VI หาดใหญ่
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3031
เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก: หนึ่งในอาชีพที่เสี่ยง คือ คนทำงาน Call Center ต่อไป มีโอกาสตกงานสูงมากเช่นกันครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3033
Property Fund & REITs & Infrafund Series
EP9 TREIT
วันนี้เป็นวันเริ่มเทรดวันแรกของ REIT ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ TREIT ซึ่งมีการแปลง property fund 3 กอง
คือ TFUND, TLOGIS, TGROWTH รวมกับ TREIT
เปิดเทรดวันแรกวันที่ 28 ธค 17 หลังรวมกองที่ราคา 10.40 บาท เพิ่มจากวันก่อนหน้า 0.60 บาท
มาดูประวัติของกองTREITเริ่มแรกกันครับ
TREIT ลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) และสิทธิการเช่า (Leasehold) ในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารคลังสินค้า จำนวน 24 หลัง 71ยูนิต
โดยมีTicon ขายพื้นที่พร้อมอาคารคลังสินค้าให้ TREITมีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 292,755 ตารางเมตร และอาคารโรงงาน จำนวน 27 หลัง 27 ยูนิต มีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 75,900 ตารางเมตร คิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 51 หลัง หรือ 98 ยูนิต พื้นที่อาคารรวมทั้งสิ้นประมาณ 368,655 ตารางเมตร บนที่ดินที่มีเนื้อที่รวมประมาณ 502 ไร่ 4 งาน 71.5 ตารางวา
จดทะเบียนเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558 จำนวน 566,800,000 หน่วยลงทุน
Property fund ภายใต้ Ticon ทั้งสามกอง คือ TFUND, TLOGIS, TGROWTH ไม่สามารถขยายขนาดกองทุนแล้ว
หลังจากมีทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT ) เกิดขึ้น พอดีช่วงก่อน ธค 2560 ถ้ามีการแปลงสภาพจาก
Property fund เป็น REIT ได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้นจึงได้ให้ บล ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการแปลงทั้งสามกอง
รวมกับTREIT ซึ่งมีTime lineที่แน่นอน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะถ้าเวลาคลาดเคลื่อนจะเสร็จไม่ทันสิ้นปีนี้
ในที่สุด ก็สามารถรวมกองทุนเสร็จทัน และ สามารถมาเทรดใหม่ ด้วยมูลค่าของกองทุน 32,000 ล้านบาท
ถือเป็น กองทรัสต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประกอบไปด้วย Freehold 69% และ Lease hold 31%
โดยสิทธิการเช่าของLease hold คงเหลือ 26 ปี
พื้นที่ให้เช่าทั้งส่วนของคลังสินค้า จำนวน 192 ยูนิต และ อาคารโรงงาน 300 ยูนิต โดยมีทรัพย์สินตั้งอยู่ในพื้นที่ของ
EEC กว่า 1 ล้านตารางเมตร โดยมีผู้เช่าทั้งบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติในหลากหลายธุรกิจ
นโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่น้อยกว่า 2 ครั้งต่อปี ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิ
จุดเด่นของ TREIT
1. กระจายพื้นที่ให้เช่าของTREIT ทั้งคลังสินค้าและโรงงาน ไปใน7จังหวัด ถือเป็น Diversified สินทรัพย์
และ ผู้ลงทุนมีความมั่นใจในโครงการมากขึ้น
2. Freehold สูงถึง 69% และ Lease hold มีอายุนานถึง 26 ปี
3. กองทุนได้รับการจัดลำดับอยู่ใน Investment grade ทำให้สามารถกู้ยืมเงินได้ถึง 60% ของทรัพย์สิน
4. มีโอกาสขยายกองทุน โดยทำสัญญาจะซื้อสินทรัพย์เพิ่มจากไทคอนอีก 3,500 ล้านบาท และมีโอกาส
จะซื้อทรัพย์สินจากผู้ประกอบการรายอื่นในอนาคตด้วย
สรุป หลังจากรวมกองทุนทั้งสี่เข้าด้วยกัน สัดส่วนของFreeholdในกองTFUND ลดลง แต่TREITก็ยังมีสัดส่วนสูงถึง 69%
มีโอกาสขยายกองทุนโดยซื้อจากไทคอน และ บริษัทอื่น โดยอาจไม่ต้องเพิ่มทุน แต่สามารถกู้ยืมเงินแทน
มีคลังสินค้าและโรงงานในเขต EEC 1.09 ล้านตารางเมตร ที่รองรับต่างชาติมาเช่าเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอนาคต
นักลงทุนสามารถติดตามผลการดำเนินงาน แล้วจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการลงทุนของแต่ละท่าน
EP9 TREIT
วันนี้เป็นวันเริ่มเทรดวันแรกของ REIT ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ TREIT ซึ่งมีการแปลง property fund 3 กอง
คือ TFUND, TLOGIS, TGROWTH รวมกับ TREIT
เปิดเทรดวันแรกวันที่ 28 ธค 17 หลังรวมกองที่ราคา 10.40 บาท เพิ่มจากวันก่อนหน้า 0.60 บาท
มาดูประวัติของกองTREITเริ่มแรกกันครับ
TREIT ลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) และสิทธิการเช่า (Leasehold) ในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารคลังสินค้า จำนวน 24 หลัง 71ยูนิต
โดยมีTicon ขายพื้นที่พร้อมอาคารคลังสินค้าให้ TREITมีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 292,755 ตารางเมตร และอาคารโรงงาน จำนวน 27 หลัง 27 ยูนิต มีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 75,900 ตารางเมตร คิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 51 หลัง หรือ 98 ยูนิต พื้นที่อาคารรวมทั้งสิ้นประมาณ 368,655 ตารางเมตร บนที่ดินที่มีเนื้อที่รวมประมาณ 502 ไร่ 4 งาน 71.5 ตารางวา
จดทะเบียนเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558 จำนวน 566,800,000 หน่วยลงทุน
Property fund ภายใต้ Ticon ทั้งสามกอง คือ TFUND, TLOGIS, TGROWTH ไม่สามารถขยายขนาดกองทุนแล้ว
หลังจากมีทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT ) เกิดขึ้น พอดีช่วงก่อน ธค 2560 ถ้ามีการแปลงสภาพจาก
Property fund เป็น REIT ได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้นจึงได้ให้ บล ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการแปลงทั้งสามกอง
รวมกับTREIT ซึ่งมีTime lineที่แน่นอน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะถ้าเวลาคลาดเคลื่อนจะเสร็จไม่ทันสิ้นปีนี้
ในที่สุด ก็สามารถรวมกองทุนเสร็จทัน และ สามารถมาเทรดใหม่ ด้วยมูลค่าของกองทุน 32,000 ล้านบาท
ถือเป็น กองทรัสต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประกอบไปด้วย Freehold 69% และ Lease hold 31%
โดยสิทธิการเช่าของLease hold คงเหลือ 26 ปี
พื้นที่ให้เช่าทั้งส่วนของคลังสินค้า จำนวน 192 ยูนิต และ อาคารโรงงาน 300 ยูนิต โดยมีทรัพย์สินตั้งอยู่ในพื้นที่ของ
EEC กว่า 1 ล้านตารางเมตร โดยมีผู้เช่าทั้งบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติในหลากหลายธุรกิจ
นโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่น้อยกว่า 2 ครั้งต่อปี ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิ
จุดเด่นของ TREIT
1. กระจายพื้นที่ให้เช่าของTREIT ทั้งคลังสินค้าและโรงงาน ไปใน7จังหวัด ถือเป็น Diversified สินทรัพย์
และ ผู้ลงทุนมีความมั่นใจในโครงการมากขึ้น
2. Freehold สูงถึง 69% และ Lease hold มีอายุนานถึง 26 ปี
3. กองทุนได้รับการจัดลำดับอยู่ใน Investment grade ทำให้สามารถกู้ยืมเงินได้ถึง 60% ของทรัพย์สิน
4. มีโอกาสขยายกองทุน โดยทำสัญญาจะซื้อสินทรัพย์เพิ่มจากไทคอนอีก 3,500 ล้านบาท และมีโอกาส
จะซื้อทรัพย์สินจากผู้ประกอบการรายอื่นในอนาคตด้วย
สรุป หลังจากรวมกองทุนทั้งสี่เข้าด้วยกัน สัดส่วนของFreeholdในกองTFUND ลดลง แต่TREITก็ยังมีสัดส่วนสูงถึง 69%
มีโอกาสขยายกองทุนโดยซื้อจากไทคอน และ บริษัทอื่น โดยอาจไม่ต้องเพิ่มทุน แต่สามารถกู้ยืมเงินแทน
มีคลังสินค้าและโรงงานในเขต EEC 1.09 ล้านตารางเมตร ที่รองรับต่างชาติมาเช่าเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอนาคต
นักลงทุนสามารถติดตามผลการดำเนินงาน แล้วจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการลงทุนของแต่ละท่าน
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3034
Property Fund & REITs & Infrafund Series
EP10 ERWPF
สาเหตุที่นำกองทุนอสังหาริมทรัพย์เอราวัณ โฮเทล โกรท ( ERWPF )
มาพูดเพราะว่ามีแฟนเพจสอบถามมาว่าราคาตลาดลดต่ำลงมามาก จะถือหรือขายดี
เกริ่มนำ
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ERWPF ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 26 มีนาคม 2556 โดยประกอบไปด้วย โรงแรม ไอบิสป่าตอง
และ โรงแรมไอบิสพัทยา รายละเอียดดูจากภาพที่แนบ บริหารโรงแรมโดยบริษัทลูกของ ERW คือ Erawan Growth Management โดยมีการรับประกันรายได้ปีละ 111.62 ล้านบาท เป็นเวลา 4 ปี จนถึง วันที่ 31 มีนาคม 2560
กำหนดระยะเวลาการเช่า 3 ปี นับจากวันที่กองทุนรวมเข้าลงทุนครั้งแรก และกองทุนรวมให้ต่อสัญญาการเช่าออกไปอีกคราวละ3ปี
กองทุนนี้ตอนออกกองใหม่ มีมูลค่าตราไว้ 10.40 บาทต่อหน่วย หน่วยที่จำหน่ายทั้งหมด 176,100,000 หน่วย
คิดเป็นเงิน 1,831,440,000 บาท มีการลดทุนทั้งหมดสี่ครั้ง จนมูลค่าตราไว้เหลือ 9.927 บาทต่อหน่วยลงทุน (22 ธค 17)
เงินปันผล
ปี 2560 ไม่มีการจ่ายเงินปันผล แต่บลจ ไทยพาณิชย์ได้ทำการลดทุนจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุน 2 ครั้ง
ผลดำเนินงาน
งวด 9 เดือน ขาดทุนจากการประเมินทรัพย์สินซึ่งลดลงจากปีที่แล้ว รวมกับผลการดำเนินงานที่ลดลง จากครบกำหนดการประกันรายได้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2560
สรุป งบ9เดือน คิดเป็นขาดทุน 0.7892 บาทต่อหน่วย
บทสรุป
บทเรียนจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เคยมีการรับประกันค่าเช่า ทำให้สามารถขายหน่วยลงทุนในราคาที่แพงขึ้น
เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร ดังนั้นถ้าการรับประกันสิ้นสุด และ สถานการณ์ของการเช่าไม่เปลี่ยนแปลง
จะเกิดการขาดทุนเนื่องจากรายได้ที่แท้จริงน้อยกว่าที่ประกันรายได้ค่อนข้างมาก
ดังนั้น ถ้าเราเช็คงบการเงินเกี่ยวกับรายได้ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับรายได้จากการประกัน ถ้าต่างกันมาก
ควรถอยห่างจากกองทุนก่อนที่การรับประกันจะหมดไป
แต่ถ้ารายได้ที่เกิดขึ้นจริงใกล้เคียงกับรายได้ที่รับประกัน ก็สามารถถือต่อเพื่อรับปันผลได้
ดังนั้น เราควรหมั่นตรวจสอบรายได้ของกองทุนที่เกิดขึ้นจริง เหมือนกับการลงทุนในหุ้น
ที่เราต้องหมั่นเช็คผลประกอบการทุกไตรมาส เพื่อตัดสินใจถือต่อ หรือ เปลี่ยนบริษัทที่ลงทุน
EP10 ERWPF
สาเหตุที่นำกองทุนอสังหาริมทรัพย์เอราวัณ โฮเทล โกรท ( ERWPF )
มาพูดเพราะว่ามีแฟนเพจสอบถามมาว่าราคาตลาดลดต่ำลงมามาก จะถือหรือขายดี
เกริ่มนำ
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ERWPF ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 26 มีนาคม 2556 โดยประกอบไปด้วย โรงแรม ไอบิสป่าตอง
และ โรงแรมไอบิสพัทยา รายละเอียดดูจากภาพที่แนบ บริหารโรงแรมโดยบริษัทลูกของ ERW คือ Erawan Growth Management โดยมีการรับประกันรายได้ปีละ 111.62 ล้านบาท เป็นเวลา 4 ปี จนถึง วันที่ 31 มีนาคม 2560
กำหนดระยะเวลาการเช่า 3 ปี นับจากวันที่กองทุนรวมเข้าลงทุนครั้งแรก และกองทุนรวมให้ต่อสัญญาการเช่าออกไปอีกคราวละ3ปี
กองทุนนี้ตอนออกกองใหม่ มีมูลค่าตราไว้ 10.40 บาทต่อหน่วย หน่วยที่จำหน่ายทั้งหมด 176,100,000 หน่วย
คิดเป็นเงิน 1,831,440,000 บาท มีการลดทุนทั้งหมดสี่ครั้ง จนมูลค่าตราไว้เหลือ 9.927 บาทต่อหน่วยลงทุน (22 ธค 17)
เงินปันผล
ปี 2560 ไม่มีการจ่ายเงินปันผล แต่บลจ ไทยพาณิชย์ได้ทำการลดทุนจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุน 2 ครั้ง
ผลดำเนินงาน
งวด 9 เดือน ขาดทุนจากการประเมินทรัพย์สินซึ่งลดลงจากปีที่แล้ว รวมกับผลการดำเนินงานที่ลดลง จากครบกำหนดการประกันรายได้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2560
สรุป งบ9เดือน คิดเป็นขาดทุน 0.7892 บาทต่อหน่วย
บทสรุป
บทเรียนจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เคยมีการรับประกันค่าเช่า ทำให้สามารถขายหน่วยลงทุนในราคาที่แพงขึ้น
เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร ดังนั้นถ้าการรับประกันสิ้นสุด และ สถานการณ์ของการเช่าไม่เปลี่ยนแปลง
จะเกิดการขาดทุนเนื่องจากรายได้ที่แท้จริงน้อยกว่าที่ประกันรายได้ค่อนข้างมาก
ดังนั้น ถ้าเราเช็คงบการเงินเกี่ยวกับรายได้ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับรายได้จากการประกัน ถ้าต่างกันมาก
ควรถอยห่างจากกองทุนก่อนที่การรับประกันจะหมดไป
แต่ถ้ารายได้ที่เกิดขึ้นจริงใกล้เคียงกับรายได้ที่รับประกัน ก็สามารถถือต่อเพื่อรับปันผลได้
ดังนั้น เราควรหมั่นตรวจสอบรายได้ของกองทุนที่เกิดขึ้นจริง เหมือนกับการลงทุนในหุ้น
ที่เราต้องหมั่นเช็คผลประกอบการทุกไตรมาส เพื่อตัดสินใจถือต่อ หรือ เปลี่ยนบริษัทที่ลงทุน
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3035
มีสถิติของตลาดเล็กๆน้อยๆในปี2017 มาฝากครับ
(1.ใช้ฐานข้อมูลจากไฟล์excelพี่ครรชิต
2.ไม่นับหุ้น IPO ในปีนี้)
หุ้นที่ให้ผลตอบแทน เกิน100%
SKY RS ASIAN BFIT ECL ORI GCAP AMATA SPI NETBAY SPVI AH SYNEX COL TCB THANI
ผลตอบแทน 50-99%
SGP INSURE ERW PICO GPSC WORK TMW STAR KCM BSM ECF
AMANAH EA BEAUTY AOT PCSGH BAT-3K PPS MEGA BCPG RCL
MACO IHL SEAFCO AF HTECH TPAC SAWAD MTLS TMILL ROJNA
IT JWD FE JMT SWC CPN
ผลตอบแทน 30-50%
CENTEL IVL SPA M SAT UTP MATI MONO GRAND IRPC WICE TK
UV TOP SVOA PRINC SMIT KWC PATO CGD TMB PK JUBILE Q-CON
TOPP NNCL TIC TISCO PM KKP ESSO SPRC KTC WHA IFS MBK
SORKON BJC THANA PTTGC PLE TR AMATAV UKEM RICHY
มีหุ้นที่บวกเกิน30% ประมาณ98ตัว คิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 15% ของหุ้นทั้งหมด
และปีนี้หุ้นset50 ก็ให้ผลตอบแทนสูงเว่อร์หลายตัวมากๆ หวังว่าพอร์ต LTF ของเพื่อนๆพี่ๆน่าจะบวกเยอะด้วยนะฮะ
ท้ายสุดขอให้ปี2018 เป็นปีที่ดีของทุกคนมีสุขภาพกาย และใจที่ดีครับ![big smile :B](./images/smilies/icon_bigsmile.gif)
(1.ใช้ฐานข้อมูลจากไฟล์excelพี่ครรชิต
2.ไม่นับหุ้น IPO ในปีนี้)
หุ้นที่ให้ผลตอบแทน เกิน100%
SKY RS ASIAN BFIT ECL ORI GCAP AMATA SPI NETBAY SPVI AH SYNEX COL TCB THANI
ผลตอบแทน 50-99%
SGP INSURE ERW PICO GPSC WORK TMW STAR KCM BSM ECF
AMANAH EA BEAUTY AOT PCSGH BAT-3K PPS MEGA BCPG RCL
MACO IHL SEAFCO AF HTECH TPAC SAWAD MTLS TMILL ROJNA
IT JWD FE JMT SWC CPN
ผลตอบแทน 30-50%
CENTEL IVL SPA M SAT UTP MATI MONO GRAND IRPC WICE TK
UV TOP SVOA PRINC SMIT KWC PATO CGD TMB PK JUBILE Q-CON
TOPP NNCL TIC TISCO PM KKP ESSO SPRC KTC WHA IFS MBK
SORKON BJC THANA PTTGC PLE TR AMATAV UKEM RICHY
มีหุ้นที่บวกเกิน30% ประมาณ98ตัว คิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 15% ของหุ้นทั้งหมด
และปีนี้หุ้นset50 ก็ให้ผลตอบแทนสูงเว่อร์หลายตัวมากๆ หวังว่าพอร์ต LTF ของเพื่อนๆพี่ๆน่าจะบวกเยอะด้วยนะฮะ
ท้ายสุดขอให้ปี2018 เป็นปีที่ดีของทุกคนมีสุขภาพกาย และใจที่ดีครับ
![big smile :B](./images/smilies/icon_bigsmile.gif)
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3036
กระแสของ cashless society และ e-commerce มาแรงมากๆ ส่งผลต่อระบบ Payment และระบบโลจีติกส์มากเช่นกัน คงต้องเสาะหากิจการที่ได้รับอานิสงค์จากกระแสนี้ และเลี่ยงกิจการทีถูกกระทบจากกระแสนี้เช่นกันครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3037
Money Talk Weekly 21 ธค 2560
คุณโจ ลูกอีสานบินจากหาดใหญ่มากรุงเทพในวันที่ 15 ธค 2560
เพื่อมาอัดรายการ Money Talkในหัวข้อ การลงทุนแบบโจ ลูกอีสาน ในปี 2018
เกริ่นนำโดยดร ไพบูลย์ว่า
คุณโจเกิดที่จังหวัด พังงา มาเรียนหนังสือที่ม หาดใหญ่ ชอบหนังสือที่แต่งโดย คำพูน บุญทวี เรื่องลูกอีสาน
เลยมาใช้ชื่อ โจ ลูกอีกสาน จริงๆเป็นคนพังงา
เรียนป โท การเงินที่ ม รามคำแหง เคยเป็นนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า สมัยที่สอง
คำถาม สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากที่คุณโจ ลงทุนในช่วงแรกอย่างไร
คุณโจ ตอบว่า ผมลงทุนในปี40 ประมาณเมื่อ 20ปีที่แล้ว
มีที่เปลี่ยนไปคือ คนเก่งเยอะขึ้น
ผมลงทุนตามหลังดร นิเวศน์ไม่นาน
ตอนนี้คนเก่งมากขึ้น การหาหุ้นถูกๆดีๆในตอนนี้ยากขึ้น
ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน
ราคาหุ้นสะท้อนพื้นฐานของบริษัทมากขึ้น
คำถาม ตอนนี้เราจะหาหุ้นกันอย่างไร
คุณโจ ตอบว่า ผมว่ายังต้องลงทุนต่อไป
ถึงแม้ว่าจะยากขึ้นก็ยังใช้วิธีการลงทุนแบบเดิม
แต่อาศัยมุมมองที่เฉียบคมมากขึ้น อดทนรอมากขึ้น
เมื่อก่อนใช้เวลา1ปี ก็ขายได้ ตอนนี้ 3 ปีก็ยังรอ
โดยมีเงื่อนไขว่าพื้นฐานบริษัทยังดีอยู่
ในอดีตหุ้นดี ใน1ปี มีคนเห็นหุ้นนั้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้น
สมัยนี้ 2-3ปี เราก็ต้องยอมรอ ถ้าพื้นฐานหุ้นยังดีอยู่
ดังนั้นผลตอบแทนเทียบกับสมัยก่อนลดลงเยอะ
ส่วนนึงมาจากฐานทุนของ อ โจที่เพิ่มขึ้นด้วย
ตอนนี้คาดหวังผลตอบแทน30-40% ยากมาก
คนที่ได้return สูงๆ เปรียบเสมือนการเห็นแต่ยอดข้างบนของภูเขาน้ำแข็ง
แต่ใต้ภูเขาน้ำแข็งเราไม่เห็น ตอนพลาดเขาไม่มาบอกเราหรอก
ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลจากนี้ไปได้ 15% ต่อปี โดยเฉลี่ย
ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวจากนี้ไป จะให้ผลตอบแทน 9-10%ต่อปี
คุณโจ อธิบายที่มาของผลตอบแทน ประกอบไปด้วย เงินปันผล3%
ซึ่งได้ค่อนข้างแน่สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานดี
ตลาดหลักทรัพย์ปีนี้เทรดที่ Price per book 3.2 เท่า
PEตลาดหุ้นตอนนี้ 18 เท่า ถ้าเรากลับเศษและส่วนก็คือ 100/18 = 6%
Yieldคิดเป็น 6% แบ่งเป็นอย่างละครึ่ง มาจากมูลค่าทางบัญชีที่บริษัทจดทะเบียน
สะสมไว้ครึ่งนึง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งนึงเป็นเงินปันผล
แต่ตลาดเทรดที่ PE 2 เท่า
ดังนั้น ทุนจะเป็น 3*2= 6%
รวมกับ เงินปันผลอีก3% รวมแล้ว ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9-10%ต่อปี
แต่ถ้าเราใส่ความรู้เข้าไปสักหน่อยในการคัดเลือกหุ้น
ผลตอบแทนที่ได้น่าจะประมาณ 15%ต่อปีในระยะยาว
แต่ถ้าคาดหวังมากกว่านี้ ค่อนข้างไม่แน่นอนสูง
คำถามจากดร นิเวศน์ว่า Profile ของนักลงทุนเปลี่ยนไปหรือไม่ถ้าเทียบกับสมัยก่อน
คุณโจ ตอบว่า เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจน
ผมดูตัวเลขของนักลงทุนรายย่อยล่าสุดปรับลดจาก 70-80% เหลือแค่ครึ่งเดียว
สัดส่วนของต่างชาติเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรวม
LTF , RMF หรือ กองทุนส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันถือในสัดส่วนประมาณ 20%
กองทุนจะอิงกับพื้นฐานหรือ Fundamental ของบริษัท จะเริ่มคล้ายกับต่างประเทศ
ที่รายย่อยจะเหลือแค่ 30% รายย่อยในต่างประเทศจะไปลงทุนในกองทุนรวมมากกว่า
ดร นิเวศน์ ถามต่อว่า Profile ของนักลงทุนรายย่อยได้เปลี่ยนแปลงไปไหม
คุณโจตอบว่า ที่เห็นได้ชัดเจนตอนมีงาน IPOหุ้นใหม่ หรือ จัดเลี้ยงลูกค้า
แนะนำหุ้นใหม่ จะเห็นคนอายุน้อยมากขึ้น
คนที่เกษียณและมาลงทุนหุ้น ถ้าขาดทุนบ่อยๆ สุดท้ายทุนหมดก็จะหายไป
นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ที่ดีขึ้นเนื่องจากเข้าหาข้อมูล
เรียนรู้การลงทุนจากสื่อทางInternetได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน
มีการเปิดเผยข้อมูลที่ดีพอสมควร ขึ้นกับนักลงทุนมีการเตรียมตัวพร้อมขนาดไหน
ดร ไพบูลย์เสริมว่า คนที่ไปเรียน Thaivi course อายุน้อยลง
คุณโจ พูดต่อว่า คนที่อยู่รอดได้ต้องเป็นมืออาชีพมีความรู้ดี
ถ้ามาเล่นๆ คงอยู่ยาก แนะนำไปลงทุนกองทุนรวมดีกว่า
คำถาม ปี2018 ลงทุนอย่างไร จะเลือกหุ้นประเภทไหนบ้าง
คุณโจตอบว่า โดยเนื้อแท้ของวีไอ มีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นแนว contrarian
แนวทางไม่เปลี่ยนง่ายๆ ตราบใดที่ผลตอบแทนยอมรับได้
ตลาดหุ้นปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนที่ลงทุนในปี2540 PEต่ำสุดที่เคยซื้อได้ 3 เท่า
สมัยนี้ PE ถูกสุด 7-8 เท่าแต่คุณภาพไม่ค่อยดี เลือกหุ้นอาจผิดพลาด
สุดท้ายต้องมาดูคุณภาพของกิจการมากกว่าเน้นราคาถูกไว้ก่อน
เพราะมีปัจจัยที่ทำให้หุ้นเหล่านั้นถูกเสมอ
( หมายถึงตลาดฉลาด รู้ว่าบริษัทไม่ค่อยดีเลยให้ราคาถูก )
แต่ถ้าเป็นหุ้นดี ราคาหุ้นมักจะแพง เช่น PE มากกว่า 50 เท่า
หุ้นถูก หมายถึง บริษัททำกำไรได้มาก ดูจากPE สูงสุดไม่เกิน 50 เท่า
มีหุ้นบางตัวที่สูงกว่า 50 เท่า ต้องมั่นใจว่าหุ้นต้องโตมากๆ มีอนาคตดี
จะทำให้หุ้นมีPE ลดลงจากกำไรที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเช่น เพิ่มขึ้น100%
นี่เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวตามตลาด
คุณโจอธิบายต่อว่า สาเหตุที่PEของตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 12 เท่าเป็น 18 เท่า
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ต่ำมากเหลือ 1% จากสมัยก่อนที่ดอกเบี้ยที่ระดับสูง
ดังนั้นหุ้นPE 18 เท่า ได้ผลตอบแทน 3%กว่า ก็ยังคุ้มกว่าการฝากเงิน
เหตุผลในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
ผมลงทุนในต่างประเทศ เป็นการกระจายความเสี่ยงของอำนาจเงินของเรา
เราไม่เสี่ยงลงทุนAssetในตระกร้าเงินบาทอย่างเดียว
ถ้าเงินบาทอ่อนตัว อำนาจในการซื้อลดลงถ้าถือเฉพาะสกุลเงินบาท
ตอนนี้ลงทุนในฮ่องกง และ เวียดนาม
เวียดนามมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอ่อนตัว (ปีที่แล้ว ขาดทุนค่าเงินประมาณ 10%
ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง)
ประเทศไทยปีที่แล้ว มีดุลบัญชีเดินสะพัดดีมากทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ส่งผลให้ผลตอบแทน
ของการลงทุนต่างประเทศลดลง บางทีอาจขาดทุนด้วย
ผมลงทุนในต่างประเทศมาสามปี แต่ยังไม่เพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
การลงทุนในต่างประเทศ สภาวะแวดล้อมไม่เหมือนกับในไทยที่เราชำนาญกว่า
สัดส่วนของportต่างประเทศลดลงจาก 10% เหลือ 7%
เพราะสัดส่วนของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ผมลงทุนในหุ้นเกือบ100%มีลงทุนที่ดินนิดหน่อย
โดยหุ้นต่างประเทศ คิดเป็น 7% ของ Port มีลงทุนที่เวียดนามและฮ่องกง
คำถามจาก ดร ไพบูลย์ว่า ลงทุนหุ้น 100% ถ้าเจอหุ้นที่ดีทำอย่างไร
คุณโจตอบว่า ขายหุ้นที่มีupsideน้อยมาซื้อหุ้นที่มีupsideที่สูงขึ้นแทน
คนที่อยากประสบความสำเร็จในการลงทุน ต้องตีราคาหรือประเมินราคาหุ้นได้
เพราะเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
เรารู้มูลค่าที่แท้จริงจากคุณภาพและกำไรที่บริษัททำได้
1.หุ้นที่มีคุณภาพดี สะท้อนไประดับที่PEที่ตลาดให้ หุ้นดี PEต้องสูงกว่าตลาดอาจเป็น
20,30,40เท่า สะท้อนมาจากการเติบโตของบริษัท ผู้บริหารเป็นต้น
2.ปัจจัยเรื่องกำไร
กำไรต่อหุ้น เราต้องประเมินได้ปีหน้าจะกำไรเท่าไหร่มาจากข้อมูลที่ผู้บริหารให้ข่าว
และกำไรที่เคยได้ในอดีต
สมมติ เราให้PE 20 กำไร 1 บาท ดังนั้น ราคาที่คำนวณได้ 20 บาท
ถ้าเราประเมินมูลค่าของบริษัทได้ใกล้เคียง จะช่วยในการเลือกซื้อได้
สุดท้ายราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับกำไรของกิจการ
คนที่เข้าใจกำไรของกิจการ ก็สามารถคำนวณราคามูลค่าที่แท้จริงได้
ทุกวันนี้อ่านบทความที่วิเคราะห์ในบริษัทของโบรคเกอร์ จะสนใจข้อมูล
ที่นักวิเคราะห์ให้มาจากที่ไปเยี่ยมบริษัท แต่จะมาคำนวณตามกระบวนการของตนเอง
เพื่อหามูลค่าที่แท้จริง โดยไม่ดูราคาเป้าหมายที่เขียนไว้ในบทวิเคราะห์
สุดท้ายรับฟังโบรคเกอร์ได้ แต่เราต้องคิดเอง
ปีที่ผ่านมา มีกิจการที่มีปัญหามาจากธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
เราต้องดูผู้บริหารซึ่งเป็นปัจจัยหลักให้คุณภาพของกิจการ
วิธีการดูผู้บริหารไม่ยาก เหมือนเราติดตามผู้บริหารนานๆ
เราต้องรู้ว่าคนไหนดีหรือไม่ดี พยายามอย่าไปข้องเกี่ยวกับหุ้นที่มี
ผู้บริหารมีการใช้ข้อมูลinsider ซึ่งเราไม่สามารถสู้กับคนที่มีข้อมูลวงใน
ผมไปประชุมผู้ถือหุ้น ฟัง oppday ถึงแม้อยู่หาดใหญ่ก็สามารถสัมผัสผู้บริหารได้
six sense ไม่ค่อยพลาด เราสงสัยและก็พบว่าเป็นไปตามที่เราสงสัย
เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว เราจะต้องมีวินัยในการลงทุน
ถึงแม้หุ้นบริษัทนั้นดูเย้ายวน น่าเข้าไปลงทุน แต่ผิดหลักเกณฑ์การลงทุน
เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือ ซื้อขายหุ้นบริษัทนั้น
แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็จะซื้อเล็กน้อย ไม่มีวันจะเข้าไปซื้อจนเป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตเด็ดขาด
เพราะว่าวันดีคืนดี มันอาจจะหายไปได้เลย
Portfolio หุ้นที่ถือมาก5-10ตัวแรก คิดเป็น 50-60%
และจะไม่ถือหุ้นแต่ละตัวเกิน 30% กรณีแย่สุดยังมีอีก 70%ไว้เพื่อแก้ไขได้
ก่อนหน้านี้ถือหุ้นไทยและต่างประเทศเกือบ 100 ตัว
ตอนนี้ถือหุ้นไทย 30กว่าตัวปลายๆ และหุ้นต่างประเทศอีก 20ตัว รวมแล้ว 50กว่าตัว
มีการซื้อหุ้นทุกวัน เพราะบางบริษัท สภาพคล่องน้อย เก็บหุ้นมาสี่เดือน
ยังไม่ครบเลย แต่ไม่ใช่เดย์เทรด เพราะซื้อแล้วถือ 2-3 ปี
เหตุผลที่คุณโจเลือกหุ้นไทย 30กว่าตัว จากหุ้นทั้งหมด 700 กว่าตัว
เพราะหุ้นแต่ละตัวมีตัวเร่ง ทำให้แต่ละปีจะมีหุ้นที่สามารถทำผลตอบแทนที่ดี
หมุนเวียนกันไปในแต่ละปี แต่ก็มีหุ้นขาดทุนที่ขายออกไป
ประมาณ 6-7 ตัวในปีที่แล้ว แต่ถือในสัดส่วนที่น้อย
แต่หุ้นที่ถือเป็นสัดส่วนที่เยอะยังมีผลประกอบการที่ดี
ปริมาณซื้อขายในแต่ละวัน คิดเป็นสัดส่วนของพอร์ตน้อยมาก
เพราะซื้อแล้วถือยาวมากกว่าจะขายออกมา
สุดท้ายขอขอบคุณ รายการMoney Talk ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์
และ คุณ โจ ลูกอีสานที่มาให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์ครับ
คุณโจ ลูกอีสานบินจากหาดใหญ่มากรุงเทพในวันที่ 15 ธค 2560
เพื่อมาอัดรายการ Money Talkในหัวข้อ การลงทุนแบบโจ ลูกอีสาน ในปี 2018
เกริ่นนำโดยดร ไพบูลย์ว่า
คุณโจเกิดที่จังหวัด พังงา มาเรียนหนังสือที่ม หาดใหญ่ ชอบหนังสือที่แต่งโดย คำพูน บุญทวี เรื่องลูกอีสาน
เลยมาใช้ชื่อ โจ ลูกอีกสาน จริงๆเป็นคนพังงา
เรียนป โท การเงินที่ ม รามคำแหง เคยเป็นนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า สมัยที่สอง
คำถาม สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากที่คุณโจ ลงทุนในช่วงแรกอย่างไร
คุณโจ ตอบว่า ผมลงทุนในปี40 ประมาณเมื่อ 20ปีที่แล้ว
มีที่เปลี่ยนไปคือ คนเก่งเยอะขึ้น
ผมลงทุนตามหลังดร นิเวศน์ไม่นาน
ตอนนี้คนเก่งมากขึ้น การหาหุ้นถูกๆดีๆในตอนนี้ยากขึ้น
ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน
ราคาหุ้นสะท้อนพื้นฐานของบริษัทมากขึ้น
คำถาม ตอนนี้เราจะหาหุ้นกันอย่างไร
คุณโจ ตอบว่า ผมว่ายังต้องลงทุนต่อไป
ถึงแม้ว่าจะยากขึ้นก็ยังใช้วิธีการลงทุนแบบเดิม
แต่อาศัยมุมมองที่เฉียบคมมากขึ้น อดทนรอมากขึ้น
เมื่อก่อนใช้เวลา1ปี ก็ขายได้ ตอนนี้ 3 ปีก็ยังรอ
โดยมีเงื่อนไขว่าพื้นฐานบริษัทยังดีอยู่
ในอดีตหุ้นดี ใน1ปี มีคนเห็นหุ้นนั้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้น
สมัยนี้ 2-3ปี เราก็ต้องยอมรอ ถ้าพื้นฐานหุ้นยังดีอยู่
ดังนั้นผลตอบแทนเทียบกับสมัยก่อนลดลงเยอะ
ส่วนนึงมาจากฐานทุนของ อ โจที่เพิ่มขึ้นด้วย
ตอนนี้คาดหวังผลตอบแทน30-40% ยากมาก
คนที่ได้return สูงๆ เปรียบเสมือนการเห็นแต่ยอดข้างบนของภูเขาน้ำแข็ง
แต่ใต้ภูเขาน้ำแข็งเราไม่เห็น ตอนพลาดเขาไม่มาบอกเราหรอก
ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลจากนี้ไปได้ 15% ต่อปี โดยเฉลี่ย
ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวจากนี้ไป จะให้ผลตอบแทน 9-10%ต่อปี
คุณโจ อธิบายที่มาของผลตอบแทน ประกอบไปด้วย เงินปันผล3%
ซึ่งได้ค่อนข้างแน่สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานดี
ตลาดหลักทรัพย์ปีนี้เทรดที่ Price per book 3.2 เท่า
PEตลาดหุ้นตอนนี้ 18 เท่า ถ้าเรากลับเศษและส่วนก็คือ 100/18 = 6%
Yieldคิดเป็น 6% แบ่งเป็นอย่างละครึ่ง มาจากมูลค่าทางบัญชีที่บริษัทจดทะเบียน
สะสมไว้ครึ่งนึง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งนึงเป็นเงินปันผล
แต่ตลาดเทรดที่ PE 2 เท่า
ดังนั้น ทุนจะเป็น 3*2= 6%
รวมกับ เงินปันผลอีก3% รวมแล้ว ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9-10%ต่อปี
แต่ถ้าเราใส่ความรู้เข้าไปสักหน่อยในการคัดเลือกหุ้น
ผลตอบแทนที่ได้น่าจะประมาณ 15%ต่อปีในระยะยาว
แต่ถ้าคาดหวังมากกว่านี้ ค่อนข้างไม่แน่นอนสูง
คำถามจากดร นิเวศน์ว่า Profile ของนักลงทุนเปลี่ยนไปหรือไม่ถ้าเทียบกับสมัยก่อน
คุณโจ ตอบว่า เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจน
ผมดูตัวเลขของนักลงทุนรายย่อยล่าสุดปรับลดจาก 70-80% เหลือแค่ครึ่งเดียว
สัดส่วนของต่างชาติเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรวม
LTF , RMF หรือ กองทุนส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันถือในสัดส่วนประมาณ 20%
กองทุนจะอิงกับพื้นฐานหรือ Fundamental ของบริษัท จะเริ่มคล้ายกับต่างประเทศ
ที่รายย่อยจะเหลือแค่ 30% รายย่อยในต่างประเทศจะไปลงทุนในกองทุนรวมมากกว่า
ดร นิเวศน์ ถามต่อว่า Profile ของนักลงทุนรายย่อยได้เปลี่ยนแปลงไปไหม
คุณโจตอบว่า ที่เห็นได้ชัดเจนตอนมีงาน IPOหุ้นใหม่ หรือ จัดเลี้ยงลูกค้า
แนะนำหุ้นใหม่ จะเห็นคนอายุน้อยมากขึ้น
คนที่เกษียณและมาลงทุนหุ้น ถ้าขาดทุนบ่อยๆ สุดท้ายทุนหมดก็จะหายไป
นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ที่ดีขึ้นเนื่องจากเข้าหาข้อมูล
เรียนรู้การลงทุนจากสื่อทางInternetได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน
มีการเปิดเผยข้อมูลที่ดีพอสมควร ขึ้นกับนักลงทุนมีการเตรียมตัวพร้อมขนาดไหน
ดร ไพบูลย์เสริมว่า คนที่ไปเรียน Thaivi course อายุน้อยลง
คุณโจ พูดต่อว่า คนที่อยู่รอดได้ต้องเป็นมืออาชีพมีความรู้ดี
ถ้ามาเล่นๆ คงอยู่ยาก แนะนำไปลงทุนกองทุนรวมดีกว่า
คำถาม ปี2018 ลงทุนอย่างไร จะเลือกหุ้นประเภทไหนบ้าง
คุณโจตอบว่า โดยเนื้อแท้ของวีไอ มีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นแนว contrarian
แนวทางไม่เปลี่ยนง่ายๆ ตราบใดที่ผลตอบแทนยอมรับได้
ตลาดหุ้นปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนที่ลงทุนในปี2540 PEต่ำสุดที่เคยซื้อได้ 3 เท่า
สมัยนี้ PE ถูกสุด 7-8 เท่าแต่คุณภาพไม่ค่อยดี เลือกหุ้นอาจผิดพลาด
สุดท้ายต้องมาดูคุณภาพของกิจการมากกว่าเน้นราคาถูกไว้ก่อน
เพราะมีปัจจัยที่ทำให้หุ้นเหล่านั้นถูกเสมอ
( หมายถึงตลาดฉลาด รู้ว่าบริษัทไม่ค่อยดีเลยให้ราคาถูก )
แต่ถ้าเป็นหุ้นดี ราคาหุ้นมักจะแพง เช่น PE มากกว่า 50 เท่า
หุ้นถูก หมายถึง บริษัททำกำไรได้มาก ดูจากPE สูงสุดไม่เกิน 50 เท่า
มีหุ้นบางตัวที่สูงกว่า 50 เท่า ต้องมั่นใจว่าหุ้นต้องโตมากๆ มีอนาคตดี
จะทำให้หุ้นมีPE ลดลงจากกำไรที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเช่น เพิ่มขึ้น100%
นี่เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวตามตลาด
คุณโจอธิบายต่อว่า สาเหตุที่PEของตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 12 เท่าเป็น 18 เท่า
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ต่ำมากเหลือ 1% จากสมัยก่อนที่ดอกเบี้ยที่ระดับสูง
ดังนั้นหุ้นPE 18 เท่า ได้ผลตอบแทน 3%กว่า ก็ยังคุ้มกว่าการฝากเงิน
เหตุผลในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
ผมลงทุนในต่างประเทศ เป็นการกระจายความเสี่ยงของอำนาจเงินของเรา
เราไม่เสี่ยงลงทุนAssetในตระกร้าเงินบาทอย่างเดียว
ถ้าเงินบาทอ่อนตัว อำนาจในการซื้อลดลงถ้าถือเฉพาะสกุลเงินบาท
ตอนนี้ลงทุนในฮ่องกง และ เวียดนาม
เวียดนามมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอ่อนตัว (ปีที่แล้ว ขาดทุนค่าเงินประมาณ 10%
ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง)
ประเทศไทยปีที่แล้ว มีดุลบัญชีเดินสะพัดดีมากทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ส่งผลให้ผลตอบแทน
ของการลงทุนต่างประเทศลดลง บางทีอาจขาดทุนด้วย
ผมลงทุนในต่างประเทศมาสามปี แต่ยังไม่เพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
การลงทุนในต่างประเทศ สภาวะแวดล้อมไม่เหมือนกับในไทยที่เราชำนาญกว่า
สัดส่วนของportต่างประเทศลดลงจาก 10% เหลือ 7%
เพราะสัดส่วนของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ผมลงทุนในหุ้นเกือบ100%มีลงทุนที่ดินนิดหน่อย
โดยหุ้นต่างประเทศ คิดเป็น 7% ของ Port มีลงทุนที่เวียดนามและฮ่องกง
คำถามจาก ดร ไพบูลย์ว่า ลงทุนหุ้น 100% ถ้าเจอหุ้นที่ดีทำอย่างไร
คุณโจตอบว่า ขายหุ้นที่มีupsideน้อยมาซื้อหุ้นที่มีupsideที่สูงขึ้นแทน
คนที่อยากประสบความสำเร็จในการลงทุน ต้องตีราคาหรือประเมินราคาหุ้นได้
เพราะเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
เรารู้มูลค่าที่แท้จริงจากคุณภาพและกำไรที่บริษัททำได้
1.หุ้นที่มีคุณภาพดี สะท้อนไประดับที่PEที่ตลาดให้ หุ้นดี PEต้องสูงกว่าตลาดอาจเป็น
20,30,40เท่า สะท้อนมาจากการเติบโตของบริษัท ผู้บริหารเป็นต้น
2.ปัจจัยเรื่องกำไร
กำไรต่อหุ้น เราต้องประเมินได้ปีหน้าจะกำไรเท่าไหร่มาจากข้อมูลที่ผู้บริหารให้ข่าว
และกำไรที่เคยได้ในอดีต
สมมติ เราให้PE 20 กำไร 1 บาท ดังนั้น ราคาที่คำนวณได้ 20 บาท
ถ้าเราประเมินมูลค่าของบริษัทได้ใกล้เคียง จะช่วยในการเลือกซื้อได้
สุดท้ายราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับกำไรของกิจการ
คนที่เข้าใจกำไรของกิจการ ก็สามารถคำนวณราคามูลค่าที่แท้จริงได้
ทุกวันนี้อ่านบทความที่วิเคราะห์ในบริษัทของโบรคเกอร์ จะสนใจข้อมูล
ที่นักวิเคราะห์ให้มาจากที่ไปเยี่ยมบริษัท แต่จะมาคำนวณตามกระบวนการของตนเอง
เพื่อหามูลค่าที่แท้จริง โดยไม่ดูราคาเป้าหมายที่เขียนไว้ในบทวิเคราะห์
สุดท้ายรับฟังโบรคเกอร์ได้ แต่เราต้องคิดเอง
ปีที่ผ่านมา มีกิจการที่มีปัญหามาจากธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
เราต้องดูผู้บริหารซึ่งเป็นปัจจัยหลักให้คุณภาพของกิจการ
วิธีการดูผู้บริหารไม่ยาก เหมือนเราติดตามผู้บริหารนานๆ
เราต้องรู้ว่าคนไหนดีหรือไม่ดี พยายามอย่าไปข้องเกี่ยวกับหุ้นที่มี
ผู้บริหารมีการใช้ข้อมูลinsider ซึ่งเราไม่สามารถสู้กับคนที่มีข้อมูลวงใน
ผมไปประชุมผู้ถือหุ้น ฟัง oppday ถึงแม้อยู่หาดใหญ่ก็สามารถสัมผัสผู้บริหารได้
six sense ไม่ค่อยพลาด เราสงสัยและก็พบว่าเป็นไปตามที่เราสงสัย
เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว เราจะต้องมีวินัยในการลงทุน
ถึงแม้หุ้นบริษัทนั้นดูเย้ายวน น่าเข้าไปลงทุน แต่ผิดหลักเกณฑ์การลงทุน
เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือ ซื้อขายหุ้นบริษัทนั้น
แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็จะซื้อเล็กน้อย ไม่มีวันจะเข้าไปซื้อจนเป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตเด็ดขาด
เพราะว่าวันดีคืนดี มันอาจจะหายไปได้เลย
Portfolio หุ้นที่ถือมาก5-10ตัวแรก คิดเป็น 50-60%
และจะไม่ถือหุ้นแต่ละตัวเกิน 30% กรณีแย่สุดยังมีอีก 70%ไว้เพื่อแก้ไขได้
ก่อนหน้านี้ถือหุ้นไทยและต่างประเทศเกือบ 100 ตัว
ตอนนี้ถือหุ้นไทย 30กว่าตัวปลายๆ และหุ้นต่างประเทศอีก 20ตัว รวมแล้ว 50กว่าตัว
มีการซื้อหุ้นทุกวัน เพราะบางบริษัท สภาพคล่องน้อย เก็บหุ้นมาสี่เดือน
ยังไม่ครบเลย แต่ไม่ใช่เดย์เทรด เพราะซื้อแล้วถือ 2-3 ปี
เหตุผลที่คุณโจเลือกหุ้นไทย 30กว่าตัว จากหุ้นทั้งหมด 700 กว่าตัว
เพราะหุ้นแต่ละตัวมีตัวเร่ง ทำให้แต่ละปีจะมีหุ้นที่สามารถทำผลตอบแทนที่ดี
หมุนเวียนกันไปในแต่ละปี แต่ก็มีหุ้นขาดทุนที่ขายออกไป
ประมาณ 6-7 ตัวในปีที่แล้ว แต่ถือในสัดส่วนที่น้อย
แต่หุ้นที่ถือเป็นสัดส่วนที่เยอะยังมีผลประกอบการที่ดี
ปริมาณซื้อขายในแต่ละวัน คิดเป็นสัดส่วนของพอร์ตน้อยมาก
เพราะซื้อแล้วถือยาวมากกว่าจะขายออกมา
สุดท้ายขอขอบคุณ รายการMoney Talk ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์
และ คุณ โจ ลูกอีสานที่มาให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์ครับ
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3038
ของเล่นใหม่ที่น่าจะเป็นกระแสแรงในอนาคต ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้สิ่งต่างๆ ได้ ตรงตามเทรน IoT โดยสามารถใช้ google home หรือ amazon echo ในการควบคุม/สั่งงานอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันได้ด้วยคำสั่งเสียง
ลองดูคลิปตัวอย่าง https://m.youtube.com/watch?v=qiXO46dIiys ครับ / มีคลิปอีกมากมายใน youtube ที่เกี่ยวข้องด้วยครับ
ปล ยังไม่มีของเล่นขึ้นนี้ครับ เพียงแต่ดูเอาไว้เท่านั้นเองครับ ^ ^
ลองดูคลิปตัวอย่าง https://m.youtube.com/watch?v=qiXO46dIiys ครับ / มีคลิปอีกมากมายใน youtube ที่เกี่ยวข้องด้วยครับ
ปล ยังไม่มีของเล่นขึ้นนี้ครับ เพียงแต่ดูเอาไว้เท่านั้นเองครับ ^ ^
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3039
Stock Battle the series
EP3 การลงทุนหุ้นในตลาดเวียดนาม
หลายๆท่านสนใจหุ้นในตลาดเวียดนาม เพราะกูรูวีไอต้นตำรับในเมืองทอง ดร นิเวศน์
ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามเมื่อ3ปีที่แล้ว และ ประสบความสำเร็จในการลงทุนระดับนึง
แต่เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเวียดนามมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น การเปิดพอร์ต การศึกษา
บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม มีส่วนน้อยที่เป็นภาษาอังกฤษ
ดังนั้น จึงมีนักลงทุนส่วนนึงไปเปิดพอร์ต
ที่บล Phillip แบบ Private fund ซึ่งเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท ซึ่งผลตอบแทนสูงพอสมควร
สำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากลงทุนหุ้นเวียดนามด้วยเงินมากขนาดนั้น
เมื่อปีที่แล้วก็มีบลจ 2 แห่ง ออกกองทุนรวมขึ้นมาคือ บลจ กรุงไทย และ CIMB Principle
1. บลจ กรุงไทย ออกกองทุนรวม KT-CLMVT เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2560 ตอนนี้ขนาดกองทุน 588 ล้านบาท
โดยมีสัดส่วนในการลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นไทย 40% ตลาดหุ้นเวียดนาม 40%
และอีก20%ลงทุนในตลาดหุ้นพม่า ลาว เป็นต้น
ผลประกอบปีที่แล้วค่อนข้างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง 18.38% ในช่วง 9 เดือน
มาจากดัชนีตลาดหุ้นไทยโต cap gian + Dividend = 13+3% และตลาดหุ้นเวียดนามก็เติบโตด้วยเช่นกัน
2. กองทุนที่สอง บริหารโดย CIMB Principle เปิดกองทุนเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560
โดยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเต็มจำนวน แบ่งเป็นเลือกหุ้นเวียดนามเอง 70%
และ ลงทุนใน ETF VN30 30%
ผลตอบแทนที่ผ่านมา 10% ในช่วง 3 เดือน
ปีนี้เปิดศักราชใหม่ บลจ Asset plus ก็ออกกองทุนรวมที่ลงในตลาดหุ้นเวียดนาม
โดย แบ่งเป็นสามส่วน
ส่วนที่หนึ่งเลือกหุ้นลงทุนเองในสัดส่วนไม่เกิน 30%
ส่วนทีสอง ลงทุนในกองทุนหุ้นในประเทศเวียดนาม เช่น JP Morgan Vietnam Opportunity fund,
Dragon Capital VEIL Fund
ส่วนที่สาม ลงทุนในกองทุนรวม ETF เช่น Viet Fund Management , Deutsche Bank , SSI Asset Management
สัดส่วนลงทุนไม่เกิน 40%
ผมทำตารางเปรียบเทียบทั้งสามกองแล้ว
No Description ASP-VIET CIMB VNEQ-A KT-CLMVTA
1 บลจ ที่บริหาร Asset plus CIMB Principle KTB
2 นโยบายในการลงทุน
2.1 เลือกหุ้นลงทุนเอง 30% 70% n.a.
2.2 ลงทุนผ่าน ETF 40% 30% n.a.
2.3 ลงทุนผ่านกองทุนหุ้นVN 30% 0% n.a.
2.4 เลือกหุ้นไทย/เวียดนาม/CLM n.a. n.a. 40%/40%/20%
3 ค่าธรรมเนียมการขาย 1.5%-2.14% 1.50% 1.50%
4 ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน ไม่เกิน 1.5% ยกเว้น ยกเว้น
5 ค่าบริหาร Management Fee 1.6%-1.8725% 1.60% 1.60%
6 เพดานค่าธรรมเนียมรวม 6% n.a. n.a.
7 วันที่ซื้อกองทุน วันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 ของ ธค,มีค,มิย,กย ทุกวัน
8 วันที่ขายกองทุน วันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 ของ มีค,กย ทุกวัน
9 ขั้นต่ำในการซื้อกองทุน (บาท) 5,000 50,000 1,000
10 ขนาดกองทุน (ล้านบาท) 1,500 2,000 588
11 วันที่ก่อตั้ง 25/1/2018 16/10/2017 2/3/2017
หลักเกณฑ์การเลือกกองทุนเบื้องต้น
1.ถ้ามีเงินลงทุนไม่มาก ลงใน KT-CLMVTA, ASP-VIET เพราะขั้นต่ำในการซื้อไม่ถึงหมื่นบาท
2.ถ้าต้องการลงทุนในประเทศเวียดนามประเทศเดียวให้ลงใน ASP-VIET,CIMB VNEQ-A
ดังนั้นเราจะมาพูดเปรียบเทียบกองทุนที่ลงทุนในเวียดนามอย่างเดียว
มีตัวเลือกสองกอง ASP-VIET,CIMB VNEQ-A
3. ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องค่าธรรมเนียม ตอนนี้ดู ASP น่าจะแพงกว่า แต่ท้ายที่สุด ค่าธรรมเนียมก็คง
ปรับลดมาเท่ากัน เพื่อจะได้แข่งขันกันได้
4. การกระจายความเสี่ยง ดูเหมือนASPกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า เพราะ มีทั้งลงใน ETF และ กระจาย
ผ่านกองทุนในประเทศเวียดนามด้วย
5. แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบริหารให้กับกองทุนรวมด้วย ในกรณีถ้าperformanceใกล้เคียงกัน
กองของ CIMB VNEQ-A จะโตเร็วกว่า เพราะบริหารเอง70% ไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน
ข้อมูลของกอง ASP-VIET ถ้ามีเพิ่มเติม ผมจะมาเพิ่มให้ภายหลัง เพราะจะมีการจัดสัมมนาในสัปดาห์หน้า
สุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจของนักลงทุนว่าจะเลือกกองไหนดี แต่อย่างไรก็ตามก็ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามนะครับ
EP3 การลงทุนหุ้นในตลาดเวียดนาม
หลายๆท่านสนใจหุ้นในตลาดเวียดนาม เพราะกูรูวีไอต้นตำรับในเมืองทอง ดร นิเวศน์
ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามเมื่อ3ปีที่แล้ว และ ประสบความสำเร็จในการลงทุนระดับนึง
แต่เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเวียดนามมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น การเปิดพอร์ต การศึกษา
บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม มีส่วนน้อยที่เป็นภาษาอังกฤษ
ดังนั้น จึงมีนักลงทุนส่วนนึงไปเปิดพอร์ต
ที่บล Phillip แบบ Private fund ซึ่งเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท ซึ่งผลตอบแทนสูงพอสมควร
สำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากลงทุนหุ้นเวียดนามด้วยเงินมากขนาดนั้น
เมื่อปีที่แล้วก็มีบลจ 2 แห่ง ออกกองทุนรวมขึ้นมาคือ บลจ กรุงไทย และ CIMB Principle
1. บลจ กรุงไทย ออกกองทุนรวม KT-CLMVT เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2560 ตอนนี้ขนาดกองทุน 588 ล้านบาท
โดยมีสัดส่วนในการลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นไทย 40% ตลาดหุ้นเวียดนาม 40%
และอีก20%ลงทุนในตลาดหุ้นพม่า ลาว เป็นต้น
ผลประกอบปีที่แล้วค่อนข้างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง 18.38% ในช่วง 9 เดือน
มาจากดัชนีตลาดหุ้นไทยโต cap gian + Dividend = 13+3% และตลาดหุ้นเวียดนามก็เติบโตด้วยเช่นกัน
2. กองทุนที่สอง บริหารโดย CIMB Principle เปิดกองทุนเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560
โดยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเต็มจำนวน แบ่งเป็นเลือกหุ้นเวียดนามเอง 70%
และ ลงทุนใน ETF VN30 30%
ผลตอบแทนที่ผ่านมา 10% ในช่วง 3 เดือน
ปีนี้เปิดศักราชใหม่ บลจ Asset plus ก็ออกกองทุนรวมที่ลงในตลาดหุ้นเวียดนาม
โดย แบ่งเป็นสามส่วน
ส่วนที่หนึ่งเลือกหุ้นลงทุนเองในสัดส่วนไม่เกิน 30%
ส่วนทีสอง ลงทุนในกองทุนหุ้นในประเทศเวียดนาม เช่น JP Morgan Vietnam Opportunity fund,
Dragon Capital VEIL Fund
ส่วนที่สาม ลงทุนในกองทุนรวม ETF เช่น Viet Fund Management , Deutsche Bank , SSI Asset Management
สัดส่วนลงทุนไม่เกิน 40%
ผมทำตารางเปรียบเทียบทั้งสามกองแล้ว
No Description ASP-VIET CIMB VNEQ-A KT-CLMVTA
1 บลจ ที่บริหาร Asset plus CIMB Principle KTB
2 นโยบายในการลงทุน
2.1 เลือกหุ้นลงทุนเอง 30% 70% n.a.
2.2 ลงทุนผ่าน ETF 40% 30% n.a.
2.3 ลงทุนผ่านกองทุนหุ้นVN 30% 0% n.a.
2.4 เลือกหุ้นไทย/เวียดนาม/CLM n.a. n.a. 40%/40%/20%
3 ค่าธรรมเนียมการขาย 1.5%-2.14% 1.50% 1.50%
4 ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน ไม่เกิน 1.5% ยกเว้น ยกเว้น
5 ค่าบริหาร Management Fee 1.6%-1.8725% 1.60% 1.60%
6 เพดานค่าธรรมเนียมรวม 6% n.a. n.a.
7 วันที่ซื้อกองทุน วันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 ของ ธค,มีค,มิย,กย ทุกวัน
8 วันที่ขายกองทุน วันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 ของ มีค,กย ทุกวัน
9 ขั้นต่ำในการซื้อกองทุน (บาท) 5,000 50,000 1,000
10 ขนาดกองทุน (ล้านบาท) 1,500 2,000 588
11 วันที่ก่อตั้ง 25/1/2018 16/10/2017 2/3/2017
หลักเกณฑ์การเลือกกองทุนเบื้องต้น
1.ถ้ามีเงินลงทุนไม่มาก ลงใน KT-CLMVTA, ASP-VIET เพราะขั้นต่ำในการซื้อไม่ถึงหมื่นบาท
2.ถ้าต้องการลงทุนในประเทศเวียดนามประเทศเดียวให้ลงใน ASP-VIET,CIMB VNEQ-A
ดังนั้นเราจะมาพูดเปรียบเทียบกองทุนที่ลงทุนในเวียดนามอย่างเดียว
มีตัวเลือกสองกอง ASP-VIET,CIMB VNEQ-A
3. ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องค่าธรรมเนียม ตอนนี้ดู ASP น่าจะแพงกว่า แต่ท้ายที่สุด ค่าธรรมเนียมก็คง
ปรับลดมาเท่ากัน เพื่อจะได้แข่งขันกันได้
4. การกระจายความเสี่ยง ดูเหมือนASPกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า เพราะ มีทั้งลงใน ETF และ กระจาย
ผ่านกองทุนในประเทศเวียดนามด้วย
5. แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบริหารให้กับกองทุนรวมด้วย ในกรณีถ้าperformanceใกล้เคียงกัน
กองของ CIMB VNEQ-A จะโตเร็วกว่า เพราะบริหารเอง70% ไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน
ข้อมูลของกอง ASP-VIET ถ้ามีเพิ่มเติม ผมจะมาเพิ่มให้ภายหลัง เพราะจะมีการจัดสัมมนาในสัปดาห์หน้า
สุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจของนักลงทุนว่าจะเลือกกองไหนดี แต่อย่างไรก็ตามก็ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3040
กราบสวัสดีปีใหม่อาจารย์ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านนะฮะ
และก็กราบขอบคุณทุกท่านที่มาแบ่งปันความรู้ ไอเดียความคิดดีๆ แบ่งปันข้อมูล แบ่งหุ้นให้ลอก แบ่งเสียงหัวเราะให้กันและกันนะฮะ
หุันขึ้นนิวไฮทั้งไทย เมกา แล้วไงต่อฮะ บางท่านอาจมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม(แล้วจะหาอิสรภาพไปเพื่อ..)
บางท่านอาจติดดอยอยู่ บางท่านอาจเทียบผอร์ทตัวเองกับผอร์ทเพื่อน รึดัชนีแล้วแอบผิดหวังเล็กๆ
ไม่ต้องซึมเศร้าหรอกฮะ อ.บัฟเฟต์(โอมาฮ่าปีนี้หนาวติดลบ26ที่สุดในรอบ130ปี)เพิ่งชนะพนันว่า
เห็ดฟันระดับเทพๆยังไม่ชนะกองทุนดัชนีเลย (เมืองไทยเมื่อไรจะมีกองทุนดัชนีค่าธรรมเนียมถูกๆแบบแวนการ์ดมั่งว้า..)
ก็สุขทุกข์กันไปตามประสาคนวนเวียนในวัฏฏะเนอะ ผมเองก็แค่หายใจเข้าหายใจออก บอกตัวเองว่าแก่ลงอีกปี
แล้วก็จ้องลอกหุ้นอาจารย์กับเพื่อนๆเหมือนเดิมฮะ
หนังสือปิดไปเยอะมาก แม้คู่สร้่างคู่สมซึ่งขายดีที่สุดยังปิด
ส่วนหนังสือเล่มล่าสุดที่(ยอม)ซื้ิอคือของคุณภิญโญ เห็นคำนิยมแล้วยอมฮะ
ดูๆ(แปลว่ายืนอ่านเฉยๆ)ตามร้านเห็นหนังสือ"all"ลงบทความ สัมภาษณ์ได้เข้าท่าฮะ
ล่าสุดสัมภาษณ์พระอาจารย์พยอม ท่านกำลังทำกองทุน 1.น้ำ 2.คนชรา 3.สัมมาอาชีวะ
ล่าสุด เพื่อนชวนไปเป็นเด็ก(โค่ง)วัดเวฬุวัน ข้ามปีใหม่มาฮะ ไม่รู้จักหลวงปู่สาครมาก่อนเลย
พอไปอ่านหนังสือก็พบว่าท่านเป็นผู้สร้างวัดป่ามณีกาญจน์บางกรวย ที่น้องกรอยู่น่ะฮะ
หลวงปู่พาไปดูเจดีย์"ใหญ่มหึมา"ที่จมใต้น้ำในเขื่อนวชิราลงกรณ์ ฐานแปดเหลี่ยม เหลี่ยมละร้อยเมตร= 800เมตร
พูดถึงฐาน เจดีย์ที่ศรีลังกา(โครงสร้างอิฐใหญ่ที่สุดในโลก แต่ใหญ่ที่สามรองจากมหาปิรามิด2อันที่ไคโร)น่าจะราวๆสามร้อยเมตร พระปฐมเจดีย์สองร้อยกว่าเมตร
ส่วนเรื่องความสูง พระปฐมเจดีย์ร้อยยี่สิบกว่าเมตร (เจดีย์จีนที่เพิ่งสร้างเสร็จร้อยห้าสิบกว่าเมตร แต่ลักษณะเหมือนหอคอยทรงกระบอกมากกว่าเจดีย์ทรงกรวยคว่ำที่เราเห็นบ่อยๆ) ชเวดากองเกือบร้อยเมตร มหาเจดีย์ที่อ.โกเอนก้ากับเจ้าของZ-TVสร้าง เกือบร้อยเมตร
แต่ส่วนใหญ่โครงสร้างอิฐที่พังลงมา มักเหลือความสูงสี่ห้าสิบเมตรเท่านั้นฺฮะ
เช่นเจดีย์หลวงเชียงใหม่ เจดีย์มิงกุน และเจดีย์ใต้น้ำองค์นี้ โผล่ยอดมาสามเมตรขณะที่โซน่าร์วัดความลึกได้สี่สิบกว่าเมตร(น่าจะมีตะกอนถมทับฐานอีกหนาพอควร)
หลวงปู่สาครเทศน์เรื่องพระศรีอารยะเมตไตร ว่าใช้"ปัญญา"มากกว่าความเพียรและศรัทธา
เรื่อง"ทายาท" ว่าในสามก๊ก สุมาอี้ ได้เปรียบก๊กอื่น เพราะ"มีทายาท"
เรื่อง"งาน"ที่ท่านทำ เช่นอนุรักษ์ช้างที่ท่านกับหลวงปู่เสถียรทำ งานcivilรั้ววัดดอยธรรมเจดีย์ รื้อถ้ำวัดหลวงปู่บุญเพ็งฯลฯ ฟังท่านกับพระอ.พยอมแล้วเหนื่อยแทนว่า พระต้องมาจัดการ คิดแทนชาวบ้านทางการในหลายๆเรื่องน่ะฮะ
สื่ออื่นที่พอรับมาบ้างก็วิทยุ(ไม่ดูทีวีมาเป็นปีแล้ว)
ฟังอ.เกษมสันต์ วีรกุล(ตั้งแต่ทำwatchdog)รายการgoodmorning asian ล่าสุดพูดเรื่องปราบคอรัพชั่น
ว่าเมืองไทยอย่าเพิ่งหมดหวังนะ(แม้absolute power corrupt absolutely ไม่ว่าจะเป็น ไพร่ ขุนศึก พ่อค้า ปัญญาชนก็เหอะ อำนาจมันเสพติด..)
เกาหลีใต้ก็มีระบบอุปถัมภ์เหมือนกัน ใช้โมเดลฮ่องกงปราบหนักก็ไม่สำเร็จ ต้องปรับเป็นให้คนในองค์กรน่ะรายงาน
ถ้าไม่รายงานแล้วผิดทั้งยวง ถือว่าสมรู้ร่วมคิด ถ้ารายงาน,ชี้เป้า มีรางวัลให้ ส่วนคนที่ทำเป็นธุระไม่ใช่ก็นอกจากไม่ได้รางวัลแล้วยังต้องโดนลงโทษด้วย ราวๆนี้
กระสันเสียว วีรกรรม รายงาน
ปล.ท่านkaiser ไปเวียดนามมา แล้วยังได้ขับรถไปส่งอ.คลายเครียด(endophine)ถึงบ้านด้วย
ได้หุ้นอะไรมา มาแบ่งกันลอกด้วยเน้อ..
และก็กราบขอบคุณทุกท่านที่มาแบ่งปันความรู้ ไอเดียความคิดดีๆ แบ่งปันข้อมูล แบ่งหุ้นให้ลอก แบ่งเสียงหัวเราะให้กันและกันนะฮะ
หุันขึ้นนิวไฮทั้งไทย เมกา แล้วไงต่อฮะ บางท่านอาจมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม(แล้วจะหาอิสรภาพไปเพื่อ..)
บางท่านอาจติดดอยอยู่ บางท่านอาจเทียบผอร์ทตัวเองกับผอร์ทเพื่อน รึดัชนีแล้วแอบผิดหวังเล็กๆ
ไม่ต้องซึมเศร้าหรอกฮะ อ.บัฟเฟต์(โอมาฮ่าปีนี้หนาวติดลบ26ที่สุดในรอบ130ปี)เพิ่งชนะพนันว่า
เห็ดฟันระดับเทพๆยังไม่ชนะกองทุนดัชนีเลย (เมืองไทยเมื่อไรจะมีกองทุนดัชนีค่าธรรมเนียมถูกๆแบบแวนการ์ดมั่งว้า..)
ก็สุขทุกข์กันไปตามประสาคนวนเวียนในวัฏฏะเนอะ ผมเองก็แค่หายใจเข้าหายใจออก บอกตัวเองว่าแก่ลงอีกปี
แล้วก็จ้องลอกหุ้นอาจารย์กับเพื่อนๆเหมือนเดิมฮะ
หนังสือปิดไปเยอะมาก แม้คู่สร้่างคู่สมซึ่งขายดีที่สุดยังปิด
ส่วนหนังสือเล่มล่าสุดที่(ยอม)ซื้ิอคือของคุณภิญโญ เห็นคำนิยมแล้วยอมฮะ
ดูๆ(แปลว่ายืนอ่านเฉยๆ)ตามร้านเห็นหนังสือ"all"ลงบทความ สัมภาษณ์ได้เข้าท่าฮะ
ล่าสุดสัมภาษณ์พระอาจารย์พยอม ท่านกำลังทำกองทุน 1.น้ำ 2.คนชรา 3.สัมมาอาชีวะ
ล่าสุด เพื่อนชวนไปเป็นเด็ก(โค่ง)วัดเวฬุวัน ข้ามปีใหม่มาฮะ ไม่รู้จักหลวงปู่สาครมาก่อนเลย
พอไปอ่านหนังสือก็พบว่าท่านเป็นผู้สร้างวัดป่ามณีกาญจน์บางกรวย ที่น้องกรอยู่น่ะฮะ
หลวงปู่พาไปดูเจดีย์"ใหญ่มหึมา"ที่จมใต้น้ำในเขื่อนวชิราลงกรณ์ ฐานแปดเหลี่ยม เหลี่ยมละร้อยเมตร= 800เมตร
พูดถึงฐาน เจดีย์ที่ศรีลังกา(โครงสร้างอิฐใหญ่ที่สุดในโลก แต่ใหญ่ที่สามรองจากมหาปิรามิด2อันที่ไคโร)น่าจะราวๆสามร้อยเมตร พระปฐมเจดีย์สองร้อยกว่าเมตร
ส่วนเรื่องความสูง พระปฐมเจดีย์ร้อยยี่สิบกว่าเมตร (เจดีย์จีนที่เพิ่งสร้างเสร็จร้อยห้าสิบกว่าเมตร แต่ลักษณะเหมือนหอคอยทรงกระบอกมากกว่าเจดีย์ทรงกรวยคว่ำที่เราเห็นบ่อยๆ) ชเวดากองเกือบร้อยเมตร มหาเจดีย์ที่อ.โกเอนก้ากับเจ้าของZ-TVสร้าง เกือบร้อยเมตร
แต่ส่วนใหญ่โครงสร้างอิฐที่พังลงมา มักเหลือความสูงสี่ห้าสิบเมตรเท่านั้นฺฮะ
เช่นเจดีย์หลวงเชียงใหม่ เจดีย์มิงกุน และเจดีย์ใต้น้ำองค์นี้ โผล่ยอดมาสามเมตรขณะที่โซน่าร์วัดความลึกได้สี่สิบกว่าเมตร(น่าจะมีตะกอนถมทับฐานอีกหนาพอควร)
หลวงปู่สาครเทศน์เรื่องพระศรีอารยะเมตไตร ว่าใช้"ปัญญา"มากกว่าความเพียรและศรัทธา
เรื่อง"ทายาท" ว่าในสามก๊ก สุมาอี้ ได้เปรียบก๊กอื่น เพราะ"มีทายาท"
เรื่อง"งาน"ที่ท่านทำ เช่นอนุรักษ์ช้างที่ท่านกับหลวงปู่เสถียรทำ งานcivilรั้ววัดดอยธรรมเจดีย์ รื้อถ้ำวัดหลวงปู่บุญเพ็งฯลฯ ฟังท่านกับพระอ.พยอมแล้วเหนื่อยแทนว่า พระต้องมาจัดการ คิดแทนชาวบ้านทางการในหลายๆเรื่องน่ะฮะ
สื่ออื่นที่พอรับมาบ้างก็วิทยุ(ไม่ดูทีวีมาเป็นปีแล้ว)
ฟังอ.เกษมสันต์ วีรกุล(ตั้งแต่ทำwatchdog)รายการgoodmorning asian ล่าสุดพูดเรื่องปราบคอรัพชั่น
ว่าเมืองไทยอย่าเพิ่งหมดหวังนะ(แม้absolute power corrupt absolutely ไม่ว่าจะเป็น ไพร่ ขุนศึก พ่อค้า ปัญญาชนก็เหอะ อำนาจมันเสพติด..)
เกาหลีใต้ก็มีระบบอุปถัมภ์เหมือนกัน ใช้โมเดลฮ่องกงปราบหนักก็ไม่สำเร็จ ต้องปรับเป็นให้คนในองค์กรน่ะรายงาน
ถ้าไม่รายงานแล้วผิดทั้งยวง ถือว่าสมรู้ร่วมคิด ถ้ารายงาน,ชี้เป้า มีรางวัลให้ ส่วนคนที่ทำเป็นธุระไม่ใช่ก็นอกจากไม่ได้รางวัลแล้วยังต้องโดนลงโทษด้วย ราวๆนี้
กระสันเสียว วีรกรรม รายงาน
ปล.ท่านkaiser ไปเวียดนามมา แล้วยังได้ขับรถไปส่งอ.คลายเครียด(endophine)ถึงบ้านด้วย
ได้หุ้นอะไรมา มาแบ่งกันลอกด้วยเน้อ..
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3041
Money Talk ช่วงที่สอง
หัวข้อ “หลากหลายกลยุทธ์ลุ้นหุ้นปี 61”
เกริ่นนำ แนะนำวิทยากรของสัมมนาช่วงที่สอง
1.คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
เป็นนักลงทุนวีไอ ก่อนหน้านี้เคยบริหารกองทุนแนววีไอ ผลประกอบการดีมาก
ทุกหุ้นที่ลงทุน ต้องไปดูได้ตัวเอง เลือกหุ้นโดยใช้วิธี Bottom up
คือการเลือกหุ้นโดยวิเคราะห์จากข้างล่าง
ช่วงที่น้ำท่วม ก็เช่าเฮลิคอปเตอร์ไปดูพื้นที่ที่น้ำท่วม
2.คุณวัชระ แก้วสว่าง หรือ เซียนป๋อง
เป็นเซียนเทคนิคคนแรกที่ได้รับเชิญมางานสัมมนา Money Talk
เพราะคุณป๋องเป็นพูดตรง แนะนำตรง เป็นคนจิตใจดี
3. คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)
ปกติจะนึกถึงคุณพ่อ คือ ดร ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นนักการเมืองสะอาดที่สุด
ท่านช่วยสร้างชื่อเสียงประเทศไทยในตลาดโลก
4. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูดในฐานะกูรูวีไอ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อ.เสน่ห์ นำกลอนมาขึ้นช่วงต้นรายการ
“กินอาหาร ถูกวิธี นี้หลากหลาย
อย่าเอาง่าย กินซ้ำซ้ำ จำเจแสน
การลงทน หุ้นให้ดี ต้องมีแพลน
ควรรู้แก่น หลากวิธี ที่ลงทุน
จะยึดแนว วีไอ ไปให้สุด
หรือปรับยุทธ์ ใช้เทคนิค จิกเลือกหุ้น
หรือยักย้าย ไปต่างแดน แผนละมุน
หรือลองลุ้น กองทุนเด่น เป็นแนวทาง
เรื่องวีไอ ต้องให้เขา เต่านิเวศน์
คนพิเศษ จอมกูรู รู้ทุกอย่าง
เรื่องเทคนิค จับจังหว วัชระหว่าง
เสี่ยป๋องกาง กลยุทธ์ สุดน่าฟัง
เรื่องกองทุน หุ้นเด่น เน้นฉลาด
คุณประภาส มือเก๋า เขาสุดขลัง
เรื่องต่างแดน เลือกอย่างไร ไม่ให้พัง
คุณปริญญ์ชั่ง เชี่ยวชาญ ชำนาญจริง
ฟังหลากหลาย ลงทุน หุ้นปีจอ
หุ้นยอดหอ ออลไทม์ไฮ ใจต้องนิ่ง
ไม่พลาดผิด ติดดอย หรืออ้อยอิ่ง
ฟังแล้วปิ๊ง เป็นหลักคิด พิชิตชัย “
อ.เสน่ห์ พูดถึงดร นิเวศน์ ช่วงปีใหม่ไปพิชิตยอดดอยเชียงใหม่
เขาได้ขี่เต่า มีภาพประกอบ จากprofile Line ของ ดร นิเวศน์
แสดงว่าความเป็นตัวตน แต่มีคนควบคุมดรอีกคน (ภรรยา)
เข้าสู่เนื้อหาสัมมนา
คำถามแรก “หุ้นไทยในปี61 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นมีมากมาย”
เริ่มที่คุณประภาส
ตอบว่า สินทรัพย์เสี่ยงในตลาดโลกไม่มีติดลบ ตลาดหุ้นสหรัฐบวกติดต่อกันห้าปี
ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป40ปี ผลตอบแทนติดลบ 16 ปี และเป็นบวก 20กว่าปี
ดูจากข้อมูล เคยบวกติดต่อกันต่อเนื่อง นับจากดัชนี106จุด ขึ้น3ปีติดกัน
แล้วลดลง1ปี หลังจากนั้นก็ขึ้นติดต่อกัน 4ปี อีก 400%และ กลับมาลงต่อ
หลังจากนั้นขึ้นติดต่อ3ปี จนดัชนีสูงสุดที่ 1789 จุดในวันที่ 5 มค 2537 แล้วลงยาว
ปีนี้ถ้าบวกอีกเป็นปีที่3 จะเป็นปีที่3บวกติดต่อกัน จะต้องระวัง
ย้อนกลับไปสมัยก่อน เศรษฐกิจดีอย่างต่อเนื่องครั้งแรก ดัชนีบวกจาก100จุดมาเป็น 140จุด
ปรับฐานช่วงนึง และ กลับมาบวกเป็น400กว่าจุด
ช่วง ป๋าเปรม ที่มีโครงการEastern Seaboard
หุ้นบวกจากปี1982 ถึงปี 1993 โดยมีพักติดลบ2ครั้ง
ตอนนี้ไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ น่าจะเป็น S Curve
จากนี้ไปมองยาว น่าจะเป็นยุคทองของไทยอีกยุค
แต่มีความเสี่ยงการปรับฐานเป็นระยะ
การปรับฐานปกติ จะลงท้ายในปีเป็นตัวเลข 7 หรือ 8
ปี17ไม่เจอ ปี 18 ต้องระวัง
การปรับฐานจากตลาดหุ้นโลกกระทบมาที่ตลาดหุ้นไทย
ถ้าไม่ใช่เหตุผลจากเศรษฐกิจของไทย ก็จะขึ้นกลับมาได้ในระยะสั้น
คุณปริญญ์ พูดเป็นคนถัดมาว่า
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีเสน่ห์มากขึ้น
กองทุนไทยมีเงินเยอะ แต่กองทุนต่างประเทศขายเอาๆ ขายสุทธิมาสองปีซ้อน
เพราะฝรั่งมีตัวเลือกให้ลงทุนมากขึ้น
รอบนี้ เป็นอะไรที่โตพร้อมกัน ปีนี้เป็นปียุคทองในเศรษฐกิจในเชิงปริมาณ คือ ตัวเลขGDP
GDPไทยโต4%กว่า ,GDPของUS 3%, GDPโลกก็โตมากกว่าคาด ราคาน้ำมันก็สูง รัสเซียกับซาอุดิ มีวินัย
และต่างกุมกำลังการผลิตน้ำมันโลก ทำให้เห็นว่า มุมมองของGlobal fund มองcommodityว่าดี
แต่กองทุนต่างประเทศมองว่า ตลาดหุ้นไทยปีที่แล้วขึ้นจริง แต่แพ้จีน อินเดีย และ อีกหลายประเทศ
เขารอตัวเลขเศรษฐกิจ ความคืบหน้าของโครงการใหญ่ๆ และ การเลือกตั้งปีนี้มีหรือไม่
ตอนนั้นช่วงที่มีโครงการ Eastern Seaboard เกิดขึ้น เริ่มจาก พลเอก เกรียงศักดิ์
และ พลเอก เปรมมาสานต่อ มีคุณเสนาะ อูนากูลมาดูแล และมีคนเข้าร่วมมากมายในPhase I
ตอนนี้มีท่านเสนาะและคุณคณิตก็มาในช่วยในphaseII โครงการEEC
คุณปริญญ์ ว่าปีที่แล้วฝรั่งกังวลเรื่องการเมือง ตอนนี้คลี่คลายไป
ฝรั่งมองข้ามชอตการเมือง มามองว่าก่อสร้างจะมาจริงหรือเปล่า
แต่เราเจอกฏเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงเช่นอนุญาติให้รายเล็กสามารถเข้าประมูลได้ด้วย
ตอนนี้หลายคนคิดว่าโครงการใหญ่จะไม่เกิด และไปบอกต่างชาติ ทำให้ต่างชาติไม่ค่อยเชื่อมั่นไทย
แต่ตามที่คุณประภาสบอกว่าปีนี้เป็นยุคทองของเศรษฐกิจ
ธนาคารขนาดใหญ่ โดนต่างชาติขายเอา บางธนาคารเจอorderขาย 500ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่flowขายพลังงานไม่เห็น อาจชอบหุ้นพลังงานด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาเลือกอุตสาหกรรมในการลงทุน เช่น หุ้นในกลุ่มน้ำมัน คือ PTTGC
ตอนนี้บางกองทุนต่างประเทศไม่มีการถือธนาคารขนาดใหญ่เลย
แต่ละจังหวัดในต่างจังหวัด มีความเจริญไม่เท่ากัน
คิดว่าโครงการต่างๆของรัฐบาลจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำลงได้
สุดท้ายปีนี้ USมีการเลือกตั้งกลางปี ทรัมป์รู้ว่าปีนี้โตไม่ค่อยดี
GDPชองUS ดูเหมือนโตดี ถ้าตัดsectorพลังงานออกไป
พบว่า GDPโตต่ำกว่า 2%
มีคนจนมากมาย เศรษฐกิจยังฝืดอยู่ SMEยังไม่ดี
เขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตอนนี้มีการกระตุ้นโดยลดภาษีบริษัท ส่งผลดีต่อคนรวย
เศรษฐกิจUSไม่ดี แต่ส่งผลดีต่อไทย เพราะดอกเบี้ยไม่ขึ้น
เงินจะไหลเข้าไทยได้ หรือไป cryptocurrency เดี๋ยวมาพูดอีกที
เซียนเทคนิค คุณป๋องขอบคุณดรไพบูลย์ที่เชิญมารายการ
ผมเห็นกับพี่ประภาสโยงดัชนีกลับมา ใครดูกราฟเป็น จะเห็นปี1982 เป็นช่วงเริ่มต้นของหุ้นไทย
เดิมทีไม่เคยดูเทคนิค เล่นหุ้นปีกว่า ดัชนีขึ้นไป 1789 จุด วันที่ 5 มกราคม 2537(1993)
ตอนนั้นไม่เคยดูกราฟ หุ้นซิลลิ่งทุกวัน หลังฟองสบู่แตกจนดัชนีตกลงเหลือแค่ 204 จุด
ผมเป็นวีไอแท้จริง ถือหุ้นมาตลอดทาง ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมธนาคารถึงเจ๊ง
ล้มลุก สุดท้ายก็ cut loss ไปตอนดัชนี204จุด
ช่วงนั้นเจอนักเทคนิคที่เก่ง เลยขอให้สอนกราฟ และ ตัวคุณป๋องกลับไปดูกราฟในอดีต
เห็นกราฟ สามเหลี่ยมรูปใหญ่มาก แต่ตัดลงตอนดัชนี 1,500 ตอนนั้นก็ซื้อถัวลงมา
จนถึง 800จุดก็เลิกถัว แต่ถือมาถึงดัชนี200จุด ถือว่าเป็นวีไอในช่วงนั้น
เซียนป๋อง พูดว่า วีไอ ควบคู่ เทคนิคอล จะแมทกันได้ดี
ศึกษาเทคนิคเป็นส่วนนึง แต่เราต้องรู้พื้นฐานของบริษัทแต่ละบริษัทด้วย
เทคนิคทำให้เรารู้ว่าหุ้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร
บางคนดูพื้นฐาน แต่ถ้าใช้กราฟดูราคาที่ผ่านมาอาจไม่กล้าซื้อ
ต้นปีที่แล้ว คิดว่าหุ้นขึ้นแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะมองเรื่องคลื่นElliott Wave
คลี่นของหุ้นไทยอยู่ขาสาม เรียกว่า Grand super cycle
ขาขึ้นมี5ขา ขึ้นขาหนึ่ง ลงสอง ขึ้นสาม ลงสี่ ขึ้นห้า
ขาสามยาวมาก
ปี1975 ดัชนีอยู่ที่100 จุด ใช้ระยะเวลา 19 ปี จบขาหนึ่งใหญ่
ขาสองจบปี 2008 มีขาสามต่อ และมีคลื่นย่อย
ขาa ดัชนี 700 จุด , ขาb ปี2007 , ขาc ดัชนี380จุด (ปี2008) ใช้เวลา14 ปี
ดังนั้นตลาดหุ้นไทยอยู่ขาสาม เราสามารถทำhighเกินขาหนึ่งที่ดัชนี 1789 จุดแล้ว
ตามตำรา ดัชนีไปอีกไกลมากจนไม่กล้าพูด
ขาหนึ่งใช้เวลา19 ปี
ขาสองใช้เวลา 14 ปี
ขาสาม น่าจะใช้เวลามากกว่า 19 ปี เพราะยอดสูงกว่าขาหนึ่ง
ดังนั้นจะเหลืออีก 9 ปี แต่ดัชนีมีขึ้นและลงในระหว่างนั้น
มีขาย่อยอีก5ขา ตอนนี้กำลังจะจบขาหนึ่งใหญ่ ซึ่งตอนนี้มี5 ขา
ปีนี้น่าจะระวังตัว เป้าหมายของดัชนีที่ 1,925 จุด
ถ้าขาสามเท่ากับขาหนึ่ง ถ้าดูจากFibonacciที่161.8% คิดเป็นดัชนี 2,700 จุด
ปีที่แล้วเป็นปีไก่ตรงกับปีพ.ศ 2537 ตำราจีน ตอนนั้นถือว่ายังเป็นปีไก่
เพราะยังไม่ข้ามตรุษจีน ต้องอาศัยความรู้วีไอของวิทยากรมาช่วยยืนยัน
ที่ผมคำนวณ รัฐบาลได้ทำโครงการต่างๆมากมาย
อาจได้เห็น Rating ในการลงทุนที่ดีขึ้น
ระยะสั้นSET50 หุ้นมีPE 40 เท่า แต่ยังหุ้นอีก 25 ตัวที่PE 15 เท่าด้วย
ผมคิดว่าดัชนีจะจบในกลางปีนี้ หุ้นใหญ่จะเป็นหุ้นที่ขึ้น แต่น่าจะเป็นหุ้นไม่แพงด้วย
หุ้นในตลาดDow Jones หุ้นที่ขึ้นมารับข่าวล่วงหน้าจากลดภาษีหรือเปล่า
แอบเสียว ตีกราฟมา น่าจะไม่เกิน 28,000 จุดไม่น่าจะขึ้นอีกเยอะเพราะห่างจาก
ตอนนี้เพียงพันกว่าจุดเอง ตอนนี้อยู่ในขาห้าของขาหนึ่งใหญ่แล้ว น่ากลัวมาก
เรื่องเทคนิค ต้องมีระดมความคิดเพื่อยืนยันอีกที
แต่ที่หนักใจ ธุรกิจในเมืองไทยเป็น old economy
เพราะฉะนั้นตลาดทุนจะไปทางไหน
อนาคตประเทศในโลกมีแผนการลดการใช้น้ำมันทั่วโลก
บ้านเรา หุ้นขนาดใหญ่ที่listในตลาดหลักทรัพย์ คือบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่
สมัยก่อนมีประกอบด้วยกลุ่ม Bank ,Finance ,Property
ตอนนี้เป็นยุคพลังงานไฟฟ้าทดแทน
ดร นิเวศน์ เสริม ผมทำนายรอบนี้เป็น Grand super cycle ถือว่ายาว
ดัชนี 2,790 จุด ถือว่าน้อยเกินไป
แบบที่ผมคิด ถ้าหุ้นขึ้นปีละ 10% เป็นเวลา7ปี
ใช้กฏ72 ดัชนีก็ขึ้นได้ถึง 3,600 จุด
ถ้า9ปี น่าจะเป็น 4,000 จุด
คุณป๋อง เสริมว่า แนวต่อไปของFibonacci = 4,400 จุด
ดร นิเวศน์พูดต่อว่า มองแบบวีไอ ราคาหุ้นจะขึ้นได้ต้องมีกำไร
กำไรขึ้นเท่าไหร่ ราคาหุ้นก็ขึ้นตามนั้น แต่ถ้าขึ้นเกินไป ก็เป็นการเก็งกำไร
ตอนปี 2551 ปีนั้นตลาดหุ้นไทยกำไร 3แสนล้านบาท ปีที่แล้ว กำไร 9แสนล้านบาท
แสดงว่า 9 ปี กำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ราคาหุ้นควรขึ้น 3 เท่า
ดัชนีตอนนั้นอยู่ประมาณ 400 จุด
แต่ดัชนีตอนนี้ 1,800จุด ขึ้นมา 4เท่ากว่า แสดงว่าเป็นน้ำ (ย้อนดูข้างบน)
ตอนนั้น หุ้นมีPE 10ต้นๆ ตอนนี้ PE 10ปลายๆ ถ้าน้ำหายไป หรือ Fundflowหายไป
หุ้นไทยแพงเกินไป เพราะตอนนี้น้ำเยอะจากการใส่เงินเข้ามา ทำให้คนซื้อหุ้นกันเยอะ
โดยเฉพาะกองทุนเข้ามาซื้อเยอะ
คนกลัวตกรถ ดังนั้นคนมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์2 ล้านคนแล้ว
ซื้อโดยไม่สนใจว่าแพงไหม ผมเลยพยากรณ์ว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่ารอด
ดัชนีDow jonesขึ้นไป3เท่า ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 17%ต่อปี
จาก 9ปีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นไทยขึ้น 20%ต่อปี ในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นประกอบด้วยหุ้น2กลุ่ม
1. กลุ่มFundamental ราคาหุ้นเหมาะสม มีพื้นฐาน
2. กลุ่มฟองสบู่ ประมาณ ไม่กี่สิบตัว แต่มีน้ำเยอะ
เป็นหุ้นที่มีPE100เท่า ที่ซ่อนอยู่ในน้ำที่กว้างใหญ่
ถ้าเราไปเล่นก็เสียหาย หุ้นอาจตกได้รุนแรง ให้นักลงทุนระมัดระวัง
คุณป๋องเสริม ตอนจบขาหนึ่งลงขาสอง พักตัวประมาณ 2 ปี ลงได้อย่างต่ำ20%
ส่วนขา3ของขา3ใหญ่ จะดูดี
คำถามที่สอง คำแนะนำในการลงทุนปี61
ควรจัดพอร์ตอย่างไร แบ่งเงินลงทุนในหุ้นเท่าไร ลงทุนต่างประเทศ
หรือไม่ และลงทุนที่ไหน
คุณประภาส ตอบคนแรก
นักลงทุนอาจงง เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ตลาดหุ้นขึ้นมาถึงดัชนี 1,800จุด
การลงทุนหุ้นเป็นรายตัว จะเจอปัญหา เช่นเข้าซื้อหุ้นช้า หรือ ออกช้า
การจัดสินทรัพย์ ไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไรก็ตาม การจัดสินทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญ
ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงก็ลงทุนหุ้นได้เยอะ ตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ถ้าปรับฐานปีนี้แต่กำไรยังเพิ่ม
ความเสี่ยงปีหน้าจะลดลง ติดลบปีนี้ แต่ปีหน้าน่าจะดี
สัดส่วนของพอร์ตที่คุณประภาสแนะนำ
1.หุ้น สัดส่วน 50-60%
ผู้สูงวัย เงินจำกัด อาจลงทุนหุ้นน้อยกว่านี้ เพราะถ้าเจอหุ้นตก จะหาเงินไม่ได้
จัดพอร์ตเชิงรับแทน ลงในกองทุนหุ้นปันผล
2.ตราสารหนี้สัดส่วน 20-30% ดอกเบี้ยต่ำอีก 1-2ปี
อัตราผลตอบแทนประมาณ 1-2%
3.ที่เหลือลงใน REITs ผลตอบแทน 5-6%
ผมเริ่มลงทุนโดยอ่านหนังสือElliott Wave ของคุณนาถสิริ วิมลเฉลาในปี 1989
เห็นด้วยกับเสี่ยป๋อง คลื่นลูกที่ 3 ยาวและใหญ่ด้วย ขนาดใหญ่ 1.78 เท่า
ดังนั้น ดัชนีหลังปรับฐาน ประมาณ1,500+ สองเท่าคือ 3,000จุด =4,500จุด
ตลาดที่พัฒนาแล้วเก่งกว่าสัก2เท่า ดังนั้นGDP 5% บริษัทกำไรโต 10%
ตัวที่ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นมาคือกำไรที่โตขึ้นมาเอง 220%
แต่ตลาดโต 290%หมายถึงที่ ดร นิเวศน์พูดถึงมีน้ำเยอะ PE โตมาเท่ากับ 18 เท่า
ดร นิเวศน์เสริมว่า ถ้าอยากเป็นนักลงทุนวีไอ ก็ต้องขาดทุนก่อน
แนะนำลงในกองทุน มีผลตอบแทน 10-15%
ผมมีมุมมองที่ดีในตลาดหุ้นระยะยาว แต่ตอนนี้ขึ้นมาเยอะ
PB ของตลาดโดยเฉลี่ยที่2.1เท่า กลัวว่าไม่น่าผ่าน
PB 2.2 อาจมีการปรับฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว
คุณปริญญ์ ตอบว่า ดร นิเวศน์ ผิดแค่ 0.5% โดยเอาน้ำไปเติมในเวียดนาม
สถาบันต่างประเทศ เช่น Templeton ไปตั้งสาขาที่เวียดนาม
เงินเริ่มเข้าเวียดนาม ตอนนี้ยังมีหลายบริษัทต่างชาติเตรียมเข้าเวียดนาม
ถ้าแก้ไขข้อกำหนด หรือ ข้อจำกัดได้
ปีที่แล้วค่าเงินบาท แข็ง 9% ถ้ามองใน$ เราแพ้เวียดนามประเทศเดียว
ผมเชื่อว่าไม่พักฐาน หรือ พักฐานไม่แรง แล้วขึ้นรวดเดียว
คุณปริญญ์บอกว่า จะมีการจัดงานเดือนมีนาคา เชิญฝรั่งมาฟังเยอะ
ยังมีฝรั่งที่ยังไม่ได้ลงทุนในไทยเลยอีกเยอะ
เขาไม่ลงทุนในธนาคาร เพราะไม่เชื่อมั่นจากNPLที่ขยายตัว
ปลายมกราคม หรือ ต้น กุมภาพันธ์ ถ้ามีเซนต์สัญญา EEC เงินจะเข้ามาเยอะ
ในแง่รัฐบาลทำแน่
อุตสาหกรรม 4.0 จะเกิดได้จาก การปฏิรูปกฎหมายเก่า ล้าสมัยออกไป
ประเทศไหนที่มีกฎหมายมากในการขอทำธุรกิจ ทำให้คนไม่อยากเข้ามาทำธุรกิจ
ข่าวดีภาครัฐเริ่มรู้และเริ่มทำ E-catalog กฎหมายที่แก้ไข ต่างชาติจะมาลงทุนแบบก้าวกระโดด
อาลีบาบา ร่วมมือกับกลุ่ม ซีพี โดย Ant finance ร่วมมือกับ Ascend Money
และ JD.com Joint venture กับ Central ตั้งบริษัทใหม่ทำE-commerceในไทย
มีการขายสินค้าเข้าไทย และ ขายข้ามไปขายในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
ปีหน้าเราเป็นเจ้าภาพจัดงาน ASIAN
ปีที่แล้วเราถวายความอาลัยมาเกือบทั้งปี
ปีนี้เป็นปีท่องเที่ยว เราเฉลิมฉลองกัน มีการอัดฉีดเงิน
ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งน่าจะเป็นปีหน้า โครงการก่อสร้างจะรีบเซนต์ก่อนการเลือกตั้ง
หุ้นขึ้นแรง จะเกี่ยวกับเศรษฐกิจฐานราก หุ้นกลุ่มส่งออก
Megatrend กำลังจะมา เช่น Aging Society
บางบริษัทที่ไม่เคยทำ eco system ก็เริ่มทำแล้ว
หุ้นเกี่ยวกับทำ Battery charger , charging station
การวัดGDPในอนาคตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป
WHA ได้โจทย์มาว่า Warehouse ในอนาคตจะไม่มีคนอยู่ทำงาน
ใช้ Robot มาทำแทน
วิธีการวัดปริมาณในอนาคตจะเปลี่ยนแปลง เพราะบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจโฆษณาปีนี้พบว่า
Lineไม่เสียภาษี
FACEBOOK เสียภาษี3แสนบาท
ดังนั้นรัฐบาลต้องมีการเปลี่ยนแปลง และมีวิธีการเก็บภาษีใหม่
คุณป๋อง แนะนำ Portปีที่แล้ว อัดหุ้นมาเต็ม ตอนนี้กระจายน้ำออกไปบ้าง ขึ้นกับขนาดของport
ยิ่งสูงยิ่งหนาว ปี 2008 ปัญหาเกิดจากต่างประเทศ แต่กระทบเรา ก็เลยระแวงตลอดเวลา
คุณป๋องเห็นว่ากราฟชัน ก็กระจายหุ้นจากเดิมที่ถือหุ้นจำนวน 2-3 ตัว ที่แพง
เปลี่ยนเป็นหุ้นที่ราคายังถูก 5-6 ตัว ยังคิดว่าหุ้นPEต่ำ พื้นฐานดี ยังไปได้
แต่ตอนนี้เริ่มระวัง แต่ยังปล่อย Let profit run
ดร นิเวศน์
อยู่ตลาดมานาน สังเกตคนมาเยอะ เป็นนักปรัชญาชีวิต
ไม่เชื่อว่าตัวเองมีเงินขนาดนี้
เจอคนที่เรียนไม่เก่ง ไม่ค่อยทำงานหนัก แต่มีเงินพันล้านบาท
ปกติคนที่มีเงินมากๆ ต้องทำอะไรพิเศษ ต้องทุ่มเทเยอะ ต้องเก่งด้วย
รอบนี้มีคนกลุ่มนึง วีไอ และ เก็งกำไร ที่มีเงินมากๆ
สงสัยว่า พวกนี้ควรมีเงินขนาดนี้หรือเปล่า
ในระยะยาวต้องปรับตัว สังคมไม่ควรเป็นแบบนั้น
ตอนนี้อาจเป็นจุดสูงสุด หรือ ท้ายสุดก็ลงมาที่พื้นฐาน
โลกมีความยุติธรรม เกิดมาจน ก็พยายามมากขึ้น เพื่อให้รวยขึ้น
เกิดมารวย ไม่ค่อยขยันก็จนลง
ดร นิเวศน์ สรุปว่า ควรกระจายการลงทุนออกไปเพื่อลดความเสี่ยง
แต่ถ้าเราไม่รวย เราต้องอดทน ใจเย็น ลงทุนหุ้นที่ชัวร์ กิจการมั่นคง อยู่ยาว
บริษัทอยู่มานาน ซื่อสัตย์ อย่าไปตามคนที่รวยเร็ว
อย่าไปเล่นหุ้นเก็งกำไร อยู่แบบเดิม แต่ลงทุนหุ้นที่มีYieldเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นไม่ทำให้เรารวยขึ้น แต่ทำให้เราได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเดิม
การเล่าเตือน บอกประสบการณ์ เป็นการให้พรปีใหม่
คำถามสุดท้าย ให้คะแนนตลาดหุ้นไทยปีนี้
คุณประภาส ให้ 7 คะแนน
คุณปริญญ์ ให้ 8 คะแนน จากปัจจัยภายนอกดี ปีแห่งการตักตวง
เสี่ยป๋อง ให้ 8 คะแนน ครึ่งปีแรก แล้วมารายการบอกคะแนนในครึ่งปีหลัง
อ เสน่ห์ ตบท้ายด้วยกลอนก่อนจบสัมมนา
“ประภาสว่าหุ้นไทยอาจไปต่อ
คำถามก้อขึ้นสามปีมีกี่หน
สี่สิบปีมีสองครั้งหวังเวียนวน
ปรับฐานบนเป็นได้ในปีนี้
คุณปริญญ์ว่าฝรั่งเขาเฝ้ามองอยู่
ฝรั่งรู้ว่าเศรษฐกิจไทยไปไหมนี่
เข้าน้ำมันออกธนาคารบานบุรี
หุ้นใหญ่มีกำลังไม่รั้งรอ
ด้านเสี่ยป๋องมองกราฟยังจ๊าบแจ่ม
ขาสามแหร่มอีกเก้าปีที่ไปต่อ
อาจยึกยักพักแล้วขึ้นฝืนชะลอ
หลังกลางปีอาจมีย่อพอฮึกเหิม
เต่านิเวศน์มองยามนี้มีน้ำมาก
เนื้อลำบากยากเพราะว่าน้ำมาเพิ่ม
หวังวันหนึ่งน้ำหยุดฉุดไม่เติม
หมดแรงเลิกลุยแหลก น้ำแตกเอย”
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อ เสน่ห์
และ Staff Money talk ทุกท่านครับ
หัวข้อ “หลากหลายกลยุทธ์ลุ้นหุ้นปี 61”
เกริ่นนำ แนะนำวิทยากรของสัมมนาช่วงที่สอง
1.คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
เป็นนักลงทุนวีไอ ก่อนหน้านี้เคยบริหารกองทุนแนววีไอ ผลประกอบการดีมาก
ทุกหุ้นที่ลงทุน ต้องไปดูได้ตัวเอง เลือกหุ้นโดยใช้วิธี Bottom up
คือการเลือกหุ้นโดยวิเคราะห์จากข้างล่าง
ช่วงที่น้ำท่วม ก็เช่าเฮลิคอปเตอร์ไปดูพื้นที่ที่น้ำท่วม
2.คุณวัชระ แก้วสว่าง หรือ เซียนป๋อง
เป็นเซียนเทคนิคคนแรกที่ได้รับเชิญมางานสัมมนา Money Talk
เพราะคุณป๋องเป็นพูดตรง แนะนำตรง เป็นคนจิตใจดี
3. คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)
ปกติจะนึกถึงคุณพ่อ คือ ดร ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นนักการเมืองสะอาดที่สุด
ท่านช่วยสร้างชื่อเสียงประเทศไทยในตลาดโลก
4. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูดในฐานะกูรูวีไอ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อ.เสน่ห์ นำกลอนมาขึ้นช่วงต้นรายการ
“กินอาหาร ถูกวิธี นี้หลากหลาย
อย่าเอาง่าย กินซ้ำซ้ำ จำเจแสน
การลงทน หุ้นให้ดี ต้องมีแพลน
ควรรู้แก่น หลากวิธี ที่ลงทุน
จะยึดแนว วีไอ ไปให้สุด
หรือปรับยุทธ์ ใช้เทคนิค จิกเลือกหุ้น
หรือยักย้าย ไปต่างแดน แผนละมุน
หรือลองลุ้น กองทุนเด่น เป็นแนวทาง
เรื่องวีไอ ต้องให้เขา เต่านิเวศน์
คนพิเศษ จอมกูรู รู้ทุกอย่าง
เรื่องเทคนิค จับจังหว วัชระหว่าง
เสี่ยป๋องกาง กลยุทธ์ สุดน่าฟัง
เรื่องกองทุน หุ้นเด่น เน้นฉลาด
คุณประภาส มือเก๋า เขาสุดขลัง
เรื่องต่างแดน เลือกอย่างไร ไม่ให้พัง
คุณปริญญ์ชั่ง เชี่ยวชาญ ชำนาญจริง
ฟังหลากหลาย ลงทุน หุ้นปีจอ
หุ้นยอดหอ ออลไทม์ไฮ ใจต้องนิ่ง
ไม่พลาดผิด ติดดอย หรืออ้อยอิ่ง
ฟังแล้วปิ๊ง เป็นหลักคิด พิชิตชัย “
อ.เสน่ห์ พูดถึงดร นิเวศน์ ช่วงปีใหม่ไปพิชิตยอดดอยเชียงใหม่
เขาได้ขี่เต่า มีภาพประกอบ จากprofile Line ของ ดร นิเวศน์
แสดงว่าความเป็นตัวตน แต่มีคนควบคุมดรอีกคน (ภรรยา)
เข้าสู่เนื้อหาสัมมนา
คำถามแรก “หุ้นไทยในปี61 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นมีมากมาย”
เริ่มที่คุณประภาส
ตอบว่า สินทรัพย์เสี่ยงในตลาดโลกไม่มีติดลบ ตลาดหุ้นสหรัฐบวกติดต่อกันห้าปี
ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป40ปี ผลตอบแทนติดลบ 16 ปี และเป็นบวก 20กว่าปี
ดูจากข้อมูล เคยบวกติดต่อกันต่อเนื่อง นับจากดัชนี106จุด ขึ้น3ปีติดกัน
แล้วลดลง1ปี หลังจากนั้นก็ขึ้นติดต่อกัน 4ปี อีก 400%และ กลับมาลงต่อ
หลังจากนั้นขึ้นติดต่อ3ปี จนดัชนีสูงสุดที่ 1789 จุดในวันที่ 5 มค 2537 แล้วลงยาว
ปีนี้ถ้าบวกอีกเป็นปีที่3 จะเป็นปีที่3บวกติดต่อกัน จะต้องระวัง
ย้อนกลับไปสมัยก่อน เศรษฐกิจดีอย่างต่อเนื่องครั้งแรก ดัชนีบวกจาก100จุดมาเป็น 140จุด
ปรับฐานช่วงนึง และ กลับมาบวกเป็น400กว่าจุด
ช่วง ป๋าเปรม ที่มีโครงการEastern Seaboard
หุ้นบวกจากปี1982 ถึงปี 1993 โดยมีพักติดลบ2ครั้ง
ตอนนี้ไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ น่าจะเป็น S Curve
จากนี้ไปมองยาว น่าจะเป็นยุคทองของไทยอีกยุค
แต่มีความเสี่ยงการปรับฐานเป็นระยะ
การปรับฐานปกติ จะลงท้ายในปีเป็นตัวเลข 7 หรือ 8
ปี17ไม่เจอ ปี 18 ต้องระวัง
การปรับฐานจากตลาดหุ้นโลกกระทบมาที่ตลาดหุ้นไทย
ถ้าไม่ใช่เหตุผลจากเศรษฐกิจของไทย ก็จะขึ้นกลับมาได้ในระยะสั้น
คุณปริญญ์ พูดเป็นคนถัดมาว่า
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีเสน่ห์มากขึ้น
กองทุนไทยมีเงินเยอะ แต่กองทุนต่างประเทศขายเอาๆ ขายสุทธิมาสองปีซ้อน
เพราะฝรั่งมีตัวเลือกให้ลงทุนมากขึ้น
รอบนี้ เป็นอะไรที่โตพร้อมกัน ปีนี้เป็นปียุคทองในเศรษฐกิจในเชิงปริมาณ คือ ตัวเลขGDP
GDPไทยโต4%กว่า ,GDPของUS 3%, GDPโลกก็โตมากกว่าคาด ราคาน้ำมันก็สูง รัสเซียกับซาอุดิ มีวินัย
และต่างกุมกำลังการผลิตน้ำมันโลก ทำให้เห็นว่า มุมมองของGlobal fund มองcommodityว่าดี
แต่กองทุนต่างประเทศมองว่า ตลาดหุ้นไทยปีที่แล้วขึ้นจริง แต่แพ้จีน อินเดีย และ อีกหลายประเทศ
เขารอตัวเลขเศรษฐกิจ ความคืบหน้าของโครงการใหญ่ๆ และ การเลือกตั้งปีนี้มีหรือไม่
ตอนนั้นช่วงที่มีโครงการ Eastern Seaboard เกิดขึ้น เริ่มจาก พลเอก เกรียงศักดิ์
และ พลเอก เปรมมาสานต่อ มีคุณเสนาะ อูนากูลมาดูแล และมีคนเข้าร่วมมากมายในPhase I
ตอนนี้มีท่านเสนาะและคุณคณิตก็มาในช่วยในphaseII โครงการEEC
คุณปริญญ์ ว่าปีที่แล้วฝรั่งกังวลเรื่องการเมือง ตอนนี้คลี่คลายไป
ฝรั่งมองข้ามชอตการเมือง มามองว่าก่อสร้างจะมาจริงหรือเปล่า
แต่เราเจอกฏเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงเช่นอนุญาติให้รายเล็กสามารถเข้าประมูลได้ด้วย
ตอนนี้หลายคนคิดว่าโครงการใหญ่จะไม่เกิด และไปบอกต่างชาติ ทำให้ต่างชาติไม่ค่อยเชื่อมั่นไทย
แต่ตามที่คุณประภาสบอกว่าปีนี้เป็นยุคทองของเศรษฐกิจ
ธนาคารขนาดใหญ่ โดนต่างชาติขายเอา บางธนาคารเจอorderขาย 500ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่flowขายพลังงานไม่เห็น อาจชอบหุ้นพลังงานด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาเลือกอุตสาหกรรมในการลงทุน เช่น หุ้นในกลุ่มน้ำมัน คือ PTTGC
ตอนนี้บางกองทุนต่างประเทศไม่มีการถือธนาคารขนาดใหญ่เลย
แต่ละจังหวัดในต่างจังหวัด มีความเจริญไม่เท่ากัน
คิดว่าโครงการต่างๆของรัฐบาลจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำลงได้
สุดท้ายปีนี้ USมีการเลือกตั้งกลางปี ทรัมป์รู้ว่าปีนี้โตไม่ค่อยดี
GDPชองUS ดูเหมือนโตดี ถ้าตัดsectorพลังงานออกไป
พบว่า GDPโตต่ำกว่า 2%
มีคนจนมากมาย เศรษฐกิจยังฝืดอยู่ SMEยังไม่ดี
เขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตอนนี้มีการกระตุ้นโดยลดภาษีบริษัท ส่งผลดีต่อคนรวย
เศรษฐกิจUSไม่ดี แต่ส่งผลดีต่อไทย เพราะดอกเบี้ยไม่ขึ้น
เงินจะไหลเข้าไทยได้ หรือไป cryptocurrency เดี๋ยวมาพูดอีกที
เซียนเทคนิค คุณป๋องขอบคุณดรไพบูลย์ที่เชิญมารายการ
ผมเห็นกับพี่ประภาสโยงดัชนีกลับมา ใครดูกราฟเป็น จะเห็นปี1982 เป็นช่วงเริ่มต้นของหุ้นไทย
เดิมทีไม่เคยดูเทคนิค เล่นหุ้นปีกว่า ดัชนีขึ้นไป 1789 จุด วันที่ 5 มกราคม 2537(1993)
ตอนนั้นไม่เคยดูกราฟ หุ้นซิลลิ่งทุกวัน หลังฟองสบู่แตกจนดัชนีตกลงเหลือแค่ 204 จุด
ผมเป็นวีไอแท้จริง ถือหุ้นมาตลอดทาง ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมธนาคารถึงเจ๊ง
ล้มลุก สุดท้ายก็ cut loss ไปตอนดัชนี204จุด
ช่วงนั้นเจอนักเทคนิคที่เก่ง เลยขอให้สอนกราฟ และ ตัวคุณป๋องกลับไปดูกราฟในอดีต
เห็นกราฟ สามเหลี่ยมรูปใหญ่มาก แต่ตัดลงตอนดัชนี 1,500 ตอนนั้นก็ซื้อถัวลงมา
จนถึง 800จุดก็เลิกถัว แต่ถือมาถึงดัชนี200จุด ถือว่าเป็นวีไอในช่วงนั้น
เซียนป๋อง พูดว่า วีไอ ควบคู่ เทคนิคอล จะแมทกันได้ดี
ศึกษาเทคนิคเป็นส่วนนึง แต่เราต้องรู้พื้นฐานของบริษัทแต่ละบริษัทด้วย
เทคนิคทำให้เรารู้ว่าหุ้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร
บางคนดูพื้นฐาน แต่ถ้าใช้กราฟดูราคาที่ผ่านมาอาจไม่กล้าซื้อ
ต้นปีที่แล้ว คิดว่าหุ้นขึ้นแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะมองเรื่องคลื่นElliott Wave
คลี่นของหุ้นไทยอยู่ขาสาม เรียกว่า Grand super cycle
ขาขึ้นมี5ขา ขึ้นขาหนึ่ง ลงสอง ขึ้นสาม ลงสี่ ขึ้นห้า
ขาสามยาวมาก
ปี1975 ดัชนีอยู่ที่100 จุด ใช้ระยะเวลา 19 ปี จบขาหนึ่งใหญ่
ขาสองจบปี 2008 มีขาสามต่อ และมีคลื่นย่อย
ขาa ดัชนี 700 จุด , ขาb ปี2007 , ขาc ดัชนี380จุด (ปี2008) ใช้เวลา14 ปี
ดังนั้นตลาดหุ้นไทยอยู่ขาสาม เราสามารถทำhighเกินขาหนึ่งที่ดัชนี 1789 จุดแล้ว
ตามตำรา ดัชนีไปอีกไกลมากจนไม่กล้าพูด
ขาหนึ่งใช้เวลา19 ปี
ขาสองใช้เวลา 14 ปี
ขาสาม น่าจะใช้เวลามากกว่า 19 ปี เพราะยอดสูงกว่าขาหนึ่ง
ดังนั้นจะเหลืออีก 9 ปี แต่ดัชนีมีขึ้นและลงในระหว่างนั้น
มีขาย่อยอีก5ขา ตอนนี้กำลังจะจบขาหนึ่งใหญ่ ซึ่งตอนนี้มี5 ขา
ปีนี้น่าจะระวังตัว เป้าหมายของดัชนีที่ 1,925 จุด
ถ้าขาสามเท่ากับขาหนึ่ง ถ้าดูจากFibonacciที่161.8% คิดเป็นดัชนี 2,700 จุด
ปีที่แล้วเป็นปีไก่ตรงกับปีพ.ศ 2537 ตำราจีน ตอนนั้นถือว่ายังเป็นปีไก่
เพราะยังไม่ข้ามตรุษจีน ต้องอาศัยความรู้วีไอของวิทยากรมาช่วยยืนยัน
ที่ผมคำนวณ รัฐบาลได้ทำโครงการต่างๆมากมาย
อาจได้เห็น Rating ในการลงทุนที่ดีขึ้น
ระยะสั้นSET50 หุ้นมีPE 40 เท่า แต่ยังหุ้นอีก 25 ตัวที่PE 15 เท่าด้วย
ผมคิดว่าดัชนีจะจบในกลางปีนี้ หุ้นใหญ่จะเป็นหุ้นที่ขึ้น แต่น่าจะเป็นหุ้นไม่แพงด้วย
หุ้นในตลาดDow Jones หุ้นที่ขึ้นมารับข่าวล่วงหน้าจากลดภาษีหรือเปล่า
แอบเสียว ตีกราฟมา น่าจะไม่เกิน 28,000 จุดไม่น่าจะขึ้นอีกเยอะเพราะห่างจาก
ตอนนี้เพียงพันกว่าจุดเอง ตอนนี้อยู่ในขาห้าของขาหนึ่งใหญ่แล้ว น่ากลัวมาก
เรื่องเทคนิค ต้องมีระดมความคิดเพื่อยืนยันอีกที
แต่ที่หนักใจ ธุรกิจในเมืองไทยเป็น old economy
เพราะฉะนั้นตลาดทุนจะไปทางไหน
อนาคตประเทศในโลกมีแผนการลดการใช้น้ำมันทั่วโลก
บ้านเรา หุ้นขนาดใหญ่ที่listในตลาดหลักทรัพย์ คือบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่
สมัยก่อนมีประกอบด้วยกลุ่ม Bank ,Finance ,Property
ตอนนี้เป็นยุคพลังงานไฟฟ้าทดแทน
ดร นิเวศน์ เสริม ผมทำนายรอบนี้เป็น Grand super cycle ถือว่ายาว
ดัชนี 2,790 จุด ถือว่าน้อยเกินไป
แบบที่ผมคิด ถ้าหุ้นขึ้นปีละ 10% เป็นเวลา7ปี
ใช้กฏ72 ดัชนีก็ขึ้นได้ถึง 3,600 จุด
ถ้า9ปี น่าจะเป็น 4,000 จุด
คุณป๋อง เสริมว่า แนวต่อไปของFibonacci = 4,400 จุด
ดร นิเวศน์พูดต่อว่า มองแบบวีไอ ราคาหุ้นจะขึ้นได้ต้องมีกำไร
กำไรขึ้นเท่าไหร่ ราคาหุ้นก็ขึ้นตามนั้น แต่ถ้าขึ้นเกินไป ก็เป็นการเก็งกำไร
ตอนปี 2551 ปีนั้นตลาดหุ้นไทยกำไร 3แสนล้านบาท ปีที่แล้ว กำไร 9แสนล้านบาท
แสดงว่า 9 ปี กำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ราคาหุ้นควรขึ้น 3 เท่า
ดัชนีตอนนั้นอยู่ประมาณ 400 จุด
แต่ดัชนีตอนนี้ 1,800จุด ขึ้นมา 4เท่ากว่า แสดงว่าเป็นน้ำ (ย้อนดูข้างบน)
ตอนนั้น หุ้นมีPE 10ต้นๆ ตอนนี้ PE 10ปลายๆ ถ้าน้ำหายไป หรือ Fundflowหายไป
หุ้นไทยแพงเกินไป เพราะตอนนี้น้ำเยอะจากการใส่เงินเข้ามา ทำให้คนซื้อหุ้นกันเยอะ
โดยเฉพาะกองทุนเข้ามาซื้อเยอะ
คนกลัวตกรถ ดังนั้นคนมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์2 ล้านคนแล้ว
ซื้อโดยไม่สนใจว่าแพงไหม ผมเลยพยากรณ์ว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่ารอด
ดัชนีDow jonesขึ้นไป3เท่า ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 17%ต่อปี
จาก 9ปีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นไทยขึ้น 20%ต่อปี ในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นประกอบด้วยหุ้น2กลุ่ม
1. กลุ่มFundamental ราคาหุ้นเหมาะสม มีพื้นฐาน
2. กลุ่มฟองสบู่ ประมาณ ไม่กี่สิบตัว แต่มีน้ำเยอะ
เป็นหุ้นที่มีPE100เท่า ที่ซ่อนอยู่ในน้ำที่กว้างใหญ่
ถ้าเราไปเล่นก็เสียหาย หุ้นอาจตกได้รุนแรง ให้นักลงทุนระมัดระวัง
คุณป๋องเสริม ตอนจบขาหนึ่งลงขาสอง พักตัวประมาณ 2 ปี ลงได้อย่างต่ำ20%
ส่วนขา3ของขา3ใหญ่ จะดูดี
คำถามที่สอง คำแนะนำในการลงทุนปี61
ควรจัดพอร์ตอย่างไร แบ่งเงินลงทุนในหุ้นเท่าไร ลงทุนต่างประเทศ
หรือไม่ และลงทุนที่ไหน
คุณประภาส ตอบคนแรก
นักลงทุนอาจงง เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ตลาดหุ้นขึ้นมาถึงดัชนี 1,800จุด
การลงทุนหุ้นเป็นรายตัว จะเจอปัญหา เช่นเข้าซื้อหุ้นช้า หรือ ออกช้า
การจัดสินทรัพย์ ไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไรก็ตาม การจัดสินทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญ
ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงก็ลงทุนหุ้นได้เยอะ ตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ถ้าปรับฐานปีนี้แต่กำไรยังเพิ่ม
ความเสี่ยงปีหน้าจะลดลง ติดลบปีนี้ แต่ปีหน้าน่าจะดี
สัดส่วนของพอร์ตที่คุณประภาสแนะนำ
1.หุ้น สัดส่วน 50-60%
ผู้สูงวัย เงินจำกัด อาจลงทุนหุ้นน้อยกว่านี้ เพราะถ้าเจอหุ้นตก จะหาเงินไม่ได้
จัดพอร์ตเชิงรับแทน ลงในกองทุนหุ้นปันผล
2.ตราสารหนี้สัดส่วน 20-30% ดอกเบี้ยต่ำอีก 1-2ปี
อัตราผลตอบแทนประมาณ 1-2%
3.ที่เหลือลงใน REITs ผลตอบแทน 5-6%
ผมเริ่มลงทุนโดยอ่านหนังสือElliott Wave ของคุณนาถสิริ วิมลเฉลาในปี 1989
เห็นด้วยกับเสี่ยป๋อง คลื่นลูกที่ 3 ยาวและใหญ่ด้วย ขนาดใหญ่ 1.78 เท่า
ดังนั้น ดัชนีหลังปรับฐาน ประมาณ1,500+ สองเท่าคือ 3,000จุด =4,500จุด
ตลาดที่พัฒนาแล้วเก่งกว่าสัก2เท่า ดังนั้นGDP 5% บริษัทกำไรโต 10%
ตัวที่ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นมาคือกำไรที่โตขึ้นมาเอง 220%
แต่ตลาดโต 290%หมายถึงที่ ดร นิเวศน์พูดถึงมีน้ำเยอะ PE โตมาเท่ากับ 18 เท่า
ดร นิเวศน์เสริมว่า ถ้าอยากเป็นนักลงทุนวีไอ ก็ต้องขาดทุนก่อน
แนะนำลงในกองทุน มีผลตอบแทน 10-15%
ผมมีมุมมองที่ดีในตลาดหุ้นระยะยาว แต่ตอนนี้ขึ้นมาเยอะ
PB ของตลาดโดยเฉลี่ยที่2.1เท่า กลัวว่าไม่น่าผ่าน
PB 2.2 อาจมีการปรับฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว
คุณปริญญ์ ตอบว่า ดร นิเวศน์ ผิดแค่ 0.5% โดยเอาน้ำไปเติมในเวียดนาม
สถาบันต่างประเทศ เช่น Templeton ไปตั้งสาขาที่เวียดนาม
เงินเริ่มเข้าเวียดนาม ตอนนี้ยังมีหลายบริษัทต่างชาติเตรียมเข้าเวียดนาม
ถ้าแก้ไขข้อกำหนด หรือ ข้อจำกัดได้
ปีที่แล้วค่าเงินบาท แข็ง 9% ถ้ามองใน$ เราแพ้เวียดนามประเทศเดียว
ผมเชื่อว่าไม่พักฐาน หรือ พักฐานไม่แรง แล้วขึ้นรวดเดียว
คุณปริญญ์บอกว่า จะมีการจัดงานเดือนมีนาคา เชิญฝรั่งมาฟังเยอะ
ยังมีฝรั่งที่ยังไม่ได้ลงทุนในไทยเลยอีกเยอะ
เขาไม่ลงทุนในธนาคาร เพราะไม่เชื่อมั่นจากNPLที่ขยายตัว
ปลายมกราคม หรือ ต้น กุมภาพันธ์ ถ้ามีเซนต์สัญญา EEC เงินจะเข้ามาเยอะ
ในแง่รัฐบาลทำแน่
อุตสาหกรรม 4.0 จะเกิดได้จาก การปฏิรูปกฎหมายเก่า ล้าสมัยออกไป
ประเทศไหนที่มีกฎหมายมากในการขอทำธุรกิจ ทำให้คนไม่อยากเข้ามาทำธุรกิจ
ข่าวดีภาครัฐเริ่มรู้และเริ่มทำ E-catalog กฎหมายที่แก้ไข ต่างชาติจะมาลงทุนแบบก้าวกระโดด
อาลีบาบา ร่วมมือกับกลุ่ม ซีพี โดย Ant finance ร่วมมือกับ Ascend Money
และ JD.com Joint venture กับ Central ตั้งบริษัทใหม่ทำE-commerceในไทย
มีการขายสินค้าเข้าไทย และ ขายข้ามไปขายในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
ปีหน้าเราเป็นเจ้าภาพจัดงาน ASIAN
ปีที่แล้วเราถวายความอาลัยมาเกือบทั้งปี
ปีนี้เป็นปีท่องเที่ยว เราเฉลิมฉลองกัน มีการอัดฉีดเงิน
ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งน่าจะเป็นปีหน้า โครงการก่อสร้างจะรีบเซนต์ก่อนการเลือกตั้ง
หุ้นขึ้นแรง จะเกี่ยวกับเศรษฐกิจฐานราก หุ้นกลุ่มส่งออก
Megatrend กำลังจะมา เช่น Aging Society
บางบริษัทที่ไม่เคยทำ eco system ก็เริ่มทำแล้ว
หุ้นเกี่ยวกับทำ Battery charger , charging station
การวัดGDPในอนาคตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป
WHA ได้โจทย์มาว่า Warehouse ในอนาคตจะไม่มีคนอยู่ทำงาน
ใช้ Robot มาทำแทน
วิธีการวัดปริมาณในอนาคตจะเปลี่ยนแปลง เพราะบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจโฆษณาปีนี้พบว่า
Lineไม่เสียภาษี
FACEBOOK เสียภาษี3แสนบาท
ดังนั้นรัฐบาลต้องมีการเปลี่ยนแปลง และมีวิธีการเก็บภาษีใหม่
คุณป๋อง แนะนำ Portปีที่แล้ว อัดหุ้นมาเต็ม ตอนนี้กระจายน้ำออกไปบ้าง ขึ้นกับขนาดของport
ยิ่งสูงยิ่งหนาว ปี 2008 ปัญหาเกิดจากต่างประเทศ แต่กระทบเรา ก็เลยระแวงตลอดเวลา
คุณป๋องเห็นว่ากราฟชัน ก็กระจายหุ้นจากเดิมที่ถือหุ้นจำนวน 2-3 ตัว ที่แพง
เปลี่ยนเป็นหุ้นที่ราคายังถูก 5-6 ตัว ยังคิดว่าหุ้นPEต่ำ พื้นฐานดี ยังไปได้
แต่ตอนนี้เริ่มระวัง แต่ยังปล่อย Let profit run
ดร นิเวศน์
อยู่ตลาดมานาน สังเกตคนมาเยอะ เป็นนักปรัชญาชีวิต
ไม่เชื่อว่าตัวเองมีเงินขนาดนี้
เจอคนที่เรียนไม่เก่ง ไม่ค่อยทำงานหนัก แต่มีเงินพันล้านบาท
ปกติคนที่มีเงินมากๆ ต้องทำอะไรพิเศษ ต้องทุ่มเทเยอะ ต้องเก่งด้วย
รอบนี้มีคนกลุ่มนึง วีไอ และ เก็งกำไร ที่มีเงินมากๆ
สงสัยว่า พวกนี้ควรมีเงินขนาดนี้หรือเปล่า
ในระยะยาวต้องปรับตัว สังคมไม่ควรเป็นแบบนั้น
ตอนนี้อาจเป็นจุดสูงสุด หรือ ท้ายสุดก็ลงมาที่พื้นฐาน
โลกมีความยุติธรรม เกิดมาจน ก็พยายามมากขึ้น เพื่อให้รวยขึ้น
เกิดมารวย ไม่ค่อยขยันก็จนลง
ดร นิเวศน์ สรุปว่า ควรกระจายการลงทุนออกไปเพื่อลดความเสี่ยง
แต่ถ้าเราไม่รวย เราต้องอดทน ใจเย็น ลงทุนหุ้นที่ชัวร์ กิจการมั่นคง อยู่ยาว
บริษัทอยู่มานาน ซื่อสัตย์ อย่าไปตามคนที่รวยเร็ว
อย่าไปเล่นหุ้นเก็งกำไร อยู่แบบเดิม แต่ลงทุนหุ้นที่มีYieldเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นไม่ทำให้เรารวยขึ้น แต่ทำให้เราได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเดิม
การเล่าเตือน บอกประสบการณ์ เป็นการให้พรปีใหม่
คำถามสุดท้าย ให้คะแนนตลาดหุ้นไทยปีนี้
คุณประภาส ให้ 7 คะแนน
คุณปริญญ์ ให้ 8 คะแนน จากปัจจัยภายนอกดี ปีแห่งการตักตวง
เสี่ยป๋อง ให้ 8 คะแนน ครึ่งปีแรก แล้วมารายการบอกคะแนนในครึ่งปีหลัง
อ เสน่ห์ ตบท้ายด้วยกลอนก่อนจบสัมมนา
“ประภาสว่าหุ้นไทยอาจไปต่อ
คำถามก้อขึ้นสามปีมีกี่หน
สี่สิบปีมีสองครั้งหวังเวียนวน
ปรับฐานบนเป็นได้ในปีนี้
คุณปริญญ์ว่าฝรั่งเขาเฝ้ามองอยู่
ฝรั่งรู้ว่าเศรษฐกิจไทยไปไหมนี่
เข้าน้ำมันออกธนาคารบานบุรี
หุ้นใหญ่มีกำลังไม่รั้งรอ
ด้านเสี่ยป๋องมองกราฟยังจ๊าบแจ่ม
ขาสามแหร่มอีกเก้าปีที่ไปต่อ
อาจยึกยักพักแล้วขึ้นฝืนชะลอ
หลังกลางปีอาจมีย่อพอฮึกเหิม
เต่านิเวศน์มองยามนี้มีน้ำมาก
เนื้อลำบากยากเพราะว่าน้ำมาเพิ่ม
หวังวันหนึ่งน้ำหยุดฉุดไม่เติม
หมดแรงเลิกลุยแหลก น้ำแตกเอย”
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อ เสน่ห์
และ Staff Money talk ทุกท่านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3042
SETROBOT Digital Investment 4.0
ช่วง Gurus Talk
สัมมนานี้ออกตัวนิดนึงว่า ผมอาศัยความเข้าใจจากการสัมมนามาสรุปอาจไม่เหมือนกับที่วิทยากรพูดทุกประโยค
แต่พยายามจะคงใจความสำคัญให้ใกล้เคียงที่สุด
คุณวีระพงษ์ ธัม หรือ คุณหลิน กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
มาพูดถึงการเลือกหุ้นมี2ปัจจัยที่นำมาพิจารณาคือ
การเติบโตของกำไร และ คุณภาพของกำไร
คุณหลินจะให้น้ำหนักกับคุณภาพของกำไรมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่า
บริษัทจะเติบโตไปอย่างมีคุณภาพหรือไม่
แต่นักลงทุนส่วนมากจะดูที่กำไร ถ้ากำไรโตก็เข้ามาซื้อ ในช่วงหลังๆกำไรยังไม่มาเลย
มีแต่storyที่บอกว่าบริษัทจะโตในส่วนของกำไรจากโครงการในอนาคต
ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ราคาหุ้นขึ้นด้วยความคาดหวังอย่างเดียว
หุ้นแบบนี้ต้องควรระวัง
คุณหลินพูดถึง การดูว่าคุณภาพของกำไรของบริษัทจะดูได้อย่างไร
ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และ สามารถทำกำไร
เพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่รวมทั้งสาขาเดิม อย่างนี้ก็จะมั่นใจได้ว่า
บริษัทมีกำไรที่มีคุณภาพ
คุณหลินเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนการลงทุนในหุ้น จะใช้เวลาในการหากำไรในแต่ละไตรมาส
การหาค่าPE , PB ของหุ้นแต่ละตัว ซึ่งใช้เวลานาน ตอนนั้นก็อาศัย Excel File ของพี่ครรชิต
ที่ทำขึ้นมาเพื่อช่วยนักลงทุนในการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินต่างๆในการดูว่าหุ้นต่ำกว่า
มูลค่าพื้นฐานหรือไม่ สมัยก่อน กำไรQ4จะไม่ได้ประกาศออกมา แต่เป็นการประกาศรายได้
และ กำไรของทั้งปีมาแทน ซึ่งนักลงทุนต้องมาหักรายได้และกำไรของทั้ง9เดือนออกจากงบปี
จึงจะรู้ว่ารายได้และกำไรเติบโตอย่างไร ซึ่งเป็นช่องทางในการหาหุ้นที่มีผลประกอบการดีได้
แต่เดี๋ยวนี้ มีโปรแกรมต่างๆซึ่งมาจากเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นช่วยให้เราสามารถรู้ข้อมูลได้ทันที
ทำให้ช่องว่างของการเข้าถึงข้อมูลแคบขึ้นไปอีก เราจะเก่งกว่าคนอื่นได้จากการเอาเวลาที่เมื่อก่อน
เสียไปกับการคำนวณตัวเลขทางการเงินต่างๆซึ่งโปรแกรมสมัยนี้ช่วยได้แล้ว ไปศึกษาข้อมูลเชิงลึก
เพื่อสร้างความได้เปรียบ หรือ เข้าก่อนคนอื่นเขา การเข้าก่อนคนอื่นอาจเป็น นกตัวแรก หรือ หนอนตัวแรก
ที่โดนนกกินก็ได้ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ก่อนคนอื่นก็ยังถือว่าได้เปรียบคนอื่น
ส่วนเรื่อง Crypto currency ที่มีการพูดถึงแพร่หลายว่าน่าสนใจลงทุนหรือไม่
เมื่อสมัย3-4ปีที่ผ่านมา Bit coinราคาไม่ถึงเหรียญ แต่ตอนนี้ราคาเป็นหมื่นเหรียญ
ถ้าเช็คเรื่องความรู้ในเรื่องนี้ ตอบได้เลยว่าเรารู้น้อยกว่าคนที่เชี่ยวชาญ
ดังนั้น ถ้าเรารู้น้อยกว่าคนอื่น และ มาทีหลังคนอื่น เราไม่ควรเข้าไปยุ่งดีกว่า
สุดท้ายขอบคุณ คุณหลินที่มาให้ความรู้กับนักลงทุน
และขอบคุณ KTBST , SETROBOT ที่สนับสนุนสัมมนานี้ครับ
ช่วง Gurus Talk
สัมมนานี้ออกตัวนิดนึงว่า ผมอาศัยความเข้าใจจากการสัมมนามาสรุปอาจไม่เหมือนกับที่วิทยากรพูดทุกประโยค
แต่พยายามจะคงใจความสำคัญให้ใกล้เคียงที่สุด
คุณวีระพงษ์ ธัม หรือ คุณหลิน กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
มาพูดถึงการเลือกหุ้นมี2ปัจจัยที่นำมาพิจารณาคือ
การเติบโตของกำไร และ คุณภาพของกำไร
คุณหลินจะให้น้ำหนักกับคุณภาพของกำไรมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่า
บริษัทจะเติบโตไปอย่างมีคุณภาพหรือไม่
แต่นักลงทุนส่วนมากจะดูที่กำไร ถ้ากำไรโตก็เข้ามาซื้อ ในช่วงหลังๆกำไรยังไม่มาเลย
มีแต่storyที่บอกว่าบริษัทจะโตในส่วนของกำไรจากโครงการในอนาคต
ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ราคาหุ้นขึ้นด้วยความคาดหวังอย่างเดียว
หุ้นแบบนี้ต้องควรระวัง
คุณหลินพูดถึง การดูว่าคุณภาพของกำไรของบริษัทจะดูได้อย่างไร
ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และ สามารถทำกำไร
เพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่รวมทั้งสาขาเดิม อย่างนี้ก็จะมั่นใจได้ว่า
บริษัทมีกำไรที่มีคุณภาพ
คุณหลินเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนการลงทุนในหุ้น จะใช้เวลาในการหากำไรในแต่ละไตรมาส
การหาค่าPE , PB ของหุ้นแต่ละตัว ซึ่งใช้เวลานาน ตอนนั้นก็อาศัย Excel File ของพี่ครรชิต
ที่ทำขึ้นมาเพื่อช่วยนักลงทุนในการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินต่างๆในการดูว่าหุ้นต่ำกว่า
มูลค่าพื้นฐานหรือไม่ สมัยก่อน กำไรQ4จะไม่ได้ประกาศออกมา แต่เป็นการประกาศรายได้
และ กำไรของทั้งปีมาแทน ซึ่งนักลงทุนต้องมาหักรายได้และกำไรของทั้ง9เดือนออกจากงบปี
จึงจะรู้ว่ารายได้และกำไรเติบโตอย่างไร ซึ่งเป็นช่องทางในการหาหุ้นที่มีผลประกอบการดีได้
แต่เดี๋ยวนี้ มีโปรแกรมต่างๆซึ่งมาจากเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นช่วยให้เราสามารถรู้ข้อมูลได้ทันที
ทำให้ช่องว่างของการเข้าถึงข้อมูลแคบขึ้นไปอีก เราจะเก่งกว่าคนอื่นได้จากการเอาเวลาที่เมื่อก่อน
เสียไปกับการคำนวณตัวเลขทางการเงินต่างๆซึ่งโปรแกรมสมัยนี้ช่วยได้แล้ว ไปศึกษาข้อมูลเชิงลึก
เพื่อสร้างความได้เปรียบ หรือ เข้าก่อนคนอื่นเขา การเข้าก่อนคนอื่นอาจเป็น นกตัวแรก หรือ หนอนตัวแรก
ที่โดนนกกินก็ได้ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ก่อนคนอื่นก็ยังถือว่าได้เปรียบคนอื่น
ส่วนเรื่อง Crypto currency ที่มีการพูดถึงแพร่หลายว่าน่าสนใจลงทุนหรือไม่
เมื่อสมัย3-4ปีที่ผ่านมา Bit coinราคาไม่ถึงเหรียญ แต่ตอนนี้ราคาเป็นหมื่นเหรียญ
ถ้าเช็คเรื่องความรู้ในเรื่องนี้ ตอบได้เลยว่าเรารู้น้อยกว่าคนที่เชี่ยวชาญ
ดังนั้น ถ้าเรารู้น้อยกว่าคนอื่น และ มาทีหลังคนอื่น เราไม่ควรเข้าไปยุ่งดีกว่า
สุดท้ายขอบคุณ คุณหลินที่มาให้ความรู้กับนักลงทุน
และขอบคุณ KTBST , SETROBOT ที่สนับสนุนสัมมนานี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3043
สัมมนา ก้าวสู่การลงทุนหุ้นเวียดนามปี2561 By VVI investor
หัวข้อ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นเวียดนามปี 2561
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง
ผู้ดำเนินรายการ คุณจิตติมา ทวาเรศ พิธีกรรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน FM96.5
ดร นิเวศน์ ได้พูดถึงผลตอบแทนการลงทุนในตลาดเวียดนาม ได้ประมาณ 20% แต่ขาดทุนค่าเงิน 10%
เนื่องจากเงินบาทแข็ง ดังนั้นผลตอบแทนสุทธิประมาณ 10%
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศเวเนซุเอล่า เงินเฟ้อเพิ่มสุดๆ ไม่คิดว่าเมืองไทยจะเป็นแบบนั้น
ที่เวียดนามหวังผลตอบแทนระยะยาว ลงทุน5ปี ปีที่แล้วก็ลงทุนหุ้นเวียดนามเพิ่มอีก
ย้อนกลับไปตอนเงินทุนก้อนแรกปลายปี 2013 ประมาณ5%ของพอร์ต
ปีแรกไม่ได้ผลตอบแทนเลย ครบปีที่สองถึงได้กำไร 40%
ก็เลยลงเงินทุนก้อนที่สองเพิ่มอีก 5% ตลาดหุ้นเวียดนามช่วงนั้นไม่ได้ขึ้น แต่พอร์ตเราเพิ่มขึ้น 40%
ปีที่แล้วหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัวขึ้นมากๆ ปีนี้น่าจะถึงรอบของหุ้น Small stock บ้าง (ซึ่งเป็นหุ้นที่ดร ถือ )
เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
รอบแรกที่ซื้อหุ้นเวียดนาม คัดกรองด้วยโรบอต โดยใส่เงื่อนไขว่า PB = 1 , Div yield ที่ต้องการลงไป
รอบหลังไม่ได้ใช้โรบอต ผมไปเวียดนามมาหลายครั้ง ทำให้รู้จักบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามมากขึ้น
รอบหลัง เราเลือกหุ้นเอง 30-40% เป็นหุ้นขนาดกลาง market capของหุ้นแต่ละตัวประมาณ หมื่นกว่าล้าน
หุ้น 5-6 ตัวคิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของพอร์ตหุ้นเวียดนาม
Performanceของพอร์ตหุ้นเวียดนามประมาณเกือบ 20% หุ้นที่ถืออยู่ยังมีอนาคต ตอนนี้ก็รอต่อไป
หุ้นกลุ่มพลังงาน PEแค่ 10เท่า
ที่เวียดนามโตมากกว่าไทยเยอะ
หุ้นเวียดนามถูกๆก็ยังมีเยอะ
สมัยก่อนที่ลงทุนในไทยยังมีหุ้นถูกๆให้เลือก ดังนั้นที่เวียดนามยังมีหุ้นถูกๆเยอะ
คนรุ่นใหม่มีพลังในการหาหุ้น และยังมีโอกาสลงทุนได้ผลตอบแทนดีๆเหมือนตลาดหุ้นไทยสมัยก่อน
ดร ยังถามคนที่มาสัมมนาว่าไปลงทุนที่เวียดนามกันหรือยัง ถ้ายัง ไปเที่ยวก็ยังดี
คุณจิตติมาถามคุณบอลว่าปีที่แล้วผลตอบแทนเป็นอย่างไร
คุณบอลบอกว่า พึ่งกลับจากเวียดนามเมื่อคืน หลังจากไปอยู่ที่นั่นมาหนึ่งสัปดาห์
ตลาดหุ้นเวียดนาม ดีมาก ผลตอบแทนของดัชนีประมาณ 50% ในปีที่แล้ว
แต่คิดเป็นเงินบาทจะหักค่าเงินบาทที่แข็งสุทธิคิดผลตอบแทนประมาณ 30กว่า%
มีหุ้นใหญ่บ้างแต่น้อยกว่าของดร นิเวศน์
หวังว่าหุ้นเล็กและหุ้นขนาดกลางจะกลับมาPerformบ้าง
คุณบอล มองหุ้นเวียดนามเป็นสามกลุ่ม
หุ้นในดัชนีVN30 PE100 เริ่มมีบ้าง แต่ก็อาจมีหุ้นที่อาจจะเป็น superstockก็ได้
หุ้นIPOปีนี้อาจแตกต่างจากปีที่แล้วบ้าง
คุณจิตติมาถามต่อว่า หุ้นใหญ่จะไปต่อหรือจะเปลี่ยนกลุ่มดีคะ
คุณบอลตอบว่า ดูหุ้นเป็นตัวๆ หุ้นใหญ่ที่มีอยู่อาจมีเงินปันผลที่น่าพอใจ
หุ้นsuper growth stock อาจไม่ใช่ Mobile world
ปกติจะเปรียบเทียบหุ้นเวียดนามกับหุ้นไทย
เช่น หุ้นธนาคารของไทยยังถูกกว่าหุ้นธนาคารที่เวียดนาม ก็จะไม่ลงทุนหุ้นธนาคารที่เวียดนาม
วิธีการหาหุ้น ดูเป็นSectorเยอะหน่อย และ ต่อมาดูเป็นรายหุ้น
หุ้นใหญ่แพงขึ้น ทำให้เห็นว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กดูถูกลง
หุ้นที่ขึ้น 50% เป็นหุ้นขนาดใหญ่ 20ตัวแรก
หุ้นmid & small cap เริ่มจะมีgapมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่
หุ้นถูก อาจต้องรอ ถ้าไม่มีcatalyze
หุ้นmid & small cap ต้องมาปิดgapกับหุ้นขนาดใหญ่ (หมายถึงจะขึ้นมาใกล้เคียงกับหุ้นใหญ่)
คุณจิตติมาถาม ดร นิเวศน์ว่าจะเพิ่มหรือลดหุ้นที่ตลาดหุ้นเวียดนามคะ
ดรตอบว่า มีโอกาสเพิ่มแต่คิดว่า เรื่องหุ้นขนาดใหญ่ที่ติดFL มีคนเสนอขายแบบbig lotมา
และเป็นหุ้นที่เราชอบ เราไม่มีเงินสด ก็อาจมีการขายหุ้นไทย และ โอนเงินสดจากไทยไปก่อนจะซื้อ
ดังนั้นต้องมั่นใจว่าหุ้นไทยไม่ดีจริง จึงต้องทำอย่างนี้
ถ้าหุ้นเวียดนามดีแบบมีนัยยะสำคัญ แสดงว่าหุ้นไทยไม่ดี
ปีที่แล้วลงหุ้นไทยพอสมควรหลังจากถือเงินสดมาช่วงนึง ได้returnดี หุ้นที่เราลงทุนก็ใช้ได้
กลายเป็นว่า หุ้นไม่performหมายถึงหุ้นเวียดนาม จะเอาเงินไปเพิ่มเหรอ
ดังนั้น นี่เป็นความคิดแบบปถุชน คนธรรมดา
การเอาเงินออกนอกประเทศไม่ควรมากเกินไป เลยคิดว่า10%สำหรับdiversifiedก็เหลือเฟือ
เลยคิดว่าหุ้นเวียดนามน่าจะมีปรับขึ้นอีกสักรอบ แล้วค่อยไปลงทุนเพิ่ม
เช่น ถ้ามีoffer Mobileworld 2-3ล้านหุ้น ก็อาจสนใจ
ผมไม่เดือดร้อนเรื่องการลงทุน กำไรของหุ้นไทยแค่ 10% ก็พอใจ
ตอนนี้ถ้าลงทุนแล้วจะได้กำไรในตลาดหุ้นไทยสูงๆ คงยากแล้ว
ตอนนี้หุ้นไทยอย่าหวังรวยแบบเศรษฐี โอกาสน้อย
เวลาดูหุ้น จะดูmarket cap จะตัดเรื่องที่ชั่วคราวไปเยอะ
ตอนนี้กำลังสร้างศักยภาพ พอถึงเวลา ก็จะถึงเวลาที่บริษัทโตพอดี
ตอนนี้กำลังวางรากฐาน สร้างศักยภาพอยู่
หุ้นไทย ไม่ได้สร้างฐานแบบเวียดนาม มีประวัติศาสตร์และการสร้างไม่เร็วเท่ากับเวียดนาม
หุ้นที่โตๆเช่น CPN อยู่มาหลายสิบปีถึงจะโตแบบทุกวันนี้
เขาค่อยๆสร้าง เจ้าของไม่ยอมขาดทุนก่อน ทำไปต้องได้กำไร
ไม่เหมือนstartupอย่าไปรอกำไรช่วงแรก ต้องยึดพื้นที่ก่อน กำไรจะตามมาทีหลัง
คุณจิตติมาถาม คุณบอลว่าลงทุนหุ้นเวียดนามสัดส่วนเท่าไหร่
คุณบอลตอบว่า ลงทุนเวียดนามสัก 70%แล้ว ต้องมาพร้อมความใส่ใจอย่างมาก
แต่ไม่แนะนำคนอื่นให้ลงทุนสัดส่วนเยอะ
ผมมีประสบการณ์การลงทุนในหุ้นไทยไม่เยอะ พึ่งมาลงทุนช่วงปี2011
ได้ผลตอบแทนบ้าง หุ้นgrowthไม่ค่อยมีเยอะ แต่PEสูงมาก
หุ้นVRE กลยุทธ์ในการโต เวียดนามเปิดเสรีการค้าเยอะ แต่แอบกีดกันประเทศอื่น
เพื่อคุ้มครองบริษัทในประเทศ
หลังจากที่ไทยไปซื้อค้าปลีกที่เวียดนามเยอะ รัฐบาลเวียดนามเริ่มกลัว
แต่ก็มีปัจจัยสนับสนุนบริษัทให้โตเยอะมากกว่าในเมืองไทย
คุณจิตติมาถาม กลุ่มอุตสาหกรรมใดน่าสนใจ
คุณบอลตอบว่า กลุ่มค้าปลีก กลุ่มaviation
ตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะมีศักยภาพเท่ากับหรือมากกว่าเมืองไทยในระยะยาว
อาจต้องแยกสินค้าของค้าปลีก คือ
สินค้าจำเป็น เช่น สินค้าในMobile world
ส่วนสินค้าไม่จำเป็น เช่น รถยนต์
ท่องเที่ยวในเวียดนาม ได้ประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม เช่น cargo , duty fee
โรงไฟฟ้า 4 บริษัทในเวียดนาม จ่ายไฟเท่ากับ 80%ของทั้งประเทศ
คุณจิตติมาถาม ดร นิเวศน์ว่าจะมีการตีแตกหุ้นเวียดนามหรือไม่
ดร ตอบว่า ธุรกิจในเวียดนามไม่แตกต่างจากไทย แต่เวียดนามโตเร็วมาก
ศักยภาพของไทย เวียดนามก็ไม่เสียเปรียบเราสักเท่าไหร่
เพราะอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวเหมือนกัน วัฒนธรรมก็คล้ายกัน
ประเทศเวียดนาม พอวันหนึ่งก็จะอีลุ่ยฉุยแฉกแบบเราได้
ประเทศไทย มีอากาศอบอุ่น
เวียดนาม ก็มีอุคสาหกรรมผลิตไฟฟ้า บริษัทอีเล็คทรอนิคก็เหมือนเรา
รถยนต์ก็ไม่แพ้เมืองไทย
ดังนั้นต้องดูmarket cap เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น
สิ่งที่ไม่รู้ คือ Rule speculation
เวียดนามที่ทำทางด่วน ขนาดใหญ่กว่าเมืองไทย แต่มีmarket capนิดเดียว
โรงไฟฟ้าที่ไม่โตเพราะแตกต่างจากโรงไฟฟ้าในบ้านเรา
สนามบินของประเทศไทยสามารถบริหารร้านค้า เก็บภาษีสนามบิน แต่ที่เวียดนามมีข้อจำกัดในการโต
เราต้องศึกษาลึกๆก่อนตัดสินใจลงทุน
นี่คือสิ่งที่แตกต่าง ที่เราต้องใส่ใจดู
AOT Market cap โตสุดๆเพราะไม่มีกฎหมายควบคุม
ที่เวียดนาม ตอนนี้บ้านส่วนใหญ๋ไม่มีเครื่องซักผ้า
Infrastructure มี2เรื่องที่ต้องคำนึงคือ
1. Regulation
2. ดอกเบี้ย
อีกประเด็นการกู้เงิน บริษัทออก convertible bond ดอกเบี้ย 8-9%
ถ้าดอกเบี้ยlotใหม่ ที่จ่ายดอกเบี้ยลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนลดลงด้วย
ดอกเบี้ยในเวียดนามประมาณ 10กว่า%
Geography เวียดนามอายุเฉลี่ยอยู่ตรงกลาง แต่ไทยเข้าสู่ aging society
คุณบอลเสริมว่า ที่เวียดนาม รัฐบาลฉลาดมากปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศตัวเอง
ที่เวียดนาม บางอย่างที่แตกต่างจากไทย เช่นการซื้อขายที่ดิน
โรงไฟฟ้าบ้านเขาก็ไม่เหมือนเรา
ต้องคิดว่า ห้างค้าปลีก คู่แข่งเหมือนในไทยหรือเปล่า
ก่อนลงทุนอยากให้ระวังตัว รู้เขารู้เรา
ต้องกลับไปดู Business model อีกที
คุณจิตติมาถามดร นิเวศน์ว่าถ้าไม่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้น
ไปลงทุนในกองทุนรวมคิดเห็นอย่างไร
ดร บอกว่า มีสามวิธีในการลงทุน
1.Active fund : กองทุนปิดDragon capital ซึ่งเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในอังกฤษ
จะมีการdiscount สองต่อ
กองทุนปิดเวลาซื้อก็มีdiscount 20-30% เพราะสภาพคล่องน้อย
2.ซื้อหุ้นถูกๆโดยเลือกหุ้นเอง
3.Passive Fund อีกแบบลงทุนตามindex (ETF)
หุ้นมีวันดี หรือ วันที่ไม่ดี
ถ้าตลาดหุ้นขึ้นหนักๆ ก็มีความเสี่ยงได้
แต่ถ้าถือยาวพอ ก็ซื้อหุ้นเวียดนามได้
ยิ่งถ้าซื้อแบบไม่เสียค่าPremium
หุ้นเวียดนาม ถ้าเราเลือกถูกหุ้น ก็ได้ผลตอบแทนที่ดี
ตอนนี้ต้องมีอ่านข่าวเวียดนามด้วย แต่ก็ดูแบบผ่านๆ
พักเบรก แล้วมาต่อ Business model ของหุ้นเวียดนาม
หัวข้อ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นเวียดนามปี 2561
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง
ผู้ดำเนินรายการ คุณจิตติมา ทวาเรศ พิธีกรรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน FM96.5
ดร นิเวศน์ ได้พูดถึงผลตอบแทนการลงทุนในตลาดเวียดนาม ได้ประมาณ 20% แต่ขาดทุนค่าเงิน 10%
เนื่องจากเงินบาทแข็ง ดังนั้นผลตอบแทนสุทธิประมาณ 10%
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศเวเนซุเอล่า เงินเฟ้อเพิ่มสุดๆ ไม่คิดว่าเมืองไทยจะเป็นแบบนั้น
ที่เวียดนามหวังผลตอบแทนระยะยาว ลงทุน5ปี ปีที่แล้วก็ลงทุนหุ้นเวียดนามเพิ่มอีก
ย้อนกลับไปตอนเงินทุนก้อนแรกปลายปี 2013 ประมาณ5%ของพอร์ต
ปีแรกไม่ได้ผลตอบแทนเลย ครบปีที่สองถึงได้กำไร 40%
ก็เลยลงเงินทุนก้อนที่สองเพิ่มอีก 5% ตลาดหุ้นเวียดนามช่วงนั้นไม่ได้ขึ้น แต่พอร์ตเราเพิ่มขึ้น 40%
ปีที่แล้วหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัวขึ้นมากๆ ปีนี้น่าจะถึงรอบของหุ้น Small stock บ้าง (ซึ่งเป็นหุ้นที่ดร ถือ )
เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
รอบแรกที่ซื้อหุ้นเวียดนาม คัดกรองด้วยโรบอต โดยใส่เงื่อนไขว่า PB = 1 , Div yield ที่ต้องการลงไป
รอบหลังไม่ได้ใช้โรบอต ผมไปเวียดนามมาหลายครั้ง ทำให้รู้จักบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามมากขึ้น
รอบหลัง เราเลือกหุ้นเอง 30-40% เป็นหุ้นขนาดกลาง market capของหุ้นแต่ละตัวประมาณ หมื่นกว่าล้าน
หุ้น 5-6 ตัวคิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของพอร์ตหุ้นเวียดนาม
Performanceของพอร์ตหุ้นเวียดนามประมาณเกือบ 20% หุ้นที่ถืออยู่ยังมีอนาคต ตอนนี้ก็รอต่อไป
หุ้นกลุ่มพลังงาน PEแค่ 10เท่า
ที่เวียดนามโตมากกว่าไทยเยอะ
หุ้นเวียดนามถูกๆก็ยังมีเยอะ
สมัยก่อนที่ลงทุนในไทยยังมีหุ้นถูกๆให้เลือก ดังนั้นที่เวียดนามยังมีหุ้นถูกๆเยอะ
คนรุ่นใหม่มีพลังในการหาหุ้น และยังมีโอกาสลงทุนได้ผลตอบแทนดีๆเหมือนตลาดหุ้นไทยสมัยก่อน
ดร ยังถามคนที่มาสัมมนาว่าไปลงทุนที่เวียดนามกันหรือยัง ถ้ายัง ไปเที่ยวก็ยังดี
คุณจิตติมาถามคุณบอลว่าปีที่แล้วผลตอบแทนเป็นอย่างไร
คุณบอลบอกว่า พึ่งกลับจากเวียดนามเมื่อคืน หลังจากไปอยู่ที่นั่นมาหนึ่งสัปดาห์
ตลาดหุ้นเวียดนาม ดีมาก ผลตอบแทนของดัชนีประมาณ 50% ในปีที่แล้ว
แต่คิดเป็นเงินบาทจะหักค่าเงินบาทที่แข็งสุทธิคิดผลตอบแทนประมาณ 30กว่า%
มีหุ้นใหญ่บ้างแต่น้อยกว่าของดร นิเวศน์
หวังว่าหุ้นเล็กและหุ้นขนาดกลางจะกลับมาPerformบ้าง
คุณบอล มองหุ้นเวียดนามเป็นสามกลุ่ม
หุ้นในดัชนีVN30 PE100 เริ่มมีบ้าง แต่ก็อาจมีหุ้นที่อาจจะเป็น superstockก็ได้
หุ้นIPOปีนี้อาจแตกต่างจากปีที่แล้วบ้าง
คุณจิตติมาถามต่อว่า หุ้นใหญ่จะไปต่อหรือจะเปลี่ยนกลุ่มดีคะ
คุณบอลตอบว่า ดูหุ้นเป็นตัวๆ หุ้นใหญ่ที่มีอยู่อาจมีเงินปันผลที่น่าพอใจ
หุ้นsuper growth stock อาจไม่ใช่ Mobile world
ปกติจะเปรียบเทียบหุ้นเวียดนามกับหุ้นไทย
เช่น หุ้นธนาคารของไทยยังถูกกว่าหุ้นธนาคารที่เวียดนาม ก็จะไม่ลงทุนหุ้นธนาคารที่เวียดนาม
วิธีการหาหุ้น ดูเป็นSectorเยอะหน่อย และ ต่อมาดูเป็นรายหุ้น
หุ้นใหญ่แพงขึ้น ทำให้เห็นว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กดูถูกลง
หุ้นที่ขึ้น 50% เป็นหุ้นขนาดใหญ่ 20ตัวแรก
หุ้นmid & small cap เริ่มจะมีgapมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่
หุ้นถูก อาจต้องรอ ถ้าไม่มีcatalyze
หุ้นmid & small cap ต้องมาปิดgapกับหุ้นขนาดใหญ่ (หมายถึงจะขึ้นมาใกล้เคียงกับหุ้นใหญ่)
คุณจิตติมาถาม ดร นิเวศน์ว่าจะเพิ่มหรือลดหุ้นที่ตลาดหุ้นเวียดนามคะ
ดรตอบว่า มีโอกาสเพิ่มแต่คิดว่า เรื่องหุ้นขนาดใหญ่ที่ติดFL มีคนเสนอขายแบบbig lotมา
และเป็นหุ้นที่เราชอบ เราไม่มีเงินสด ก็อาจมีการขายหุ้นไทย และ โอนเงินสดจากไทยไปก่อนจะซื้อ
ดังนั้นต้องมั่นใจว่าหุ้นไทยไม่ดีจริง จึงต้องทำอย่างนี้
ถ้าหุ้นเวียดนามดีแบบมีนัยยะสำคัญ แสดงว่าหุ้นไทยไม่ดี
ปีที่แล้วลงหุ้นไทยพอสมควรหลังจากถือเงินสดมาช่วงนึง ได้returnดี หุ้นที่เราลงทุนก็ใช้ได้
กลายเป็นว่า หุ้นไม่performหมายถึงหุ้นเวียดนาม จะเอาเงินไปเพิ่มเหรอ
ดังนั้น นี่เป็นความคิดแบบปถุชน คนธรรมดา
การเอาเงินออกนอกประเทศไม่ควรมากเกินไป เลยคิดว่า10%สำหรับdiversifiedก็เหลือเฟือ
เลยคิดว่าหุ้นเวียดนามน่าจะมีปรับขึ้นอีกสักรอบ แล้วค่อยไปลงทุนเพิ่ม
เช่น ถ้ามีoffer Mobileworld 2-3ล้านหุ้น ก็อาจสนใจ
ผมไม่เดือดร้อนเรื่องการลงทุน กำไรของหุ้นไทยแค่ 10% ก็พอใจ
ตอนนี้ถ้าลงทุนแล้วจะได้กำไรในตลาดหุ้นไทยสูงๆ คงยากแล้ว
ตอนนี้หุ้นไทยอย่าหวังรวยแบบเศรษฐี โอกาสน้อย
เวลาดูหุ้น จะดูmarket cap จะตัดเรื่องที่ชั่วคราวไปเยอะ
ตอนนี้กำลังสร้างศักยภาพ พอถึงเวลา ก็จะถึงเวลาที่บริษัทโตพอดี
ตอนนี้กำลังวางรากฐาน สร้างศักยภาพอยู่
หุ้นไทย ไม่ได้สร้างฐานแบบเวียดนาม มีประวัติศาสตร์และการสร้างไม่เร็วเท่ากับเวียดนาม
หุ้นที่โตๆเช่น CPN อยู่มาหลายสิบปีถึงจะโตแบบทุกวันนี้
เขาค่อยๆสร้าง เจ้าของไม่ยอมขาดทุนก่อน ทำไปต้องได้กำไร
ไม่เหมือนstartupอย่าไปรอกำไรช่วงแรก ต้องยึดพื้นที่ก่อน กำไรจะตามมาทีหลัง
คุณจิตติมาถาม คุณบอลว่าลงทุนหุ้นเวียดนามสัดส่วนเท่าไหร่
คุณบอลตอบว่า ลงทุนเวียดนามสัก 70%แล้ว ต้องมาพร้อมความใส่ใจอย่างมาก
แต่ไม่แนะนำคนอื่นให้ลงทุนสัดส่วนเยอะ
ผมมีประสบการณ์การลงทุนในหุ้นไทยไม่เยอะ พึ่งมาลงทุนช่วงปี2011
ได้ผลตอบแทนบ้าง หุ้นgrowthไม่ค่อยมีเยอะ แต่PEสูงมาก
หุ้นVRE กลยุทธ์ในการโต เวียดนามเปิดเสรีการค้าเยอะ แต่แอบกีดกันประเทศอื่น
เพื่อคุ้มครองบริษัทในประเทศ
หลังจากที่ไทยไปซื้อค้าปลีกที่เวียดนามเยอะ รัฐบาลเวียดนามเริ่มกลัว
แต่ก็มีปัจจัยสนับสนุนบริษัทให้โตเยอะมากกว่าในเมืองไทย
คุณจิตติมาถาม กลุ่มอุตสาหกรรมใดน่าสนใจ
คุณบอลตอบว่า กลุ่มค้าปลีก กลุ่มaviation
ตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะมีศักยภาพเท่ากับหรือมากกว่าเมืองไทยในระยะยาว
อาจต้องแยกสินค้าของค้าปลีก คือ
สินค้าจำเป็น เช่น สินค้าในMobile world
ส่วนสินค้าไม่จำเป็น เช่น รถยนต์
ท่องเที่ยวในเวียดนาม ได้ประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม เช่น cargo , duty fee
โรงไฟฟ้า 4 บริษัทในเวียดนาม จ่ายไฟเท่ากับ 80%ของทั้งประเทศ
คุณจิตติมาถาม ดร นิเวศน์ว่าจะมีการตีแตกหุ้นเวียดนามหรือไม่
ดร ตอบว่า ธุรกิจในเวียดนามไม่แตกต่างจากไทย แต่เวียดนามโตเร็วมาก
ศักยภาพของไทย เวียดนามก็ไม่เสียเปรียบเราสักเท่าไหร่
เพราะอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวเหมือนกัน วัฒนธรรมก็คล้ายกัน
ประเทศเวียดนาม พอวันหนึ่งก็จะอีลุ่ยฉุยแฉกแบบเราได้
ประเทศไทย มีอากาศอบอุ่น
เวียดนาม ก็มีอุคสาหกรรมผลิตไฟฟ้า บริษัทอีเล็คทรอนิคก็เหมือนเรา
รถยนต์ก็ไม่แพ้เมืองไทย
ดังนั้นต้องดูmarket cap เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น
สิ่งที่ไม่รู้ คือ Rule speculation
เวียดนามที่ทำทางด่วน ขนาดใหญ่กว่าเมืองไทย แต่มีmarket capนิดเดียว
โรงไฟฟ้าที่ไม่โตเพราะแตกต่างจากโรงไฟฟ้าในบ้านเรา
สนามบินของประเทศไทยสามารถบริหารร้านค้า เก็บภาษีสนามบิน แต่ที่เวียดนามมีข้อจำกัดในการโต
เราต้องศึกษาลึกๆก่อนตัดสินใจลงทุน
นี่คือสิ่งที่แตกต่าง ที่เราต้องใส่ใจดู
AOT Market cap โตสุดๆเพราะไม่มีกฎหมายควบคุม
ที่เวียดนาม ตอนนี้บ้านส่วนใหญ๋ไม่มีเครื่องซักผ้า
Infrastructure มี2เรื่องที่ต้องคำนึงคือ
1. Regulation
2. ดอกเบี้ย
อีกประเด็นการกู้เงิน บริษัทออก convertible bond ดอกเบี้ย 8-9%
ถ้าดอกเบี้ยlotใหม่ ที่จ่ายดอกเบี้ยลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนลดลงด้วย
ดอกเบี้ยในเวียดนามประมาณ 10กว่า%
Geography เวียดนามอายุเฉลี่ยอยู่ตรงกลาง แต่ไทยเข้าสู่ aging society
คุณบอลเสริมว่า ที่เวียดนาม รัฐบาลฉลาดมากปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศตัวเอง
ที่เวียดนาม บางอย่างที่แตกต่างจากไทย เช่นการซื้อขายที่ดิน
โรงไฟฟ้าบ้านเขาก็ไม่เหมือนเรา
ต้องคิดว่า ห้างค้าปลีก คู่แข่งเหมือนในไทยหรือเปล่า
ก่อนลงทุนอยากให้ระวังตัว รู้เขารู้เรา
ต้องกลับไปดู Business model อีกที
คุณจิตติมาถามดร นิเวศน์ว่าถ้าไม่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้น
ไปลงทุนในกองทุนรวมคิดเห็นอย่างไร
ดร บอกว่า มีสามวิธีในการลงทุน
1.Active fund : กองทุนปิดDragon capital ซึ่งเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในอังกฤษ
จะมีการdiscount สองต่อ
กองทุนปิดเวลาซื้อก็มีdiscount 20-30% เพราะสภาพคล่องน้อย
2.ซื้อหุ้นถูกๆโดยเลือกหุ้นเอง
3.Passive Fund อีกแบบลงทุนตามindex (ETF)
หุ้นมีวันดี หรือ วันที่ไม่ดี
ถ้าตลาดหุ้นขึ้นหนักๆ ก็มีความเสี่ยงได้
แต่ถ้าถือยาวพอ ก็ซื้อหุ้นเวียดนามได้
ยิ่งถ้าซื้อแบบไม่เสียค่าPremium
หุ้นเวียดนาม ถ้าเราเลือกถูกหุ้น ก็ได้ผลตอบแทนที่ดี
ตอนนี้ต้องมีอ่านข่าวเวียดนามด้วย แต่ก็ดูแบบผ่านๆ
พักเบรก แล้วมาต่อ Business model ของหุ้นเวียดนาม
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3044
สัมมนา ก้าวสู่การลงทุนหุ้นเวียดนามปี2561
หัวข้อ ประสบการณ์การลงทุนหุ้นเวียดนาม โอกาสและความท้าทายจากบาทแข็งและหุ้นเวียดนามพุ่งสูง
วิทยากร
คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ หรือ คุณเอก ผู้จัดการทั่วไปธนาคารกรุงเทพสาขาประเทศเวียดนาม
คุณพิกุล พิทยาอิสระกุล Vietnam Private Fund Manager บล Phillip
คุณวิศวกร ปันยารชุน หรือ คุณแจ๊ค นักลงทุนประสบการณ์8ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณจิตติมา ทวาเรศ พิธีกรรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน เป็นผู้ดำเนินรายการ
คุณจิตติมาเริ่มคำถามแรก เริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอย่างไร
การขึ้นมาของหุ้นใหญ่ปีที่แล้ว ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมา
คุณวิศวกรหรือคุณแจ๊ค พูดเป็นท่านแรกว่าผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อปี 2008
ช่วงที่ลงทุน การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของภาครัฐไม่ดี ลงทุนห้าปีแรกไม่ค่อยได้อะไร
คุณแจ็คพูดถึง ดร นิเวศน์ว่าดรไปลงทุนช่วงปลายปี 2013 จังหวะดีมาก กระแสเวียดนามค่อยๆดีขึ้น
แต่ถ้าเทียบPerformance กับตลาดหุ้นไทยจะไม่ดี เพราะตอนปี2008 set แค่400จุดเอง
แต่สามปีหลัง ดัชนีหุ้นเวียดนามชนะดัชนีหุ้นไทย โดยปี2017 return 40กว่า%
ผมตั้งเป้าแค่26%ต่อปี
ดูจากศักยภาพของประเทศเป็นหลัก
คุณพิกุลกล่าวเป็นท่านถัดมาว่า ไปลงทุนหลังพี่แจ็คนาน ดูตลาดเวียดนามน่าจะไปได้นาน
ลงทุนจริงจังตั้งแต่ปี2015 ลงทุนแบบVI หุ้นไม่ใหญ่มาก
คิดว่าตลาดมีประสิทธิภาพและเติบโตมาก
คุณธาราบดีหรือคุณเอกกล่าวเป็นท่านที่3ว่า ผมน่าจะอยู่เวียดนามอีกสิบกว่าปี
เมื่อก่อนดูbubble สินเชื่อธนาคารเพิ่มขึ้น50%ในปี 2012
ถือว่าธนาคารเกือบเจ๊งหมด แต่รัฐบาลจัดการดี เปลี่ยนวิธีคิดในการแก้ไขเศรษฐกิจ
ทำอย่างไรให้เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ
คุมอัตราแลกเปลี่ยนให้นิ่งมากจนถึงตอนนี้ ถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด
ส่งออกเดือนละ 18.5 Billion
FDI มากกว่า พันล้านเหรียญ
อีก 10-15ปีข้างหน้า จะโตมากกว่านี้สองเท่า
ผมเข้าไปลงทุนปี2012 ถือว่าเหมือนตลาดหุ้นไทยปี1998(ช่วงต้มยำกุ้ง)
Return ดีมาก ซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พิธีกร คุณจิตติมาสรุปว่ายังเข้าไปได้
คุณจิตติมาถามต่อว่า เข้าไปเวียดนามเหมือนกับเข้าซื้อหุ้นแบบเมืองไทย
คุณแจ็คตอบว่าวิธีการลงทุนอาจไม่เหมือนในไทย
มีการกระจายลงทุนหุ้นค่อนข้างสูง
ซื้อหุ้นจำนวนเยอะตัว ผลตอบแทนไม่ได้กลายเป็น20-30 เท่า
ไม่รู้ว่าหุ้นไหนดี เลยตั้งเป้าถือไม่เกิน15ตัว
และซื้อแบบยิงยาว ทิ้งไว้10ปี สมมติโตปีละ26%ก็โตได้ในระยะยาว
เทียบกับตลาดหุ้นไทยวันก่อนมีรุ่นน้องlineมาบอกว่า portวันเดียวโต300ล้านบาท
อีกคนบอกว่า 10ปีก่อนมีแค่ 10 ล้าน แต่ตอนนี้มี 10,000ล้านบาท โดยถือหุ้นแค่2ตัว
คุณพิกุลตอบว่า ลงทุนในไทยแบบfocus ทำการบ้าน เข้าใจธุรกิจก่อนลงทุน
แต่ในเวียดนามการเข้าถึงข้อมูลยาก ไม่สามารถรู้เรื่องได้ดีเหมือนเมืองไทย
เลยใช้วิธี Top down approach
เรามองว่าอุตสาหกรรมใดได้ประโยชน์ ค่อยมาดูว่า บริษัทไหนดีสุดในอุตสาหกรรม
แต่เรื่องCGต้องใส่ใจด้วย เราอยู่เมืองไทย เราจะรู้ว่าคนไหนดี ไม่ดี
แต่ที่เวียดนามเราต้องหาข้อมูลมากขึ้น
คุณเอกพูดเป็นท่านต่อมาว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดFrontier (Note: ตลาดชายขอบ ยังไม่ถึงขั้น Emerging Market)
CG ไม่สูง หาหุ้นเพชรในตมค่อนข้างยาก
เปรียบไทยเมื่อก่อน น่าซื้อหุ้นใหญ่ทีน่าจะโดนตรวจสอบเยอะเช่น หุ้นธนาคาร
ดูปลอดภัยดีกว่าหุ้นเล็กๆ
ผมจะbuy and forget เพราะเวียดนามจะพีคและค่อยstableในอีก10กว่าปีข้างหน้า
แรงงานถูก ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยินยอมทำในโรงงาน หาแรงงานง่ายไม่เหมือนไทย
คนทำงานในไทยสนใจไปทำ7-11ซึ่งเป็นส่วนภาคserviceมากกว่าไปทำในโรงงาน
ผมทำแค่นี้ก็รอผลประกอบการ เลือกหุ้นใหญ่เป็นหลัก และ ถือยาวไปเลย
ผมต้องทำงานประจำ และ ซื้อหุ้นเป็นประจำเหมือนฝากธนาคาร
คำถามจากคุณจิตติมาว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนหลังจากนี้ไหม
คุณแจ็คตอบว่า ยึดVI เป็นหลักการ แต่ปรับรูปแบบการลงทุน
ตลาดหุ้นเวียดนามจะ All time high หุ้นที่อยู่ในตลาดต่อไปจะไม่ถูก
วิธีการต้องปรับ อนาคตเราจะมองแม่นขนาดไหน
ต้องvaluationมูลค่าในอนาคต
อย่ายึดติดกับเมื่อก่อนที่PE 7 , div 4%
ตอนนี้ PE 17เท่า,div 3%
ดังนั้นต้องvaluationให้ถูกต้อง
ส่วนคุณพิกุลพูดว่าเป็นเรื่องของทั่วโลกที่หุ้นขึ้นหมดมาจากสภาพคล่องล้นโลก
จากแต่ละประเทศปั้มเงินออกมา
มาดูธุรกิจ และ valuation แบบ conservative
ต้นทุน(cost of fund )ถูกลง ราคาหุ้นยังไปต่อได้
การประเมินมูลค่าตอนนี้ WACC ลดลงจาก10กว่า% เหลือ 7%
ดังนั้นราคาไปต่อได้อีก ทุกธุรกิจเติบโตได้
คำถามที่จะต้องหาคือ Cost of fund ที่ reasonable คือเท่าไหร่
เราต้องคิดว่าราคาในอนาคตสมเหตุผลไหม ถ้าใช่ราคาก็ยังแพงได้อีก
คุณเอกพูดว่า ยังไงเราก็ลงทุนระยะยาวเหมือนเดิม
คุณจิตติมาถามวิทยากรว่า หุ้นตีแตกคือหุ้นไหนบ้าง
คุณแจ็ค บอกว่า ให้พูดถึงหุ้นที่พร้อมที่จะถือยาว
ถามดร ก็บอกว่า ลงทุนในหุ้นSuper stock
ตอนนั้นมาลงทุนแบบไม่รู้เรื่อง ตอนนี้นำมาapplyกับหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
Vinmcom (ticker: VIC)มีPE 100 เท่า สมัยนั้นซื้อหุ้นตอนPE40เท่า
เหมือน CPN และ บริษัทลูกที่เป็นretailเข้าตลาด (Vincom Retail, VRE)
เลยยอมซื้อหุ้นแพงตอนหลังบริษัทไปทำเกี่ยวกับรถยนต์ Vin Fast
ส่วนเรื่องท่องเที่ยวก็มีVietjet(VJC) ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติอันดับ2
ภาพสนามบินยังโตได้อีกเยอะน่าจะเป็นsuperstock
อีกบริษัทคือ บ่าวเวียดBao Viet(ticker: BVH) เป็นบริษัทประกันที่เป็นผู้นำทั้งประกันภัยเละประกันชีวิต ก็น่าสนใจ
ส่วนคุณพิกุลบอกว่า เรามองเทรนใหญ่
Trend consumerเพราะสุดท้ายส่งออกดี จ้างงานมากขึ้นมีการขึ้นค่าแรง
ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นทำให้ค้าปลีกน่าจะดี
หุ้นร้านเพชรPNJได้กำไรสามเท่ากว่า
ก่อนหน้านั้น Foreign Room เต็ม ซื้อไม่ได้ เต่ที่ได้มาเป็นช่วงที่เป็นหุ้นที่ซื้อได้เพราะโชคดีที่มีข่าวว่า Dong A Bank ถูกสอบสวน (PNJ ถือหุ้นของ Dong A Bank) บริษัทในเครือญาติมีปัญหา ทำให้ราคา PNJ ร่วงแรงทางคุณพิกุลเลยเข้าไปเก็บ
บริษัทมีสาขาสองร้อยกว่าสาขา ยอดขายหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี
หลังจากนั้น SSS (same store sales)โตdouble digit อีกหลายปี
บริษัทPNJ เป็นแบรนด์ที่มีความเชื่อถือ
อีกตัว บริษัทเหล็ก อ่านออกเสียงว่า ท๊อคฟัค
PE ห้าเท่าเอง มีmarket shareเพิ่มขึ้นทุกปี สร้างโรงงานเพิ่มเติม
Utilizationเต็มเร็วมาก ผู้บริหารมีCGดีมาก
กำไรสองเท่ากว่า
วิธีคิด คือ เรามองtrendของประเทศ ซึ่งมีconstructionมาก
เราโชคดี จีนดั้มราคาเหล็ก แต่เวียดนามมีการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ
ผู้ผลิตเหล็ก (Local producer ) ไม่โดนกระทบ
เพราะรัฐบาลออกมาตรการภาษีปกป้องธุรกิจlocal
คุณเอก บอกว่า (จากนโยบายลดภาษีรถยนต์นำเข้าจากAECเหลือ0%)
ทำให้ค่ายรถยนต์อย่างฮอนด้า ฟอร์ต ชะลอการประกอบรถที่เวียดนาม
แต่มาเร่งผลิตจากไทย อินโด เพื่อเริ่มส่งเข้าเวียดนาม หลังจากคำนวณว่า
ต้นทุนลดลง20% ปรากฏว่ารัฐบาลเวียดนามดัดหลังโดยเพิ่มมาตรการเพื่อชะลอ
การนำเข้ารถ : ผู้สรุป)
รถที่เข้ามามีการเช็คenvironment ทุกรุ่นของแต่ละล๊อต ใช้เวลานานประมาณ 2 เดือน
ต้นทุนการเช็คหลายแสนบาททำให้ต้นทุนการนำเข้ารถจากAECเพิ่มขึ้น
และต้องออก certificate หรือออกกฏเพิ่มป้องกันบริษัทรถที่ส่งเข้าไปเวียดนามแทนการประกอบรถในเวียดนาม
ช่วงปลายธค 17 รัฐบาลเวียดนามให้ส่วนลดภาษีSpare Parts สำหรับนำเข้าอุปกรณ์รถยนต์ เข้ามาประกอบผลิตในประเทศเวียดนาม
ปกติเวียดนามยอดขายรถยนต์300,000กว่าคัน ต่อปี
ผมซื้อvietcom bank ใช้ POS 80%กว่า
ไม่ปล่อยสินเชื่อในบริษัทที่ดูไม่ดี
เป็นธนาคารที่แก้หนี้เสียโดยทำทั้งวิธี IMF , USมาmixกัน
โดยเปิด issue special bond อายุ5ปี โดยยอมให้ทำ amortize
และ เอากำไรมาทำ ทำให้ไม่กระทบกำไรเยอะเหมือนไทย
ซึ่งธนาคารต้องเพิ่มทุน หาคนซื้อยาก
ปกติหนี้เสียเยอะจะทำให้GDPหดตัวมาก
เวียดนามฉลาดมาก ศึกษาว่าไทยเคยล้มอย่างไรก็ไม่ทำ เช่น ไม่เปิด Exim bank
การกู้เงินต่างประเทศ ก็มีโควตา ไม่ใช่ให้บริษัทกู้อย่างไม่จำกัด
ตอนนี้เงินตราต่างประเทศเข้ามา ทุนสำรองมี 3-4 เดือนของนำเข้า และจะเพิ่มขึ้นต่อ
เงินเฟ้อต่ำ Risk ratio ไม่สูงสำหรับธนาคารไปซื้อหุ้น
ถ้าmodel subtainsustainก็ดีด้วย
Vietcapital,SSIได้ประโยชน์จากการที่ตลาดหุนเป็นขาขึ้น
Peitro Vietnam GAS(ticker: GAS)gasเขาเป็นคนสร้างและส่งให้โรงไฟฟ้า ต่างชาติไม่สามารถทำได้ เป็น Monopoly
GAS DE ไม่ถึง 0.3
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว หุ้นที่ซื้อได้ราคาแพง แต่ก็ยังขึ้นได้อีกได้อีก
คำถามต่อมาสำหรับวิทยากรคืออยากให้แชร์มุมที่เป็นประสบการณ์ผิดพลาด
คุณแจ็คตอบว่าที่มีผิดพลาดคือขับรถเลยป้าย มีหุ้นตัวหนึ่งที่ทำรถบรรทุก ได้ประโยชน์จากเหตุกาณ์
การควบคุมน้ำหนักรถเลยทำให้ซื้อหุ้นได้ถูก และ หุ้นขึ้นไป5เท่า ตอนนี้ราคาลงมาเกือบเท่าทุน
มองระยะยาว หุ้นบริษัทนี้ยังพอไหว แต่ก็มีเก็งกำไรบางช่วง ผมไม่อยากขาย
ต้องยอมรับความผันผวนระหว่างทาง
อีกเคส ไปกับน้องเต๋า เจอบริษัทที่ทำเฟอร์นิเจอร์ เชียร์ให้ซื้อ มีการขายที่ดินให้วินกรุ๊ฟ VIN group
เราไม่ได้ซื้อ ปรากฏว่าหุ้นขึ้นแรง แต่หลังจากนั้นลง11floor
เรารอดมาได้อย่างหวุดหวิด
อีกเรื่องเป็นการเสียโอกาส หุ้นบางตัวroomเต็ม(ติดFForeign Limit) ขนาดตลาดตกเยอะยังซื้อไม่ได้
ทำใจซื้อหุ้นpremiumไม่ได้ (หมายถึงซื้อราคาแพงกว่าตลาดตั้งแต่ 7-30%)
เช่น Mobile world(MWG) ถ้าเราซื้อตอนนั้น ก็ขายในราคาpremiumได้
คุณพิกุล บอกว่าจ่ายค่าเรียนเยอะ (ขาดทุนจากการลงทุน)
ตลาดหุ้นเวียดนามมีข่าวเยอะมากเข้าตอนแรก บริษัท JVBC
บริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์ เจ้าของจบจากญี่ปุ่น มีสัมพันธ์ที่ดีกับมีHitachi ได้เป็น Exclusive distributor และมาถือหุ้นใหญ่ด้วย มี board seat
ทำmodelการขาย LeasingMobile unit
มีMobile unitไปตรวจร่างกายพนักงานโรงงานญี่ปุ่นถึงโรงงาน (ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาล) และ คิวเต็มตลอด
ต่อมามีข่าวผู้บริหารโดนจับ ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อ
หุ้นลงมา50% ผู้บริหารญี่ปุ่นบอกว่าจะบริหารเอง
เลยเข้าไปซื้อ ปรากฏว่าหุ้นลงไปอีก 50%
ปรากฏว่าผู้บริหารญี่ปุ่นก็ลาออก สุดท้ายเราเลยต้องออกตาม
แต่มีเคสเจ็บตัวเยอะ คือบริษัท Hoang Huy Services (วังลี HHS)DL
นำเข้ารถจากจีนเพื่อที่จะขายให้ญี่ปุ่น (HDL) เราคิดว่าตลาดน่าจะเติบโตได้ และได้ประโยชน์จากกฎหมายควบคุมน้ำหนัก และน่าจะได้ประโยชน์จากการขนส่ง Logistics เนื่องจากการส่งออกมีมากขึ้น
บริษัทกำไรค่อนข้างดีเพราะเป็นผู้นำเข้ารายเดียว แต่ HDL เป็น dealer
ตอนเข้าหุ้นไปต่อ แต่หลังจากนั้นภาพกลับกัน
ราคาลงมาจุดนึง เลยเข้าไปคุยกับผู้บริหารพบว่า
มีการนำเข้ารถมือสองจากอีกอเมริกาประเทศคิดว่าถือว่าเป็นเรื่องดี
ปรากฏว่าหุ้นยังลงต่อ ราคาหุ้นจนถึง Net-Net(คือเอา current assets – current liabilitiedของบริษัทแล้วยังมากกว่า Mkt cap)ซึ่งถือว่าถูกมาก เพราะบริษัทมีเงินสดเยอะมาก และมีรถยนต์
ถ้าเป็นอย่างที่คิด ถ้ามีปัญหา สามารถขายรถที่มีอยู่ได้ในราคาที่discount20%ก็ยังมีกำไร
แต่สุดท้ายเรามาเจอว่ามีการตั้งบริษัทที่เป็นญาติกัน มาเป็นนายหน้าในการซื้อขาย คล้ายกับมาทำTransfer pricing
ดังนั้นหุ้นเวียดนามมีปัญหาเป็นเรื่องของCGค่อนข้างเยอะต้องระวัง
คุณเอก บอกว่า ผมเทรดแต่หุ้นใหญ่ก็ไม่ค่อยเจอบริษัทที่ไม่มีCG
บริษัทPV gGas ขับรถเลยป้าย ซื้อตอนสี่หมื่น ราคาขึ้นไปและ แต่กลับมาราคาเดิม ยังพอโชคดีที่
ตอนนี้ ราคาขึ้นไปเป็นแสนเหมือนเดิม
คำถามต่อมา จากประสบการณ์การคัดเลือกหุ้นในปัจจุบันช้าไปไหมถ้าเข้าตอนนี้
คุณแจ็คตอบว่า เวียดนามไม่ใช่ประเทศที่ผลตอบแทนอันดับหนึ่ง เพราะประเทศซิมบับเว่ ได้อันดับหนึ่ง
ซึ่งประเทศนี้ดูน่ากลัวกว่าเวียดนามเยอะ
ประเทศเวียดนามคล้ายประเทสไทยเมื่อสมัยก่อนช่วงหลังปี2004 หุ้นไทยขึ้น 100%
ดังนั้นหุ้นเวียดนามขึ้น 47%ถือว่าน้อย
ดังนั้นวิธีดูหุ้นคือ ดูMarket cap เทียบกับ GDPทำให้รู้ว่าหุ้นจะไปต่อได้อีกเยอะไหม
ตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้มีPE 18 เท่า บริษัทมีGrowth 18% ในแง่ PB,Divไม่ขึ้เหร่
ถึงแม้แพงกว่าสมัยก่อน แต่มองอีกสิบปีข้างหน้า
ผมเทียบกับจีน เวียดนามตามจีนอีก 11 ปี
เขาพยายามทำคือไปที่4.0ให้ได้ เพราะมีญี่ปุ่น จีนมาลงทุนในเวียดนามเยอะ
เวียดนามมีอิสระ ไม่กีดกันธุรกิจต่างชาติ เช่น Facebook,Uber,Youtubeเข้ามาทำธุรกิจได้
ไม่มีการกันUber จนlocalจะเจ็ง
เวียดนามมีส่วน4.0 แต่ไทย เป็นแค่ยุค 2.5-3.0 เอง
สรุปว่าไม่ช้าที่จะลงทุนต่อ
คำถาม อยากทราบกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ
คุณพิกุล บอกว่าเวลาลงทุนจะดู Investment timeframe
Vietnam น่าสนใจถ้าเรามองไป 5 ปีข้างหน้าจะดูน่าลงทุน
ตลาดหุ้นมีความผันผวน มีลง 2%กว่าในวันเดียวกัน
ต้องระวัง Vitalityคนที่ไม่มั่นคง จิตใจหวั่นไหวมีโอกาสขาดทุน
อุตสาหกรรมน่าสนใจ
Consumer ค่อนข้างชัวร์ ถ้ารู้ว่าคนอยากได้อะไร ก็ลองหาดู
อุตสาหกรรมที่เป็นMonopoly
ระยะสั้น Privatization , corporatization เอาบริษัทมาlist เข้าตลาด
คุณแจ็ค ตอนลงทุนแรก อุตสาหกรรมคล้ายไทย
ผมลงทุนไทยและเวียดนาม ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยไม่มี
เช่น Tourism ไทยมีโรงแรม
แต่เวียดนาม มี duty free มีสายการบินที่ดีกว่า
ไทย Foodไม่ใหญ่ แต่ที่เวียดนามมีFoodที่ใหญ่กว่าและ listในตลาดหุ้นUS
ธุรกิจBeerก็มี consumerน่าจะเติบโต
Phamasuticle Pharmaceuticalมีบริษัทใหญ่อยู่พอสมควร
Logisticมีทั้งท่าเรือน้ำลึก มี portเต็มไปหมด
MSCI index ประกอบไปด้วยกลุ่มconsumer 50% พยายามมองหุ้นที่ไม่แพงและถือ
คำถามต่อมา แล้วเรื่องค่าเงินน่าเป็นห่วงไหม (ปีที่แล้วค่าเงินบาทแข็งทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน10%)
คุณเอกบอกว่า คิดว่าเวียดนามมี Balance of payment ดีขึ้น
เขาต้องการให้นักธุรกิจไม่ต้องดูค่าเงินในการทำธุรกิจ
พยายามไม่ให้ค่าเงินแกว่งเกิน 1-2%
ค่าเงินตอนนี้นิ่งมาก
เมื่อก่อนมีสงคราม เงินเฟ้อสูง
คนที่ได้เงินเดือน จะเปลี่ยนเป็นถือทองคำ หรือ ที่ดิน
เศรษฐีทุกคนจะถือassetพวกนี้ไว้
Dollarization ทำให้มีตลาดมืดอัตราแตกต่างกันกับตลาดทางการซึ่งพบในพม่า เขมร
แต่เวียดนามมีวิธีการจัดการ มีการmonitorตลอดเวลา
เดี่ยวนี้ส่งออกดี FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) มีคนนอกประเทศโอนเงินเข้ามาเยอะ
ค่าเงินตั้งแต่ปี2012 devalue น้อยมาก ยกเว้นปี 2015 มี Brexit ทำให้ค่าเงินแกว่งเยอะหน่อย
(Stable Foreign Exchange)
แต่ต้องระวัง Publice Debtตอนนี้ติดเพดาน 65% พยายามขอขยายไป 70%แต่ไม่ได้
พยายามขายบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเอาเงินมาลดหนี้ Public Debt
ถ้าไม่เกิดวิกฤต ก็ไม่น่าจะกระทบตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณจิตติมาถามว่า อสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามก็น่าสนใจ
ระหว่างไทยกับเวียดนาม ถามคุณเอกว่าเป็นอย่างไร
คุณเอกบอกว่า ที่ดินที่อยู่นอกเมือง ราคาถูกหน่อย
รถเยอะขึ้นตลอด ในโฮจิมิน รถยนต์ 500,000 คัน รถมอเตอร์ไซด์
6,500,000 คัน ถ้าตัวเลขรถกลับกัน จะกระทบเยอะ
โครงการจัดสรรหมู่บ้าน ที่ให้คนต่างชาติมาซื้อ ไม่เกิน 30%
ให้เช่า50ปี+50ปี
เวียดนามตอนกู้ ให้จ่าย 90% แล้วมาผ่อนอีก 10%
Urbanizationกำลังเกิดในเวียดนาม คนเริ่มแยกออกมาอยู่เองตามคอนโด
ถ้ารถไฟฟ้าเสร็จก็ยังมีโอกาสโตอีก
ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่าหุ้น ให้เช่าคิดเป็น 6-7%
ถามคุณพิกุลเรื่องPrivate fund ขอรายละเอียดของprivate fundของหุ้นเวียดนามที่ดูแลอยู่
คุณพิกุลตอบว่า ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาทโดยไปซื้อหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนส่วนบุคคลของPhillip
เราลงทุนโดยตรง รับเงินปีละครั้ง เวลาเราขายทำกำไรถ้าเอาเงินกลับในปีเดียวกันต้องเสียภาษ๊
ดังนั้นเราให้ถอนปีละครั้ง
ส่วนคุณเอกทิ้งท้ายก่อนปิดสัมมนาส่วนนี้ว่าอยากทำงานจนเกษียณที่เวียดนาม
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้ครับ
ขอบคุณ คุณพรชนก พวงสุข หรือ น้องเป้ที่ช่วยเสริมข้อมูลเพื่อให้บทความสมบูรณ์ขึ้น
หัวข้อ ประสบการณ์การลงทุนหุ้นเวียดนาม โอกาสและความท้าทายจากบาทแข็งและหุ้นเวียดนามพุ่งสูง
วิทยากร
คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ หรือ คุณเอก ผู้จัดการทั่วไปธนาคารกรุงเทพสาขาประเทศเวียดนาม
คุณพิกุล พิทยาอิสระกุล Vietnam Private Fund Manager บล Phillip
คุณวิศวกร ปันยารชุน หรือ คุณแจ๊ค นักลงทุนประสบการณ์8ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณจิตติมา ทวาเรศ พิธีกรรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน เป็นผู้ดำเนินรายการ
คุณจิตติมาเริ่มคำถามแรก เริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอย่างไร
การขึ้นมาของหุ้นใหญ่ปีที่แล้ว ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมา
คุณวิศวกรหรือคุณแจ๊ค พูดเป็นท่านแรกว่าผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อปี 2008
ช่วงที่ลงทุน การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของภาครัฐไม่ดี ลงทุนห้าปีแรกไม่ค่อยได้อะไร
คุณแจ็คพูดถึง ดร นิเวศน์ว่าดรไปลงทุนช่วงปลายปี 2013 จังหวะดีมาก กระแสเวียดนามค่อยๆดีขึ้น
แต่ถ้าเทียบPerformance กับตลาดหุ้นไทยจะไม่ดี เพราะตอนปี2008 set แค่400จุดเอง
แต่สามปีหลัง ดัชนีหุ้นเวียดนามชนะดัชนีหุ้นไทย โดยปี2017 return 40กว่า%
ผมตั้งเป้าแค่26%ต่อปี
ดูจากศักยภาพของประเทศเป็นหลัก
คุณพิกุลกล่าวเป็นท่านถัดมาว่า ไปลงทุนหลังพี่แจ็คนาน ดูตลาดเวียดนามน่าจะไปได้นาน
ลงทุนจริงจังตั้งแต่ปี2015 ลงทุนแบบVI หุ้นไม่ใหญ่มาก
คิดว่าตลาดมีประสิทธิภาพและเติบโตมาก
คุณธาราบดีหรือคุณเอกกล่าวเป็นท่านที่3ว่า ผมน่าจะอยู่เวียดนามอีกสิบกว่าปี
เมื่อก่อนดูbubble สินเชื่อธนาคารเพิ่มขึ้น50%ในปี 2012
ถือว่าธนาคารเกือบเจ๊งหมด แต่รัฐบาลจัดการดี เปลี่ยนวิธีคิดในการแก้ไขเศรษฐกิจ
ทำอย่างไรให้เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ
คุมอัตราแลกเปลี่ยนให้นิ่งมากจนถึงตอนนี้ ถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด
ส่งออกเดือนละ 18.5 Billion
FDI มากกว่า พันล้านเหรียญ
อีก 10-15ปีข้างหน้า จะโตมากกว่านี้สองเท่า
ผมเข้าไปลงทุนปี2012 ถือว่าเหมือนตลาดหุ้นไทยปี1998(ช่วงต้มยำกุ้ง)
Return ดีมาก ซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พิธีกร คุณจิตติมาสรุปว่ายังเข้าไปได้
คุณจิตติมาถามต่อว่า เข้าไปเวียดนามเหมือนกับเข้าซื้อหุ้นแบบเมืองไทย
คุณแจ็คตอบว่าวิธีการลงทุนอาจไม่เหมือนในไทย
มีการกระจายลงทุนหุ้นค่อนข้างสูง
ซื้อหุ้นจำนวนเยอะตัว ผลตอบแทนไม่ได้กลายเป็น20-30 เท่า
ไม่รู้ว่าหุ้นไหนดี เลยตั้งเป้าถือไม่เกิน15ตัว
และซื้อแบบยิงยาว ทิ้งไว้10ปี สมมติโตปีละ26%ก็โตได้ในระยะยาว
เทียบกับตลาดหุ้นไทยวันก่อนมีรุ่นน้องlineมาบอกว่า portวันเดียวโต300ล้านบาท
อีกคนบอกว่า 10ปีก่อนมีแค่ 10 ล้าน แต่ตอนนี้มี 10,000ล้านบาท โดยถือหุ้นแค่2ตัว
คุณพิกุลตอบว่า ลงทุนในไทยแบบfocus ทำการบ้าน เข้าใจธุรกิจก่อนลงทุน
แต่ในเวียดนามการเข้าถึงข้อมูลยาก ไม่สามารถรู้เรื่องได้ดีเหมือนเมืองไทย
เลยใช้วิธี Top down approach
เรามองว่าอุตสาหกรรมใดได้ประโยชน์ ค่อยมาดูว่า บริษัทไหนดีสุดในอุตสาหกรรม
แต่เรื่องCGต้องใส่ใจด้วย เราอยู่เมืองไทย เราจะรู้ว่าคนไหนดี ไม่ดี
แต่ที่เวียดนามเราต้องหาข้อมูลมากขึ้น
คุณเอกพูดเป็นท่านต่อมาว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดFrontier (Note: ตลาดชายขอบ ยังไม่ถึงขั้น Emerging Market)
CG ไม่สูง หาหุ้นเพชรในตมค่อนข้างยาก
เปรียบไทยเมื่อก่อน น่าซื้อหุ้นใหญ่ทีน่าจะโดนตรวจสอบเยอะเช่น หุ้นธนาคาร
ดูปลอดภัยดีกว่าหุ้นเล็กๆ
ผมจะbuy and forget เพราะเวียดนามจะพีคและค่อยstableในอีก10กว่าปีข้างหน้า
แรงงานถูก ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยินยอมทำในโรงงาน หาแรงงานง่ายไม่เหมือนไทย
คนทำงานในไทยสนใจไปทำ7-11ซึ่งเป็นส่วนภาคserviceมากกว่าไปทำในโรงงาน
ผมทำแค่นี้ก็รอผลประกอบการ เลือกหุ้นใหญ่เป็นหลัก และ ถือยาวไปเลย
ผมต้องทำงานประจำ และ ซื้อหุ้นเป็นประจำเหมือนฝากธนาคาร
คำถามจากคุณจิตติมาว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนหลังจากนี้ไหม
คุณแจ็คตอบว่า ยึดVI เป็นหลักการ แต่ปรับรูปแบบการลงทุน
ตลาดหุ้นเวียดนามจะ All time high หุ้นที่อยู่ในตลาดต่อไปจะไม่ถูก
วิธีการต้องปรับ อนาคตเราจะมองแม่นขนาดไหน
ต้องvaluationมูลค่าในอนาคต
อย่ายึดติดกับเมื่อก่อนที่PE 7 , div 4%
ตอนนี้ PE 17เท่า,div 3%
ดังนั้นต้องvaluationให้ถูกต้อง
ส่วนคุณพิกุลพูดว่าเป็นเรื่องของทั่วโลกที่หุ้นขึ้นหมดมาจากสภาพคล่องล้นโลก
จากแต่ละประเทศปั้มเงินออกมา
มาดูธุรกิจ และ valuation แบบ conservative
ต้นทุน(cost of fund )ถูกลง ราคาหุ้นยังไปต่อได้
การประเมินมูลค่าตอนนี้ WACC ลดลงจาก10กว่า% เหลือ 7%
ดังนั้นราคาไปต่อได้อีก ทุกธุรกิจเติบโตได้
คำถามที่จะต้องหาคือ Cost of fund ที่ reasonable คือเท่าไหร่
เราต้องคิดว่าราคาในอนาคตสมเหตุผลไหม ถ้าใช่ราคาก็ยังแพงได้อีก
คุณเอกพูดว่า ยังไงเราก็ลงทุนระยะยาวเหมือนเดิม
คุณจิตติมาถามวิทยากรว่า หุ้นตีแตกคือหุ้นไหนบ้าง
คุณแจ็ค บอกว่า ให้พูดถึงหุ้นที่พร้อมที่จะถือยาว
ถามดร ก็บอกว่า ลงทุนในหุ้นSuper stock
ตอนนั้นมาลงทุนแบบไม่รู้เรื่อง ตอนนี้นำมาapplyกับหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
Vinmcom (ticker: VIC)มีPE 100 เท่า สมัยนั้นซื้อหุ้นตอนPE40เท่า
เหมือน CPN และ บริษัทลูกที่เป็นretailเข้าตลาด (Vincom Retail, VRE)
เลยยอมซื้อหุ้นแพงตอนหลังบริษัทไปทำเกี่ยวกับรถยนต์ Vin Fast
ส่วนเรื่องท่องเที่ยวก็มีVietjet(VJC) ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติอันดับ2
ภาพสนามบินยังโตได้อีกเยอะน่าจะเป็นsuperstock
อีกบริษัทคือ บ่าวเวียดBao Viet(ticker: BVH) เป็นบริษัทประกันที่เป็นผู้นำทั้งประกันภัยเละประกันชีวิต ก็น่าสนใจ
ส่วนคุณพิกุลบอกว่า เรามองเทรนใหญ่
Trend consumerเพราะสุดท้ายส่งออกดี จ้างงานมากขึ้นมีการขึ้นค่าแรง
ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นทำให้ค้าปลีกน่าจะดี
หุ้นร้านเพชรPNJได้กำไรสามเท่ากว่า
ก่อนหน้านั้น Foreign Room เต็ม ซื้อไม่ได้ เต่ที่ได้มาเป็นช่วงที่เป็นหุ้นที่ซื้อได้เพราะโชคดีที่มีข่าวว่า Dong A Bank ถูกสอบสวน (PNJ ถือหุ้นของ Dong A Bank) บริษัทในเครือญาติมีปัญหา ทำให้ราคา PNJ ร่วงแรงทางคุณพิกุลเลยเข้าไปเก็บ
บริษัทมีสาขาสองร้อยกว่าสาขา ยอดขายหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี
หลังจากนั้น SSS (same store sales)โตdouble digit อีกหลายปี
บริษัทPNJ เป็นแบรนด์ที่มีความเชื่อถือ
อีกตัว บริษัทเหล็ก อ่านออกเสียงว่า ท๊อคฟัค
PE ห้าเท่าเอง มีmarket shareเพิ่มขึ้นทุกปี สร้างโรงงานเพิ่มเติม
Utilizationเต็มเร็วมาก ผู้บริหารมีCGดีมาก
กำไรสองเท่ากว่า
วิธีคิด คือ เรามองtrendของประเทศ ซึ่งมีconstructionมาก
เราโชคดี จีนดั้มราคาเหล็ก แต่เวียดนามมีการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ
ผู้ผลิตเหล็ก (Local producer ) ไม่โดนกระทบ
เพราะรัฐบาลออกมาตรการภาษีปกป้องธุรกิจlocal
คุณเอก บอกว่า (จากนโยบายลดภาษีรถยนต์นำเข้าจากAECเหลือ0%)
ทำให้ค่ายรถยนต์อย่างฮอนด้า ฟอร์ต ชะลอการประกอบรถที่เวียดนาม
แต่มาเร่งผลิตจากไทย อินโด เพื่อเริ่มส่งเข้าเวียดนาม หลังจากคำนวณว่า
ต้นทุนลดลง20% ปรากฏว่ารัฐบาลเวียดนามดัดหลังโดยเพิ่มมาตรการเพื่อชะลอ
การนำเข้ารถ : ผู้สรุป)
รถที่เข้ามามีการเช็คenvironment ทุกรุ่นของแต่ละล๊อต ใช้เวลานานประมาณ 2 เดือน
ต้นทุนการเช็คหลายแสนบาททำให้ต้นทุนการนำเข้ารถจากAECเพิ่มขึ้น
และต้องออก certificate หรือออกกฏเพิ่มป้องกันบริษัทรถที่ส่งเข้าไปเวียดนามแทนการประกอบรถในเวียดนาม
ช่วงปลายธค 17 รัฐบาลเวียดนามให้ส่วนลดภาษีSpare Parts สำหรับนำเข้าอุปกรณ์รถยนต์ เข้ามาประกอบผลิตในประเทศเวียดนาม
ปกติเวียดนามยอดขายรถยนต์300,000กว่าคัน ต่อปี
ผมซื้อvietcom bank ใช้ POS 80%กว่า
ไม่ปล่อยสินเชื่อในบริษัทที่ดูไม่ดี
เป็นธนาคารที่แก้หนี้เสียโดยทำทั้งวิธี IMF , USมาmixกัน
โดยเปิด issue special bond อายุ5ปี โดยยอมให้ทำ amortize
และ เอากำไรมาทำ ทำให้ไม่กระทบกำไรเยอะเหมือนไทย
ซึ่งธนาคารต้องเพิ่มทุน หาคนซื้อยาก
ปกติหนี้เสียเยอะจะทำให้GDPหดตัวมาก
เวียดนามฉลาดมาก ศึกษาว่าไทยเคยล้มอย่างไรก็ไม่ทำ เช่น ไม่เปิด Exim bank
การกู้เงินต่างประเทศ ก็มีโควตา ไม่ใช่ให้บริษัทกู้อย่างไม่จำกัด
ตอนนี้เงินตราต่างประเทศเข้ามา ทุนสำรองมี 3-4 เดือนของนำเข้า และจะเพิ่มขึ้นต่อ
เงินเฟ้อต่ำ Risk ratio ไม่สูงสำหรับธนาคารไปซื้อหุ้น
ถ้าmodel subtainsustainก็ดีด้วย
Vietcapital,SSIได้ประโยชน์จากการที่ตลาดหุนเป็นขาขึ้น
Peitro Vietnam GAS(ticker: GAS)gasเขาเป็นคนสร้างและส่งให้โรงไฟฟ้า ต่างชาติไม่สามารถทำได้ เป็น Monopoly
GAS DE ไม่ถึง 0.3
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว หุ้นที่ซื้อได้ราคาแพง แต่ก็ยังขึ้นได้อีกได้อีก
คำถามต่อมาสำหรับวิทยากรคืออยากให้แชร์มุมที่เป็นประสบการณ์ผิดพลาด
คุณแจ็คตอบว่าที่มีผิดพลาดคือขับรถเลยป้าย มีหุ้นตัวหนึ่งที่ทำรถบรรทุก ได้ประโยชน์จากเหตุกาณ์
การควบคุมน้ำหนักรถเลยทำให้ซื้อหุ้นได้ถูก และ หุ้นขึ้นไป5เท่า ตอนนี้ราคาลงมาเกือบเท่าทุน
มองระยะยาว หุ้นบริษัทนี้ยังพอไหว แต่ก็มีเก็งกำไรบางช่วง ผมไม่อยากขาย
ต้องยอมรับความผันผวนระหว่างทาง
อีกเคส ไปกับน้องเต๋า เจอบริษัทที่ทำเฟอร์นิเจอร์ เชียร์ให้ซื้อ มีการขายที่ดินให้วินกรุ๊ฟ VIN group
เราไม่ได้ซื้อ ปรากฏว่าหุ้นขึ้นแรง แต่หลังจากนั้นลง11floor
เรารอดมาได้อย่างหวุดหวิด
อีกเรื่องเป็นการเสียโอกาส หุ้นบางตัวroomเต็ม(ติดFForeign Limit) ขนาดตลาดตกเยอะยังซื้อไม่ได้
ทำใจซื้อหุ้นpremiumไม่ได้ (หมายถึงซื้อราคาแพงกว่าตลาดตั้งแต่ 7-30%)
เช่น Mobile world(MWG) ถ้าเราซื้อตอนนั้น ก็ขายในราคาpremiumได้
คุณพิกุล บอกว่าจ่ายค่าเรียนเยอะ (ขาดทุนจากการลงทุน)
ตลาดหุ้นเวียดนามมีข่าวเยอะมากเข้าตอนแรก บริษัท JVBC
บริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์ เจ้าของจบจากญี่ปุ่น มีสัมพันธ์ที่ดีกับมีHitachi ได้เป็น Exclusive distributor และมาถือหุ้นใหญ่ด้วย มี board seat
ทำmodelการขาย LeasingMobile unit
มีMobile unitไปตรวจร่างกายพนักงานโรงงานญี่ปุ่นถึงโรงงาน (ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาล) และ คิวเต็มตลอด
ต่อมามีข่าวผู้บริหารโดนจับ ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อ
หุ้นลงมา50% ผู้บริหารญี่ปุ่นบอกว่าจะบริหารเอง
เลยเข้าไปซื้อ ปรากฏว่าหุ้นลงไปอีก 50%
ปรากฏว่าผู้บริหารญี่ปุ่นก็ลาออก สุดท้ายเราเลยต้องออกตาม
แต่มีเคสเจ็บตัวเยอะ คือบริษัท Hoang Huy Services (วังลี HHS)DL
นำเข้ารถจากจีนเพื่อที่จะขายให้ญี่ปุ่น (HDL) เราคิดว่าตลาดน่าจะเติบโตได้ และได้ประโยชน์จากกฎหมายควบคุมน้ำหนัก และน่าจะได้ประโยชน์จากการขนส่ง Logistics เนื่องจากการส่งออกมีมากขึ้น
บริษัทกำไรค่อนข้างดีเพราะเป็นผู้นำเข้ารายเดียว แต่ HDL เป็น dealer
ตอนเข้าหุ้นไปต่อ แต่หลังจากนั้นภาพกลับกัน
ราคาลงมาจุดนึง เลยเข้าไปคุยกับผู้บริหารพบว่า
มีการนำเข้ารถมือสองจากอีกอเมริกาประเทศคิดว่าถือว่าเป็นเรื่องดี
ปรากฏว่าหุ้นยังลงต่อ ราคาหุ้นจนถึง Net-Net(คือเอา current assets – current liabilitiedของบริษัทแล้วยังมากกว่า Mkt cap)ซึ่งถือว่าถูกมาก เพราะบริษัทมีเงินสดเยอะมาก และมีรถยนต์
ถ้าเป็นอย่างที่คิด ถ้ามีปัญหา สามารถขายรถที่มีอยู่ได้ในราคาที่discount20%ก็ยังมีกำไร
แต่สุดท้ายเรามาเจอว่ามีการตั้งบริษัทที่เป็นญาติกัน มาเป็นนายหน้าในการซื้อขาย คล้ายกับมาทำTransfer pricing
ดังนั้นหุ้นเวียดนามมีปัญหาเป็นเรื่องของCGค่อนข้างเยอะต้องระวัง
คุณเอก บอกว่า ผมเทรดแต่หุ้นใหญ่ก็ไม่ค่อยเจอบริษัทที่ไม่มีCG
บริษัทPV gGas ขับรถเลยป้าย ซื้อตอนสี่หมื่น ราคาขึ้นไปและ แต่กลับมาราคาเดิม ยังพอโชคดีที่
ตอนนี้ ราคาขึ้นไปเป็นแสนเหมือนเดิม
คำถามต่อมา จากประสบการณ์การคัดเลือกหุ้นในปัจจุบันช้าไปไหมถ้าเข้าตอนนี้
คุณแจ็คตอบว่า เวียดนามไม่ใช่ประเทศที่ผลตอบแทนอันดับหนึ่ง เพราะประเทศซิมบับเว่ ได้อันดับหนึ่ง
ซึ่งประเทศนี้ดูน่ากลัวกว่าเวียดนามเยอะ
ประเทศเวียดนามคล้ายประเทสไทยเมื่อสมัยก่อนช่วงหลังปี2004 หุ้นไทยขึ้น 100%
ดังนั้นหุ้นเวียดนามขึ้น 47%ถือว่าน้อย
ดังนั้นวิธีดูหุ้นคือ ดูMarket cap เทียบกับ GDPทำให้รู้ว่าหุ้นจะไปต่อได้อีกเยอะไหม
ตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้มีPE 18 เท่า บริษัทมีGrowth 18% ในแง่ PB,Divไม่ขึ้เหร่
ถึงแม้แพงกว่าสมัยก่อน แต่มองอีกสิบปีข้างหน้า
ผมเทียบกับจีน เวียดนามตามจีนอีก 11 ปี
เขาพยายามทำคือไปที่4.0ให้ได้ เพราะมีญี่ปุ่น จีนมาลงทุนในเวียดนามเยอะ
เวียดนามมีอิสระ ไม่กีดกันธุรกิจต่างชาติ เช่น Facebook,Uber,Youtubeเข้ามาทำธุรกิจได้
ไม่มีการกันUber จนlocalจะเจ็ง
เวียดนามมีส่วน4.0 แต่ไทย เป็นแค่ยุค 2.5-3.0 เอง
สรุปว่าไม่ช้าที่จะลงทุนต่อ
คำถาม อยากทราบกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ
คุณพิกุล บอกว่าเวลาลงทุนจะดู Investment timeframe
Vietnam น่าสนใจถ้าเรามองไป 5 ปีข้างหน้าจะดูน่าลงทุน
ตลาดหุ้นมีความผันผวน มีลง 2%กว่าในวันเดียวกัน
ต้องระวัง Vitalityคนที่ไม่มั่นคง จิตใจหวั่นไหวมีโอกาสขาดทุน
อุตสาหกรรมน่าสนใจ
Consumer ค่อนข้างชัวร์ ถ้ารู้ว่าคนอยากได้อะไร ก็ลองหาดู
อุตสาหกรรมที่เป็นMonopoly
ระยะสั้น Privatization , corporatization เอาบริษัทมาlist เข้าตลาด
คุณแจ็ค ตอนลงทุนแรก อุตสาหกรรมคล้ายไทย
ผมลงทุนไทยและเวียดนาม ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยไม่มี
เช่น Tourism ไทยมีโรงแรม
แต่เวียดนาม มี duty free มีสายการบินที่ดีกว่า
ไทย Foodไม่ใหญ่ แต่ที่เวียดนามมีFoodที่ใหญ่กว่าและ listในตลาดหุ้นUS
ธุรกิจBeerก็มี consumerน่าจะเติบโต
Phamasuticle Pharmaceuticalมีบริษัทใหญ่อยู่พอสมควร
Logisticมีทั้งท่าเรือน้ำลึก มี portเต็มไปหมด
MSCI index ประกอบไปด้วยกลุ่มconsumer 50% พยายามมองหุ้นที่ไม่แพงและถือ
คำถามต่อมา แล้วเรื่องค่าเงินน่าเป็นห่วงไหม (ปีที่แล้วค่าเงินบาทแข็งทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน10%)
คุณเอกบอกว่า คิดว่าเวียดนามมี Balance of payment ดีขึ้น
เขาต้องการให้นักธุรกิจไม่ต้องดูค่าเงินในการทำธุรกิจ
พยายามไม่ให้ค่าเงินแกว่งเกิน 1-2%
ค่าเงินตอนนี้นิ่งมาก
เมื่อก่อนมีสงคราม เงินเฟ้อสูง
คนที่ได้เงินเดือน จะเปลี่ยนเป็นถือทองคำ หรือ ที่ดิน
เศรษฐีทุกคนจะถือassetพวกนี้ไว้
Dollarization ทำให้มีตลาดมืดอัตราแตกต่างกันกับตลาดทางการซึ่งพบในพม่า เขมร
แต่เวียดนามมีวิธีการจัดการ มีการmonitorตลอดเวลา
เดี่ยวนี้ส่งออกดี FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) มีคนนอกประเทศโอนเงินเข้ามาเยอะ
ค่าเงินตั้งแต่ปี2012 devalue น้อยมาก ยกเว้นปี 2015 มี Brexit ทำให้ค่าเงินแกว่งเยอะหน่อย
(Stable Foreign Exchange)
แต่ต้องระวัง Publice Debtตอนนี้ติดเพดาน 65% พยายามขอขยายไป 70%แต่ไม่ได้
พยายามขายบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเอาเงินมาลดหนี้ Public Debt
ถ้าไม่เกิดวิกฤต ก็ไม่น่าจะกระทบตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณจิตติมาถามว่า อสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามก็น่าสนใจ
ระหว่างไทยกับเวียดนาม ถามคุณเอกว่าเป็นอย่างไร
คุณเอกบอกว่า ที่ดินที่อยู่นอกเมือง ราคาถูกหน่อย
รถเยอะขึ้นตลอด ในโฮจิมิน รถยนต์ 500,000 คัน รถมอเตอร์ไซด์
6,500,000 คัน ถ้าตัวเลขรถกลับกัน จะกระทบเยอะ
โครงการจัดสรรหมู่บ้าน ที่ให้คนต่างชาติมาซื้อ ไม่เกิน 30%
ให้เช่า50ปี+50ปี
เวียดนามตอนกู้ ให้จ่าย 90% แล้วมาผ่อนอีก 10%
Urbanizationกำลังเกิดในเวียดนาม คนเริ่มแยกออกมาอยู่เองตามคอนโด
ถ้ารถไฟฟ้าเสร็จก็ยังมีโอกาสโตอีก
ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่าหุ้น ให้เช่าคิดเป็น 6-7%
ถามคุณพิกุลเรื่องPrivate fund ขอรายละเอียดของprivate fundของหุ้นเวียดนามที่ดูแลอยู่
คุณพิกุลตอบว่า ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาทโดยไปซื้อหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนส่วนบุคคลของPhillip
เราลงทุนโดยตรง รับเงินปีละครั้ง เวลาเราขายทำกำไรถ้าเอาเงินกลับในปีเดียวกันต้องเสียภาษ๊
ดังนั้นเราให้ถอนปีละครั้ง
ส่วนคุณเอกทิ้งท้ายก่อนปิดสัมมนาส่วนนี้ว่าอยากทำงานจนเกษียณที่เวียดนาม
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้ครับ
ขอบคุณ คุณพรชนก พวงสุข หรือ น้องเป้ที่ช่วยเสริมข้อมูลเพื่อให้บทความสมบูรณ์ขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3045
เนื่องในเดือนแห่งวันครู ที่หุ้นไทยทำนิวไฮขึ้นไปเรื่อยๆแบบนี้
ผมมีของดีมาฝากพวกเราชาวเผ่าไทยวีไอกันฮะ
https://youtu.be/wt3Dz8PsMOg
เลือกหุ้นต้องเลือกหุ้นต่ำกว่ามูลค่า (undervalued)
เลือกอาจารย์ต้องเลือกอาจารย์ประเมินค่าไม่ได้(overvalued)
อาจารย์ทั้งสามท่าน อายุรวมกันเกินร้อย ผอร์ทรวมกันเกินหมื่น ประสบการณ์รวมกันเกินโกฎ
สมบัตินอกกายเกินพอ (อ.ลูกอิสานเคยเปรยๆว่า ถ้ามีโอกาส สักวันนึง อยากเป็นผู้บริจาครายบุคคลที่ ยอดบริจาคสูงสุดของประวัติศาสตรชาติไทย)
แต่ยังแบ่งปันข้อคิด ความรู้(และที่สำคัญที่ซู้ด..หุ้น)ให้ลูกศิษย์เสมอมาและต่อไปเรื่อยๆฮะ สาธุ
วีไออดีตอาจารย์ ปัจจุบันอาจม แต่ยังไม่อาเจียน รายงาน
ผมมีของดีมาฝากพวกเราชาวเผ่าไทยวีไอกันฮะ
https://youtu.be/wt3Dz8PsMOg
เลือกหุ้นต้องเลือกหุ้นต่ำกว่ามูลค่า (undervalued)
เลือกอาจารย์ต้องเลือกอาจารย์ประเมินค่าไม่ได้(overvalued)
อาจารย์ทั้งสามท่าน อายุรวมกันเกินร้อย ผอร์ทรวมกันเกินหมื่น ประสบการณ์รวมกันเกินโกฎ
สมบัตินอกกายเกินพอ (อ.ลูกอิสานเคยเปรยๆว่า ถ้ามีโอกาส สักวันนึง อยากเป็นผู้บริจาครายบุคคลที่ ยอดบริจาคสูงสุดของประวัติศาสตรชาติไทย)
แต่ยังแบ่งปันข้อคิด ความรู้(และที่สำคัญที่ซู้ด..หุ้น)ให้ลูกศิษย์เสมอมาและต่อไปเรื่อยๆฮะ สาธุ
วีไออดีตอาจารย์ ปัจจุบันอาจม แต่ยังไม่อาเจียน รายงาน
samatah
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3046
ตอนนี้ กระแสแรงมากๆ กับ BNK48 เลยขออนุญาตมาลงให้ เผื่อมีใครในห้องตกกระแสไป จะได้รู้จักน้องๆ น่ารักๆ แบบกลุ่ม BNK48
ตามภาพข่าวก็มีอธิบายถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดของ BNK48 ก็นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเช่นกัน เช่น ขายบัตรจับมือ แถม cd เพลง ก็จะทำให้คนสนใจที่จะซื้อมากขึ้น แทนการที่จะบอกขาย cd เพลง ซึ่งคนคงไม่สนใจแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆ
ก็ฝากคลิปเพลงคุกกี้เสี่ยงทายมาให้ชมกันด้วยครับ พักผ่อนวันหยุดกับน้องๆ น่ารัก ใสๆ ครับ
https://m.youtube.com/watch?v=mfqJyKm20Z4
ตามภาพข่าวก็มีอธิบายถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดของ BNK48 ก็นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเช่นกัน เช่น ขายบัตรจับมือ แถม cd เพลง ก็จะทำให้คนสนใจที่จะซื้อมากขึ้น แทนการที่จะบอกขาย cd เพลง ซึ่งคนคงไม่สนใจแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆ
ก็ฝากคลิปเพลงคุกกี้เสี่ยงทายมาให้ชมกันด้วยครับ พักผ่อนวันหยุดกับน้องๆ น่ารัก ใสๆ ครับ
https://m.youtube.com/watch?v=mfqJyKm20Z4
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3047
เมืองไทยน่าจะมีบ้างนะครับ พวกกลุ่มเจ้าสัวใหญ่ๆ ของประเทศไทย จับมือกันทำบ้าง
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3048
เรื่องdisruptive healthcare system เนี่ย ผมเดาๆว่าน่าจะออกมามาราวๆ
1. ใช้เทคโนโลยี่ AI มาแทนคน เช่น
หมอเอไอ ที่จีน ได้ข่าวว่ามีหมอเอไอวินิจฉัยโรคได้แม่นกว่าหมอจริงแล้ว แวบๆว่าผิงอันก็มีแอปให้หมอตอบคำถามคนไข้ประกัน ยิ่งโรคที่วินิจฉัยผ่าน"เช็คลิสต์"(criteria)เช่นโรคจิตเวชเนี่ย ส.บ.ม.ย.ห. แค่มีBOTซักประวัติ ได้อาการเกินสามในเจ็ดข้อก็วินิจฉัยได้แล้ว
ข้อจำกัดคือ กฎหมายรับรองให้ใช้เครื่องแทนคนได้ หรือใช้เครื่องที่คนควบคุม แต่ถ้าเครื่องผิดพลาด คนกดปุ่มก็รับเคราะห์ไปแทน ราวๆอีกหน่อยคงมีเครื่องมือแพทย์ที่แม่นกว่าคน,หลากหลายขึ้น (ตอนนี้ก็มีเลสิก เครื่องตรวจแลปนับเม็ดเลือด อ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ )ผิดพลาดน้อยกว่าคน เหมือนselfdrive carที่อุยัติเหตุน้อยกว่าใช้คนขับ
2. บริการตัวเองแบบDIY
ก็คาราโอเกะยังร้องเองฟังเอง สุกี้ยังต้มเองกินเอง ถ่ายเซลฟี่ตัวเอง ซื้อของหยิบเองจ่ายเงินเอง ซื้อตั๋ว,เช็คอินเคร่ื่องบินเอง เล่นหุ้นเองติดดอยเ..เอ๊ย รวยเอง ดังนั้นก็จง..
วัดความดัน เช็ดตัวลดไข้เอง นวดกดจุดเอง ทำแผลเอง ฉีดวัคซีน ฉีดยาเอง เจาะเลือดตรวจแลปสวนท่อต่างๆเอง คลอดลูกเอง (เพิ่งมาเป็นหน้าที่หมอแผนปัจจุบันไม่เกินร้อยปีมั้ง)หยิบเซตเครื่องมือจากshelf ใช้แสกนโค้ดพร้อมวิดีโอวิธีใช้
แม้กระทั่งจัดยาเอง(จริงๆใช้เครื่องจัดยาให้) ไม่ต้องใช้เภสัช ซื้อยาทางเนตได้ไม่ต้องรับยาผ่านมือคน ไม่ต้องเจอเภสัช หมอ พยาบาล ให้เมื่อยตุ้ม
3. เป็นเครือข่ายช่วยกัน ผลัดกัน แชร์กัน จะจ่ายเป็นเงิน หรือจ่ายเป็นเวลาทำง่นคืนให้ก็แล้วแต่
มีผู้ป่วยคนชรานอนติดเตียงอยู่กับบ้าน ก็มีแอปหาคนเฝ้า แลกเวลากัน
วันนี้ฉันดูแลแม่เธอ พรุ่งนี้เธอมาดูแลพ่อฉัน ทำดีหรือไม่ดีก็ใช้กล้องเฝ้าไว้เลย ให้คะแนนกันไป ปรับปรุงกันไป
เรื่องBNK48เนี่ย
business model มันมาจากสาวรำวงฮะ เกือบสามสิบปีที่แล้ว ประสบการณครั้งแรกและครั้งเดียวของผมคือที่ภูเก็ตแถวๆหอนาฬิกาไปทางเส้งโห มีบาร์รำวงตั๋วใบละสามบาท สาวรำวงนุ่งสั้นๆทาหน้าขาวๆแบบนั้นเลย ลูกค้า เอ๊ยFCก็เลือกตั้งแต่ซื้อตัวใบเดียวครั้งเดียว หรือยี่สิบใบเหมาทุกรอบให้สาวคนเดียวในดวงใจ หรือ48ใบเหมาทุกคนเลย แล้วแต่ตามศรัทธาว่าอยากโชว์ป๋าแค่ไหน
ผมไม่เคยฟังเพลงคุกกี้เสี่ยงคุก เลยไปหามาฝากๆเพื่อนๆสมาชิกกันดูฮะ
https://m.youtube.com/watch?t=37s&v=sfLpw6PslTY
วีไอคลุกขี้เสี่ยงตาย
โปรไฟล์ อายุวัยรุ่นไอเด้าแรกแย้มฝาโลง การศึกษาphD (past highschool with Difficuties)
ชอบสีเสียด(เสียดสี) งานอดิเรก:เกรียนหุ้น งานหลักคือลอกหุ้นอาจารย์กับเพื่อนๆ รายงาน
1. ใช้เทคโนโลยี่ AI มาแทนคน เช่น
หมอเอไอ ที่จีน ได้ข่าวว่ามีหมอเอไอวินิจฉัยโรคได้แม่นกว่าหมอจริงแล้ว แวบๆว่าผิงอันก็มีแอปให้หมอตอบคำถามคนไข้ประกัน ยิ่งโรคที่วินิจฉัยผ่าน"เช็คลิสต์"(criteria)เช่นโรคจิตเวชเนี่ย ส.บ.ม.ย.ห. แค่มีBOTซักประวัติ ได้อาการเกินสามในเจ็ดข้อก็วินิจฉัยได้แล้ว
ข้อจำกัดคือ กฎหมายรับรองให้ใช้เครื่องแทนคนได้ หรือใช้เครื่องที่คนควบคุม แต่ถ้าเครื่องผิดพลาด คนกดปุ่มก็รับเคราะห์ไปแทน ราวๆอีกหน่อยคงมีเครื่องมือแพทย์ที่แม่นกว่าคน,หลากหลายขึ้น (ตอนนี้ก็มีเลสิก เครื่องตรวจแลปนับเม็ดเลือด อ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ )ผิดพลาดน้อยกว่าคน เหมือนselfdrive carที่อุยัติเหตุน้อยกว่าใช้คนขับ
2. บริการตัวเองแบบDIY
ก็คาราโอเกะยังร้องเองฟังเอง สุกี้ยังต้มเองกินเอง ถ่ายเซลฟี่ตัวเอง ซื้อของหยิบเองจ่ายเงินเอง ซื้อตั๋ว,เช็คอินเคร่ื่องบินเอง เล่นหุ้นเองติดดอยเ..เอ๊ย รวยเอง ดังนั้นก็จง..
วัดความดัน เช็ดตัวลดไข้เอง นวดกดจุดเอง ทำแผลเอง ฉีดวัคซีน ฉีดยาเอง เจาะเลือดตรวจแลปสวนท่อต่างๆเอง คลอดลูกเอง (เพิ่งมาเป็นหน้าที่หมอแผนปัจจุบันไม่เกินร้อยปีมั้ง)หยิบเซตเครื่องมือจากshelf ใช้แสกนโค้ดพร้อมวิดีโอวิธีใช้
แม้กระทั่งจัดยาเอง(จริงๆใช้เครื่องจัดยาให้) ไม่ต้องใช้เภสัช ซื้อยาทางเนตได้ไม่ต้องรับยาผ่านมือคน ไม่ต้องเจอเภสัช หมอ พยาบาล ให้เมื่อยตุ้ม
3. เป็นเครือข่ายช่วยกัน ผลัดกัน แชร์กัน จะจ่ายเป็นเงิน หรือจ่ายเป็นเวลาทำง่นคืนให้ก็แล้วแต่
มีผู้ป่วยคนชรานอนติดเตียงอยู่กับบ้าน ก็มีแอปหาคนเฝ้า แลกเวลากัน
วันนี้ฉันดูแลแม่เธอ พรุ่งนี้เธอมาดูแลพ่อฉัน ทำดีหรือไม่ดีก็ใช้กล้องเฝ้าไว้เลย ให้คะแนนกันไป ปรับปรุงกันไป
เรื่องBNK48เนี่ย
business model มันมาจากสาวรำวงฮะ เกือบสามสิบปีที่แล้ว ประสบการณครั้งแรกและครั้งเดียวของผมคือที่ภูเก็ตแถวๆหอนาฬิกาไปทางเส้งโห มีบาร์รำวงตั๋วใบละสามบาท สาวรำวงนุ่งสั้นๆทาหน้าขาวๆแบบนั้นเลย ลูกค้า เอ๊ยFCก็เลือกตั้งแต่ซื้อตัวใบเดียวครั้งเดียว หรือยี่สิบใบเหมาทุกรอบให้สาวคนเดียวในดวงใจ หรือ48ใบเหมาทุกคนเลย แล้วแต่ตามศรัทธาว่าอยากโชว์ป๋าแค่ไหน
ผมไม่เคยฟังเพลงคุกกี้เสี่ยงคุก เลยไปหามาฝากๆเพื่อนๆสมาชิกกันดูฮะ
https://m.youtube.com/watch?t=37s&v=sfLpw6PslTY
วีไอคลุกขี้เสี่ยงตาย
โปรไฟล์ อายุวัยรุ่นไอเด้าแรกแย้มฝาโลง การศึกษาphD (past highschool with Difficuties)
ชอบสีเสียด(เสียดสี) งานอดิเรก:เกรียนหุ้น งานหลักคือลอกหุ้นอาจารย์กับเพื่อนๆ รายงาน
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3050
ช่วงนี้ตลาดหุ้นผันผวน บางทีอยู่นอกตลาด
ไปออกกำลังกายบ้างก็อาจจะทำให้จิตใจสงบได้บ้างนะครับ
ขอฝากบทความให้อ่านเผื่อจะมีประโยชน์กับบางท่านได้บ้างครับ
กีฬา กับ การลงทุน
วันนี้ได้มีโอกาสไปร่วมวิ่งในงาน Run for Study
ถือเป็นงานวิ่งงานแรกในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา
เห็นว่ามีหลายอย่างที่สอดคล้องกับการลงทุน
ก็เลยอยากมาแชร์ให้กับเพื่อนๆน้องๆครับ
1. การเรียนรู้
การฝีกซ้อมเพื่อให้สามารถวิ่งได้ นั้น ต้องมีการฝึกเป็นขั้นตอน
เริ่มจากพื้นฐานก่อน ได้แก่การฝึกเดินให้ร่างกายเคยชิน
จากนั้นก็มีการผสมวิ่งลงไป จากนั้นก็เริ่มวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น
หลังจากนั้นก็สามารถวิ่งได้ตามที่เราฝีกมา แต่ถ้าร้างลาไปขาดการ
ฝีกวิ่งนานๆ ก็ต้องมาเริ่มใหม่ ไม่เหมือนการขี่จักรยาน
ซึ่งพอมีทักษะแล้ว. จะติดตัวเราไปตลอด
การลงทุนก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการสำรวจดูว่าเราถนัดกับการลงทุน
แบบไหน หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถข้าม
ขั้นตอนได้ เหมือนกับการวิ่ง ถ้าเราใจร้อนอยากวิ่งให้ได้ระยะทางเยอะ
แต่อาจทำให้บาดเจ็บที่เข่า หรือ ขาได้ ต้องปรับสภาพร่างกายอย่างค่อยเป้นค่อยไป. การลงทุนในช่วงแรกอาจมีการขาดทุนบ้าง แต่เราจะได้บทเรียนเพื่อปรับปรุง
2.Team
การวิ่งถ้าทำกันเป็นทีม จะทำให้การเรียนรู้ไปได้เร็วขึ้น มีการเเลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน มีการช่วยเหลือในระหว่างการวิ่ง เพื่อให้ทุกคนไปถึงจุดหมาย
พร้อมกัน
การลงทุนก็เฉกเช่นเดียวกัน เราควรมีเพื่อนนักลงทุน ที่สามารถช่วยเหลือกัน
ในด้านข้อมูลที่เป็นpublic หรือข้อมูลด้านสัมมนา ซึ่งเป็นข้อสำคัญอย่างนึง
เพื่อให้ขอบข่ายความรู้ขยายได้กว้างขึ้น
และมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จด้านการลงทุนได้เร็วขึ้น
3.สุขภาพ
การวิ่งในระยะยาว ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีไม่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ
เหมือนกับการลงทุนถ้าเราเน้นลงทุนในระยะยาว มีการจัดasset classตาม
ความเหมาะสม ก็สามารถมีอิสระภาพในทางการเงินในโอกาสที่เหมาะสม
ทำให้สุขภาพทางการเงินดีขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพทางกายและใจด้วย
4.การแบ่งปัน
ผมเห็นว่าการจัดวิ่งแต่ละงานเป็นการแบ่งปันให้กับบุคคลอื่นที่ต้องการ
ความช่วยเหลือ และ ยังเป็นการช่วยเหลือสถานที่สาธารณ เช่น สวนลุม
ให้มีรายได้ในการปรับปรุงสถานที่ด้วย
ถ้าเราสามารถที่จะแบ่งปันในเรื่องความรู้ด้านการลงทุน
ก็จะช่วยเหลือนักลงทุนใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดได้ส่วนนึง
โดยเราไม่ต้องหวังผลตอบแทน เพราะสุดท้ายเราก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์
ทางอ้อมจากที่เราได้แบ่งปันไป ในส่วนตัวผม ก่อนการสรุปเนื้อหาสัมมนา
ก็มีการทบทวน ตรวจสอบ หาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เราได้ความรู้มากขึ้น
โดยไม่ได้คิดมาก่อน
เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ถ้าเราสามารถบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ
เราก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ถึงแม้เราจะทำงานประจำก็ตาม
มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีกันนะครับ
ไปออกกำลังกายบ้างก็อาจจะทำให้จิตใจสงบได้บ้างนะครับ
ขอฝากบทความให้อ่านเผื่อจะมีประโยชน์กับบางท่านได้บ้างครับ
กีฬา กับ การลงทุน
วันนี้ได้มีโอกาสไปร่วมวิ่งในงาน Run for Study
ถือเป็นงานวิ่งงานแรกในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา
เห็นว่ามีหลายอย่างที่สอดคล้องกับการลงทุน
ก็เลยอยากมาแชร์ให้กับเพื่อนๆน้องๆครับ
1. การเรียนรู้
การฝีกซ้อมเพื่อให้สามารถวิ่งได้ นั้น ต้องมีการฝึกเป็นขั้นตอน
เริ่มจากพื้นฐานก่อน ได้แก่การฝึกเดินให้ร่างกายเคยชิน
จากนั้นก็มีการผสมวิ่งลงไป จากนั้นก็เริ่มวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น
หลังจากนั้นก็สามารถวิ่งได้ตามที่เราฝีกมา แต่ถ้าร้างลาไปขาดการ
ฝีกวิ่งนานๆ ก็ต้องมาเริ่มใหม่ ไม่เหมือนการขี่จักรยาน
ซึ่งพอมีทักษะแล้ว. จะติดตัวเราไปตลอด
การลงทุนก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการสำรวจดูว่าเราถนัดกับการลงทุน
แบบไหน หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถข้าม
ขั้นตอนได้ เหมือนกับการวิ่ง ถ้าเราใจร้อนอยากวิ่งให้ได้ระยะทางเยอะ
แต่อาจทำให้บาดเจ็บที่เข่า หรือ ขาได้ ต้องปรับสภาพร่างกายอย่างค่อยเป้นค่อยไป. การลงทุนในช่วงแรกอาจมีการขาดทุนบ้าง แต่เราจะได้บทเรียนเพื่อปรับปรุง
2.Team
การวิ่งถ้าทำกันเป็นทีม จะทำให้การเรียนรู้ไปได้เร็วขึ้น มีการเเลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน มีการช่วยเหลือในระหว่างการวิ่ง เพื่อให้ทุกคนไปถึงจุดหมาย
พร้อมกัน
การลงทุนก็เฉกเช่นเดียวกัน เราควรมีเพื่อนนักลงทุน ที่สามารถช่วยเหลือกัน
ในด้านข้อมูลที่เป็นpublic หรือข้อมูลด้านสัมมนา ซึ่งเป็นข้อสำคัญอย่างนึง
เพื่อให้ขอบข่ายความรู้ขยายได้กว้างขึ้น
และมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จด้านการลงทุนได้เร็วขึ้น
3.สุขภาพ
การวิ่งในระยะยาว ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีไม่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ
เหมือนกับการลงทุนถ้าเราเน้นลงทุนในระยะยาว มีการจัดasset classตาม
ความเหมาะสม ก็สามารถมีอิสระภาพในทางการเงินในโอกาสที่เหมาะสม
ทำให้สุขภาพทางการเงินดีขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพทางกายและใจด้วย
4.การแบ่งปัน
ผมเห็นว่าการจัดวิ่งแต่ละงานเป็นการแบ่งปันให้กับบุคคลอื่นที่ต้องการ
ความช่วยเหลือ และ ยังเป็นการช่วยเหลือสถานที่สาธารณ เช่น สวนลุม
ให้มีรายได้ในการปรับปรุงสถานที่ด้วย
ถ้าเราสามารถที่จะแบ่งปันในเรื่องความรู้ด้านการลงทุน
ก็จะช่วยเหลือนักลงทุนใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดได้ส่วนนึง
โดยเราไม่ต้องหวังผลตอบแทน เพราะสุดท้ายเราก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์
ทางอ้อมจากที่เราได้แบ่งปันไป ในส่วนตัวผม ก่อนการสรุปเนื้อหาสัมมนา
ก็มีการทบทวน ตรวจสอบ หาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เราได้ความรู้มากขึ้น
โดยไม่ได้คิดมาก่อน
เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ถ้าเราสามารถบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ
เราก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ถึงแม้เราจะทำงานประจำก็ตาม
มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีกันนะครับ
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3051
เห็นด้วยกับพี่อมรครับ
ยามตลาดผันผวน เราก็ควรอยู่นิ่งๆ ใช้วิชา "ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว" ครับ ตามที่พี่อมรแนะนำ การออกกำลังกาย ก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งในการเปลี่ยนกิจวัตร เพื่อลดความกังวลกับตลาดหุ้นที่ปันผวนมาก
ผมขอแนะนำทางเลือกอีกอย่างคือ การหาหนังสือมาอ่านครับ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นเท่านั้น เราสามารถอ่านหนังสือได้ทุกประเภทที่เราชอบ และเป็นการลงทุนในตนเองอีกด้วยครับ นอกจากการลงทุนในหุ้นแล้ว การลงทุนในความรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีวิชามากขึ้นอีกด้วย เดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมอ่านหนังสือจบไปถึง 8 เล่มเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ตั้งเป้าไว้เพียง 2 เล่มต่อเดือน และในเดือนกุมภาพันธ์ ผ่านมาครึ่งเดือน อ่านจบไป 2 เล่มแล้ว (ที่น้อยกว่าเดือนที่แล้ว ส่วนหนึ่งคือ เพิ่มเติมการจดสรุปหนังสือหลังอ่านจบด้วย ทำให้เสียเวลาเขียนสรุปหนังสือไปพอสมควร แต่ก็เหมือนอ่านหนังสือ 2 รอบทีเดียว เพราะระหว่างสรุป ก็เปิดทบทวนไปด้วย) วิธีนี้ ทำให้ผมออกห่างจากตลาดไปบ้างระดับหนึ่ง
สุดท้าย ก็แนะนำหนังสือที่ผมคิดว่า น่าสนใจมาด้วย ตามภาพครับ เผื่อท่านใดสนใจ ก็ลองหาอ่านนะครับ
ซินเจี่ยยู่อี่ ซิงนี้ฮวดไช้
ขอให้ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวตลอดไปครับ
ยามตลาดผันผวน เราก็ควรอยู่นิ่งๆ ใช้วิชา "ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว" ครับ ตามที่พี่อมรแนะนำ การออกกำลังกาย ก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งในการเปลี่ยนกิจวัตร เพื่อลดความกังวลกับตลาดหุ้นที่ปันผวนมาก
ผมขอแนะนำทางเลือกอีกอย่างคือ การหาหนังสือมาอ่านครับ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นเท่านั้น เราสามารถอ่านหนังสือได้ทุกประเภทที่เราชอบ และเป็นการลงทุนในตนเองอีกด้วยครับ นอกจากการลงทุนในหุ้นแล้ว การลงทุนในความรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีวิชามากขึ้นอีกด้วย เดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมอ่านหนังสือจบไปถึง 8 เล่มเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ตั้งเป้าไว้เพียง 2 เล่มต่อเดือน และในเดือนกุมภาพันธ์ ผ่านมาครึ่งเดือน อ่านจบไป 2 เล่มแล้ว (ที่น้อยกว่าเดือนที่แล้ว ส่วนหนึ่งคือ เพิ่มเติมการจดสรุปหนังสือหลังอ่านจบด้วย ทำให้เสียเวลาเขียนสรุปหนังสือไปพอสมควร แต่ก็เหมือนอ่านหนังสือ 2 รอบทีเดียว เพราะระหว่างสรุป ก็เปิดทบทวนไปด้วย) วิธีนี้ ทำให้ผมออกห่างจากตลาดไปบ้างระดับหนึ่ง
สุดท้าย ก็แนะนำหนังสือที่ผมคิดว่า น่าสนใจมาด้วย ตามภาพครับ เผื่อท่านใดสนใจ ก็ลองหาอ่านนะครับ
ซินเจี่ยยู่อี่ ซิงนี้ฮวดไช้
ขอให้ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวตลอดไปครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3052
มีทติ้งภาคใต้ ยังคงเต็มกันอย่างรวดเร็วภายในหลักวินาทีเช่นเดิม
หากใครเจอปัญหาเว็บเดี้ยง เว็บช้าระหว่างการโพสจอง หรือปัญหา refresh หน้าจอเพื่อให้แสดงโพสรับจอง ก็จะมีโอกาสพลาดที่นั่งในมีทติ้งสูงมากจริงๆ
คนที่จองได้ ถือว่า มีโชคมากๆ บางทีเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีโชควาสนาด้วย เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้น ที่อาจมีรอบการลงทุนที่โชคดีมีกำไร ไม่ใช่ฝีมือก็ได้ ซึ่งผมเจอหลายรอบมาก โดยส่วนใหญ่ มักจะพลาดท่าเสียทีให้ตลาดหุ้นซะมากกว่า
บ่อยครั้งที่การลงทุนที่ได้กำไร ต้องทำแบบฝืนตนเองมากๆ และตอนที่เรากลัวมากๆ ส่วนครั้งไหนที่ลงทุนแบบมั่นใจและกล้าๆ ทีไร มักจบด้วยการขาดทุนเสมอ ไม่รู้ว่า มีใครเป็นแบบนี้บ้างไหมนะครับ
มีทติ้งภาคใต้ q4/60 ผมโชคดีที่จองทันนะครับ ก็คงพยายามจดสรุป และจะมาแชร์ให้เช่นเคยครับ แต่ก่อนไปถึงวันมีทติ้ง ต้องวางแผนหาของกินที่หาดใหญ่ก่อนครับ ฮ่าๆๆๆ สมกับคำกล่าวที่ว่า "กองทัพเดินด้วยท้อง" ^ ^
จบเพียงเท่านี้
#มีทติ้งภาคใต้เป็นมีทติ้งที่คงสถิติเต็มไวมากที่สุดด้วยเวลาเสี้ยววินาทีเมื่อเทียบกับบรรดางานมีทติ้งต่างๆของสมาคมไทยวีไอ
หากใครเจอปัญหาเว็บเดี้ยง เว็บช้าระหว่างการโพสจอง หรือปัญหา refresh หน้าจอเพื่อให้แสดงโพสรับจอง ก็จะมีโอกาสพลาดที่นั่งในมีทติ้งสูงมากจริงๆ
คนที่จองได้ ถือว่า มีโชคมากๆ บางทีเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีโชควาสนาด้วย เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้น ที่อาจมีรอบการลงทุนที่โชคดีมีกำไร ไม่ใช่ฝีมือก็ได้ ซึ่งผมเจอหลายรอบมาก โดยส่วนใหญ่ มักจะพลาดท่าเสียทีให้ตลาดหุ้นซะมากกว่า
บ่อยครั้งที่การลงทุนที่ได้กำไร ต้องทำแบบฝืนตนเองมากๆ และตอนที่เรากลัวมากๆ ส่วนครั้งไหนที่ลงทุนแบบมั่นใจและกล้าๆ ทีไร มักจบด้วยการขาดทุนเสมอ ไม่รู้ว่า มีใครเป็นแบบนี้บ้างไหมนะครับ
มีทติ้งภาคใต้ q4/60 ผมโชคดีที่จองทันนะครับ ก็คงพยายามจดสรุป และจะมาแชร์ให้เช่นเคยครับ แต่ก่อนไปถึงวันมีทติ้ง ต้องวางแผนหาของกินที่หาดใหญ่ก่อนครับ ฮ่าๆๆๆ สมกับคำกล่าวที่ว่า "กองทัพเดินด้วยท้อง" ^ ^
จบเพียงเท่านี้
#มีทติ้งภาคใต้เป็นมีทติ้งที่คงสถิติเต็มไวมากที่สุดด้วยเวลาเสี้ยววินาทีเมื่อเทียบกับบรรดางานมีทติ้งต่างๆของสมาคมไทยวีไอ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3053
มีบริษัทหนึ่ง เพิ่งจดทะเบียนเข้าตลาดมา เกือบๆ 1 ปี โดยก่อนหน้า มีการซื้อบริษัทลูกมาก่อนเข้าตลาดเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น มาถึงวันนี้ ก็ประกาศขายบริษัทย่อยนั้นออกมาแล้ว เข้าใจว่า
1. ตอนซื้อ อาจถูกหลอกให้ซื้อบริษัทย่อย เพื่อทำให้ขนาดบริษัทใหญ่พอเอาเข้าตลาด
2. ทำการซื้อมาในราคาแพง และใช้วิธีการแลกหุ้น โดยเอาหุ้นของบริษัทที่จะจดทะเบียนให้กับเจ้าของเดิมของบริษัทย่อย นั่นคือ เจ้าของเดิมบริษัทย่อย จะไม่ได้ถือหุ้นบริษัทของตนเอง แต่ไปถือหุ้นบริษัทที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดแทน (บริษัทแม่)
หลังจากเข้าตลาดฯ แล้ว ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทนี้ ก็แย่ตลอดมา เพราะบริษัทย่อย เป็นตัวถ่วงผลประกอบการ จากที่สังเกตุ OppDay ของบริษัทนี้ ผบห บริษัทย่อยที่ซื้อมาตอนแรก ไม่เคยมาให้ข้อมูลเลย ในขณะที่ ผบห บริษัทจดทะเบียน ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทย่อยอะไรไม่ได้มากนัก ต่อมา บริษัทจดทะเบียนแห่งนี้ ไปซื้อกิจการอีกแห่ง พอ OppDay ถัดมา ผบห กิจการที่เพิ่งไปซื้อ ก็มาปรากฏตัวใน OppDay ด้วย แต่ว่า ผบห บริษัทย่อยเดิม ก็ไม่มาเช่นเดิม
และแล้ว ผบห บริษัทย่อยที่ซื้อมาแต่แรก ก็ลาออกจากการเป็นกรรมการ โอ้ว ก็เดานะว่า น่ามีความขัดแย้งกันแล้ว ส่วนหนึ่งคิดว่า การบริหารงานของบริษัทย่อยที่ห่วยแตก ใช้จ่ายเงินสิ้นเปลืองมากๆ เช่าออฟฟิตโคตรหรู จ้างพนักงานเพียบ (กำไรน้อยกว่าบริษัทแม่ แต่ออฟฟิตหรูกว่า แถมพนักงานมากกว่าบริษัทแม่)
สุดท้ายก็มีประกาศจากบริษัทแห่งนี้ว่า ขายบริษัทย่อยนี้ โดยขายหุ้นคืนให้แก่เจ้าของเดิม (ผบห บริษัทย่อย) 555 ที่ผ่านมา เจ้าของเดิมคนนี้ คงจะรวยเลย เพราะได้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน มีมูลค่าตามราคาตลาด สุดท้าย ก็เอาเงินนั้นละ มาซื้อบริษัทคืน และอาจซื้อคืนได้ในราคาถูกกว่าที่ขายออกไปอีกด้วย เพราะผลประกอบการของบริษัทย่อยนี้ โคตรจะแย่หลังเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน
ผลสรุป นักลงทุนในตลาด คือ ผู้รับกรรม นั่นเอง
1. ตอนซื้อ อาจถูกหลอกให้ซื้อบริษัทย่อย เพื่อทำให้ขนาดบริษัทใหญ่พอเอาเข้าตลาด
2. ทำการซื้อมาในราคาแพง และใช้วิธีการแลกหุ้น โดยเอาหุ้นของบริษัทที่จะจดทะเบียนให้กับเจ้าของเดิมของบริษัทย่อย นั่นคือ เจ้าของเดิมบริษัทย่อย จะไม่ได้ถือหุ้นบริษัทของตนเอง แต่ไปถือหุ้นบริษัทที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดแทน (บริษัทแม่)
หลังจากเข้าตลาดฯ แล้ว ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทนี้ ก็แย่ตลอดมา เพราะบริษัทย่อย เป็นตัวถ่วงผลประกอบการ จากที่สังเกตุ OppDay ของบริษัทนี้ ผบห บริษัทย่อยที่ซื้อมาตอนแรก ไม่เคยมาให้ข้อมูลเลย ในขณะที่ ผบห บริษัทจดทะเบียน ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทย่อยอะไรไม่ได้มากนัก ต่อมา บริษัทจดทะเบียนแห่งนี้ ไปซื้อกิจการอีกแห่ง พอ OppDay ถัดมา ผบห กิจการที่เพิ่งไปซื้อ ก็มาปรากฏตัวใน OppDay ด้วย แต่ว่า ผบห บริษัทย่อยเดิม ก็ไม่มาเช่นเดิม
และแล้ว ผบห บริษัทย่อยที่ซื้อมาแต่แรก ก็ลาออกจากการเป็นกรรมการ โอ้ว ก็เดานะว่า น่ามีความขัดแย้งกันแล้ว ส่วนหนึ่งคิดว่า การบริหารงานของบริษัทย่อยที่ห่วยแตก ใช้จ่ายเงินสิ้นเปลืองมากๆ เช่าออฟฟิตโคตรหรู จ้างพนักงานเพียบ (กำไรน้อยกว่าบริษัทแม่ แต่ออฟฟิตหรูกว่า แถมพนักงานมากกว่าบริษัทแม่)
สุดท้ายก็มีประกาศจากบริษัทแห่งนี้ว่า ขายบริษัทย่อยนี้ โดยขายหุ้นคืนให้แก่เจ้าของเดิม (ผบห บริษัทย่อย) 555 ที่ผ่านมา เจ้าของเดิมคนนี้ คงจะรวยเลย เพราะได้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน มีมูลค่าตามราคาตลาด สุดท้าย ก็เอาเงินนั้นละ มาซื้อบริษัทคืน และอาจซื้อคืนได้ในราคาถูกกว่าที่ขายออกไปอีกด้วย เพราะผลประกอบการของบริษัทย่อยนี้ โคตรจะแย่หลังเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน
ผลสรุป นักลงทุนในตลาด คือ ผู้รับกรรม นั่นเอง
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3054
อีกเรื่องหนึ่งครับ เป้าหมายของท่านประธานบริษัทนี้ คือ การนำ startup เข้ามาในพอร์ต ก็คงเปรียบเหมือน Backdoor Startup นั่นเอง หากเป็นแบบนี้ ผถห รายย่อย อาจไม่ได้ประโยชน์ใดมากนัก ดูอย่างบริษัทย่อยที่ซื้อมาตอนแรกในราคาแสนแพง สุดท้ายเจ้าของเดิมซื้อคืนในราคาถูกกว่าอีก ความเสียหายที่เกิดขึ้น ผถห ก็รับกรรมไป โดยเฉพาะ ผถห รายย่อย นั่นเองครับAnieLee เขียน:มีบริษัทหนึ่ง เพิ่งจดทะเบียนเข้าตลาดมา เกือบๆ 1 ปี โดยก่อนหน้า มีการซื้อบริษัทลูกมาก่อนเข้าตลาดเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น มาถึงวันนี้ ก็ประกาศขายบริษัทย่อยนั้นออกมาแล้ว เข้าใจว่า
1. ตอนซื้อ อาจถูกหลอกให้ซื้อบริษัทย่อย เพื่อทำให้ขนาดบริษัทใหญ่พอเอาเข้าตลาด
2. ทำการซื้อมาในราคาแพง และใช้วิธีการแลกหุ้น โดยเอาหุ้นของบริษัทที่จะจดทะเบียนให้กับเจ้าของเดิมของบริษัทย่อย นั่นคือ เจ้าของเดิมบริษัทย่อย จะไม่ได้ถือหุ้นบริษัทของตนเอง แต่ไปถือหุ้นบริษัทที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดแทน (บริษัทแม่)
หลังจากเข้าตลาดฯ แล้ว ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทนี้ ก็แย่ตลอดมา เพราะบริษัทย่อย เป็นตัวถ่วงผลประกอบการ จากที่สังเกตุ OppDay ของบริษัทนี้ ผบห บริษัทย่อยที่ซื้อมาตอนแรก ไม่เคยมาให้ข้อมูลเลย ในขณะที่ ผบห บริษัทจดทะเบียน ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทย่อยอะไรไม่ได้มากนัก ต่อมา บริษัทจดทะเบียนแห่งนี้ ไปซื้อกิจการอีกแห่ง พอ OppDay ถัดมา ผบห กิจการที่เพิ่งไปซื้อ ก็มาปรากฏตัวใน OppDay ด้วย แต่ว่า ผบห บริษัทย่อยเดิม ก็ไม่มาเช่นเดิม
และแล้ว ผบห บริษัทย่อยที่ซื้อมาแต่แรก ก็ลาออกจากการเป็นกรรมการ โอ้ว ก็เดานะว่า น่ามีความขัดแย้งกันแล้ว ส่วนหนึ่งคิดว่า การบริหารงานของบริษัทย่อยที่ห่วยแตก ใช้จ่ายเงินสิ้นเปลืองมากๆ เช่าออฟฟิตโคตรหรู จ้างพนักงานเพียบ (กำไรน้อยกว่าบริษัทแม่ แต่ออฟฟิตหรูกว่า แถมพนักงานมากกว่าบริษัทแม่)
สุดท้ายก็มีประกาศจากบริษัทแห่งนี้ว่า ขายบริษัทย่อยนี้ โดยขายหุ้นคืนให้แก่เจ้าของเดิม (ผบห บริษัทย่อย) 555 ที่ผ่านมา เจ้าของเดิมคนนี้ คงจะรวยเลย เพราะได้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน มีมูลค่าตามราคาตลาด สุดท้าย ก็เอาเงินนั้นละ มาซื้อบริษัทคืน และอาจซื้อคืนได้ในราคาถูกกว่าที่ขายออกไปอีกด้วย เพราะผลประกอบการของบริษัทย่อยนี้ โคตรจะแย่หลังเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน
ผลสรุป นักลงทุนในตลาด คือ ผู้รับกรรม นั่นเอง
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3055
Company visit KCE 8 MARCH 18 by thaivi cv
เป็นผู้ผลิต PCB(Print circuit board) มีโรงงานที่บางปู อยุธยา ลาดกระบัง
นอกจากนี้ยังมีผลิตลามิเนตเพื่อsupplyให้กับโรงงานทำให้สามารถผลิตได้หลายแบบหลายขนาด
วิสัยทัศน์
ผลิตและบริการลูกค้าให้ได้ตามที่ตกลงหรือดีกว่า โดยปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และทำให้ถูกต้องภายในครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายในการจัดจำหน่าย
-KCE ยุโรป มีเครือข่ายการจำหน่ายอยู่ที่ ลอนดอน ปารีส
-KCE อเมริกา มีฐานที่ตั้งอยู่ที่แคลิฟอเนีย แมกซิโก
-ในทวีปเอเชียเอเชียได้แก่ KCE Singapore, KCE China, KCE Korea, KCE Japan, KCE Taiwan
และมี Christian Enzmann ดูแลแผ่นพิมพ์วงจรในประเทศเยอรมัน
บริษัทได้รับ ISO9001 ISO14001 ISO16949 ISO17025
เข้าร่วม UN Global compact และได้ Green partner
มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ได้รับรางวัล Green industry
ในปี 2558
บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตในโรงงานลาดกระบัง เพิ่มความสามารถในการผลิตที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
ทำให้สามารถผลิต ADAS(Advanced driver assistance systems) ได้ ในตอนนี้กำลังขยายเฟส 3
คาดว่าปีหน้าจะขยายเต็มกำลังการผลิตของโรงงาน
แผ่น PCB คือแผงวงจรอิเล็กทรอนิคส์สีเขียวๆ มีคุณสมบัติเป็นสายไฟเชื่อมต่อชิพประมวลผลต่างๆ
ซึ่งการใช้แผง PCB จะมีราคาที่ถูกกว่าการเอาสายไฟไปเชื่อมกัน
เทคโนโลยีที่ส่งผลดีกับเรา
1.ในเร็วๆนี้ รถในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น จะต้องมีระบบ Break assist
2.EV Car แต่มองว่าคงยังไม่ได้เกิดขึ้นเร็วมาก รถยนต์+light truck ทั่วโลก 93 ล้านคัน แต่ EV มีแค่6 ล้านคัน
มองว่า EV ยังต้องพัฒนา Infrastructure ให้มากกว่านี้ซึ่งยังใช้เวลาอีกพอสมควร
สัดส่วนยอดขาย
ยานยนต์ 70-75%
industrial 1x%
consumer 8%
medical ที่เหลือ
นโยบาย
เรามีนโยบายจะ Move จากงานง่ายๆขึ้นไปทำงานที่ยากขึ้นเพื่อรับงานที่มาร์จิ้นดีกว่า
งาน 6 Layer สัดส่วน 30% Growth 10%
งาน HDI(High Density Interconnect) สัดส่วน 5% Growth 82%
ตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนสองตัวรวมกันต้องมียอดเกินครึ่งของทั้งหมด
งาน Double side Growth -5%
ปีที่แล้วยอดขายบริษัทเติบโตในด้านเงินบาท 3% ใน Term ของ USD 7%
GPM ลดลงมาจากสองสาเหตุ
1.Copper Foil ราคาขึ้น
2.ค่าเงินบาทที่แข็งค่าพร้อมกับค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า
บริษัทมองว่าราคา Copper foil ที่ขึ้นกระทบทั้งอุตสาหกรรม ฉะนั้นจึงมองว่าไม่กระทบกับบริษัทมาก
(คู่แข่งก็ไม่มีใคร Hedge ทองแดงไว้) แต่บริษัทมองว่าค่าเงินต่างหากที่กระทบกับบริษัทมาก
เนื่องจาก 75% ของการผลิต PCB อยู่ที่ประเทศจีน(ไทย 3%) เมื่อใดที่ค่าเงินเราแข็ง
ค่าเงินหยวนอ่อน จะทำให้ราคาของโรงงานในจีนถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับเรา ลูกค้าก็จะตัดสินใจได้ไม่ยาก
ที่จะย้ายไปสั่งกับโรงงานที่เมืองจีน เราจึงต้องลดราคาลงไปแข่งด้วย(in term Baht)
สาเหตุที่ Copper foil ราคาเพิ่มสูงขึ้นมีสองประการคือ
1.Copper ราคาขึ้นจากปี 59 ราคา 8USD เป็น 11USD ในปี 60
2.ค่าทำ Copper Foil เพิ่มสูงขึ้นจาก Demand ของ Lithium Battery ที่ใช้ Copper foil ชนิดเดียวกัน
แต่บริษัทมองว่าการขึ้นราคาของ Copper foil เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว เนื่องจากการผลิต Copper foil
เป็นงานที่ไม่ใช้ Skill มาก ทำให้เมื่อใดที่ราคาสูงก็จะมีโรงงาน Copper foil เกิดขึ้นใหม่ทดแทนได้ทันที(ใช้เวลาสร้างโรงงานประมาณ 2 ปี)
สัดส่วนขาย
USD 80%
EU 15%
THB 5%
JPY GBP 0.5%
Demand งานในอนาคต
เมื่อก่อนในรถยนต์ 1 คันมีเนื้อที่ให้ใส่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้พื้นที่เล็กลง(เช่น Dashboard
เมื่อก่อนมีเพียงแค่เข็มกับหลอดไฟ เด๋วนี้หน้าปัดเป็นหน้าจอแสดงผล มีระบบ communication เพิ่มในพื้นที่เท่าเดิม)
ทำให้ลูกค้ายานยนต์อาจต้องใช้ HDI มากขึ้น นอกจากนี้เทคโนโลยีใหม่ๆยังต้องใช้ HDI มากขึ้นเช่น
ADAS(HDI100%) กล้องเซนเซอร์(HDI 50%)
ปี 2005 Sony ผลิตทีวีเครื่องนึงจะใช้ 6 layer และ 4 layer จำนวนรวม 6 ชิ้น แต่ปัจจุบันถูกพัฒนาให้เหลือเพียง 4 Layer 1 ชิ้น
ซึ่งเป็นวิธีที่บริษัทผลิตทีวีจะอยู่รอดในอุตสาหกรรมได้คือต้องพยายามดีไซน์ให้ทีวีผลิตได้ถูกลงเรื่อยๆ แต่ในอนาคต
Product ก็จะทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ เช่นในมือถือก็พัฒนาให้ประมวลผลเร็วขึ้น ก็จะต้องใช้แผง PCB ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
Attachments:
R02.jpg
R02.jpg [ 114.71 KiB | Viewed 15 times ]
R01.jpg
R01.jpg [ 145.83 KiB | Viewed 15 times ]
_________________
ขอแสดงความนับถือ
ทีมงาน Company Visit
Report this post
Top Profile Send private message E-mail Reply with quote
เป็นผู้ผลิต PCB(Print circuit board) มีโรงงานที่บางปู อยุธยา ลาดกระบัง
นอกจากนี้ยังมีผลิตลามิเนตเพื่อsupplyให้กับโรงงานทำให้สามารถผลิตได้หลายแบบหลายขนาด
วิสัยทัศน์
ผลิตและบริการลูกค้าให้ได้ตามที่ตกลงหรือดีกว่า โดยปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และทำให้ถูกต้องภายในครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายในการจัดจำหน่าย
-KCE ยุโรป มีเครือข่ายการจำหน่ายอยู่ที่ ลอนดอน ปารีส
-KCE อเมริกา มีฐานที่ตั้งอยู่ที่แคลิฟอเนีย แมกซิโก
-ในทวีปเอเชียเอเชียได้แก่ KCE Singapore, KCE China, KCE Korea, KCE Japan, KCE Taiwan
และมี Christian Enzmann ดูแลแผ่นพิมพ์วงจรในประเทศเยอรมัน
บริษัทได้รับ ISO9001 ISO14001 ISO16949 ISO17025
เข้าร่วม UN Global compact และได้ Green partner
มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ได้รับรางวัล Green industry
ในปี 2558
บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตในโรงงานลาดกระบัง เพิ่มความสามารถในการผลิตที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
ทำให้สามารถผลิต ADAS(Advanced driver assistance systems) ได้ ในตอนนี้กำลังขยายเฟส 3
คาดว่าปีหน้าจะขยายเต็มกำลังการผลิตของโรงงาน
แผ่น PCB คือแผงวงจรอิเล็กทรอนิคส์สีเขียวๆ มีคุณสมบัติเป็นสายไฟเชื่อมต่อชิพประมวลผลต่างๆ
ซึ่งการใช้แผง PCB จะมีราคาที่ถูกกว่าการเอาสายไฟไปเชื่อมกัน
เทคโนโลยีที่ส่งผลดีกับเรา
1.ในเร็วๆนี้ รถในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น จะต้องมีระบบ Break assist
2.EV Car แต่มองว่าคงยังไม่ได้เกิดขึ้นเร็วมาก รถยนต์+light truck ทั่วโลก 93 ล้านคัน แต่ EV มีแค่6 ล้านคัน
มองว่า EV ยังต้องพัฒนา Infrastructure ให้มากกว่านี้ซึ่งยังใช้เวลาอีกพอสมควร
สัดส่วนยอดขาย
ยานยนต์ 70-75%
industrial 1x%
consumer 8%
medical ที่เหลือ
นโยบาย
เรามีนโยบายจะ Move จากงานง่ายๆขึ้นไปทำงานที่ยากขึ้นเพื่อรับงานที่มาร์จิ้นดีกว่า
งาน 6 Layer สัดส่วน 30% Growth 10%
งาน HDI(High Density Interconnect) สัดส่วน 5% Growth 82%
ตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนสองตัวรวมกันต้องมียอดเกินครึ่งของทั้งหมด
งาน Double side Growth -5%
ปีที่แล้วยอดขายบริษัทเติบโตในด้านเงินบาท 3% ใน Term ของ USD 7%
GPM ลดลงมาจากสองสาเหตุ
1.Copper Foil ราคาขึ้น
2.ค่าเงินบาทที่แข็งค่าพร้อมกับค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า
บริษัทมองว่าราคา Copper foil ที่ขึ้นกระทบทั้งอุตสาหกรรม ฉะนั้นจึงมองว่าไม่กระทบกับบริษัทมาก
(คู่แข่งก็ไม่มีใคร Hedge ทองแดงไว้) แต่บริษัทมองว่าค่าเงินต่างหากที่กระทบกับบริษัทมาก
เนื่องจาก 75% ของการผลิต PCB อยู่ที่ประเทศจีน(ไทย 3%) เมื่อใดที่ค่าเงินเราแข็ง
ค่าเงินหยวนอ่อน จะทำให้ราคาของโรงงานในจีนถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับเรา ลูกค้าก็จะตัดสินใจได้ไม่ยาก
ที่จะย้ายไปสั่งกับโรงงานที่เมืองจีน เราจึงต้องลดราคาลงไปแข่งด้วย(in term Baht)
สาเหตุที่ Copper foil ราคาเพิ่มสูงขึ้นมีสองประการคือ
1.Copper ราคาขึ้นจากปี 59 ราคา 8USD เป็น 11USD ในปี 60
2.ค่าทำ Copper Foil เพิ่มสูงขึ้นจาก Demand ของ Lithium Battery ที่ใช้ Copper foil ชนิดเดียวกัน
แต่บริษัทมองว่าการขึ้นราคาของ Copper foil เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว เนื่องจากการผลิต Copper foil
เป็นงานที่ไม่ใช้ Skill มาก ทำให้เมื่อใดที่ราคาสูงก็จะมีโรงงาน Copper foil เกิดขึ้นใหม่ทดแทนได้ทันที(ใช้เวลาสร้างโรงงานประมาณ 2 ปี)
สัดส่วนขาย
USD 80%
EU 15%
THB 5%
JPY GBP 0.5%
Demand งานในอนาคต
เมื่อก่อนในรถยนต์ 1 คันมีเนื้อที่ให้ใส่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้พื้นที่เล็กลง(เช่น Dashboard
เมื่อก่อนมีเพียงแค่เข็มกับหลอดไฟ เด๋วนี้หน้าปัดเป็นหน้าจอแสดงผล มีระบบ communication เพิ่มในพื้นที่เท่าเดิม)
ทำให้ลูกค้ายานยนต์อาจต้องใช้ HDI มากขึ้น นอกจากนี้เทคโนโลยีใหม่ๆยังต้องใช้ HDI มากขึ้นเช่น
ADAS(HDI100%) กล้องเซนเซอร์(HDI 50%)
ปี 2005 Sony ผลิตทีวีเครื่องนึงจะใช้ 6 layer และ 4 layer จำนวนรวม 6 ชิ้น แต่ปัจจุบันถูกพัฒนาให้เหลือเพียง 4 Layer 1 ชิ้น
ซึ่งเป็นวิธีที่บริษัทผลิตทีวีจะอยู่รอดในอุตสาหกรรมได้คือต้องพยายามดีไซน์ให้ทีวีผลิตได้ถูกลงเรื่อยๆ แต่ในอนาคต
Product ก็จะทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ เช่นในมือถือก็พัฒนาให้ประมวลผลเร็วขึ้น ก็จะต้องใช้แผง PCB ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
Attachments:
R02.jpg
R02.jpg [ 114.71 KiB | Viewed 15 times ]
R01.jpg
R01.jpg [ 145.83 KiB | Viewed 15 times ]
_________________
ขอแสดงความนับถือ
ทีมงาน Company Visit
Report this post
Top Profile Send private message E-mail Reply with quote
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3057
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q4/2560
ก่อนอื่น ต้องบอกว่า ทริปนี้ ได้ไปกินอาหาร/ขนมอร่อยๆ ตั้งแต่วันเสาร์เลย โดยมีพี่ๆ น้องๆ ใจดี มาช่วยดูแล (ขออนุญาตในพื้นทีเล็กน้อย) ก็ขอขอบคุณพี่หมอเจี๊ยบ พี่หมอปุ๊ก พี่หมอโจ้ น้องเตียง น้องบี น้องลี่ มากๆ ครับในการอำนวยความสะดวกตลอดทริปเลยครับ รวมทั้งขอบคุณพี่หมอหนึ่งที่มาทานข้าวเช้าด้วยกันที่ร้านผิงหยังแต่เตี้ยม แถมให้พระมาด้วยครับ / ในทริปนี้ ไปถึง ก็แวะกินข้าวหมูแดงแสงทอง ปรากฏว่า ร้านปิด ก็ไปกินร้านข้าวขาหมูที่อยู่ใกล้กันแทน จากนั้นก็ไปกินไอติมไทไทย ขนมร้านเย็นเย็น ขึ้นไปวัดเจดีย์สแตนเลส จบอาหารเย็นที่ร้านบ้านป้าย้อย เช้าวันอาทิตย์ก็ไปร้านผิงหยังแต่เตี้ยม และรอบเย็นหลังเลิกมีทติ้งก็ไปร้านข้าวต้มเซาะฮึ้ง ตามลำดับครับ มีทติ้งรอบหน้า ก็ต้องพยายามจองให้ได้ เพราะพี่หมอเจี๊ย พี่หมอปุ๊ก คงเตรียมแผนพาไปชิมอาหารร้านอร่อยๆ อีกแน่นอน และยังมีน้องบีที่จะไปกินบิงซู AU กัน (ไม่รู้ว่า AU จะเปิดที่หาดใหญ่ทันรอบหน้าไหมนะครับ)
เกริ่นจบ ก็ขอเข้าเรื่องเนื้อหามีทติ้งรอบนี้เลยนะครับ
• อาจารย์ไม่ชอบสภาวะตลาดปัจจุบัน เพราะเวลาตลาดขึ้น ขึ้นแต่ตัวใหญ่ๆ เช่น PTT เป็นต้น แต่หุ้นพวกเราไม่ขึ้นด้วย แต่พอตลาดไม่ดี หุ้นตัวใหญ่ๆ ลง หุ้นพวกเราก็ลงด้วย ก็แย่ๆ หน่อย อย่างไรก็ตาม ก็เป็นปกติอยู่แล้วที่ตลาดจะมีวันแบบนี้ เราคงต้องรอ และสักวัน ก็ต้องมีวันของเรา วีไออย่างเรา ลงทุนในธุรกิจ หากธุรกิจของเราดี ทำไมต้องกังวลกับราคาที่มันขึ้นๆ ลงๆ เพราะถ้าราคาหุ้นลงมา เป็นราคาที่ผิดพลาด หากเราคาดการไม่ผิดนะ สักวัน ราคามันก็น่าจะกลับมา ในภาวะตลาดแบบนี้ ก็มีหุ้นบางตัวที่ยังไม่ลงก็มี เนื่องจากผลประกอบการดี เช่น CPALL เป็นต้น กลยุทธ์ที่ใช้ยามนี้ ก็คือ ขายหุ้นที่ลงน้อย ไปซื้อหุ้นที่ราคาลงมากๆ แต่ต้องมองว่า ราคาที่ลงมา ยังมีอัพไซด์ที่มากๆ ด้วย
• อาจารย์ตี้ มองว่า ภาวะตลาดแบบนี้ ก็เคยเป็นเสมอ ตลาดหุ้นก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ตลอด หากไม่อยากเจอความผันผวน ก็อาจไปลงทุนในหุ้นที่ P/E ต่ำๆ มีปันผลสูงๆ ราคาก็นิ่งๆ / สิ่งที่อาจารย์ตี้ทำมาตลอด ก็แบ่งการลงทุนเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มหุ้นที่ P/E ต่ำๆ มีปันผลสูง และ 2. กลุ่มหุ้นที่มีการเติบโตสูง อย่างไรก็ตาม เราควรมองการลงทุนในระยะยาว
• ตลาดแบบนี้ เป็นเส้นทางที่เราต้องเจออยู่แล้ว ถ้าเทียบกับตลาดปี 40 หรือตอน Surprime แล้ว โหดร้ายกว่าตลาดในปัจจุบันแบบนี้ซึ่งเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ ก็ควรที่จะสงบเสงี่ยม อย่าไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เช่น ขายหุ้นทิ้งยามที่ราคาลง โดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนหุ้นไปตัวที่ดีกว่า ก็โอเคกว่า การที่ขายหุ้นทิ้งเพราะราคาลงเท่านั้น การซื้อหุ้น ในระยะสั้น ก็ต้องมีทั้งเขียวและแดง แต่ในระยะยาว ถ้าเราเก่ง เราต้องเขียว นั่นเอง
• คุณโน๊ต(นัทธิ) แชร์ประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมาราว 15-16 ปี ภาวะตลาดแบบนี้ ก็เป็นภาวะตลาดแบบหนึ่งที่เจอกันมาตลอด แต่คนส่วนใหญ่มักจะจำเหตุการณ์แย่ๆ ที่ผ่านมาแล้วไม่ได้ หลักๆ หุ้นก็จะวนเวียนกันเป็น cycle แบบหุ้นใหญ่ๆ ขึ้นมาค้ำตลาดก่อน สักพักหุ้นกลางๆ เล็กๆ ก็จะวนมาถึง ทุกรอบก็เป็นแบบนี้ ภาวะตลาดแบบนี้ ก็ทำอย่างที่เคยทำมา ทั้งที่เคยกำไรและขาดทุน เช่น ช่วงกำไร ทำอย่างไร ก็ทำแบบนั้น เป็นต้น เราก็ควรที่จะไปขุดหุ้นดูว่า มีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง รวมทั้งการใช้กลยุทธ์แบบที่อาจารย์โจกล่าวคือ การเปลี่ยนหุ้น
• บางทีตลาดหมี เราก็อาจเห็นหมีมันใหญ่กว่าปกติ ความจริง เวลาตลาดลงมา ต้องเข้าใจว่า ลงมาจากไหน ควรมีสติ หากเราซื้อหุ้นดี ราคาไม่แพง ที่เหลือก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามปกติ / มีเคสของพี่คนหนึ่ง เข้ามาลงทุนในหุ้น แรกๆ ก็ลงทุนแนววีไอ สุดท้ายก็เปลี่ยนไปแนวเทคนิค ก็หมดตัว แล้วก็กลับมาแนววีไออีกรอบหนึ่ง ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนเจอมาเช่นกัน
เอาแค่น้ำจิ้มก่อนนะครับ ไว้ค่อยต่อใหม่ในวันถัดๆ ไปครับ
ฝากภาพสวยๆ มาด้วยครับ
ก่อนอื่น ต้องบอกว่า ทริปนี้ ได้ไปกินอาหาร/ขนมอร่อยๆ ตั้งแต่วันเสาร์เลย โดยมีพี่ๆ น้องๆ ใจดี มาช่วยดูแล (ขออนุญาตในพื้นทีเล็กน้อย) ก็ขอขอบคุณพี่หมอเจี๊ยบ พี่หมอปุ๊ก พี่หมอโจ้ น้องเตียง น้องบี น้องลี่ มากๆ ครับในการอำนวยความสะดวกตลอดทริปเลยครับ รวมทั้งขอบคุณพี่หมอหนึ่งที่มาทานข้าวเช้าด้วยกันที่ร้านผิงหยังแต่เตี้ยม แถมให้พระมาด้วยครับ / ในทริปนี้ ไปถึง ก็แวะกินข้าวหมูแดงแสงทอง ปรากฏว่า ร้านปิด ก็ไปกินร้านข้าวขาหมูที่อยู่ใกล้กันแทน จากนั้นก็ไปกินไอติมไทไทย ขนมร้านเย็นเย็น ขึ้นไปวัดเจดีย์สแตนเลส จบอาหารเย็นที่ร้านบ้านป้าย้อย เช้าวันอาทิตย์ก็ไปร้านผิงหยังแต่เตี้ยม และรอบเย็นหลังเลิกมีทติ้งก็ไปร้านข้าวต้มเซาะฮึ้ง ตามลำดับครับ มีทติ้งรอบหน้า ก็ต้องพยายามจองให้ได้ เพราะพี่หมอเจี๊ย พี่หมอปุ๊ก คงเตรียมแผนพาไปชิมอาหารร้านอร่อยๆ อีกแน่นอน และยังมีน้องบีที่จะไปกินบิงซู AU กัน (ไม่รู้ว่า AU จะเปิดที่หาดใหญ่ทันรอบหน้าไหมนะครับ)
เกริ่นจบ ก็ขอเข้าเรื่องเนื้อหามีทติ้งรอบนี้เลยนะครับ
• อาจารย์ไม่ชอบสภาวะตลาดปัจจุบัน เพราะเวลาตลาดขึ้น ขึ้นแต่ตัวใหญ่ๆ เช่น PTT เป็นต้น แต่หุ้นพวกเราไม่ขึ้นด้วย แต่พอตลาดไม่ดี หุ้นตัวใหญ่ๆ ลง หุ้นพวกเราก็ลงด้วย ก็แย่ๆ หน่อย อย่างไรก็ตาม ก็เป็นปกติอยู่แล้วที่ตลาดจะมีวันแบบนี้ เราคงต้องรอ และสักวัน ก็ต้องมีวันของเรา วีไออย่างเรา ลงทุนในธุรกิจ หากธุรกิจของเราดี ทำไมต้องกังวลกับราคาที่มันขึ้นๆ ลงๆ เพราะถ้าราคาหุ้นลงมา เป็นราคาที่ผิดพลาด หากเราคาดการไม่ผิดนะ สักวัน ราคามันก็น่าจะกลับมา ในภาวะตลาดแบบนี้ ก็มีหุ้นบางตัวที่ยังไม่ลงก็มี เนื่องจากผลประกอบการดี เช่น CPALL เป็นต้น กลยุทธ์ที่ใช้ยามนี้ ก็คือ ขายหุ้นที่ลงน้อย ไปซื้อหุ้นที่ราคาลงมากๆ แต่ต้องมองว่า ราคาที่ลงมา ยังมีอัพไซด์ที่มากๆ ด้วย
• อาจารย์ตี้ มองว่า ภาวะตลาดแบบนี้ ก็เคยเป็นเสมอ ตลาดหุ้นก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ตลอด หากไม่อยากเจอความผันผวน ก็อาจไปลงทุนในหุ้นที่ P/E ต่ำๆ มีปันผลสูงๆ ราคาก็นิ่งๆ / สิ่งที่อาจารย์ตี้ทำมาตลอด ก็แบ่งการลงทุนเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มหุ้นที่ P/E ต่ำๆ มีปันผลสูง และ 2. กลุ่มหุ้นที่มีการเติบโตสูง อย่างไรก็ตาม เราควรมองการลงทุนในระยะยาว
• ตลาดแบบนี้ เป็นเส้นทางที่เราต้องเจออยู่แล้ว ถ้าเทียบกับตลาดปี 40 หรือตอน Surprime แล้ว โหดร้ายกว่าตลาดในปัจจุบันแบบนี้ซึ่งเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ ก็ควรที่จะสงบเสงี่ยม อย่าไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เช่น ขายหุ้นทิ้งยามที่ราคาลง โดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนหุ้นไปตัวที่ดีกว่า ก็โอเคกว่า การที่ขายหุ้นทิ้งเพราะราคาลงเท่านั้น การซื้อหุ้น ในระยะสั้น ก็ต้องมีทั้งเขียวและแดง แต่ในระยะยาว ถ้าเราเก่ง เราต้องเขียว นั่นเอง
• คุณโน๊ต(นัทธิ) แชร์ประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมาราว 15-16 ปี ภาวะตลาดแบบนี้ ก็เป็นภาวะตลาดแบบหนึ่งที่เจอกันมาตลอด แต่คนส่วนใหญ่มักจะจำเหตุการณ์แย่ๆ ที่ผ่านมาแล้วไม่ได้ หลักๆ หุ้นก็จะวนเวียนกันเป็น cycle แบบหุ้นใหญ่ๆ ขึ้นมาค้ำตลาดก่อน สักพักหุ้นกลางๆ เล็กๆ ก็จะวนมาถึง ทุกรอบก็เป็นแบบนี้ ภาวะตลาดแบบนี้ ก็ทำอย่างที่เคยทำมา ทั้งที่เคยกำไรและขาดทุน เช่น ช่วงกำไร ทำอย่างไร ก็ทำแบบนั้น เป็นต้น เราก็ควรที่จะไปขุดหุ้นดูว่า มีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง รวมทั้งการใช้กลยุทธ์แบบที่อาจารย์โจกล่าวคือ การเปลี่ยนหุ้น
• บางทีตลาดหมี เราก็อาจเห็นหมีมันใหญ่กว่าปกติ ความจริง เวลาตลาดลงมา ต้องเข้าใจว่า ลงมาจากไหน ควรมีสติ หากเราซื้อหุ้นดี ราคาไม่แพง ที่เหลือก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามปกติ / มีเคสของพี่คนหนึ่ง เข้ามาลงทุนในหุ้น แรกๆ ก็ลงทุนแนววีไอ สุดท้ายก็เปลี่ยนไปแนวเทคนิค ก็หมดตัว แล้วก็กลับมาแนววีไออีกรอบหนึ่ง ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนเจอมาเช่นกัน
เอาแค่น้ำจิ้มก่อนนะครับ ไว้ค่อยต่อใหม่ในวันถัดๆ ไปครับ
ฝากภาพสวยๆ มาด้วยครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3058
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q4/2560 (ต่อ)
ขอต่อเนื้อหามีทติ้งจากเมื่อวานนะครับ (ช่วงเช้า ส่วนใหญ้ก็เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการ)
• การลงทุนในแนววีไอต่างกับแนวเทคนิคมาก เพราะกว่าที่จะลงทุนแนววีไอแบบได้ผล ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี เพราะต้องอ่านข้อมูลมาก เพื่อทำการวิเคราะห์ธุรกิจ วิเคราะห์ความสามารถในการแช่งขัน วิเคราะห์ตัวหุ้น ในขณะที่แนวเทคนิค เพียงแค่เลือกเครื่องมือมาใช้ ก็สามารถทำได้แล้วในเวลาแปปเดียว การลงทุนที่ได้ผลมากที่สุด ก็เป็นแนวทางการลงทุนแนววีไอ มีเหตุผลประกอบในการลงทุน แนวทางนี้คนที่สามารถประสบความสำเร็จแล้วมีเยอะมาก
• นักลงทุนมือใหม่ๆ มักเข้าไปหาข้อมูลตาม FB ก็มักพบกับคนที่โพสแนวเทคนิค และเลือกที่จะโพสช่วงที่สำเร็จมาบอก ไม่ได้เลือกเอาช่วงที่ไม่สำเร็จมาโพส คนที่ไปลงเรียนคอร์สแนวนี้ ตอนเรียน ก็จะคิดว่า เป็นสูตรสำเร็จ เพราะมันจะเป๊ะมากๆ ทุกครั้ง แต่พอเอามาใช้จริงๆ มันไม่ได้อย่างที่เรียนมา ก็เป็นเพราะคนสอนเลือกเอาเคสที่ให้ผลที่ถูกต้องและประสบความสำเร็จมาสอนเท่านั้น ไม่ได้เอาเคสที่พลาดมาบอกนั่นเอง จากประสบการณ์สมัยใหม่ๆ ที่อาจารย์เคยใช้ มันมีผิดพลาดประจำ แบบ 50:50 เลย เป็นเหมือนการ random walk มากกว่า ก็เลยเลิกใช้ (มาใช้แนวทางวีไอแทนดีกว่า)
• ปัจจุบัน ในภาพใหญ่ๆ ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจะแพง แต่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลประกอบด้วย การที่ตลาดหุ้นขึ้นมานี้ ก็มีเหตุผลพอสมควร เพราะอัตราดอกเบี้ยลด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง เม็ดเงินของไทยก็เยอะมาก เป็นสังคมคนแก่ บางตลาดเช่น เวียดนาม อัตราดอกเบี้ยก็ยังสูงอยู่ เพราะมีการลงทุนมาก และมีการบริโภคมากด้วย สุดท้าย ตลาดบ้านเรา ก็ยังสมเหตุสมผลพอสมควร ราคาก็ทรงๆ อยู่ได้ พิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยก็ไม่น่าเปลี่ยนไปง่ายๆ แต่ข่าวร้ายก็คือ โอกาสที่จะขึ้นไม่มาก / ตัวอย่างเช่น CPALL ในอดีต ช่วงแรกๆราคาหุ้นขึ้นมาตามผลประกอบการ และ P/E ตลอด แต่ช่วง 5 ปีหลัง P/E เริ่มไม่ขึ้น เร็วๆ นี้ มีขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มากมาย หากมองภาพย้อนหลังไปราว 10 ปีย้อนหลัง P/E จะขึ้นมาตลอด จนหลังๆ แทบจะไม่ขึ้นเท่าใด ภาพรวม ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะทรงๆไปเรื่อยๆ แต่ตลาดแบบนี้ ก็ลงทุนค่อนข้างยากเช่นกัน
• เราต้องมองหากิจการที่ดีและเติบโต ความสำเร็จต้องมีต้นทุนเสมอ / แง่ตัวเลขการลงทุนของต่างชาติ ไม่น่าจะมีความสำคัญแต่อย่างใด นักลงทุนแนววีไอ มักเป็นลักษณะ Bottom-Up ก็ต้องซื้อหุ้นที่ดี มีการเติบโต หากบริษัทดี ราคาหุ้นก็ไปเอง หากกำไรต่อหุ้นเติบโตดี
รอติดตามตอนต่อไปครับ
ปล. ฝากภาพจากหนังสือการ์ตูน "นักลงทุน Z" ครับ
คำถาม ท่านเลือกใครเป็น ต้นแบบ แล้วหรือยังครับ การเลือกต้นแบบ ค่อนข้างสำคัญมาก และควรเลือกให้เหมาะกับตนเองด้วยครับ
ขอต่อเนื้อหามีทติ้งจากเมื่อวานนะครับ (ช่วงเช้า ส่วนใหญ้ก็เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการ)
• การลงทุนในแนววีไอต่างกับแนวเทคนิคมาก เพราะกว่าที่จะลงทุนแนววีไอแบบได้ผล ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี เพราะต้องอ่านข้อมูลมาก เพื่อทำการวิเคราะห์ธุรกิจ วิเคราะห์ความสามารถในการแช่งขัน วิเคราะห์ตัวหุ้น ในขณะที่แนวเทคนิค เพียงแค่เลือกเครื่องมือมาใช้ ก็สามารถทำได้แล้วในเวลาแปปเดียว การลงทุนที่ได้ผลมากที่สุด ก็เป็นแนวทางการลงทุนแนววีไอ มีเหตุผลประกอบในการลงทุน แนวทางนี้คนที่สามารถประสบความสำเร็จแล้วมีเยอะมาก
• นักลงทุนมือใหม่ๆ มักเข้าไปหาข้อมูลตาม FB ก็มักพบกับคนที่โพสแนวเทคนิค และเลือกที่จะโพสช่วงที่สำเร็จมาบอก ไม่ได้เลือกเอาช่วงที่ไม่สำเร็จมาโพส คนที่ไปลงเรียนคอร์สแนวนี้ ตอนเรียน ก็จะคิดว่า เป็นสูตรสำเร็จ เพราะมันจะเป๊ะมากๆ ทุกครั้ง แต่พอเอามาใช้จริงๆ มันไม่ได้อย่างที่เรียนมา ก็เป็นเพราะคนสอนเลือกเอาเคสที่ให้ผลที่ถูกต้องและประสบความสำเร็จมาสอนเท่านั้น ไม่ได้เอาเคสที่พลาดมาบอกนั่นเอง จากประสบการณ์สมัยใหม่ๆ ที่อาจารย์เคยใช้ มันมีผิดพลาดประจำ แบบ 50:50 เลย เป็นเหมือนการ random walk มากกว่า ก็เลยเลิกใช้ (มาใช้แนวทางวีไอแทนดีกว่า)
• ปัจจุบัน ในภาพใหญ่ๆ ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจะแพง แต่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลประกอบด้วย การที่ตลาดหุ้นขึ้นมานี้ ก็มีเหตุผลพอสมควร เพราะอัตราดอกเบี้ยลด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง เม็ดเงินของไทยก็เยอะมาก เป็นสังคมคนแก่ บางตลาดเช่น เวียดนาม อัตราดอกเบี้ยก็ยังสูงอยู่ เพราะมีการลงทุนมาก และมีการบริโภคมากด้วย สุดท้าย ตลาดบ้านเรา ก็ยังสมเหตุสมผลพอสมควร ราคาก็ทรงๆ อยู่ได้ พิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยก็ไม่น่าเปลี่ยนไปง่ายๆ แต่ข่าวร้ายก็คือ โอกาสที่จะขึ้นไม่มาก / ตัวอย่างเช่น CPALL ในอดีต ช่วงแรกๆราคาหุ้นขึ้นมาตามผลประกอบการ และ P/E ตลอด แต่ช่วง 5 ปีหลัง P/E เริ่มไม่ขึ้น เร็วๆ นี้ มีขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มากมาย หากมองภาพย้อนหลังไปราว 10 ปีย้อนหลัง P/E จะขึ้นมาตลอด จนหลังๆ แทบจะไม่ขึ้นเท่าใด ภาพรวม ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะทรงๆไปเรื่อยๆ แต่ตลาดแบบนี้ ก็ลงทุนค่อนข้างยากเช่นกัน
• เราต้องมองหากิจการที่ดีและเติบโต ความสำเร็จต้องมีต้นทุนเสมอ / แง่ตัวเลขการลงทุนของต่างชาติ ไม่น่าจะมีความสำคัญแต่อย่างใด นักลงทุนแนววีไอ มักเป็นลักษณะ Bottom-Up ก็ต้องซื้อหุ้นที่ดี มีการเติบโต หากบริษัทดี ราคาหุ้นก็ไปเอง หากกำไรต่อหุ้นเติบโตดี
รอติดตามตอนต่อไปครับ
ปล. ฝากภาพจากหนังสือการ์ตูน "นักลงทุน Z" ครับ
คำถาม ท่านเลือกใครเป็น ต้นแบบ แล้วหรือยังครับ การเลือกต้นแบบ ค่อนข้างสำคัญมาก และควรเลือกให้เหมาะกับตนเองด้วยครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3059
มีทติ้งภาคใต้ Q4/60 (ต่อ)
ขอต่อเนื้อหามีทติ้งที่ยังเป็นส่วนของช่วงเช้าครับ
• (แชร์โดยผู้ร่วมมีทติ้ง) หลังจากที่ทางหุ้นเจ้าสัว เข้าไปลงทุนในซีใหญ่ เริ่มมีการปรับปรุงพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้ค่าเช่า รวมทั้งการเข้าไปเปิดร้านซีใหญ่มินิ ใกล้ๆ กับร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย อาจเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เนื่องจากมีกลุ่มทุนที่แข็งแกร่งเป็น backup / อาจารย์ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาในอดีต ร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ไม่สามารถต่อสู้กับร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย ได้ ลองดูพวกเราก็ได้ว่า ระหว่างซีใหญ่มินิ กับ ร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย เราจะเข้าไปใช้บริการร้านไหน / (ต่อ แชร์ความเห็นจากผู้มีทติ้ง) คนที่อยู่พื้นที่ในเมือง จะมองไม่เห็น Model ใหม่ ของร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย จากการเดินทางระหว่างอำเภอ จะเห็นว่า ร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย จะเปิดร้านแบบ Stand Alone อยู่แถวๆ ทุ่งนา โดยจะหาพื้นที่ตึกแถวที่มีหน้ากว้าง 16 เมตร เพื่อให้ลูกค้าขับรถมาจอดหน้าร้าน เพื่อจอดรถเข้าไปซื้อสินค้า จากที่ขับรถผ่าน พบว่า มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเยอะมาก / อาจารย์ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขา Stand Alone ว่า ต้องระวังเรื่องโจรปล้นเงินที่ร้าน
• จากที่ดู OppDay ของปั้มปีเตอร์ คิดว่าก็เหมือนเดิม ไม่น่าจะมีอะไร บางตัวก็ดีกว่าคาด เช่น LPG แต่ก็อย่าหวังมาก เพราะมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ คงต้องรออีกสักปี / ไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่าการลงทุนในหุ้นวัฏจักร เช่น หุ้นท่อน้ำ เป็นวัฏจักรกลายๆ ด้วย เป็นต้น ส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุนจากหุ้นวัฏจักรเสมอ เพราะมักจะพลาดตอนที่เข้าไปซื้อหุ้นตอนที่กิจการกำไรดีกว่าปกติ หลายๆ กิจการ บางปี กำไรมากเป็นพิเศษ พอสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ กำไรไม่มา ราคาก็ลดลงฮวบๆ หุ้นบางตัว ก็ดูได้ชัดเจน บางตัวก็ไม่ค่อยชัดเจน ต้องพยายามเช็คดูว่าเป็นหุ้นวัฏจักรไหม และหลังๆ บางตัว ก็จะซื้อตอนหุ้นที่ขาดทุนชั่วคราว แต่ราคาลงมากๆ
• VI จะเน้นการดูบริษัทเป็นหลัก แนว Bottom Up แต่ระยะหลัง อาจารย์ชอบเข้าไปดูข้อมูลจาก Morning Star ว่า หุ้นตัวไหน ราคาขึ้นมากๆ หรือราคาลงมากๆ สุดท้ายจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าตลาดแบบไหน ก็มีทั้งหุ้นขึ้น หุ้นลง เป็นจำนวนมาก สุดท้าย เราก็จำเป็นต้องไปทำการบ้านทั้งหุ้นที่ขึ้น และหุ้นที่ลง เพื่อมองหาหุ้นที่เติบโต / หุ้นบางตัว ราคาลงไปมากๆ แล้ว ไปลงทุน ก็ยังมีพลาดได้ เช่น หุ้นฉนวน (ก็เป็นหุ้นวัฏจักรด้วย), หุ้นอิเล็ค ซึ่งปีนี้ก็ยังมีการเพิ่มทุนอีกด้วย
• หุ้นกลุ่มรับเหมา – จากข้อมูล Backlog ที่มีเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้ราคาหุ้นยังไม่มาเลย ปลายปี อาจจะดีก็ได้ หากเราคิดว่า หุ้นเป็นธุรกิจ ก็จะทำให้เรากล้าที่จะถือหุ้น หากคิดว่า ธุรกิจยังดีอยู่ แต่ช่วงนี้กลุ่มรับเหมามีปัจจัยที่นักลงทุนกังวลกัน หลังจากที่หุ้นตระกูลชาญวีรกุล มีการตั้งสำรองจากการที่ต้นทุนสูงกว่าคาด เนื่องจากวัตถุดิบที่ขึ้นราคามา ทำให้คนคิดว่า รับเหมารายอื่นอาจเป็นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ปกติบริษัทรับเหมาก็มีการเผื่อต้นทุนขึ้นไว้แล้ว หรืองานรัฐฯ ก็มีค่า K ที่สามารถปรับได้ คิดว่าในระยะยาว น่าจะโอเค โดยเฉพาะเมกะโปรเจคที่มาจริงในอนาคต ถึงวันนั้น อำนาจต่อรอง น่าจะอยู่ที่ผุ้รับเหมามากกว่า / (ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ความเห็น) การที่มี Backlog ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไร หากมีการทำผิดพลาด ก็ต้องรับผิดชอบ อาจทำให้ขาดทุนได้เช่นกัน / เรื่องนี้ ขึ้นกับการจัดการของบริษัทผู้รับเหมาด้วย
• ปั้มปีเตอร์ มีการทำปาล์มคอมเพล็กใน Line ของเค้า ก็สมเหตุผล เพราะเค้าก็ซื้อ B100 อยุ่แล้ว พอผลิตเอง ก็ไม่ต้องแบ่งกำไรให้คนอื่น เพราะใช้อยู่แล้ว หลักๆ เค้าจะพยายามใช้ปั้มเป็นจุดขายให้คุ้มค่า เช่น การเปิด max mart เป็นต้น ระยะหลัง ไปเปิดปั้มใน กทม ทำให้ต้นทุนค่าเช่าสูงขึ้น สุดท้าย เราควรเลือกผู้บริหารที่ดี ซื่อสัตย์ มี passion ให้เค้าไปบริหาร เราก็เลือกลงทุนในราคาที่เหมาะสม ไม่แพงมากเกินไป และก็ติดตามว่า เค้าทำได้ขนาดไหน / (แชร์ความเห็นจากผู้ร่วมมีทติ้ง) ปั้มปีเตอร์ อาจทำหลายธุรกิจมากเกินไป หรือเพื่อไปพยุงธุรกิจ Oil / อาจารย์ก็เห็นด้วยกับเรื่องทำหลายธุรกิจไป และให้ความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจ Oil ว่า ความเสี่ยงก็อาจเป็นเรื่องของรถไฟฟ้า EV แต่ก็คิดว่า น่าจะอีกนานกว่าที่รถไฟฟ้าจะมาแทนที่ได้
ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ (คาดว่า อาจมีคนอ่านไม่มาก เพราะติดออเจ้ากันมากมาย ฮ่าๆๆๆ)
ขอต่อเนื้อหามีทติ้งที่ยังเป็นส่วนของช่วงเช้าครับ
• (แชร์โดยผู้ร่วมมีทติ้ง) หลังจากที่ทางหุ้นเจ้าสัว เข้าไปลงทุนในซีใหญ่ เริ่มมีการปรับปรุงพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้ค่าเช่า รวมทั้งการเข้าไปเปิดร้านซีใหญ่มินิ ใกล้ๆ กับร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย อาจเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เนื่องจากมีกลุ่มทุนที่แข็งแกร่งเป็น backup / อาจารย์ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาในอดีต ร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ไม่สามารถต่อสู้กับร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย ได้ ลองดูพวกเราก็ได้ว่า ระหว่างซีใหญ่มินิ กับ ร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย เราจะเข้าไปใช้บริการร้านไหน / (ต่อ แชร์ความเห็นจากผู้มีทติ้ง) คนที่อยู่พื้นที่ในเมือง จะมองไม่เห็น Model ใหม่ ของร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย จากการเดินทางระหว่างอำเภอ จะเห็นว่า ร้านสะดวกซื้อที่สาขามากสุดในประเทศไทย จะเปิดร้านแบบ Stand Alone อยู่แถวๆ ทุ่งนา โดยจะหาพื้นที่ตึกแถวที่มีหน้ากว้าง 16 เมตร เพื่อให้ลูกค้าขับรถมาจอดหน้าร้าน เพื่อจอดรถเข้าไปซื้อสินค้า จากที่ขับรถผ่าน พบว่า มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเยอะมาก / อาจารย์ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขา Stand Alone ว่า ต้องระวังเรื่องโจรปล้นเงินที่ร้าน
• จากที่ดู OppDay ของปั้มปีเตอร์ คิดว่าก็เหมือนเดิม ไม่น่าจะมีอะไร บางตัวก็ดีกว่าคาด เช่น LPG แต่ก็อย่าหวังมาก เพราะมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ คงต้องรออีกสักปี / ไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่าการลงทุนในหุ้นวัฏจักร เช่น หุ้นท่อน้ำ เป็นวัฏจักรกลายๆ ด้วย เป็นต้น ส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุนจากหุ้นวัฏจักรเสมอ เพราะมักจะพลาดตอนที่เข้าไปซื้อหุ้นตอนที่กิจการกำไรดีกว่าปกติ หลายๆ กิจการ บางปี กำไรมากเป็นพิเศษ พอสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ กำไรไม่มา ราคาก็ลดลงฮวบๆ หุ้นบางตัว ก็ดูได้ชัดเจน บางตัวก็ไม่ค่อยชัดเจน ต้องพยายามเช็คดูว่าเป็นหุ้นวัฏจักรไหม และหลังๆ บางตัว ก็จะซื้อตอนหุ้นที่ขาดทุนชั่วคราว แต่ราคาลงมากๆ
• VI จะเน้นการดูบริษัทเป็นหลัก แนว Bottom Up แต่ระยะหลัง อาจารย์ชอบเข้าไปดูข้อมูลจาก Morning Star ว่า หุ้นตัวไหน ราคาขึ้นมากๆ หรือราคาลงมากๆ สุดท้ายจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าตลาดแบบไหน ก็มีทั้งหุ้นขึ้น หุ้นลง เป็นจำนวนมาก สุดท้าย เราก็จำเป็นต้องไปทำการบ้านทั้งหุ้นที่ขึ้น และหุ้นที่ลง เพื่อมองหาหุ้นที่เติบโต / หุ้นบางตัว ราคาลงไปมากๆ แล้ว ไปลงทุน ก็ยังมีพลาดได้ เช่น หุ้นฉนวน (ก็เป็นหุ้นวัฏจักรด้วย), หุ้นอิเล็ค ซึ่งปีนี้ก็ยังมีการเพิ่มทุนอีกด้วย
• หุ้นกลุ่มรับเหมา – จากข้อมูล Backlog ที่มีเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้ราคาหุ้นยังไม่มาเลย ปลายปี อาจจะดีก็ได้ หากเราคิดว่า หุ้นเป็นธุรกิจ ก็จะทำให้เรากล้าที่จะถือหุ้น หากคิดว่า ธุรกิจยังดีอยู่ แต่ช่วงนี้กลุ่มรับเหมามีปัจจัยที่นักลงทุนกังวลกัน หลังจากที่หุ้นตระกูลชาญวีรกุล มีการตั้งสำรองจากการที่ต้นทุนสูงกว่าคาด เนื่องจากวัตถุดิบที่ขึ้นราคามา ทำให้คนคิดว่า รับเหมารายอื่นอาจเป็นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ปกติบริษัทรับเหมาก็มีการเผื่อต้นทุนขึ้นไว้แล้ว หรืองานรัฐฯ ก็มีค่า K ที่สามารถปรับได้ คิดว่าในระยะยาว น่าจะโอเค โดยเฉพาะเมกะโปรเจคที่มาจริงในอนาคต ถึงวันนั้น อำนาจต่อรอง น่าจะอยู่ที่ผุ้รับเหมามากกว่า / (ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ความเห็น) การที่มี Backlog ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไร หากมีการทำผิดพลาด ก็ต้องรับผิดชอบ อาจทำให้ขาดทุนได้เช่นกัน / เรื่องนี้ ขึ้นกับการจัดการของบริษัทผู้รับเหมาด้วย
• ปั้มปีเตอร์ มีการทำปาล์มคอมเพล็กใน Line ของเค้า ก็สมเหตุผล เพราะเค้าก็ซื้อ B100 อยุ่แล้ว พอผลิตเอง ก็ไม่ต้องแบ่งกำไรให้คนอื่น เพราะใช้อยู่แล้ว หลักๆ เค้าจะพยายามใช้ปั้มเป็นจุดขายให้คุ้มค่า เช่น การเปิด max mart เป็นต้น ระยะหลัง ไปเปิดปั้มใน กทม ทำให้ต้นทุนค่าเช่าสูงขึ้น สุดท้าย เราควรเลือกผู้บริหารที่ดี ซื่อสัตย์ มี passion ให้เค้าไปบริหาร เราก็เลือกลงทุนในราคาที่เหมาะสม ไม่แพงมากเกินไป และก็ติดตามว่า เค้าทำได้ขนาดไหน / (แชร์ความเห็นจากผู้ร่วมมีทติ้ง) ปั้มปีเตอร์ อาจทำหลายธุรกิจมากเกินไป หรือเพื่อไปพยุงธุรกิจ Oil / อาจารย์ก็เห็นด้วยกับเรื่องทำหลายธุรกิจไป และให้ความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจ Oil ว่า ความเสี่ยงก็อาจเป็นเรื่องของรถไฟฟ้า EV แต่ก็คิดว่า น่าจะอีกนานกว่าที่รถไฟฟ้าจะมาแทนที่ได้
ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ (คาดว่า อาจมีคนอ่านไม่มาก เพราะติดออเจ้ากันมากมาย ฮ่าๆๆๆ)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3060
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q4/2560 (ต่อ)
เมื่อวานติดละครออเจ้าครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ถ้าได้ลองเปิดดู จะทำให้ติดละครแน่นอนเลย หากใครยังไม่ดู และกลัวจะติดละคร ก็อย่าไปดูนะครับ ไม่งั้นจะติดละครเรื่องนี้ทันทีเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ / เข้าเรื่องมีทติ้งนะครับ
• เรื่องเกี่ยวกับผลปาล์มสด หากปีที่ฝนตกดีๆ อีก 1-2 ปีข้างหน้า ผลปาล์มสดจะดีมากๆ ถ้าฝนตกปีนี้ดี จะมีผลปาล์มสดมาก จะมีน้ำมันเยอะ และส่งผลให้อีก 1-2 ปีข้างหน้า จะทลายปาล์มได้เยอะด้วย และถ้าหากว่าปีที่แล้วฝนตกเยอะด้วย ปีนี้ฝนตกเยอะด้วย ก็ยิ่งทำให้ผลปาล์มสด peak มากขึ้นอีกด้วย หากผลปาล์มสดมากๆ จะทำให้กิจการโรงสกัดน้ำมันปาล์มจะได้รับประโยชน์มากที่สุด จะเห็นได้ว่า ได้กำไรมากขึ้น / เคส หุ้นปาล์มที่มีโรงไฟฟ้า กำไรไตรมาส 4 ดีมากๆ เพราะฤดูกาลเพี้ยน ปกติ ผลปาล์มสดจะมากใน Q2 แต่ปีนี้ กลับมีมากใน Q4 พอมีการสกัดน้ำมันปาล์มมากๆ ก็มีเศษเหลือที่สามารถเอาไปผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย ก็เลยทำให้กำไรดีขึ้นมากมาย – หุ้นปาล์มที่มีโรงไฟฟ้า มีทั้งโรงสกัด โรงหีบ และโรงไฟฟ้าด้วย ทำให้วิเคราะห์ยากว่า กำไรมากมาจากไหน / หากเมื่อใดที่ผลปาล์มราคาแพง บริษัทที่ได้ประโยชน์ก็คือ บริษัทที่มีสวนปาล์มเยอะๆ เพราะขายได้แพง แต่จะส่งผลเลวร้ายต่อโรงกลั่น เพราะวัตถุดิบราคาขึ้น ทั้งนี้เพราะราคาน้ำมันปาล์มถูกควบคุม นอกจากนี้ รัฐฯ ก็ยังมีกลไกในการพยุงราคาปาล์มสดจากการทำไบโอดีเซล B7 B100 เพิ่ม/ลดตามปริมาณผลปาล์มสด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรด้วย
• ปัจจุบัน ผลตอบแทนที่คาดหวังในตลาด ราว 15% ต่อปี ก็น่าโอเค หากได้ผลตอบแทนระดับนี้ติดต่อกัน 5-6 ปี ก็ได้ผลตอบแทน 1 เท่า ในการลงทุนในหุ้น ได้ผลตอบแทน 3 อย่าง คือ Capital Gain, เงินปันผล, และเครดิตภาษี
• หุ้นวัฏจักรค่อนข้างน่ากลัวมาก จะขัดแย้งกันกับแนวคิดวีไอ ตอนที่กำไร ก็อาจจะดีเกินจริง และตอนที่มันแย่เกินจริง อัตราส่วนทางการเงินก็ดูไม่ได้เลย / หุ้นวัฏจักรบางตัว ใช้เวลา 20 ปีก็ได้ อย่างตอนนี้ พวกเรือเทกอง เรือตู้ ขยับดีขึ้น อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีความเสี่ยงเกินไป
• "หุ้นอิเล็คขาย PCB" เวลาที่ราคาลงมามากก็จริง แต่ก็ต้องระวังว่าจะโดนการบิดเบือนราคา เพราะเราไปพิจารณาจากราคาที่มันลงมา ซึ่งอาจลงมาจากโคตรแพง มาที่ราคาแพง เท่านั้นเอง ตอนนี้ trailing P/E ราว 18x ก็ยังไม่ถูก หากราว 12-13x ก็จะน่าสนใจ / MOS เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจตอนที่ตลาดดี แต่เมื่อไรที่ตลาดแย่ MOS จะเหมือนกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด หุ้นที่มี MOS สูงๆ ราคาก็จะไม่ลง กรณีที่ตลาดไม่ดี
• กรณีที่มีข่าวควบคุมอัตราดอกเบี้ยมีมาเรื่อยๆ มีผลต่อหุ้นลิสซิ่งจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า การคิดดอกเบี้ยแพงจริงๆ เนื่องจากมีช่องโหว่งทางกฏหมาย เช่น การคิดค่าธรรมเนียม เรื่องนี้ ก็เป็นความเสี่ยงของหุ้นกลุ่มนี้ หุ้นที่มีความเสี่ยงน้อยจากเรื่องนี้ ก็หุ้น "คุณธิดา" ที่สามารถปล่อยกู้ผ่าน "หุ้นพอดี" ได้ / (แชร์จากผู้มีทติ้ง) ตามกฏหมาย เคยมีฏีกาว่า หากจ่ายดอกเบี้ยเกิน ลูกค้าสามารถฟ้องศาล และสามารถเอาเงินที่จ่ายเกิน ไปหักเงินต้นได้
• ข้อดีของการลงทุนในหุ้นหลายตัว (ตามที่ อาจารย์มีหุ้นราว 40 ตัว) ก็ทำให้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนตัวหุ้น เช่น ขายตัวที่ลงน้อย ไปซื้อหุ้นที่ลงเยอะ / ความผิดพลาดส่วนหนึ่งของวีไอ คือ การถัวหุ้นจนตัวตาย จะใช้การถัวได้ มีเงื่อนไขว่า หุ้นนั้นยังดีอยู่ และอย่าถัวเกิน Limit ทั้งนี้เพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลามไป
พอแค่นี้ก่อนครับ รอต่อเนื้อหาในโพสถัดไปครับ
Happy Weekend นะครับ
เมื่อวานติดละครออเจ้าครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ถ้าได้ลองเปิดดู จะทำให้ติดละครแน่นอนเลย หากใครยังไม่ดู และกลัวจะติดละคร ก็อย่าไปดูนะครับ ไม่งั้นจะติดละครเรื่องนี้ทันทีเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ / เข้าเรื่องมีทติ้งนะครับ
• เรื่องเกี่ยวกับผลปาล์มสด หากปีที่ฝนตกดีๆ อีก 1-2 ปีข้างหน้า ผลปาล์มสดจะดีมากๆ ถ้าฝนตกปีนี้ดี จะมีผลปาล์มสดมาก จะมีน้ำมันเยอะ และส่งผลให้อีก 1-2 ปีข้างหน้า จะทลายปาล์มได้เยอะด้วย และถ้าหากว่าปีที่แล้วฝนตกเยอะด้วย ปีนี้ฝนตกเยอะด้วย ก็ยิ่งทำให้ผลปาล์มสด peak มากขึ้นอีกด้วย หากผลปาล์มสดมากๆ จะทำให้กิจการโรงสกัดน้ำมันปาล์มจะได้รับประโยชน์มากที่สุด จะเห็นได้ว่า ได้กำไรมากขึ้น / เคส หุ้นปาล์มที่มีโรงไฟฟ้า กำไรไตรมาส 4 ดีมากๆ เพราะฤดูกาลเพี้ยน ปกติ ผลปาล์มสดจะมากใน Q2 แต่ปีนี้ กลับมีมากใน Q4 พอมีการสกัดน้ำมันปาล์มมากๆ ก็มีเศษเหลือที่สามารถเอาไปผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย ก็เลยทำให้กำไรดีขึ้นมากมาย – หุ้นปาล์มที่มีโรงไฟฟ้า มีทั้งโรงสกัด โรงหีบ และโรงไฟฟ้าด้วย ทำให้วิเคราะห์ยากว่า กำไรมากมาจากไหน / หากเมื่อใดที่ผลปาล์มราคาแพง บริษัทที่ได้ประโยชน์ก็คือ บริษัทที่มีสวนปาล์มเยอะๆ เพราะขายได้แพง แต่จะส่งผลเลวร้ายต่อโรงกลั่น เพราะวัตถุดิบราคาขึ้น ทั้งนี้เพราะราคาน้ำมันปาล์มถูกควบคุม นอกจากนี้ รัฐฯ ก็ยังมีกลไกในการพยุงราคาปาล์มสดจากการทำไบโอดีเซล B7 B100 เพิ่ม/ลดตามปริมาณผลปาล์มสด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรด้วย
• ปัจจุบัน ผลตอบแทนที่คาดหวังในตลาด ราว 15% ต่อปี ก็น่าโอเค หากได้ผลตอบแทนระดับนี้ติดต่อกัน 5-6 ปี ก็ได้ผลตอบแทน 1 เท่า ในการลงทุนในหุ้น ได้ผลตอบแทน 3 อย่าง คือ Capital Gain, เงินปันผล, และเครดิตภาษี
• หุ้นวัฏจักรค่อนข้างน่ากลัวมาก จะขัดแย้งกันกับแนวคิดวีไอ ตอนที่กำไร ก็อาจจะดีเกินจริง และตอนที่มันแย่เกินจริง อัตราส่วนทางการเงินก็ดูไม่ได้เลย / หุ้นวัฏจักรบางตัว ใช้เวลา 20 ปีก็ได้ อย่างตอนนี้ พวกเรือเทกอง เรือตู้ ขยับดีขึ้น อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีความเสี่ยงเกินไป
• "หุ้นอิเล็คขาย PCB" เวลาที่ราคาลงมามากก็จริง แต่ก็ต้องระวังว่าจะโดนการบิดเบือนราคา เพราะเราไปพิจารณาจากราคาที่มันลงมา ซึ่งอาจลงมาจากโคตรแพง มาที่ราคาแพง เท่านั้นเอง ตอนนี้ trailing P/E ราว 18x ก็ยังไม่ถูก หากราว 12-13x ก็จะน่าสนใจ / MOS เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจตอนที่ตลาดดี แต่เมื่อไรที่ตลาดแย่ MOS จะเหมือนกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด หุ้นที่มี MOS สูงๆ ราคาก็จะไม่ลง กรณีที่ตลาดไม่ดี
• กรณีที่มีข่าวควบคุมอัตราดอกเบี้ยมีมาเรื่อยๆ มีผลต่อหุ้นลิสซิ่งจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า การคิดดอกเบี้ยแพงจริงๆ เนื่องจากมีช่องโหว่งทางกฏหมาย เช่น การคิดค่าธรรมเนียม เรื่องนี้ ก็เป็นความเสี่ยงของหุ้นกลุ่มนี้ หุ้นที่มีความเสี่ยงน้อยจากเรื่องนี้ ก็หุ้น "คุณธิดา" ที่สามารถปล่อยกู้ผ่าน "หุ้นพอดี" ได้ / (แชร์จากผู้มีทติ้ง) ตามกฏหมาย เคยมีฏีกาว่า หากจ่ายดอกเบี้ยเกิน ลูกค้าสามารถฟ้องศาล และสามารถเอาเงินที่จ่ายเกิน ไปหักเงินต้นได้
• ข้อดีของการลงทุนในหุ้นหลายตัว (ตามที่ อาจารย์มีหุ้นราว 40 ตัว) ก็ทำให้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนตัวหุ้น เช่น ขายตัวที่ลงน้อย ไปซื้อหุ้นที่ลงเยอะ / ความผิดพลาดส่วนหนึ่งของวีไอ คือ การถัวหุ้นจนตัวตาย จะใช้การถัวได้ มีเงื่อนไขว่า หุ้นนั้นยังดีอยู่ และอย่าถัวเกิน Limit ทั้งนี้เพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลามไป
พอแค่นี้ก่อนครับ รอต่อเนื้อหาในโพสถัดไปครับ
Happy Weekend นะครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก