่าคอนโด... เงินไม่พอก็กู้อีก (แต่งานวิจัยยังไม่มีใครทำงาน Prompt pray ใช้งานมากขึ้นแล้ว อัตราหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นไหม หรือลดลง มีอัตราการออมเพิ่มขึ้นไหม ก็น่าคิด
แต่ใช้สมมติฐานนี้ก่อนละกัน ใช้แบบเดียวกับบัตรเครดิต)
เมื่อเงินมันหมุนไวขึ้น ค่าต้นทุนทางการเงินลดลง (ทุ่มเงินไปกับระบบ IT ใช้กันจนเปลี่ยนเครื่องแล้วเปลี่ยนเครื่องอีก 20-30 ปีระบบนี้) ยิ่งใช้มากยิ่งค่า Transaction ที่เป็น ต้นทุนคงที่ก็ลดลง แต่ทว่า ลองคิดว่า มันลดลงได้ถึงแค่ไหน เพราะ มันลดลงได้ถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องเพิ่ม Capacity ของระบบ ถ้าเพิ่มไม่ได้ แล้วก็ล่ม (ต้นทุนต่อ Transaction เพิ่มขึ้นเอง)
เงินหมุนไวขึ้นก็ทำให้ ขายคล่องขายสบาย เงินหมุนไป ก็เพิ่มความร้อนแรงได้ จนเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

ตอนนี้โจทย์ต่อไปของ Prompt pray คือ การเพิ่มเพดานขั้นสูง ของการโอนเงิน ให้มากขึ้น
เพื่อให้เอกชน มาใช้งาน อันนี้ เมื่อเอกชนรายเล็กต้องการลดต้นทุนการโอน ก็ต้องหันมาใช้ แต่ทว่า
รายใหญ่ ต้นทุนทางการเงินมันต่ำอยู่แล้ว มาใช้หรือ มันมีความเสี่ยงเรื่องของระบบตรวจสอบอยู่ ก็น่าคิดว่า
ระบบหลังบ้านคือระบบตรวจสอบภายใน ทำงานได้หรือไม่ ต้องหาช่องให้ตรวจสอบว่าเงินมา เงินไป
ดูจากการเดินบัญชีอย่างไร หนอ แล้วผู้มีอำนาจไม่ได้ลงนาม มันได้หรือ กดอย่างเดียว ก็น่าคิด ในส่วนนี้

เมื่อ C ทำงาน ก็สามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ เติบโตโดยการลดทะลายกำแพง แต่ทว่า เงินสดก็ยังใช้งานอยู่ไม่ได้ทิ้งไป
เพราะเงินสดคือเส้นเลือดของกิจการ และของปุถุชน หาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่ทิ้งเค้าไว้เบื้องหลัง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 469

โพสต์

ทำไมคืนแวตที่7-11
ตอนนี้น่าจับตาเหตุการณ์สำคัญของกรมสรรพากรคือ การเลือกผู้ที่ทำรายการคืนภาษีให้แก่นักท่องเที่ยว โดยทางกรมไปเลือก 7-11 ชนะ ครั้งนี้ มีระยะเวลาทดลองเดินเครื่อง 6 เดือน ห้างสรรพสินค้า อกหักกันหมด
ทำไมเป็นเข่นนั้น
สิ่งแรก 7-11 เปิด 24x7 แต่การคืนภาษียังไม่รู้ว่า คืนได้ถึงกี่โมง
สิ่งที่ 2 จำนวนของ 7-11 ที่น่าจะขยายได้มากกว่าห้าง ทำให้ สัดวกต่อการเข้าถึง

สิ่งที่น่าคิดและฝากทางกรมหาการศึกษา(เรื่องใช้เงินงบประมาณ) คือ พฤติกรรมการซื้อสินค้า ซื้อแล้ว คืนเลย หรือ รวบรวมขอคืนที่เดียว

ข้อเสีย
แรกคือ เด็กในร้าน ทำได้ทุกอย่าง เป็น super man and super girl แทน ทำได้ทุกอย่าง
สอง คือ ทำได้เฉพาะสาขาที่มีพื้นที่ อยู่ในแหล่งช็อป ที่สำคัญ ตามหัวเมืองใหญ่
สาม คือ ระยะเวลา แค่ 6เดือนวัดผล

ลองคิดละกันว่า เข้า 7-11 เจอคนจีน แล้วคุณทำตัวเช่นไร
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 470

โพสต์

ถึงแม้นไม่หมดปี แต่เขียนไว้ก่อน
ปี 2018 ปีนี้ เรียกได้ว่า เกิดเหตุการณ์สำคัญคือ ทำ New high ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดทดแทนครั้นต้มยำกุ้งเสียที
แต่ทว่า ก็เกิด เหตุการณ์ปลายหางด้านซ้ายอยู่เนื่องๆ คือ ดัชนีลดลงแบบมากกว่า 1% เลยทีเดียว
ซึ่งมันคือเหตุการณ์ผิดปกติ ในรอบปีเลย เรียกได้ว่า อารมณ์ของคน มันโดนกระตุ้นอย่างมากมาย

สิ่งที่สังเกตเห็นในปีนี้คือ เหล่าหุ้นที่ดาว หุ้นนางฟ้า หุ้นนางสวรรค์ หุ้นดาวค้างฟ้าทั้งหลายที่ PE มากกว่า 50 เท่า หรือมากกว่า 100 เท่า ร่วงลงมากองกับพื้น ภายในระยะเวลาอันสั้นมากๆไม่กี่เดือน เรียกได้ว่าทดสอบจิตใจของนักลงทุนเลยทีเดียว
ความคิดของนักลงทุนเปลี่ยนไป เป็นโรคกลัวว่า บริษัทของตัวเองนั้นโดน Disrupt มากขึ้น ต้องทำให้เกิด Digital transfor มากขึ้น (digital transfor คือการปรับปรุงภายในตัวองค์กร โดยใช้ ดิจิตอล ไม่ใช่เกิดครั้งนี้ แต่มันเคยเกิดมาแล้ว ไล่ตั้งยุค Macro computer /micro computer /PC /Notebook จนถึงปัจจุบัน)
นักลงทุนมีความใจร้อนเพิ่มมากขึ้น มองอะไรมองสั้นลงเรื่อยๆ จนน่ากลัว เมื่อก่อนมองกันเป็นปี แต่ตอนนี้ของแค่ 3 เดือน หรือสั้นกว่านั้นคือรายวันเลย เรียกได้ว่า คนเข้าตลาดมาอยากรวย อยากเหมือนเหล่า.... แต่ทว่าจริงๆแล้ว มันต้องใช้เวลา
จำได้ว่า คนแถว TVI เคยบอกว่า คุณมีเงิน 99 ล้าน กับ คนที่มีเงิน 1 ล้าน ใครมีความสุขที่ได้เงิน 100 ล้านบาท แล้วใครต้องพยายามมากกว่ากัน ระหว่างคนที่มี 99 ล้านกับคนที่มี 1 ล้านบาท ละ
เบื้องหลังเราไม่รู้ว่า เค้าเริ่มต้นด้วยเงินเท่าไร ถ้าหากเค้าไม่บอกเรา
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนที่ออกจากตลาดหุ้น ไม่บอกคุณ
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมัยที่นั่งรถแท็กซี่บ่อยๆ นั้น ได้พูดคุยกับคนขับแท็กซี่ ซึ่งเป็นอดีตมนุษย์ทองคำ เลยว่า พี่ได้เงินมาง่าย
ใช้เงินก็ง่าย แต่สุดท้ายต้องมาขับแท็กซี่เพราะล่มสลายจากต้มยำกุ้ง ไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ เราเองก็ฟังแล้วเฉยๆ แต่เมื่อวันนี้ย้อนกลับไปวันนั้น ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ว่าวิกฤติมันวิ่งหาตัวเราเอง ขนาดเตรียมตัวดีแค่ไหน ก็โดน แต่เมื่อโดนแล้วอย่าตายเท่านั้น /อย่าออกจากตลาดเท่านั้น เอง (เหมือนธุรกิจขายตรงที่ ต้องประชุมบ่อยๆ ไม่ใช่ทำไปหลับไป เดี๋ยวโพล่ เดี๋ยวหลับ อะไรประมาณนี้)

ปีนี้หากย้อนกลับไปดู มันก็น่าแปลก หลายต่อหลายเรื่อง ดังนั้น ว่างๆ ก็หาเวลาให้กับตัวเองมานั่งคิดทบทวนสิ่งที่เราทำไปเสียบางแล้วมองเห็นว่า เวลานั้นเราทำไปเพราะอะไรหนอ เดี๋ยวก็รู้คำตอบ

เหนื่อยนักก็พัก แค่นั้น
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 471

โพสต์

ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐)
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/ ... T_0001.PDF
อันนี้มีทั้งหมด 6 ด้านด้วยกัน อ่านกันเอาเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 472

โพสต์

ดราม่าการบินที่สวิตเซอร์แลนด์
อันนี้อ่านข่าวมาสองสามวันที่เป็นเรื่องดราม่าของการบินไทยเกิดที่สวิตเซอร์แลนด์
ข่าวเริ่มออกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 โดยข่าวเริ่มจากลูกค้าสองท่าน ในเที่ยวบนิ TG971 สละที่นั่งชั้น First class (ชั้น1 ไม่ใช่ชั้นธุรกิจหรือชั้นประหยัด) ให้แก่นักบิน หลังจากข่าวนี้ออกมา ดราม่าก็เริ่มบังเกิดขึ้น ทันที
จุดนี้แหละที่สำคัญคือ ข้อมูลยังไม่มา มาแค่ ข่าวจากลูกค้าเท่านั้น ยังไม่มีข่าวว่าเครื่องบินที่ใช้งานในเส้นทางนี้คือ โบอิ้ง 777-200 นั้น เกิดปัญหาขึ้น ไม่สามารถนำเครื่องขึ้นบินได้ แก้ไขโดยการส่งเครื่องบิน 747-400 ไปแทน
อันนี้เป็นสิ่งที่ข่าวแรกไม่ได้เขียนไว้ว่า จุดเริ่มต้นมันเกิดจากเครื่องบินมีปัญหา
เมื่อเครื่องบินมีปัญหา นักบินที่ขับเครื่อง 777-200 นั้น สามารถขับ 747-400 ได้ไหม
คำตอบนี้ก็เกิดขึ้นมาในสมองหลังจากข้อมูลเพิ่มขึ้น เมื่อค้นหา นักบินต้องมีใบอนุญาตในการขับเครื่องบิน แต่ละรุ่น
มิใช่ ขับได้ตามอำเภอใจเหมือนได้ใบขับขี่รถยนต์ ที่ได้แล้ว ขับคันไหนก็ได้ แต่มันเป็นเครื่องบิน ซึ่งมีความซับซ้อนสูง
ดังนั้น เมื่อเครื่องบินมีปัญหาเป็นรุ่น 777-200 แต่ส่ง 747-400 ไป งานนี้ก็ต้องรับนักบิน 777-200 กลับด้วย
แต่ทว่าคำถามต่อมา แล้วนักบินไม่ยอมขึ้นบินเพราะ นักบินที่ส่งกลับมานั้นต้องการนั่งชั้น1 สามารถทำได้ไหม อันนี้เป็นคำถามจากข่าวแรก
อันนี้้ต้องไปหาข้อมูลใน Facebook ต่อ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของการบินไทยเอง ในเรื่องสิทธิของนักบินที่ได้นั่งชั้น 1 ซึ่งสอดคล้องกับ กฏการบิน ว่านักบินต้องพักผ่อนให้เพียงพอ จึงสามารถขับเครื่องบินได้ (การขับเครื่องบิน ถือว่า ชีวิตคนที่นั่งไปด้วยอยู่ที่เค้า ลองไปดูข่าวและ หนัง Sully - Miracle on The Hudson เป็นเหตุการณ์ที่เครื่องบินขึ้นจากสนามบินแล้วชนกับฝูงนก ทำให้เครื่องยนต์ดับหมด นักบินต้องตัดสินใจว่า เอาเครื่องกลับสนามบิน แต่ทว่า มันทำไม่ได้ต้องร่อนลงกลางแม่น้ำแทน นักบินโดยสอบสวน ว่าร่อนลงแม่น้ำอันตรายกว่า กลับสนามบินแต่สรุปคือ นักบินทำถูก ชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารมาก่อน)

ข้อมูลเพิ่มเติม อีกแหล่ง มีข่าวว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่นั่งจากชั้นธุรกิจเป็นชั้น 1 ในเที่ยวบินที่มีปัญหา ก่อนหน้า
อันนี้สามารถทำได้ แต่ทว่า หน้างานก็ต้องจัดการตาม ขนาดของเครื่องบินที่เปลี่ยนแปลงให้ได้ จุดนี้ก็น่าสำคัญว่า
สุดท้ายระบบการจัดการของการบินไทย ว่าการเปลี่ยนรุ่นของเครื่องบินแล้วที่นั่งไม่เพียงพอทำอย่างไร ไม่มีข่าวออกมาในจุดนี้

้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อมาคือ มีข่าวออกมาเมื่อเร็วๆนี้ ในเดือนกันยายน 2561 ว่า การบินไทยซื้อเครื่องบินเพิ่มเติม ซึ่งมีรุ่น 777-200 ในรายชื่อเครื่องบินที่กำลังซื้อด้วย

ตอนนี้ข่าวนี้กระแสและแพร่หลายไป ทำให้ระดับ CEO (การบินไทยเรียกว่า DD) ลงมาสั่งสอบเอง
คาดว่าไม่มีอะไรในกอไพ่คือทุกท่านทำตามหน้าที่
แต่มีข้อมูลว่า DD ท่านนี้ต้องแสดงผลงาน ลดการขาดทุนขององค์กร หรือพูดๆง่ายๆแสดงผลงานให้ออกมาเป็นที่ประจักษ์
นั้นเอง

ดังนั้น จบด้วยดราม่านี้คือ โดยไม่มีผู้ใดทำงานบกพร่องต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จากลูกค้าที่ร้องเรียนเพียงสองท่านเท่านั้น
โดยที่กระแสที่สร้างมาจากการขาดข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจ โดยที่นักข่าวไม่ได้ให้ข้อมูลครบถ้วนรอบด้านและเพียงพอนั้นเอง
แต่สิ่งหนึ่งคือ จับตาว่า เครื่องบินที่ได้ซื้อคือ รุ่น 777-200 หรือไม่ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน ทำไมไม่เอา 380 แทนเลยละ
ก็น่าคิดน่า
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 473

โพสต์

การสะสมอาวุธ
ในอดีตอันใกล้ที่สุด ในช่วงสงครามเย็นนั้นมีการสะสมอาวุธครั้นสำคัญของโลกคือการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ของทั้ง US และ USSR
แต่ไม่ได้เกิดสงครามใหญ่เกิดขึ้นโดยตรงแต่เกิดสงครามตัวแทน ที่สำคัญคือ สงครามเกาหลี ,สงครามเวียดนาม ,สงครามอัฟกานิสถาน และมีวิกฤติ คิวบา เกิดขึ้นในช่วงนี้ และมีการตกต่ำทางเศรษฐกิจของ US คือ ยกเว้นแบรนตัน วุ๊ด คือไม่ยึดติดดอลล่าร์กับทองคำไว้อย่างคงที่ โดยเกิดหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบ เหตุการณ์นี้อยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม ที่US ลงทุน ลงแรงในการต่อต้านลักธิสังคมนิยม (คอมมูนิสต์) นั้นเอง

ถ้ามองย้อนกลับไปต้น 1900's-1920's นั้น มีการสะสมอาวุธในรูปแบบของเรือ โดยจำกัดขนาดบรรทุกของเรือไว้
ซึ่งช่วงนั้นมีหลายประเทศที่มีกำลังการรบทางเรือที่สำคัญ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส ปรัสเซีย รัซเซีย ญี่ปุ่น จีน
อันนี้เป็นการสะสมกำลังครั้นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง มีการรบประปราย แต่ไม่ขึ้นขั้นสงครามใหญ่
แต่สุดท้ายคือ สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 นั้นเอง

ในปัจจุบันนี้ เท่าที่ดู แต่ละประเทศเริ่มสร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน /เรือบรรทุกฮ.
โดยประเทศที่มีเรือเหล่านี้ มี ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้ ,จีน,ตุรกี ,อินเดีย (กำลังสุ่มเตรียมตัวสร้างเรื่องบรรทุกเครื่องบินโดยใช้นิวเคลียสลำแรกของประเทศ สร้างโดยอินเดีย),ไทย ,ออสเตรเลีย ,อิตาลี,สเปน ,ฝรั่งเศส ,อังกฤษ(เพิ่งได้รับเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นใหม่ ึ่งไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินประจำการซักพักในช่วงปลาย 2000s และต้นถึงกลาง 2010s),รัสเซีย ,US ,บราซิล,อียิปต์ (ได้เรือบรรทุก ฮ สองลำผลิตโดยฝรั่งเศส แต่ไม่สามารถส่งมอบให้รัสเซียได้ เลยขายให้อียิปต์) ที่มีครอบครอง เรือเหล่านี้อยู่
ที่สำคัญคือ ขนาดของเรือบรรทุกเครื่องบินหรือเรือบรรทุกฮ. นั้น
ลำเล็กสุดคือ เป็นของไทย (จากเรือกบรรทุกเครื่องบิน เป็นเรื่อบรรทุกฮ แทน)
ส่วนลำใหญ่ที่สุดคือ ของ US ขนาด 100,000 ตัน เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน และ US มีจำนวน เรือทั้งสองประเภทนี้มากที่สุด
แต่ที่น่าจับตาในประเทศที่บอกข้างต้นคือ ตุรกี ที่สร้างเรือบรรทุกฮ. สร้างในฝรั่งเศสเป็นรุ่นเดียวที่อียิปต์ซื้อแทน รัสเซียนั้นเอง

ไม่เพียงแค่เรือบรรทุกเครื่องบิน เท่านั้นเร็วๆนี้ US ได้เปิดตัว ปืนเลเซอร์ประจำเรือ USS Paul F Foster (DD-964) ,old Spruance (DD-963) , USS Portland (LPD-27) มีกำลังของแสงอยู่ที่ 100kW ถึง 150kW

ดังนั้นต้องติดตามว่า การสะสมอาวุธครั้นนี้จะมีสงครามครั้งใหม่เกิดขึ้นหรือไม่
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 474

โพสต์

ความเสี่ยงที่ลืมหายไป
ตอนปี 2540 ช่วงนั้น ใครที่ลงทุนพบพานฝันร้ายคือ หุ้นตก ลงไปกองกับพื้น เรียกได้ว่า วิฤกติต้มยำกุ้งมีแต่หุ้นราคาถูก
หรือบริษัทที่มีปัญหา บริษัทที่ดีราคาหุ้นก็ลดลง เมื่อ ผ่านพ้นวิกฤติไปแล้ว นักลงทุนก็ยังไม่กลับมาซื้อขาย ตลาดซบเซา
นักลงทุน มองว่า ลงทุนมีความเสี่ยงอย่างมาก ลงทุนไปแล้วต้องมีผลตอบแทนที่ดีมากๆ ในเวลานั้นคือ PE น้อยกว่า 10 เท่า หรือ 10 เท่า เต็มตลาดไปหมด
เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดพุ่งขึ้นมากจนกระทั่ง Cash ในปี 2008 ก็เริ่มมีความกลัวเกิดขึ้นเหมือนปี 1997 อีกครั้ง
แต่ทว่ารอบนี้ วิกฤติ มันเกิดที่ US เป็นที่ระบบการเงินแต่ระบบผลิตไม่กระทบกระเทือน ข้าวของยังส่งออกขายได้ดี
มันเลยกลับมาได้ คราวนี้ US ปั้มเงินออกมา ก็เหมือนเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินโลก นักลงทุนก็มองว่า
เงินได้มาฟรีๆ เงินต้องไหลไปที่ผลตอบแทนสูง ดังนั้น หุ้นของบริษัทต่างๆก็ขึ้นเอาขึ้นเอา นักลงทุนไม่มองเรื่องความเสี่ยง
มองว่า ไม่ลงทุนไม่ได้แล้ว คนรอบข้างรวยจากการลงทุน พื้นฐานไม่สนใจ ความเสี่ยงเอาไว้ก่อน ลงทุนตัวไหนก็ได้กำไร ไม่ต้องไปศึกษาพื้นฐานแล้ว
นั้นคืออะไร นักลงทุนไม่สนใจความเสี่ยง สนใจแต่ผลตอบแทนเท่านั้น PE50 ,PE100 หรือ ไม่มี PE ลงไปก็ได้กำไร
เมื่อนักลงทุนเริ่มเรื่องความเสี่ยงไป คราวนี้แหละ มันก็กลับมา
ความเสี่ยงในที่นี้ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ มันมีขึ้นก็มีลดลง ตามธรรมชาติ ดังนั้น
เมื่อไม่สนใจความเสี่ยงคือ ไม่สนใจว่าราคาหลักทรัพย์ลดลง มันก็เลยส่งผลทำให้ ขาดทุน

ในหลักการลงทุนที่สอนในห้องเรียน บทเรียนแรกๆที่สอนคือ Risk และ Return
เสี่ยงสูง ก็ยอมต้องการผลตอบแทนสูง
เสี่ยงต่ำ ก็ยอมต้องการผลตอบแทนต่ำ
แต่ VI ต้องการ สภาพที่ผิดปกติคือ เสี่ยงต่ำได้ผลตอบแทนสูง
ซึ่งกลับกลายเป็น ตอนนี้นักลงทุนเจอะเจอคือ เสี่ยงสูง แต่ผลตอบแทนต่ำแทน

ปล
รอดูเงินไหลเข้า มีเคสลงทุนของบริษัทต่างชาติในประเทศ ต้องจำตาหน่อยว่าเงินไปพักที่ไหน
รอบบ้านค่าเงินลดลง กว่าค่าเงินบาท ปีหน้าต้องระวังเรื่องการส่งออกว่าเข้าเป้าหรือเปล่า
ส่วนมาตรการของ ธปท นั้น มองได้สองแบบคือ ระยะสั้นเร่งการซื้อบ้าน แต่ระยะยาว อาจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1997 ที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง (ครั้งแรกที่น่าจะลดลงคือปี 2554 ที่น้ำท่วมแต่ ราคาประเมินที่ประกาศปี 2555 ไม่ให้ลดลง นั้นคือการเผยเฉยต่อ ความเสี่ยงอีกเหมือนกัน)
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 475

โพสต์

ตัวไหนอยู่หน้าแรก คือรับของ
บอกไว้แค่นี้จบ
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 476

โพสต์

น่าเสียดาย Money channel
Money Channel เป็นช่องที่เรียกได้ว่า มีกลุ่มที่เฉพาะเจาะจง มีแฟนประจำของตัวเอง ประจำช่อง
เป็นช่องที่ให้ความรู้ แก่นักลงทุน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ ไม่มีใครให้ความรู้ผ่านทางโทรทัศน์แบบทั้งวัน
มีแต่ทำรายการแบบเป็นช่วงๆเวลา เฉพาะกิจเท่านั้น
มุมมองที่ไม่แพร่กระจายให้วงกว้าง เป็นเพราะว่า
1. ผู้เล่นในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันยังน้อยกว่าประเทศอื่นๆ
มันเป็นตัววัดผลที่สำคัญในการเดินก้าวต่อไป
2. มุมมองที่ คนเราไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง ต้องมีคนช่วยเหลือ
อันนี้ รวมไปถึงเรื่องของเวลา นั้นเอง
3. ป้องกันการปั่นกระแสหุ้น ในอนาคต

แต่ทว่า เมื่อความรู้ ของการลงทุนมีช่องทางอื่นๆ แล้วไซร้ คำถามต่อมาคือ หน่วยงานกำกับดูแล ก้าวตามทันหรือเปล่า
และข้อมูลข่าวสาร นั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ในช่องทางเหล่านั้น ก็น่าคิดอยู่

Moeny Channel นั้นเหมือน มีป้ายของ SET การันตีอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น ก้าวย่างทุกก้าวของ Money Channel ก็มีกลิ่นอายของ SET อยู่ด้วย

น่าเสียดายมากๆ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 477

โพสต์

ปรากฏการณ์ คนต่อคิว ตู้ ATM ของ ธนาคารกรุงไทย ถอนเงินจากบัตรประชารัฐ 500 บาท

ปรากฏการณ์ที่คนต่อคิวหน้าตู้ ATM นั้น ต้องถามครั้งสุดท้ายเมื่อไร ที่ทุกคนพร้อมเพียงกันต่อคิว หน้าตู้กดเงินสด
แต่ในปี 2561 ที่ภาคการเงินโหมกระหน่ำ ชูธง เรื่อง สังคมไร้เงินสด ที่โอนเงินผ่าน Prompt pray /QR Code ต่างๆนานา
โหมทำการตลาดกัน ดึงคนใช้งานกัน แต่ทว่า ปรากฏการณ์ โอนเงิน 500 บาท เข้าสู่บัตรประชารัฐ ให้แก่ผู้ถือบัตร
ในช่วงระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม 2561 นั้นทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญคือ
ประชาชนมาต่อคิวที่หน้าตู้กดเงินสดของธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่เช้ายันค่ำ จนกระทั่ง ตู้กดเงินสด ขึ้นคำว่า Out of Service
นั้นคืออะไร คือเงินหมดตู้กดเงินสดเลยทีเดียว ไม่ใช่คนต่อคิวกันแค่น้อยๆ เป็นหลักสิบคน ด้วยซิ

ภาพมันขัดแย้งกับต้นปี ที่โหมกระหน่ำเรื่อง สังคมไร้เงินสด โดนสิ้นเชิง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าประชาชนโดยส่วนยังไม่พร้อมที่ เดินหน้าไปยังปลายทาง สังคมไร้เงินสด
ต้องใช้ระยะเวลาซักพักใหญ่ๆคือ อาจจะเป็น หนึ่งช่วงอายุคนหรือมากกว่านั้นก็เป็นไปได้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สุดท้ายประชาชนก็ใช้เงินสด มิใช่ เงินอิเล็กทรอนิกส์
สังเกตต่อมา คนที่ยืนต่อคิวนั้น อายุมากกว่า 40 ปีทั้งนั้น มีตั้งแต่ วินเมอร์ไซด์ แม่บ้าน พ่อบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ ...
แบบว่ากดเงินที่ต้องมีคนอธิบายว่า ใช้เครื่องกดเงินสดเลยทีเดียว ขั้นตอนการกดเงินทำอย่างไรบาง กดผิดก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ
ต้องอธิบายกันนานสองนาน

สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่สะท้อนได้ถึงความพร้อมในการใช้งานเทคโนโลยีด้วย เมื่อเทคโนโลยีพร้อมแต่ ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพของมัน หรือไ่ม่เข้าใจว่ามันทำงานเช่นไร

"คนไทยไม่ทิ้งกัน "
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 478

โพสต์

ช่วงนี้กิจการอะไรกำลังรุ่ง -> กิจการเกี่ยวกับถุงผ้า
ตั้งแต่ แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลเหนือได้ปิดตัวลงไป มาตรการเกี่ยวกับการใช้น้ำมันของชาติตะวันตก โดยเฉพาะยุโรปเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เน้นเรื่องรถใช้น้ำมันเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า ,ลดการใช้ถุงพลาสติกลง เป็นต้นนั้น
มีเบื้องหลังมาจากสิ่งใหญ่คือ
1. โลกร้อน
2. อนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์น้ำน้อยใหญ่ตายจากถุงพลาสติก
3. ราคาเชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้า

ในประเทศไทยก็เริ่มมีการรณรงค์มาเป็นช่วงๆ เริ่มตั้งแต่การใช้โฟมใส่อาหารเปลี่ยนแปลงมาเป็นใช้สารที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
อันนี้เริ่มมาสองสามปีแล้ว แต่โฟมก็เห็นขายตามตลาดอยู่ แต่มีที่เป็นโฟมธรรมชาติต้องจ่ายแพงหน่อยละกัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร
ตามมาด้วยช่วงนี้กระแสเรื่องการลดถุงพลาสติก ตอนแรกก็ 1 วันต่อเดือนเป็นสองวันต่อเดือน ตอนนี้เริ่มเป็น อาทิตย์ละครั้ง ในจำนวน Super market หรือ ร้านสะดวกซื้อ (สำหรับร้านสะดวกซื้อถุงพลาสติก 1 ใบ มีมูลค่า 0.20 บาท เข้าการกุศล ทำให้เกิดแรงจูงใจให้คนทำดี) ไม่เพียงแค่นั้น โรงพยาบาลภาครัฐก็บังคับญาติ/ผู้ป่วย นำถุงผ้ามาใส่ยากลับบ้าน จากเดิมใส่ถุงพลาสติก ใครไม่นำมาก็บริจาค 20 บาทได้ถุงผ้าสวยๆ จากมูลนิธิของโรงพยาบาล เริ่มจากโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร ก่อนแล้วค่อยขยายไปตามโรงพยาบาลอื่นๆ

ตอนนี้เรียกได้ว่าถุงผ้ามาแรง แซงโค้งแต่ อาการนี้ได้นานหรือเปล่า น่าสงสัย เพราะคำว่าสะดวกในการจับจ่ายสินค้า ต้องมาก่อน
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 479

โพสต์

เรื่องเล็กที่มองข้ามไหกับ Mobile banking และ Prompt pray
Prompt pray เงื่อนไขการใช้งานที่เป็น Cashless คือเบอร์โทรศัพท์ ,บัตรประชาชน ของเจ้าของบัญชีธนาคาร
แต่ดันมีธนาคารที่เล่นเอา อีมี่ ล็อคไว้ด้วย เปลี่ยนมือถือทำธุรกรรมไม่ได้
อันนี้ต้องสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ธปท กับ กสทช ว่า เงื่อนไข ข้างต้นที่เป่าประกาศให้ประชาชนรับรู้นั้น
มีเพียงเบอร์โทรศัพท์และบัตรประชาชนเท่านั้นไม่ได้นับรวม อีมี่ของเครื่องไว้ด้วย
แต่ธนาคารทำเกิน เก็บข้อมูลเกินกว่าที่กำหนด ไว้
ธนาคารอ้างว่า ต้องกดยินยอมก่อน แล้ว มีให้อ่านไหมว่า Mobile application ของธนาคารที่ใช้งานนั้น
ต้องการอะไรบ้าง เปิดบัญชีก็มีเอกสารให้ลงนามว่าเปิดเผยหรือไม่เปิดเผย ยังมีทางเลือกแต่เนี่ยไม่มีทางเลือก
แล้วจุดประสงค์คือการเก็บอีมี่เพื่ออะไร งานนี้การเปลี่ยนคือ โทรศัพท์ไป Call center ของธนาคาร หรือไม่ก็เปลี่ยนหน้าตู้ ATM
หรือ เข้าสาขา
คำถามก็เกิดว่า ATM ก็มีโฆษณาว่า โดนยก ไม่ใช้แล้ว
สาขาก็ออกข่าวว่าลดจำนวนลง แล้วไปใช้งานทั้งสองอย่างทำไม
ส่วน CALL Center บางธนาคารก็บอกว่าให้เดินไปที่สาขาสะดวกที่สุด แต่พนักงานสาขาก็ตอกหน้ากลับว่า Call center ทำได้แต่ไม่อยากทำ อ้าวแบบนี้ มันหมายความว่าอย่างไร มันเป็นภาพที่ ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

ขอให้หน่วยงานทั้งสองคื กสทช และ ธปท ดำเนินการเรื่องดังกล่าว อย่างรัดกุมเพราะว่า ข้อมูล อีมี่มันใช้ประโยชน์ได้อีกหลากหลาย
ทำไมไม่ใช่งานเป็น E-mail หรือ OLTP ส่วนมาทางอื่นๆ เช่น SMS หรือ Application หรือ E-mail แทนในการยืนยันตัวเอง
หรือยืนยันแบบว่า กดที่หน้าจอมือถือว่า เป็นตัวท่านเอง
แบบหลังมีน่า เช่นของ Yahoo ที่เข้าใช้งาน E-mail หากเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ต้องให้มือถือ ยืนยันว่า เข้าใช้งานจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ประยุกต์ใช้หน่อย ก็ได้ ไม่ต้องนั่งล็อก อีมี่ให้เสียเวลา ในการปลดล็อก

ที่ต้องเอาอีมี่ เพราะว่า เปลี่ยนเครื่องบ่อย หรือเปล่า หนีไปใช้ค่ายอื่นหรือเปล่าหนอ
มือถือ ในงานวิจัย ประมาณ 2 ปีก็เปลี่ยนทีกันแล้วในปัจจุบัน

ที่บอกเป็นกำแพงการนำไปสู่ Cashless ดันกันจัง แต่ทว่า มีแง่มุมที่ลงลึกแล้ว ก็พบว่า ปัญหาการใช้งานมันเป็นเรื่องแบบว่า
ไม่ควรเกิดขึ้น
Web application ของธนาคารยังไม่รัดกุมขนาดนี้

บางบัตรเครดิต ส่ง OLTP มาทาง Application เพื่อเอาไปป้อนก็มี
งานนี้ต้องรอดูว่า แก้ไขหรือไม่

ปล.
ค่ายเขียวเปลี่ยนแปลงหัวเรือ นำเอาคนเชี่ยวชาญ หรือ เรื่องว่า God Father ด้าน thailand startup ไปเป็นหัวเรือนั้น
ต้องรอดูว่า ขับเคลื่อนเช่นไร เพราะ ธนาคาร ต้องชัวร์ มั่วนิ่มไม่ได้ เป็นเรื่องเงินๆทองๆ ภาพใหญ่ต้องมากก่อน
Startup เร็วรับการเปลี่ยนแปลงให้ทัน เล็กนั้นสวยงาม ขับเคลื่อนตาม mission
เรียกได้ว่า สองขั้วมาเจอกัน หยินกับหยางมาเจอกัน ปะทะกัน
งานนี้ทำให้นึกถึงตอนที่ ค่ายเขียวประกาศเรื่อง รีเอ็น ... เมื่อยี่สิบกว่าปี แถวๆต้มยำกุ้งเลย
รอดูละกัน ว่า เป็นเช่นไร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 480

โพสต์

สรุปปี 2018 ให้คำสั้นๆง่ายๆว่าเป็นปีแห่ง Marketing จริงๆ
ทำไมเป็นปีแห่ง Marketing คือ
1. ดันเรื่อง Prompt pray อันนี้ เดิมพันสูงคือ 50,000 ล้านบาทในการย้ายเงินสด,นับ,ขนเงิน
ถ้าลดค่า Transaction ลงได้ เงินก็หมุนได้มากขึ้น แต่ทว่า marketing เอาเรื่องของจีนที่เป็นสังคมไร้เงินสด
สร้างกระแสกันแบบเรียกได้ว่า ไปไหนต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่สุดท้ายคือ สิ้นปีก็ใช้เงินสด
ธปท ให้ ธนาคารสำรองเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 10% เอาซิ เป็นแบบนี้แล้วคืออะไร
2. ดันเรื่อง Net ชายขอบ ต้นปี 2018 ออกมาเรื่อง Net ชายขอบให้ใช้งานกัน แต่ทว่าสุดท้าย
ก็ปรับเพราะส่งงานล่าช้า อันนี้ เรียกได้ว่า วาดฝันสวยงามแต่ทว่า สุดท้ายคือ ไปไม่ถึง ล่าช้า โดนปรับกัน
3. เรื่องที่ดีใช่ว่าไม่มี คือ การยกเลิกสำเนาบัตรประชาชนสำหรับหน่วยงานรัฐ แต่ธนาคารยังไม่ยกเลิก ต้องทำสำเนา อยู่
ถึงแม้นว่า เอาบัตรเสียบ เพื่อเปิดบัญชีแล้วก็ตาม อันนี้รอกันต่อไป ว่าเป็นเช่นไร ใช้อะไร เดี๋ยวปี 2019 ก็รู้ว่าทำอย่างไร
4. อันนี้ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี คือ แจกเงิน 500 บาท ให้กับผู้ถือสวัสดิการแห่งรัฐ จนประชาชนมาเข้าคิวหน้าตู้ ATM ของธนาคารสีท้องฟ้า แบบกดเงินจนเงินหมดตู้เลยทีเดียว
มีแต่คนสรรเสริญว่า คนวิ่งจากใต้สุดไปเหนือสุด บอกไม่มีงบ แต่แจกเงิน 500 บาทมีงบได้ ฮาละงานนี้
แต่มองในอีกด้านคือ เมื่ออัดเงินใส่กระเป๋าแบบนี้เหมือนตอนที่ ประกันสังคม ออกคูปอง 2,000 บาท ให้กับผู้ประกันตนที่มีมีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท และเป็นผู้ประกันตน ตอนนั้นก็ทำให้เศรษฐกิจไม่แย่ลงไปมากนัก
เรื่องนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละท่านละกัน
5. โฆษณายกตู้ ปัจจัย (ตู้เอทีเอ็ม) สุดท้าย ก็ไม่เอาเครื่องฝากเงินมาตั้งแทน มันก็ไม่ตัดขาดจากเครื่องอัตโนมัติได้หรือเปล่าเนี่ย
เน้นไปที่ ข้อ 1 แต่สุดท้ายก็ต้องใช้งานอยู่ดี ฮาอีกเช่นกัน
อีกเรื่องคือ ลดสาขา แต่เมื่อโทรไป call center อะไรๆก็ไปทำที่หน้าตู้เอทีเอ็มหรือเข้าสาขาในการจัดการทั้งหมด ฮารอบสอง
อันนี้ถ้ามองคือ เมื่อคนอายุมากขึ้น ก็ค่าใช้จ่ายบุคคลากรเพิ่มขึ้น ถ้าลดค่าใช้จ่าย สิ่งที่ทำกันประจำคือ
ลดพนักงานเดี๋ยวค่าใช้จ่ายมันลดลงเอง แล้วองค์กรก็รับคนใหม่ ทำได้มากกว่าคนเดิมที่อยู่ แถมได้ สิ่งที่ใหม่แถมมาด้วย
แค่นี้เอง แต่ดันไปโฆษณาเรื่องอื่นๆ เป็นวาระซ่อนเร้น
6. อันนี้เรียกได้ว่ากระแส Startup /disruption แบบว่า
ในมุมมองส่วนตัวคือ ตามกฏ 80/20 คือ รอดได้แค่ 20 จาก 100 ก็เก่งแล้ว
พี่แกแม้นเล่นเอาระดับโลกมา คือ FB ,Apple ,UBER ..... ยกเคสโกดัก มาอีกเป็นขบวน
สุดท้ายคือ ขายของคือ เทคโนโลยี่ ซึ่งหากมองไปลึกๆ แล้ว รัฐธรรมนูญเพิ่งประกาศใช้ในปี 2560 ทำให้เลิก แซงชั่น
ขายสินค้าทางด้านไอทีได้ ดังนั้นก็ต้องยกเรื่องพวกนี้มาซิ ก็เลยตั้งสร้างกระแสขึ้นมา ของไอทีก็ขายได้นั้นเอง

สุดท้ายคือเรื่องของยกเลิกสมุดเงินฝาก อันนี้ต้องบอกว่า แก้ไขกฏหมายกันยาว เหมือนเรื่องอื่นๆที่ออกมา ถ้าไม่แก้ไขกฏหมาย ก็คือยากที่เกิดขึ้น แต่เบื้องหลังคือการขายของอีกเช่นกัน ระบบจัดการไอทีในเรื่องของสมุดเงินฝาก ทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านกระดาษ ,พนักงาน และ ....... อีกเช่นเดิม

ทั้งหมดคือ เรื่องของการตลาดทั้งนั้น กระแสการตลาดมันแรงจริงๆ สำหรับปี 2018 และต่อเนื่องในปี 2019 เช่นกัน
กระแสแบบนี้ก็ยังเกิดขึ้น ต้องมองกันดีๆละกัน
:)
:)