VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1981

โพสต์

บางครั้ง การพยายามเอาชนะตลาดให้ได้ในทุกครั้ง มันทำให้เราขาดความสุขในการลงทุน

เอาบทความที่ิาจารย์ ดร.นิเวศน์ เขียนไว้คือ ธรรมักับการลงทุน ในบทสรุปของบทความนี้ที่ผมชอบมากเลยครับ
การติดยึดเรื่อง  ตัวกู ของกู ยังอาจจะทำให้เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ในการซื้อขายหุ้นได้  เช่น  ในยามที่หุ้นขึ้นแรงเราอาจจะอยากขายทำกำไรเพื่อที่จะ “ยึดเม็ดเงิน” ไว้   เช่นเดียวกัน  ในยามที่หุ้นลงแรง  เราก็อาจจะกลัวว่าเงินจะหายจึงรีบขาย   นอกจากนั้น 

ถ้าเราคิดว่าเงินจากหุ้นที่ถืออยู่นั้น  เป็น “ของกู”  การที่มันอาจจะหายหรือลดไปมากก็อาจจะทำให้เราเสียใจมาก  เช่นเดียวกัน  ในบางครั้งที่เงินในพอร์ตหุ้นโตขึ้นมาก  เราก็อาจจะดีใจเกินเหตุ  ลักษณะแบบนี้จะไม่ทำให้เรามีความสุขจากการลงทุนและผมเชื่อว่าทำให้การลงทุนของเราด้อยลงไป 

ผมคิดว่าในการอยู่กับหุ้นระยะยาวหรือลงทุนระยะยาวนั้น  อย่าไปคิดว่าหุ้นเหล่านี้มันเป็น  “ของกู”  แม้ว่าในทางกฎหมายแล้วเราจะเป็นเจ้าของ  ถ้าทำได้แบบนี้  เราจะลงทุนหุ้นอย่างสบายใจ  ถ้าพอร์ตหรือหุ้นมันขึ้น  เราก็ดีใจ  ถ้ามันลง ก็ช่างมัน  มันไม่ใช่ “ของกู” ถ้าเราได้วิเคราะห์และพิจารณาไตร่ตรองดีแล้ว  What ever will be, will be.
คิดเสียว่า ขาดทุนคืิอกำไรในชีวิตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรการลงทุน
มองให้เห็นตามจริง อย่ากังวลจนทำให้เสียหลักการการลงทุนที่ดีเพราะเราลงทุนในกิจการใดๆ ก็เพราะ
มันกำไรตั้งแต่วันซื้อ ไม่ใช่วันที่เราต้องขายออกไป
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1982

โพสต์

ขอบคุณหมอหนึ่งและเพื่อนๆที่แชร์ความรู้สึกให้ได้เห็นกันนะครับ ส่วนของผมค่อนข้างระมัดระวังอยู่แล้วครับถึงแม้จะถือหุ้นอยู่ 100 %มาตลอด แต่พอตลาดขึ้นผมก็พอไปได้ พอตลาดลงผมก็พอรับได้ครับ เน้น downsilde ตํ่าๆไว้ก่อนเลยครับ ไม่โลภมาก :roll:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1983

โพสต์

เมื่อวันก่อน พึ่งแพ้ประมูลงานไปหนึ่งงานครับ หลังจากที่ไม่เคยแพ้ใครเลยในโครงการลักษณะนี้มา เป็นเวลาเกือบ ห้าปีติดต่อกัน

ผมนั่งประชุมกับทีมงาน ก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นว่า "ดีแล้วครับที่เราแพ้" ไม่รู้ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น ทั้งที่น้องที่รับผิดชอบเป็น Account Manager นั้นเตรียมหน้าจ๋อย ผมเห็นมาแต่ไกลละ ว่าโดนผมด่า จัดหนักแน่

ไม่รู้ว่าผมกำลังอินกับบทความที่พึ่งเขียนไปเรื่อง "ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !" http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=59133

ที่ผมพึ่งเขียนไปหรือเปล่า อาจจะใช่

ผมบอกทีมงานว่า ตลอดเวลาที่เราได้งานประมูลมาตลอด เราจะได้ยินว่า ลูกค้า "ซื้อ" เพราะอะไร เอ บี ซี ดี... บลา บลา บลา

แต่เราไม่เคยได้ยินเลยว่า ลูกค้า "ไม่ซื้อ" เพราะอะไร เอ็กซ์ วาย ซี... บลา บลา บลา ดีแล้วที่เราได้ยินแบบนั้น เราจะได้มาปรับปรุงพวกเรากันเอง

บางครั้งความสำเร็จก็เป็นเพื่อนกิน มันทำให้เรา เหลิง และสุดท้าย ตกหล่ม "ความประมาท" และนำไปสู่ความหายนะ

กลับมาตอบคำถาม จารย์หมอหนึ่ง ว่าแล้วหุ้นตกผมรู้สึกอย่างไร? ข้อแรกมันทำให้ผมกลับมานั่งตัดสินใจเกือบทุกคืนครับว่าเราจะ "ขาย" คืนไหนดี แล้วคำตอบได้กลับมาทุกครั้งคือ เราจะไม่ขาย ทำไมล่ะ เพราะเราจะทำตามทฤษฎีที่เรายึด จะว่าเป็นบัณฑิตติดคัมภีร์ก็ได้ แต่ก็จะลองทำดู

ทำแล้วเป็นไง ทำแล้วสุขใจแฮะ เพราะเห็นความไม่เที่ยงในสินทรัพย์ที่เราถือครอง บทสวดมนต์ทำวัดเย็น ลอยเข้ามาในหัว ขันต์ห้าเป็นของหนักเน้อ ผมเห็นว่าถ้าผมขายไปแล้วผมจะกระวนกระวาย ว่าเอ เราจะซื้อเท่าไรเมื่อไร จะทะยอยดี หรือจะซัดจัดเต็ม หรือจะวางกลยุทธ์ แต่ถ้าเรามองเห็นความไม่เที่ยงของพอร์ตเราแล้วว่าเออ มันก็เป็นงี้แหละขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนสายน้ำ และดวงดาวที่ขึ้นลงตามกระแสของโลกกับดวงจันทร์ เวิ่นเว้อ ไปโน่น

คือพูดง่าย ๆ ว่าถือไว้แล้วมองมันไม่เที่ยง กระวนกระวายกว่าถือเงินสด อันนี้ตัวผมเองนะเป็นแบบนี้ในตอนนี้

ส่วนข้อสอง) คือ พอผมไม่ต้องกระวนกระวายที่จะขายหรือจะซื้อ ผมก็มีเวลาไปอ่านหนังสือมากขึ้น ตอนนี้ก็มีสองเล่มอยู่ข้างเตียง เล่มนึงก็ Maxim แล้วก็ Playboy Thailand

รูปภาพ

ผมชอบมุมกล้องของค่ายนี้นะ ผมมองแล้วก็เพ่ง จุดที่ผมเพ่งมากที่สุดคือ "หมวก" สวยมาก ๆ ครับ เด่นและสะดุดตา
ส่วนนางแบบน้องเค้ามืออาชีพนะ แต่โพสได้มุมที่เอียงอาย คือ curve ของนางแบบให้ความเอียงอายแบบไร้เดียงสาออกมา

มันมีความเป็นนู้ดที่ลงตัว หรือจารย์หมอหนึ่งว่าไง

อ้างอิงรูปจาก https://www.facebook.com/MaximThailand

เย๊ย ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไรวะพี่

สองเล่มบนโต๊ะ ตอนนี้ก็มี

1) Beat the Crowd ของ เคน ฟิชเชอร์
2) The Warren Buffett Way ของ Robert Hagstorm หน้าปกเหลืองครับ ฉบับนี้เป็น 3rd edition ใครเป็นแฟนอยู่แล้วก็น่าสะสม ใครไม่เคยอ่านผมก็แนะนำ

รูปภาพ

3) ผมได้กลับไปอ่านหนังสือของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์อีกหน ครั้งนี้ผมเน้นไปที่บทเรื่อง Developing Investment Philosophy อีกหน จารย์หมอหนึ่งลองไปอ่านดูครับ คนเก่ง ๆ อย่างจารย์หมอหนึ่งเอาอยู่สบาย ๆ

แต่เอาล่ะ พี่ขอสรุปง่าย ๆ เลยบันทัดเดียว หนังสือเล่มนี้สรุปว่า All successful investors develop a style สั้น ๆ และตรง ไม่ต้องเป็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ดร.นิเวศน์ ครับ เป็นตัวของเราเอง

ไอ้คำว่าความสำเร็จนี้ไม่มีใครใส่พานถวายเรา เราสร้างมันเอง เรานิยามเอง เรามีความสุขเอง แค่นี้ก็พอแล้วครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1984

โพสต์

เข้ามาดูรูป เอ๊ย เข้ามาอ่านท่าน N.b จบแล้วก็กด + พร้อมอมยิ้มนิดๆ แล้วออกจาก Web กลับไปทำหน้าที่ตามสไตล์ของตัวเองต่อครับ :8)
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1985

โพสต์

เห็นรูปแล้ว​ กำไดจะเหลา​ เลยฮ่ะพี่NB​ -,,​-

ปล.beat the crowd หนังสือของชาวแทงสวน.... พี่อ่านแล้วมาสรุปให้ฟังบ้าง​ ก็จะเปนพระคุณอย่างสูง​ครับ​
You only live once, but if you do it right, once is enough.
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1986

โพสต์

ว่างๆจะตามหนังสือสองเล่มที่คุณNBบอก สวยดี อ้าวผิดเล่ม
จะถามว่าเล่ม Warren buffet way 3th edition ต่างจาก first edition มากไหมครับ เคยอ่านแต่versionแรก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1987

โพสต์

amornkowa เขียน:ว่างๆจะตามหนังสือสองเล่มที่คุณNBบอก สวยดี อ้าวผิดเล่ม
จะถามว่าเล่ม Warren buffet way 3th edition ต่างจาก first edition มากไหมครับ เคยอ่านแต่versionแรก
เล่มแรกเคยยืมคนอื่นอ่านแล้วมันก็ลืมๆ แล้วครับพี่อมร

เล่มนี้ มีคำนำของคนดังเพียบเลยครับ

และก็มีข้อมูลของอัพเดทเยอะอยู่นะผมว่า ต่างอยู่เยอะในรายละเอียด แต่เนื้อหาประเภทแก่น อันนี้ผมว่าคล้ายเดิมครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1988

โพสต์

romee เขียน:มีความเห็นยังไงบ้างครับ กับ

1.ถ้าตลาดหุ้นตกหนักๆ แล้วลากยาว แบบช่วงแฮมเบอเก้อ ไครซิส, หรือต้มยำกุ้ง คือลากยาวต่ำเป็นปีๆ ให้ลองไปถือหุ้น defensive stock เช่นพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นปันผลดีๆ เพื่อให้มีกระสุนเหลือพร้อมซื้อหุ้นที่จะวิ่ง หลังจากตลาดกลับตัวได้
แนวคิดเรื่องซื้อหุ้น defensive stock ยามตลาดหุ้นตก ผมคิดว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยครับ อย่างแรก การซื้อหุ้นพวกนี้ ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่มีวันขาดทุน capital gain อย่างที่สอง ถ้าเราซื้อแล้วขาดทุน ถ้าตลาดเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เราต้องคัทลอสมาซื้อหุ้นที่ไม่ใช่ defensive หรือเปล่า จะว่าไป port หุ้น มันจะ defensive หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับต้นทุนหุ้นที่คุณถือ ไม่ใช่ประเภทของหุ้นครับ ตรงนี้ถึงจะเป็นกองอสังหาฯ ผมก็มองแบบเดียวกันครับ


จริง ๆ สำหรับคนที่สนใจกองอสังหาฯ แล้วไม่มีเวลาติดตามหรือมีความรู้เรื่องหุ้นมากนัก ผมอยากจะเสนอแนวคิดนี้มากกว่าครับ


คุณเปิดพอร์ต แล้วทำพอร์ตของคุณให้เสมือนเป็น holding company ถือกองทุนอสังหาฯ คุณภาพดี เลือกกองที่ไม่มีการรับประกันรายได้มาทำให้เรารู้สึกผลตอบแทนดีเกินจริง ปันผล 7%ขึ้นไป กระจายซัก 5-6 ตัวเพื่อลดความเสี่ยง กระจายรูปแบบของสินทรัพย์ เช่น ตึกให้เข่า ห้างสรรพสินค้า กองโครงสร้างพื้นฐาน หลาย ๆ แบบ


หลังได้เงินปันผลทุกครั้ง ให้เอาเงินปันผลที่ได้ซื้อกองทุนเพิ่มทุกครั้งคล้าย ๆ กับวิธี dollar cost average เปรียบเสมือนพอร์ตนั้นเป็นบ.ที่มีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนประมาณปีละ 7-8% ได้เงินปันผลก็ซื้อหุ้นเพิ่ม ทบไปเรื่อย พยายามอย่าเอาเงินออก


ผมเชื่อว่าการลงทุนแบบนี้ ผลตอบแทนระยะยาวน่าจะดีไม่แพ้กัน ระหว่างทางก็ไปคอยตรวจสอบสินทรัพย์เหล่านั้นว่า ยอดเช่ายังดีหรือไม่ ไปหมั่นเดินดูบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ ยิ่งเป็นสินทรัพย์ที่ตรวจสอบง่ายก็ยิ่งดี เช่นพื้นที่เช่าในห้างสรรพสินค้า ตึก สำนักงาน


ผมว่าบ.ในตลาดหลักทรัพย์เองก็เถอะ บ.ที่ทำผลตอบแทนการลงทุนต่อปีที่น้อยกว่า 7% นี่ มันมีมากมายเลยนะครับ จะว่า ๆ ทำแบบนี้จะว่าไม่เวิร์คมันก็อาจจะไม่ใช่นะ อย่างน้อย holding company (สมมติ) ของเรา อาจจะชนะบ.อีกหลายบ.ในตลาดหลักทรัพย์ครับ

ส่วน SET ผลตอบแทนทบต้นตั้งแต่ปี 51 ประมาณ 10% เทียบกับการไม่ต้องติดตามมาก แล้วได้ผลตอบแทน 7% ผมว่าก็คุ้มครับ อาจจะสบายใจกว่าเยอะ ถ้าอยากลดความเสี่ยงก็เพิ่มปริมาณกองทุนอสังหาฯ เข้าไปอีก ถ้าสามารถหากองทุนอสังหาฯ ที่เข้าได้กับเกณฑ์ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1989

โพสต์

ขอบคุณคุณNBครับ
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1990

โพสต์

เรียน อ.หมอ leky ครับ ผมสนใจ CTARAF ราคาแถวๆ นี้ ครับ จะขอคำชี้แนะครับผม
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1991

โพสต์

arica เขียน:เรียน อ.หมอ leky ครับ ผมสนใจ CTARAF ราคาแถวๆ นี้ ครับ จะขอคำชี้แนะครับผม
ไม่เคยตามกองอสังหาฯ นี้เลยครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
syj
Verified User
โพสต์: 4241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1992

โพสต์

การหามูลค่าของ Prop.Fund. ง่ายสุดแล้วครับ
หาโดยวิธี DCF หรือหา NPV ไม่ก็ IRR ครับ
ความแม่นยำขึ้นกับสมมุติฐาน

CTARAF เป็น "หุ้น" ตัวแรกในพอร์ตซื้อเพราะเกรงใจ
ผจก.แบงค์ เปิดพอร์ตหุ้นก็เพราะตัวนี้อีก เอาเป็นว่า
IPO 10.- เข้าตลาดตอนเปิด 9.50 แฮ่ๆ ทนถือมาเรื่อยๆ
เพราะมีการันตีปันผล 9% 4ปี แต่ผลประกอบการที่ไม่มีเงิน
ประกันรายได้ย่ำแย่และไม่ทางทำผลตอบแทน 9% ได้เลย
ก็ทยอยขายออกก่อนครบ 4ปีครับ รวมปันผลแล้วไม่ขาดทุน
แต่ขาดทุนค่าเสียโอกาส เอาเป็นว่าได้ความรู้มาแทน

ถามเพื่อนก็ไม่มีคนรู้เรื่อง Prop.Fund ต้องศึกษาเอง

ไม่ทราบว่าทางผจก.กองทุน หาผู้เช่าใหม่ได้หรือยัง
หรือว่าต่อรองกับผู้เช่าเดิมได้เรียบร้อยแค่ไหน
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1993

โพสต์

ขอบคุณครับผม :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1994

โพสต์

เอ่อ​ ถามพี่หมอleky, พี่ chaitorn, พี่NB​ พี่​saichon​ พี่โจ(เผื่อฝากคนมาตอบ​ 555)

หุ้นที่gpm สูง​ๆ​ ปกติมันควรจะดีใช่ป่ะครับ

แล้วพวกสูง แบบ​ beauty, tsr, apco พวกนี้​ ถือ​เปน​ too good to be true ป่ะครับ?

ขอบคุณ​ฮ่ะ​ :B
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1995

โพสต์

romee เขียน:เอ่อ​ ถามพี่หมอleky, พี่ chaitorn, พี่NB​ พี่​saichon​ พี่โจ(เผื่อฝากคนมาตอบ​ 555)

หุ้นที่gpm สูง​ๆ​ ปกติมันควรจะดีใช่ป่ะครับ

แล้วพวกสูง แบบ​ beauty, tsr, apco พวกนี้​ ถือ​เปน​ too good to be true ป่ะครับ?

ขอบคุณ​ฮ่ะ​ :B
ผมมักจะวิเคราะห์ร่วมกับ Moat ครับ โดยส่วนใหญ่แล้วผมมักจะแยกออกมาเป็นกรณีครับ

1. บริษัทขายสินค้าของเราเอง - ตีความได้ว่าสินค้าเป็นสินค้ามีความโดดเด่น จุดที่ต้องตีความต่อก็คือต้องตามไปดูสินค้าของที่สองว่าจะโค่นเบอร์หนึ่งได้มั๊ย หลายครั้งพบว่า ยี่ห้อบางอย่างมันไม่สามารถทำให้ที่สองมาเป็นที่หนึ่งได้จริง ๆ ต้องวิเคราะห์จุดนี้ อันนี้ส่วนตัวนะ ผมถือยูนิชาร์มอยู่ เพราะใช้ โป๊ะโกะ แล้วก็เห็นว่ามียี่ห้ออื่นนะ แต่ยอมจ่ายแพงซื้อโป๊ะโกะ แล้วก็เป็นอย่างนี้กันทั่วโลก อันนี้ยกตัวอย่างนะ ไม่ได้ชี้นำ

2. บริษัทรับสินค้าของคนอื่นมาขาย - ตีความได้ว่ามีข้อเด่นคือ โลเกชัน หรือ ความสามารถในการขาย รวมถึง อีโคโนมี่ออฟสเกล ถ้าเป็นกรณีนี้ ผมให้ราคาเรื่อง ทำเล การให้บริการ และการจัดการซัพพลายเชน (ลดต้นทุนในกระบวนการ) มากกว่านะ การอบรมพนักงานให้ถูกใจ ถูกจริตลูกค้า หรือฝรั่งเรียก คัสทอมเมอร์ บีเฮฟวิเออร์ อันนี้สำคัญนะ บางครั้งของเหมือนกัน แต่เราสบายใจในการจัดร้านของอีกร้านนึง อันนี้สำคัญมากๆ เลย ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นชัดเลยนะ ก็ เซเว่น อันนี้ชัด

3. บริษัทขายสินค้าคอมโม - ผ่านก่อนนะ

และ 4. บริษัทขายบริการ - เช่นร้านตัดผม ร้านหมอฟัน นี่เห็นชัดเลยนะ เปิดติด ๆ กันเลย ทั้งของจริงและของปลอมทำเหมือน คำถามคือ ร้านตัดผมนี่ เรายอมจ่ายแพงเพราะอะไรคือตัดร้านไหนก็ได้หรือต้องตัดร้านนี้เท่านั้น เออ อันนี้ต่างกันนะ ผมมักจะให้ราคากับคนที่สามารถทำบริการ ให้เป็นสินค้าได้ งง มั๊ย คือ ช่างคนไหนก็ได้ แต่ถ้าใช้คอร์สนี้ต้องจ่ายเท่านี้ ผมค่อนข้างชอบ ธุรกิจหมอนวด เช่น ... นะ แบบนี้ อ่ะ เชียร์หุ้น อีกแระ อ่ะ เหม่ เผลอไม่ได้
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1996

โพสต์

romee เขียน:เอ่อ​ ถามพี่หมอleky, พี่ chaitorn, พี่NB​ พี่​saichon​ พี่โจ(เผื่อฝากคนมาตอบ​ 555)

หุ้นที่gpm สูง​ๆ​ ปกติมันควรจะดีใช่ป่ะครับ

แล้วพวกสูง แบบ​ beauty, tsr, apco พวกนี้​ ถือ​เปน​ too good to be true ป่ะครับ?

ขอบคุณ​ฮ่ะ​ :B
แฮ่...ผมความรู้ยังน้อย แถมไม่ค่อยได้ตามหุ้น3ตัวนี้เลย
คำถามของพี่โรมรอบนี้ผมขออนุญาตลอกคำตอบของพี่ NB ส่งก่อนน๊ะครับ... :mrgreen:
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1997

โพสต์

เริ่มยกสองกันแล้วนะ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1998

โพสต์

ของฝากแฟนๆ สาย CANSLIM ครับ

David Ryan ศิษย์เอกของ William O’Neil ลงทุนในหุ้น เหมือนกับการล่าสมบัติ
http://hoontoday.com/david-ryan/

ไรอันเข้าแข่งขัน U.S. Investing Championship และได้อันดับ 1 ในปีแรกที่เข้าแข่งขันด้วยผลตอบแทน 161%, ไรอันพิสูจน์ตัวเองว่าผลงานเขาไม่ได้มาจากโชคช่วย โดยการได้อันดับ 2 ในปีถัดมาด้วยผลตอบแทน 160% และกลับมาคว้าอันดับ 1 ในปีที่ 3 ด้วยผลงาน 118% รวมผลตอบแทน 3 ปีถึง 1,379% หลังจากทำงานไป 4 ปีใน William O’Neil & Co ไรอันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น VP รับผิดชอบเป็น portfolio manager และมือขวาในการเลือกหุ้นของโอนีลเองโดยใช้ CANSLIM อย่างเคร่งครัด
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1999

โพสต์

ดำ เขียน:ของฝากแฟนๆ สาย CANSLIM ครับ

David Ryan ศิษย์เอกของ William O’Neil ลงทุนในหุ้น เหมือนกับการล่าสมบัติ
http://hoontoday.com/david-ryan/

ไรอันเข้าแข่งขัน U.S. Investing Championship และได้อันดับ 1 ในปีแรกที่เข้าแข่งขันด้วยผลตอบแทน 161%, ไรอันพิสูจน์ตัวเองว่าผลงานเขาไม่ได้มาจากโชคช่วย โดยการได้อันดับ 2 ในปีถัดมาด้วยผลตอบแทน 160% และกลับมาคว้าอันดับ 1 ในปีที่ 3 ด้วยผลงาน 118% รวมผลตอบแทน 3 ปีถึง 1,379% หลังจากทำงานไป 4 ปีใน William O’Neil & Co ไรอันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น VP รับผิดชอบเป็น portfolio manager และมือขวาในการเลือกหุ้นของโอนีลเองโดยใช้ CANSLIM อย่างเคร่งครัด
สายนี้โหดจริงๆ ครับ :bow: :bow:
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2000

โพสต์

ช่วงนี้ไล่อ่านหุ้น10เด้งในรอบ10ปี มีบทความเก่าๆในไทยวีไอ พูดถึงเรื่องนี้เยอะเลยครับ

ขออนุญาตเอามาแปะนะฮ่ะ
ของดร.นิเวศน์
หุ้น10เด้งในทศวรรษหน้า

เผย เทคนิคการหาหุ้น 10 เด้ง!!! ของ Rakesh Jhunjhunwala
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=46674

แถมด้วย ของเวบmangmaoclub เป็นแนวsystem trade ข้อมูลจะเน้นเรื่องสถิติย้อนหลัง เอามาวิเคราะห์อีกทีนึง
THE X BAGGER STOCKS : หุ้นหลายเด้ง!
http://mangmaoclub.com/x-bagger/
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ptaseeker
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2001

โพสต์

romee เขียน:เอ่อ​ ถามพี่หมอleky, พี่ chaitorn, พี่NB​ พี่​saichon​ พี่โจ(เผื่อฝากคนมาตอบ​ 555)

หุ้นที่gpm สูง​ๆ​ ปกติมันควรจะดีใช่ป่ะครับ

แล้วพวกสูง แบบ​ beauty, tsr, apco พวกนี้​ ถือ​เปน​ too good to be true ป่ะครับ?

ขอบคุณ​ฮ่ะ​ :B
ขอร่วมแจมในฐานะเป็นคนที่ได้ทำงานกับพวกอาหารเสริมและเครื่องสำอางค์อยู่บ้างครับ (beauty&apco)
พวกนี้เป็นของที่โดยธุรกิจแล้วมีต้นทุนการขายต่อหน่วยต่ำแต่ขายได้ราคาแพง เน้นขายความน่าเชื่่อถือและแบรนด์ royalty เน้นขายฝันกินแล้วสวย กินแล้วไม่หย่อนยาน กินแล้วผอม กินแล้วไม่เป็นมะเร็ง กินแล้วหายจากโลก เฮ้ย!!หายจากโรคโน้นนี่นั้น ก็ว่ากันไป สินค้าเหล่านี้ใช้ทุนวิจัยไม่เยอะมาก อยากมากก็แค่ทำในหลอดหรืออาสาสมัครไม่กี่สิบคน ถ้าขี้เกียจหน่อยก็ก็อปชาวบ้านเอาก็ได้ มีคนที่สนใจเกี่ยวกับเวชศาสตร์ฺชะลอวัยออกงานวิจัยมาเยอะแยะ ของพวกนี้ก็จะมี barrier of enties น้อย เพราะใครๆก็ทำได้ บ.ยาที่ผ่าน GMP ทำทุกที่ แม้แตาดาราที่อยากทำธุรกิจเดินไปคุยกับบริษัทยาสักครึ่งชม.ก็ได้สินค้าออกมาแล้ว อาจต้องรอผ่าน อย.สักหน่อยซึ่ง อย.ไทยใจดีมากให้ผ่านเกือบทุกอย่าง เขียนส่งไปน้อยแล้วออกโปรชัวร์ให้หนักๆ ดังนั้นผมว่า การสร้างแบรนด์จึงสำคัญที่สุด beauty เน้นสร้างแบรนด์กับคนจีน ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดีพอสมควร เมื่อไม่ตอนกลางวันคุยกับน้องที่ทำงานที่ภูเก็ตคิดไม่ถึงว่าคนจีนจะมาซื้อมิสทีนเมืองไทยซึ่งเป็นสำอางค์ตลาดล่างของเมืองไทยที่ละมากๆ ขนาดร้านเล็กยังขายได้กำไรเดือนนึงหกเจ็ดหมื่นบาท

ส่วนAPCO เน้นไปทางเครมการรักษาโรค ใช้ตรรกะแบบง่ายๆ เพิ่มภูมิคุ้มกัน เพิ่ม TNFalpha แค่นี้ก็เครมรักษาได้ทุกโรคบนโลกใบนี้ตั้งแต่หวัด มะเร็ง SLE ไปถึงเอดส์ (ผมจำได้นะ opp day ตอน apco ราคา 8 บาท ก่อนแตกพาร์ ดร.พิเชษฏ์ บอกกำลังทำงานวิจัยรักษาคนไข้โรคเอดส์ร่วมกับศิริราชหรือรามานี้แหละ ไม่เห็นจะมีมาสักกะทาย (ไม่รู้รีทายไปยัง) ซึ่งถ้าได้ผลดีจริงผมก็ยินดีนะ เน้นอาศัยปากต่อปาก เอาคนมาบอกว่ากินแล้วหายเป็นโน้นนี่นั้น ประเด็นสำคัญคือขอวพวกนี้เป็นสินค้าราคาสูง คนที่กินบางทีหมดแรงทรัพย์กินกันซะก่อน ต้องไปขายประเทศรวยๆ อะถูกแล้ว เค้าจะได้มีแรงกินไปนานๆ ถ้าสินค้าพวกนี้ได้รับการพิสูจน์ได้จริงว่ากินได้ผลดีก็จะได้ลูกค้าประจำกินกันไปอีกนาน(ต้องรวยด้วยนะ)

มีกรณีศึกษาของคอลลาเจนชงผิวกินเพื่อผิวสวยมาเล่าสักเล็กน้อย แต่ก่อน colly collagen เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีมากๆๆๆๆ ตอนนั้น VRZO ยังดัง เสนอราคาขายกันที่ 2500 บาท ผ่านไปสัก 6 เดือน บ.ยาต่างเห็นว่า เฮ้ยคอลลาเจนขายดีจัง เลยทำออกมาขายกันบ้างขายกันสักแถวๆ 1800 บาท ผ่านไปสักปีนึง colly ก็ลดราคามาเหลือ 1800 บาทบ้าง ยิ่งนานวันคอลลาเจนก็เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น ตอนออกมาใหม่ๆ 6000 mg บ้างก็ 4000 mg มีการเติมโน้นนี่นั้นเพิ่มเข้าไปเครมเกทับกันสนุกสนาน อยู่มาวันนึง คอลลี่ก็ประกาศลดราคาลงครึ่งนึง จาก 1800 บาท--> 900บาท แม่จ้าววว หุ้นโชว์ฟลอร์ยังขาดทุน 30% อันนี้ 50% ในวันเดียว แล้วถึงบัดนี้ราคาคอลลาเจนในท้องตลาดก็เหลือ 500-1000 บาท คนที่กินสองสามกล่องไม่ได้ผลเลิกก็เยอะ คนกนอย่างเหนี่ยวแน่นกินแค่ยี้ห้อเดียวก็มี คนที่ช็อปปิ้งกินยี้ห้อโน้นทียี้ห้อนี้ทีก็แยะ ส่วนใหญ่ก็กินตามกำลังทรัพย์ เพราะสินค้าพวกนี้ยากที่จะพิสูจน์ว่ามันต่างกันชัดเจนยังไง การได้ผลกับไม่ได้ผลก็ฟิลลิ่งล้วนๆ (ผมอยู่ฝั่งไม่ค่อยอินกับอาหารเสริมเครื่องสำอางค์เท่าไหร่ กินๆทาๆยังไงฟิลลิ่งก็ไม่มา)

ผมว่าถ้าจะเอาหุ้นพวกนี้ก็ตัวแบรนด์รอยัลตี้ + คุณภาพที่ทำได้อย่างเครมได้จริงจะสามารถทำให้รักษา gpm ไว้ได้ และต้องหมั่นออกสินค้าใหม่ๆ ด้วยนะ คนส่วนใหญ่ชอบเบื่อง่ายนะผมว่า
low risk High return!
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2002

โพสต์

ptaseeker เขียน:ขอร่วมแจมในฐานะเป็นคนที่ได้ทำงานกับพวกอาหารเสริมและเครื่องสำอางค์อยู่บ้างครับ (beauty&apco)
พวกนี้เป็นของที่โดยธุรกิจแล้วมีต้นทุนการขายต่อหน่วยต่ำแต่ขายได้ราคาแพง เน้นขายความน่าเชื่่อถือและแบรนด์ royalty เน้นขายฝันกินแล้วสวย กินแล้วไม่หย่อนยาน กินแล้วผอม กินแล้วไม่เป็นมะเร็ง กินแล้วหายจากโลก เฮ้ย!!หายจากโรคโน้นนี่นั้น ก็ว่ากันไป สินค้าเหล่านี้ใช้ทุนวิจัยไม่เยอะมาก อยากมากก็แค่ทำในหลอดหรืออาสาสมัครไม่กี่สิบคน ถ้าขี้เกียจหน่อยก็ก็อปชาวบ้านเอาก็ได้ มีคนที่สนใจเกี่ยวกับเวชศาสตร์ฺชะลอวัยออกงานวิจัยมาเยอะแยะ ของพวกนี้ก็จะมี barrier of enties น้อย เพราะใครๆก็ทำได้ บ.ยาที่ผ่าน GMP ทำทุกที่ แม้แตาดาราที่อยากทำธุรกิจเดินไปคุยกับบริษัทยาสักครึ่งชม.ก็ได้สินค้าออกมาแล้ว อาจต้องรอผ่าน อย.สักหน่อยซึ่ง อย.ไทยใจดีมากให้ผ่านเกือบทุกอย่าง เขียนส่งไปน้อยแล้วออกโปรชัวร์ให้หนักๆ ดังนั้นผมว่า การสร้างแบรนด์จึงสำคัญที่สุด beauty เน้นสร้างแบรนด์กับคนจีน ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดีพอสมควร เมื่อไม่ตอนกลางวันคุยกับน้องที่ทำงานที่ภูเก็ตคิดไม่ถึงว่าคนจีนจะมาซื้อมิสทีนเมืองไทยซึ่งเป็นสำอางค์ตลาดล่างของเมืองไทยที่ละมากๆ ขนาดร้านเล็กยังขายได้กำไรเดือนนึงหกเจ็ดหมื่นบาท

ส่วนAPCO เน้นไปทางเครมการรักษาโรค ใช้ตรรกะแบบง่ายๆ เพิ่มภูมิคุ้มกัน เพิ่ม TNFalpha แค่นี้ก็เครมรักษาได้ทุกโรคบนโลกใบนี้ตั้งแต่หวัด มะเร็ง SLE ไปถึงเอดส์ (ผมจำได้นะ opp day ตอน apco ราคา 8 บาท ก่อนแตกพาร์ ดร.พิเชษฏ์ บอกกำลังทำงานวิจัยรักษาคนไข้โรคเอดส์ร่วมกับศิริราชหรือรามานี้แหละ ไม่เห็นจะมีมาสักกะทาย (ไม่รู้รีทายไปยัง) ซึ่งถ้าได้ผลดีจริงผมก็ยินดีนะ เน้นอาศัยปากต่อปาก เอาคนมาบอกว่ากินแล้วหายเป็นโน้นนี่นั้น ประเด็นสำคัญคือขอวพวกนี้เป็นสินค้าราคาสูง คนที่กินบางทีหมดแรงทรัพย์กินกันซะก่อน ต้องไปขายประเทศรวยๆ อะถูกแล้ว เค้าจะได้มีแรงกินไปนานๆ ถ้าสินค้าพวกนี้ได้รับการพิสูจน์ได้จริงว่ากินได้ผลดีก็จะได้ลูกค้าประจำกินกันไปอีกนาน(ต้องรวยด้วยนะ)

มีกรณีศึกษาของคอลลาเจนชงผิวกินเพื่อผิวสวยมาเล่าสักเล็กน้อย แต่ก่อน colly collagen เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีมากๆๆๆๆ ตอนนั้น VRZO ยังดัง เสนอราคาขายกันที่ 2500 บาท ผ่านไปสัก 6 เดือน บ.ยาต่างเห็นว่า เฮ้ยคอลลาเจนขายดีจัง เลยทำออกมาขายกันบ้างขายกันสักแถวๆ 1800 บาท ผ่านไปสักปีนึง colly ก็ลดราคามาเหลือ 1800 บาทบ้าง ยิ่งนานวันคอลลาเจนก็เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น ตอนออกมาใหม่ๆ 6000 mg บ้างก็ 4000 mg มีการเติมโน้นนี่นั้นเพิ่มเข้าไปเครมเกทับกันสนุกสนาน อยู่มาวันนึง คอลลี่ก็ประกาศลดราคาลงครึ่งนึง จาก 1800 บาท--> 900บาท แม่จ้าววว หุ้นโชว์ฟลอร์ยังขาดทุน 30% อันนี้ 50% ในวันเดียว แล้วถึงบัดนี้ราคาคอลลาเจนในท้องตลาดก็เหลือ 500-1000 บาท คนที่กินสองสามกล่องไม่ได้ผลเลิกก็เยอะ คนกนอย่างเหนี่ยวแน่นกินแค่ยี้ห้อเดียวก็มี คนที่ช็อปปิ้งกินยี้ห้อโน้นทียี้ห้อนี้ทีก็แยะ ส่วนใหญ่ก็กินตามกำลังทรัพย์ เพราะสินค้าพวกนี้ยากที่จะพิสูจน์ว่ามันต่างกันชัดเจนยังไง การได้ผลกับไม่ได้ผลก็ฟิลลิ่งล้วนๆ (ผมอยู่ฝั่งไม่ค่อยอินกับอาหารเสริมเครื่องสำอางค์เท่าไหร่ กินๆทาๆยังไงฟิลลิ่งก็ไม่มา)

ผมว่าถ้าจะเอาหุ้นพวกนี้ก็ตัวแบรนด์รอยัลตี้ + คุณภาพที่ทำได้อย่างเครมได้จริงจะสามารถทำให้รักษา gpm ไว้ได้ และต้องหมั่นออกสินค้าใหม่ๆ ด้วยนะ คนส่วนใหญ่ชอบเบื่อง่ายนะผมว่า
เป็นคำอธิบายธุรกิจลักษณะ high margin แบบนี้ได้ชัดเจนมาก ขอบคุณครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2003

โพสต์

ผมอ่านแล้วสรุปได้ดังนี้ครับ

ธุรกิจ high margin ที่ไม่มี Barrier to Entry บางทีอาจเข้าข่าย Too good to be true ในระยะยาว เพราะเมื่อขายดีแถมกำไรสูง คู่แข่งก็จะเข้ามาเต็มไปหมด ถ้ารักษาฐานลูกค้าไม่ได้ ก็ต้องหั่น margin กลายเป็นสงครามราคา ยิ่งถ้าเกิดตลาดอิ่มตัว อันนี้ถึงจุดจบง่ายๆ เลย กลายเป็น Volume ขายหดตัว แถม margin ก็หดตาม โดน 2 เด้ง ใครถือไว้ตอนข่าวดีเต็มตลาดก็ฟินกันไปครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2004

โพสต์

romee เขียน:เอ่อ​ ถามพี่หมอleky, พี่ chaitorn, พี่NB​ พี่​saichon​ พี่โจ(เผื่อฝากคนมาตอบ​ 555)

หุ้นที่gpm สูง​ๆ​ ปกติมันควรจะดีใช่ป่ะครับ

แล้วพวกสูง แบบ​ beauty, tsr, apco พวกนี้​ ถือ​เปน​ too good to be true ป่ะครับ?

ขอบคุณ​ฮ่ะ​ :B
มีคนหลังไมค์มาช่วยตอบฮ่ะ แต่ผมขอไม่ลงชื่อแล้วกันนะครับ
คิดง่ายๆตาม คนค้าขายแหละคับ. gpm สูง คือ
cushion มันกะดีตาม เช่น รับความผันผวน ของ cogsดีกว่า
มีspace ที่จะ improve ได้สูงกว่า ใน บรรทัดล่างๆ ของ pl

ยกตัวอย่าง tvd npm บางเพราะ sga เยอะ
เทียบกับ synex sis npm บาง เหมือนกัน แต่ room improve ต่างกันมาก

ถามว่า too good to be true หรือเปล่า ผมว่าใช้ gpm วัดยากกว่า npm อะคับ. แต่ถ้า เหน npm ปุ๊บ ดูธุรกิจ เรา บอกได้เลย. เช่น pjw แรกๆ npm 10% ผมสงสัยเลย ดีเกินไป
หรือ ptl ตอน peak npm 30% เห็นกะคงบอกได้เลยว่า ยืนไม่ได้แน่ๆ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2005

โพสต์

ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยกันถามคำถาม และแชร์คำตอบนะฮะ
ยิ่งหลากหลายยิ่งดีฮะ ช่วยกันคิด ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งไอเดียลงทุน

เที่ยวนี้มีการบ้านมาส่งอ.NBฮะ ตอบแทนรูปหมวกสวยๆ ซี้ดดด..เอื๊อก..(สูดและกลืนน้ำลาย หลังป้ายน้ำตาหุ้นตก)
ของอ.ฟิชเชอร์ผู้พ่อ มีแค่สองเล่มฮะ อ่านเล่มสองแค่เรื่องเงินเฟ้อก็มึนยังไม่หาย ส่งของอ.เทมเปิลตันก่อนนะฮะ

http://www.valuewalk.com/2015/09/sir-jo ... quick_link

เทศนาการลงทุนจากราชานักลงทุนศตวรรษที่20
เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน
นักลงทุนตำนานชาวสวนท่านนี้ จบเยลมาต่อทุนโร้ดที่ออกซ์เฝิด แล้วย้ายเข้าวอลสตรีท
ตอนอายุ26 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 ท่านยืมเงิน10,000ดอลล์(เยอะมากในปี1939)
มากระจายซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัว ตัวละร้อยหุ้น (ราคาหุ้นต่ำกว่า1ดอลล์,แถม 34บ.ในนั้น ล้มละลาย)
ในที่สุดมีเพียง4บ. ทำกำไรมหาศาล
และนี่ไม่ใช่ตอนจบ แต่เป็นจุดเริ่มของ ความสำเร็จยาวนาน1912-2008 ตลอดอายุ95ปีของท่าน
หลังเพนนีสต็อคแล้ว ท่านซื้อบ.ลงทุนในปี1940 เป็นจุดเริ่มของ templeton growth fund(1954)
ผลงาน14,5%ทบต้นจนถึงปี1992ที่ท่านขายให้แฟรงคลินไป ทำให้เงิน10,000เป็น2,000,000ดอลล์ในที่สุด
ท่านตั้งมูลนิธิเทมเปิลตัน ซึ่งสร้างทรัพย์สินได้เกินพันล้านในปี2000เพื่อส่งเสริมการใช้ศาสตร์เพื่อศึกษาศาสนาและจิตวิญญาน

สวนกระแส
ปรัชญาลงทุนแบบชาวสวนของท่านคือ "ซื้อหุ้นดีๆ ถูกๆ ที่จุดของการมองโลกแง่ร้ายสุดๆ"
1960 กองทุนถือ 60%ของทรัพย์สินในหุ้นญี่ปุ่น
อีก30ปีต่อมา ท่านเห็นฟองสบู่ไฮเทคในปี1999 และทำกำไรจากการช็อตหุ้นเทคโน ดังจากการทำนายว่าหุ้นอินเตอร์เนตใหม่ๆจะล้มละลาย90%ใน5ปี

คำสอนของเทมเปิลตัน
แม้ท่านจะจากเราไปแล้ว แต่ได้ทิ้งงานเขียนจำนวนมากไว้ หนึ่งในนั้นที่กลั่นออกมา ก็คือ 22 maxims

1. สำหรับนักลงทุนระยะยาว
มีแค่จุดหมายเดียว คือ"ทำผลตอบแทนหลังภาษีให้มากที่สุด"

2. จะทำสถิติดีๆ ต้อง ศึกษาหนัก ทำงานหนัก หนักมากกว่าที่คนทั่วไปคิด

3. เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผลงานเหนือคนส่วนใหญ่ ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่

4. ตอนที่มองแง่ร้ายสุดๆ เป็นเวลาดีที่สุดที่จะซื้อ
ตอนที่มองแง่ดีสุดๆ เป็นเวลาดีที่สุดที่จะขาย

5. อธิบายข้อ4. ในอีกแบบนึง ก็คือ
ในตลาดหุ้นนั้น ทางเดียวที่จะได้ของถูกคือ ซื้อตอนที่นักลงทุนทั้งหมด"ขาย"

6. ซื้อตอนคนหมดหวัง เทขาย และ ขายตอนคนโลภ กำลังรุมซื้อ
ต้องฝืนทนกล้ำกลืนสุดๆ แม้ตอนได้รางวัลก้อนใหญ่

7. ตลาดหมีจะเป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเสมอ
หุ้นจะ"ขึ้น" ใน1-12เดือน ก่อนวงจรธุรกิจจะ"ต่ำสุด"

8. ถ้าอุตสาหกรรม หรือหุ้นใด เป็นที่นิยมเมื่อไร ความนิยมนั้นจะไม่ยั่งยืน และ
เลิกฮิตเมื่อไร จะหายไปอีกนานหลายปี

9. ในระยะยาวแล้ว ดัชนีตลาดจะขึ้นลงอยู่รอบๆ แนวโน้มขาขึ้นระยะยาวของEPS

10. ในประเทศเสรีนิยม กำไรของดัชนีตลาดหุ้น จะขึ้นลงรอบๆ BV ของหุ้นในดัชนีนั้น

11. ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวเดียวกับคนอื่น คุณก็ได้ผลลัพท์เหมือนๆกับคนอื่นนั่นแหละ

12. เวลาซื้อหุ้นก็คือ เวลาที่ผู้ถือหุ้นระยะสั้น ขายกันทุกคนแล้ว
เวลาขายหุ้นก็คือ เวลาที่ผู้ถือหุ้นระยะสั้น ซื้อกันทุกคนแล้ว

13. ราคาหุ้น จะผันผวนมากกว่ามูลค่าหุ้น
ดังนั้น กองทุนดัชนี จะไม่มีวันได้ผลงานที่ดีที่สุด

14. นักลงทุนส่วนใหญ่ จ้องที่ "การมองภาพ"(outlook) และ"แนวโน้ม"(trend)
ดังนั้น กำไรที่มากกว่า มาจากการจ้องที่"คุณค่า"(value)

15. ถ้าคุณดูไปรอบๆโลก แทนที่จะดูแค่ประเทศเดียว
คุณจะเจอหุ้นถูกกว่า และปลอดภัยกว่า จากการกระจายความเสี่ยง

16. ความผันผวนราคาหุ้น จะผันแปรคร่าวๆ ตาม "square root ของราคาหุ้นนั้น"

17. เวลาขายคือ ตอนที่คุณเจอหุ้นตัวใหม่ ที่ถูกกว่า น่าซื้อกว่า

18. เมื่อไรที่วิธีเลือกหุ้นแบบใด เป็นที่นิยมแล้ว เมื่อนั้นควรเปลี่ยนเป็นวิธีที่ไม่นิยม
ตามข้อ3. นักลงทุนจำนวนมากจะทำให้วิธีเลือกหุ้นนั้น เสียของไป หรือจะทำให้สูตรการจับจังหวะตลาด เสียไป

19. ห้ามยึดติดกับทรัพย์สินชนิดหนึ่งชนิดได
พยามยืดหยุ่น เปิดใจกว้าง และตั้งคำถามเสมอๆ
เปลี่ยนการลงทุนระยะยาว จากหุ้นฮิต เป็นหุ้นไม่ฮิต และวิธีเลือกหุ้นด้วย

20. "ทักษะ"(skill)ในการเลือก เป็นตัวแปรตัวใหญ่ ในการลงทุนหุ้นสามัญของคุณ

21. ผลงานที่ดีที่สุด มาจากบุคคล ไม่ใช่คณะ

22. ถ้าคุณเริ่มจากการสวดมนต์(pray) ทำสมาธิ คุณจะคิดได้ชัดกว่า และผิดโง่ๆน้อยกว่า

วีไอหุ้นตก ถัวผอร์ตพัลวัน ส่งการบ้าน
เวลามีใครถามว่าเป็นไรมากมั้ย ตอบว่า"ค่อยยังชั่ว"(ไม่รู้เมื่อไรจะดี หายชั่วซักที)
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2006

โพสต์

dr1 เขียน: 7. ตลาดหมีจะเป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเสมอ
หุ้นจะ"ขึ้น" ใน1-12เดือน ก่อนวงจรธุรกิจจะ"ต่ำสุด"

12. เวลาซื้อหุ้นก็คือ เวลาที่ผู้ถือหุ้นระยะสั้น ขายกันทุกคนแล้ว
เวลาขายหุ้นก็คือ เวลาที่ผู้ถือหุ้นระยะสั้น ซื้อกันทุกคนแล้ว

20. "ทักษะ"(skill)ในการเลือก เป็นตัวแปรตัวใหญ่ ในการลงทุนหุ้นสามัญของคุณ

22. ถ้าคุณเริ่มจากการสวดมนต์(pray) ทำสมาธิ คุณจะคิดได้ชัดกว่า และผิดโง่ๆน้อยกว่า
ถูกใจ 4 ข้อนี้ที่สุดครับ :B :B :B
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2007

โพสต์

ใครที่ติดดอยแถว1600รอบก่อน และเป็นหุ้นในset50 ถ้าไม่รู้จะทำไง :doi:

ตอนนี้เอาหุ้นไปแลกเป็นเงินดาวน์ค่าห้องคอนโดได้แล้วนะฮ่ะ :twisted:

ดูข้อมูลได้เลยที่ http://www.park24.co.th/en/home :B
You only live once, but if you do it right, once is enough.
syj
Verified User
โพสต์: 4241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2008

โพสต์

dr1 เขียน: นักลงทุนตำนานชาวสวนท่านนี้ จบเยลมาต่อทุนโร้ดที่ออกซ์เฝิด แล้วย้ายเข้าวอลสตรีท
ตอนอายุ26 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 ท่านยืมเงิน10,000ดอลล์(เยอะมากในปี1939)
มากระจายซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัว ตัวละร้อยหุ้น (ราคาหุ้นต่ำกว่า1ดอลล์,แถม 34บ.ในนั้น ล้มละลาย)
ในที่สุดมีเพียง4บ. ทำกำไรมหาศาล
ขออนุญาต(สระอิไม่มี ... แต่ทำไมตอนเด็กๆ ผมเรียนมามันมี!!!) ถือวิสาสะแก้ไขนะครับ อ. Dr.1

.... 34 บ.นั้นกำลังอยู่ในภาวะล้มละลาย(แต่ยังไม่เจ๊งจริงๆ) ....
.... มีเพียง 4 บ.เท่านั้นที่ล้มหายตายจากไป ที่เหลือรอดและสร้างกำไรอย่างงาม ....
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2009

โพสต์

โอย..หน้าแตกอีกแล้ว
ขอบคุณมากๆนะฮะ ท่านsyj
ที่กรุณาแก้ไขให้ ไม่งั้นเนื้อหาออกไปคนละเรื่องเลย
ผมนึกแล้ว ว่าต้องออกทะเลซักวันจนได้
รบกวนตามแก้ไขให้เรื่อยๆนะครับ แหะๆ..
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 2010

โพสต์

ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับการเก็บหุ้นครับ ผมดีใจมากที่มีโอกาสแบบนี้

จัดมาอีกเยอะ ๆ นะครับ ช่วงนี้เวลามันเยอะไม่ต้องรีบร้อน ช้อนกันแบบใจเย็น ๆ ข้ามปี
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/