พุธ ก.ย. 16, 2015 11:06 pm | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยกันถามคำถาม และแชร์คำตอบนะฮะ
ยิ่งหลากหลายยิ่งดีฮะ ช่วยกันคิด ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งไอเดียลงทุน
เที่ยวนี้มีการบ้านมาส่งอ.NBฮะ ตอบแทนรูปหมวกสวยๆ ซี้ดดด..เอื๊อก..(สูดและกลืนน้ำลาย หลังป้ายน้ำตาหุ้นตก)
ของอ.ฟิชเชอร์ผู้พ่อ มีแค่สองเล่มฮะ อ่านเล่มสองแค่เรื่องเงินเฟ้อก็มึนยังไม่หาย ส่งของอ.เทมเปิลตันก่อนนะฮะ
http://www.valuewalk.com/2015/09/sir-jo ... quick_link
เทศนาการลงทุนจากราชานักลงทุนศตวรรษที่20
เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน
นักลงทุนตำนานชาวสวนท่านนี้ จบเยลมาต่อทุนโร้ดที่ออกซ์เฝิด แล้วย้ายเข้าวอลสตรีท
ตอนอายุ26 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 ท่านยืมเงิน10,000ดอลล์(เยอะมากในปี1939)
มากระจายซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัว ตัวละร้อยหุ้น (ราคาหุ้นต่ำกว่า1ดอลล์,แถม 34บ.ในนั้น ล้มละลาย)
ในที่สุดมีเพียง4บ. ทำกำไรมหาศาล
และนี่ไม่ใช่ตอนจบ แต่เป็นจุดเริ่มของ ความสำเร็จยาวนาน1912-2008 ตลอดอายุ95ปีของท่าน
หลังเพนนีสต็อคแล้ว ท่านซื้อบ.ลงทุนในปี1940 เป็นจุดเริ่มของ templeton growth fund(1954)
ผลงาน14,5%ทบต้นจนถึงปี1992ที่ท่านขายให้แฟรงคลินไป ทำให้เงิน10,000เป็น2,000,000ดอลล์ในที่สุด
ท่านตั้งมูลนิธิเทมเปิลตัน ซึ่งสร้างทรัพย์สินได้เกินพันล้านในปี2000เพื่อส่งเสริมการใช้ศาสตร์เพื่อศึกษาศาสนาและจิตวิญญาน
สวนกระแส
ปรัชญาลงทุนแบบชาวสวนของท่านคือ "ซื้อหุ้นดีๆ ถูกๆ ที่จุดของการมองโลกแง่ร้ายสุดๆ"
1960 กองทุนถือ 60%ของทรัพย์สินในหุ้นญี่ปุ่น
อีก30ปีต่อมา ท่านเห็นฟองสบู่ไฮเทคในปี1999 และทำกำไรจากการช็อตหุ้นเทคโน ดังจากการทำนายว่าหุ้นอินเตอร์เนตใหม่ๆจะล้มละลาย90%ใน5ปี
คำสอนของเทมเปิลตัน
แม้ท่านจะจากเราไปแล้ว แต่ได้ทิ้งงานเขียนจำนวนมากไว้ หนึ่งในนั้นที่กลั่นออกมา ก็คือ 22 maxims
1. สำหรับนักลงทุนระยะยาว
มีแค่จุดหมายเดียว คือ"ทำผลตอบแทนหลังภาษีให้มากที่สุด"
2. จะทำสถิติดีๆ ต้อง ศึกษาหนัก ทำงานหนัก หนักมากกว่าที่คนทั่วไปคิด
3. เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผลงานเหนือคนส่วนใหญ่ ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่
4. ตอนที่มองแง่ร้ายสุดๆ เป็นเวลาดีที่สุดที่จะซื้อ
ตอนที่มองแง่ดีสุดๆ เป็นเวลาดีที่สุดที่จะขาย
5. อธิบายข้อ4. ในอีกแบบนึง ก็คือ
ในตลาดหุ้นนั้น ทางเดียวที่จะได้ของถูกคือ ซื้อตอนที่นักลงทุนทั้งหมด"ขาย"
6. ซื้อตอนคนหมดหวัง เทขาย และ ขายตอนคนโลภ กำลังรุมซื้อ
ต้องฝืนทนกล้ำกลืนสุดๆ แม้ตอนได้รางวัลก้อนใหญ่
7. ตลาดหมีจะเป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเสมอ
หุ้นจะ"ขึ้น" ใน1-12เดือน ก่อนวงจรธุรกิจจะ"ต่ำสุด"
8. ถ้าอุตสาหกรรม หรือหุ้นใด เป็นที่นิยมเมื่อไร ความนิยมนั้นจะไม่ยั่งยืน และ
เลิกฮิตเมื่อไร จะหายไปอีกนานหลายปี
9. ในระยะยาวแล้ว ดัชนีตลาดจะขึ้นลงอยู่รอบๆ แนวโน้มขาขึ้นระยะยาวของEPS
10. ในประเทศเสรีนิยม กำไรของดัชนีตลาดหุ้น จะขึ้นลงรอบๆ BV ของหุ้นในดัชนีนั้น
11. ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวเดียวกับคนอื่น คุณก็ได้ผลลัพท์เหมือนๆกับคนอื่นนั่นแหละ
12. เวลาซื้อหุ้นก็คือ เวลาที่ผู้ถือหุ้นระยะสั้น ขายกันทุกคนแล้ว
เวลาขายหุ้นก็คือ เวลาที่ผู้ถือหุ้นระยะสั้น ซื้อกันทุกคนแล้ว
13. ราคาหุ้น จะผันผวนมากกว่ามูลค่าหุ้น
ดังนั้น กองทุนดัชนี จะไม่มีวันได้ผลงานที่ดีที่สุด
14. นักลงทุนส่วนใหญ่ จ้องที่ "การมองภาพ"(outlook) และ"แนวโน้ม"(trend)
ดังนั้น กำไรที่มากกว่า มาจากการจ้องที่"คุณค่า"(value)
15. ถ้าคุณดูไปรอบๆโลก แทนที่จะดูแค่ประเทศเดียว
คุณจะเจอหุ้นถูกกว่า และปลอดภัยกว่า จากการกระจายความเสี่ยง
16. ความผันผวนราคาหุ้น จะผันแปรคร่าวๆ ตาม "square root ของราคาหุ้นนั้น"
17. เวลาขายคือ ตอนที่คุณเจอหุ้นตัวใหม่ ที่ถูกกว่า น่าซื้อกว่า
18. เมื่อไรที่วิธีเลือกหุ้นแบบใด เป็นที่นิยมแล้ว เมื่อนั้นควรเปลี่ยนเป็นวิธีที่ไม่นิยม
ตามข้อ3. นักลงทุนจำนวนมากจะทำให้วิธีเลือกหุ้นนั้น เสียของไป หรือจะทำให้สูตรการจับจังหวะตลาด เสียไป
19. ห้ามยึดติดกับทรัพย์สินชนิดหนึ่งชนิดได
พยามยืดหยุ่น เปิดใจกว้าง และตั้งคำถามเสมอๆ
เปลี่ยนการลงทุนระยะยาว จากหุ้นฮิต เป็นหุ้นไม่ฮิต และวิธีเลือกหุ้นด้วย
20. "ทักษะ"(skill)ในการเลือก เป็นตัวแปรตัวใหญ่ ในการลงทุนหุ้นสามัญของคุณ
21. ผลงานที่ดีที่สุด มาจากบุคคล ไม่ใช่คณะ
22. ถ้าคุณเริ่มจากการสวดมนต์(pray) ทำสมาธิ คุณจะคิดได้ชัดกว่า และผิดโง่ๆน้อยกว่า
วีไอหุ้นตก ถัวผอร์ตพัลวัน ส่งการบ้าน
เวลามีใครถามว่าเป็นไรมากมั้ย ตอบว่า"ค่อยยังชั่ว"(ไม่รู้เมื่อไรจะดี หายชั่วซักที)