ระหว่างรอ เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้เข้า ต้องรีบหยิบแล้วจ่ายเงินทันที

ไม่คิดว่าจะมีคนแปลหนังสือเล่มนี้ครับ
คนแปลใช่พี่ NB หรือเปล่าครับ
เป็นหนังสือที่ผมไม่พลาดแน่นอนครับ รอมานานแล้ว บางข้อใน CANSLIM ผมว่ามันปรับมาใช้กับกลยุทธปัจจัยพื้นฐานได้ครับjverakul เขียน:วันนี้ผมแวะเข้า Se-ed เพื่อห่อปกพลาสติกหนังสือ
ระหว่างรอ เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้เข้า ต้องรีบหยิบแล้วจ่ายเงินทันที![]()
ไม่คิดว่าจะมีคนแปลหนังสือเล่มนี้ครับ
คนแปลใช่พี่ NB หรือเปล่าครับ
หุ้นยางมะตอยที่ผมเคยบอกว่ามัน "ถูกเรื้อรัง" หลังจากมีบทวิเคราะห์จากโบรกใหญ่เชียร์ตามที่อ.บอก ดูเหมือนมันจะปลดล็อคตัวเองได้แล้วนะครับdr1 เขียน: ชีวิตช่วงนี้วิ่งพล่านจนสงสัยตัวเองว่าต้องกินลี่เธี่ยมมั้ยเนี่ย
หุ้นแพงทุกตัว จนแทบจะเป็นวีไอทมิฬกันทั้งสมาคมอยู่แล้วมั้ง อาหารสัตว์น้ำเพิ่มกำลังผลิต เงินทุนกอดสมบัติ
ขนส่งชื่อคล้ายแบ็งค์ ถังแกส ยางมะตอย โลกเขียวกว่า ฯลฯ
อ.ครับ ที่ผมเชิญอ.มาซื้อหุ้นผม เพราะผมเล็งเห็นแล้วครับ ว่าถ้าอ.เคาะซื้อ หุ้นคงต้องติด top gainer แน่ครับ แต่อ.อย่าเล่นถึงซิลลิ่งนะครับ เดี๋ยวผมหัวใจวายน่ะครับdr1 เขียน:ท่านดำปาดหน้าเค้กไปซะแระ ช่วยกันมาขุดหุ้นอ.lekyมาศึกษากันหน่อยนะฮะ
ท่านromeeด้วย ตะเองมาเตรียมเฉลยหุ้นให้เค้าด้วยนะฮ้า โดนยึดlogin จะได้ไปเบิกค่าสมัครใหม่ที่อ.Leky ฮ่า...
ทบทวนหลักการอ.leky กันก่อน
1. ตัวเร่ง สำคัญสุด ตลาดยังไม่รู้ยิ่งดี
2,3. อัพไซด์ กะดาวไซด์ อัพไซด์เยอะยิ่งดี ถ้าหุ้นขึ้นจนอัพไซด์น้อยแล้วอาจเปลี่ยนตัวไปเหลืออัพไซด์เยอะๆ
ดาวไซด์กะว่าไม่เกิน10-20% ก็พอใช้ได้
4. จังหวะเวลา อันนี้น่าจะเป็น"ศิลปะ"ส่วนตัว เดาว่าน่าจะขึ้นกับว่ารู้จักหุ้น,เจ้ามือ,มิสเตอร์มาร์เกต แค่ไหน
หุ้นในscopeที่อ.leky เปรยๆไว้ในห้องนี้
สิ่งทอผสมคอมโม เจ้าเป็นแขกยิงฟัน pb0.3
คอมโมชื่อคล้ายอาหารกระป๋องpb0.65 (แขกญาติกับเจ้าแรก)
หุ้นเจ๊กไต้หวัน(ไม่รุชื่อ"หวังฟันเจ้า"มั้ย)มีเครื่องพิมพ์สามมิติ
แบตเตอรี่สปอนเซ่อร์มวย(ขายไปแล้ว)
เอ็นผัก(ผมตะหงิดๆไงไม่รู้ว่าอ.น่าจะมีตัวนี้อยู่เยอะ(เกินล้านหุ้นแน่นอน..ฮ่า..))
ถังแกส
แม่สี
รากพืช
ข้าวถุงคาเซ็ต
สิ่งพิมพ์บ.ลูกขายไอที
ยางมะตอย
อสังหาผสมโรงแรมชื่อใหญ่
คลื่น
นักร้อง
ไอ้อีซี้
เตาปูน
บางตัวเป็นปัจจุบัน บางตัวเป็นอดีตไปแล้ว บางตัวอยู่ในแผนอนาคต ห้ามมาแต่งตั้งอ.เป็นวีไอทมิฬนะยะ
ส่วนราคาไปตัดสินใจกันเองนะจ๊ะ (แต่ถ้าอ.บอกไกด์ให้คร่าวๆก็แหล่มเลย แฮ่ม..)
ส่วนไอเดียทางหาดใหญ่ ให้ลองดูโชว์สวยเจ้าสัวฮะ สงสัยราคาตกจากขายเอาเงินไปทำรถไฟความเล..เอ๊ย เร็วสูง
วีไอวัยทอง รายงานจากยุคทองวีไอ(มั้ง)
ทำไปทำมาผมว่าข้อที่น่าจะยากที่สุดและคนมักจะ "การ์ดตก" คือ downside ครับ ยิ่งถ้าใครเล่นกับหุ้น PE สูง นี่ ยิ่งยาก ยากว่าจุดปลอดภัยของมัน "คือตรงไหน" จะใช้ตัวเลขอะไร กราฟ??? สิ่งแวดล้อม จิตใต้สำนึกdr1 เขียน: 1. ตัวเร่ง สำคัญสุด ตลาดยังไม่รู้ยิ่งดี
2,3. อัพไซด์ กะดาวไซด์ อัพไซด์เยอะยิ่งดี ถ้าหุ้นขึ้นจนอัพไซด์น้อยแล้วอาจเปลี่ยนตัวไปเหลืออัพไซด์เยอะๆ
ดาวไซด์กะว่าไม่เกิน10-20% ก็พอใช้ได้
4. จังหวะเวลา อันนี้น่าจะเป็น"ศิลปะ"ส่วนตัว เดาว่าน่าจะขึ้นกับว่ารู้จักหุ้น,เจ้ามือ,มิสเตอร์มาร์เกต แค่ไหน
อ.ครับ เท่าที่ผมจำได้จากในหนังสือที่ว่านั้น downside น่าจะรวมทั้งปัจจัยด้านพื้นฐาน และด้านปัจจัยทางจิตวิทยาด้วยครับ ดังนั้นการตีออกมาเป็นสูตรหรือตัวเลขคงเป็นไปได้ยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย ผมคิดว่ามันมีความเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ครับleky เขียน:ทำไปทำมาผมว่าข้อที่น่าจะยากที่สุดและคนมักจะ "การ์ดตก" คือ downside ครับ ยิ่งถ้าใครเล่นกับหุ้น PE สูง นี่ ยิ่งยาก ยากว่าจุดปลอดภัยของมัน "คือตรงไหน" จะใช้ตัวเลขอะไร กราฟ??? สิ่งแวดล้อม จิตใต้สำนึก
ผมอ่านในหนังสือแก่นแท้ ฯ ผ่านมากว่าครึ่งเล่ม หนังสือก็ยังไม่ตอบว่า เราจะเอาอะไรมาอ้างอิงครับ ทั้ง ๆ ที่เค้าเน้นเรื่องนี้มาก
เท่าที่ผมลองย้อนดูตัวเองนะครับ ผมว่าถ้าเราเริ่มต้นลงทุน มันจะเสียเวลาหลายเรื่องที่เราต้องลองผิดลองถูก วิธีหลักในการลงทุน ทั้งการเลือกหุ้น ฯลฯดำ เขียน:อ.ครับ เท่าที่ผมจำได้จากในหนังสือที่ว่านั้น downside น่าจะรวมทั้งปัจจัยด้านพื้นฐาน และด้านปัจจัยทางจิตวิทยาด้วยครับ ดังนั้นการตีออกมาเป็นสูตรหรือตัวเลขคงเป็นไปได้ยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย ผมคิดว่ามันมีความเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ครับleky เขียน:ทำไปทำมาผมว่าข้อที่น่าจะยากที่สุดและคนมักจะ "การ์ดตก" คือ downside ครับ ยิ่งถ้าใครเล่นกับหุ้น PE สูง นี่ ยิ่งยาก ยากว่าจุดปลอดภัยของมัน "คือตรงไหน" จะใช้ตัวเลขอะไร กราฟ??? สิ่งแวดล้อม จิตใต้สำนึก
ผมอ่านในหนังสือแก่นแท้ ฯ ผ่านมากว่าครึ่งเล่ม หนังสือก็ยังไม่ตอบว่า เราจะเอาอะไรมาอ้างอิงครับ ทั้ง ๆ ที่เค้าเน้นเรื่องนี้มาก
ผมเห็นด้วยกับอ. ว่า downside ยากที่สุด ดูจากตัวผมเอง สาเหตุหลักที่ทำให้การลงทุนผิดพลาดก็เพราะละเลยเรื่องนี้แหละครับ เมื่อตลาดกระทิงดำรงอยู่นานถึงจุดๆ หนึ่ง เราจะเริ่มรู้สึกว่าโล่ห์มันหนัก มันเป็นภาระ ไม่รู้จะเสียเวลาแบกไว้ทำไม และในที่สุดเมื่อเราตัดสินใจปล่อยโล่ห์หลุดจากมือเมื่อไหร่ เมื่อนั้นลูกธนูก็จะลอยมาครับ
เห็นน้อง romee โพสต์ไว้ ผมนึกถึงรุ่นน้องสายเทคนิคผมทันที เค้าเคยเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเข้ามาลอกหุ้นในเว็บ ได้ TR DRACO ช่วงซับไพร์มเหมือนกัน เจอเต็ม ๆ สงสัยช่วงนั้นหุ้นสองตัวนี้น่าจะ hot น่าดูromee เขียน: แต่มาโดนไปสองตัวครับ TR, DRACO แล้วก็เข้าช่วงซัพไพร์ม พอร์ตหายไปครึ่งนึง![]()
ถ้าเวลามีคนมาบอก หรือจะลอกหุ้นอีก ผมก็จะกลับมาคิดเองด้วยว่าควรซื้อ หรือไม่ซื้อ
เฉลยก็ได้ครับ เดี๋ยวจะคาใจ เค้าคือ GRAND ครับ ตัวนี้เคยมี ซื้อไว้ต่ำมาก ประมาณแถว ๆ สูงกว่าราคาพาร์นิดหน่อยน่ะครับ ตอนนั้นตลาดหุ้นลง หุ้นมันลงไปแล้วนิ่ง ๆ แต่ตอนนั้นผมเองไม่คิดอะไรมากนะ ก็ราคาแถว ๆ สูงกว่าพาร์หน่อย แล้วเหมือนผถห.ที่เป็นทนายแต่ไม่แสดงตัว เค้าต้นทุนจะสูงกว่าผม แต่ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ อีกอย่าง อีกไม่นานก็จะเริ่มโอนโครงการคอนโดใหญ่ กำไรจะเข้า หุ้นคงไม่อยู่ตรงแถวพาร์มั๊ง ตัวนี้ยอมรับว่าไม่ได้คิดอะไรมากจริง ๆ พอเค้าเริ่มโอนคอนโดกัน ราคามันก็วิ่งขึ้นมา จนผมคิดว่ามันคงจะไม่ไปต่อแล้ว เกือบจะปล่อยมะรอมมะร่อแถว ๆ 1.8 เพราะดูแล้วหลังโอนคอนโดหมดรายได้คงลดลงไปมาก แต่เหมือนดันมีตัวช่วย มีคนมาวิแคะหุ้นแล้วบอกว่าจะไปที่ 4 บาทโน่น หุ้นวิ่งสนั่น พอมาแถว ๆ 2.7-2.8 ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรโลภมากขนาดนั้นที่จะขายหุ้นตัวนี้ที่ 4 บาท พร้อมกับเสียงกระซิบจากเจ้าของเสียงเจ้าเก่า "โกยเถอะโยม" ผมขายหุ้นทิ้งหมดแบบทีเดียวจบ แล้วก็ไม่กลับไปดูมันอีกเลย ไม่สนด้วยว่ามันจะไปที่ 4 บาทจริงหรือไม่romee เขียน: อสังหาผสมโรงแรมชื่อใหญ่ = ???
วิธีการดูราคาหุ้นทำ Stress test ของ อ. ก็น่าจะเป็นวิธีหนึ่งในการดู downside risk ที่ใช้ได้ดีนะครับleky เขียน:แต่การดู downside risk นี่ ถ้าไม่โดนกับตัวเองบ่อย ๆ ผมว่ามันอาจจะเข้าใจและเรียนรู้ได้ยากมาก ในสายเทคนิคเค้าอาจจะกำหนด downside โดยการคัทลอสให้เร็ว ส่วนในสายพื้นฐานการคัทลอสอาจจะเป็นวิธีหนึ่ง โดยดูจากหุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยน แต่นั่นก็คือเราได้ซื้อหุ้นตัวนั้นเข้าไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่ซื้อนี่ ผมยังไม่เคยเห็นใครอธิบายได้เคลียร์นะ
ส่วนตัวผมเองใช้วิธีไหน ก็อธิบายได้ยากเหมือนกัน เลยเข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่เคยเจอใครที่อธิบายได้เคลียร์ชัดเจน เพราะเราเองบางครั้งก็อธิบายให้เป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ได้ บางทีก็ดูจากตัวเลขหลาย ๆ ตัว บางทีก็ดูการเคลื่อนไหว วอลุมของหุ้น บางทีก็กะ ๆ เอา ผมเลยเข้าใจแล้วว่ากว่าที่มือใหม่ซักคนจะเข้าใจตรงนี้ได้ คงต้องมีการบาดเจ็บกันมาไม่มากก็น้อย
ก่อนหน้านี้ผมเองไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้ครับ เลยติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการได้กำไรมาแล้วก็เสียขาดทุนคืนกลับไปอยู่เป็นเวลานานมากๆ จนในที่สุดเมื่อลองพิจารณาดูอย่างจริงจังก็ยอมรับได้ว่า "การที่ประมาทกับความเสี่ยง" นี่แหละ ที่ทำให้เราเดินหน้าไปไม่ได้สักทีleky เขียน:แต่ downside นี่จะเห็นประโยชน์มาก ถ้าตลาดไม่ดี แต่ยามตลาดดีบางครั้งจะทำให้เรา conservative มากเกินไป คล้าย ถังดับเพลิง บันไดหนีไฟ อุปกรณ์ป้องกันอันตราย จะเห็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุร้าย
ปี 55 ที่ตลาดเหวี่ยงรุนแรง ลบทีกันเป็นร้อยจุด ผมเข้าใจประเด็นเรื่องนี้ เพราะว่าหุ้นตัวหนึ่งที่มีสัดส่วนค่อนข้างเยอะ กลับไม่ค่อยลง ทำให้ปีนั้นตลาดติดลบ แต่ตัวเองบวกขึ้นมาได้พอสมควร เลยทำให้เข้าใจว่า การป้องกันความเสียหาย บางครั้งถึงจะไม่ใช่การทำกำไรในเชิงรุก แต่มันก็มีความจำเป็นมาก เหมือน "ในการรับก็คือการรุก" เพราะถ้าเราไม่เสียทรัพยากรตรงนี้ไป ยามตลาดคืนกลับมา เราย่อมมีภาษีดีกว่าคนที่เสียหายมากกว่า พอปี 56 ตลาดกลับมาฟื้น พอร์ตก็บวกมากกว่าตลาดมาก
ตั้งแต่นั้นมา ใน "ปรัชญา" การลงทุนของตัวเอง จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่า upside ด้วยซ้ำ บางครั้งหุ้นบางตัว ถ้าเสียจังหวะ ซื้อไม่ได้ราคาขึ้นไป ผมก็จะไม่เสียวินัย ปล่อยเลยตามเลย เน้นการทำกำไรสูงสุดในความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด
เจอแล้วกระซิบผมได้ครับ อ.leky เขียน:ผมว่ามันต้องดูหลาย ๆ วิธีครับ อย่างน้อยมันก็มีอะไรมายืนยันให้เรารู้สึกว่ามันมีความเสี่ยงน้อย ส่วนความรู้สึกพยายามใช้ให้น้อยที่สุดหรือแค่เป็นตัวเสริม
หุ้นหลายตัวเท่าที่ผมลองย้อนดู บางตัวก็หาข้อมูลยากมาก ในห้องร้อยคนบางตัวก็ไม่มีค่อยมีคนโพสต์ หุ้นพวกนั้น แรก ๆ ที่เราจะซื้อ บางทีมันก็ โหวง ๆ ชอบกล เหมือนเราดูมันอยู่คนเดียว บางครั้งเหมือนมันก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า ถ้ามันดีจริงแล้วทำไมคนอื่นเค้าไม่เห็น นลท.มีเป็นแสนคนนะ ข้อมูลหายาก ข้อคิดเห็นหายาก บางทีเราก็ต้องมโนเอาบ้าง ว่าอาจจะเป็น "เพชรในตม"แต่ถ้าเรากล้าที่จะมองหุ้นพวกนั้น ผมเชื่อว่าบางครั้งผลตอบแทนมันก็คุ้มครับ
stress test เหมือนเป็นการดูแบบอ้อม ๆ ใช้ได้ค่อนข้างดี แต่ก็มีข้อจำกัดครับ เพราะถ้าเป็นหุ้นยอดนิยม อาจจะไม่ค่อยเห็นลักษณะดังกล่าว เนื่องจากวอลุมของหุ้นมักจะมาก มีการซื้อขายกันตลอด ยกเว้นว่าตลาดจะแย่อย่างสาหัสจริง ๆดำ เขียน: วิธีการดูราคาหุ้นทำ Stress test ของ อ. ก็น่าจะเป็นวิธีหนึ่งในการดู downside risk ที่ใช้ได้ดีนะครับ
จะว่าไปถ้าดู "ตรรกะ" การเล่นกับ upside นั้น บางครั้งมันก็ดูเหมือนมีเหตุผลที่เราจะทำ และบางครั้งมันก็ทำได้จริง ๆดำ เขียน: ก่อนหน้านี้ผมเองไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้ครับ เลยติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการได้กำไรมาแล้วก็เสียขาดทุนคืนกลับไปอยู่เป็นเวลานานมากๆ จนในที่สุดเมื่อลองพิจารณาดูอย่างจริงจังก็ยอมรับได้ว่า "การที่ประมาทกับความเสี่ยง" นี่แหละ ที่ทำให้เราเดินหน้าไปไม่ได้สักที
มันก็ควรจะถูกต้องอยู่แล้วล่ะครับ เรื่องที่ทั้งบัฟเฟตต์ ทั้งโซรอส ยกให้ตรงกันว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรกในการลงทุน
แก้ไขไม่ยากครับ ฝึกใจให้นิ่ง แล้วนิ่งเฉยกับมันครับ แนะนำว่าให้มีหุ้นในลิสต์หลาย ๆ ตัว ถ้าตัวไหนมันวิ่งขึ้นไปก็ช่างมันครับ เพราะเรายังมีตัวอื่นสำรองไว้อีก ช่วงนี้หุ้นแค่มีข่าวก็พร้อมจะออกวิ่งแล้ว ผมเคยทันในช่วงที่เป็นตลาดหมีในช่วงหลังปี 40 ซึ่งมันซึมยาวมากกว่าตอนซับไพร์มมากครับ ถ้าเราไม่เคยผ่านความรู้สึกตรงนั้น เราจะชินอยู่กับสภาพตลาดในปัจจุบันที่มันพร้อมจะวิ่ง ซึ่งถ้าวันหนึ่ง ตลาดเกิดซึมยาวเราอาจจะอยู่อย่างลำบากครับmaymekung เขียน:อ่านตามมาทั้งหมดได้ความรู้มากมายจาก post ของ พี่ๆครับ
สิ่งที่รู้สึกเป็นกับดัก ที่โดนบ่อยมากช่วงนี้ คือ การกลัวหุ้นจะขึ้นไปก่อนที่เราจะได้ซื้อ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อยครั้ง เราอ่่านๆอยู่ วิ่งไป สิบเปอร์เซ็น
จุดนี้ทำให้การวิเคราะห์ ของเรายังไม่ละเอียดเต็มที่ แต่เราก็ทำการซื้อไปเสียก่อน ซึ่งเป็นความเสี่ยงหลักที่ผมคิดว่าทำร้ายผมมาหลายครั้ง ได้ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา![]()
leky เขียน:มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้อ่านคือ "นักลงทุนดันโด" แปลโดยคุณพรชัยครับ เล่มนี้อาจจะไม่ค่อยเห็นบนแผงแล้ว ผมเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน จำเนื้อหาไม่ค่อยได้ละ แต่สิ่งที่ได้มาเรื่องหนึ่งคือ หนังสือพยายามสอนให้ลงทุนในลักษณะที่ถ้าเราผิดพลาด เราจะเสียหายไม่มาก แต่ถ้ามันใช่ เราจะได้กำไรก้อนใหญ่ ในหนังสือจะมีประโยคทองที่ติดหูว่า "ออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย"
อ.ครับ ช่วยเฉลยหน่อยครับ พอดีพ่นไว้เยอะ เลยนึกไม่ออกจริง ๆ ครับว่าเป็นหุ้นตัวไหนครับdr1 เขียน: ช่วงคำถาม เฮียร้านไดนาโม ถามหุ้น"เกรียน"ที่อ.lekyเปรยไว้ คุณหยงเปิดกร๊าฟ บอก"น่าสนใจ"ต้องตามดูต่อ
เพราะวิแคะกร๊าฟแล้ว เป็นหุ้นเก็งกำไรชัดเจน เงียบแล้วกระชาก แล้วลงมาไกล้เดิม (ฝีมืออ.มั้ยเนี่ย..)