VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2521
เมื่อวานไปCompany visit CPN 27 SEP 16 เลยเอาฝากครับ
เห็นบอกว่าสาขาหาดใหญ่คนมาน้อยมาก
เพราะช่วงเปิดชั้นล่างให้brandดังมาแต่เขาขอมาต้นปี54ปรากฎว่าเกิดระเบิดเลยไม่มา
กำลังปรับเลี่ยนให้คนอื่นเข้าแทนหลังพ้นdate line
Update ปัจจุบัน มี shopping mall 30 แห่ง
Residence 1 แห่ง ที่ Central City Bangna
Office Building 7 ที่
Hotels 2 ที่
Property fund CPNRF (27%) , CPNCG (25%)
สรุป พื้นที่รวม1.6 ล้านตรม เป็นอันดับหนึ่ง ของพื้นที่ให้เช่า
คิดเป็น market share 21% เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพ แต่ในต่างจังหวัดไม่มีคนสำรวจ
Occ rate 93%
Plan 5 Years for growth
15 New projects
- 12 Domestic projects สัดส่วน กทม : ตจว = 50:50
- 3 Overseas project ได้แก่ เวียดนาม Planจะ JV กับ Local , Indonesia ,
Malaysia I-City เริ่มก่อสร้างแล้ว เป็น Local department storeณฑฑ ประมาณ 13-14%
CPN ถือหุ้น 60% ปีแรกน่าจะกำไรเลย หลังศึกษามานาน 10 ปีสำหรับ ต่างประเทศ
Renovate Projects:
2016 : Bangna เริ่มทำตั้งแต่ พค และ เสร็จประมาณ ธค 16
Pattay
Phuket
Chaengwattana
2017 Central world ด้านหน้าห้างอิเซตัน ทำเป็น ร้านอาหาร
Rama III
Rama II
CMA , PKT
2018-2020 ประมาณ 3-4 Projects ต่อ ปี
ในส่วน Escent condo
2018 ขอนแก่น เชียงใหม่ และ ระยอง โอนได้ ตอนนี้ยอด presales เกือบ 100 %
Target 3 Projects ต่อ ปี มีพื้นที่รอพัฒนา 17 แปลง เป็นกรุงเทพ 1 แปลง
GP ของ โครงการจะสูงกว่าทั่วไป 30% เป็น37-38% เพราะได้ที่ดินราคาถูกที่ซื้อมานาน
Property funds Plan จะแปลง CPNRF เป็น REITs รออนุมัติขยายเวลาสิทธิไม่ต้องเสียภาษีแปลงกองเป็น REITs
จากสิ้นปีนี้ เพราะ ทำไม่ทัน ต้องใช้เวลา 6-8 เดือนในการแปลง รวม ขออนุมัติผู้ถือหน่วย CPNRF ด้วย
Q: สอบถามว่า ที่ CTW จะหมดสัญญาเช่าเมื่อไหร่
A: พึ่งต่อสัญญา และ หมด ปี 2032
Q: อยากทราบธุรกิจ M&A ไปในทิศทางไหน
A: Core: Shopping Mall
Q: อยากทราบ GP ของ Escent
A: GP 37-38%
ภาพรวม Top line จะโต 14-15% เนื่องจาก เปิดใหม่ 1ที่ Top line จะลดลง หลังปี18 Book รายได้ของคอนโดจะโตมาก
ดังนั้นภาพรวม โต 15% ยังอยู่target ที่น่าจะทำได้
Q: Trend online 5 ปี จะกระทบต่อ CPN หรือไม่
A: เราพยายามดึงคน มานั่งทำงาน ออกกำลังกาย เดินเล่น ทานข้าวในห้างมากขึ้น บางที่มีสวนน้ำ
ไม่น่าจะมีผลกระทบ ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อนคนชอบเที่ยวห้างไม่เหมือนที่อเมริกา ที่เป็นเมืองหนาว
Q: Condo จะมีแยกออกจากห้างเป็น Stand alone หรือไม่
A: Focus ทีดินติดห้างไปก่อนในอีก5 ปี
Q: ทำไมบางแปลงมีทั้ง Free hold , Lease hold
A: บางส่วนเจ้าของไม่อยากขาย เลยมีทั้งสองส่วน
Q: เราจะมีห้างแบบ High เลยไหม
A: target เราเป็นแบบ Mid to High ไม่เหมือนห้างตรงข้าม CTW ไม่ค่อยมีคนเดิน
เราต้องการให้มี traffic ห้างเปิดใหม่ 35000-40000 ตรม Capex 14000 ลบต่อปี
ใช้เงินจาก operation และ เพิ่มเงินอีกไม่มาก แต่ถ้าต้องกู้จริง D/E เราต่ำแค่ 0.3 สามารถกู้ได้ถึง 1 เท่า
ถ้ามีโครงการที่ต้องการขยายในอนาคตมากๆ
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณSuwit ที่ได้ติดต่อ CPN เพื่อเข้าเยี่ยมชมบริษัท และ
ขอขอบคุณทาง CPN ที่ให้โอกาสเราไปเยี่ยมชมบริษัทด้วยครับ
เห็นบอกว่าสาขาหาดใหญ่คนมาน้อยมาก
เพราะช่วงเปิดชั้นล่างให้brandดังมาแต่เขาขอมาต้นปี54ปรากฎว่าเกิดระเบิดเลยไม่มา
กำลังปรับเลี่ยนให้คนอื่นเข้าแทนหลังพ้นdate line
Update ปัจจุบัน มี shopping mall 30 แห่ง
Residence 1 แห่ง ที่ Central City Bangna
Office Building 7 ที่
Hotels 2 ที่
Property fund CPNRF (27%) , CPNCG (25%)
สรุป พื้นที่รวม1.6 ล้านตรม เป็นอันดับหนึ่ง ของพื้นที่ให้เช่า
คิดเป็น market share 21% เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพ แต่ในต่างจังหวัดไม่มีคนสำรวจ
Occ rate 93%
Plan 5 Years for growth
15 New projects
- 12 Domestic projects สัดส่วน กทม : ตจว = 50:50
- 3 Overseas project ได้แก่ เวียดนาม Planจะ JV กับ Local , Indonesia ,
Malaysia I-City เริ่มก่อสร้างแล้ว เป็น Local department storeณฑฑ ประมาณ 13-14%
CPN ถือหุ้น 60% ปีแรกน่าจะกำไรเลย หลังศึกษามานาน 10 ปีสำหรับ ต่างประเทศ
Renovate Projects:
2016 : Bangna เริ่มทำตั้งแต่ พค และ เสร็จประมาณ ธค 16
Pattay
Phuket
Chaengwattana
2017 Central world ด้านหน้าห้างอิเซตัน ทำเป็น ร้านอาหาร
Rama III
Rama II
CMA , PKT
2018-2020 ประมาณ 3-4 Projects ต่อ ปี
ในส่วน Escent condo
2018 ขอนแก่น เชียงใหม่ และ ระยอง โอนได้ ตอนนี้ยอด presales เกือบ 100 %
Target 3 Projects ต่อ ปี มีพื้นที่รอพัฒนา 17 แปลง เป็นกรุงเทพ 1 แปลง
GP ของ โครงการจะสูงกว่าทั่วไป 30% เป็น37-38% เพราะได้ที่ดินราคาถูกที่ซื้อมานาน
Property funds Plan จะแปลง CPNRF เป็น REITs รออนุมัติขยายเวลาสิทธิไม่ต้องเสียภาษีแปลงกองเป็น REITs
จากสิ้นปีนี้ เพราะ ทำไม่ทัน ต้องใช้เวลา 6-8 เดือนในการแปลง รวม ขออนุมัติผู้ถือหน่วย CPNRF ด้วย
Q: สอบถามว่า ที่ CTW จะหมดสัญญาเช่าเมื่อไหร่
A: พึ่งต่อสัญญา และ หมด ปี 2032
Q: อยากทราบธุรกิจ M&A ไปในทิศทางไหน
A: Core: Shopping Mall
Q: อยากทราบ GP ของ Escent
A: GP 37-38%
ภาพรวม Top line จะโต 14-15% เนื่องจาก เปิดใหม่ 1ที่ Top line จะลดลง หลังปี18 Book รายได้ของคอนโดจะโตมาก
ดังนั้นภาพรวม โต 15% ยังอยู่target ที่น่าจะทำได้
Q: Trend online 5 ปี จะกระทบต่อ CPN หรือไม่
A: เราพยายามดึงคน มานั่งทำงาน ออกกำลังกาย เดินเล่น ทานข้าวในห้างมากขึ้น บางที่มีสวนน้ำ
ไม่น่าจะมีผลกระทบ ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อนคนชอบเที่ยวห้างไม่เหมือนที่อเมริกา ที่เป็นเมืองหนาว
Q: Condo จะมีแยกออกจากห้างเป็น Stand alone หรือไม่
A: Focus ทีดินติดห้างไปก่อนในอีก5 ปี
Q: ทำไมบางแปลงมีทั้ง Free hold , Lease hold
A: บางส่วนเจ้าของไม่อยากขาย เลยมีทั้งสองส่วน
Q: เราจะมีห้างแบบ High เลยไหม
A: target เราเป็นแบบ Mid to High ไม่เหมือนห้างตรงข้าม CTW ไม่ค่อยมีคนเดิน
เราต้องการให้มี traffic ห้างเปิดใหม่ 35000-40000 ตรม Capex 14000 ลบต่อปี
ใช้เงินจาก operation และ เพิ่มเงินอีกไม่มาก แต่ถ้าต้องกู้จริง D/E เราต่ำแค่ 0.3 สามารถกู้ได้ถึง 1 เท่า
ถ้ามีโครงการที่ต้องการขยายในอนาคตมากๆ
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณSuwit ที่ได้ติดต่อ CPN เพื่อเข้าเยี่ยมชมบริษัท และ
ขอขอบคุณทาง CPN ที่ให้โอกาสเราไปเยี่ยมชมบริษัทด้วยครับ
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2522
12คำตอบจากก.ล.ต.ที่ชวนอึ้ง
อ่านแล้วก็งงๆ ว่ารายการที่เชิญ ผบห. ไปให้ข้อมูล พรีเซนบริษัทพวกนี้จะโดนมั้ย...ถ้าผบห.เกิดเผลอพูดข้อมูลพวก future project ออกไป (รวมถึง oppday ด้วยมั้ย)
นี้ยังไม่รวมถึงการเชิญพวก celeb, เซียน, กูรู มาให้คำแนะนำเหล่านี้ จะโดนทั้งคนเชิญ คนพูดมั้ยหว่า
ไทวินิวส์จะโดนมั้ยอ๊ะ T_T
อ่านแล้วก็งงๆ ว่ารายการที่เชิญ ผบห. ไปให้ข้อมูล พรีเซนบริษัทพวกนี้จะโดนมั้ย...ถ้าผบห.เกิดเผลอพูดข้อมูลพวก future project ออกไป (รวมถึง oppday ด้วยมั้ย)
นี้ยังไม่รวมถึงการเชิญพวก celeb, เซียน, กูรู มาให้คำแนะนำเหล่านี้ จะโดนทั้งคนเชิญ คนพูดมั้ยหว่า
ไทวินิวส์จะโดนมั้ยอ๊ะ T_T
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2524
เห็นเพื่อนๆพูดกันถือรถไฟฟ้ากันเยอะมาก ซึ่งผมมีมุมมองของผมที่จะมาแชร์เกี่ยวกับเทสล่านะครับ
ผมมองเทสล่ากับไอโฟนคล้ายๆกันคือ ผบห.มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่างมาก แต่สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาคือ ความฝันกับความจริงครับ ในมุมมองของผมมีดังนี้
มือถือใช้ผลิตที่ใดก็ได้ แล้วค่อยส่งออกไปทั่วโลก เทคโนโลยีเป็นของขนาดเล็ก ราคาขายต่อขนาดสินค้าสูง ข้อจำกัดด้านการผลิตไม่ค่อยมีมาก ผู้นำนวัตกรรมมีต้นทุนการผติตอยู่แค่ประมาณ 1 ใน 4 ของราคาขายเท่านั้น (อย่าง iphone ที่ออกใหม่ๆจะอยู่ราวๆ 6-7 พันครับ) วงจรของอายุสินค้าสั้น อาจจะแค่ 1-2 ปีเท่านั้น การตัดสินใจซื้อเป็นเรื่องง่าย ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ได้รับความนิยมรวดเร็วและกลืนกินผู้นำก่อนหน้าในอุตสาหกรรมได้ไม่ยาก
รถเทสล่า มาเร็ว แรง ผู้บริโภคมีความต้องการมากคล้ายๆกัน แต่เรามาดูข้อแตกต่างที่จะทำให้เป็นการลงทุนที่ล้มเหลวของบริษัทกัน
อุตสาหกรรมรถไม่เหมือนมือถือ อดีตที่ผ่านมามือถือถูกโค่นด้วยผู้มาใหม่ตลอดเวลา แต่รถทำไม่ถึงไม่เป็นเช่นนั้น
รถถือเป็นอุตสาหกรรมหนัก มีซัพพรายเชนต่อเนื่องหลายขั้นตอน เช่นถุงลมระบบเบรกหรืออื่นๆกลับถูกใช้ร่วมกันโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ คำตอบก็คือประหยัดกว่า จำเป็นต้องแบ่งรับต้นทุนวิจัยบางอย่างร่วมกัน
การผลิตรถหนึ่งคัน ใช้เครื่องจักรหนักจำนวนมากในแต่ละส่วน การที่มีผู้ผลิตหน้าใหม่เข้ามาในตลาดแมส ผมไม่ค่อยเห็นมีใครทำได้ และถ้าให้อยู่จนรอดยิ่งแทบไม่เคยเห็นในยุคสมัยนี้
ลองพิจารณาดีๆก็จะเหตุว่าสิ่งสำคัญของรถไฟฟ้าคือแบ็ตกับมอเตอร์ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด ซึ่งมอเตอร์เป็นเทคโนโลยีเก่ามาก ซึ่งง่ายแก่การนำมาใช้ ทุกบริษัทรถเข้าถึงได้หมด ส่วนแบ็ตเตอรี่ก็เป็นเทคโนโลยีที่แทบพัฒนาช้ามากในหลาย 10 ปี จำนวนไฟที่เก็บได้ เทียบกับสินแร่ที่ใช้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นน้อยมาก ซึ่งเหมือนกัน บริษัทรถอื่นๆก็เข้าถึงเทคโนโลยีนี้เช่นกัน ถ้าพูดถึงการพัฒนาแบ็ตแล้ว ส่วนของมือถือได้พัฒนาถึงจุดล่าสุดตลอดเวลาอยู่แล้ว โรงงานแบ็ตก็มีอยู่มากมาย ต่อไปเราลองมาดูถึงเทสล่ากัน
สถานการ์ณปัจจุบัน กระแสความต้องการจุดติดเพราะกระแสราคาพลังงานโลก ที่เฉลี่ยแพงขึ้นกว่าในอดีต (เมื่อก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 10-20 เหรียญเท่านั้น) เพราะความเป็นไปได้กับราคาเข้ามาใกล้กัน จนพอจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงบางส่วน แต่เราลองคิดดูว่า ตอนนี้มือถือทั่วโลกมีกันแทบทุกคน แต่ใช้แบ็ตก้อนนิดเดียว ลองคิดดูว่ารถไฟฟ้าหนึ่งคัน ใช้แบ็ตกี่เท่าของมือถือ ถ้าใช้ในวงกว้างแร่เหล่านี้จะขี้นไปเท่าใด กองทุนที่คอยปั่นราคาเค้าก็จ้องอยู่แล้วครับ ถึงเวลาผลิตออกมา แทนที่ได้กำไรมากๆ เพราะขายปริมาณเยอะ อาจเป็นขาดทุนต่อคันสูงเพราะราคาแร่เหล่านี้นี่แหละครับ เพราะมันคือต้นทุนหลักที่มีผลมากต่อรถไฟฟ้าหนึ่งคัน
แต่สิ่งที่สำคัญคือ รถแบบนี้ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมทำได้ แต่ที่ผ่านมาทำไมเค้าไม่ค่อยทำกันอย่างจริงจังครับ
1.คือยังไม่ถึงเวลาที่จะโจมตีตนเอง กำไรที่ได้จากห่วงโซ่การใช้งานนั้นมีมาก รถหนึ่งคันเวลาออกมาใหม่ๆ อาจจะทำกำไรให้ผู้ผลิตไม่มาก แต่อะไหล่และค่าซ่อมแซมหลังจากนั้นต่างหาก ที่เป็นรายได้หลักของเค้า ลองคิดดูดีๆก็จะทราบว่าศูนย์บริการถยนตร์ที่มีขนาดใหญ่อยู่ริมถนน เค้าเอารายได้จากไหนมาใช้ในการดำเนินงาน ทั้งที่บางช่วงรถใหม่แทบขายไม่ได้
2.ถ้ามีใครจะบุกเข้าป่าคนแรก ทุกคนคงรอจนเค้าถ้างป่าจนเห็นทางชัดค่อยวิ่งตาม เพราะทุกคนไม่กลัว เนื่องจากมีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว อยู่ที่จะทำเมื่อไรเท่านั้น
ลองคิดในมุมมองของบริษัทต่างๆ ตอนนี้คงรอดูก่อน ซึ่งเทสล่ากำลังก้าวเดินอย่างลำบาก เพราะติดขัดด้านการผลิตอย่างมาก ลองนึกดูสิครับว่าถ้าเทสล่าทำตลาดไปจนราคาต่ำจนคนทั่วไปซื้อแทนรถปกติได้ ถ้าเทสล่าขายในไทยคันละล้านห้าได้ แล้ว toyota ขายคันละแปดแสน สเปกเท่ากัน ในฐานะผู้บริโภคเราจะเลือกซื้อใคร ใครน่าเชื่อถือกว่า ศูนย์บริการใครครอบคลุมกว่า อะไหล่ใครหาง่ายกว่า ราคาขายต่อใครตกน้อยกว่า ปัญญาหาจุกจุกใครผ่านมามากกว่ากัน ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ของดีราคาถูกครับ รถหนึ่งคันเมื่อซื้อใช้ มันใช้ระยะยาวไม่ใช่ระยะสั้น และสิ่งสำคัญมันดูแลความปลอดภัยในชีวิตของเราด้วย ไม่ใช่เหมือนมือถือที่ซื้อๆใช้ไปเพราะไม่ใช่ของชิ้นใหญ่ เสียก็ส่งศูนย์ตามห้างสรรพสินค้าซ่อมที่ไหนก็ได้ และการเลือกซื้อรถสักคัน มันมีความชอบส่วนตัวและประโยชน์ใช้สอยมาผสมด้วยอย่างมาก ซื้อมือถือหนึ่งเครื่อง คนพิจารณาแค่ขนาดหน้าจอ กล้องและความเร็วเป็นส่วนใหญ่ อยากให้ดูไม่เหมือนใครก็ใส่เคส เปลี่ยนเสียงเปลี่ยนหน้าตาหน้าจอ แต่รถหนึ่งคันมันไม่ง่ายขนาดนั้น มิฉะนั้นรถหลายๆยี่ห้อคงหายไปหมด แต่กลับกัน บางยี่ห้อยังคงอยู่เพราะรสนิยมและความชอบของผู้บริโภค
สิ่งที่ผมมั่นใจว่าเมื่อถึงเวลา เกือบทุกบริษัทจะหันเข้ามาทำรถไฟฟ้ากันทุกคน ถ้าคุณเป็นเหมืองแร่ คนผลิตแบ็ต ตัวถัง เบรก ศูนย์บริการ คุณจะช่วยเหลือหรือถือหางใคร ในเมื่อเทสล่าทำได้ บริษัทต่างๆก็ทำได้และอาจจะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ยังไม่นำมาใช้ การผลิตจริงที่แต่ละบริษัททำได้ บริษัทต่างๆทำตัวเลขได้แน่นอนกว่าเทสล่าแน่ๆ เพราะทำมานาน และมีทุกอย่างพร้อม ซึ่งจะนำมาซึ่งการโจมตีจากค่ายใหญ่ๆ และเทสล่าจะต้องถูกสงครามราคา และปัญหาด้านการผลิตเล่นงานอย่างหนัก และเมื่อรถไฟฟ้าออกสู่ตลาดมากขึ้น ผู้บริโภคเมื่อได้ใช้ ก็จะรู้สึกว่าสเปกไม่ต่างกันแต่บริการดีกว่า เพราะทุกบริษัทเค้าพร้อมด้านอื่นๆอยู่แล้ว ลองคิดดูตอนมีระบบเบรก abs ทุกๆคนก็ตื่นเต้น ตอนนี้รถกระบะก็มี ความตื่นเต้นก็หายไป เหลือแต่ความจริงและความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับตลาด การขนส่งรถหนึ่งคัน ไม่ได้ง่ายเหมือนมือถือ เพราะอย่างที่ผมบอก มันคืออุตสาหกรรมหนักครับ
สิ่งที่เทสล่าอยู่ได้และมีที่ยืนระยะยาวคือ ไปเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม ผลิตน้อยกำไรมากเหมือนพอร์ช เพราะการเข้าสู่ตลาดแมส มันทำยากมาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับบริษัทใหม่ การล้มสลายของเทสล่า อาจรวดเร็วและรุนแรงมากเมื่อเวลาทุกคนในอุตสาหกรรมหันมาผลิตจริงจัง ความคาดหวังสูง ราคาสูง เวลาล่มสลายก็จะเร็วและรุนแรง เหมือนๆกับหุ้นในกระแสทั่วๆไปนั่นแหละครับ บางคนชอบซื้อตามเซียนเพราะกระแสมันดี และวิ่งแรงด้วย
วิธีเดียวที่จะทำให้เทสล่าล่าฝันเข้าสู่ตลาดในวงกว้างได้สำเร็จ คือต้องใช้เกมการเงินเท่านั้น คือการเพิ่มทุนและเข้าซื้อบริษัทผลิตรถยักษ์ใหญ่หลายๆบริษัท เพื่อสร้างกระแสความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะจะสามารถนำสิ่งที่แต่ละบริษัทผลิตอยู่ มาใช้งานได้ทันที ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการผลิตและบริการ ผมคงรอดูบทสรุปว่าเค้าจะเป็นอย่างไรในอนาคตครับ
จบครับ จากนักลงทุนมั่วไปเรื่อยๆคนนึง
ผมมองเทสล่ากับไอโฟนคล้ายๆกันคือ ผบห.มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่างมาก แต่สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาคือ ความฝันกับความจริงครับ ในมุมมองของผมมีดังนี้
มือถือใช้ผลิตที่ใดก็ได้ แล้วค่อยส่งออกไปทั่วโลก เทคโนโลยีเป็นของขนาดเล็ก ราคาขายต่อขนาดสินค้าสูง ข้อจำกัดด้านการผลิตไม่ค่อยมีมาก ผู้นำนวัตกรรมมีต้นทุนการผติตอยู่แค่ประมาณ 1 ใน 4 ของราคาขายเท่านั้น (อย่าง iphone ที่ออกใหม่ๆจะอยู่ราวๆ 6-7 พันครับ) วงจรของอายุสินค้าสั้น อาจจะแค่ 1-2 ปีเท่านั้น การตัดสินใจซื้อเป็นเรื่องง่าย ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ได้รับความนิยมรวดเร็วและกลืนกินผู้นำก่อนหน้าในอุตสาหกรรมได้ไม่ยาก
รถเทสล่า มาเร็ว แรง ผู้บริโภคมีความต้องการมากคล้ายๆกัน แต่เรามาดูข้อแตกต่างที่จะทำให้เป็นการลงทุนที่ล้มเหลวของบริษัทกัน
อุตสาหกรรมรถไม่เหมือนมือถือ อดีตที่ผ่านมามือถือถูกโค่นด้วยผู้มาใหม่ตลอดเวลา แต่รถทำไม่ถึงไม่เป็นเช่นนั้น
รถถือเป็นอุตสาหกรรมหนัก มีซัพพรายเชนต่อเนื่องหลายขั้นตอน เช่นถุงลมระบบเบรกหรืออื่นๆกลับถูกใช้ร่วมกันโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ คำตอบก็คือประหยัดกว่า จำเป็นต้องแบ่งรับต้นทุนวิจัยบางอย่างร่วมกัน
การผลิตรถหนึ่งคัน ใช้เครื่องจักรหนักจำนวนมากในแต่ละส่วน การที่มีผู้ผลิตหน้าใหม่เข้ามาในตลาดแมส ผมไม่ค่อยเห็นมีใครทำได้ และถ้าให้อยู่จนรอดยิ่งแทบไม่เคยเห็นในยุคสมัยนี้
ลองพิจารณาดีๆก็จะเหตุว่าสิ่งสำคัญของรถไฟฟ้าคือแบ็ตกับมอเตอร์ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด ซึ่งมอเตอร์เป็นเทคโนโลยีเก่ามาก ซึ่งง่ายแก่การนำมาใช้ ทุกบริษัทรถเข้าถึงได้หมด ส่วนแบ็ตเตอรี่ก็เป็นเทคโนโลยีที่แทบพัฒนาช้ามากในหลาย 10 ปี จำนวนไฟที่เก็บได้ เทียบกับสินแร่ที่ใช้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นน้อยมาก ซึ่งเหมือนกัน บริษัทรถอื่นๆก็เข้าถึงเทคโนโลยีนี้เช่นกัน ถ้าพูดถึงการพัฒนาแบ็ตแล้ว ส่วนของมือถือได้พัฒนาถึงจุดล่าสุดตลอดเวลาอยู่แล้ว โรงงานแบ็ตก็มีอยู่มากมาย ต่อไปเราลองมาดูถึงเทสล่ากัน
สถานการ์ณปัจจุบัน กระแสความต้องการจุดติดเพราะกระแสราคาพลังงานโลก ที่เฉลี่ยแพงขึ้นกว่าในอดีต (เมื่อก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 10-20 เหรียญเท่านั้น) เพราะความเป็นไปได้กับราคาเข้ามาใกล้กัน จนพอจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงบางส่วน แต่เราลองคิดดูว่า ตอนนี้มือถือทั่วโลกมีกันแทบทุกคน แต่ใช้แบ็ตก้อนนิดเดียว ลองคิดดูว่ารถไฟฟ้าหนึ่งคัน ใช้แบ็ตกี่เท่าของมือถือ ถ้าใช้ในวงกว้างแร่เหล่านี้จะขี้นไปเท่าใด กองทุนที่คอยปั่นราคาเค้าก็จ้องอยู่แล้วครับ ถึงเวลาผลิตออกมา แทนที่ได้กำไรมากๆ เพราะขายปริมาณเยอะ อาจเป็นขาดทุนต่อคันสูงเพราะราคาแร่เหล่านี้นี่แหละครับ เพราะมันคือต้นทุนหลักที่มีผลมากต่อรถไฟฟ้าหนึ่งคัน
แต่สิ่งที่สำคัญคือ รถแบบนี้ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมทำได้ แต่ที่ผ่านมาทำไมเค้าไม่ค่อยทำกันอย่างจริงจังครับ
1.คือยังไม่ถึงเวลาที่จะโจมตีตนเอง กำไรที่ได้จากห่วงโซ่การใช้งานนั้นมีมาก รถหนึ่งคันเวลาออกมาใหม่ๆ อาจจะทำกำไรให้ผู้ผลิตไม่มาก แต่อะไหล่และค่าซ่อมแซมหลังจากนั้นต่างหาก ที่เป็นรายได้หลักของเค้า ลองคิดดูดีๆก็จะทราบว่าศูนย์บริการถยนตร์ที่มีขนาดใหญ่อยู่ริมถนน เค้าเอารายได้จากไหนมาใช้ในการดำเนินงาน ทั้งที่บางช่วงรถใหม่แทบขายไม่ได้
2.ถ้ามีใครจะบุกเข้าป่าคนแรก ทุกคนคงรอจนเค้าถ้างป่าจนเห็นทางชัดค่อยวิ่งตาม เพราะทุกคนไม่กลัว เนื่องจากมีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว อยู่ที่จะทำเมื่อไรเท่านั้น
ลองคิดในมุมมองของบริษัทต่างๆ ตอนนี้คงรอดูก่อน ซึ่งเทสล่ากำลังก้าวเดินอย่างลำบาก เพราะติดขัดด้านการผลิตอย่างมาก ลองนึกดูสิครับว่าถ้าเทสล่าทำตลาดไปจนราคาต่ำจนคนทั่วไปซื้อแทนรถปกติได้ ถ้าเทสล่าขายในไทยคันละล้านห้าได้ แล้ว toyota ขายคันละแปดแสน สเปกเท่ากัน ในฐานะผู้บริโภคเราจะเลือกซื้อใคร ใครน่าเชื่อถือกว่า ศูนย์บริการใครครอบคลุมกว่า อะไหล่ใครหาง่ายกว่า ราคาขายต่อใครตกน้อยกว่า ปัญญาหาจุกจุกใครผ่านมามากกว่ากัน ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ของดีราคาถูกครับ รถหนึ่งคันเมื่อซื้อใช้ มันใช้ระยะยาวไม่ใช่ระยะสั้น และสิ่งสำคัญมันดูแลความปลอดภัยในชีวิตของเราด้วย ไม่ใช่เหมือนมือถือที่ซื้อๆใช้ไปเพราะไม่ใช่ของชิ้นใหญ่ เสียก็ส่งศูนย์ตามห้างสรรพสินค้าซ่อมที่ไหนก็ได้ และการเลือกซื้อรถสักคัน มันมีความชอบส่วนตัวและประโยชน์ใช้สอยมาผสมด้วยอย่างมาก ซื้อมือถือหนึ่งเครื่อง คนพิจารณาแค่ขนาดหน้าจอ กล้องและความเร็วเป็นส่วนใหญ่ อยากให้ดูไม่เหมือนใครก็ใส่เคส เปลี่ยนเสียงเปลี่ยนหน้าตาหน้าจอ แต่รถหนึ่งคันมันไม่ง่ายขนาดนั้น มิฉะนั้นรถหลายๆยี่ห้อคงหายไปหมด แต่กลับกัน บางยี่ห้อยังคงอยู่เพราะรสนิยมและความชอบของผู้บริโภค
สิ่งที่ผมมั่นใจว่าเมื่อถึงเวลา เกือบทุกบริษัทจะหันเข้ามาทำรถไฟฟ้ากันทุกคน ถ้าคุณเป็นเหมืองแร่ คนผลิตแบ็ต ตัวถัง เบรก ศูนย์บริการ คุณจะช่วยเหลือหรือถือหางใคร ในเมื่อเทสล่าทำได้ บริษัทต่างๆก็ทำได้และอาจจะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ยังไม่นำมาใช้ การผลิตจริงที่แต่ละบริษัททำได้ บริษัทต่างๆทำตัวเลขได้แน่นอนกว่าเทสล่าแน่ๆ เพราะทำมานาน และมีทุกอย่างพร้อม ซึ่งจะนำมาซึ่งการโจมตีจากค่ายใหญ่ๆ และเทสล่าจะต้องถูกสงครามราคา และปัญหาด้านการผลิตเล่นงานอย่างหนัก และเมื่อรถไฟฟ้าออกสู่ตลาดมากขึ้น ผู้บริโภคเมื่อได้ใช้ ก็จะรู้สึกว่าสเปกไม่ต่างกันแต่บริการดีกว่า เพราะทุกบริษัทเค้าพร้อมด้านอื่นๆอยู่แล้ว ลองคิดดูตอนมีระบบเบรก abs ทุกๆคนก็ตื่นเต้น ตอนนี้รถกระบะก็มี ความตื่นเต้นก็หายไป เหลือแต่ความจริงและความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับตลาด การขนส่งรถหนึ่งคัน ไม่ได้ง่ายเหมือนมือถือ เพราะอย่างที่ผมบอก มันคืออุตสาหกรรมหนักครับ
สิ่งที่เทสล่าอยู่ได้และมีที่ยืนระยะยาวคือ ไปเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม ผลิตน้อยกำไรมากเหมือนพอร์ช เพราะการเข้าสู่ตลาดแมส มันทำยากมาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับบริษัทใหม่ การล้มสลายของเทสล่า อาจรวดเร็วและรุนแรงมากเมื่อเวลาทุกคนในอุตสาหกรรมหันมาผลิตจริงจัง ความคาดหวังสูง ราคาสูง เวลาล่มสลายก็จะเร็วและรุนแรง เหมือนๆกับหุ้นในกระแสทั่วๆไปนั่นแหละครับ บางคนชอบซื้อตามเซียนเพราะกระแสมันดี และวิ่งแรงด้วย
วิธีเดียวที่จะทำให้เทสล่าล่าฝันเข้าสู่ตลาดในวงกว้างได้สำเร็จ คือต้องใช้เกมการเงินเท่านั้น คือการเพิ่มทุนและเข้าซื้อบริษัทผลิตรถยักษ์ใหญ่หลายๆบริษัท เพื่อสร้างกระแสความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะจะสามารถนำสิ่งที่แต่ละบริษัทผลิตอยู่ มาใช้งานได้ทันที ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการผลิตและบริการ ผมคงรอดูบทสรุปว่าเค้าจะเป็นอย่างไรในอนาคตครับ
จบครับ จากนักลงทุนมั่วไปเรื่อยๆคนนึง
-
- Verified User
- โพสต์: 266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2525
ผมเห็นด้วยกับพี่ลูกหินในประเด็นของ hardware ครับว่าทุกชิ้นส่วนของรถไฟฟ้ามันก็คือของเดิมไม่ได้พัฒนาอะไรใหม่ แต่สิ่งที่ผู้เล่นรายเก่าสู้ tesla ไม่ได้ในตอนนี้เป็น software ครับ ซึ่ง tesla น่าจะนำไปไกลอย่างน้อยก็ 5 ปี การที่ผู้เล่นเก่าในตลาดจะขยับตามทันได้คงไม่พ้นกูเกิล หรือบริษัทซอฟทแวร์ยักษ์ใหญ่รายอื่นออก os แล้วรถไฟฟ้าของผู้เล่นรายเก่านำไปใช้ เฉกเช่นเดียวกับที่ google ปล่อย android ให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์มือถือใช้
ในประเด็นเรื่อง supply chain ของรถยนต์ tesla เองมีสายสัมพันธ์กับ benz ผมเองเลยไม่คิดว่าจะเป็นปัญหามากนัก สิ่งที่จะทำให้เทสล่าอยู่รอดสำหรับผม คือ
1. ระบบซอฟท์แวร์ที่จะเป็น switching cost สำหรับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เดิมของ tesla ไม่ให้ switch ไปของบริษัทอื่น
2. ระบบซอฟท์แวร์ที่จะคอยเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้ารายใหม่
3. ระบบซอฟท์แวร์จากบริษัทซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ที่มีไม่กี่ระบบ เฉกเช่นเดียวกับมือถือที่มีเพียง 3 ค่าย (android ios windows)
ทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงมากนักในส่วนของ software
4. ระบบการผลิตหรือประกอบชิ้นส่วนที่ tesla ต้องไม่พลาดทำเกินตัวจนเป็นภาระทางการเงิน
จากประเด็นข้างต้นในระยะกลางผมว่า tesla จะอยู่รอดได้เฉกเช่นเดียวกับ apple ที่เราจะเห็นได้ว่าตอนนี้ยอดขายเริ่มทรงตัว และต้องหา innovation ใหม่ ๆ เพื่อต่อยอด product life cycle ของบริษัทต่อไปครับ
ในประเด็นเรื่อง supply chain ของรถยนต์ tesla เองมีสายสัมพันธ์กับ benz ผมเองเลยไม่คิดว่าจะเป็นปัญหามากนัก สิ่งที่จะทำให้เทสล่าอยู่รอดสำหรับผม คือ
1. ระบบซอฟท์แวร์ที่จะเป็น switching cost สำหรับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เดิมของ tesla ไม่ให้ switch ไปของบริษัทอื่น
2. ระบบซอฟท์แวร์ที่จะคอยเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้ารายใหม่
3. ระบบซอฟท์แวร์จากบริษัทซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ที่มีไม่กี่ระบบ เฉกเช่นเดียวกับมือถือที่มีเพียง 3 ค่าย (android ios windows)
ทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงมากนักในส่วนของ software
4. ระบบการผลิตหรือประกอบชิ้นส่วนที่ tesla ต้องไม่พลาดทำเกินตัวจนเป็นภาระทางการเงิน
จากประเด็นข้างต้นในระยะกลางผมว่า tesla จะอยู่รอดได้เฉกเช่นเดียวกับ apple ที่เราจะเห็นได้ว่าตอนนี้ยอดขายเริ่มทรงตัว และต้องหา innovation ใหม่ ๆ เพื่อต่อยอด product life cycle ของบริษัทต่อไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2527
Software ในสายตาผมผมมองเป็นนวัตกรรมที่เสื่อมค่าเร็วมากครับ ธรรมชาติของ software คือใครมาทีหลัง ดีกว่า ถูกกว่า ประหยัดงบประมาณกว่า งบลงทุนของผู้ตามต่ำมาก สังเกตุดูได้จากมือถือ โปรแกรมปรับภาพ ถ่ายภาพชัด ภาพสวย สแกนลายนิ้วมือ สแกนม่านตา คำสั่งเสียง หรือแม้แต่ในอนาคตจะมีระบุ dna ก็ตาม มันจะอยู่ได้อย่างมากแค่ 1 ปี สำหรับมือถือที่มีวงจรการใช้งานสั้นแค่ 1-3 ปี การนำหน้า 1 ปีอาจมีผลต่อการเลือกซื้อครับ แต่ถ้ารถยนตร์ ของชิ้นใหญ่ ราคาสูง อายุการใช้งาน 10 ปี software ที่นำหน้าเพียง 1 ปีนั้นเทียบมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อต่ำครับ รถหลายๆคันเบรกด้านหลังยังเป็นดรัมเบรกอยู่เลยครับ แต่ผู้บริโภคเปรียบเทียบราคาและให้ความสำคัญส่วนนี้น้อยมาก
ที่ผมมั่นใจว่าส่วนนี้ไม่ใช่ทำให้ได้เปรียบ แต่กลับทำให้ศูนย์เสียงบประมาณมากคือ ตอนนี้เทสล่านำไป 5 ปีเพราะเจ้าอื่นยังไม่รีบทำตามต่างหาก ลองดูเทคโนโลยีมือถือรุ่นของปีก่อนสิครับ ปัจจุบันเครื่องไม่กี่พันมีหมด ทั้งสแกนลายนิ้วมือและอื่นๆ เช่นรุ่น flash plus 2 เครื่องละ 4 พันกว่าเท่านั้น ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้าบริษัทอื่นๆเอาจริงในการพัฒนาส่วนนี้ ซื้อตัวบุคลากรมาทำขึ้นใหม่ ก็จะได้ software ที่ดีกว่า เร็วกว่า แก้ข้อผิดพลาดได้มากกว่า ในราคาที่ถูกกว่ามาก เพราะงบประมาณที่แก้ข้อผิดพลาดในอดีตได้ถูกใช้ไปในบริษัทที่ทำตอนแรกไประดับนึงแล้ว ส่วนการป้องกันสมองไหล เป็นไปได้ยากมากถ้ายังต้องร่วมงานกับมนุษย์ ที่ยังคงมีความโลภอยู่เสมอ ในกรณีที่ซื้อตัวไม่ได้ บริษัทอื่นๆก็สามารถนำเอารถที่เค้าขายมาแกะโค้ดและเขียนขึ้นใหม่ได้อยู่ดี ปัจจุบันจึงมีการฟ้องร้องในบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่เป็นพันๆเคส แต่ผู้บริโภคๆม่มีคนสนใจ สนใจแต่ว่าใช้ได้หรือไม่ สะดวกหรือเปล่าเท่านั้น ระยะห่างของ software เทสล่าจะถูกย่นระยะลงอย่างรวดเร็วเมื่อสงครามธุรกิจเริ่มขึ้นจริงครับ
ส่วนความสำพันธ์อันดีกับเพื่อนธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้นครับ ธุรกิจคือสงคราม เพื่อนแท้ของธุรกิจคือผลประโยชน์ ไม่มีผลประโยชน์ หรือมีผลประโยชน์ที่มากกว่า ความสำพันธ์ยาวนานแค่ไหนก็ไร้ความหมายครับ อันนี้คือธรรมชาติของธุรกิจ
ส่วน software ในอนาคตที่จะใช้สำหรับรถประเภทนี้ ที่ผมมองไว้คือ google ครับ เพราะมีฐานข้อมูลพร้อมและได้เปรียบบริษัทอื่นๆอยู่มาก ถึงมี startup เกิดขึ้นมา ใช้แล้วดี สุดท้ายก็คงถูก google ซื้อเข้ามาและนำมารวมกับฐานข้อมูลแผนที่ที่ตนเองมีอยู่ และบริษัทต่างๆก็คงต้องเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ร่วมกันพัฒนาต่อไปเหมือนๆมือถือครับ
Software จริงๆเราแค่ก๊อปปี้ออกมาดู เราก็รู้และทำตามได้ทั้งหมด แต่ฐานข้อมูลต้องใช้เวลาและงบประมาณในการสะสม นี่คือข้อแตกต่าง ถึงการทำงานมันจะดูเจ๋ง แต่งบประมาณและเวลาในการทำตามนั้นมันง่ายมาก ต่างกับการที่จะทำโคมไฟหน้ารถสักรุ่น ยังต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลครับ
สำหรับนักลงทุน ผมว่ามุมมองในส่วนของ ธุรกิจดูดีกับธุรกิจดูได้ (ธุรกิจดูดีคือ ธุรกิจที่ทุกคนดูแล้วรู้สึกว่ามันเจ๋ง เช่น ไอทีต่างๆ ส่วนธุรกิจที่ดูได้คือ ธุรกิจที่ทำเงินได้แต่ดูน่าเบื่อ เหมือนพวกซีอิ้วขาวที่ผ่านมานานมาก ผมก็เห็นเค้าแค่ลงทุนเปลี่ยนขวดจากแก้วเป็นพลาสติกเท่านั้น) มันสำคัญมากครับ เป็นส่วนชี้ขาดถึงความสำเร็จในระยะยาวเลยทีเดียว และที่สำคัญธุรกิจแต่ละประเภทมีธรรมชาติของมันครับ การจะทำอะไรฝืนธรรมชาติก็ทำได้แค่ช่วงสั้นๆ สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นธรรมชาติของมันครับ
ถูกผิดต้องรอดูครับ แชร์กันสนุกดี ต้องขอโทษเพื่อนๆที่ไม่ค่อยได้โพสอะไรเท่าไร วันๆมั่วแต่อ่านโน่นอ่านนี่ทั้งวัน ถ้ามีโอกาสจะโพสมากขึ้นนะครับ
ที่ผมมั่นใจว่าส่วนนี้ไม่ใช่ทำให้ได้เปรียบ แต่กลับทำให้ศูนย์เสียงบประมาณมากคือ ตอนนี้เทสล่านำไป 5 ปีเพราะเจ้าอื่นยังไม่รีบทำตามต่างหาก ลองดูเทคโนโลยีมือถือรุ่นของปีก่อนสิครับ ปัจจุบันเครื่องไม่กี่พันมีหมด ทั้งสแกนลายนิ้วมือและอื่นๆ เช่นรุ่น flash plus 2 เครื่องละ 4 พันกว่าเท่านั้น ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้าบริษัทอื่นๆเอาจริงในการพัฒนาส่วนนี้ ซื้อตัวบุคลากรมาทำขึ้นใหม่ ก็จะได้ software ที่ดีกว่า เร็วกว่า แก้ข้อผิดพลาดได้มากกว่า ในราคาที่ถูกกว่ามาก เพราะงบประมาณที่แก้ข้อผิดพลาดในอดีตได้ถูกใช้ไปในบริษัทที่ทำตอนแรกไประดับนึงแล้ว ส่วนการป้องกันสมองไหล เป็นไปได้ยากมากถ้ายังต้องร่วมงานกับมนุษย์ ที่ยังคงมีความโลภอยู่เสมอ ในกรณีที่ซื้อตัวไม่ได้ บริษัทอื่นๆก็สามารถนำเอารถที่เค้าขายมาแกะโค้ดและเขียนขึ้นใหม่ได้อยู่ดี ปัจจุบันจึงมีการฟ้องร้องในบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่เป็นพันๆเคส แต่ผู้บริโภคๆม่มีคนสนใจ สนใจแต่ว่าใช้ได้หรือไม่ สะดวกหรือเปล่าเท่านั้น ระยะห่างของ software เทสล่าจะถูกย่นระยะลงอย่างรวดเร็วเมื่อสงครามธุรกิจเริ่มขึ้นจริงครับ
ส่วนความสำพันธ์อันดีกับเพื่อนธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้นครับ ธุรกิจคือสงคราม เพื่อนแท้ของธุรกิจคือผลประโยชน์ ไม่มีผลประโยชน์ หรือมีผลประโยชน์ที่มากกว่า ความสำพันธ์ยาวนานแค่ไหนก็ไร้ความหมายครับ อันนี้คือธรรมชาติของธุรกิจ
ส่วน software ในอนาคตที่จะใช้สำหรับรถประเภทนี้ ที่ผมมองไว้คือ google ครับ เพราะมีฐานข้อมูลพร้อมและได้เปรียบบริษัทอื่นๆอยู่มาก ถึงมี startup เกิดขึ้นมา ใช้แล้วดี สุดท้ายก็คงถูก google ซื้อเข้ามาและนำมารวมกับฐานข้อมูลแผนที่ที่ตนเองมีอยู่ และบริษัทต่างๆก็คงต้องเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ร่วมกันพัฒนาต่อไปเหมือนๆมือถือครับ
Software จริงๆเราแค่ก๊อปปี้ออกมาดู เราก็รู้และทำตามได้ทั้งหมด แต่ฐานข้อมูลต้องใช้เวลาและงบประมาณในการสะสม นี่คือข้อแตกต่าง ถึงการทำงานมันจะดูเจ๋ง แต่งบประมาณและเวลาในการทำตามนั้นมันง่ายมาก ต่างกับการที่จะทำโคมไฟหน้ารถสักรุ่น ยังต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลครับ
สำหรับนักลงทุน ผมว่ามุมมองในส่วนของ ธุรกิจดูดีกับธุรกิจดูได้ (ธุรกิจดูดีคือ ธุรกิจที่ทุกคนดูแล้วรู้สึกว่ามันเจ๋ง เช่น ไอทีต่างๆ ส่วนธุรกิจที่ดูได้คือ ธุรกิจที่ทำเงินได้แต่ดูน่าเบื่อ เหมือนพวกซีอิ้วขาวที่ผ่านมานานมาก ผมก็เห็นเค้าแค่ลงทุนเปลี่ยนขวดจากแก้วเป็นพลาสติกเท่านั้น) มันสำคัญมากครับ เป็นส่วนชี้ขาดถึงความสำเร็จในระยะยาวเลยทีเดียว และที่สำคัญธุรกิจแต่ละประเภทมีธรรมชาติของมันครับ การจะทำอะไรฝืนธรรมชาติก็ทำได้แค่ช่วงสั้นๆ สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นธรรมชาติของมันครับ
ถูกผิดต้องรอดูครับ แชร์กันสนุกดี ต้องขอโทษเพื่อนๆที่ไม่ค่อยได้โพสอะไรเท่าไร วันๆมั่วแต่อ่านโน่นอ่านนี่ทั้งวัน ถ้ามีโอกาสจะโพสมากขึ้นนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2528
เห็นด้วยกะพี่ลูกหินทุกประการ
แต่หาคนพูดแทนใจไม่ได้
ผมเห็นคนเห่อ เทสล่า เกินไปนิด
อย่าลืม ว่า มีสินค้าทดแทน ที่เป็น ไฮโดรเจนอยู่ด้วยนะ
บ รถ มีทุกอย่างอยู่ในมือ เชน กะ สถานการณ์ มันต่างกะ โกดักมาก
เมืองไทยร้อนมาก มือถือเผลอวางในรถ จอดตากแดด
แบตบวมง่ายมาก
ถ้าเป็นรถไฟฟ้า ส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะปลอดภัยจริงไหม
ถ้ามือถือระเบิด ยังน่ากลัว แล้วถ้า เป็น รถไฟฟ้า นี่ผมไม่อยากคิดเลย
แต่หาคนพูดแทนใจไม่ได้
ผมเห็นคนเห่อ เทสล่า เกินไปนิด
อย่าลืม ว่า มีสินค้าทดแทน ที่เป็น ไฮโดรเจนอยู่ด้วยนะ
บ รถ มีทุกอย่างอยู่ในมือ เชน กะ สถานการณ์ มันต่างกะ โกดักมาก
เมืองไทยร้อนมาก มือถือเผลอวางในรถ จอดตากแดด
แบตบวมง่ายมาก
ถ้าเป็นรถไฟฟ้า ส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะปลอดภัยจริงไหม
ถ้ามือถือระเบิด ยังน่ากลัว แล้วถ้า เป็น รถไฟฟ้า นี่ผมไม่อยากคิดเลย
show me money.
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2529
อุตสาหกรรมรถ กับอุตสาหกรรมมือถือ ผมคิดว่ามีส่วนหนึ่งที่แตกต่างกันเยอะคือการพี่งพา supply chain ครับ
ในอุตสาหกรรมรถยนต์ แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์เป็นคนกำหนดสเป็คของรถยนต์ว่าจะต้องมีลักษณะอย่างไร จากนั้นจึงไปคุยกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้ผลิตชิ้นส่วนตามที่ตัวเองต้องการ ผู้ผลิตกลุ่มที่ได้รับการติดต่อจากแบรนด์ต่างๆนั้นเราเรียกว่า Tier 1 Supplier และจากนั้น Tier 1 ก็จะไปติดต่อบริษัทผู้ผลิตย่อยๆต่อไปเป็นลำดับๆ เรียกว่า Tier 2 และ Tier 3
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ๆ เช่น VW, Toyota, BMW, Daimler บริษัทเหล่านี้จะมีทีมเทคโนโลยีที่คอยออกแบบ และกำหนดมาตรฐาน เช่นเครื่องยนต์ต้องทำตามมาตรฐานนี้ ออกแบบประมาณนี้ แล้วส่งต่อให้บริษัท Tier 1 หลายๆแห่งเข้ามาพัฒนาชิ้นส่วนให้ตามมาตรฐานที่ตัวเองกำหนด มาตฐานเหล่านี้บางทีเข้าถึงยากมาก ต้องส่งตัวแทนไปเป็นกรรมการร่างมาตรฐานถึงได้ข้อมูลตรงนี้มา เป็นการกีดกันคู่แข่งโดยธรรมชาติ
ซึ่งผู้ผลิต Tier 1, 2, 3 นั้นไม่ได้ทำการพัฒนาแค่ Hardware อย่างเดียว แต่ยังเป็นการพัฒนา Software ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ด้วย ตรงนี้ค่อนข้างแตกต่างกับธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ที่มักนิยมซื้อ Hardware จากบริษํทข้างนอกมาแล้วพัฒนา Software เอง
พอเป็นเช่นนี้ เท่าที่ผมทราบ Tesla ไม่ได้ทำการร่างมาตรฐานเหล่านี้มากนัก แต่กลับเป็นการเจรจากับ Tier 1 เป็นเจ้าๆไป ทำให้ Tesla นั้นไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรเป็นของตัวเอง ชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์เทสล่านั้นต่างพึ่งพา Tier 1 สูงมาก
เช่นระบบ Autopilot ของบริษัทนั้นก็เป็นระบบที่ซื้อมาจาก Tier 1 ทั้งหมด หรือระบบแบตเตอรี่ก็ใช้ของ Panasonic ทั้งหมด เป็นต้น ซึ่งแต่ละระบบก็มีอุปสรรคทางเทคนิคที่ค่อนข้างใหญ่อยู่เป็นระยะๆ
ถ้าติดตามข่าวช่วงนี้จะได้ยินว่าบริษัท Mobileye ผู้ผลิตซอฟท์แวร์ช่วยเหลือการขับขี่ ให้กับเทสล่านั้นออกมาประกาศชัดเจนว่า Tesla ได้ทำการละเมิดสัญญาระหว่างบริษัท ว่าจะไม่นำระบบช่วยในการขับขี่ไปใช้งานระหว่างที่คนขับไม่ได้จับพวงมาลัยอย่างเด็ดขาด ซึ่ง Tesla ได้ผิดสัญญาและทำการตลาดโดยใช้คำว่า "Autopilot" หรือรถยนต์ที่ขับได้ด้วยตัวเอง ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและเกิดความเสียหายต่อชีวิตอยู่หลายกรณี โดยส่วนตัวผมคิดว่า Autopilot ของเทสล่านั้นเป็นการโฆษณาที่เกินกว่าความสามารถของเทคโนโลยีตัวเอง
นอกจากนั้นชิ้นส่วนอื่นๆของ Tesla ก็มีปัญหาไม่แพ้กัน เช่นแบตเตอรี่ที่เดิม Tesla ตั้งใจจะใช้นั้นอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ทาง Panasonic ไม่สามารถทำให้ได้ด้วยเหตุผลทางเทคโนโลยี ราคาแบตเตอร์รี่เลยไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด เงินลงทุนกับโรงงานและสายการผลิตส่วนนี้เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงผลประกอบการ
หรือถ้าใครตามข่าว Model 3 ที่เปิดให้จองกันไปสักพักแล้ว สเป็คชิ้นส่วนต่างๆที่ส่งมาถึงมือ Tier 1 มีความไม่แน่นอนค่อนข้างมากทั้งๆที่การผลิตควรจะเริ่มต้นได้แล้ว ถ้าบริษัทยังดันทุรังผลิตด้วยสเป็คที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้อาจได้รถที่คุณภาพไม่สูง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับรถต้นแบบที่โฆษณาไว้ตั้งแต่เปิดจอง (Model 3 ของจริงจะแตกต่างจากรถต้นแบบที่ลูกค้าจองค่อนข้างมาก)
ในทางบัญชีก็ดูน่าสงสัยในหลายประเด็น เช่นการค่าพัฒนารถยนต์ส่วนหนึ่งไปลงไว้ในค่า Operating Expense (OPEX) แทนที่จะนำไปใส่ไว้เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนการขายสินค้า (COGS) อย่างที่บริษัทรถยนต์ตัวไปทำ นั้นเหมือนเป็นการทำให้ GPM สูงเกินความเป็นจริง ซึ่งหากนำตรงนี้มาบวกเข้าเป็น COGS อย่างที่น่าจะเป็นจะพบว่า Tesla นั้นอาจเป็นบริษัทที่ GPM ติดลบ และรถยนต์ทุกคันที่ขายทำให้บริษัทขาดทุนคันละหลายหมื่นดอลลาร์
(ตรงนี้เป็นความเห็นส่วนตัวครับ คนที่เห็นว่า Tesla ลงบัญชีถูกแล้วก็มี เพราะจริงอยู่ที่ว่าค่า R&D บางอย่างควรเป็น OPEX บางคนเลยเรียกการลงบัญชีแบบนี้ว่าเป็น "creative accounting" แต่ส่วนตัวผมว่ามันแหม่งๆ อาจทำให้งบดูสวยเกินจริงได้)
โดยรวมผมไม่ค่อยมั่นใจเรื่องทางเทคนิคหรือการเงินของ Tesla เท่าไหร่ แต่ในทางการตลาดหรือการวิเคราะห์กระแสสังคม ผมคิดว่า Tesla ทำได้ดีมากครับ และที่ผ่านๆมา Elon Musk ก็ไม่มีปัญหาในการระดมทุนใหม่ๆเพิ่ม ใครแทงสวนนี่ก็น่าจะมีเจ็บกันบ้าง แต่ถ้าใครจะลงทุนกับบริษัทนี้ก็ขอให้มองรอบๆด้านนะครับ ไม่เห็นด้วยกับผมไม่เป็นไรเรามาแลกเปลี่ยนกันได้ ผมแค่อยากเสนอข้อมูลอีกด้านเพื่อการตัดสินใจครับ การลงทุนมีความเสี่ยง
ในอุตสาหกรรมรถยนต์ แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์เป็นคนกำหนดสเป็คของรถยนต์ว่าจะต้องมีลักษณะอย่างไร จากนั้นจึงไปคุยกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้ผลิตชิ้นส่วนตามที่ตัวเองต้องการ ผู้ผลิตกลุ่มที่ได้รับการติดต่อจากแบรนด์ต่างๆนั้นเราเรียกว่า Tier 1 Supplier และจากนั้น Tier 1 ก็จะไปติดต่อบริษัทผู้ผลิตย่อยๆต่อไปเป็นลำดับๆ เรียกว่า Tier 2 และ Tier 3
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ๆ เช่น VW, Toyota, BMW, Daimler บริษัทเหล่านี้จะมีทีมเทคโนโลยีที่คอยออกแบบ และกำหนดมาตรฐาน เช่นเครื่องยนต์ต้องทำตามมาตรฐานนี้ ออกแบบประมาณนี้ แล้วส่งต่อให้บริษัท Tier 1 หลายๆแห่งเข้ามาพัฒนาชิ้นส่วนให้ตามมาตรฐานที่ตัวเองกำหนด มาตฐานเหล่านี้บางทีเข้าถึงยากมาก ต้องส่งตัวแทนไปเป็นกรรมการร่างมาตรฐานถึงได้ข้อมูลตรงนี้มา เป็นการกีดกันคู่แข่งโดยธรรมชาติ
ซึ่งผู้ผลิต Tier 1, 2, 3 นั้นไม่ได้ทำการพัฒนาแค่ Hardware อย่างเดียว แต่ยังเป็นการพัฒนา Software ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ด้วย ตรงนี้ค่อนข้างแตกต่างกับธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ที่มักนิยมซื้อ Hardware จากบริษํทข้างนอกมาแล้วพัฒนา Software เอง
พอเป็นเช่นนี้ เท่าที่ผมทราบ Tesla ไม่ได้ทำการร่างมาตรฐานเหล่านี้มากนัก แต่กลับเป็นการเจรจากับ Tier 1 เป็นเจ้าๆไป ทำให้ Tesla นั้นไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรเป็นของตัวเอง ชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์เทสล่านั้นต่างพึ่งพา Tier 1 สูงมาก
เช่นระบบ Autopilot ของบริษัทนั้นก็เป็นระบบที่ซื้อมาจาก Tier 1 ทั้งหมด หรือระบบแบตเตอรี่ก็ใช้ของ Panasonic ทั้งหมด เป็นต้น ซึ่งแต่ละระบบก็มีอุปสรรคทางเทคนิคที่ค่อนข้างใหญ่อยู่เป็นระยะๆ
ถ้าติดตามข่าวช่วงนี้จะได้ยินว่าบริษัท Mobileye ผู้ผลิตซอฟท์แวร์ช่วยเหลือการขับขี่ ให้กับเทสล่านั้นออกมาประกาศชัดเจนว่า Tesla ได้ทำการละเมิดสัญญาระหว่างบริษัท ว่าจะไม่นำระบบช่วยในการขับขี่ไปใช้งานระหว่างที่คนขับไม่ได้จับพวงมาลัยอย่างเด็ดขาด ซึ่ง Tesla ได้ผิดสัญญาและทำการตลาดโดยใช้คำว่า "Autopilot" หรือรถยนต์ที่ขับได้ด้วยตัวเอง ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและเกิดความเสียหายต่อชีวิตอยู่หลายกรณี โดยส่วนตัวผมคิดว่า Autopilot ของเทสล่านั้นเป็นการโฆษณาที่เกินกว่าความสามารถของเทคโนโลยีตัวเอง
นอกจากนั้นชิ้นส่วนอื่นๆของ Tesla ก็มีปัญหาไม่แพ้กัน เช่นแบตเตอรี่ที่เดิม Tesla ตั้งใจจะใช้นั้นอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ทาง Panasonic ไม่สามารถทำให้ได้ด้วยเหตุผลทางเทคโนโลยี ราคาแบตเตอร์รี่เลยไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด เงินลงทุนกับโรงงานและสายการผลิตส่วนนี้เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงผลประกอบการ
หรือถ้าใครตามข่าว Model 3 ที่เปิดให้จองกันไปสักพักแล้ว สเป็คชิ้นส่วนต่างๆที่ส่งมาถึงมือ Tier 1 มีความไม่แน่นอนค่อนข้างมากทั้งๆที่การผลิตควรจะเริ่มต้นได้แล้ว ถ้าบริษัทยังดันทุรังผลิตด้วยสเป็คที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้อาจได้รถที่คุณภาพไม่สูง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับรถต้นแบบที่โฆษณาไว้ตั้งแต่เปิดจอง (Model 3 ของจริงจะแตกต่างจากรถต้นแบบที่ลูกค้าจองค่อนข้างมาก)
ในทางบัญชีก็ดูน่าสงสัยในหลายประเด็น เช่นการค่าพัฒนารถยนต์ส่วนหนึ่งไปลงไว้ในค่า Operating Expense (OPEX) แทนที่จะนำไปใส่ไว้เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนการขายสินค้า (COGS) อย่างที่บริษัทรถยนต์ตัวไปทำ นั้นเหมือนเป็นการทำให้ GPM สูงเกินความเป็นจริง ซึ่งหากนำตรงนี้มาบวกเข้าเป็น COGS อย่างที่น่าจะเป็นจะพบว่า Tesla นั้นอาจเป็นบริษัทที่ GPM ติดลบ และรถยนต์ทุกคันที่ขายทำให้บริษัทขาดทุนคันละหลายหมื่นดอลลาร์
(ตรงนี้เป็นความเห็นส่วนตัวครับ คนที่เห็นว่า Tesla ลงบัญชีถูกแล้วก็มี เพราะจริงอยู่ที่ว่าค่า R&D บางอย่างควรเป็น OPEX บางคนเลยเรียกการลงบัญชีแบบนี้ว่าเป็น "creative accounting" แต่ส่วนตัวผมว่ามันแหม่งๆ อาจทำให้งบดูสวยเกินจริงได้)
โดยรวมผมไม่ค่อยมั่นใจเรื่องทางเทคนิคหรือการเงินของ Tesla เท่าไหร่ แต่ในทางการตลาดหรือการวิเคราะห์กระแสสังคม ผมคิดว่า Tesla ทำได้ดีมากครับ และที่ผ่านๆมา Elon Musk ก็ไม่มีปัญหาในการระดมทุนใหม่ๆเพิ่ม ใครแทงสวนนี่ก็น่าจะมีเจ็บกันบ้าง แต่ถ้าใครจะลงทุนกับบริษัทนี้ก็ขอให้มองรอบๆด้านนะครับ ไม่เห็นด้วยกับผมไม่เป็นไรเรามาแลกเปลี่ยนกันได้ ผมแค่อยากเสนอข้อมูลอีกด้านเพื่อการตัดสินใจครับ การลงทุนมีความเสี่ยง
Vi IMrovised
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2530
ว่าถึง Tesla ... กลยุทธ์ที่เข้าตลาดของเขาน่าสนใจครับ
เข้าตลาดด้วย ตลาดบนสุดก่อน คือระดับเดียวกับพวก 7-series, S-Class
ต่อมาก็เข้าเจาะตลาด Premium Mid-Sized Sedan พวก 5-series, E-Class
ทั้งสองระดับเพื่อ Cover R&D Cost ให้ได้ครับ
แล้วมาเจาะตลาด (ที่ได้รับจองล่วงหน้าอย่างล้นหลาม) Premium Compact
คือ 3-Series, C-Class (Sweet Spot ของ BMW ซะด้วย)
ผมว่าทาง Tesla อาจไม่ทำรถในระดับต่ำกว่า Premium นะครับ แต่อาจจะมี
Premium Sub-Compact ระดับ 1-Series, CLA-Class อะไรแบบนี้
สิ่งที่สำคัญคือแบตตารี่ ไปได้ไกลแค่ไหนต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง และใช้เวลา
มากแค่ไหนในการชาร์ตจนเต็ม ถ้าปัญหาสองข้อนี้ได้รับการแก้ไขได้ระดับ
ที่น่าพอใจ ผมว่าเวลานั้นรถไฟฟ้าน่าจะกินตลาดรถแบบ Internal Combusion
Engine หมดแน่ๆ เพราะต้นทุนถูกกว่าทั้งการผลิตและการใช้งาน
ส่วนเรื่อง Hydrogen จริงๆ แล้วที่เยอรมันมีใช้มาสักพักแล้ว มีปั๊มด้วยครับ
Hyundai ก็มีรถออกมาขายจริงๆ ตั้งหลายปีแล้วที่อเมริกา แต่ขายไม่ได้
เพราะทั้งรัฐแคลิฟอรเนียดูเหมือนจะมีปั๊มแค่สองปั๊มเอง สุดท้ายต้องออก
มาในรูปแบบเช่าใช้แทน แต่ก็ยังไม่ไปอยู่ดี (คนไทยมักเข้าใจว่า
Toyota มาก่อน ที่จริงตามหลังเยอรมันกับเกาหลี ในเรื่องรถไฮโดรเจน
เป็นสิบปีครับ แต่สิ่งที่ Toyota เป็นผู้นำคือ Hybrid เพราะ BMW ก็ต้องใช้
เทคโนโลยี่ Hybrid บางส่วนของ Toyota เพราะไม่อยากมีปัญหาปวดหัวแบบคู่แข่ง
จากประเทศด้วยกันที่ปัจจุบันก็ยังแก้ไม่ตก)
อีกเรื่องที่พวกเราคนไทยมักเข้าใจผิดมากๆ คือ เรื่องอากาศร้อน ผมบอกเลยว่า
อากาศที่ USA มันรุนแรงมากกว่าบ้านเราครับ อย่างหน้าร้อนที่รัฐทางใต้หรือ
แม้กระทั่ง Mid-West มันร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียตนะครับ ร้อนตับแตกได้
เหมือนกัน (เชื่อผม ผมอยู่มาแล้ว) แต่เวลาหน้าหนาวที่ Mid-West นี่อย่าให้พูด
เลยครับ หนาวแข็งตายได้ ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียตเยอะ
ส่วนเรื่องเทคโนโลยี่ อย่าลืมเรื่องสิทธิบัตร แต่อย่างว่าอายุสิทธิบัตรก็แค่ 15 ปี
ถ้าไม่ได้พัฒนาต่อเนื่อง คุณเชื่อหรือไม่ว่า Android ทุกเครื่อง (ยี่ห้อจีนไม่ทราบ
นะครับ) ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตร File System ให้กับ Microsoft เพราะมีการใช้ FAT
(File Allocation Table) File System ที่เก่าแก่ (และสุดห่วย แต่มันแพร่หลาย)
ตั้งแต่ยุค DOS โน่น (แต่มันพัฒนามาเป็น FAT32 แล้วตอนนี้ ExFAT) เหลือเชื่อ
นะครับ ลืมไปกล้องดิจิตัลทุกตัวก็ต้องจ่ายเพราะใช้ FAT เหมือนกัน, M$ นั่งนับตังค์
ทุกๆ เครื่อง Android กับกล้องดิจิตัล รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ FAT ก็ต้องจ่าย
เช่น Smart TV ที่มีช่องเสียบ USB Drive หรือเครื่องเล่นเพลง MP3 เป็นต้น)
แล้ว Tesla มีสิทธิบัตรกี่ใบที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าครับ ???
เข้าตลาดด้วย ตลาดบนสุดก่อน คือระดับเดียวกับพวก 7-series, S-Class
ต่อมาก็เข้าเจาะตลาด Premium Mid-Sized Sedan พวก 5-series, E-Class
ทั้งสองระดับเพื่อ Cover R&D Cost ให้ได้ครับ
แล้วมาเจาะตลาด (ที่ได้รับจองล่วงหน้าอย่างล้นหลาม) Premium Compact
คือ 3-Series, C-Class (Sweet Spot ของ BMW ซะด้วย)
ผมว่าทาง Tesla อาจไม่ทำรถในระดับต่ำกว่า Premium นะครับ แต่อาจจะมี
Premium Sub-Compact ระดับ 1-Series, CLA-Class อะไรแบบนี้
สิ่งที่สำคัญคือแบตตารี่ ไปได้ไกลแค่ไหนต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง และใช้เวลา
มากแค่ไหนในการชาร์ตจนเต็ม ถ้าปัญหาสองข้อนี้ได้รับการแก้ไขได้ระดับ
ที่น่าพอใจ ผมว่าเวลานั้นรถไฟฟ้าน่าจะกินตลาดรถแบบ Internal Combusion
Engine หมดแน่ๆ เพราะต้นทุนถูกกว่าทั้งการผลิตและการใช้งาน
ส่วนเรื่อง Hydrogen จริงๆ แล้วที่เยอรมันมีใช้มาสักพักแล้ว มีปั๊มด้วยครับ
Hyundai ก็มีรถออกมาขายจริงๆ ตั้งหลายปีแล้วที่อเมริกา แต่ขายไม่ได้
เพราะทั้งรัฐแคลิฟอรเนียดูเหมือนจะมีปั๊มแค่สองปั๊มเอง สุดท้ายต้องออก
มาในรูปแบบเช่าใช้แทน แต่ก็ยังไม่ไปอยู่ดี (คนไทยมักเข้าใจว่า
Toyota มาก่อน ที่จริงตามหลังเยอรมันกับเกาหลี ในเรื่องรถไฮโดรเจน
เป็นสิบปีครับ แต่สิ่งที่ Toyota เป็นผู้นำคือ Hybrid เพราะ BMW ก็ต้องใช้
เทคโนโลยี่ Hybrid บางส่วนของ Toyota เพราะไม่อยากมีปัญหาปวดหัวแบบคู่แข่ง
จากประเทศด้วยกันที่ปัจจุบันก็ยังแก้ไม่ตก)
อีกเรื่องที่พวกเราคนไทยมักเข้าใจผิดมากๆ คือ เรื่องอากาศร้อน ผมบอกเลยว่า
อากาศที่ USA มันรุนแรงมากกว่าบ้านเราครับ อย่างหน้าร้อนที่รัฐทางใต้หรือ
แม้กระทั่ง Mid-West มันร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียตนะครับ ร้อนตับแตกได้
เหมือนกัน (เชื่อผม ผมอยู่มาแล้ว) แต่เวลาหน้าหนาวที่ Mid-West นี่อย่าให้พูด
เลยครับ หนาวแข็งตายได้ ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียตเยอะ
ส่วนเรื่องเทคโนโลยี่ อย่าลืมเรื่องสิทธิบัตร แต่อย่างว่าอายุสิทธิบัตรก็แค่ 15 ปี
ถ้าไม่ได้พัฒนาต่อเนื่อง คุณเชื่อหรือไม่ว่า Android ทุกเครื่อง (ยี่ห้อจีนไม่ทราบ
นะครับ) ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตร File System ให้กับ Microsoft เพราะมีการใช้ FAT
(File Allocation Table) File System ที่เก่าแก่ (และสุดห่วย แต่มันแพร่หลาย)
ตั้งแต่ยุค DOS โน่น (แต่มันพัฒนามาเป็น FAT32 แล้วตอนนี้ ExFAT) เหลือเชื่อ
นะครับ ลืมไปกล้องดิจิตัลทุกตัวก็ต้องจ่ายเพราะใช้ FAT เหมือนกัน, M$ นั่งนับตังค์
ทุกๆ เครื่อง Android กับกล้องดิจิตัล รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ FAT ก็ต้องจ่าย
เช่น Smart TV ที่มีช่องเสียบ USB Drive หรือเครื่องเล่นเพลง MP3 เป็นต้น)
แล้ว Tesla มีสิทธิบัตรกี่ใบที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าครับ ???
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2531
เป็นอะไรที่เปิดกะลาผมมากๆเลยครับเรื่องนี้syj เขียน:คุณเชื่อหรือไม่ว่า Android ทุกเครื่อง (ยี่ห้อจีนไม่ทราบ
นะครับ) ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตร File System ให้กับ Microsoft เพราะมีการใช้ FAT
(File Allocation Table) File System ที่เก่าแก่ (และสุดห่วย แต่มันแพร่หลาย)
ตั้งแต่ยุค DOS โน่น (แต่มันพัฒนามาเป็น FAT32 แล้วตอนนี้ ExFAT) เหลือเชื่อ
นะครับ ลืมไปกล้องดิจิตัลทุกตัวก็ต้องจ่ายเพราะใช้ FAT เหมือนกัน, M$ นั่งนับตังค์
ทุกๆ เครื่อง Android กับกล้องดิจิตัล รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ FAT ก็ต้องจ่าย
เช่น Smart TV ที่มีช่องเสียบ USB Drive หรือเครื่องเล่นเพลง MP3 เป็นต้น)
ส่วนเรื่อง tesla กระแสที่มากอย่างเห็นได้ชัดมันอยู่ที่ตัวคุณ musk ด้วยละครับ
เคยอ่านเจอคุณ musk แกสร้างรถไฟฟ้าตัวนี้ขึ้นมา เพื่อจุดประกายการขนส่งแบบไม่ใช้น้ำมันให้มันป็อบ ให้ไวมากขึ้นบนโลก, และเมื่อถึงตอนนั้น ตลาดทั้งหมดก็จะเปลี่ยนมาทางนี้ไวขึ้น (ซึ่งผมก็เอาใจช่วยนะ)
ส่วนเรื่องการลงทุนอันนี้เห็นด้วยกับพี่ลูกหินว่า"ไม่น่าสนใจ" ตอนนี้ถ้าดูราคาหุ้น tesla หุ้นเพิ่มสูงมาก แบบซื้ออนาคตสุดๆ http://www.msn.com/th-th/money/stockdet ... 1.TSLA.NAS ทั้งรายได้จากการดำเนินงานที่ติดลบ, PEติดลบ (หรือเป็นงบปกติของพวก startup -"- )
ส่วนจะทำให้บริษัทเจ๊งในอนาคตมั้ย ผมว่าถ้าคุณ musk ยังอยู่, คนก็พร้อมจะร่วมลงทุนไปกับตัวเขาซะมากกว่าละครับ
อีกเรื่อง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า apple ช่วงเริ่มธุรกิจมือถือยุคแรกๆ งบการเงินดีขนาดไหน รู้แค่ว่าตอนนี้เงินสดท่วมบริษัทไปแล้ว
ปล.เด๋วจะเปิดการ์ดอัญเชิญน้องมานะ เข้ามาถกเรื่องนี้ด้วยฮะ แกเป็นติ่งพวกเรื่อง EV เลยทีเดียว
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2532
ในเรื่องฐานข้อมูลตรงส่วนนี้ในเรื่องสถานการณ์การขับรถผมว่าเทสล่าเองก็ยังนำกูเกิลอยู่ครับ เพราะเทสล่าออกรถจริงเข้าสู่ตลาดแล้ว ณ ตอนนี้ระบบหลังบ้านก็พร้อมรับข้อมูลการขับขี่จากรถจริงจำนวนราว 8 หมื่นคัน ในขณะที่รายอื่น ๆ เช่นกูเกิลได้ข้อมูลจากรถทดสอบของกูเกิลไม่แน่ใจว่าจะถึงหลักพันไหมด้วยซ้ำ คือผมไม่ได้มอง tesla เฉพาะแค่ ev แล้วน่ะครับ ผมคิดว่า musk เองก็น่าจะก้าวข้าม ev ไปแล้ว และในรถของ tesla เองผมว่าเขามีเหมือนสิ่งที่เรียกว่า network effect ด้วยนะครับ แต่ในแง่ของตัวรถแทนที่จะเป็นในแง่ของตัวคนครับ คือตัวรถ tesla เองมีการติดต่อระหว่างกันอยู่ ซึ่งก็ทำให้ระบบ autopilot ของมันเข้มแข็งกว่าแบรนด์อื่น ณ ตอนนี้น่ะครับ ยิ่ง tesla ออกรถได้มากขึ้น network effect ในแง่ตัวรถก็จะยิ่งเข้มแข็งมากขึ้นครับลูกหิน เขียน:ส่วน software ในอนาคตที่จะใช้สำหรับรถประเภทนี้ ที่ผมมองไว้คือ google ครับ เพราะมีฐานข้อมูลพร้อมและได้เปรียบบริษัทอื่นๆอยู่มาก ถึงมี startup เกิดขึ้นมา ใช้แล้วดี สุดท้ายก็คงถูก google ซื้อเข้ามาและนำมารวมกับฐานข้อมูลแผนที่ที่ตนเองมีอยู่ และบริษัทต่างๆก็คงต้องเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ร่วมกันพัฒนาต่อไปเหมือนๆมือถือครับ
Software จริงๆเราแค่ก๊อปปี้ออกมาดู เราก็รู้และทำตามได้ทั้งหมด แต่ฐานข้อมูลต้องใช้เวลาและงบประมาณในการสะสม นี่คือข้อแตกต่าง ถึงการทำงานมันจะดูเจ๋ง แต่งบประมาณและเวลาในการทำตามนั้นมันง่ายมาก ต่างกับการที่จะทำโคมไฟหน้ารถสักรุ่น ยังต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลครับ
สำหรับนักลงทุน ผมว่ามุมมองในส่วนของ ธุรกิจดูดีกับธุรกิจดูได้ (ธุรกิจดูดีคือ ธุรกิจที่ทุกคนดูแล้วรู้สึกว่ามันเจ๋ง เช่น ไอทีต่างๆ ส่วนธุรกิจที่ดูได้คือ ธุรกิจที่ทำเงินได้แต่ดูน่าเบื่อ เหมือนพวกซีอิ้วขาวที่ผ่านมานานมาก ผมก็เห็นเค้าแค่ลงทุนเปลี่ยนขวดจากแก้วเป็นพลาสติกเท่านั้น) มันสำคัญมากครับ เป็นส่วนชี้ขาดถึงความสำเร็จในระยะยาวเลยทีเดียว และที่สำคัญธุรกิจแต่ละประเภทมีธรรมชาติของมันครับ การจะทำอะไรฝืนธรรมชาติก็ทำได้แค่ช่วงสั้นๆ สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นธรรมชาติของมันครับ
ถูกผิดต้องรอดูครับ แชร์กันสนุกดี ต้องขอโทษเพื่อนๆที่ไม่ค่อยได้โพสอะไรเท่าไร วันๆมั่วแต่อ่านโน่นอ่านนี่ทั้งวัน ถ้ามีโอกาสจะโพสมากขึ้นนะครับ
ระบบ software อย่างที่พี่ลูกหินว่าแหล่ะครับว่ามัน copy กันได้ แต่การที่บอกว่า copy ได้ก็ต้องมีบุคลากรที่พร้อมอยู่แล้ว ถึงจะบอกว่าซื้อตัวกันได้ก็เถอะ แต่การที่ต้องพูดว่า musk เป็น idol ของคน it ในยุคนี้และด้วยชื่อเสียงที่มีดังเช่น romee ว่า ส่วนตัวผมเองว่าตัวแกเองน่าจะก้าวข้าม jobs ไปแล้วทั้ง iq และ eq ครับ ทำให้ tesla เองทั้งดึงดูดนักลงทุนที่หวังในตัวแก และดึงดูดพนง.ไอทีไว้ได้ ถ้าจะพูดถึงข่าววิศวกรของเทสลาถูกดึงตัวไป จะเห็นได้ว่าส่วนมากก็ระดับกลางถึงล่างนะครับ ตัวหลัก ๆ ก็ยังอยู่กับ tesla อยู่ผมเชื่อว่าที่ยังอยู่ไม่ใช่เพราะ benefit หรืออะไรหรอกครับ แต่เพราะตัว musk เองมากกว่า แล้วอีกส่วนหนึ่งคือในผู้เล่นรายเก่าถ้าจะบอกว่ามีพนง.อยู่หลายหมื่นแต่ต้องยอมรับว่าเป็นพนง.ที่ชำนาญในการเขียนระบบควบคุมรถ พวก embedded system ซะมากกว่า อาจจะต้องรอยุคเปลี่ยนผ่านจริง ๆ จังซะมากว่า ดังที่ toyota พยายามอยู่ (เปิดศูนย์วิจัยที่ palo alto) แต่ณ ตอนนี้ ยังไม่พร้อมเขียนระบบเฉกเช่น tesla ทำครับ (ในปัจจุบันก็คงต้อง google ms baidu ที่น่าจะพร้อมระดับเดียวกับ tesla แต่ยังตาม tesla อยู่ด้วยฐานข้อมูลการขับขี่รถครับ)
ตอบพี่ดำในส่วน software ของรถ ถ้ามองแค่ ev ก็แค่ควบคุมเซ็นเซอร์ภายใน ภายนอก ระบบการเข้าเกียร์ ระบบ entertainment เป็นต้นครับครับ แต่ของ tesla ต้องยอมรับว่าก้าวข้ามตรงนี้ไปก่อนแล้ว มีระบบ os ที่อัพเดตได้และ push จาก server (จริงๆ ในตัวรถยี่ห้ออื่นๆ ก็มีครับแต่ไม่ได้ update online จาก server) และระบบ ai รวมถึงยังได้เปรียบในด้านข้อมูลของการขับรถด้วยดังที่กล่าวไปครับ
ในแง่ของการลงทุนเห็นด้วยเลยครับ ว่าราคากับความคาดหวังไปไกลมากแล้ว ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงคงไม่คุ้มกันครับ แต่ในแง่สถานการณ์ของบริษัท ถ้าไม่นับ financial risk ที่บริษัทอาจจะเริ่มลงทุนเกินตัว ผมว่าโอกาสที่ tesla จะล้มน่าจะยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ (ในระยะ 10 ปี) ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์จนขายไม่ออกนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2533
ถ้าผมนับไม่ผิดราว ๆ 36ๅ ใบครับ แต่ patents ของ tesla musk แกบอก free for use และแกจะไม่ suesyj เขียน:แล้ว Tesla มีสิทธิบัตรกี่ใบที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าครับ ???
แกคงมองว่าอยากให้รถเข้าสู่ยุครถไฟฟ้าไว ๆ บริษัทแกก็น่าจะได้ประโยชน์อยู่ดี ผมว่าแกก็ดูมั่นใจพอดูละนะครับ
https://www.tesla.com/en_AU/about/legal#patent-list
-
- Verified User
- โพสต์: 266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2534
list ที่ update ทุกสัปดาห์ ดูคร่าวๆ ก็มีทั้ง hardware และ software ครับ361 ใบครับ
http://www.freshpatents.com/-dt20160811 ... 229002.php
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2536
ขอแอบเม้นเกี่ยวกับ Tesla บ้างครับ (พิมพ์มายาว แล้วค่อยคิดได้ว่ามันมีหลายประเด็น ขอไล่ไปทีละเรื่องๆ นะคร้าบ แฮะๆ)
1. กำไรหรือเปลี่ยนโลก?
อย่างแรกเลยผมคิดคล้ายๆ พี่ดำว่า inventor กับ investor คงมี vision ต่างกัน สำหรับคนระดับมัสก์นี่ผมว่าเป้าหมายแกคงไม่ใช่เงินแล้ว ผมว่าแกฉลาดพอที่จะคิดได้ว่าเค้ามีทางเลือกอีกมากมายที่ง่ายกว่าที่จะสร้าง "อิสรภาพทางเวลา" โดยไม่ต้องทำเรื่องโหดหิน เสี่ยงจะเจ๊งอย่าง Tesla รึ SpaceX ซึ่งตัวแกเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้ว่าตอนสร้างบริษัท มีโอกาสสำเร็จน้อยมาก โอกาสเจ๊งมากกว่าเยอะ แล้วทั้ง 2 บริษัทก็เคยเกือบจะเจ๊งไปจริงๆ แม้แต่ Tesla ในปจบ.ก็มี DE สูงพอๆ กับแบงก์ไทยเลยด้วยซ้ำ
ผมเลยขอเดาว่า พี่มัสก์แกคงเป็นอยากจะจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็คงอยากจะ make the world a better place จริงๆ
เรื่องที่คิดว่าแกจะมาหลอก หรือเอาเปรียบนักลงทุน ผมเลยคิดว่าไม่น่าจริงนะครับ อาจมีเรื่อง creative accounting ที่ทำให้ง่ายในการระดมทุน แต่ถ้าคิดว่าจะหลอกเลยแบบสาวคอเต่านักเจาะเลือดนี่ผมว่าไม่จริงแน่ๆ ล่ะ
แต่ในทางกลับกัน ถ้า vision ของมัสก์คืออยากจะเปลี่ยนโลกจริง การจะหวังให้บริษัทกำไรมากๆ นี่คงต้องลุ้นหนัก เพราะเหมือนตัวเงินจะไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นแค่ผลพลอยได้มากกว่า
2. เทคโนโลยี
ประเด็นนี้ด้านเทคโนโลยีนี่ ส่วนตัวผมมองว่า ณ วันนี้ Tesla สร้าง product ที่แตกต่าง ได้ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งจริงครับ (แต่ถ้าพูดถึงระยะยาวๆ ว่ารถยนต์จะกลายเป็น commo มั้ย? อันนี้ผมว่าสินค้าทุกอย่างที่ไม่มี "Strong Brand" หรือ "network effect ในอนาคตคงกลายเป็น commo หมด) และด้วยความที่เป็นบริษัทใหม่ในอุตฯ Tesla นี่ก็พร้อมจะรับความเสี่ยงได้มากกว่าบริษัทเก่าแก่ ทำให้กล้าทำอะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำ อย่างการเอาเทคโนโลยี autopilot ที่ยังไม่สมบูรณ์มาวิ่ง หรือการสร้าง Gigafactory ซึ่งเป็นโรงงานขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าจะยังไม่มีออเดอร์มารองรับเพียงพอ ซึ่ง 2 ประเด็นที่ว่านี้เองยังเป็นประเด็นที่สร้างความแตกต่างให้กับ Tesla ได้อยู่
2.1 Gigafactory
ตามที่ Tesla เคลมไว้คือจะทำให้ต้นทุนในการผลิตแบตฯ ลงลงไป 30% ซึ่งถ้าเป็นตามที่ว่าจริง ก็จะทำให้ Tesla แก้ปัญหาทั้งเรื่องต้นทุนที่แข่งขันได้ยาก (แบตฯ เป็นต้นทุนราว 1 ใน 3 ของ EV) รวมทั้งแก้ปัญหาคอขวดในการผลิตแบตไม่ทันด้วย
ซึ่งสาเหตุที่คู่แข่งไม่กล้าผลิตโรงงานแบบเดียวกันนี้เป็นเพราะ 1. ไม่กล้าเทคความเสี่ยงขนาด Tesla 2. ยังไม่มี order ของ EV ระดับเดียวกับ Tesla
มีหลายความเห็นในเน็ตเหมือนกันที่บอกว่า Gigafactory เป็นอะไรที่ลวงโลก แต่ถ้าขนาดว่า panasonic กล้าลงทุนระดับ $3.9 billion กับโรงงานนี้ ก็คงไม่ใช่แบบที่ชาวเน็ตค่อนขอดกัน
นอกจากนี้ถ้าใครตามมัสก์ช่วงหลังๆ แกยังมีพูดถึงด้วยว่า Gigafactory จะเป็น "โรงงานผลิตเครื่องจักร" ซึ่งผมเดาว่าเครื่องจักรที่ผลิตออกมานี้ในอนาคตจะไม่ใช่แค่เครื่องจักรที่ผลิตรถยนต์ Model 3 แต่ยังสามารถผลิตเครื่องจักรอื่นๆ สำหรับไปผลิตสินค้าอื่นๆ ต่อไป
หรือพูดง่ายๆ ว่าเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าชนิดอื่นจะกลายเป็น by product ที่ได้จากการผลิต Model 3
และเครื่องจักรที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เครื่องจักรแบบโรงงานจีนทั่วไป แต่เป็นระบบ automation แถบจะทั้งหมด
แต่ก็อย่างว่า vision พี่มัสก์นี่ไกลกว่าชาวบ้านเขาเป็นสิบปีอยู่ละ ผมเลยว่าเรามาโฟกัสอะไรที่มัน 2-3 ปีให้รอดก่อนดีกว่า 5555
2.2 autopilot
เป็นประเด็นนี่ทำให้ product ของ Tesla ยังไม่สามารถที่จะถูก copy ได้ (หรือเราอาจจะใช้คำว่ายังไม่มีใครกล้าจะ copy เพราะความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุมันสูงมาก ไม่คุ้มกับมูลค่าของแบรนด์ที่สร้างกันมายาวนาน)
ซึ่งประเด็น machine learning นี่ผมว่าเป็นอะไรที่มีความเป็น network effect สูงอยู่นะ ยิ่ง user ของ Tesla มาก คุณภาพของ product จะยิ่งพัฒนาขึ้นไป และเมื่อคุณภาพของ product ยิ่งดี ความเชื่อมั่นของลูกค้าก็จะยิ่งสูงขึ้น วนไปครับ
ผมเข้าใจว่าทฤษฎีนี้เรียกว่า "experience effect" ครับ เหมือนอย่าง Google search คือถามว่า เทคโนโลยี search มีอะไรซับซ้อนมั้ย? ผมว่าคงไม่ ทีมโปรแกรมเมอร์เทพๆ สักทีมก็น่าจะสร้าง format หรือ code ที่หน้าตาใกล้เคียงกันออกมาได้ แต่ที่แตกต่างกันมากๆ เลยคือ "ผลลัพธ์จากการ search" ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลมหาศาล ที่สั่งสมมายาวนาน ซึ่งเป็น experience effect ที่ลอกกันไม่ได้
เรื่อง autopilot นี่ยังมีอะไรสนุกๆ อีก เพราะเทคโนโลยีที่ Tesla ใช้ กับค่ายอื่นๆ ที่พยายามสร้าง Self-driving (หรือจะเรียก AV = Autonomous vehicle ก็ว่ากันไปครับ) อย่าง Google, Uber หรือล่าสุดก็ nuTonomy ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง (ของ Tesla เป็น Radar แต่ของ AV เป็น Lidar) ซึ่งในภาพสุดท้ายแล้วเทคโนโลยีไหนจะ mass ก่อน หรือ Tesla จะกลับคำเปลี่ยนมาใช้ Lidar มั้ย อันนี้น่าติดตาม
แต่ด้วยความที่มันมีความเป็น network effect ระดับหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วคงมีผู้ชนะในธุรกิจนี้เหลือไม่มาก เหมือนอย่าง Uber, Lyft, Grab, Didi ที่มี player ทั่วโลกหลักๆ แค่ 4-5 เจ้าใหญ่ แล้วถือหุ้นไขว้กันไปมา
แต่ในอนาคตผมเชื่อว่า AV จะครองโลก (ไม่ใช่หนังโป๊นะครับแหม่....) เพราะงั้น value หรือ mkt. size ของมันจะไม่ใช่แค่ธุรกิจ ICE car หรือ EV หรือ taxi platform แต่ทั้งหมดที่ว่าจะรวมร่างกลายเป็นธุรกิจเดียวกัน คือธุรกิจ "การขนส่ง user จากจุด A ไป B ด้วยความสะดวกที่สุด รวดเร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุด และมีต้นทุนต่ำที่สุด"
แต่ถ้าถามว่า Tesla จะเป็นหนึ่งในผู้ชนะในเกมที่ว่าได้มั้ย? ณ วันนี้คงบอกได้แค่ มี potential แต่อนาคตอะไรจะเกิดขึ้นนี่ยากจะบอก
ยังมีประเด็นเรื่องการรวมกับ SolarCity อีกที่สะท้อนว่า vision ของมัสก์คงไม่ใช่แค่ Auto+EV+Taxi plaform แต่อาจจะต้องรวมเอาเรื่อง Energy, machine building เข้ามาด้วย
อีกประเด็นที่ผมหมดแรงจะพิมพ์แล้วคือเรื่อง supply chain สุดแสนซับซ้อน ของบริษัทรถยักษ์ใหญ่ อันนี้ผมว่าถกกันได้อีกยาวเลยว่า supply chain ที่ว่านี้เป็น S หรือเป็น W ในระยะยาวกันแน่
ปล.1 ส่วนตัวผมลงทุนใน Tesla นะครับ แต่ก็น้อยมากกก (ราว 2% ซึ่ง ณ วันนี้สัดส่วนลงมาเหลือแค่ 1.5% พอร์ตละ 5555) ทั้งที่การอ่าน Tesla นี่กินเวลาในชีวิตผมมากๆ (อ่าน Tesla ตัวนึงนี่น่าจะเอาเวลาไปอ่านหุ้นไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5 ตัว) แต่บอกกันตามตรงคือผมรู้สึกว่าการศึกษา Tesla นี่เป็นอะไรที่สนุก แล้วก็เปิดโลกครับ ส่วนที่ลงทุนไปก็ขำๆ อยากลุ้นว่าลูกบ้าของพี่มัสก์แกจะไปสุดอยู่ที่ตรงไหนมากกว่า
ปล.2 คอมเม้นนี้เป็นคห.ส่วนตัวล้วนๆ ครับ เกิดจากการมโนขั้นสุด ถ้าผิดไปจากที่ผมคาดเดา ขอไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นนะครับ 5555
1. กำไรหรือเปลี่ยนโลก?
อย่างแรกเลยผมคิดคล้ายๆ พี่ดำว่า inventor กับ investor คงมี vision ต่างกัน สำหรับคนระดับมัสก์นี่ผมว่าเป้าหมายแกคงไม่ใช่เงินแล้ว ผมว่าแกฉลาดพอที่จะคิดได้ว่าเค้ามีทางเลือกอีกมากมายที่ง่ายกว่าที่จะสร้าง "อิสรภาพทางเวลา" โดยไม่ต้องทำเรื่องโหดหิน เสี่ยงจะเจ๊งอย่าง Tesla รึ SpaceX ซึ่งตัวแกเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้ว่าตอนสร้างบริษัท มีโอกาสสำเร็จน้อยมาก โอกาสเจ๊งมากกว่าเยอะ แล้วทั้ง 2 บริษัทก็เคยเกือบจะเจ๊งไปจริงๆ แม้แต่ Tesla ในปจบ.ก็มี DE สูงพอๆ กับแบงก์ไทยเลยด้วยซ้ำ
ผมเลยขอเดาว่า พี่มัสก์แกคงเป็นอยากจะจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็คงอยากจะ make the world a better place จริงๆ
เรื่องที่คิดว่าแกจะมาหลอก หรือเอาเปรียบนักลงทุน ผมเลยคิดว่าไม่น่าจริงนะครับ อาจมีเรื่อง creative accounting ที่ทำให้ง่ายในการระดมทุน แต่ถ้าคิดว่าจะหลอกเลยแบบสาวคอเต่านักเจาะเลือดนี่ผมว่าไม่จริงแน่ๆ ล่ะ
แต่ในทางกลับกัน ถ้า vision ของมัสก์คืออยากจะเปลี่ยนโลกจริง การจะหวังให้บริษัทกำไรมากๆ นี่คงต้องลุ้นหนัก เพราะเหมือนตัวเงินจะไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นแค่ผลพลอยได้มากกว่า
2. เทคโนโลยี
ประเด็นนี้ด้านเทคโนโลยีนี่ ส่วนตัวผมมองว่า ณ วันนี้ Tesla สร้าง product ที่แตกต่าง ได้ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งจริงครับ (แต่ถ้าพูดถึงระยะยาวๆ ว่ารถยนต์จะกลายเป็น commo มั้ย? อันนี้ผมว่าสินค้าทุกอย่างที่ไม่มี "Strong Brand" หรือ "network effect ในอนาคตคงกลายเป็น commo หมด) และด้วยความที่เป็นบริษัทใหม่ในอุตฯ Tesla นี่ก็พร้อมจะรับความเสี่ยงได้มากกว่าบริษัทเก่าแก่ ทำให้กล้าทำอะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำ อย่างการเอาเทคโนโลยี autopilot ที่ยังไม่สมบูรณ์มาวิ่ง หรือการสร้าง Gigafactory ซึ่งเป็นโรงงานขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าจะยังไม่มีออเดอร์มารองรับเพียงพอ ซึ่ง 2 ประเด็นที่ว่านี้เองยังเป็นประเด็นที่สร้างความแตกต่างให้กับ Tesla ได้อยู่
2.1 Gigafactory
ตามที่ Tesla เคลมไว้คือจะทำให้ต้นทุนในการผลิตแบตฯ ลงลงไป 30% ซึ่งถ้าเป็นตามที่ว่าจริง ก็จะทำให้ Tesla แก้ปัญหาทั้งเรื่องต้นทุนที่แข่งขันได้ยาก (แบตฯ เป็นต้นทุนราว 1 ใน 3 ของ EV) รวมทั้งแก้ปัญหาคอขวดในการผลิตแบตไม่ทันด้วย
ซึ่งสาเหตุที่คู่แข่งไม่กล้าผลิตโรงงานแบบเดียวกันนี้เป็นเพราะ 1. ไม่กล้าเทคความเสี่ยงขนาด Tesla 2. ยังไม่มี order ของ EV ระดับเดียวกับ Tesla
มีหลายความเห็นในเน็ตเหมือนกันที่บอกว่า Gigafactory เป็นอะไรที่ลวงโลก แต่ถ้าขนาดว่า panasonic กล้าลงทุนระดับ $3.9 billion กับโรงงานนี้ ก็คงไม่ใช่แบบที่ชาวเน็ตค่อนขอดกัน
นอกจากนี้ถ้าใครตามมัสก์ช่วงหลังๆ แกยังมีพูดถึงด้วยว่า Gigafactory จะเป็น "โรงงานผลิตเครื่องจักร" ซึ่งผมเดาว่าเครื่องจักรที่ผลิตออกมานี้ในอนาคตจะไม่ใช่แค่เครื่องจักรที่ผลิตรถยนต์ Model 3 แต่ยังสามารถผลิตเครื่องจักรอื่นๆ สำหรับไปผลิตสินค้าอื่นๆ ต่อไป
หรือพูดง่ายๆ ว่าเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าชนิดอื่นจะกลายเป็น by product ที่ได้จากการผลิต Model 3
และเครื่องจักรที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เครื่องจักรแบบโรงงานจีนทั่วไป แต่เป็นระบบ automation แถบจะทั้งหมด
แต่ก็อย่างว่า vision พี่มัสก์นี่ไกลกว่าชาวบ้านเขาเป็นสิบปีอยู่ละ ผมเลยว่าเรามาโฟกัสอะไรที่มัน 2-3 ปีให้รอดก่อนดีกว่า 5555
2.2 autopilot
เป็นประเด็นนี่ทำให้ product ของ Tesla ยังไม่สามารถที่จะถูก copy ได้ (หรือเราอาจจะใช้คำว่ายังไม่มีใครกล้าจะ copy เพราะความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุมันสูงมาก ไม่คุ้มกับมูลค่าของแบรนด์ที่สร้างกันมายาวนาน)
ซึ่งประเด็น machine learning นี่ผมว่าเป็นอะไรที่มีความเป็น network effect สูงอยู่นะ ยิ่ง user ของ Tesla มาก คุณภาพของ product จะยิ่งพัฒนาขึ้นไป และเมื่อคุณภาพของ product ยิ่งดี ความเชื่อมั่นของลูกค้าก็จะยิ่งสูงขึ้น วนไปครับ
ผมเข้าใจว่าทฤษฎีนี้เรียกว่า "experience effect" ครับ เหมือนอย่าง Google search คือถามว่า เทคโนโลยี search มีอะไรซับซ้อนมั้ย? ผมว่าคงไม่ ทีมโปรแกรมเมอร์เทพๆ สักทีมก็น่าจะสร้าง format หรือ code ที่หน้าตาใกล้เคียงกันออกมาได้ แต่ที่แตกต่างกันมากๆ เลยคือ "ผลลัพธ์จากการ search" ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลมหาศาล ที่สั่งสมมายาวนาน ซึ่งเป็น experience effect ที่ลอกกันไม่ได้
เรื่อง autopilot นี่ยังมีอะไรสนุกๆ อีก เพราะเทคโนโลยีที่ Tesla ใช้ กับค่ายอื่นๆ ที่พยายามสร้าง Self-driving (หรือจะเรียก AV = Autonomous vehicle ก็ว่ากันไปครับ) อย่าง Google, Uber หรือล่าสุดก็ nuTonomy ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง (ของ Tesla เป็น Radar แต่ของ AV เป็น Lidar) ซึ่งในภาพสุดท้ายแล้วเทคโนโลยีไหนจะ mass ก่อน หรือ Tesla จะกลับคำเปลี่ยนมาใช้ Lidar มั้ย อันนี้น่าติดตาม
แต่ด้วยความที่มันมีความเป็น network effect ระดับหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วคงมีผู้ชนะในธุรกิจนี้เหลือไม่มาก เหมือนอย่าง Uber, Lyft, Grab, Didi ที่มี player ทั่วโลกหลักๆ แค่ 4-5 เจ้าใหญ่ แล้วถือหุ้นไขว้กันไปมา
แต่ในอนาคตผมเชื่อว่า AV จะครองโลก (ไม่ใช่หนังโป๊นะครับแหม่....) เพราะงั้น value หรือ mkt. size ของมันจะไม่ใช่แค่ธุรกิจ ICE car หรือ EV หรือ taxi platform แต่ทั้งหมดที่ว่าจะรวมร่างกลายเป็นธุรกิจเดียวกัน คือธุรกิจ "การขนส่ง user จากจุด A ไป B ด้วยความสะดวกที่สุด รวดเร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุด และมีต้นทุนต่ำที่สุด"
แต่ถ้าถามว่า Tesla จะเป็นหนึ่งในผู้ชนะในเกมที่ว่าได้มั้ย? ณ วันนี้คงบอกได้แค่ มี potential แต่อนาคตอะไรจะเกิดขึ้นนี่ยากจะบอก
ยังมีประเด็นเรื่องการรวมกับ SolarCity อีกที่สะท้อนว่า vision ของมัสก์คงไม่ใช่แค่ Auto+EV+Taxi plaform แต่อาจจะต้องรวมเอาเรื่อง Energy, machine building เข้ามาด้วย
อีกประเด็นที่ผมหมดแรงจะพิมพ์แล้วคือเรื่อง supply chain สุดแสนซับซ้อน ของบริษัทรถยักษ์ใหญ่ อันนี้ผมว่าถกกันได้อีกยาวเลยว่า supply chain ที่ว่านี้เป็น S หรือเป็น W ในระยะยาวกันแน่
ปล.1 ส่วนตัวผมลงทุนใน Tesla นะครับ แต่ก็น้อยมากกก (ราว 2% ซึ่ง ณ วันนี้สัดส่วนลงมาเหลือแค่ 1.5% พอร์ตละ 5555) ทั้งที่การอ่าน Tesla นี่กินเวลาในชีวิตผมมากๆ (อ่าน Tesla ตัวนึงนี่น่าจะเอาเวลาไปอ่านหุ้นไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5 ตัว) แต่บอกกันตามตรงคือผมรู้สึกว่าการศึกษา Tesla นี่เป็นอะไรที่สนุก แล้วก็เปิดโลกครับ ส่วนที่ลงทุนไปก็ขำๆ อยากลุ้นว่าลูกบ้าของพี่มัสก์แกจะไปสุดอยู่ที่ตรงไหนมากกว่า
ปล.2 คอมเม้นนี้เป็นคห.ส่วนตัวล้วนๆ ครับ เกิดจากการมโนขั้นสุด ถ้าผิดไปจากที่ผมคาดเดา ขอไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นนะครับ 5555
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2537
เรื่อง inventor กับ investor นี่ทำเอาผมนึกถึงหนังเรื่อง Jurassic Park ขึ้นมาเลย
ส่วนเรื่อง Auto Pilot ผมว่าไม่ง่ายหรอกครับ ตราบใดที่คนขับรถไม่ได้ขับด้วยวินัยและเหตุผล (ไม่ต่างกับความพยายามสร้างระบบ Trade มาใช้กับตลาดหุ้น)
ส่วนเรื่อง Auto Pilot ผมว่าไม่ง่ายหรอกครับ ตราบใดที่คนขับรถไม่ได้ขับด้วยวินัยและเหตุผล (ไม่ต่างกับความพยายามสร้างระบบ Trade มาใช้กับตลาดหุ้น)
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2538
ไม่ได้คิดว่าเป็นอนาคตแบบ 3 ปี 5 ปีอะไรแบบนั้นเลยครับพี่ดำ คิดว่ากว่าจะได้เห็นใช้กันจริงๆ คง 10 ปี+ดำ เขียน:เรื่อง inventor กับ investor นี่ทำเอาผมนึกถึงหนังเรื่อง Jurassic Park ขึ้นมาเลย
ส่วนเรื่อง Auto Pilot ผมว่าไม่ง่ายหรอกครับ ตราบใดที่คนขับรถไม่ได้ขับด้วยวินัยและเหตุผล (ไม่ต่างกับความพยายามสร้างระบบ Trade มาใช้กับตลาดหุ้น)
แต่ผมเห็นต่างกับเรื่องระบบเทรดนะครับ สำหรับเทคโนโลยี AV นี่ ผมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งแน่นอน
It is not a question of “IF”, but “WHEN”
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2539
ผมเห็นด้วยกับคุณลูกหินตรงที่ว่า บ.รถยนต์ขนาดใหญ่ ถ้าคิดจะทำรถแบบ Tesla ออกมาคงจะไม่ยาก และน่าจะทำได้มานานแล้ว เพียงแต่เค้าอาจจะไม่ต้องการทำออกมาถึงขนาดที่จะมาเปลี่ยนให้คนมาใช้รถไฟฟ้ากันหมด
เพราะทุกวันนี้ผมเองก็เชื่อว่ารายได้ของศูนย์รถยนต์มันน่าจะมาจากการซ่อมบำรุงมากกว่าการขายรถ
ลองคิดดูครับ ถ้ารถไม่ต้องไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 5,000-10,000 กม. รายได้มันจะลดลงไปเท่าไหร่ ยังไม่นับพวกอุปกรณ์อีกจิปาถะ
แต่ถ้ามีใครคิดจะทำรถไฟฟ้าขายแบบ Tesla แล้วมีคนหันมาใช้มาก ๆ ค่ายรถยนต์ก็คงจะทำเป็นนิ่ง ๆ แบบเดิมไม่ได้
เพราะทุกวันนี้ผมเองก็เชื่อว่ารายได้ของศูนย์รถยนต์มันน่าจะมาจากการซ่อมบำรุงมากกว่าการขายรถ
ลองคิดดูครับ ถ้ารถไม่ต้องไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 5,000-10,000 กม. รายได้มันจะลดลงไปเท่าไหร่ ยังไม่นับพวกอุปกรณ์อีกจิปาถะ
แต่ถ้ามีใครคิดจะทำรถไฟฟ้าขายแบบ Tesla แล้วมีคนหันมาใช้มาก ๆ ค่ายรถยนต์ก็คงจะทำเป็นนิ่ง ๆ แบบเดิมไม่ได้
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2540
การเขียนหนังสือด้วยปากกาหรือดินสอลงบนกระดาษแผ่นเดียวนั้น เขียนลงครั้งแรกก็ย่อมอ่านออกง่าย อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่ยิ่งเขียนทับเขียนซ้ำลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวกันนั้นตัวหนังสือย่อมจะทับกันยิ่งขึ้นทุกที การอ่านก็จะยิ่งอ่านยากขึ้นทุกทีจนถึงอ่านไม่ออกเลย ไม่เห็นเลยว่าเป็นตัวหนังสือ จะเห็นแต่รอยหมึกหรือรอยดินสอทับกันไปทับกันมาเป็นสีสันเท่านั้นให้เพียงรู้เท่านั้นว่าได้มีการเขียนอะไรลงบนกระดาษแผ่นนั้นหาอ่านรู้เรื่องไม่ และหาอาจรู้ได้ว่าเขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง
นี้ฉันใด การทำกรรมหรือการทำดีทำชั่วก็ฉันนั้น ต่างได้ทำกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทับถมกันมายิ่งกว่าตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก หารู้ไม่ว่าได้เขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง ทำกรรมแบบใดไว้ก็ไม่รู้ไม่เห็น แยกไม่ออกว่าทำกรรมใดก่อนทำกรรมใดหลัง ทำดีอะไรไว้บ้าง ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร มาถึงชาตินี้ไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความซับซ้อนของกรรมที่แยกไม่ออก เช่นเดียวกับความซับซ้อนของตัวหนังสือที่เขียนทับกันไปทับกันมา
ความซับซ้อนของกรรมแตกต่างกับความซับซ้อนของตัวหนังสือตรงที่ตัวหนังสือเขียนทับกันมาก ๆ ย่อมไม่มีทางรู้ว่าเขียนเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีอย่างไร แต่กรรมนั้น แม้ทำซับซ้อนมากเพียงไร ก็มีทางรู้ว่าทำกรรมดีไว้มากน้อยเพียงไร หรือกรรมไม่ดีไว้มากน้อยเพียงไรโดยมีผลที่ปรากฏขึ้นของกรรมนั้นเองเป็นเครื่องช่วยแสดงให้เห็น
ชีวิต หรือชาตินี้ของทุกคนมีชาติกำเนิดไม่เหมือนกัน เป็นคนไทยก็มี จีนก็มี แขกก็มี ฝรั่งก็มี มีชาติตระกูลไม่เสมอกัน ตระกูลสูงก็มี ตระกูลต่ำก็มี มีสติปัญญาไม่ทัดเทียมกัน ฉลาดหลักแหลมก็มี โง่เขลาเบาปัญญาก็มี มีฐานะต่างระดับกัน ร่ำรวยก็มี ยากจนก็มี ความแตกต่างห่างกันนานาประการ เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องชี้ให้ผู้เชื่อในกรรมและผลของกรรม เห็นความมีภพชาติในอดีตของแต่ละชีวิตในชาติปัจจุบัน เกิดมาต่างกันในชาตินี้เพราะทำกรรมไว้ต่างกันในชาติอดีต
ความแตกต่างของชีวิตที่สำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นอำนาจที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของกรรมคือความได้ภพชาติของพรหมเทพ ความได้ภพชาติของมนุษย์ กับความได้ภพชาติของสัตว์ เทวดาอาจมาเป็นมนุษย์ได้ เป็นสัตว์ได้ มนุษย์อาจไปเป็นเทวดาได้ เป็นสัตว์ได้ และสัตว์ก็อาจไปเป็นเทวดาได้ เป็นมนุษย์ได้
ด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกรรมอันนำให้เกิดนี้ เป็นความจริงที่แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงนี้ก็ย่อมเป็นความจริงเสมอไป ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากความจริงได้
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
นี้ฉันใด การทำกรรมหรือการทำดีทำชั่วก็ฉันนั้น ต่างได้ทำกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทับถมกันมายิ่งกว่าตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก หารู้ไม่ว่าได้เขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง ทำกรรมแบบใดไว้ก็ไม่รู้ไม่เห็น แยกไม่ออกว่าทำกรรมใดก่อนทำกรรมใดหลัง ทำดีอะไรไว้บ้าง ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร มาถึงชาตินี้ไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความซับซ้อนของกรรมที่แยกไม่ออก เช่นเดียวกับความซับซ้อนของตัวหนังสือที่เขียนทับกันไปทับกันมา
ความซับซ้อนของกรรมแตกต่างกับความซับซ้อนของตัวหนังสือตรงที่ตัวหนังสือเขียนทับกันมาก ๆ ย่อมไม่มีทางรู้ว่าเขียนเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีอย่างไร แต่กรรมนั้น แม้ทำซับซ้อนมากเพียงไร ก็มีทางรู้ว่าทำกรรมดีไว้มากน้อยเพียงไร หรือกรรมไม่ดีไว้มากน้อยเพียงไรโดยมีผลที่ปรากฏขึ้นของกรรมนั้นเองเป็นเครื่องช่วยแสดงให้เห็น
ชีวิต หรือชาตินี้ของทุกคนมีชาติกำเนิดไม่เหมือนกัน เป็นคนไทยก็มี จีนก็มี แขกก็มี ฝรั่งก็มี มีชาติตระกูลไม่เสมอกัน ตระกูลสูงก็มี ตระกูลต่ำก็มี มีสติปัญญาไม่ทัดเทียมกัน ฉลาดหลักแหลมก็มี โง่เขลาเบาปัญญาก็มี มีฐานะต่างระดับกัน ร่ำรวยก็มี ยากจนก็มี ความแตกต่างห่างกันนานาประการ เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องชี้ให้ผู้เชื่อในกรรมและผลของกรรม เห็นความมีภพชาติในอดีตของแต่ละชีวิตในชาติปัจจุบัน เกิดมาต่างกันในชาตินี้เพราะทำกรรมไว้ต่างกันในชาติอดีต
ความแตกต่างของชีวิตที่สำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นอำนาจที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของกรรมคือความได้ภพชาติของพรหมเทพ ความได้ภพชาติของมนุษย์ กับความได้ภพชาติของสัตว์ เทวดาอาจมาเป็นมนุษย์ได้ เป็นสัตว์ได้ มนุษย์อาจไปเป็นเทวดาได้ เป็นสัตว์ได้ และสัตว์ก็อาจไปเป็นเทวดาได้ เป็นมนุษย์ได้
ด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกรรมอันนำให้เกิดนี้ เป็นความจริงที่แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงนี้ก็ย่อมเป็นความจริงเสมอไป ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากความจริงได้
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2542
9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา
https://anontawong.com/2016/10/15/9-lessons/
https://anontawong.com/2016/10/15/9-lessons/
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2543
เขียนดีมากครับดำ เขียน:9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา
https://anontawong.com/2016/10/15/9-lessons/
ชอบคำที่ว่า ตอนพ่อให้พาไปไหว้ในหลวงแต่ยังพลัดไปเรื่อยๆจนไม่มีโอกาสไปไหว้แล้ว
ดังนั้นอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง รีบตัดสินใจทันทีจะได้ไม่เสียใจที่ไม่ได้ทำ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2544
“Someone is sitting in the shade today because someone planted a tree a long time ago.”
1 ในประโยคทองของบัฟเฟตต์ ผมเคยสงสัยว่า แท้จริงแล้วมันแปลว่าอะไร
1 ในประโยคทองของบัฟเฟตต์ ผมเคยสงสัยว่า แท้จริงแล้วมันแปลว่าอะไร
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2545
บททดสอบ....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/461099
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/461099
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2546
ถ้าต้องให้เลือกตัวเลข1ตัวจากเลข0-100 โดยที่ใครเลือกได้ค่าใกล้เคียงกับเลข 2/3 ของค่าเฉลี่ยตัวเลขที่คนเลือกทั้งหมด ก็จะชนะไป
พี่ๆเพื่อนในห้องนี้ คิดว่าจะเลือกตัวเลขอะไรครับ และปัญหาข้างบน เกี่ยวไรกับตลาดหุ้นเอ่ย
ปัญหาที่ผมบอกข้างบน เป็นการต่อยอดจากทฤษฎีของ Keynesian beauty contest มีในปี 1936
ทฤษฏีนี้สนุกมาก ลองหาอ่านกันครับ
หนังสือพิมพ์ The Financial Timeได้ทำการเล่นขึ้นมาในปี 1997ครับ (Guess 2/3 of the average)
สรุปก็คือว่าถ้าตามทฤษฏี เราควรจะคิดหลายๆชั้น ว่าคนอื่นๆคิดอย่างไร แล้วเราก็คิดให้มากขึ้นอีก1ขั้น....โดยเริ่มจากค่าเฉลี่ยจากตัวเลข 0-100 ก็คือ50
ค่าเฉลี่ย2/3ของเลข50 ก็คือ 33 (คิดขั้นที่1)
ค่าเฉลี่ย2/3ของเลข33 ก็คือ 22 (คิดขั้นที่2)
ตัวเลขที่เป็นไปได้ทางทฤษฏีที่สุดคือเลข0
ในความเป็นจริง ตัวเลขที่ชนะในเกมข้างบนคือเลข13
สาเหตุเพราะคนอ่านหนังสือพิมพ์เขาไม่ได้มีความเป็นเหตุเป็นผลสุดๆ หรือคิดได้หลายชั้นสุดๆนั่นเอง คือคิดได้อย่างมากก็2ชั้น แล้วมันเกี่ยวไรกับตลาดหุ้นละ....
ก็เพราะว่าถ้าตลาดมีเหตุผล และนักลงทุนมีเหตุผลทุกคน ราคาหุ้นก็ควรจะขึ้นลงตามพื้นฐาน PEก็ควรจะวิ่งไปตามทฤษฏี คงไม่มีอาการPEทะลุร้อย หรือหุ้นวิ่งชนเพดาน ตกลงพื้นให้เห็นเป็นแน่
แต่เพราะมีหลายครั้ง ที่เราคาดหวังว่าหุ้นมันราคาควรจะขึ้น เพราะคนน่าจะซื้อกัน
หรือคิดว่าเป็นหุ้นในความคาดหวัง หรือหุ้นในกระแส
หรือคิดว่า มันต้องมีคนที่จะไปซื้อแพงกว่าแน่ๆ (greater fool theory)
และพอมีคนคาดหวังแบบนี้เข้าหลายๆคน ราคาหุ้นก็เลยวิ่งเป็นกระทิงเกินค่าทฤษฏีนั้นเอง (หุ้นในกระแสthaivi ประมาณนั้น 55555)
แล้วเราจะทำไงไม่กลายเป็นคนไล่ราคาซะเองละ...
1.ฉลาดกว่าคนอื่น รู้ว่าหุ้นตัวไหน คนยังจะเล่นกัน เป็นหุ้นในกระแส(แต่ต้องฉลาดแบบนี้ให้ตลอดนะ)
2.หรือคาดว่ามีคนอื่นฉลาดกว่าเราแน่นอน (ระมัดระวังการซื้อขาย ปลอดภัยไว้ก่อน ให้เหตุผลมาเหนืออารมณ์, และคิดไว้เสมอว่าตลาดมันมีคนไร้เหตุผลเยอะแยะมากมาย)
3.ลอกคนอื่นที่ฉลาดกว่าเรา 55555 ถุ๊ย...เขียนมาตั้งนาน มาหมดราคาอีตรงบรรทัดนี้แหละ
แชร์และเรียบเรียงถ้าข้อมูลไหนผิดพลาด หรือต้องแก้ไข รบกวนช่วยกันแก้ให้ทีนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://thaipublica.org/2016/01/nattavudh-33/
http://www.slideshare.net/madeleinesiy/ ... ty-contest
https://en.wikipedia.org/wiki/Keynesian_beauty_contest
พี่ๆเพื่อนในห้องนี้ คิดว่าจะเลือกตัวเลขอะไรครับ และปัญหาข้างบน เกี่ยวไรกับตลาดหุ้นเอ่ย
ปัญหาที่ผมบอกข้างบน เป็นการต่อยอดจากทฤษฎีของ Keynesian beauty contest มีในปี 1936
ทฤษฏีนี้สนุกมาก ลองหาอ่านกันครับ
หนังสือพิมพ์ The Financial Timeได้ทำการเล่นขึ้นมาในปี 1997ครับ (Guess 2/3 of the average)
สรุปก็คือว่าถ้าตามทฤษฏี เราควรจะคิดหลายๆชั้น ว่าคนอื่นๆคิดอย่างไร แล้วเราก็คิดให้มากขึ้นอีก1ขั้น....โดยเริ่มจากค่าเฉลี่ยจากตัวเลข 0-100 ก็คือ50
ค่าเฉลี่ย2/3ของเลข50 ก็คือ 33 (คิดขั้นที่1)
ค่าเฉลี่ย2/3ของเลข33 ก็คือ 22 (คิดขั้นที่2)
ตัวเลขที่เป็นไปได้ทางทฤษฏีที่สุดคือเลข0
ในความเป็นจริง ตัวเลขที่ชนะในเกมข้างบนคือเลข13
สาเหตุเพราะคนอ่านหนังสือพิมพ์เขาไม่ได้มีความเป็นเหตุเป็นผลสุดๆ หรือคิดได้หลายชั้นสุดๆนั่นเอง คือคิดได้อย่างมากก็2ชั้น แล้วมันเกี่ยวไรกับตลาดหุ้นละ....
ก็เพราะว่าถ้าตลาดมีเหตุผล และนักลงทุนมีเหตุผลทุกคน ราคาหุ้นก็ควรจะขึ้นลงตามพื้นฐาน PEก็ควรจะวิ่งไปตามทฤษฏี คงไม่มีอาการPEทะลุร้อย หรือหุ้นวิ่งชนเพดาน ตกลงพื้นให้เห็นเป็นแน่
แต่เพราะมีหลายครั้ง ที่เราคาดหวังว่าหุ้นมันราคาควรจะขึ้น เพราะคนน่าจะซื้อกัน
หรือคิดว่าเป็นหุ้นในความคาดหวัง หรือหุ้นในกระแส
หรือคิดว่า มันต้องมีคนที่จะไปซื้อแพงกว่าแน่ๆ (greater fool theory)
และพอมีคนคาดหวังแบบนี้เข้าหลายๆคน ราคาหุ้นก็เลยวิ่งเป็นกระทิงเกินค่าทฤษฏีนั้นเอง (หุ้นในกระแสthaivi ประมาณนั้น 55555)
แล้วเราจะทำไงไม่กลายเป็นคนไล่ราคาซะเองละ...
1.ฉลาดกว่าคนอื่น รู้ว่าหุ้นตัวไหน คนยังจะเล่นกัน เป็นหุ้นในกระแส(แต่ต้องฉลาดแบบนี้ให้ตลอดนะ)
2.หรือคาดว่ามีคนอื่นฉลาดกว่าเราแน่นอน (ระมัดระวังการซื้อขาย ปลอดภัยไว้ก่อน ให้เหตุผลมาเหนืออารมณ์, และคิดไว้เสมอว่าตลาดมันมีคนไร้เหตุผลเยอะแยะมากมาย)
3.ลอกคนอื่นที่ฉลาดกว่าเรา 55555 ถุ๊ย...เขียนมาตั้งนาน มาหมดราคาอีตรงบรรทัดนี้แหละ
แชร์และเรียบเรียงถ้าข้อมูลไหนผิดพลาด หรือต้องแก้ไข รบกวนช่วยกันแก้ให้ทีนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://thaipublica.org/2016/01/nattavudh-33/
http://www.slideshare.net/madeleinesiy/ ... ty-contest
https://en.wikipedia.org/wiki/Keynesian_beauty_contest
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2547
คิดถึงอลิซในแดนมรณะเลยromee เขียน:ถ้าต้องให้เลือกตัวเลข1ตัวจากเลข0-100 โดยที่ใครเลือกได้ค่าใกล้เคียงกับเลข 2/3 ของค่าเฉลี่ยตัวเลขที่คนเลือกทั้งหมด ก็จะชนะไป
พี่ๆเพื่อนในห้องนี้ คิดว่าจะเลือกตัวเลขอะไรครับ และปัญหาข้างบน เกี่ยวไรกับตลาดหุ้นเอ่ย
ปัญหาที่ผมบอกข้างบน เป็นการต่อยอดจากทฤษฎีของ Keynesian beauty contest มีในปี 1936
ทฤษฏีนี้สนุกมาก ลองหาอ่านกันครับ
หนังสือพิมพ์ The Financial Timeได้ทำการเล่นขึ้นมาในปี 1997ครับ (Guess 2/3 of the average)
สรุปก็คือว่าถ้าตามทฤษฏี เราควรจะคิดหลายๆชั้น ว่าคนอื่นๆคิดอย่างไร แล้วเราก็คิดให้มากขึ้นอีก1ขั้น....โดยเริ่มจากค่าเฉลี่ยจากตัวเลข 0-100 ก็คือ50
ค่าเฉลี่ย2/3ของเลข50 ก็คือ 33 (คิดขั้นที่1)
ค่าเฉลี่ย2/3ของเลข33 ก็คือ 22 (คิดขั้นที่2)
ตัวเลขที่เป็นไปได้ทางทฤษฏีที่สุดคือเลข0
ในความเป็นจริง ตัวเลขที่ชนะในเกมข้างบนคือเลข13
สาเหตุเพราะคนอ่านหนังสือพิมพ์เขาไม่ได้มีความเป็นเหตุเป็นผลสุดๆ หรือคิดได้หลายชั้นสุดๆนั่นเอง คือคิดได้อย่างมากก็2ชั้น แล้วมันเกี่ยวไรกับตลาดหุ้นละ....
ก็เพราะว่าถ้าตลาดมีเหตุผล และนักลงทุนมีเหตุผลทุกคน ราคาหุ้นก็ควรจะขึ้นลงตามพื้นฐาน PEก็ควรจะวิ่งไปตามทฤษฏี คงไม่มีอาการPEทะลุร้อย หรือหุ้นวิ่งชนเพดาน ตกลงพื้นให้เห็นเป็นแน่
แต่เพราะมีหลายครั้ง ที่เราคาดหวังว่าหุ้นมันราคาควรจะขึ้น เพราะคนน่าจะซื้อกัน
หรือคิดว่าเป็นหุ้นในความคาดหวัง หรือหุ้นในกระแส
หรือคิดว่า มันต้องมีคนที่จะไปซื้อแพงกว่าแน่ๆ (greater fool theory)
และพอมีคนคาดหวังแบบนี้เข้าหลายๆคน ราคาหุ้นก็เลยวิ่งเป็นกระทิงเกินค่าทฤษฏีนั้นเอง (หุ้นในกระแสthaivi ประมาณนั้น 55555)
แล้วเราจะทำไงไม่กลายเป็นคนไล่ราคาซะเองละ...
1.ฉลาดกว่าคนอื่น รู้ว่าหุ้นตัวไหน คนยังจะเล่นกัน เป็นหุ้นในกระแส(แต่ต้องฉลาดแบบนี้ให้ตลอดนะ)
2.หรือคาดว่ามีคนอื่นฉลาดกว่าเราแน่นอน (ระมัดระวังการซื้อขาย ปลอดภัยไว้ก่อน ให้เหตุผลมาเหนืออารมณ์, และคิดไว้เสมอว่าตลาดมันมีคนไร้เหตุผลเยอะแยะมากมาย)
3.ลอกคนอื่นที่ฉลาดกว่าเรา 55555 ถุ๊ย...เขียนมาตั้งนาน มาหมดราคาอีตรงบรรทัดนี้แหละ
แชร์และเรียบเรียงถ้าข้อมูลไหนผิดพลาด หรือต้องแก้ไข รบกวนช่วยกันแก้ให้ทีนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://thaipublica.org/2016/01/nattavudh-33/
http://www.slideshare.net/madeleinesiy/ ... ty-contest
https://en.wikipedia.org/wiki/Keynesian_beauty_contest
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2549
กำลังมันส์นะครับromee เขียน:ถูกต้องเลยค๊าบบบ พี่NBNevercry.boy เขียน:คิดถึงอลิซในแดนมรณะเลย
อ่านแล้วก็อยากรู้ที่มา พอรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น ก็เลยเอามาแปะในนี้ละครับ
ปล. ถ้ามีเวลาไปอ่าน สมการของแนช เพิ่มนะครับ
พี่เอามาใช้ต่อยอดในงานได้ค่อนข้างมากเลยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2550
...
ผ่านหนึ่งเดือนเศษของความสูญเสียครั้งใหญ่ของไทยทั้งชาติไปแล้วนะครับ
เมื่อเราเสียอะไรไป เราจะได้อะไรบางอย่างกลับมาเสมอ
อาจเป็นปณิธาน อุดมการณ์สานต่อ ความตั้งใจ บทเรียน ความตระหนักรู้ ฯลฯ
4 ธค. 34 " our lost is our gain "
พ่อหลวงสอนไว้.. ท่านแปลว่า"ขาดทุน คือกำไร"
และขอต้อนรับผู้นำคนใหม่ของเมกาด้วยฮะ
ถามคนเมกันว่า ไม่ชอบผู้นำสตรีหรา? คงตอบว่าเห็นไทยกับเกาหลีแล้ว ไม่เอาดีก่า
งั้นแปลว่าอยากได้ขาลุย.. มาลุยกับท่านดูเกอเต้ ท่านคิมจองอิล ท่านปูติน ท่านฮุนเซ็น ท่านคุณลุงตุ๊ดตู่ คงได้ลุยกันมันส์หยด..
ถ้าตอบว่าอยากได้นักธุรกิจมาเป็นผู้นำ ก็จะบอกไปว่า หูย..เช้ย เชย เรามีแบบนั้นมาก่อนเค้าตั้งสิบกว่าปีแล้วว..
และก็ให้เคารพกติกาด้วยนะจ๊ะ เค้ามาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากนะจ๊ะ
จะมาตั้งม็อบ(ดูในทีวีเหมือนจะเสื้อดำ)ตั้งแต่ยังไม่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งงี้ได้ไง(สงสัยท่านไปไล่คนออกในแอพเพรนติ๊สไว้เยอะ)
ประเทศประชาธิปไตยต้นแบบทำตัวให้เป็นตัวอย่างชาวโลกหน่อยจร้า..แหม่..
ปธน.อ.ทรั๊มป์(เรียกอ.เพราะเค้ามีtrump university มีตำราwealth building101,commercial real estate investing 101 และอื่นๆอีกมากมาย)ผู้มีชื่อต้นเหมือนเป็ดดิ๊สนี่ย์นั้น
มีผลงานแปลเป็นไทยหลายเล่มฮะ ขออนุญาตเอาบางส่วนที่น่าสนใจเรื่องแนวคิดมาเล่าสู่กันฟังเป็นการบ้านล่วงหน้า
เพราะมี้ตติ้งเที่ยวนี้โดดอีกแล้ว ต้องไปธุดงค์ขึ้นดอยสอบหลักสูตรหลวงพ่อvery young(หลวงพ่อวิริยังค์ ท่าน94 วัดธรรมมงคลเป็นวัดสุดท้ายในรัชกาลที่9 ที่ได้กฐินพระราชทานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา)
The art of the deal 1987 เล่มแรก แปลโดยครูเคท,ชัชวรุตม์ มุสิกชัย(พี่น้อง"วิลลี่" รุ่นน้องม.อ เป็นทั้งหมอผ่าหัวใจ ผู้กำกับละครเวที ช่างปรุงน้ำหอม และอื่นๆ)
ตอน"เงิน เงิน เงิน เงิน"
- จงเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินที่ดีที่สุดของตนเอง : ผมเห็นที่ปรึกษาด้านการเงินทำลายผู้คนมานักต่อนักแล้ว
- จงลงทุนอย่างง่ายๆ : บุคคลตำนานอย่างอลัน กรีนเบิร์ก และวอเรน บัฟเฟต์ มีสิ่งที่่ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างสูงคือ"สามัญสำนึก"
- จงเซ็นสัญญาก่อนสมรส : ถ้าไม่ได้เซ็นไว้ ผมคงสูญเสียทุกอย่าง และจำเป็นต้องใช้รถบัสขนทนายความของไอวาน่า(เมียคนแรก)ไปขึ้นศาล
- สอนลูกของคุณให้รู้จักคุณค่าเงิน : ให้เขารู้การมีเงินไม่จำเป็นต้องหมายความถึงความโลภเสมอไป มันคือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการมีชีวิตอยู่
- ตัดคนกลางออกไป : มีบางโอกาสที่จำเป็นต้องใช้ทนาย บางคนเป็น"ไอ้วายร้าย*" จงฟ้องมันกลับ แต่ถ้าเป็นไปได้จงตกลงกันอย่างสันติ เพื่อประหยัดเวลา
"ไอ้วายร้าย*" (เชิงอรรถ)ผมเกลียดหมอมานานแล้ว ผมคิดว่าคนพวกนี้เป็นเหมือนสุนัขที่ชอบหาเงินท่าเดียว(ชอบเล่นท่าก็มีฮะ แต่ไม่ใช่เรื่องหาเงิน) มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วนถึงกรณีที่หมอทำลายชีวิตคนอื่นๆ
The art of come back 1997 อมรรัตน์ ศรีสุรินทร์
10สุดยอดเคล็ดลับฟื้นวิกฤติ
1. เล่นกอล์ฟ
2. จดจ่อให้ถูกจุด : เมื่อผมเริ่มผ่อนคลาย ทำตัวตามสบายบ้าง อะไรๆก็เริ่มล่มสลาย
3. ควรวิตกกังวลบ้าง : เมื่อมีอะไรที่คนอื่นอยากมี อย่าให้เขาเอาของคุณไป
4. สร้างแรงปรารถนา (passion)
5. ทำสิ่งสวนกระแส
6. กล้าเดินหน้า
7. ทำงานกับคนที่คุณชื่นชอบ
8. เป็นคนโชคดีด้วยการทำงานหนัก : อยู่ในที่ๆเหมาะสม ในเวลาที่เหมาะเหมง
9. เอาคืน : ผมจะเล่นงานคนที่หักหลังผมให้จมมิดกำแพง และผมจะสะใจมาก
10. เตรีมสัญญาก่อนสมรสไว้เสมอ : คุณไม่ฟื้นกลับคืนได้ ถ้ามัวแต่ใช้เวลาต่อสู้กับคู่สมรสคุณเรื่องเงิน
Think like a champion มินตา ภณปคุณ
- ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร คุณจะยิ่งตระหนักว่าคุณไม่รู้อะไรบ้าง
- เผชิญหน้าความกลัว
สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เมื่อต้องการประสบความสำเร็จ
1. ทักษะ ไหวพริบ ความซื่อสัตย์ : รักษาคำพูด เที่ยงตรง แม่นยำ วินัย เจรจาต่อรอง รอมชอม ฟังอย่างตั้งใจ รักในสิ่งที่ตัวเองทำ
2. ยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น : คิดบวก ทรหด ซื่อสัตย์ต่อจุดหมาย ความยึดมั่น
3. ความสำเร็จทางธุรกิจนำมาซึ่งความรับผิดชอบ : เตรียมพร้อมให้ดีที่สุดในการแข่งขัน คุณค่าทางใจ มองหาความคลุมเครือ พื้นที่สีเทาที่ซ่อนคุณค่า
เล่มนี้จะมีquoteของคนดังๆหลายสาขาไว้ตลอดทุกหัวข้อ แต่มีของทรัมป์เองคือ
"มันคือการสะดุดชั่วคราว หรือมันคือหายนะกันแน่"(นั่นสินะ..)
ผ่านหนึ่งเดือนเศษของความสูญเสียครั้งใหญ่ของไทยทั้งชาติไปแล้วนะครับ
เมื่อเราเสียอะไรไป เราจะได้อะไรบางอย่างกลับมาเสมอ
อาจเป็นปณิธาน อุดมการณ์สานต่อ ความตั้งใจ บทเรียน ความตระหนักรู้ ฯลฯ
4 ธค. 34 " our lost is our gain "
พ่อหลวงสอนไว้.. ท่านแปลว่า"ขาดทุน คือกำไร"
และขอต้อนรับผู้นำคนใหม่ของเมกาด้วยฮะ
ถามคนเมกันว่า ไม่ชอบผู้นำสตรีหรา? คงตอบว่าเห็นไทยกับเกาหลีแล้ว ไม่เอาดีก่า
งั้นแปลว่าอยากได้ขาลุย.. มาลุยกับท่านดูเกอเต้ ท่านคิมจองอิล ท่านปูติน ท่านฮุนเซ็น ท่านคุณลุงตุ๊ดตู่ คงได้ลุยกันมันส์หยด..
ถ้าตอบว่าอยากได้นักธุรกิจมาเป็นผู้นำ ก็จะบอกไปว่า หูย..เช้ย เชย เรามีแบบนั้นมาก่อนเค้าตั้งสิบกว่าปีแล้วว..
และก็ให้เคารพกติกาด้วยนะจ๊ะ เค้ามาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากนะจ๊ะ
จะมาตั้งม็อบ(ดูในทีวีเหมือนจะเสื้อดำ)ตั้งแต่ยังไม่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งงี้ได้ไง(สงสัยท่านไปไล่คนออกในแอพเพรนติ๊สไว้เยอะ)
ประเทศประชาธิปไตยต้นแบบทำตัวให้เป็นตัวอย่างชาวโลกหน่อยจร้า..แหม่..
ปธน.อ.ทรั๊มป์(เรียกอ.เพราะเค้ามีtrump university มีตำราwealth building101,commercial real estate investing 101 และอื่นๆอีกมากมาย)ผู้มีชื่อต้นเหมือนเป็ดดิ๊สนี่ย์นั้น
มีผลงานแปลเป็นไทยหลายเล่มฮะ ขออนุญาตเอาบางส่วนที่น่าสนใจเรื่องแนวคิดมาเล่าสู่กันฟังเป็นการบ้านล่วงหน้า
เพราะมี้ตติ้งเที่ยวนี้โดดอีกแล้ว ต้องไปธุดงค์ขึ้นดอยสอบหลักสูตรหลวงพ่อvery young(หลวงพ่อวิริยังค์ ท่าน94 วัดธรรมมงคลเป็นวัดสุดท้ายในรัชกาลที่9 ที่ได้กฐินพระราชทานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา)
The art of the deal 1987 เล่มแรก แปลโดยครูเคท,ชัชวรุตม์ มุสิกชัย(พี่น้อง"วิลลี่" รุ่นน้องม.อ เป็นทั้งหมอผ่าหัวใจ ผู้กำกับละครเวที ช่างปรุงน้ำหอม และอื่นๆ)
ตอน"เงิน เงิน เงิน เงิน"
- จงเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินที่ดีที่สุดของตนเอง : ผมเห็นที่ปรึกษาด้านการเงินทำลายผู้คนมานักต่อนักแล้ว
- จงลงทุนอย่างง่ายๆ : บุคคลตำนานอย่างอลัน กรีนเบิร์ก และวอเรน บัฟเฟต์ มีสิ่งที่่ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างสูงคือ"สามัญสำนึก"
- จงเซ็นสัญญาก่อนสมรส : ถ้าไม่ได้เซ็นไว้ ผมคงสูญเสียทุกอย่าง และจำเป็นต้องใช้รถบัสขนทนายความของไอวาน่า(เมียคนแรก)ไปขึ้นศาล
- สอนลูกของคุณให้รู้จักคุณค่าเงิน : ให้เขารู้การมีเงินไม่จำเป็นต้องหมายความถึงความโลภเสมอไป มันคือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการมีชีวิตอยู่
- ตัดคนกลางออกไป : มีบางโอกาสที่จำเป็นต้องใช้ทนาย บางคนเป็น"ไอ้วายร้าย*" จงฟ้องมันกลับ แต่ถ้าเป็นไปได้จงตกลงกันอย่างสันติ เพื่อประหยัดเวลา
"ไอ้วายร้าย*" (เชิงอรรถ)ผมเกลียดหมอมานานแล้ว ผมคิดว่าคนพวกนี้เป็นเหมือนสุนัขที่ชอบหาเงินท่าเดียว(ชอบเล่นท่าก็มีฮะ แต่ไม่ใช่เรื่องหาเงิน) มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วนถึงกรณีที่หมอทำลายชีวิตคนอื่นๆ
The art of come back 1997 อมรรัตน์ ศรีสุรินทร์
10สุดยอดเคล็ดลับฟื้นวิกฤติ
1. เล่นกอล์ฟ
2. จดจ่อให้ถูกจุด : เมื่อผมเริ่มผ่อนคลาย ทำตัวตามสบายบ้าง อะไรๆก็เริ่มล่มสลาย
3. ควรวิตกกังวลบ้าง : เมื่อมีอะไรที่คนอื่นอยากมี อย่าให้เขาเอาของคุณไป
4. สร้างแรงปรารถนา (passion)
5. ทำสิ่งสวนกระแส
6. กล้าเดินหน้า
7. ทำงานกับคนที่คุณชื่นชอบ
8. เป็นคนโชคดีด้วยการทำงานหนัก : อยู่ในที่ๆเหมาะสม ในเวลาที่เหมาะเหมง
9. เอาคืน : ผมจะเล่นงานคนที่หักหลังผมให้จมมิดกำแพง และผมจะสะใจมาก
10. เตรีมสัญญาก่อนสมรสไว้เสมอ : คุณไม่ฟื้นกลับคืนได้ ถ้ามัวแต่ใช้เวลาต่อสู้กับคู่สมรสคุณเรื่องเงิน
Think like a champion มินตา ภณปคุณ
- ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร คุณจะยิ่งตระหนักว่าคุณไม่รู้อะไรบ้าง
- เผชิญหน้าความกลัว
สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เมื่อต้องการประสบความสำเร็จ
1. ทักษะ ไหวพริบ ความซื่อสัตย์ : รักษาคำพูด เที่ยงตรง แม่นยำ วินัย เจรจาต่อรอง รอมชอม ฟังอย่างตั้งใจ รักในสิ่งที่ตัวเองทำ
2. ยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น : คิดบวก ทรหด ซื่อสัตย์ต่อจุดหมาย ความยึดมั่น
3. ความสำเร็จทางธุรกิจนำมาซึ่งความรับผิดชอบ : เตรียมพร้อมให้ดีที่สุดในการแข่งขัน คุณค่าทางใจ มองหาความคลุมเครือ พื้นที่สีเทาที่ซ่อนคุณค่า
เล่มนี้จะมีquoteของคนดังๆหลายสาขาไว้ตลอดทุกหัวข้อ แต่มีของทรัมป์เองคือ
"มันคือการสะดุดชั่วคราว หรือมันคือหายนะกันแน่"(นั่นสินะ..)
samatah