VI บ้าน ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1051
เรื่องบ้าน ๆ นั้นที่คุณ theenuch post ในห้องร้อยคนร้อยหุ้นนั้น เป็นประโยชน์มากครับ
ผมได้ข้อมูลนี้จากน้องสาวที่ทำธุรกิจซักรีดเหมือนกัน
ที่จะเพิ่มเติมคือ
นอกจากคราบดำที่เกิดขึ้นจากเครื่องซักผ้าที่ใช้เป็นเวลานานแล้ว ต้องหมั่นล้างตัวกรองผ้าด้วยเพราะเศษผ้าจะไปอุดตันได้ด้วยครับ
และปัจจุบันเรามักจะใช้เครื่องซักผ้าที่เป็นระบบอีเลคโทรนิค บางครั้งเรามักเปิดไฟทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้อิีเลคโทรนิคในเครื่องร้อนเป็นเวลานาน และเป็นต้นเหตุให้แผงไฟเสียหายหรือรวนได้เร็ว
การยืดอายุแผงไฟ ช่างบอกว่าต้องมีตัวตัดเบรคเกอร์ตัดไฟเฉพาะจุดเมื่อไม่ใช้เครื่องซักผ้า และอย่าซักแช่ค้างคืนโดยไม่ตัดไฟนะครับ พูดง่าย ๆ คือ ใช้เสร็จให้ตัดไฟที่เครื่องซักผ้่าทุกครั้ง จะทำให้ประหยัดค่าไฟอีกด้วยครับ
ผมได้ข้อมูลนี้จากน้องสาวที่ทำธุรกิจซักรีดเหมือนกัน
ที่จะเพิ่มเติมคือ
นอกจากคราบดำที่เกิดขึ้นจากเครื่องซักผ้าที่ใช้เป็นเวลานานแล้ว ต้องหมั่นล้างตัวกรองผ้าด้วยเพราะเศษผ้าจะไปอุดตันได้ด้วยครับ
และปัจจุบันเรามักจะใช้เครื่องซักผ้าที่เป็นระบบอีเลคโทรนิค บางครั้งเรามักเปิดไฟทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้อิีเลคโทรนิคในเครื่องร้อนเป็นเวลานาน และเป็นต้นเหตุให้แผงไฟเสียหายหรือรวนได้เร็ว
การยืดอายุแผงไฟ ช่างบอกว่าต้องมีตัวตัดเบรคเกอร์ตัดไฟเฉพาะจุดเมื่อไม่ใช้เครื่องซักผ้า และอย่าซักแช่ค้างคืนโดยไม่ตัดไฟนะครับ พูดง่าย ๆ คือ ใช้เสร็จให้ตัดไฟที่เครื่องซักผ้่าทุกครั้ง จะทำให้ประหยัดค่าไฟอีกด้วยครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1052
เคยล้างตัวกรองผ้ามีเหรียญบาทไปติดอยู่ด้วยค่ะchaitorn เขียน:เรื่องบ้าน ๆ นั้นที่คุณ theenuch post ในห้องร้อยคนร้อยหุ้นนั้น เป็นประโยชน์มากครับ
ผมได้ข้อมูลนี้จากน้องสาวที่ทำธุรกิจซักรีดเหมือนกัน
ที่จะเพิ่มเติมคือ
นอกจากคราบดำที่เกิดขึ้นจากเครื่องซักผ้าที่ใช้เป็นเวลานานแล้ว ต้องหมั่นล้างตัวกรองผ้าด้วยเพราะเศษผ้าจะไปอุดตันได้ด้วยครับ
และปัจจุบันเรามักจะใช้เครื่องซักผ้าที่เป็นระบบอีเลคโทรนิค บางครั้งเรามักเปิดไฟทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้อิเลคโทรนิคในเครื่องร้อนเป็นเวลานาน และเป็นต้นเหตุให้แผงไฟเสียหายหรือรวนได้เร็ว
การยืดอายุแผงไฟ ช่างบอกว่าต้องมีตัวตัดเบรคเกอร์ตัดไฟเฉพาะจุดเมื่อไม่ใช้เครื่องซักผ้า และอย่าซักแช่ค้างคืนโดยไม่ตัดไฟนะครับ พูดง่าย ๆ คือ ใช้เสร็จให้ตัดไฟที่เครื่องซักผ้่าทุกครั้ง จะทำให้ประหยัดค่าไฟอีกด้วยครับ
ข้อมูลที่คุณ chaitorn นั้นเป็นประโยชน์มากและคิดว่าหลายๆ บ้านยังไม่ทราบค่ะ
ที่บ้านเคยลืมปิดสวิทช์....มาจับอีกครั้งตอนจะใช้งานร้อนจี๋เลย
พอจะเปิดใช้งาน...เครื่องไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
โทรไปถามศูนย์อิเลคโทรลักซ์ เขาบอกให้รอสักพักก็จะใช้งานได้
แต่ถ้าไม่ได้ก็ให้แจ้งซ่อม...มีลุ้นเลยค่ะ จำได้ว่าหลายชั่วโมง...เข็ดเลยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1053
พื้นฐานเปลี่ยน !!!
(Theenuch_Team Money Talk 4)
...................
เวลามีคนมาถามเรื่องการลงทุนในหุ้น
โดยส่วนตัว มักจะแนะนำหนังสือให้อ่านค่ะ
.
บางคนชอบทางลัด ไม่ยอมอ่าน อยากรู้แค่
"ซื้อหุ้นตัวไหนดี" หรือ "หุ้นตัวนี้ดีมั้ย"
บางครั้ง เผลอร้อง "อ๋อ" (สายตาคนถามดูมีความหวัง)
"อ๋อ" ตัวนี้เคยอ่านเจอว่า..ขึ้นลงเป็นรถไฟเหาะ..เท่านั้นค่ะ ^__^
.
ไม่เคยตอบ...เพราะไม่รู้จริงๆ (55+) และไม่เก่งด้วยค่ะ
..................
แต่อยากจะบอกว่า...
คนที่ไม่เคยทำ ไม่เคยรู้เรื่องใดมาก่อน
ย่อม “ไม่มีพื้นฐาน” ในเรื่องนั้นๆ เป็นธรรมดา
แต่ถ้า...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
ก็ยัง "ไม่มีพื้นฐาน" นั่นไม่ธรรมดาแล้วค่ะ
.
วิธีแก้ การ “ไม่มีพื้นฐาน” มีหลายวิธี
โดยส่วนตัวใช้มากที่สุด คือ "อ่าน" แล้ว "ลองทำ"
ติดขัดตรงไหน…ก็อ่านเพิ่มแล้ว "ลองทำ" ต่อค่ะ
“การอ่าน” นั้น “เร่งได้”...ช้า / เร็ว ขึ้นกับตัวเราเอง
.
เวลาชม clip หรือ ไปฟังสัมมนาการลงทุน
หรือขอคำแนะนำจากใคร...จะเข้าใจง่ายขึ้น
หลังจากนั้น ก็กลับมา “อ่าน” หรือ “ค้นคว้าต่อ”
ให้ผู้ที่กรุณาแนะนำ...ได้เห็นพัฒนาการของเราบ้าง
ประหยัด “เวลาอันมีค่า_และมีจำกัด” ของทั้งสองฝ่าย
................
บ่อยเข้า...ความรู้จะสะสมอยู่ในตัวเรา
รับรอง "พื้นฐานเปลี่ยน" (ไปในทางที่ดีแน่นอนค่ะ)
................
ปล. คัดหนังสือมาฝากนบางส่วนค่ะ
มีทั้งหนังสือการบริหารเงิน การลงทุน
หนังสือที่ช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องกลยุทธ์
Business Model หรือแม้แต่กระแสโลก
ธรรมะ..จะได้นิ่งขึ้น สำคัญมากในการลงทุนค่ะ
.
ปล.ของ ปล. มีคนยืมไปไม่คืนเยอะเลยค่ะ...เศร้า !
"ตีแตก" (อ.ดร.นิเวศน์) ซื้อใหม่ถึง 8 ครั้ง..ก็ยังไม่มีในรูป
หลังๆ เรียนรู้ว่า..แค่แนะนำ..คนที่อยากอ่านก็จะไปซื้ออ่าน
แต่ให้ยืม...คนที่ไม่ชอบอ่านบางทียืมไปก็ไม่อ่าน
และทำหายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่านก็มีค่ะ ^__^
.
(Theenuch_Team Money Talk 4)
...................
เวลามีคนมาถามเรื่องการลงทุนในหุ้น
โดยส่วนตัว มักจะแนะนำหนังสือให้อ่านค่ะ
.
บางคนชอบทางลัด ไม่ยอมอ่าน อยากรู้แค่
"ซื้อหุ้นตัวไหนดี" หรือ "หุ้นตัวนี้ดีมั้ย"
บางครั้ง เผลอร้อง "อ๋อ" (สายตาคนถามดูมีความหวัง)
"อ๋อ" ตัวนี้เคยอ่านเจอว่า..ขึ้นลงเป็นรถไฟเหาะ..เท่านั้นค่ะ ^__^
.
ไม่เคยตอบ...เพราะไม่รู้จริงๆ (55+) และไม่เก่งด้วยค่ะ
..................
แต่อยากจะบอกว่า...
คนที่ไม่เคยทำ ไม่เคยรู้เรื่องใดมาก่อน
ย่อม “ไม่มีพื้นฐาน” ในเรื่องนั้นๆ เป็นธรรมดา
แต่ถ้า...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
ก็ยัง "ไม่มีพื้นฐาน" นั่นไม่ธรรมดาแล้วค่ะ
.
วิธีแก้ การ “ไม่มีพื้นฐาน” มีหลายวิธี
โดยส่วนตัวใช้มากที่สุด คือ "อ่าน" แล้ว "ลองทำ"
ติดขัดตรงไหน…ก็อ่านเพิ่มแล้ว "ลองทำ" ต่อค่ะ
“การอ่าน” นั้น “เร่งได้”...ช้า / เร็ว ขึ้นกับตัวเราเอง
.
เวลาชม clip หรือ ไปฟังสัมมนาการลงทุน
หรือขอคำแนะนำจากใคร...จะเข้าใจง่ายขึ้น
หลังจากนั้น ก็กลับมา “อ่าน” หรือ “ค้นคว้าต่อ”
ให้ผู้ที่กรุณาแนะนำ...ได้เห็นพัฒนาการของเราบ้าง
ประหยัด “เวลาอันมีค่า_และมีจำกัด” ของทั้งสองฝ่าย
................
บ่อยเข้า...ความรู้จะสะสมอยู่ในตัวเรา
รับรอง "พื้นฐานเปลี่ยน" (ไปในทางที่ดีแน่นอนค่ะ)
................
ปล. คัดหนังสือมาฝากนบางส่วนค่ะ
มีทั้งหนังสือการบริหารเงิน การลงทุน
หนังสือที่ช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องกลยุทธ์
Business Model หรือแม้แต่กระแสโลก
ธรรมะ..จะได้นิ่งขึ้น สำคัญมากในการลงทุนค่ะ
.
ปล.ของ ปล. มีคนยืมไปไม่คืนเยอะเลยค่ะ...เศร้า !
"ตีแตก" (อ.ดร.นิเวศน์) ซื้อใหม่ถึง 8 ครั้ง..ก็ยังไม่มีในรูป
หลังๆ เรียนรู้ว่า..แค่แนะนำ..คนที่อยากอ่านก็จะไปซื้ออ่าน
แต่ให้ยืม...คนที่ไม่ชอบอ่านบางทียืมไปก็ไม่อ่าน
และทำหายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่านก็มีค่ะ ^__^
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1054
คุณนุชใจดีจัง ให้ยืมด้วย ผมสังเกตุว่าถ้าให้ยืมหรือให้เลย หลายคนไม่ค่อยสนใจอ่าน
แต่ถ้าไปซื้อน่าจะได้อ่านมากกว่า หนังสือ ตีแตก หาง่าย ตามซีเอ็ดครับ อีกเล่มที่น่าสนใจ
เป็นประวัติการลงทุนของ ดร นิเวศน์ เขียนโดยคุณประภาคาร ดีมากครับ แนะนำอีกเล่มนึง
แต่ถ้าไปซื้อน่าจะได้อ่านมากกว่า หนังสือ ตีแตก หาง่าย ตามซีเอ็ดครับ อีกเล่มที่น่าสนใจ
เป็นประวัติการลงทุนของ ดร นิเวศน์ เขียนโดยคุณประภาคาร ดีมากครับ แนะนำอีกเล่มนึง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1055
จริงอย่างพี่อมรว่าค่ะ....หลังๆ ไม่ให้ยืมแล้วค่ะamornkowa เขียน:คุณนุชใจดีจัง ให้ยืมด้วย ผมสังเกตุว่าถ้าให้ยืมหรือให้เลย หลายคนไม่ค่อยสนใจอ่าน
แต่ถ้าไปซื้อน่าจะได้อ่านมากกว่า หนังสือ ตีแตก หาง่าย ตามซีเอ็ดครับ อีกเล่มที่น่าสนใจ
เป็นประวัติการลงทุนของ ดร นิเวศน์ เขียนโดยคุณประภาคาร ดีมากครับ แนะนำอีกเล่มนึง
เสียดายที่สุดตรงที่เรา short note ไว้ มันไปพร้อมหนังสือด้วย
บางทีอ่านเล่มนึง เจอเนื้อหาที่สัมพันธ์กับอีกเล่ม
นุชก็ไปลอกเอามาไว้รวมกัน เพราะเราชอบอ่านหนังสือซ้ำ
บางเล่มก็อยากไว้ให้ลูกอ่าน อุตส่าห์ เขียนไว้อย่างดี...หายหมด
"ตีแตก" เดี๋ยวคงไปซื้อใหม่ค่ะ ดีที่ยังมีขายเรื่อยๆ
บางเล่มน่าเสียดายไม่มีขายแล้ว
ว่าจะไปซื้อ "ตีแตก" ใหม่อีก...คงเป็นรอบสุดท้ายแล้วค่ะ..ขอบคุณค่ะพี่อมร
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1056
พอดีอ่านข้อความทางไลน์ น่าสนใจดีครับ มันก็จริงอย่างที่เขาบอกครับ โดยดูจากตัวเองชอบอ้างโน้นอ้างนี้บ่อย
จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ
จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ
สองคำ “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”
คำหลังยาวกว่าคำหน้านิดเดียว
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ
– ประภาส ชลศรานนท์
—–
ช่วงนี้ผมพยายามเตือนตัวเองให้ใช้กฎ “สองนาที” อยู่บ่อยๆ
กฎข้อนี้มาจากของ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ productivity
ที่ดังมากๆ ในอเมริกา
กฎสองนาทีที่ว่าก็คือ ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ก็ทำมันไปเลย
เช่นตอนค่ำกลับมาถึงบ้าน กินน้ำผลไม้เสร็จแล้ว แทนที่จะแช่แก้วน้ำไว้ค้างคืน ก็ล้างมันซะเลย
หรืออย่างเมื่อเช้านี้ผมยกตะกร้าผ้าลงมาข้างล่างเพื่อเอาเสื้อผ้าไปส่งซัก พอเดินถือตะกร้าเปล่ากลับมา
ผมก็มีทางเลือกว่าจะวางตะกร้าไว้ข้างล่างก่อนเพื่อจะเดินไปกินข้าวในครัว
หรือจะเอาตะกร้าผ้าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว
ธรรมดาผมจะเลือกอย่างแรกเพราะขี้เกียจเดินขึ้น-เดินลง แต่คราวนี้พอรู้ว่าการเอาของขึ้นไปเก็บก่อนใช้เวลาไม่เกินสองนาที
ผมก็เลยเอาตะกร้าขึ้นไปเก็บเลยแล้วค่อยเดินลงมาทานข้าว อาจจะเสียแรงเพิ่มซักหน่อย
แต่ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว
การใช้กฎสองนาทีนี้มีข้อดีอยู่สองอย่าง
1. ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะถ้าใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ทำไปเลย ยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรอยู่แล้ว
2. ป้องกันดินพอกหางหมู ลองมองดูรอบๆ ก็ได้ว่าที่ห้องเรารกหรือที่บ้านเรามีของอยู่ผิดที่ผิดทาง
ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เราบอกตัวเองว่า “เอาไว้ก่อน” แทบทั้งนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว
ถ้าเราตัดสินใจเก็บมันให้ถูกที่ซะตั้งแต่แรกก็คงไม่รกขนาดนี้
—–
จะว่าไปพ่อของผมเองก็เหมือนจะใช้กฎนี้เช่นกัน (แม้อาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม)
เวลาใครมาปรึกษาเรื่องอะไร ถ้าพ่อรู้สึกว่าน่าจะมีเพื่อนคนไหนช่วยเหลือเรื่องนี้ได้
ก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร.หาคนคนนั้นทันที จนคนที่มาปรึกษาก็ประทับใจระคนแปลกใจว่า
อะไรจะ take action กันรวดเร็วปานนั้น
ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวิธีที่ถูก เพราะโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอก่อน แต่ที่เราส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำอะไรทันที
ก็เพราะว่าลึกๆ เราอาจจะกลัวอะไรบางอย่าง (ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร) ก็เลยผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี
—–
บล็อกเกอร์ชื่อ James Clear ได้นำกฎสองนาทีนี้ไปต่อยอด ด้วยการบอกว่า ถ้าเราจะเริ่มนิสัยอะไรใหม่ๆ
ก็ควรจะเป็นนิส้ยที่ทำได้โดยใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น
อยากสุขภาพดีขึ้น ก็กินผลไม้ซักหนึ่งลูก
อยากจะเขียนเก่งขึ้น ลองเขียนอะไรก็ได้ซักหนึ่งประโยค
อยากจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ ก็อ่านหนังสือซักหนึ่งหน้า
อยากจะฝึกสมาธิ ก็ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกซัก 10 ครั้ง
ทั้งสี่อย่างนี้ล้วนแต่ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีทั้งนั้น และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า
เราก็จะสามารถเอาชนะแรงเฉื่อยที่เคยฉุดเราไว้ และทำสิ่งๆ นั้นได้นานขึ้นเรื่อยๆ
ข้อดีที่สุดของกฎสองนาที ก็คือมันบังคับให้เราทำหลายๆ เรื่อง “เดี๋ยวนี้” โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อแก้ตัว
เมื่อลองทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ทัศนคติแบบ “เดี๋ยวก่อน” เอาไว้หลายเรื่อง ทำให้เสียโอกาสไปไม่รู้เท่าไหร่
ตอนนี้เลยต้องหัดใช้ชีวิตแบบ “เดี๋ยวนี้” ให้มากขึ้นครับ
—–
ขอบคุณข้อมูลจาก
มีเพื่อนเป็นภูเขา โดยประภาส ชลศรานนท์
Getting Things Done by David Allen
How to Stop Procrastinating by Using the “2-Minute Rule” by James Clear
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1057
ขอบคุณมากเลยค่ะน้อง jverakuljverakul เขียน:พอดีอ่านข้อความทางไลน์ น่าสนใจดีครับ มันก็จริงอย่างที่เขาบอกครับ โดยดูจากตัวเองชอบอ้างโน้นอ้างนี้บ่อย
จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ
สองคำ “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”
คำหลังยาวกว่าคำหน้านิดเดียว
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ
– ประภาส ชลศรานนท์
—–
ช่วงนี้ผมพยายามเตือนตัวเองให้ใช้กฎ “สองนาที” อยู่บ่อยๆ
กฎข้อนี้มาจากของ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ productivity
ที่ดังมากๆ ในอเมริกา
กฎสองนาทีที่ว่าก็คือ ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ก็ทำมันไปเลย
เช่นตอนค่ำกลับมาถึงบ้าน กินน้ำผลไม้เสร็จแล้ว แทนที่จะแช่แก้วน้ำไว้ค้างคืน ก็ล้างมันซะเลย
หรืออย่างเมื่อเช้านี้ผมยกตะกร้าผ้าลงมาข้างล่างเพื่อเอาเสื้อผ้าไปส่งซัก พอเดินถือตะกร้าเปล่ากลับมา
ผมก็มีทางเลือกว่าจะวางตะกร้าไว้ข้างล่างก่อนเพื่อจะเดินไปกินข้าวในครัว
หรือจะเอาตะกร้าผ้าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว
ธรรมดาผมจะเลือกอย่างแรกเพราะขี้เกียจเดินขึ้น-เดินลง แต่คราวนี้พอรู้ว่าการเอาของขึ้นไปเก็บก่อนใช้เวลาไม่เกินสองนาที
ผมก็เลยเอาตะกร้าขึ้นไปเก็บเลยแล้วค่อยเดินลงมาทานข้าว อาจจะเสียแรงเพิ่มซักหน่อย
แต่ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว
การใช้กฎสองนาทีนี้มีข้อดีอยู่สองอย่าง
1. ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะถ้าใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ทำไปเลย ยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรอยู่แล้ว
2. ป้องกันดินพอกหางหมู ลองมองดูรอบๆ ก็ได้ว่าที่ห้องเรารกหรือที่บ้านเรามีของอยู่ผิดที่ผิดทาง
ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เราบอกตัวเองว่า “เอาไว้ก่อน” แทบทั้งนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว
ถ้าเราตัดสินใจเก็บมันให้ถูกที่ซะตั้งแต่แรกก็คงไม่รกขนาดนี้
—–
จะว่าไปพ่อของผมเองก็เหมือนจะใช้กฎนี้เช่นกัน (แม้อาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม)
เวลาใครมาปรึกษาเรื่องอะไร ถ้าพ่อรู้สึกว่าน่าจะมีเพื่อนคนไหนช่วยเหลือเรื่องนี้ได้
ก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร.หาคนคนนั้นทันที จนคนที่มาปรึกษาก็ประทับใจระคนแปลกใจว่า
อะไรจะ take action กันรวดเร็วปานนั้น
ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวิธีที่ถูก เพราะโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอก่อน แต่ที่เราส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำอะไรทันที
ก็เพราะว่าลึกๆ เราอาจจะกลัวอะไรบางอย่าง (ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร) ก็เลยผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี
—–
บล็อกเกอร์ชื่อ James Clear ได้นำกฎสองนาทีนี้ไปต่อยอด ด้วยการบอกว่า ถ้าเราจะเริ่มนิสัยอะไรใหม่ๆ
ก็ควรจะเป็นนิส้ยที่ทำได้โดยใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น
อยากสุขภาพดีขึ้น ก็กินผลไม้ซักหนึ่งลูก
อยากจะเขียนเก่งขึ้น ลองเขียนอะไรก็ได้ซักหนึ่งประโยค
อยากจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ ก็อ่านหนังสือซักหนึ่งหน้า
อยากจะฝึกสมาธิ ก็ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกซัก 10 ครั้ง
ทั้งสี่อย่างนี้ล้วนแต่ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีทั้งนั้น และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า
เราก็จะสามารถเอาชนะแรงเฉื่อยที่เคยฉุดเราไว้ และทำสิ่งๆ นั้นได้นานขึ้นเรื่อยๆ
ข้อดีที่สุดของกฎสองนาที ก็คือมันบังคับให้เราทำหลายๆ เรื่อง “เดี๋ยวนี้” โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อแก้ตัว
เมื่อลองทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ทัศนคติแบบ “เดี๋ยวก่อน” เอาไว้หลายเรื่อง ทำให้เสียโอกาสไปไม่รู้เท่าไหร่
ตอนนี้เลยต้องหัดใช้ชีวิตแบบ “เดี๋ยวนี้” ให้มากขึ้นครับ
—–
ขอบคุณข้อมูลจาก
มีเพื่อนเป็นภูเขา โดยประภาส ชลศรานนท์
Getting Things Done by David Allen
How to Stop Procrastinating by Using the “2-Minute Rule” by James Clear
มีสิ่งดีๆ มาแบ่งปัน "ที่บ้านของพวกเรา" สม่ำเสมอมากๆ เลยค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1058
theenuch เขียน:จริงอย่างพี่อมรว่าค่ะ....หลังๆ ไม่ให้ยืมแล้วค่ะamornkowa เขียน:คุณนุชใจดีจัง ให้ยืมด้วย ผมสังเกตุว่าถ้าให้ยืมหรือให้เลย หลายคนไม่ค่อยสนใจอ่าน
แต่ถ้าไปซื้อน่าจะได้อ่านมากกว่า หนังสือ ตีแตก หาง่าย ตามซีเอ็ดครับ อีกเล่มที่น่าสนใจ
เป็นประวัติการลงทุนของ ดร นิเวศน์ เขียนโดยคุณประภาคาร ดีมากครับ แนะนำอีกเล่มนึง
เสียดายที่สุดตรงที่เรา short note ไว้ มันไปพร้อมหนังสือด้วย
บางทีอ่านเล่มนึง เจอเนื้อหาที่สัมพันธ์กับอีกเล่ม
นุชก็ไปลอกเอามาไว้รวมกัน เพราะเราชอบอ่านหนังสือซ้ำ
บางเล่มก็อยากไว้ให้ลูกอ่าน อุตส่าห์ เขียนไว้อย่างดี...หายหมด
"ตีแตก" เดี๋ยวคงไปซื้อใหม่ค่ะ ดีที่ยังมีขายเรื่อยๆ
บางเล่มน่าเสียดายไม่มีขายแล้ว
ว่าจะไปซื้อ "ตีแตก" ใหม่อีก...คงเป็นรอบสุดท้ายแล้วค่ะ..ขอบคุณค่ะพี่อมร
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1061
เข้ามาขอลอกหุ้นตีแตกของพี่นุชด้วยคนtheenuch เขียน:amornkowa เขียน:หลังซื้อตีแตกเล่มใหม่คงได้หุ้นตีแตกตัวใหม่แน่เลย
เจอเมื่อไหร่พี่นุชกระซิบผมด้วยน๊ะครับ ฮ่า...
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1062
ไม่มี ไม่มี เปิดบ้านไว้ก็หวังว่าจะมีเพื่อนๆ เอาหุ้นตีแตก มาฝากบ้างsaichon เขียน:เข้ามาขอลอกหุ้นตีแตกของพี่นุชด้วยคนtheenuch เขียน:amornkowa เขียน:หลังซื้อตีแตกเล่มใหม่คงได้หุ้นตีแตกตัวใหม่แน่เลย
เจอเมื่อไหร่พี่นุชกระซิบผมด้วยน๊ะครับ ฮ่า...
พี่รออยู่นะน้องสายชล
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1063
เลี้ยงลูกวัยรุ่น (Theenuch_Team Money Talk 4)
...........................
เนื่องในวันแม่ ขอแบ่งปันประสบการณ์เรื่องการเลี้ยงลูกนะคะ อาจไม่ดีที่สุดแต่คงพอใช้ได้ค่ะ
.
1. เป็นเพื่อนลูก พูดจาภาษาเดียวกัน เรื่องที่ลูกสนใจให้ลูกนำเลยค่ะ
เช่น เพลง ฟุตบอล สนใจตามลูกไปเลย เขาจะชวนเราคุยเรื่องนั้นๆ
ถ้าเราคุยรู้เรื่องหมดลูกจะอยากคุยด้วย...และที่จริงมันก็สนุกดีค่ะ
.
2. เป็นเพื่อนของเพื่อน อาสาพาไปทานข้าวหรือทำกิจกรรมใดๆ บ้าง
จะได้คุยกับเด็กๆ ได้รู้สมญานาม
"ฟังลูกเดียว อย่าไปตัดสิน...ห้ามฟังไปสอนไปเด็ดขาด..เดี๋ยวเด็กๆ หยุดเล่า"
จะได้รับความไว้วางใจ จากเด็กๆ และพ่อแม่ทุกๆ บ้าน อะไรที่เกี่ยวกับเพื่อน ลูกก็เล่าให้ฟังหมดค่ะ
ถ้าทำได้แบบนี้...ลูกวัยรุ่นไม่แยกตัวแน่นอน
.
3. เป็นคนที่ลูกนึกถึงคนแรกๆ เสมอ เขาจะวนๆ อยู่รอบตัวเราเหมือนตอนเด็กๆ เลย
ทำอะไรก็อยากให้เราดู เช่น ฝึกเล่นกล ทำไพ่ร่วงกระจัดกระจาย
ฝึกเล่นดนตรี ฝึกอะไรก็ตาม...ต้องอดทน รอดูค่ะ
อยากเห็นความสำเร็จ ก็ต้องทนดูตอนเขาล้มเหลวหรือพลาดได้
เพราะในความเป็นจริงกว่าคนๆ หนึ่งจะสำเร็จก็เคยผ่านความล้มเหลวมาก่อน
(ถ้ารอดูแต่ความสำเร็จจะผิดธรรมชาติ และอดดู
เคยเจอบ่อยค่ะ พ่อแม่เอาลูกตัวเองไปเปรียบกับลูกบ้านอื่นที่สำเร็จ
การเปรียบเทียบจะผลักลูกออกจากเราอย่างเร็ว)
.
4. ให้อิสระทางความคิด อย่าครอบงำ ถ้าเราเลี้ยงดูแบบฝึกให้คิด พิจารณา
เด็กจะมีความคิดเป็นของตัวเอง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ)
เคารพการตัดสินใจของลูกบ้าง เขาก็จะเคารพการตัดสินใจของพ่อแม่
และแน่นอนเมื่อปล่อยไปสู่สังคม เขาจะเคารพการตัดสินใจของผู้อื่น
กล้ายืนยันตนเอง ในขอบเขตสิทธิของตัว และเคารพสิทธิผู้อื่น อย่างที่ควรจะเป็น
สอนเรื่อง “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ด้วยค่ะ
.
5. ฝึกให้ลูกรักการอ่าน เป็นกุญแจสำคัญที่จะพาเขาไปอยู่ในโลกใหม่ๆ ไม่รู้จบ
หนังสือธรรมะด้วย ไม่อย่างนั้นหนังสืออื่นที่อ่านหรือวิชาความรู้ที่เรียนมาจะหมดค่า ถ้าขาดธรรมะ
.
6. วินัย และการรักษาสิ่งแวดล้อม และการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่ต้องสอน จนถึงระดับ “ตระหนัก” ให้ได้ค่ะ
.
7. ให้เวลาค้นหา และฝึกฝนสิ่งที่เขาชอบ (เน้นว่าไม่ใช่เรื่องเรียน...เรียนที่โรงเรียนมาพอแล้ว)
ความสุขจากการได้ทำในสิ่งที่ชอบ จะส่งผลให้สมองปรอดโปร่ง จิตใจสดชื่น
เรียนรู้อะไรก็ง่าย เรียนหนังสือก็จะดีไปด้วยค่ะ เมื่อมีความสุขก็พร้อมเรียนรู้
เหมือนเรานั่นแหละค่ะ เวลามีความสุขอ่านอะไรก็จำแม่น เรียนรู้อะไรก็ง่าย...จริงมั้ยคะ?
.
8. ฝึกการมองภาพใหญ่ ปลายทาง และการกำหนดกระบวนการนำไปสู่ภาพใหญ่นั้น
เรื่องนี้ฝึกได้ค่ะ ถ้าเขาทำได้ จะนำตนเองได้ ไม่น่าห่วงใดๆ เลยค่ะ
.
9. ฝึกฝืนใจ ไม่ให้ในสิ่งที่ต้องการบ้าง ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สบายบ้าง จะได้ชิน
เวลาไปอยู่ในสังคมจะอยู่ง่าย รอบตัวเราไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปหมด
ขัดใจลูกเองเสียก่อน จะได้ไม่รู้สึก “เฟล” ง่ายเวลาไปอยู่ในสังคม
(อย่าให้เครดิตกับคำว่า "ลูกชายคนเดียว"..ไม่มีอะไรพิเศษเลยค่ะ
"ใครคิดคำนี้ขึ้นมานะ..พ่อแม่และพวกผู้ใหญ่นั้นเอง"
เด็กๆ ไม่เคยรู้หรอกว่าการเป็นลูกคนเดียวพิเศษยังไง
ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ความสำคัญกับคำนี้ และไม่ปฏิบัติกับเขาแบบ "ลูกชายคนเดียว" )
.
10. สุดท้าย “เรื่องการบริหารการเงินส่วนบุคคล_เรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน”
ถ้าอย่างนั้นเราก็สอนเอง อย่ารอเลยค่ะ ลูกเราเติบโตขึ้นทุกวัน
1.หาเงินอย่าสุขจริต
2.ใช้เงิน(ให้ถูกวิธี)
และ 3. นำไปทำให้งอกเงย
ครบ 3 อย่างนี้ อนาคตทางการเงินก็ไม่น่าห่วงค่ะ (สอนให้รู้คุณค่าของเงิน และ "เวลา" ด้วยนะคะ)
.
สุดท้าย ของ สุดท้าย...อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกด้วย
ในที่สุดแล้ว เด็กๆ ไม่ได้ทำตามที่เราสอนหรอกค่ะ เขาทำตามเราค่ะ ^__^
...........................
เนื่องในวันแม่ ขอแบ่งปันประสบการณ์เรื่องการเลี้ยงลูกนะคะ อาจไม่ดีที่สุดแต่คงพอใช้ได้ค่ะ
.
1. เป็นเพื่อนลูก พูดจาภาษาเดียวกัน เรื่องที่ลูกสนใจให้ลูกนำเลยค่ะ
เช่น เพลง ฟุตบอล สนใจตามลูกไปเลย เขาจะชวนเราคุยเรื่องนั้นๆ
ถ้าเราคุยรู้เรื่องหมดลูกจะอยากคุยด้วย...และที่จริงมันก็สนุกดีค่ะ
.
2. เป็นเพื่อนของเพื่อน อาสาพาไปทานข้าวหรือทำกิจกรรมใดๆ บ้าง
จะได้คุยกับเด็กๆ ได้รู้สมญานาม
"ฟังลูกเดียว อย่าไปตัดสิน...ห้ามฟังไปสอนไปเด็ดขาด..เดี๋ยวเด็กๆ หยุดเล่า"
จะได้รับความไว้วางใจ จากเด็กๆ และพ่อแม่ทุกๆ บ้าน อะไรที่เกี่ยวกับเพื่อน ลูกก็เล่าให้ฟังหมดค่ะ
ถ้าทำได้แบบนี้...ลูกวัยรุ่นไม่แยกตัวแน่นอน
.
3. เป็นคนที่ลูกนึกถึงคนแรกๆ เสมอ เขาจะวนๆ อยู่รอบตัวเราเหมือนตอนเด็กๆ เลย
ทำอะไรก็อยากให้เราดู เช่น ฝึกเล่นกล ทำไพ่ร่วงกระจัดกระจาย
ฝึกเล่นดนตรี ฝึกอะไรก็ตาม...ต้องอดทน รอดูค่ะ
อยากเห็นความสำเร็จ ก็ต้องทนดูตอนเขาล้มเหลวหรือพลาดได้
เพราะในความเป็นจริงกว่าคนๆ หนึ่งจะสำเร็จก็เคยผ่านความล้มเหลวมาก่อน
(ถ้ารอดูแต่ความสำเร็จจะผิดธรรมชาติ และอดดู
เคยเจอบ่อยค่ะ พ่อแม่เอาลูกตัวเองไปเปรียบกับลูกบ้านอื่นที่สำเร็จ
การเปรียบเทียบจะผลักลูกออกจากเราอย่างเร็ว)
.
4. ให้อิสระทางความคิด อย่าครอบงำ ถ้าเราเลี้ยงดูแบบฝึกให้คิด พิจารณา
เด็กจะมีความคิดเป็นของตัวเอง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ)
เคารพการตัดสินใจของลูกบ้าง เขาก็จะเคารพการตัดสินใจของพ่อแม่
และแน่นอนเมื่อปล่อยไปสู่สังคม เขาจะเคารพการตัดสินใจของผู้อื่น
กล้ายืนยันตนเอง ในขอบเขตสิทธิของตัว และเคารพสิทธิผู้อื่น อย่างที่ควรจะเป็น
สอนเรื่อง “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ด้วยค่ะ
.
5. ฝึกให้ลูกรักการอ่าน เป็นกุญแจสำคัญที่จะพาเขาไปอยู่ในโลกใหม่ๆ ไม่รู้จบ
หนังสือธรรมะด้วย ไม่อย่างนั้นหนังสืออื่นที่อ่านหรือวิชาความรู้ที่เรียนมาจะหมดค่า ถ้าขาดธรรมะ
.
6. วินัย และการรักษาสิ่งแวดล้อม และการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่ต้องสอน จนถึงระดับ “ตระหนัก” ให้ได้ค่ะ
.
7. ให้เวลาค้นหา และฝึกฝนสิ่งที่เขาชอบ (เน้นว่าไม่ใช่เรื่องเรียน...เรียนที่โรงเรียนมาพอแล้ว)
ความสุขจากการได้ทำในสิ่งที่ชอบ จะส่งผลให้สมองปรอดโปร่ง จิตใจสดชื่น
เรียนรู้อะไรก็ง่าย เรียนหนังสือก็จะดีไปด้วยค่ะ เมื่อมีความสุขก็พร้อมเรียนรู้
เหมือนเรานั่นแหละค่ะ เวลามีความสุขอ่านอะไรก็จำแม่น เรียนรู้อะไรก็ง่าย...จริงมั้ยคะ?
.
8. ฝึกการมองภาพใหญ่ ปลายทาง และการกำหนดกระบวนการนำไปสู่ภาพใหญ่นั้น
เรื่องนี้ฝึกได้ค่ะ ถ้าเขาทำได้ จะนำตนเองได้ ไม่น่าห่วงใดๆ เลยค่ะ
.
9. ฝึกฝืนใจ ไม่ให้ในสิ่งที่ต้องการบ้าง ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สบายบ้าง จะได้ชิน
เวลาไปอยู่ในสังคมจะอยู่ง่าย รอบตัวเราไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปหมด
ขัดใจลูกเองเสียก่อน จะได้ไม่รู้สึก “เฟล” ง่ายเวลาไปอยู่ในสังคม
(อย่าให้เครดิตกับคำว่า "ลูกชายคนเดียว"..ไม่มีอะไรพิเศษเลยค่ะ
"ใครคิดคำนี้ขึ้นมานะ..พ่อแม่และพวกผู้ใหญ่นั้นเอง"
เด็กๆ ไม่เคยรู้หรอกว่าการเป็นลูกคนเดียวพิเศษยังไง
ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ความสำคัญกับคำนี้ และไม่ปฏิบัติกับเขาแบบ "ลูกชายคนเดียว" )
.
10. สุดท้าย “เรื่องการบริหารการเงินส่วนบุคคล_เรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน”
ถ้าอย่างนั้นเราก็สอนเอง อย่ารอเลยค่ะ ลูกเราเติบโตขึ้นทุกวัน
1.หาเงินอย่าสุขจริต
2.ใช้เงิน(ให้ถูกวิธี)
และ 3. นำไปทำให้งอกเงย
ครบ 3 อย่างนี้ อนาคตทางการเงินก็ไม่น่าห่วงค่ะ (สอนให้รู้คุณค่าของเงิน และ "เวลา" ด้วยนะคะ)
.
สุดท้าย ของ สุดท้าย...อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกด้วย
ในที่สุดแล้ว เด็กๆ ไม่ได้ทำตามที่เราสอนหรอกค่ะ เขาทำตามเราค่ะ ^__^
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1065
ขอบคุณครับพี่นุชtheenuch เขียน: สุดท้าย ของ สุดท้าย...อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกด้วย
ในที่สุดแล้ว เด็กๆ ไม่ได้ทำตามที่เราสอนหรอกค่ะ เขาทำตามเราค่ะ ^__^
จะเก็บเอาไว้ใช้กับเด็กๆของผมครับ
อ้อ...วันก่อนผมได้เทคนิคแก้ปัญหาลูกทะเลาะแย่งของเล่นกัน
ลองเอาไปใช้ดูมันเวิร์คมากครับ
ขอถือโอกาสเอามาแบ่งปันพ่อแม่ที่เจอปัญหาแบบเดียวกับผมน๊ะครับ
ตอนที่ 320 “ลูกดื้อหรือแม่ดื้อ”
ความยากของทางเดินสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ
คือการหาจุดสมดุลระหว่างการเชื่อตัวเองกับเชื่อผู้อื่น
เด็กๆกำลังเรียนรู้การสร้างสมดุลนั้นอยู่
หลายครั้งที่หมอพบว่า แม่ที่ “ต้องการ” ให้ลูกเปลี่ยนนิสัย.....
ลืมมองตนเองไปว่า....
ตัวเราเองก็ต้องเปลี่ยนแปลง....ลดความต้องการบางอย่าง
เพื่อหาจุดสมดุลของความต้องการ 2 ฝ่ายเช่นกัน
ชีวิตของมนุษย์แต่ละวันคือการหาจุดสมดุล......
เมื่อเราคุยกับลูกค้า เราก็ต้องหาจุดลงเอยที่สามารถ win-win
เมื่อเราคุยกับเจ้านาย เราก็ต้องหาวิธีสื่อสารที่จะเข้าใจกันและกัน
แต่เมื่อเราคุยกับลูก.....เรากลับลืมหาจุดสมดุลนั้น
เมื่อลูกไม่รักษาเวลา....เราเคยนั่งลงคุยกับลูกเพื่อหาเวลาที่ทั้ง 2 พึงพอใจหรือเปล่า?
เมื่อลูกไม่ให้ของเล่นน้อง เราได้ช่วยลูกมองหาวิธีที่จะทำให้เกิด win-win หรือไม่?
สิ่งที่ควรทำคือการลงมือช่วยลูกคนโตแบ่งปันและช่วยลูกคนเล็กเคารพคนโต
ไม่ยุติธรรมเลย หากเรามองเพียงมุมของเราและบอกให้พี่คอยแต่จะยอมน้อง
เมื่อพี่ไม่ยอมขึ้นมา....เราก็ดุและบ่นพี่
ลูกเอาแต่ใจหรือเราเอาแต่ใจ?
สิ่งที่เราควรทำคือ
1.สอนคนเล็กให้แบมือขอ และรอ......
-หันไปหาคนโต ถามว่าจะให้หรือเปล่า หากคนโตยังไม่อยากให้ เราจงเคารพสิทธิในการตัดสินของเขา
-หันไปทางคนเล็กว่า พี่ยังเล่นอยู่ ให้รอสักนิด เราจะไปบอกพี่ให้แบ่งปัน
-หันไปทางคนโต บอกคนโตว่า “แม่รู้หนูมีสิทธิในการเล่น แต่แม่อยากให้หนูแบ่งปัน ดังนั้น หนูบอกแม่ว่า หนูจะเล่นเสร็จในอีกกี่นาที"
หากคนโตไม่บอกเวลา เราเสนอเวลา 2 นาที หากคนโตขอเป็น 4 นาที เราก็เคารพสิทธิในการตัดสินใจนั้น
-เมื่อครบเวลาเข้าไปถามถึง....และสอนน้องให้ขอบคุณเมื่อพี่แบ่งของมา
ในทางตรงกันข้าม พี่ก็ควรทำอย่างเดียวกันในการขอของจากน้อง....
บ้านเราจะไม่มีการแย่งของจากมือคน....
2. ควรสอนการเล่นร่วมกันอย่างปรองดอง....
การสอนในลักษณะนี้ จำเป็นเหลือเกินที่เราต้องลงเล่น คลุกวงในด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเรานั่งมองและคอยกำกับหรือบ่นอยู่ข้างๆ
จะยิ่งกลายเป็นบรรยากาศของการห้ามทัพ หรือกลายเป็นกรรมการในการตัดสิน มากกว่าได้ทักษะการเล่นแบบปรองดองค่ะ
3. ชื่นชมเมื่อเห็นการเล่นอย่างแบ่งปันและช่วยเหลือ
มองให้เห็นสิ่งดีๆให้มากกว่าสิ่งที่เป็นปัญหาและชื่นชมระบุพฤติกรรมนะคะ
หมอเสาวภา
ส่วนหุ้นตีแตก ตอนนี้ผมมี2ตัวคือ..
"ตัวใคร ตัวมัน"คร๊าาาบ..
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1067
พี่เปิดรูปทรงผมน้องนัทให้น้องธีร์ดูแล้วจ้า..เขาดูแล้วชอบมากเลยNutth147 เขียน:เป็นสุดยอด mum !!!! ...... เริ้มต้นด้วยการให้ลูกตัดผมทรงวัยรุ่นๆครับบบบ
ครั้งที่แล้วเขาก็ตัดทรง NeyMar มาแล้ว...แต่ข้างๆ ยังไม่สั้นพอ
พอเห็นทรงผมน้องนัท...เขาบอกครั้งหน้าจะให้ข้างๆ สั้นแบบนี้
.
พอให้อิสระเรื่องแบบนี้ กลายเป็นเขามีวินัยในเรื่องที่ควรไปเอง
นี่อาจเป็นข้อดี อีกข้อของโรงเรียนอิเตอร์
แต่ถ้าลูกบ้านไหนไม่ได้เรียนอินเตอร์....ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ
โรงเรียนบังคับอะไรแปลกๆ เราอย่าไปกดดันลูกมากเกินค่ะ
หรือถ้าจำเป็นก็คุยกับเขาว่าเราเข้าใจ...ชี้ให้เห็นความจำเป็น (และไม่จำเป็น) ของระเบียบ
.
ส่วนที่ไม่จำเป็น แต่ต้องทำ ก็สอนให้เราเคารพกติกากลางของสังคมไปด้วยค่ะ
.
ทุกสภาพแวดล้อมสอนลูกได้หหมด....เพียงแค่เราต้องรู้จักศิลปะในการหยิบยกมาบอกมาสอนลูกค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1068
เยี่ยมเลยน้องสายชล
สอนลูกไปตามธรรมชาติ และฐานนิสัยของแต่ละคน
และอย่างที่พี่เคยบอกค่ะ "คนพี่ควรได้สิทธิ...ตัดสินใจ...เลือกที่จะ "ให้ หรือ ไม่ให้" เอง
ถ้าเขาตัดสินใจให้ "เขาจะรู้สึกดีกับ "การให้" เพราะเห็นน้องดีใจจากการให้ของเขา
แต่ถ้าบังคับให้แบ่ง เรื่องราวจะตรงกันข้ามทันที...เขาจะแอนตี้ ทั้ง "การให้" และ "น้อง"
น้องเองก็ต้องรู้จักเคารพกติกาและเคารพสิทธิผู้อื่นตั้งแต่เล็ก
เวลาไปอยู่ในสังคม "ทั้งพี่ ทั้งน้อง" ที่ได้รับการสอนเรื่องนี้อย่างถูกต้อง
จะ "กล้ายืนยันตนเองในขอบเขตสิทธิของตัวเอง"
และ "เคารพสิทธิผู้อื่น" เพราะเขารู้จักคำว่า "สิทธิ" จากความรู้สึกจริง
และจะ "เอาใจเขา...มาใส่ใจเรา" ได้อย่างแท้จริงค่ะ
มันต้องเกิดจาก "ความรู้สึกข้องใน (inner)" แบบที่น้องสายชลบอกมาค่ะ
ถึงจะยั่งยืน
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันจ้า
สอนลูกไปตามธรรมชาติ และฐานนิสัยของแต่ละคน
และอย่างที่พี่เคยบอกค่ะ "คนพี่ควรได้สิทธิ...ตัดสินใจ...เลือกที่จะ "ให้ หรือ ไม่ให้" เอง
ถ้าเขาตัดสินใจให้ "เขาจะรู้สึกดีกับ "การให้" เพราะเห็นน้องดีใจจากการให้ของเขา
แต่ถ้าบังคับให้แบ่ง เรื่องราวจะตรงกันข้ามทันที...เขาจะแอนตี้ ทั้ง "การให้" และ "น้อง"
น้องเองก็ต้องรู้จักเคารพกติกาและเคารพสิทธิผู้อื่นตั้งแต่เล็ก
เวลาไปอยู่ในสังคม "ทั้งพี่ ทั้งน้อง" ที่ได้รับการสอนเรื่องนี้อย่างถูกต้อง
จะ "กล้ายืนยันตนเองในขอบเขตสิทธิของตัวเอง"
และ "เคารพสิทธิผู้อื่น" เพราะเขารู้จักคำว่า "สิทธิ" จากความรู้สึกจริง
และจะ "เอาใจเขา...มาใส่ใจเรา" ได้อย่างแท้จริงค่ะ
มันต้องเกิดจาก "ความรู้สึกข้องใน (inner)" แบบที่น้องสายชลบอกมาค่ะ
ถึงจะยั่งยืน
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันจ้า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1069
เพลงแนวๆ นี้...สอนชีวิตเราได้มาก
ว่าชีวิตเราจะอะไรหนักหนา
ผู้คนอีกมากยังลำบาก..อดอยากไม่มีจะกิน
ใช้สอนตัวเรา สอนลูกให้เรารู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
รู้คุณค่าของทุกๆ สิ่งรอบตัว...ไม่กินทิ้งกินขว้าง
นิสัยนี้เองทำให้เก็บเงินได้มาก
.
สังคมก็ช่วยหล่อมหลอมเรา
มองอะไรรอบๆ ตัว อย่าแค่ผ่านเลย
เก็บมาคิดสักนิด ชีวิตได้อะไรเยอะ ^__^
.
ไม่ได้จะส่งเสริมการขายพวงมาลัย แต่เมื่อในความเป็นจริง
สังคมของเรายังมีพวกเขาอยู่...ก็อาจลองมองอีกมุม
"ความอยากง่ายๆ ไม่ซับซ้อน" แค่่ "อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย"
.
เป็นความอยากที่สวนทางกับเรา...อาจช่วยให้เราหงุดหงิดไฟแดงน้อยลงได้
เผื่อแอร์ในรถไม่เย็นก็อย่าร้อนใจ...เด็กๆ เดินกลางแดด...ร้อนกว่าเรามาก
................
"ก่อนมะลิบาน"
( "เด็กขายพวงมาลัย" ใน MV นี้ "มอมแมม..แต่แววตาน่ารักมาก" )
ว่าชีวิตเราจะอะไรหนักหนา
ผู้คนอีกมากยังลำบาก..อดอยากไม่มีจะกิน
ใช้สอนตัวเรา สอนลูกให้เรารู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
รู้คุณค่าของทุกๆ สิ่งรอบตัว...ไม่กินทิ้งกินขว้าง
นิสัยนี้เองทำให้เก็บเงินได้มาก
.
สังคมก็ช่วยหล่อมหลอมเรา
มองอะไรรอบๆ ตัว อย่าแค่ผ่านเลย
เก็บมาคิดสักนิด ชีวิตได้อะไรเยอะ ^__^
.
ไม่ได้จะส่งเสริมการขายพวงมาลัย แต่เมื่อในความเป็นจริง
สังคมของเรายังมีพวกเขาอยู่...ก็อาจลองมองอีกมุม
"ความอยากง่ายๆ ไม่ซับซ้อน" แค่่ "อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย"
.
เป็นความอยากที่สวนทางกับเรา...อาจช่วยให้เราหงุดหงิดไฟแดงน้อยลงได้
เผื่อแอร์ในรถไม่เย็นก็อย่าร้อนใจ...เด็กๆ เดินกลางแดด...ร้อนกว่าเรามาก
................
"ก่อนมะลิบาน"
( "เด็กขายพวงมาลัย" ใน MV นี้ "มอมแมม..แต่แววตาน่ารักมาก" )
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1070
30 คำถามจากกูรูญี่ปุ่นที่จะช่วยให้รู้จักตนเอง
Cr : http://manager.co.th/Japan/ViewNews.asp ... 0000094884
น่าสนใจดีครับเป็นคำถามที่จะช่วยในการทบทวนความคิดของตนเอง เพราะบางครั้งการที่เราผ่านสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา อาจทำให้เราลืมสิ่งใดสิ่งอื่นไป
ลองอ่านและตอบคำถามเพื่อทวนแนวความคิด มุมมองตนเอง บางข้ออาจเป็นไกด์ให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น
และบางข้ออาจช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจสิ่งที่กำลังครุ่นคิดอยู่ได้ไม่มากก็น้อย
หรืออาจทำให้ได้รู้ว่าเรามีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร
1. สมมุติว่าคุณไม่รู้วันเดือนปีเกิดตนเอง คุณคิดว่าปัจจุบันคุณอยู่ในช่วงอายุเท่าใด
2. สิ่งใดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องการมากกว่ากันระหว่าง ได้มีชีวิตที่ยืนยาว ได้สื่อสารมากขึ้น หรือได้ทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
3. สมมุติว่าคนเรามีอายุขัยแค่ 40 ปี คุณจะเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แตกต่างกับที่ทำอยู่ไหม
4. ถ้าให้เลือกได้เพียงสิ่งเดียวระหว่าง ความสุข และเงินทอง คุณจะเลือกสิ่งใด
5. เลือกสิ่งต่อไปนี้หนึ่งข้อ การทำในสิ่งที่ถูกต้อง และ เลือกทำสิ่งที่ต้องทำ
6. คุณเลือกอะไรระหว่าง ชีวิตที่ไม่มีความวิตกกังวล กับ ชีวิตที่หวือหวาสนุกสนาน
7.คุณเลือกเก็บความทรงจำในอดีตไว้อย่างเหนียวแน่นหรือเลือกที่จะทิ้งมันไป
8. ถ้าไม่รู้ทฤษฎีแต่รู้ว่าจะทำเช่นไร คุณจะทำสิ่งนั้นๆ ไหม
9. คุณเคยเผชิญหน้ากับความหนักใจหรือทุกข์ใจบ้างไหม คุณมีแนวทางจัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างไร
10. สามารถพูดได้หรือไม่ว่าคุณเป็นผู้มีชีวิตชีวา
11. สิ่งที่ได้ทำไปแล้วในวันนี้ คุณจำอะไรได้บ้าง
12. รู้จักสิ่งที่ตนเองสนใจไหม ถ้าคุณมีเวลาอีกไม่มากสิ่งที่คุณยังไม่ได้ทำคืออะไร
13. คุณคิดว่าสามารถมีอิทธพลในการจูงใจคนอื่นๆ แค่ไหน
14. ถ้าคุณสามารถแนะนำอะไรก็ได้หนึ่งข้อ คุณจะแนะนำอะไร
15. คุณรู้จักเรื่องเกี่ยวกับ Spirited และการ Creative ดีแค่ไหน
16. ถ้าสมมุติว่าคุณสามารถเปลี่ยนโลกได้หนึ่งข้อ คุณจะเปลี่ยนเรื่องใด
17. คุณมีเป้าหมายที่จะทำในอีก 10 ปีข้างหน้าไหม
18. คุณจะเลือกอะไรระหว่าง ขอให้งานที่ทำตอนนี้ลดลง กับมีเวลาทำงานมากขึ้น
19. คุณเคยมีความคิดอยากเปลี่ยนสิ่งที่ผ่านมาแล้ว หรืออยากให้บางสิ่งหวนกลับมาไหม
20. ถ้ามีความทรงจำในอดีตบางเรื่องที่คุณลืมไปแล้ว เพราะเหตุใดคุณจึงลืมสิ่งนั้นๆ ได้
21. ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสุขในชีวิตมากมาย คุณคิดว่าทำไมคนอื่นๆ จึงไม่สามารถมีความสุขได้เช่นเดียวกันนี้
22. คุณคิดว่า ทำไมคุณจึงเป็น "คุณ" ในแบบนี้
23. ถ้าสมมุติไม่มีคุณเช่นทุกวันนี้ คุณคิดว่าจะมีสิ่งใดที่ต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันบ้าง
24. ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาคุณรักสิ่งใดจริงๆ บ้าง
25. ปัจจุบันคุณเลือกสิ่งใดระหว่าง ทำเพื่อตนเอง กับทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
26. ถ้าคุณรู้วันตายของตัวเอง คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร
27. สิ่งใดแย่กว่ากันระหว่าง การทำผิดพลาดไปแล้ว กับ ไม่เคยคิดทำสิ่งแปลกใหม่ท้าทายเลย
28. ถ้ามีคู่มือการปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแนวทางแต่คุณก็ทำไม่ได้ คุณคิดว่าปัญหามีจากสิ่งใด
29. ถ้าภายใน 5 ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่คุณสามารถพูดได้ว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคุณอีกแล้ว เหตุใดคุณจึงคิดและพูดเช่นนั้นได้
30. ถ้าไม่ใช่ "ทำเดี๋ยวนี้" การเริ่มทำในสิ่งที่คุณต้องการนั้นๆ คุณจะทำมันเมื่อไหร่
Cr : http://manager.co.th/Japan/ViewNews.asp ... 0000094884
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1071
คุณนุช ไอ้ลูกชายไอเรื้อรัง ค้อก ๆ แค่ก ๆ มาจะครึ่งปี หรือเกิน แล้วครับ
มันเป็นไรครับ พาไปหาหมอหลายครั้งก็ไม่หายขาด
อันตรายมั๊ยครับ
มันเป็นไรครับ พาไปหาหมอหลายครั้งก็ไม่หายขาด
อันตรายมั๊ยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1072
พาคุณหมอมาตอบให้ดีกว่าจะได้แม่นยำกว่าNevercry.boy เขียน:คุณนุช ไอ้ลูกชายไอเรื้อรัง ค้อก ๆ แค่ก ๆ มาจะครึ่งปี หรือเกิน แล้วครับ
มันเป็นไรครับ พาไปหาหมอหลายครั้งก็ไม่หายขาด
อันตรายมั๊ยครับ
ยังไงๆ ก็ขอเอาใจช่วย "ไอ้ลูกชาย" ด้วยคน...ขอให้หาย VI VI
คุณพ่อ NB อย่าลืมมาแจ้งข่าวด้วยนะคะ
...................
โรคไอเรื้อรังในเด็ก (ตอนที่ 1)
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e- ... asp?id=266
โรคไอเรื้อรังในเด็ก (ตอนที่ 1)
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e- ... asp?id=267
....................
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1073
ขอบคุณมากเลย....พี่ลองตอบดูได้แบบที่เห็นจ้าjverakul เขียน:30 คำถามจากกูรูญี่ปุ่นที่จะช่วยให้รู้จักตนเอง
น่าสนใจดีครับเป็นคำถามที่จะช่วยในการทบทวนความคิดของตนเอง เพราะบางครั้งการที่เราผ่านสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา อาจทำให้เราลืมสิ่งใดสิ่งอื่นไป
ลองอ่านและตอบคำถามเพื่อทวนแนวความคิด มุมมองตนเอง บางข้ออาจเป็นไกด์ให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น
และบางข้ออาจช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจสิ่งที่กำลังครุ่นคิดอยู่ได้ไม่มากก็น้อย
หรืออาจทำให้ได้รู้ว่าเรามีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร
1. สมมุติว่าคุณไม่รู้วันเดือนปีเกิดตนเอง คุณคิดว่าปัจจุบันคุณอยู่ในช่วงอายุเท่าใด_เท่านี้แหละ...เท่าปัจจุบัน
2. สิ่งใดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องการมากกว่ากันระหว่าง ได้มีชีวิตที่ยืนยาว ได้สื่อสารมากขึ้น หรือได้ทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
ที่จริงไม่ชอบคำตอบแบบปรนัย แบบมีตัวเลือกให้เลือก
อยากตอบว่า.....ทำในสิ่งที่ต้องการแต่ไม่ได้มากขึ้น เอาเท่าที่ทำไปได้เรื่อยๆ
หลังๆ แทบไม่ค่อยต้องการอะไร ไม่ได้อยากมีชีวิตยืนยาว
และไม่อยากสื่อสารมากขึ้น...ขอเท่าๆ เดิม หรือน้อยลง
(หลังลาออกจากงานมาแล้วโอเคขึ้น สื่อสารน้อยลงไปมาก
เหลือแต่ในโลก online ที่เราเลือกได้...แต่ถ้าเป็นคนจริงๆ ในที่ทำงานเลือกยาก)
แต่ในโลก online ก็แอบหนีๆ จาก เฟสบุค และจากการใช้ line....ใช้ไม่มากเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
3. สมมุติว่าคนเรามีอายุขัยแค่ 40 ปี คุณจะเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แตกต่างกับที่ทำอยู่ไหม ไม่เปลี่ยน
4. ถ้าให้เลือกได้เพียงสิ่งเดียวระหว่าง ความสุข และเงินทอง คุณจะเลือกสิ่งใด
(ที่จริงก็ไม่อยากเลือกความสุข อยากเลือก "กลางๆ" ไม่สุขไม่ทุกข์
ถ้าต้องตอบคำถามนี้เมื่อสิบปีก่อนก็อาจตอบว่าเงินทอง...ก็ได้นะ
เพราะถ้าเรายังขาดเราอาจไม่นิ่งพอที่จะตอบว่าไม่ต้องการเงินทอง)
5. เลือกสิ่งต่อไปนี้หนึ่งข้อ การทำในสิ่งที่ถูกต้อง และ เลือกทำสิ่งที่ต้องทำ
ต้องทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง...ถ้าเราเลือกทำสิ่งถูกต้องอย่างเดียว
แต่ไม่ทำในสิ่งที่ต้องทำก็ไม่น่าจะดี....เพราะขึ้นชื่อว่า
"สิ่งที่ต้องทำ" มันน่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็น เพียงแต่ว่าถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
สิ่งที่ต้องทำของเราจะน้อยลงคือโฟกัสได้มากขึ้น และก็กำหนดให้มันถูกต้องด้วยง่ายขึ้น
6. คุณเลือกอะไรระหว่าง ชีวิตที่ไม่มีความวิตกกังวล กับ ชีวิตที่หวือหวาสนุกสนาน
7.คุณเลือกเก็บความทรงจำในอดีตไว้อย่างเหนียวแน่นหรือเลือกที่จะทิ้งมันไป
ส่วนใหญ่จะทิ้งมันไป...แค่เรียนรู้จากมัน เก็บเอา Know How ไปไว้ใช้...แล้วทิ้งมันไปเลย
ถ้าไม่ทิ้งจะพะรุง พะรัง และไปต่อลำบาก...ใครติดอยู่กับอดีตลองใช้ดู
ตัดใจ...ทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วเดินหน้าต่อไปเลย...เราจะก้าวหน้าเร็ว
8. ถ้าไม่รู้ทฤษฎีแต่รู้ว่าจะทำเช่นไร คุณจะทำสิ่งนั้นๆ ไหม
ตอบ.......
ทำ...เพราะหลายๆ ครั้ง ทฤ.ที่รู้กันอยู่ แต่ใช้ไม่ได้ผล ก็มี
สิ่งที่เคยเรียนในโรงเรียน แทบไม่ค่อยได้เอามาใช้ในชีวิต ก็มาก
หรือแม้จะรู้ ทฤ. เราก็ต้องมากำหนดวิธีการทำ..ให้เหมาะกับตัวเราเองอยู่แล้ว
.
ดังนั้น...ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ทฤ. ถ้ามันเป็นสิ่งจำเป็นเราก็ต้องทำ
.
ในทางกลับกัน....หลายๆ คนเป็นนักคิด และแม่น ทฤ.มากๆ
แต่พอจะลงมือทำกลับไม่กล้า
หรือไม่ทำจริงจัง.....เมื่อไม่ทำก็ไม่เกิดผลใดๆ
ดังนั้น...การลงมือทำ..สำคัญที่สุด
.
หลายสิ่งเราทำไปแล้ว..สำเร็จแล้วอีก....เพิ่งมารู้ทีหลังว่า
อ้าวเรื่องนี้เขามี ทฤ.รองรับนี่นา...แต่เราก็ทำมันไปแล้ว...ทำได้ดีซะด้วย
.
ยกตัวอย่างง่ายๆ
ชาวบ้านบางคนทำ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ในชีวิตประจำวัน
พ่อแม่ ปู่ ย่า ตายาย ของพวกเรา ก็อาจทำออกมาจาก inner
โดยที่ไม่รู้จักชื่อว่า "พรหมวิหาร 4" ด้วยซ้ำ
.
ทำนองเดียวกัน กับเรื่อง ทฤ.
ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลว่าถ้าไม่มีทฤ.รองรับ แล้วเราจะไม่ลงมือทำ
"คิดเองก็ได้...ขอให้มันสมเหตุสมผล เหมาะกับเราและถูกต้อง"
(หมายถึงไม่เป็นปัญหาต่อสังคม)
9. คุณเคยเผชิญหน้ากับความหนักใจหรือทุกข์ใจบ้างไหม คุณมีแนวทางจัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างไร
มีบ้างแต่น้อย...อาจเพราะชอบแก้ปัญหา เราเลยมองมันเป็นอะไรที่ท้าทาย
ยากๆ ยิ่งท้าทาย มักจะเอามาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ที่มาที่ไป เพื่อดูว่าจัดการแก้ไขได้ไหม
แล้วออกแบบกระบวนการ และลงมือทำ กลายเป็นว่าขั้นตอนแบบนี้แหละมักจะสนุก
.
และเราต้องทำความเข้าใจสิ่งที่เป็นธรรมดาโลกอย่างหนึ่งว่า...
โดยปกติ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเองตรงๆ ก็จะแก้ง่ายหน่อย
ถ้าเกิดจากคนอื่นหรือสิ่งแวดล้อม ก็จะแก้ยากกว่าเป็นธรรมดา...แต่ก็คงลองแก้ไขดูก่อน
ถ้าพยามยามแล้วไม่ work คงต้องและทำใจยอมรับ และปรับตัวให้อยู่กับสิ่งนั้นๆ ได้
เพราะเรื่องที่มันไม่เกี่ยวกับเราโดยตรง ก็มักจะไม่ค่อยทำให้เราเกิดทุกข์ได้มากนี่นา
.
ถ้าเราดันไปทุกข์จากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราตรงๆ มาก
อาจต้องมาทบทวนจิตใจตัวเอง ว่าเราเอง....ที่เป็นเหตุให้เราทุกข์เอง...หรือเปล่า?
เพราะเราวางใจผิด...อยากไปควบคุม สิ่งที่มันไม่อาจควบคุม และไม่ควรควบคุมแต่ต้น..หรือเปล่า?
ถ้าใช่....ก็แก้ที่ใจตัวเองก่อนเลย....ไม่งั้นจะทุกข์ง่ายเกินกว่าเหตุ
10. สามารถพูดได้หรือไม่ว่าคุณเป็นผู้มีชีวิตชีวา ใช่เลย..แต่หลังๆมาก็เฉื่อยๆ ลงนะ (เลือกแบบนั้นเองแหละ อิ อิ)
11. สิ่งที่ได้ทำไปแล้วในวันนี้ คุณจำอะไรได้บ้าง จำได้ว่ามันเป็นไปตามปกติ และยังสอดคล้องกับภาพใหญ่ของเรา
12. รู้จักสิ่งที่ตนเองสนใจไหม ถ้าคุณมีเวลาอีกไม่มากสิ่งที่คุณยังไม่ได้ทำคืออะไร
คิดว่ารู้สิ่งที่ต้วเองสนใจมากทีเดียว เหมือนจะทำหมดแล้ว ไม่ค่อยอยากทำอะไรเพิ่มแล้ว
13. คุณคิดว่าสามารถมีอิทธพลในการจูงใจคนอื่นๆ แค่ไหน
นิดหน่อย...แต่ก็ไม่เชิง "เชื่อว่า สิ่งที่คนเขาอยากทำตามเราบ้างนั้น
เพราะเป็นสิ่งดีๆ ที่มันอยู่กลางๆ และมักจะเป็นความต้องการของผู้คนทั่วไปอยู่แล้ว
เขาอาจอยากทำคล้ายๆ เราบ้าง...เพราะเขาก็อยากจะพัฒนาตนเองเป็นพื้นฐาน
เขาอาจไม่ได้อยากทำเพราะเราไปจูงใจอะไร...แต่บ้างเรื่องเราอาจบังเอิญทำสำเร็จไปก่อน
ก็พอจะเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้บางคนได้....ไม่เชิงจะเคยจูงใจใครเท่าไหร่
14. ถ้าคุณสามารถแนะนำอะไรก็ได้หนึ่งข้อ คุณจะแนะนำอะไร
อยากได้อะไร...ก็ลงมือทำ
อยากเห็นผลอะไร...ก็ลงมือทำ
เวลามีค่าและมีจำกัด...ต้องโฟกัส ก่อนลงมือทำต้องเลือก และตัดสิ่งไม่จำเป็นทิ้งซะ
แล้วลงมือทำเลย...แต่ขอให้ทำแบบ "ทำเหตุให้ดีที่สุด แล้วสันโดษในผล"
15. คุณรู้จักเรื่องเกี่ยวกับ Spirited และการ Creative ดีแค่ไหน
ไม่แน่ใจ...สงสัยว่าตัวเองจะไม่รู้จักสองคำนี้อย่างลึกซึ้งไม่กล้าตอบ 55+
แต่ดูน่าสนใจ....ขอไปทำความเข้าใจให้มากขึ้นก่อน...แล้วคงจะมาชวนอภิปราย...ในลำดับถัดไป
16. ถ้าสมมุติว่าคุณสามารถเปลี่ยนโลกได้หนึ่งข้อ คุณจะเปลี่ยนเรื่องใด
ไม่อยากจะเปลี่ยน แต่ถ้าต้องเลือกจริงๆ อยากเปลี่ยนให้ทุกคนมีแนวคิดที่ว่า
อยากเห็นอะไรดีๆ ให้เริ่มที่ตัวเองก่อน...เพราะถ้าทุนคนคิดเหมือนกัน...โอกาสเกิดผลไม่ดีจนสังคมโดยรวมย่ำแย่ก็คงยาก
แต่มันคงยากที่สิ่งที่ขอจะเป็นจริง...ดังนั้น ตัวเองก็จะเริ่มที่ตัวเราเอง และครอบครัวเราก่อนเสมอ
ไม่ไปถามหาเอาจากสังคม หรือจากจากข้างนอก...หวังว่าจะมีแนวร่วมมากขึ้น
17. คุณมีเป้าหมายที่จะทำในอีก 10 ปีข้างหน้าไหม
แทบจะไม่มีแล้ว...เหมือนๆ อยู่บนเส้นทางเป้าหมายเดิมอย่างมั่นคง
เหมือนๆ จะบรรลุในระดับที่พอใจ พอสมควรแล้ว
ถ้าให้ตั้งเป้าอีก ก็คงแบบเดิม...แต่จะทำให้มันเสถียรขึ้น ตามเวลาที่เพิ่มขึ้น
18. คุณจะเลือกอะไรระหว่าง ขอให้งานที่ทำตอนนี้ลดลง กับมีเวลาทำงานมากขึ้น
เลือกใช้เวลา "เท่าที่มี" ให้คุ้มค่า และเป็นประโยชน์ที่สุด
ไม่ขอให้มากขึ้น...ถ้าเรารู้จักบริหารให้ดี..เวลาเท่าที่มีก็มักจะพอ
แต่ถ้าเราบริหารเวลาไม่ดี...ต่อให้มีเวลามากขึ้น...ก็อาจจะไม่เคยพอ
19. คุณเคยมีความคิดอยากเปลี่ยนสิ่งที่ผ่านมาแล้ว หรืออยากให้บางสิ่งหวนกลับมาไหม ไม่อยากเลย
20. ถ้ามีความทรงจำในอดีตบางเรื่องที่คุณลืมไปแล้ว เพราะเหตุใดคุณจึงลืมสิ่งนั้นๆ ได้ ถ้าไม่ลืมๆ ไปบ้างเดี๋ยวสมองเต็ม...พะรุงพะรัง แล้วจะไปข้างหน้ายาก
21. ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสุขในชีวิตมากมาย คุณคิดว่าทำไมคนอื่นๆ จึงไม่สามารถมีความสุขได้เช่นเดียวกันนี้
นิยามความสุขอาจต่างกัน ถ้าใครที่ซับซ้อน และ process ยาวกว่าจะสุขได้ ก็จะสุขยาก
แต่ใคร process สั้นๆ ก็สุขแระ...ก็คงจะสุขง่าย...ก็คงต้องปรับที่ความคิดและนิยามเกี่ยวกับความสุขของตัวเอง
22. คุณคิดว่า ทำไมคุณจึงเป็น "คุณ" ในแบบนี้ เป็นคนบ้านๆ ตามชื่อกระทู้
23. ถ้าสมมุติไม่มีคุณเช่นทุกวันนี้ คุณคิดว่าจะมีสิ่งใดที่ต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันบ้าง ไม่มี...
24. ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาคุณรักสิ่งใดจริงๆ บ้าง
คิดไม่ออก 555 ไม่ได้กวนนะ ถ้าต้องตอบจริงๆ เลย..คงเป็นลูก
แต่ก็ไม่เชิง เพราะเลี้ยงแบบตั้งใจให้เขาไป และเตรียมอยู่โดยไม่มีลูกมาเลี้ยง
ไม่ใช่ไม่รัก แต่ไม่คิดว่าต้องผู้มัด
ตอบไปตอบมานึกได้..ถ้ารักจริงๆ คงเป็นรักอิสระ...ดังนั้น ก็ต้องให้อิสระกับคนที่เรารักด้วย
25. ปัจจุบันคุณเลือกสิ่งใดระหว่าง ทำเพื่อตนเอง กับทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
ขอสองอย่าง "ถูกต้องด้วย" "ตนเองต้องไม่ขาดด้วย"
เพราะความขาดในตนเองของผู้คน เป็นบ่อเกิดของการที่คนจะไปเรียกร้องอะไรแปลกๆ มาเติมเต็มในสิ่งที่ขาด
ดังนั้น เราก็ต้องทำเพื่อตนเองด้วย และถูกต้องด้วย
ถ้าเราเบียดเบียนตนเองทางใดทางหนึ่ง...ในระยะยาว อาจน๊อตหลุด หรือฟิวส์ขาด
และแล้ว..อาจอยากเติมเต็มตนเอง จนยอมทำในสิ่งไม่ถูกต้อง...ในที่สุด
ซึ่งสิ่งถูกต้องที่เคยทำมาจะหมดความหมาย หากจบลงด้วยการไปทำสิ่งไม่ถูกต้อง
ดังนั้น ตลอดเส้นทางของการทำสิ่งที่ถูถต้อง เราก็ต้องทำเพื่อตนเองควบคู่ไปด้วย
26. ถ้าคุณรู้วันตายของตัวเอง คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร
เหมือนเดิม....เพราะพิจารณา "มรณานุสติ" เสมอๆ
กะว่าพรุ่งนี้อาจตายได้ ก็พร้อมจะตายไปเลย...เหมือนเคยเล่าถึงอยู่บ่อยๆ
27. สิ่งใดแย่กว่ากันระหว่าง การทำผิดพลาดไปแล้ว กับ ไม่เคยคิดทำสิ่งแปลกใหม่ท้าทายเลย
แย่พอๆ กัน ขอทำสิ่งแปลกใหม่ท้าทายด้วย
แต่ก็อยากจะมั่นใจระดับหนึ่งก่อนลงมือทำในแต่ละเรื่องด้วย
ดังนั้น ก็จะไม่ค่อยผิดพลาดอะไรใหญ่ๆ แบบมีนัยสำคัญจนเกิดผลเสียหาย
(เพราะเรามักจะหาความรู้ และทำความเข้าใจสิ่งนั้นๆ อย่างดีระดับหนึ่งก่อนจะลงมือทำ
ซึ่ง...อาจมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ บ้างเป็นธรรมดา....แต่เท่าที่ผ่านมา ก็อยู่ในระดับยอมรับได้
28. ถ้ามีคู่มือการปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแนวทางแต่คุณก็ทำไม่ได้ คุณคิดว่าปัญหามีจากสิ่งใด
มันอาจไม่ใช่ปัญหา แต่เราอาจไม่ได้ต้องการปฏิบัติสิ่งนั้นจริงๆ ก็เป็นได้
เพราะถ้าเป็นสิ่งที่เราต้องการ เราก็มักจะปฏิบัติได้ อาจพยายามใช้แนวปฏิบัติตามคู่มือนั้นๆ
หรือเอาคู่มือนั้นมาประยุกต์ใช้เล็กน้อย หรือไม่ต้องไปพยายามใช้มันเลย
หาแนวทางที่เหมาะกับเราขึ้นมาใหม่เลยก็ได้
คือถ้าเราต้องการมันจริง และมันจำเป็นต่อชีวิตเราจริง...ก็มักจะไม่ค่อยมีข้อจำกัด
29. ถ้าภายใน 5 ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่คุณสามารถพูดได้ว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคุณอีกแล้ว เหตุใดคุณจึงคิดและพูดเช่นนั้นได้
ก็เพราะเราย่อมต้องทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง...และเดินไปข้างหน้าเสมอ รอยเท้าที่ผ่านมาก็ให้เราเรียนรู้แล้วผ่านเลย
เราจะไม่ไปเดินย้อน หรือย่ำอยู่กับรอยเท้าเดิมๆ ไม่เช่นนั้นเราจะไปวนๆ อยู่ที่เดิม...ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้า
เพราะถ้าเราจะก้าวไปข้างหน้า...แน่นอน เราต้องสร้างรอยเท้าใหม่ของเรา...อาจเดิมตามรอยเท้าคนที่สำเร็จ
แต่ก็ไม่ใช่รอยเท้าเรา...เราต้องก้าวตามไปจริงๆ รอยเท้าใหม่ของเราจึงจะเกิด...และในที่สุด...มันก็จะผ่านไปอยู่เสมอ
คือ...ทิ้งรอยเท้าเก่าของตัวเองไว้ข้างหลังเสมอ....เป็นเรื่องธรรมดา
30. ถ้าไม่ใช่ "ทำเดี๋ยวนี้" การเริ่มทำในสิ่งที่คุณต้องการนั้นๆ คุณจะทำมันเมื่อไหร่
ทำตามลำดับความสำคัญของเราเอง ที่เรากำหนดเอง
คือเราต้องมีความชัดเจนในตวัเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วเราจะรู้เองว่าเราควรทำมันเมื่อใด...มั้งคะ อิ อิ
Cr : http://manager.co.th/Japan/ViewNews.asp ... 0000094884
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1074
ขอบคุณคุณนุชมากครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1076
ขอบคุณครับพี่นุช ช่วยจุดประกายให้ผมเลยครับtheenuch เขียน: 26. ถ้าคุณรู้วันตายของตัวเอง คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร
เหมือนเดิม....เพราะพิจารณา "มรณานุสติ" เสมอๆ
กะว่าพรุ่งนี้อาจตายได้ ก็พร้อมจะตายไปเลย...เหมือนเคยเล่าถึงอยู่บ่อยๆ
27. สิ่งใดแย่กว่ากันระหว่าง การทำผิดพลาดไปแล้ว กับ ไม่เคยคิดทำสิ่งแปลกใหม่ท้าทายเลย
แย่พอๆ กัน ขอทำสิ่งแปลกใหม่ท้าทายด้วย
แต่ก็อยากจะมั่นใจระดับหนึ่งก่อนลงมือทำในแต่ละเรื่องด้วย
ดังนั้น ก็จะไม่ค่อยผิดพลาดอะไรใหญ่ๆ แบบมีนัยสำคัญจนเกิดผลเสียหาย
(เพราะเรามักจะหาความรู้ และทำความเข้าใจสิ่งนั้นๆ อย่างดีระดับหนี่งก่อนจะลงมือทำ
ซึ่ง...อาจมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ บ้างเป็นธรรมดา....แต่เท่าที่ผ่านมา ก็อยู่ในระดับยอมรับได้
ขอบคุณมากเลย....พี่ลองตอบดูได้แบบที่เห็นจ้า
พี่ NB ครับ ผมเคยมีประสบการณ์ ไอเรื้อรังแบบมีเสมหะ บ้างนิดหน่อย ประมาณ 1-2 เดือน แต่ไม่ได้ไปหาหมอ ไอแบบแห้งๆ และคันคอ กลางวันไม่ค่อยเป็นมาก แต่ตอนนอนก่อนที่จะหลับ จะไอมาก ผมอาศัยกินยาอมตะขาบ 5 ตัว ไม่หายขาด แต่ช่วยได้ครับโดยเฉพาะตอนนอน ทำให้หลับได้ง่าย สุดท้ายก็หายไปเองโดยที่ผมไม่ได้กินยาแผนปัจจุบันแต่อย่างไดNevercry.boy เขียน:คุณนุช ไอ้ลูกชายไอเรื้อรัง ค้อก ๆ แค่ก ๆ มาจะครึ่งปี หรือเกิน แล้วครับ
มันเป็นไรครับ พาไปหาหมอหลายครั้งก็ไม่หายขาด
อันตรายมั๊ยครับ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นคือ เวลาที่ผมกินน้ำเย็นมากๆ และเวลาที่ผมอยู่ในห้องแล้วเปลือยท่อนบน รวมทั้งหลังอาบน้ำแล้วไม่รีบใส่เสื้อ หลังจากนั้นจะไอมาก เหมือนปอดแห้ง หรือมีความเย็นแทรก (อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้พิจารณญานครับ)
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1078
ถ้า “ชีวิตง่าย”...ก็ถึง “วันที่พอ” ง่าย
(Theenuch_Team Money Talk 4)
ในเฟสบุก ส่วนตัวมีน้องกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง
แนะนำหนังสือ “คู่มือมนุษย์” ของ “ท่านพุทธทาส” ให้อ่าน
รู้สึกขอบคุณ แม้เคยอ่านแล้ว ก็ยังชอบอ่านซ้ำๆ ค่ะ
.
หนังสือเล่มนี้ดีมากๆ..ทำให้รู้สึกพอตั้งแต่อายุยังน้อย
มีส่วนสำคัญให้เก็บเงินเก่ง...ไม่ค่อยอยากได้อะไร
...................
น้องจากแดนไกลอีกท่าน
ชวนสนทนาในประเด็นที่ดี (ย่อไปบ้าง) ดังนี้ค่ะ
.
แต่ฝรั่งเขาว่าชีวิตมันต้องไม่ใช่แบบนี้ เหมือนเขาเครียดแทนเรา
มันก้ำกึ่งว่า เราควรเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตแบบสุขนิยมตามชาวโลก
จะได้กำไรชีวิต...ไม่เสียดายทีหลัง
...................
ตอบไปว่า....
เราเข้าใจตัวเองก็พอ..ใจเราจะเป็นอิสระ
ใช้ชีวิตในแบบของเราไป แต่ก็ไม่ตัดสินคนอื่น
ต่างกันได้เป็นธรรมดา...จะได้มีความหลากหลาย
...................
ตอบไป...ก็ทบทวนตัวเองไป พบว่า...
วันนี้...ผู้เขียนมีปัจจัยพื้นฐานครบแล้ว
ไม่มีหนี้...ปันผลจากหุ้นพอเลี้ยงครอบครัวได้
.
ที่ผ่านมาคำสอนของอาม่าที่ว่าให้ “เขียมๆ”
หนังสือธรรมะ /หนังสืออื่นๆ ที่อ่านตั้งแต่วัยต้นๆ
รวมทั้งกลอนในภาพ...ช่วยหล่อหลอมให้...พอใจง่าย
ลำบากก็ไม่ฟูมฟาย ก้มหน้าก้มตาสร้างฐานะไป
....................
เมื่อความต้องการด้านวัตถุน้อย
ก็เหมือน “ตัดช่วงชีวิต" ที่คนทั่วไป
มักจะใช้เงินเพื่อซื้อความสุขทิ้งไป
(ซึ่งโดยปกติมักเป็นช่วงอายุ 25-40)
จึงเก็บเงินมาลงทุน...จนมีวันนี้ได้เร็ว
.....................
หากถามว่า...ถ้าย้อนเวลาได้...
อยากมีชีวิต "สุขนิยม" หรือไม่? ก็ “ไม่” อยู่ดีค่ะ
สำหรับคนที่ไม่ได้รวยมาแต่ต้นแบบผู้เขียน
หากใช้ชีวิตแบบนั้น...ป่านนี้คงยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่
ต้องกังวลว่า...หัวหน้าครอบครัวจะตกงานวันไหน?
ซึ่งเป็นช่วงชีวิต..ที่เราอยากก้าวพ้นโดยเร็วที่สุด
.
ช่วงชีวิตที่ “ตัดทิ้งไป” ล่ะ
รู้สึกเสียดายหรือไม่?...ก็ “ไม่” อยู่ดีค่ะ
เพราะวันที่มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย...เราก็มีความสุข
(เหมือนเล่มเกม แล้วฝ่าด่านยากๆ ได้...คิดบวก ^__^)
และเราก็ไม่ได้ต้องการมีชีวิตแบบนั้นแต่ต้น
แบบใช้เงินซื้อความสุข...เราจึงไม่เสียดาย
....................
สุดท้ายอยากบอกว่า...
หนังสือธรรมะไม่ใช่สำหรับคนแก่ คนใกล้ตาย
ถ้าได้อ่าน เสียแต่วัยต้นๆ ชีวิตต่อจากนั้นจะง่ายขึ้น
ช่วยให้เราอยู่กับ "แก่น" ไม่หลงไปกับ "เปลือก"
(การตกแต่งเปลือก...มักทำให้เราเปลืองเงินค่ะ)
.
ชวนคุย...ชวนคิด...เผื่อผู้อ่านบางท่าน
กำลังตั้งใจจะตัดช่วงชีวิตสุขนิยมทิ้ง
จะได้มีกำลังใจ...ผลที่ได้...มันคุ้ม มากๆ ค่ะ
(Theenuch_Team Money Talk 4)
ในเฟสบุก ส่วนตัวมีน้องกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง
แนะนำหนังสือ “คู่มือมนุษย์” ของ “ท่านพุทธทาส” ให้อ่าน
รู้สึกขอบคุณ แม้เคยอ่านแล้ว ก็ยังชอบอ่านซ้ำๆ ค่ะ
.
หนังสือเล่มนี้ดีมากๆ..ทำให้รู้สึกพอตั้งแต่อายุยังน้อย
มีส่วนสำคัญให้เก็บเงินเก่ง...ไม่ค่อยอยากได้อะไร
...................
น้องจากแดนไกลอีกท่าน
ชวนสนทนาในประเด็นที่ดี (ย่อไปบ้าง) ดังนี้ค่ะ
.
แต่ฝรั่งเขาว่าชีวิตมันต้องไม่ใช่แบบนี้ เหมือนเขาเครียดแทนเรา
มันก้ำกึ่งว่า เราควรเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตแบบสุขนิยมตามชาวโลก
จะได้กำไรชีวิต...ไม่เสียดายทีหลัง
...................
ตอบไปว่า....
เราเข้าใจตัวเองก็พอ..ใจเราจะเป็นอิสระ
ใช้ชีวิตในแบบของเราไป แต่ก็ไม่ตัดสินคนอื่น
ต่างกันได้เป็นธรรมดา...จะได้มีความหลากหลาย
...................
ตอบไป...ก็ทบทวนตัวเองไป พบว่า...
วันนี้...ผู้เขียนมีปัจจัยพื้นฐานครบแล้ว
ไม่มีหนี้...ปันผลจากหุ้นพอเลี้ยงครอบครัวได้
.
ที่ผ่านมาคำสอนของอาม่าที่ว่าให้ “เขียมๆ”
หนังสือธรรมะ /หนังสืออื่นๆ ที่อ่านตั้งแต่วัยต้นๆ
รวมทั้งกลอนในภาพ...ช่วยหล่อหลอมให้...พอใจง่าย
ลำบากก็ไม่ฟูมฟาย ก้มหน้าก้มตาสร้างฐานะไป
....................
เมื่อความต้องการด้านวัตถุน้อย
ก็เหมือน “ตัดช่วงชีวิต" ที่คนทั่วไป
มักจะใช้เงินเพื่อซื้อความสุขทิ้งไป
(ซึ่งโดยปกติมักเป็นช่วงอายุ 25-40)
จึงเก็บเงินมาลงทุน...จนมีวันนี้ได้เร็ว
.....................
หากถามว่า...ถ้าย้อนเวลาได้...
อยากมีชีวิต "สุขนิยม" หรือไม่? ก็ “ไม่” อยู่ดีค่ะ
สำหรับคนที่ไม่ได้รวยมาแต่ต้นแบบผู้เขียน
หากใช้ชีวิตแบบนั้น...ป่านนี้คงยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่
ต้องกังวลว่า...หัวหน้าครอบครัวจะตกงานวันไหน?
ซึ่งเป็นช่วงชีวิต..ที่เราอยากก้าวพ้นโดยเร็วที่สุด
.
ช่วงชีวิตที่ “ตัดทิ้งไป” ล่ะ
รู้สึกเสียดายหรือไม่?...ก็ “ไม่” อยู่ดีค่ะ
เพราะวันที่มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย...เราก็มีความสุข
(เหมือนเล่มเกม แล้วฝ่าด่านยากๆ ได้...คิดบวก ^__^)
และเราก็ไม่ได้ต้องการมีชีวิตแบบนั้นแต่ต้น
แบบใช้เงินซื้อความสุข...เราจึงไม่เสียดาย
....................
สุดท้ายอยากบอกว่า...
หนังสือธรรมะไม่ใช่สำหรับคนแก่ คนใกล้ตาย
ถ้าได้อ่าน เสียแต่วัยต้นๆ ชีวิตต่อจากนั้นจะง่ายขึ้น
ช่วยให้เราอยู่กับ "แก่น" ไม่หลงไปกับ "เปลือก"
(การตกแต่งเปลือก...มักทำให้เราเปลืองเงินค่ะ)
.
ชวนคุย...ชวนคิด...เผื่อผู้อ่านบางท่าน
กำลังตั้งใจจะตัดช่วงชีวิตสุขนิยมทิ้ง
จะได้มีกำลังใจ...ผลที่ได้...มันคุ้ม มากๆ ค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1079
Money Talk@SET 29 สิงหาคม 58
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต_ฟ้าลิขิตหรือจะสู้คนทำ
1) คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ_วีไอรุ่นเก๋า
2) คุณทิวา ชินธาดาพงศ์_วีไอพ่อค้าหมูยอ
3) คุณวราพรรณ วงศ์สารคาม_วีไอแบบบ้านๆ
4) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร_ปรมาจารย์วีไอ
.
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
………………. "อะไรคืออุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนเปลี่ยนชีวิต"
วิทยากรทุกท่านตอบตรงกัน
คืออะไร?...ติดตามตำตอบใน clip ค่ะ
.
คำตอบนั้น..เป็นสิ่งที่นำชีวิตของผู้คน
ไปสู่ "ความสำเร็จ" หรือ "ล้มเหลว" ก็ย่อมได้
.
เพียงมี "สิ่งที่เป็นคำตอบนั้น" มี "เป้าหมาย"
บวกกับความมุ่งมั่น และตั้งใจพัฒนาตัวเองสม่ำเสมอ
เราจะก้าวเข้าไปใกล้ความสำเร็จมากขึ้นทุกๆ วันค่ะ...สู้ๆ นะคะ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต_ฟ้าลิขิตหรือจะสู้คนทำ
1) คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ_วีไอรุ่นเก๋า
2) คุณทิวา ชินธาดาพงศ์_วีไอพ่อค้าหมูยอ
3) คุณวราพรรณ วงศ์สารคาม_วีไอแบบบ้านๆ
4) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร_ปรมาจารย์วีไอ
.
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
………………. "อะไรคืออุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนเปลี่ยนชีวิต"
วิทยากรทุกท่านตอบตรงกัน
คืออะไร?...ติดตามตำตอบใน clip ค่ะ
.
คำตอบนั้น..เป็นสิ่งที่นำชีวิตของผู้คน
ไปสู่ "ความสำเร็จ" หรือ "ล้มเหลว" ก็ย่อมได้
.
เพียงมี "สิ่งที่เป็นคำตอบนั้น" มี "เป้าหมาย"
บวกกับความมุ่งมั่น และตั้งใจพัฒนาตัวเองสม่ำเสมอ
เราจะก้าวเข้าไปใกล้ความสำเร็จมากขึ้นทุกๆ วันค่ะ...สู้ๆ นะคะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 1080
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต ฟ้าลิขิตหรือจะสู้คนทำ
(Theenuch_Team Money Talk 4)
วันนั้น..บนเวที Money Talk@SET 29 ส.ค 58
ตื่นเต้นจนลืมสรุปความเห็นว่า "ฟ้าลิขิต" หรือ "คนทำ"
อาจารย์ท่านแนะนำให้สรุปให้แฟนรายการทราบด้วยค่ะ
....................
เมื่อก่อนเชื่อมาตลอดว่า "คนทำ" เท่านั้น
แต่หลังจากขึ้นเวที Money Talk ครั้งล่าสุด ได้ฟังท่านอื่นๆ
และคิดตาม...ตอนนี้เชื่อว่า "ฟ้าลิขิต" ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กันค่ะ
.
เพราะฟ้าลิขิตให้ได้มารับใช้อาจารย์
จึงได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว Money Talk และ ThaiVI ที่แสนอบอุ่น
จนมีโอกาสได้พบ และได้รับความกรุณาจากนักลงทุน
ที่ผู้เขียนเคารพนับถืออีกหลายท่าน ที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้ครบ
.
และลืมกล่าวถึงไม่ได้เลยฟ้าลิขิตให้ได้เจอครอบครัวที่ไว้ใจให้บริหารเงินจนงอกเงย
.
ดังนั้น ...อยากสรุปว่าทั้ง "ฟ้าลิขิต" และ "คนทำ" มีผลต่อการเปลี่ยนชีวิตของเราค่ะ
.....................
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ที่ให้โอกาสได้รับใช้อาจารย์ และมอบโอกาสดีๆ ในชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ได้มีโอกาสแบ่งปันประสบการณ์ บนเวที Money Talk@SET บ่อยครั้ง
รวมทั้งโอกาสในการทำความดีแก่สังคมเป็นวงกว้าง
.
ขอขอบพระคุณ "นายกโจ_ลูกอีสาน"
และ "กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ทุกท่าน"
ที่ให้โอกาสได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตอบแทนสังคมคุณภาพแห่งนี้
><><><><><><
มีเคล็ดลับ "ง่ายๆ" ที่ใครๆ ก็รู้แต่อาจไม่ค่อยทำจริงจัง
มาย้ำสำหรับมนุษย์เงินเดือนค่ะ “ทำเวลาทุกนาทีให้มีค่าเสมอ”
ไม่ว่าเวลาไหนๆ อารมณ์ไหนๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นพลังได้หมดค่ะ
.
ตอนทำงานประจำ
"เบื่อทำตัวชี้วัดของหน่วยงาน...อ่านหนังสือ"
"เงินเดือนขึ้นน้อย....อ่านหนังสือ"
"ทำงานพิเศษเยอะ..เหนื่อยจัง...อ่านหนังสือ"
"ท้อ...อ่านหนังสือ" / "ติดขัดอะไร...ก็อ่านหนังสือ" ค่ะ...เดี๋ยวดีเอง
(ถ้าน้ำตาคลอ...ก็เช็ดซะก่อน...เดี๋ยวหยดใส่หนังสือ 555+ ^__^)
.....................
หลายๆ คนชอบ "บ่น"
นอกจากเสียเวลา...ยังทำให้เรา "ย่ำอยู่กับที่"
.
รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าเจอเรื่องลำบาก/ไม่สมหวัง อะไรมา
เอามาเป็นแรงขับให้เรา "ลงมือทำ_สิ่งที่พัฒนาตัวเอง" เสมอค่ะ
....................
"ไม่มีใครมาดึงให้เราอยู่กับที่ หรือฉุดให้เราถอยหลังได้นอกจากตัวเราเอง"
เช่นเดียวกัน "ไม่มีใครสามารถจูงเราไปข้างหน้าได้...นอกจากตัวเราเอง"
อยากเดินหน้า ต้องก้าวขาเองค่ะ ^__^
.....................
หมายเหตุ - หนังสือคือหนังสือลงทุน (และหนังสือคิดบวก)
รวมถึงจากแหล่งความรู้ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ ThaiVI ค่ะ)
.
นำเว็บไซต์ Thaivi มาฝากด้วยค่ะ
FAQ การสมัครสมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=52818
(Theenuch_Team Money Talk 4)
วันนั้น..บนเวที Money Talk@SET 29 ส.ค 58
ตื่นเต้นจนลืมสรุปความเห็นว่า "ฟ้าลิขิต" หรือ "คนทำ"
อาจารย์ท่านแนะนำให้สรุปให้แฟนรายการทราบด้วยค่ะ
....................
เมื่อก่อนเชื่อมาตลอดว่า "คนทำ" เท่านั้น
แต่หลังจากขึ้นเวที Money Talk ครั้งล่าสุด ได้ฟังท่านอื่นๆ
และคิดตาม...ตอนนี้เชื่อว่า "ฟ้าลิขิต" ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กันค่ะ
.
เพราะฟ้าลิขิตให้ได้มารับใช้อาจารย์
จึงได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว Money Talk และ ThaiVI ที่แสนอบอุ่น
จนมีโอกาสได้พบ และได้รับความกรุณาจากนักลงทุน
ที่ผู้เขียนเคารพนับถืออีกหลายท่าน ที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้ครบ
.
และลืมกล่าวถึงไม่ได้เลยฟ้าลิขิตให้ได้เจอครอบครัวที่ไว้ใจให้บริหารเงินจนงอกเงย
.
ดังนั้น ...อยากสรุปว่าทั้ง "ฟ้าลิขิต" และ "คนทำ" มีผลต่อการเปลี่ยนชีวิตของเราค่ะ
.....................
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ที่ให้โอกาสได้รับใช้อาจารย์ และมอบโอกาสดีๆ ในชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ได้มีโอกาสแบ่งปันประสบการณ์ บนเวที Money Talk@SET บ่อยครั้ง
รวมทั้งโอกาสในการทำความดีแก่สังคมเป็นวงกว้าง
.
ขอขอบพระคุณ "นายกโจ_ลูกอีสาน"
และ "กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ทุกท่าน"
ที่ให้โอกาสได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตอบแทนสังคมคุณภาพแห่งนี้
><><><><><><
มีเคล็ดลับ "ง่ายๆ" ที่ใครๆ ก็รู้แต่อาจไม่ค่อยทำจริงจัง
มาย้ำสำหรับมนุษย์เงินเดือนค่ะ “ทำเวลาทุกนาทีให้มีค่าเสมอ”
ไม่ว่าเวลาไหนๆ อารมณ์ไหนๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นพลังได้หมดค่ะ
.
ตอนทำงานประจำ
"เบื่อทำตัวชี้วัดของหน่วยงาน...อ่านหนังสือ"
"เงินเดือนขึ้นน้อย....อ่านหนังสือ"
"ทำงานพิเศษเยอะ..เหนื่อยจัง...อ่านหนังสือ"
"ท้อ...อ่านหนังสือ" / "ติดขัดอะไร...ก็อ่านหนังสือ" ค่ะ...เดี๋ยวดีเอง
(ถ้าน้ำตาคลอ...ก็เช็ดซะก่อน...เดี๋ยวหยดใส่หนังสือ 555+ ^__^)
.....................
หลายๆ คนชอบ "บ่น"
นอกจากเสียเวลา...ยังทำให้เรา "ย่ำอยู่กับที่"
.
รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าเจอเรื่องลำบาก/ไม่สมหวัง อะไรมา
เอามาเป็นแรงขับให้เรา "ลงมือทำ_สิ่งที่พัฒนาตัวเอง" เสมอค่ะ
....................
"ไม่มีใครมาดึงให้เราอยู่กับที่ หรือฉุดให้เราถอยหลังได้นอกจากตัวเราเอง"
เช่นเดียวกัน "ไม่มีใครสามารถจูงเราไปข้างหน้าได้...นอกจากตัวเราเอง"
อยากเดินหน้า ต้องก้าวขาเองค่ะ ^__^
.....................
หมายเหตุ - หนังสือคือหนังสือลงทุน (และหนังสือคิดบวก)
รวมถึงจากแหล่งความรู้ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ ThaiVI ค่ะ)
.
นำเว็บไซต์ Thaivi มาฝากด้วยค่ะ
FAQ การสมัครสมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=52818
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้