VI บ้าน ๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 933
ขอบคุณค่ะพี่ ddoo7...ถ้าจะตอบว่าสีแดง นั่นคือสิ่งที่ต้องการ...จะดูแข็งๆ และใจร้ายอีกไหมเนี่ย ^__^ddoo7 เขียน:ขอสนับสนุนครับว่า คุณนุช in long run ดีเยี่ยมแน่นอน
แต่ก็ต้องให้กำลังใจคน surprise เค้าบ้างนะครับผมเคย surprise แฟนด้วย ipad
แล้วถูกต่อว่าเหมือนกัน จนฝ่อ ทำให้ไม่อยาก surprise อีกเลย
.
พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ...นุชไม่ได้ว่าอะไรแรงหรอกค่ะ
(ฐานนิสัยไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง หรือขึ้นเสียง
แม้จะตรงไปตรงมามาก แต่เป็นคน soft อยู่เหมือนกันค่ะ)
.
ก็ขอบคุณเขานะคะ แต่แค่เตือนสั้นๆ และย้ำจุดยืน ว่าครั้งหน้าไม่ต้องนะ
เราไม่ได้ต้องการการ surprise จริงๆ แล้วก็ต่อด้วยขำๆ เลยว่า
เนี่ยทำให้เดือดร้อนอีก เขาถามว่าเดือดร้อนอะไร
ก็เดือดร้อนต้องไปหา case มาใส่ไง...พาไปเลย!..
ให้เขาเลือกสีเลือกแบบให้...แค่นี้ก็ยิ้มออกแล้วค่ะ
เราก็ได้บอก และได้ย้ำจุดยืนไปด้วย..เนี่ยแหละค่ะที่บอกว่า "สั้นๆ และไม่ซ้ำๆ" ค่ะพี่
.............
รอๆ นะคะ ว่างๆ จะมาตอบยาวๆ ในประเด็นจุดยืนค่ะ
เผื่อจะเป็นประโยชน์ (อีกแล้ว) น่าจะเชื่อมโยงไปถึงการลงทุนด้วย
โครงที่จะตอบชัดเจนอยู่ในหัวหมดแล้ว
เพราะคือชีวิตประจำวันในทุกๆ เรื่อง รวมทั้งเรื่องการลงทุนด้วย...(แต่ยังไม่ว่างพิมพ์)
ที่ผ่านมาใครอ่านคำตอบแล้วรู้สึกว่าได้ประโยชน์
ต้องขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ช่วยกันถาม และช่วยกันคุยต่อยอดด้วยนะคะ ^__^
บ่อยครั้งเราก็ได้ประโยชน์จากความเห็นที่ต่างกันด้วย
เป็นเรื่อง "ธรรมดา" มากๆ ที่ต้องมีความคิดเห็นที่หลากหลาย ต่างกันบ้าง สอดคล้องกันบ้าง
สำคัญที่สุด คือ ตอนที่ "ตัวเรา" หยิบเอาไปใช้ ต้องใช้ให้เหมาะกับ "บริบทของเรา" นั่นแหละค่ะ..จะเป็นประโยชน์ที่สุด
............
รอนิดนึงนะคะ...จะมาเขียนต่อ ^__^
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 936
รายการเม่าปีกเหล็กตอน
“เม่านักลงทุนเน้นคุณค่าสไตล์ VI”
...................
นายกโจของพวกเรา ในรายการเม่าปีกเหล็กค่ะ
กับเส้นทาง 17 ปี ของการลงทุน (15 ปีกับแนว VI)
...................
ซื้อหุ้นบริษัทใดก็ตาม ต้องรู้ที่มาของรายได้
“เจ้ามือตัวจริง” คือ “ผลประกอบการของบริษัท”
....................
เลือกหุ้น ดูอะไรบ้าง ?
1. “ดูงบดุล” ถ้า DEสูงตัดทิ้งก่อน
2. ดูผู้บริหาร (ต้องใช้เวลาติดตามนานหน่อยแต่คุ้ม)
3. ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่
4. กำไรต้องเติบโต (เป็นผลมาจากข้อ 1-3 )
.....................
แนะนำนักลงทุนอย่างไร?
.
ให้ยึดมั่นในแก่นแท้ของการลงทุนแนววีไอ
1. ซื้อหุ้นคือซื้อธุรกิจ
2. ต้องประเมินมูลค่าของกิจการได้
3. ซื้อหุ้นตอนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าเสมอ
4. การบริหารอารมณ์_แยกตัวออกจากตลาดให้ได้
(ข้อนี้คุณโจพูดสนุกมากๆ เป็นเรื่องที่ฟังดูง่ายๆ
แต่คนทั่วไปมักจะทำไม่ได้)
..................
เป้าหมายสุงสุดเงินทองที่หามาได้
ถึงจุดหนึ่งตั้งใจจะคืนสู่สังคม
.
เท่าที่ทราบ คุณโจ (และนักลงทุนอีกหลายๆ ท่าน)
คืนกลับสู่สังคมสม่ำเสมอ แม้ยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่ตั้งใจไว้ค่ะ
.....................
เสียดาย.. เวลาสั้นไป กำลังเพลินๆ จบเสียแล้ว
http://www.stock2morrow.com/video2.php
“เม่านักลงทุนเน้นคุณค่าสไตล์ VI”
...................
นายกโจของพวกเรา ในรายการเม่าปีกเหล็กค่ะ
กับเส้นทาง 17 ปี ของการลงทุน (15 ปีกับแนว VI)
...................
ซื้อหุ้นบริษัทใดก็ตาม ต้องรู้ที่มาของรายได้
“เจ้ามือตัวจริง” คือ “ผลประกอบการของบริษัท”
....................
เลือกหุ้น ดูอะไรบ้าง ?
1. “ดูงบดุล” ถ้า DEสูงตัดทิ้งก่อน
2. ดูผู้บริหาร (ต้องใช้เวลาติดตามนานหน่อยแต่คุ้ม)
3. ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่
4. กำไรต้องเติบโต (เป็นผลมาจากข้อ 1-3 )
.....................
แนะนำนักลงทุนอย่างไร?
.
ให้ยึดมั่นในแก่นแท้ของการลงทุนแนววีไอ
1. ซื้อหุ้นคือซื้อธุรกิจ
2. ต้องประเมินมูลค่าของกิจการได้
3. ซื้อหุ้นตอนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าเสมอ
4. การบริหารอารมณ์_แยกตัวออกจากตลาดให้ได้
(ข้อนี้คุณโจพูดสนุกมากๆ เป็นเรื่องที่ฟังดูง่ายๆ
แต่คนทั่วไปมักจะทำไม่ได้)
..................
เป้าหมายสุงสุดเงินทองที่หามาได้
ถึงจุดหนึ่งตั้งใจจะคืนสู่สังคม
.
เท่าที่ทราบ คุณโจ (และนักลงทุนอีกหลายๆ ท่าน)
คืนกลับสู่สังคมสม่ำเสมอ แม้ยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่ตั้งใจไว้ค่ะ
.....................
เสียดาย.. เวลาสั้นไป กำลังเพลินๆ จบเสียแล้ว
http://www.stock2morrow.com/video2.php
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 937
อย่ามองข้าม “เครดิตภาษีเงินปันผล”
(Theenuch_Team Money Talk 4)
................... ตอนผู้เขียนเริ่มลงทุนใหม่ๆ นั้น หวังแค่
"ปันผล" ในอัตรามากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร
เพื่อที่..ตอนเกษียณ (อายุ 60 ปี) จะได้ปันผล
มาสมทบกับบำนาญ (สัก 30% ของบำนาญก็ยังดี)
สำหรับ "ขรก.บำนาญ" ที่เบิกค่ารักษาพยาบาลได้
ก็คงเพียงพอ ไม่ต้องรบกวนลูกจนเกินไป
....................
เลือกลงทุนแนว VI ในหุ้นของบริษัทที่เติบโต
ยอดขาย (รายรับ) เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม
(หุ้นบางตัวไม่จ่ายปันผล...แต่นำเงินไปลงทุนต่อ)
.
นับถึงตอนนี้ ลงทุนมาเกือบ 5 ปี (ครบ มีค.58)
สิ่งที่เพิ่มมา โดยที่ไม่ได้ตั้งเป็นเป้าหมายหลัก
คือ พอร์ตที่โตขึ้นบ้าง เพราะราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ตามผลประกอบการที่ดี ของบริษัทนั่นเอง
....................
ทุนเราน้อย...ไม่กล้าตั้งเป้าเรื่องขนาดพอร์ตค่ะ
เงินจากการทำงาน..ปันผล และผลตอบแทนที่ได้
นำกลับไปลงทุนเพิ่ม อย่างสม่ำเสมอ
.
การลงทุนที่ถูกแนว วินัย การมองภาพใหญ่ชัดเจน
จะช่วยให้เราไม่รีบเอาดอกผลของเงินมาใช้
เพื่อความสนุกเพลิดเพลินเฉพาะหน้าเสียก่อน
และการทบต้น จะช่วยให้ก้าวหน้าได้เร็วค่ะ
พอร์ตจึงค่อยๆ โตขึ้นตามอัตภาพ
.
คือหนทางสำหรับคนที่ไม่ได้รวยมาแต่ต้น
ใครอยู่ในข่ายนี้...ทำตามได้ค่ะ...อย่าท้อ
ก้มหน้า ก้มตา ทำของเราไป...อย่างมุ่งมั่น
วันข้างหน้า ย่อมได้รับ "ผล" ที่ "สมควรแก่เหตุ" ค่ะ
....................
อีกอย่างที่เพิ่มขึ้น แม้ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ก็คือ
“เครดิตภาษีเงินปันผล” ปี 57 เพิ่มจากปี 56 พอควร
อย่ามองข้าม “เครดิตภาษีเงินปันผล” กันนะคะ
มีเวลาอีก 2 เดือน...รีบคำนวณ / รีบยื่นแต่เนิ่นๆ
....................
ปี 56 เป็นปีแรกที่ขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล”
จำได้ว่า...เขียนบทความไว้เรื่องหนึ่ง...เพื่อบอกว่า
“ผลของการประหยัดและออม” นั้นดีอย่างไร
นำมาให้อ่านกันอีกครั้ง ตาม link นี้ค่ะ
.
“เราทำได้_ทุกคนก็ทำได้” (อยากให้อ่านค่ะ)
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/ph ... =3&theater
...............
นำ clip "เครดิตภาษีเงินปันผลอย่างถูกวิธี" มาฝากด้วย
อธิบายได้เข้าใจง่ายมากๆ..click ชมกันเลยค่ะ
.
[youtube]stA1L8GfRYI[/youtube]
..............
เว็บไซต์ "กรมสรรพากร" สำหรับยื่นเสียภาษี online
.
http://epit.rd.go.th/publish/index.php
..............
เว็บไซต์ "ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์" (TSD)
.
http://portal.tsd.co.th/th/index.html
.
ถ้าสมัครเป็นสมาชิกสามารถ download เอกสาร
upload ประกอบการยื่นภาษีได้เลย สะดวกมากค่ะ
.
(Theenuch_Team Money Talk 4)
................... ตอนผู้เขียนเริ่มลงทุนใหม่ๆ นั้น หวังแค่
"ปันผล" ในอัตรามากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร
เพื่อที่..ตอนเกษียณ (อายุ 60 ปี) จะได้ปันผล
มาสมทบกับบำนาญ (สัก 30% ของบำนาญก็ยังดี)
สำหรับ "ขรก.บำนาญ" ที่เบิกค่ารักษาพยาบาลได้
ก็คงเพียงพอ ไม่ต้องรบกวนลูกจนเกินไป
....................
เลือกลงทุนแนว VI ในหุ้นของบริษัทที่เติบโต
ยอดขาย (รายรับ) เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม
(หุ้นบางตัวไม่จ่ายปันผล...แต่นำเงินไปลงทุนต่อ)
.
นับถึงตอนนี้ ลงทุนมาเกือบ 5 ปี (ครบ มีค.58)
สิ่งที่เพิ่มมา โดยที่ไม่ได้ตั้งเป็นเป้าหมายหลัก
คือ พอร์ตที่โตขึ้นบ้าง เพราะราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ตามผลประกอบการที่ดี ของบริษัทนั่นเอง
....................
ทุนเราน้อย...ไม่กล้าตั้งเป้าเรื่องขนาดพอร์ตค่ะ
เงินจากการทำงาน..ปันผล และผลตอบแทนที่ได้
นำกลับไปลงทุนเพิ่ม อย่างสม่ำเสมอ
.
การลงทุนที่ถูกแนว วินัย การมองภาพใหญ่ชัดเจน
จะช่วยให้เราไม่รีบเอาดอกผลของเงินมาใช้
เพื่อความสนุกเพลิดเพลินเฉพาะหน้าเสียก่อน
และการทบต้น จะช่วยให้ก้าวหน้าได้เร็วค่ะ
พอร์ตจึงค่อยๆ โตขึ้นตามอัตภาพ
.
คือหนทางสำหรับคนที่ไม่ได้รวยมาแต่ต้น
ใครอยู่ในข่ายนี้...ทำตามได้ค่ะ...อย่าท้อ
ก้มหน้า ก้มตา ทำของเราไป...อย่างมุ่งมั่น
วันข้างหน้า ย่อมได้รับ "ผล" ที่ "สมควรแก่เหตุ" ค่ะ
....................
อีกอย่างที่เพิ่มขึ้น แม้ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ก็คือ
“เครดิตภาษีเงินปันผล” ปี 57 เพิ่มจากปี 56 พอควร
อย่ามองข้าม “เครดิตภาษีเงินปันผล” กันนะคะ
มีเวลาอีก 2 เดือน...รีบคำนวณ / รีบยื่นแต่เนิ่นๆ
....................
ปี 56 เป็นปีแรกที่ขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล”
จำได้ว่า...เขียนบทความไว้เรื่องหนึ่ง...เพื่อบอกว่า
“ผลของการประหยัดและออม” นั้นดีอย่างไร
นำมาให้อ่านกันอีกครั้ง ตาม link นี้ค่ะ
.
“เราทำได้_ทุกคนก็ทำได้” (อยากให้อ่านค่ะ)
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/ph ... =3&theater
...............
นำ clip "เครดิตภาษีเงินปันผลอย่างถูกวิธี" มาฝากด้วย
อธิบายได้เข้าใจง่ายมากๆ..click ชมกันเลยค่ะ
.
[youtube]stA1L8GfRYI[/youtube]
..............
เว็บไซต์ "กรมสรรพากร" สำหรับยื่นเสียภาษี online
.
http://epit.rd.go.th/publish/index.php
..............
เว็บไซต์ "ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์" (TSD)
.
http://portal.tsd.co.th/th/index.html
.
ถ้าสมัครเป็นสมาชิกสามารถ download เอกสาร
upload ประกอบการยื่นภาษีได้เลย สะดวกมากค่ะ
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 938
ลูกศิษย์ ขอส่งการบ้านตามครับ ทำตามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ขอบคุณมากๆในความรู้ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 939
เยี่ยมเลยค่ะน้องนัท...ดีใจที่รู้ว่ามีคนได้ประโยชน์Nutth147 เขียน:ลูกศิษย์ ขอส่งการบ้านตามครับ ทำตามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ขอบคุณมากๆในความรู้ครับ
อยากบอกว่าชีวิตในทุกๆ วันนี้...แม้จะเป็นนักลงทุนเต็มตัวแล้ว
(เอ๊ะ....หรือว่าอย่างนี้จะดีกว่า...แม้จะเป็น "แม่บ้าน" เต็มตัวแล้ว)
แต่พี่ไม่ต้องการ Maximization ค่ะ อยากมีชีวิตที่ Optimization
สงบเย็น และเป็นประโยชน์ เท่าที่เราจะทำได้
.
ตามแนวทางของอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ครูผู้เปลี่ยนชีวิต
และสอนสิ่งดีๆ การทำดีต่อผู้อื่นเป็นวงกว้างมากๆ
รวมทั้งเป็นแบบอย่างในการทำความดี และการดำเนินชีวิต
และสอนสิ่งดีๆ รวมทั้งธรรมะ...นับครั้งไม่ถ้วน
.
คุณโจ_ลูกอิสาน IDOL คนสำคัญในการต่อสู้ชีวิตบนเส้นทางการลงทุนและการทำดีเพื่อผู้อื่น
รวมทั้งครูบาอาจารย์อีกหลายๆ ท่าน ที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมดค่ะ
.
เมื่ออยู่ในที่ ที่สามารถสร้างประโยชน์เป็นวงกว้างได้พี่จึงยินดีทำเต็มที่ค่ะ
.
พี่ทราบอย่างแท้จริงเลยว่า...ที่ครูบาอาจารย์ทุกท่านบอกว่า
อยากเห็นลูกศิษย์ได้ดี โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนนั้นเป็นอย่างไร
(แต่พี่ไม่บังอาจรับน้องนัทเป็นลูกศิษย์น่ะสิ
เนื่องจากพี่ยังไม่เก่งพอจะเป็นอาจารย์ของใคร...เป็นน้องนัทเหมือนเดิมนะคะ)
.
และพี่เชื่อว่าน้องนัท รวมทั้งพี่ๆ น้องๆ ในกระทู้เราก็เช่นกัน
ที่ปรารถนาจะส่งต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้คนรอบตัว
เท่าที่ศักยภาพของเราจะทำได้
ขอบคุณน้องนัทที่มาเล่าให้ทราบนะคะ...ชื่นใจไปด้วยกัน...เนอะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 940
อยู่ใกล้ๆ ความธรรมดา
(Theenuch_Team Money Talk 4)
.................. ตั้งแต่ลูกเล็กๆ เวลาเดินทางไกล ลูกขอแวะปั๊ม
จะซื้อน้ำเย็น..ถ้ามีน้ำดื่มอยู่แล้ว..จะไม่แวะให้ค่ะ
ขวดเก่าที่หายเย็น ก็ดื่มได้...ถ้าซื้อใหม่..ดื่มไม่หมด
ก็หายเย็นอีก..ถ้าไม่ดื่ม..ก็ต้องซื้อใหม่ไปเรื่อย
.
แก้โดยการ "ใช้เงินซื้อ" ไม่แก้ที่ใจ ก็ไม่รู้จบ
.
"น้ำธรรมดา" มันไม่เย็น...ติดดื่มน้ำเย็น "เดี๋ยวอยู่ยาก"
.................
สอนไปว่า...ให้คิดว่าเราได้อะไร อย่าคิดว่า
เรา "ไม่ได้" หรือ "อด" อะไร และ "อย่าเยอะ"
1.กระหายน้ำ_ได้ดื่ม "น้ำธรรมดา" (พอใจ)
2.กระหาย "น้ำเย็น"_ได้ดื่ม "น้ำธรรมดา" (เซ็ง)
.
สถานการณ์ 1 กับ 2 มีผลต่อจิตใจต่างกัน
เลือกคิดแบบไหน...ก็ได้รับผลแบบนั้นค่ะ
ถ้าเรื่องเล็กๆ...อย่าง "ดื่มน้ำ"..สร้างความขุ่นมัวได้
แล้วชีวิตที่เหลือ ทั้งชีวิต...จะยังไง?
................
ฝึกให้ลูกวิ่งฝ่าฝนปรอยๆ..จนชิน
ถ้าตกหนัก ก็รอ..หาอะไรทำ..ไม่หงุดหงิด
.
ที่บ้านไม่เปิดแอร์กลางวัน ปลูกต้นไม้บังแดด
วันที่ร้อนๆ รดน้ำต้นไม้มากๆ ก็เย็นขึ้นแล้ว
(ไม่เปลืองไฟด้วย) เวลาไปที่ๆ ไม่มีแอร์ก็สบาย
ฯลฯ ที่เข้าทำนองนี้..เป็นโอกาสฝึกลูกเสมอ
.
ลูกบอกว่า...ดีจัง ที่เขาถูกเลี้ยงมาแบบนี้
เขารู้สึกว่าตัวเอง "เป็น" "อยู่" ง่ายกว่าค่าเฉลี่ย
..................
ตอนทำงาน ใน รพ.เล็กๆ ไปซื้ออาหารทีไร
เจอคนที่ *บ่นทุกวัน* (เป็นปีๆ..สะกดจิตกันไปมา)
(มีน้อยอย่าง..น่าบื่อ..ยิ่งบ่น..ก็ยิ่งเบื่อ..รึเปล่า?)
.
กับข้าวผัดๆ กว่าสิบถาด ปลาทอด ต้มยำ/แกงจีด
ยังมีก๋วยเต๊่ยวอีก..เรางี้ ต้อง "เล็งไว้_พรุ่งนี้" เลย
เราก็ว่าอร่อยดีนะ (เอ่อ..หรือเราจะ..ไร้รสนิยม)
.
หลายคน..ออกไปทานข้างนอกแทบทุกวัน
นึกภาพ...ถนนรังสิต-นครนายก คลองสิบ
รวมยูเทิร์น ไป-กลับ ปาเข้าไปเกือบ 10 กม.
หนึ่งอิ่มนั้น ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยใช่เหตุเลย
.
เราจะไปกับกลุ่มบ้าง...ในโอกาสที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
(พอใจ..ง่ายจัง.."ตังค์ก็เหลือ"..เป็นธรรมดา ^__* )
..................
(ย้ำ) แก้โดยการใช้ "เงินซื้อ" ไม่แก้ที่ใจ ก็ไม่รู้จบ
มีเงินน้อย ใช้ผิดวิธีอีก ในที่สุดก็เป็นหนี้ เป็นสิน
มีเงินมาก เท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าตามแก้ "ความธรรมดา"
แทนที่จะทำใจให้รู้จัก และ "อยู่กับ ความธรรมดาให้ได้"
.................
ควรฝึกให้ลูก "ทน / รอ / ไม่ได้ดั่งใจ" บ้าง
เวลาที่เขาต้องไปเกี่ยวข้องกับโลก จะได้อยู่ง่าย
(ไม่ทุกข์ ไม่เบื่อ ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ง่ายเกิน ด้วยค่ะ)
.
ถ้าได้เจอแต่สิ่งที่ดีๆ...ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตไป
.................
การไม่ขุ่นมัวง่าย ไม่เสียเวลา / อารมณ์ / self
ไม่มัว "ติดขัด" กับภาวะเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
จะ "พัฒนาง่าย" ก้าวไปข้างหน้าได้เร็ว..ในทุกเรื่อง
.................
อยู่ใกล้ๆ ความธรรมดา...กันเถอะค่ะ
ชีวิตเรา จะเบา..สบาย ย ย ย ย...จริงๆ ค่ะ
.
(Theenuch_Team Money Talk 4)
.................. ตั้งแต่ลูกเล็กๆ เวลาเดินทางไกล ลูกขอแวะปั๊ม
จะซื้อน้ำเย็น..ถ้ามีน้ำดื่มอยู่แล้ว..จะไม่แวะให้ค่ะ
ขวดเก่าที่หายเย็น ก็ดื่มได้...ถ้าซื้อใหม่..ดื่มไม่หมด
ก็หายเย็นอีก..ถ้าไม่ดื่ม..ก็ต้องซื้อใหม่ไปเรื่อย
.
แก้โดยการ "ใช้เงินซื้อ" ไม่แก้ที่ใจ ก็ไม่รู้จบ
.
"น้ำธรรมดา" มันไม่เย็น...ติดดื่มน้ำเย็น "เดี๋ยวอยู่ยาก"
.................
สอนไปว่า...ให้คิดว่าเราได้อะไร อย่าคิดว่า
เรา "ไม่ได้" หรือ "อด" อะไร และ "อย่าเยอะ"
1.กระหายน้ำ_ได้ดื่ม "น้ำธรรมดา" (พอใจ)
2.กระหาย "น้ำเย็น"_ได้ดื่ม "น้ำธรรมดา" (เซ็ง)
.
สถานการณ์ 1 กับ 2 มีผลต่อจิตใจต่างกัน
เลือกคิดแบบไหน...ก็ได้รับผลแบบนั้นค่ะ
ถ้าเรื่องเล็กๆ...อย่าง "ดื่มน้ำ"..สร้างความขุ่นมัวได้
แล้วชีวิตที่เหลือ ทั้งชีวิต...จะยังไง?
................
ฝึกให้ลูกวิ่งฝ่าฝนปรอยๆ..จนชิน
ถ้าตกหนัก ก็รอ..หาอะไรทำ..ไม่หงุดหงิด
.
ที่บ้านไม่เปิดแอร์กลางวัน ปลูกต้นไม้บังแดด
วันที่ร้อนๆ รดน้ำต้นไม้มากๆ ก็เย็นขึ้นแล้ว
(ไม่เปลืองไฟด้วย) เวลาไปที่ๆ ไม่มีแอร์ก็สบาย
ฯลฯ ที่เข้าทำนองนี้..เป็นโอกาสฝึกลูกเสมอ
.
ลูกบอกว่า...ดีจัง ที่เขาถูกเลี้ยงมาแบบนี้
เขารู้สึกว่าตัวเอง "เป็น" "อยู่" ง่ายกว่าค่าเฉลี่ย
..................
ตอนทำงาน ใน รพ.เล็กๆ ไปซื้ออาหารทีไร
เจอคนที่ *บ่นทุกวัน* (เป็นปีๆ..สะกดจิตกันไปมา)
(มีน้อยอย่าง..น่าบื่อ..ยิ่งบ่น..ก็ยิ่งเบื่อ..รึเปล่า?)
.
กับข้าวผัดๆ กว่าสิบถาด ปลาทอด ต้มยำ/แกงจีด
ยังมีก๋วยเต๊่ยวอีก..เรางี้ ต้อง "เล็งไว้_พรุ่งนี้" เลย
เราก็ว่าอร่อยดีนะ (เอ่อ..หรือเราจะ..ไร้รสนิยม)
.
หลายคน..ออกไปทานข้างนอกแทบทุกวัน
นึกภาพ...ถนนรังสิต-นครนายก คลองสิบ
รวมยูเทิร์น ไป-กลับ ปาเข้าไปเกือบ 10 กม.
หนึ่งอิ่มนั้น ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยใช่เหตุเลย
.
เราจะไปกับกลุ่มบ้าง...ในโอกาสที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
(พอใจ..ง่ายจัง.."ตังค์ก็เหลือ"..เป็นธรรมดา ^__* )
..................
(ย้ำ) แก้โดยการใช้ "เงินซื้อ" ไม่แก้ที่ใจ ก็ไม่รู้จบ
มีเงินน้อย ใช้ผิดวิธีอีก ในที่สุดก็เป็นหนี้ เป็นสิน
มีเงินมาก เท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าตามแก้ "ความธรรมดา"
แทนที่จะทำใจให้รู้จัก และ "อยู่กับ ความธรรมดาให้ได้"
.................
ควรฝึกให้ลูก "ทน / รอ / ไม่ได้ดั่งใจ" บ้าง
เวลาที่เขาต้องไปเกี่ยวข้องกับโลก จะได้อยู่ง่าย
(ไม่ทุกข์ ไม่เบื่อ ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ง่ายเกิน ด้วยค่ะ)
.
ถ้าได้เจอแต่สิ่งที่ดีๆ...ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตไป
.................
การไม่ขุ่นมัวง่าย ไม่เสียเวลา / อารมณ์ / self
ไม่มัว "ติดขัด" กับภาวะเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
จะ "พัฒนาง่าย" ก้าวไปข้างหน้าได้เร็ว..ในทุกเรื่อง
.................
อยู่ใกล้ๆ ความธรรมดา...กันเถอะค่ะ
ชีวิตเรา จะเบา..สบาย ย ย ย ย...จริงๆ ค่ะ
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 941
บางที่การได้รู้ที่มาของสิ่งต่างๆ ก็ทำให้เราสำนึกได้ว่าเราควรจะใช้สิ่งนั้นสักเท่าไรดี
ผมได้มีโอกาศไปทำงานที่แม่เมาะ ผมเป็นทีมงานคนแรกๆที่ต้องเข้าไปเพื่อไปคิด สตอรีบอร์ด
ก่อนไปผมเองก็มีความรู้สึกว่า แม่เมาะแย่ แต่ก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง
พอไปผมขอให้เจ้าหน้าที่พาไปดูในทุกส่วนที่ผมพอจะเข้าไปได้ ผมลงไปที่เหมืองถ่ายหิน
ไปดูสายพานลำเลียงถ่ายหิน เข้าไปในโรงงานไปดูการนำถ่านหินมาผลิตให้เป็นไฟฟ้า
ไปในหมู่บ้านรอบๆ ซึ่งผมได้พบว่า ... (นอกจากเรื่องงาน)
...ผมเข้าใจที่มาของไฟฟ้า ที่เราใช้ๆกันอยู่ ผมเข้าใจแล้วว่า ที่เราต้องใช้ถ่ายหินเพราะทำให้ ราคาไฟฟ้า ไม่แพง (นิวเครีย์ถูกกว่า แต่ไม่ควรสร้าง) สิ่งที่เกิดถัดมา คือ แทนที่ผมจะโทษแม่เมาะโทษโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ผมใช้ไฟฟ้าลดลง เพราะผมรู้แล้วว่า ไฟฟ้ามายังไง เราต้องเสียอะไรไปบ่างเพื่อให้ได้ไฟฟ้ามาใช้
(หลังจากที่ผมมาได้นิสัยการทำตารางจากพี่) อันนี้คือค่าไฟฟ้าของผมครับ
ปล การสอนเด็กๆให้เห็นถึงที่มาของสิ่งต่างๆน่าจะช่วยให้เข้าเข้าใจการใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างที่ควรเป็น
ผมได้มีโอกาศไปทำงานที่แม่เมาะ ผมเป็นทีมงานคนแรกๆที่ต้องเข้าไปเพื่อไปคิด สตอรีบอร์ด
ก่อนไปผมเองก็มีความรู้สึกว่า แม่เมาะแย่ แต่ก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง
พอไปผมขอให้เจ้าหน้าที่พาไปดูในทุกส่วนที่ผมพอจะเข้าไปได้ ผมลงไปที่เหมืองถ่ายหิน
ไปดูสายพานลำเลียงถ่ายหิน เข้าไปในโรงงานไปดูการนำถ่านหินมาผลิตให้เป็นไฟฟ้า
ไปในหมู่บ้านรอบๆ ซึ่งผมได้พบว่า ... (นอกจากเรื่องงาน)
...ผมเข้าใจที่มาของไฟฟ้า ที่เราใช้ๆกันอยู่ ผมเข้าใจแล้วว่า ที่เราต้องใช้ถ่ายหินเพราะทำให้ ราคาไฟฟ้า ไม่แพง (นิวเครีย์ถูกกว่า แต่ไม่ควรสร้าง) สิ่งที่เกิดถัดมา คือ แทนที่ผมจะโทษแม่เมาะโทษโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ผมใช้ไฟฟ้าลดลง เพราะผมรู้แล้วว่า ไฟฟ้ามายังไง เราต้องเสียอะไรไปบ่างเพื่อให้ได้ไฟฟ้ามาใช้
(หลังจากที่ผมมาได้นิสัยการทำตารางจากพี่) อันนี้คือค่าไฟฟ้าของผมครับ
ปล การสอนเด็กๆให้เห็นถึงที่มาของสิ่งต่างๆน่าจะช่วยให้เข้าเข้าใจการใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างที่ควรเป็น
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 942
ยอดเยี่ยมเลยค่ะน้องนัท ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ทราบNutth147 เขียน:บางที่การได้รู้ที่มาของสิ่งต่างๆ ก็ทำให้เราสำนึกได้ว่าเราควรจะใช้สิ่งนั้นสักเท่าไรดี
ผมได้มีโอกาศไปทำงานที่แม่เมาะ ผมเป็นทีมงานคนแรกๆที่ต้องเข้าไปเพื่อไปคิด สตอรีบอร์ด
ก่อนไปผมเองก็มีความรู้สึกว่า แม่เมาะแย่ แต่ก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง
พอไปผมขอให้เจ้าหน้าที่พาไปดูในทุกส่วนที่ผมพอจะเข้าไปได้ ผมลงไปที่เหมืองถ่ายหิน
ไปดูสายพานลำเลียงถ่ายหิน เข้าไปในโรงงานไปดูการนำถ่านหินมาผลิตให้เป็นไฟฟ้า
ไปในหมู่บ้านรอบๆ ซึ่งผมได้พบว่า ... (นอกจากเรื่องงาน)
...ผมเข้าใจที่มาของไฟฟ้า ที่เราใช้ๆกันอยู่ ผมเข้าใจแล้วว่า ที่เราต้องใช้ถ่ายหินเพราะทำให้ ราคาไฟฟ้า ไม่แพง (นิวเครีย์ถูกกว่า แต่ไม่ควรสร้าง) สิ่งที่เกิดถัดมา คือ แทนที่ผมจะโทษแม่เมาะโทษโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ผมใช้ไฟฟ้าลดลง เพราะผมรู้แล้วว่า ไฟฟ้ามายังไง เราต้องเสียอะไรไปบ่างเพื่อให้ได้ไฟฟ้ามาใช้
(หลังจากที่ผมมาได้นิสัยการทำตารางจากพี่) อันนี้คือค่าไฟฟ้าของผมครับ
ปล การสอนเด็กๆให้เห็นถึงที่มาของสิ่งต่างๆน่าจะช่วยให้เข้าเข้าใจการใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างที่ควรเป็น
และขอบคุณแทนสังคมด้วย..อ่านแล้วซึ้งใจค่ะ
...............
ขอเล่าย้อนว่า
ตอนที่คุณ "สืบ นาคาเสถียร" จากไป พี่เศร้ามาก
เพราะติดตามผลงานของท่านมาตลอด...ดู clip นี้ทีไร ยังน้ำตาไหลทุกที
[youtube]j9j_3vrTyyQ[/youtube]
การจากไปของท่านไม่จากไปฟรีๆ แน่นอน
ท่านสอนให้พี่รู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
จริงอยู่ แม้ทุกสิ่งยังคงต้องดำเนินต่อไป
พวกเราก็ต้องใช้ไฟฟ้า ใช้พลังงาน
แต่พี่ตั้งปณิธานว่าจะใช้อย่างคุ้มค่า
ให้สมกับการจากไปของท่าน และสอนลูกด้วยค่ะ
............
พี่สอนแบบที่น้องนัทบอกเสมอค่ะ
ทุกๆ เรื่องต้องรู้ที่มาที่ไป และรู้คุณค่า
ถ้าเป็นไปได้ต้องให้ "กระทบความรู้สึกด้วย" จะได้ผลดีมาก
ยังมีอีกหลายเรื่องที่สอนลูกแบบที่คนทั่วไปที่มีกินมีใช้แล้ว อาจเห็นว่าไม่จำเป็น
เพราะเรามีเงินซื้อ เราสามารถมีมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ดี จะไปรับรู้คนที่ลำบากเพื่ออะไร
แต่พี่ก็ยืนยันที่จะสอน
............
ชอบให้เขาดูพวกรายการ "คน ค้น คน"
มีอยู่ครั้งนึง เป็นเรื่องของครอบครัวยากจน
ที่มีลูก 3-4 คน นั่งล้อมวงทานอาหารเช้า
ทุกคนมีข้าวเหนียว แต่ไข่ต้มนั้นมีอยู่แค่ฟองเดียว
เด็กเล็กๆ แต่ละคนค่อยๆ ใช้เล็บจิกไข่คนละเล็กละน้อย
อาศัยเพิ่มรสชาติด้วยแจ่ว น้ำปลา พริกป่น ทานข้าวเหนียวเยอะๆ
พี่คนโตทานแต่ข้าวเหนียว กับแจ่ว...ให้ลูกดูและสอนเขาไปด้วย
รองเท้านักเรียนขาดนิ้วเท้าโผล่มาเกือบครบทุกนิ้ว
เป็นของที่คนฐานะดีกว่าใส่คับแล้ว นำมาบริจาคให้
เด็กคนที่ไม่มีขนาดรองเท้านักเรียนที่บริจาคพอดีกับเท้าตัวเอง
ก็ใส่รองเท้าแตะ (มือสอง)ไป พอได้กันความร้อน จากถนน ฯลฯ
..............
บ้านเราคงไม่มีวันกลับไปฐานะแบบนั้นหรอก
แต่ที่ให้เขาดูอยากให้เขารู้จักเห็นใจผู้อื่น
และรับรู้ว่าตัวเองนั้นมีชีวิตที่ถือว่าดีพอสมควรแล้ว
อยากให้ใช้ของให้คุ้มค้าที่สุดค่ะ
ถ้าคับใส่ไม่ได้แล้วแต่สภาพยังดี ก็นำไปบริจาคกันเสมอๆ
และถ้ามีโอกาสช่วยเหลือ ก็ควรช่วยค่ะ
...............
ตอนนี้ เวลาที่ลูกใช้ internet พบว่าเขาชอบดูอะไรที่มีประโยชน์
หลายๆ ครั้งเขาเรียกพี่ไปดูด้วย เช่น ครั้งหนึ่งเป็นซากสัตว์ที่เนาเปื่อย
เกือบเหลือแต่โครงกระดูกแล้วพบว่ามีขยะชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย
พวกพลาสติกที่ย่อยไม่ได้อยู่ในท้อง
เขาดูแล้วบอกว่าเศร้า ที่อาหารตามธรรมชาติขาดแคลน
และคนก็ทั้งขยะกันไม่เป็นที่ เขาสนใจเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้วค่ะ
................
เขาเรียนเก่งเราก็ดีใจ แต่เทียบความรู้สึก ที่รู้ว่าเขามีจิตใจเป็นนักอนุรักษ์
และยังมีจิตสาธารณะด้วยไม่ได้เลย อย่างหลังนี่ปลื้มใจกว่ามากค่ะ
ที่โรงเรียนผู้ปกครองท่านอื่น เดินปรี่เขามาหา เมื่อรู้ว่าเราคือคุณแม่ของลูก
มาบอกว่าลูกคุณเก็บขยะในสนามประจำ เค้าเห็นอยู่เสมอ
บางครั้งก็สอนลูกเค้าซึ่งเป็นเด็กเล็กกว่าด้วยด้วยเค้ารู้สึกขอบคุณ และดีใจแทน
................
พี่เชื่อว่าน้องนัทเองถ้ามีลูกก็คงสอนแบบเดียวกับพี่
เพราะเราก็คล้ายๆ กันอยู่หลายอย่างนะคะ...ดีใจค่ะ
ช่วยกันคนละเล็กละน้อย เท่าที่เราจะสามารถ
................
เมื่อปีใหม่ไปเที่ยวเหนือ ได้ไปทำสิ่งดีๆ หลายเรื่อง
ค่อยทยอยเล่าใน fb money talk และจำนำมาฝากในกระทู้เราเช่นเคยค่ะ
ติดไว้อีกแล้ว...เรื่อง "จุดยืน" ที่ติดไว้
ก็ยังไม่มีเวลาเขียนเลย..ยังไม่ลืมค่ะ จะมาเล่าแน่นอน...รอนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 943
รออ่านอย่างแน่นอนด้วยคนนะคะ คุณนุช
ขอบคุณทุกๆท่านที่แบ่งปันค่ะ _/l\_
ขอบคุณทุกๆท่านที่แบ่งปันค่ะ _/l\_
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-
- Verified User
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 944
รออานต่อ..จุดยืนต้องขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ช่วยกันถาม และช่วยกันคุยต่อยอดด้วยนะคะ ^__^
แต่กับผมเอง ผมคงยัง surprise ตามวาระโอกาสเหมาะเสมอนะ
ผมคงคิดว่าของขวัญกับคนที่เรารัก ในวันเกิด ปีใหม่ วันสงกรานต์เป็นสิ่งที่เหมาะควรทำ ควรให้คนรัก พ่อแม่ พี่น้องเรา
และทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเรารู้ และเข้าใจด้วย
หลังเกษียณ ผมมีเวลามากขึ้น นอกจากต้องขึ้นเตียงผ่าตัดแล้ว
ก็ไปจาริกแสวงบุญสังเวชสถาน อินเดียด้วย ได้ข้อคิดกลับมาคิดทั้งทางโลกทางธรรม
น่าเสียดายที่เรามักจะไปปารีส ปราก สวิส รึฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี แต่ไม่อยากไปอินเดีย
ทั้งที่เป็นต้นเค้า บ่อเกิดอารยธรรมบ้านเรา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 946
สงสัยตอนเขียนเรื่อง surprise นุชสื่อสารไม่ค่อยดี หรือไม่ละเอียดพอแน่เลยddoo7 เขียน:รออานต่อ..จุดยืนต้องขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ช่วยกันถาม และช่วยกันคุยต่อยอดด้วยนะคะ ^__^
แต่กับผมเอง ผมคงยัง surprise ตามวาระโอกาสเหมาะเสมอนะ
ผมคงคิดว่าของขวัญกับคนที่เรารัก ในวันเกิด ปีใหม่ วันสงกรานต์เป็นสิ่งที่เหมาะควรทำ ควรให้คนรัก พ่อแม่ พี่น้องเรา
และทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเรารู้ และเข้าใจด้วย
หลังเกษียณ ผมมีเวลามากขึ้น นอกจากต้องขึ้นเตียงผ่าตัดแล้ว
ก็ไปจาริกแสวงบุญสังเวชสถาน อินเดียด้วย ได้ข้อคิดกลับมาคิดทั้งทางโลกทางธรรม
น่าเสียดายที่เรามักจะไปปารีส ปราก สวิส รึฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี แต่ไม่อยากไปอินเดีย
ทั้งที่เป็นต้นเค้า บ่อเกิดอารยธรรมบ้านเรา
อยากบอกว่า...หมายถึงแค่ส่วนของตัวเองคนเดียวเท่านั้นค่ะ
ที่ตัวเราไม่ได้ต้องการของขวัญในโอกาสพิเศษและ surprise ใดๆ
แต่ถามว่าให้คนอื่นเป็นไหม ขอตอบว่ายังให้เป็นอยู่คะพี่
และเห็นด้วยกับสีน้ำเงินเลยค่ะพี่ ddoo7
พี่ขึ้นเตียงผ่าตัดเป็นอะไรหรือคะ
แต่คงหายดีแล้วนะคะ..ไปจาริกแสวงบุญหลังจากนั้น
"จาริกแสวงบุญสังเวชสถาน อินเดีย" น่าสนใจมากๆ
ถ้าพอมีเวลารบกวนพี่เล่าถึง บรรยากาศและข้อคิดที่ได้กลับมาด้วยได้มั้ย
เวลาแล้วแต่พี่สะดวกนะคะ...ทยอยเล่าทีละเล็กละน้อยก็ได้นะคะ
ขอบคุณมากเลยค่ะพี่ ddoo7
ส่วน "จุดยืน" รออีกนิดนะคะ...ไม่ลืมแน่นอนค่ะ
ตอนนี้ตัวข้าพเจ้าต้องไปหา "จุดนอน" ก่อนแล้วค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 947
อยากให้พวกเราได้อ่านค่ะ...ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ ด้วยค่ะ
ผมเองเคยมีความอยากได้อะไรหลายๆอย่างตั้งแต่เด็กจนโต
...เคยอยากได้ปืนอัดลมอย่างมาก ทนเก็บเงินวันละบาทอยู่ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
...เคยอยากได้รถจักรยานแบบที่มีเครื่องยนต์ปรับเป็นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใช้น้ำมัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
...เคยเดินดูรถเก่าแบบที่เก่ามากๆแต่ราคาไม่แพง อยากได้ใจแทบขาด แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
...เคยเดินดูรถใหม่ รุ่นที่ชอบ จอดอยู่ตามอพาทเม้นท์ของฝรั่งตอนไปเรียนหนังสือ
ตั้งใจจะต้องซื้อสักคันเมื่อทำงาน แต่พอทำงานมีเงินเดือนเป็นเงินเหรียญ
ก็ไปซื้อรถเก่าของเพื่อนนักเรียนที่จะกลับเมืองไทย
...เคยอยากได้พระเครื่องโดยเฉพาะพระสมเด็จที่หวังไว้ตั้งแต่ยังเรียน รร.เตรียม
แต่ก็ยังไม่เคยเช่าพระสมเด็จองค์สมบูรณ์เหมือนที่คนอื่นมีและตัวเองที่เคยอยากได้
...เคยอยากได้รถนำเข้า รูปทรงที่ชอบมาก ราคาไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นเข้าของเหมือนกัน
สรุปแล้ว ความอยากได้ ไม่ได้แปลว่าเมื่อเรามีโอกาสแล้วจะได้ซื้อหามาให้ได้ตามความอยาก
ไม่ได้แปลว่ามีเงินแล้ว จะต้องใช้เงินสนองความอยากนั้นเสมอไป
..............พวกเราว่าจริงไหมครับ
...................................
มื่อสัปดาห์ก่อนได้คุยกับพวกเราไปเรื่องการมัธยัสถ์และพอเพียง
วันนี้ว่ากันต่ออีกวันนะครับ
....................
ผมเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านๆมาในชีวิต
เคยอยากได้อะไรหลายอย่าง แต่พอมีโอกาสก็ไม่ได้ใช้เงินทองซื้อหาสิ่งเหล่านั้น
สรุปแล้ว ความอยากได้ ไม่ได้แปลว่าเมื่อเรามีโอกาสแล้วจะได้ซื้อหามาให้ได้ตามความอยาก
ไม่ได้แปลว่ามีเงินหรือมีโอกาสแล้ว จะต้องใช้เงินสนองความอยากนั้นเสมอไป
...ยิ่งทุกวันนี้ ความอยากค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาและอายุขัยที่มากขึ้น
และตามความก้าวหน้าของหลักยึดที่มีอยู่ เพราะหากเรามีเหตุมีผลมีหลักยึดในการดำเนินชีวิต
...ถึงเราจะมีฐานะ มีเงินทอง ให้จับจ่ายได้ตามอำเภอใจ
แต่หลักยึดของเราจะทำให้เรารู้จักคิดในการใช้เงิน รู้จัดอดออม รู้จักประหยัด รู้จักพอเพียง
ชีวิตผมในทุกวันนี้
...ผมยังเดินต่อของในตลาด ยังรอเวลาให้ห้างลดราคาก่อนไปซื้อของใช้
...ยังซื้อแครอททีละ 10 กก. หากลดราคา และซื้อเพียง 2-3 กก. หากเป็นราคาปกติ
...ยังใช้คูปองลดราคาหรือแถม ที่แจกมากับวารสารหนังสือพิมพ์หรือแผ่นพับ
...ยังซื้อ เสื้อ used ที่มีคนเอามาขายตามแผงในตลาด
...ยังเสียดายอาหารที่คนอื่นกินเหลือ
...ยังเก็บอาหารที่กินเหลือกลับบ้านทุกครั้ง ไม่เคยทิ้ง
...ยังเอาน้ำขวดที่มีอยู่ลงไปกินทุกครั้ง เมื่อแวะกินบะหมี่วิชัย ริมถนนในซอยเอกมัย
...ยังเก็บถุงพลาสติดที่ใส่ของที่ซื้อมาเอาไว้ใส่ขยะ และยังเก็บกล่องพลาสติคที่ใส่อาหารมาล้างเอาไว้ใช้ใหม่
...ยังมีความรู้สึกว่าบ้านที่อยู่ใหญ่เกินไป ห้องที่นอนใหญ่เกินไป และไม่มีความจำเป็น
...และยังทำอีกหลายๆอย่างครับ
แม้ว่าจะเคยมีเพื่อนบางคนบอกว่า มีเงินมากพอแล้ว ไม่เห็นต้องประหยัดอีก
เพราะใช้ยังไงก็ไม่หมดอยู่แล้วชาตินี้
..............พวกเราว่าจริงไหมครับ
ผมเองเคยมีความอยากได้อะไรหลายๆอย่างตั้งแต่เด็กจนโต
...เคยอยากได้ปืนอัดลมอย่างมาก ทนเก็บเงินวันละบาทอยู่ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
...เคยอยากได้รถจักรยานแบบที่มีเครื่องยนต์ปรับเป็นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใช้น้ำมัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
...เคยเดินดูรถเก่าแบบที่เก่ามากๆแต่ราคาไม่แพง อยากได้ใจแทบขาด แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
...เคยเดินดูรถใหม่ รุ่นที่ชอบ จอดอยู่ตามอพาทเม้นท์ของฝรั่งตอนไปเรียนหนังสือ
ตั้งใจจะต้องซื้อสักคันเมื่อทำงาน แต่พอทำงานมีเงินเดือนเป็นเงินเหรียญ
ก็ไปซื้อรถเก่าของเพื่อนนักเรียนที่จะกลับเมืองไทย
...เคยอยากได้พระเครื่องโดยเฉพาะพระสมเด็จที่หวังไว้ตั้งแต่ยังเรียน รร.เตรียม
แต่ก็ยังไม่เคยเช่าพระสมเด็จองค์สมบูรณ์เหมือนที่คนอื่นมีและตัวเองที่เคยอยากได้
...เคยอยากได้รถนำเข้า รูปทรงที่ชอบมาก ราคาไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นเข้าของเหมือนกัน
สรุปแล้ว ความอยากได้ ไม่ได้แปลว่าเมื่อเรามีโอกาสแล้วจะได้ซื้อหามาให้ได้ตามความอยาก
ไม่ได้แปลว่ามีเงินแล้ว จะต้องใช้เงินสนองความอยากนั้นเสมอไป
..............พวกเราว่าจริงไหมครับ
...................................
มื่อสัปดาห์ก่อนได้คุยกับพวกเราไปเรื่องการมัธยัสถ์และพอเพียง
วันนี้ว่ากันต่ออีกวันนะครับ
....................
ผมเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านๆมาในชีวิต
เคยอยากได้อะไรหลายอย่าง แต่พอมีโอกาสก็ไม่ได้ใช้เงินทองซื้อหาสิ่งเหล่านั้น
สรุปแล้ว ความอยากได้ ไม่ได้แปลว่าเมื่อเรามีโอกาสแล้วจะได้ซื้อหามาให้ได้ตามความอยาก
ไม่ได้แปลว่ามีเงินหรือมีโอกาสแล้ว จะต้องใช้เงินสนองความอยากนั้นเสมอไป
...ยิ่งทุกวันนี้ ความอยากค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาและอายุขัยที่มากขึ้น
และตามความก้าวหน้าของหลักยึดที่มีอยู่ เพราะหากเรามีเหตุมีผลมีหลักยึดในการดำเนินชีวิต
...ถึงเราจะมีฐานะ มีเงินทอง ให้จับจ่ายได้ตามอำเภอใจ
แต่หลักยึดของเราจะทำให้เรารู้จักคิดในการใช้เงิน รู้จัดอดออม รู้จักประหยัด รู้จักพอเพียง
ชีวิตผมในทุกวันนี้
...ผมยังเดินต่อของในตลาด ยังรอเวลาให้ห้างลดราคาก่อนไปซื้อของใช้
...ยังซื้อแครอททีละ 10 กก. หากลดราคา และซื้อเพียง 2-3 กก. หากเป็นราคาปกติ
...ยังใช้คูปองลดราคาหรือแถม ที่แจกมากับวารสารหนังสือพิมพ์หรือแผ่นพับ
...ยังซื้อ เสื้อ used ที่มีคนเอามาขายตามแผงในตลาด
...ยังเสียดายอาหารที่คนอื่นกินเหลือ
...ยังเก็บอาหารที่กินเหลือกลับบ้านทุกครั้ง ไม่เคยทิ้ง
...ยังเอาน้ำขวดที่มีอยู่ลงไปกินทุกครั้ง เมื่อแวะกินบะหมี่วิชัย ริมถนนในซอยเอกมัย
...ยังเก็บถุงพลาสติดที่ใส่ของที่ซื้อมาเอาไว้ใส่ขยะ และยังเก็บกล่องพลาสติคที่ใส่อาหารมาล้างเอาไว้ใช้ใหม่
...ยังมีความรู้สึกว่าบ้านที่อยู่ใหญ่เกินไป ห้องที่นอนใหญ่เกินไป และไม่มีความจำเป็น
...และยังทำอีกหลายๆอย่างครับ
แม้ว่าจะเคยมีเพื่อนบางคนบอกว่า มีเงินมากพอแล้ว ไม่เห็นต้องประหยัดอีก
เพราะใช้ยังไงก็ไม่หมดอยู่แล้วชาตินี้
..............พวกเราว่าจริงไหมครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 948
ถามพี่นุชครับ
ดอกเบี้ยซื้อบ้าน หรือรถ ถ้าเทียบกับที่เราได้ในการลงทุน สมมุติว่าลงกองทุนset index เฉลี่ยสัก7-10%ต่อปี
ควรจะซื้อแบบผ่อนยาวๆ แล้วเอาเงินมาลงทุน
หรือเงินสดแล้วขอส่วนลด(แต่ก้คงได้ไม่เกิน10% ของสินค้า)ดีกว่านะครับ
ดอกเบี้ยซื้อบ้าน หรือรถ ถ้าเทียบกับที่เราได้ในการลงทุน สมมุติว่าลงกองทุนset index เฉลี่ยสัก7-10%ต่อปี
ควรจะซื้อแบบผ่อนยาวๆ แล้วเอาเงินมาลงทุน
หรือเงินสดแล้วขอส่วนลด(แต่ก้คงได้ไม่เกิน10% ของสินค้า)ดีกว่านะครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 949
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เตือนภัย! ภาพที่คุณโพสกำลังทำให้ลูกของคุณตกอยู่ในอันตราย
5 เหตุผลอันตราย : อย่าโพสภาพลูกรักลงบน Social Network
1.ยิงมิจฉาชีพมีข้อมูลของเหยื่อเท่าไหร่ เหยื่อก็ยิ่งเสี่ยงเท่านั้น
การโพสรุปลงบนโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คที่ไม่ว่าใครก็ค้นหาได้อย่าง IG ถือว่าเสี่ยงที่สุด เพราะมิจฉาชีพสามารถทราบข้อมูลจำนวนมากได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ยิ่งเราโพสเยอะเท่าไหร่ คนร้ายยิ่งรู้ว่าเราทำงานที่ไหน กลับบ้านกี่โมง ลูกกี่ขวบแล้ว ไปเรียนหรือยัง เรียนที่ไหน ไปรับตอนไหน ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้แหละที่คนร้ายสามารถนำมาวางแผนได้มากมาย
2.การโพสรูปลูกว่าอยู่ที่ไหนบ้างถือว่าเสี่ยง ยิ่งแชร์โลเคชั่นยิ่งเสี่ยงสองเท่า
มิจฉาชีพอาจตามดูข้อมูลที่เราโพสอยู่ การที่เราโพสรูปลูกทุกครั้งที่ไปรับลูก ทำให้คนร้ายคาดเดาได้ว่าเราจะมารับลูกในช่วงเวลาไหนบ้าง เด็กอยู่คนเดียวที่ไหนบ้าง ส่งผลให้มีโอกาสเกิดอันตรายกับเด็กได้มากขึ้น
3.จะให้ลูกอยู่บ้านแล้วไปเที่ยว ไม่ต้องถ่ายภาพลูกเพื่อบอกรักลูกก็ได้
มันก็ต้องมีบ้างที่พ่อแม่ต้องออกไปข้างนอกแล้วปล่อยลุกให้อยู่บ้านคนเดียว (ยิ่งอายุราว 10 ขวบที่พอดูแลตัวเองได้แล้ว) การโพสภาพลุกก่อนออกไปเที่ยวแล้วบอกว่า “รักลูกนะจ้ะ” มันก็เหมือนกับบอกมิจฉาชีพว่า “ลูกชั้นอยู่บ้านคนเดียวแล้ว เข้ามาได้เลยนั่นเอง”
4.ถ่ายภาพเด็กกับของเล่น ใครว่าไม่น่าห่วง
เด็กบางคนชอบเล่นเลโก้ บางคนชอบตุ๊กตา การโพสบอกว่า ลูกตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็ก 5-7 ขวบ เป็นการชี้เป้าว่า คนร้ายควรเอาอะไรมาล่อเด็ก (ไอ้มุขเอาอมยิ้มมาล่อนั่นมันในหนัง แต่ในชีวิตจริงมันก็ต้องเลือกของล่อให้เหมาะกับเด็กอยู่แล้ว) การโพสของเล่นสุดโปรดบ่อยๆ จึงอันตรายกับเด็กด้วยเหตุนี้
5.ภาพเด็กที่โพสไว้ อาจกลายเป็นตัวช่วยคนร้ายเวลาตำรวจสงสัย
สมมติว่ามีเด็กคนนึงโดนคนร้ายจับตัว ร้องงอแง ตำรวจเห็นท่าไม่ดีเดินเข้ามาถาม คนร้ายบอกว่า เด็กดื้อจะเอาของเล่น ตำรวจไม่เชื่อจึงขอหลักฐาน คนร้า่ยบอกชื่อของเด็กได้หมด บอกบ้านได้ด้วย มีภาพเด็กที่อัดไว้ให้ตำรวจดูอีกด้วย คิดว่า ตำรวจจะยุ่งต่อไหมครับ ในเมื่อหลักฐานพร้อมขนาดนี้? การโพสภาพและข้่อมูลเด็กไว้บนโซเชียลเน็ทเวิร์คตลอดเวลา จึงไม่ต่างกับให้ข้อมูลคนร้ายไปเลียนแบบเป็นผู้ปกครองเด็กได้นั่นเอง
อีกด้านหนึ่งของ Social..... ระมัดระวังไว้ก็ดีครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 950
jverakul เขียน:http://news.upyim.com/240736/โค้ด: เลือกทั้งหมด
เตือนภัย! ภาพที่คุณโพสกำลังทำให้ลูกของคุณตกอยู่ในอันตราย 5 เหตุผลอันตราย : อย่าโพสภาพลูกรักลงบน Social Network 1.ยิงมิจฉาชีพมีข้อมูลของเหยื่อเท่าไหร่ เหยื่อก็ยิ่งเสี่ยงเท่านั้น การโพสรุปลงบนโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คที่ไม่ว่าใครก็ค้นหาได้อย่าง IG ถือว่าเสี่ยงที่สุด เพราะมิจฉาชีพสามารถทราบข้อมูลจำนวนมากได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ยิ่งเราโพสเยอะเท่าไหร่ คนร้ายยิ่งรู้ว่าเราทำงานที่ไหน กลับบ้านกี่โมง ลูกกี่ขวบแล้ว ไปเรียนหรือยัง เรียนที่ไหน ไปรับตอนไหน ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้แหละที่คนร้ายสามารถนำมาวางแผนได้มากมาย 2.การโพสรูปลูกว่าอยู่ที่ไหนบ้างถือว่าเสี่ยง ยิ่งแชร์โลเคชั่นยิ่งเสี่ยงสองเท่า มิจฉาชีพอาจตามดูข้อมูลที่เราโพสอยู่ การที่เราโพสรูปลูกทุกครั้งที่ไปรับลูก ทำให้คนร้ายคาดเดาได้ว่าเราจะมารับลูกในช่วงเวลาไหนบ้าง เด็กอยู่คนเดียวที่ไหนบ้าง ส่งผลให้มีโอกาสเกิดอันตรายกับเด็กได้มากขึ้น 3.จะให้ลูกอยู่บ้านแล้วไปเที่ยว ไม่ต้องถ่ายภาพลูกเพื่อบอกรักลูกก็ได้ มันก็ต้องมีบ้างที่พ่อแม่ต้องออกไปข้างนอกแล้วปล่อยลุกให้อยู่บ้านคนเดียว (ยิ่งอายุราว 10 ขวบที่พอดูแลตัวเองได้แล้ว) การโพสภาพลุกก่อนออกไปเที่ยวแล้วบอกว่า “รักลูกนะจ้ะ” มันก็เหมือนกับบอกมิจฉาชีพว่า “ลูกชั้นอยู่บ้านคนเดียวแล้ว เข้ามาได้เลยนั่นเอง” 4.ถ่ายภาพเด็กกับของเล่น ใครว่าไม่น่าห่วง เด็กบางคนชอบเล่นเลโก้ บางคนชอบตุ๊กตา การโพสบอกว่า ลูกตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็ก 5-7 ขวบ เป็นการชี้เป้าว่า คนร้ายควรเอาอะไรมาล่อเด็ก (ไอ้มุขเอาอมยิ้มมาล่อนั่นมันในหนัง แต่ในชีวิตจริงมันก็ต้องเลือกของล่อให้เหมาะกับเด็กอยู่แล้ว) การโพสของเล่นสุดโปรดบ่อยๆ จึงอันตรายกับเด็กด้วยเหตุนี้ 5.ภาพเด็กที่โพสไว้ อาจกลายเป็นตัวช่วยคนร้ายเวลาตำรวจสงสัย สมมติว่ามีเด็กคนนึงโดนคนร้ายจับตัว ร้องงอแง ตำรวจเห็นท่าไม่ดีเดินเข้ามาถาม คนร้ายบอกว่า เด็กดื้อจะเอาของเล่น ตำรวจไม่เชื่อจึงขอหลักฐาน คนร้า่ยบอกชื่อของเด็กได้หมด บอกบ้านได้ด้วย มีภาพเด็กที่อัดไว้ให้ตำรวจดูอีกด้วย คิดว่า ตำรวจจะยุ่งต่อไหมครับ ในเมื่อหลักฐานพร้อมขนาดนี้? การโพสภาพและข้่อมูลเด็กไว้บนโซเชียลเน็ทเวิร์คตลอดเวลา จึงไม่ต่างกับให้ข้อมูลคนร้ายไปเลียนแบบเป็นผู้ปกครองเด็กได้นั่นเอง
อีกด้านหนึ่งของ Social..... ระมัดระวังไว้ก็ดีครับ
Social network เปลี่ยนโลกมากและน่าระวังอย่างที่น้อง jverakul บอกจริงๆ ค่ะ
เพราะมันนำ ทั้งประโยชน์ และนำภัยมาใกล้ตัวเรามากขึ้น ในอัตราเร๋งเลย
ขอบคุณน้อง jverakul มากเลยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 951
พี่มาตอบช้าไปมากเลยromee เขียน:ถามพี่นุชครับ
ดอกเบี้ยซื้อบ้าน หรือรถ ถ้าเทียบกับที่เราได้ในการลงทุน สมมุติว่าลงกองทุนset index เฉลี่ยสัก7-10%ต่อปี
ควรจะซื้อแบบผ่อนยาวๆ แล้วเอาเงินมาลงทุน
หรือเงินสดแล้วขอส่วนลด(แต่ก้คงได้ไม่เกิน10% ของสินค้า)ดีกว่านะครับ
ขอแยกเป็นรถ กับบ้าน นะคะ เพราะปกติจะคิดดอกเบี้ยไม่เหมือนกัน
ของรถยนต์จะถูกคิดแบบ flat rate คือ คิดทั้งปีออกมาแล้ว คูณด้วยจำนวนปีทั้งหมด
ได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่เอาไปบวกกับราคารถ ยิ่งดาวน์น้อยผ่อนนาน ก็ยิ่งเสียดอกเบี้ยเยอะ
ถ้าเป็นพี่...รถนี่จะดูความจำเป็นว่าต้องซื้อหรือไม่
ถ้าระหว่างบ้านกับที่ทำงานมีรถสาธารณะ และเดินทางสะดวก
ก็อาจชะลอการซื้อรถไปก่อน และถ้าจำเป็นต้องซื้อ เช่น มีลูกเล็กๆ
เวลาหาหมอฉุกเฉินดึกๆ ดื่นๆ รถสาธารณะอาจไม่สะดวก ก็จะซื้อค่ะ
แต่เวลาซื้อขอดาวน์เยอะๆ ผ่อนน้อยๆ และสั้นที่สุด
.
สองคันหลังสุดที่บ้านซื้อเงินสดค่ะ ไม่อยากเสียดอกเบี้ย
และได้เงินจากขายคันเก่ามาบ้างค่ะ...จะใช้ให้ถึง 10 ปี ขึ้นไปค่ะ
.................
ส่วนบ้านนั้น เป็นเงินก้อนใหญ่ ทำตารางประกอบมาให้
ขอมองที่กรณีที่แย่ที่สุดแบบมรณานุสติ เลยนะคะ
ที่คิดเช่นนี้เพราะ "บ้าน" ถ้ายังผ่อนอยู่ คือ "หนี้สิน" ไม่ใช่ "ทรัพย์สิน" อย่างที่หลายคนเข้าใจ อธิบายตาราง
ขอเน้นความสำคัญไปที่การทำประกันคุ้มครองผู้กู้นะคะ
และหากกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นจนผู้กู้เสียชีวิต
จุดตัดสินใจหลักๆ น่าจะอยู่ที่ตรงนี้
.........................
เพราะอะไร
หากผู้กู้เป็นอะไรไปตอนที่ยอดกู้เท่ากับวงเงินที่ประกันคุ้มครองแล้ว
ก็ไม่ต้องเอาเงินเย็นที่สะสมลงทุนไว้ออกมาช่วยจ่ายหนี้บ้าน
ประกันจะจ่ายให้ แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้ทายาทไป หมดหนี้
แต่ในทางกลับกันถ้าหนี้ยุบไปนิดเดียวแต่ยังมากกว่าวงเงินคุ้มครอง
ก็ต้องนำเงินที่สะสมในกองทุนออกมาช่วยจ่ายด้วย
ทำตารางสมมติให้หลายๆ แบบ
ตั้งแต่แบบที่เอาเงินสะสมมาช่วยจ่ายจนหมดแล้วก็ยังไม่พอ
ไปจนถึงกรณีที่ยอดหนี้คงเหลือเท่ากับวงเงินที่ประกันคุ้มครองพอดี
และดีกว่านั้นคือเงินที่สะสมในกองทุน set index
มากกว่า 1.5 ล้านไปมากๆ ก็เริ่มถือเป็นเงินของเราได้แล้วค่ะ
นั่นแหละค่อยมาคิดว่าลงทุนไปได้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี
เพื่อดูว่า passive income เพียงพอไหม....แม้บ้านจะไม่ถูกยึด
เพราะประกันจ่ายให้ แต่ถ้าเงินที่สะสมในการลงทุนระยะยาวยังน้อยก็เสี่ยงอยู่ดีค่ะ
.........................
ดังนั้น ขอตอบว่าจำนวนเท่าใดนั้นไม่สามารถฟันธงได้
แต่อยากให้พิจารณาตัวแปรตามตารางที่จำลองมาให้ประกอบค่ะ
ย้ำ....ความเห็นส่วนตัวค่ะ ถ้าเป็นตัวเองจะมองมุมนี้มากกว่า
ที่จะเทียบอัตราดอกเบี้ยบ้าน กับอัตราผลตอบแทนที่ทำได้
เพราะนั่นใช้ได้กับกรณีที่ไม่มีเหตุฉุกเฉินใดๆ
และอีกอย่าง ผลทางจิตวิทยา ของคนที่มีหนี้ระยะยาวอยู่มาก
กับคนที่มีหนี้ระยะยาวน้อยก็ต่างกัน
หรือถ้าไม่มีหนี้ คือบริหารให้หนี้หมดเร็ว ก็จะต่างไปอีกแบบนึงค่ะ
ซึ่งภาวะจิตใจในการที่จะรับต่อหนี้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีกด้วยค่ะ
.......................
กรณีสุดท้ายเงินที่สะสมในกองทุนมากพอจะซื้อบ้านด้วยเงินสด
ก็คงต้องมองว่าถ้าซื้อไปแล้วเงินที่เหลือสามารถสร้าง passive income ได้เท่าไหร่
หาก "คิดแบบมรณานุสติ" อีกแล้ว....ถ้าหัวหน้าครอบครัวจากไป
แม้ไม่มีหนี้แต่ถ้าเงินสะสมในกองทุนหรือเงินลงทุนน้อยๆ ก็ยังไม่น่าวางใจ
ดังนั้นถ้าจะซื้อบ้านด้วยเงินสด
น่าจะประมาณนี้ดีมั้ยคะ
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 6 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 2 ล้าน ได้
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 7 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 3 ล้าน ได้
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 8 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 4 ล้าน ได้
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 10 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 5 ล้าน ได้
(บ้านเริ่มใหญ่ น่าจะมีค่าใช้จ่ายในการอยุ่อาศัยและดูแลมาก...
สัดส่วนเงินที่เหลือหลังซื้อบ้าน...เลยต้องเปลี่ยนให้เหลือมากขึ้นหน่อยค่ะ)
................
แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับขนาดครอบครัวอีก ถ้ามีลูกสองคนอายุยังไม่เกิน 10 ขวบทั้งคู่
ก็อาจต้องมองให้สัดส่วนเงินเหลือมากขึ้นอีก ถ้ามีพ่อแม่สูงอายุด้วย ก็ต้องเหลือเงินให้มากขึ้นอีก
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 8 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 2 ล้าน ได้
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 9 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 3 ล้าน ได้
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 10 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 4 ล้าน ได้
เงินลงทุนงอกเงยจนถึง 12 ล้าน ซื้อบ้านด้วยเงินสด 5 ล้าน ได้
ทำนองนี้ค่ะ.....ทุกอย่างที่อาจจะสร้างรายจ่ายต้องถูกนำมาคำนวณด้วยทั้งหมด
และต้องมองยาวๆ ค่ะ เช่น วันนี้พ่อแม่ของเราเอง อายุ 52 ยังไม่เกษียณทั้งสองท่าน
แต่ควรมองไปไกลๆ ถึงวันที่ท่านเกษียณ 55 หรือ 60 ปี แล้วแต่งาน
และประเมินรายรับ รายจ่ายหลังจากนั้น เพราะเราต้องดูแลท่านด้วย และโรคภัยต่างๆ
จะเริ่มมาแวะทักทายถี่บ่อยขึ้น เตรียมส่วนค่ารักษาพยาบาลไว้ด้วยค่ะ
..........................
ก็คงทำนองนี้นะคะ...ไม่สามารถมารถฟันธงได้จริงๆ ขึ้นกับบริบท ของแต่ละครอบครัวด้วยค่ะ
แต่ถ้าเป็นพี่จะรอบคอบกว่าค่าเฉลี่ยมากหน่อยค่ะ...บางคนก็อาจจะว่าตึงเกินไป ก็ยอมรับค่ะ
โดยส่วนตัวจะระวังเรื่องสภาพคล่อง และกระแสเงินสด ในครอบครัวมากๆ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 953
ใช่เลยจ้า "ปลอดภัยไว้ก่อน"romee เขียน:แนวคิดพี่ ดูแล้วเป็นแนว ปลอดภัยไว้ก่อน ใช่ป่ะครับ
ขอบคุณกับแนวคิดดีๆนะครับ
ยินดีค่ะ น้อง romee...ที่ถามคำถามที่อยากอธิบายพอดี
น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ผ่านมาอ่านด้วยค่ะ
...................
ที่บ้านพี่เคยไม่ค่อยมีเงินค่ะ...ชีวิตครอบครัวเริ่มต้นด้วย "ติดลบ" (ยิ่งกว่า 0)
มีผลต่อจิตใจมาก เคยรอ "วันสิ้นเดือน"...(เหมือนสิ้นใจ) เหมือนคนทั่วไป
..................
แฟนพี่เคยมีหนี้บัตรเครดิตจนสะสม และจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย
เพราะเงินสดที่ได้ต้องส่งน้องเรียน และส่งให้ที่บ้านหมด
ตัวเขาเองต้องใช้บัตรเครดิตซื้อของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน...เท่าที่จะใช้ได้
คืออะไรจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้เลือกจ่ายด้วยบัตรเครดิต 100%
เพราะที่บ้านนอก พ่อแม่ และน้องๆของเขาต้องใช้เงินสดค่ะ
.
หลังแต่งงานและเมื่อพบว่ามีหนี้บัตร
พี่นำเงินที่สะสมจากการทำงานพิเศษ
ใช้หนี้จนหมดเงิน ...แต่หนี้ยังไม่หมด
เป้าหมายอื่นต้องแขวนไว้ก่อน
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อใช้หนี้บัตรให้หมดก่อน
.
พี่ไม่เคยลืมความรู้สึกในช่วงเวลานั้นเลย
ทุกวันนี้ ยังใช้บัตรเครดิตมากเท่าที่จะใช้ได้
ด้วยวัตถุประสงค์เปลี่ยนไปค่ะ...สะสมแต้ม รับส่วนลด
แต่ใช้แล้วจะจ่ายคืนทันที ไม่รอใบเรียกเก็บเงินเลยค่ะ
(โอนผ่าน i-banking เลยสะดวกมากๆ ค่ะ...ตัวอย่างตามรูปค่ะ) วันสรุปยอด คือวันที่ 12 ของทุกเดือน กำหนดจ่าย ประมาณ วันที่ 5 ของทุกเดือน
ในภาพใช้บัตรเครดิตวันที่ 1 กพ. ยอด 34,000 บาท
วันที่ 2 กพ ก็จ่ายคืนเลยค่ะ (ที่จริงจ่ายคืนนั้นเลย แต่เลยเที่ยงคืนจึงข้ามไปเป็นวันที่ 2 กพ.)
ทั้งที่วันสรุปยอดคือ 12 กพ. และวันที่ต้องจ่าย คือ 5 มีค. 58 อีกเดือนกว่าหลังจากนั้น
แต่เลือกที่จะจ่ายคืนทันทีหลังใช้ค่ะ...สบายใจ
...................
ตอนที่ชีวิตเป็นแบบสีน้ำเงิน..พี่พบว่ามันทรมานมาก...จะไม่มีวันกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก
เลยตั้งใจเอาไว้ว่า...คำว่า "สิ้นเดือน" ต้องไม่มีความหมาย
และไม่ใช่วันที่เรารอคอยอีกต่อไป...ในที่สุดก็ทำได้ตามที่ตั้งใจแล้วค่ะ
...................
บ้านกำลังจะเป็นไทในเดือน "มีนาคม" ครบกำหนดปิดบัญชีได้ตามที่เคยเล่าไว้
จากนี้ไปจะไม่มีหนี้ หรือค่างวดอะไรที่ต้องผ่อนชำระอีกเลย
มันเป็นภาวะที่โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ
ตรงข้ามกับ "การมีวัตถุ และสิ่งอำนวยความสะดวกรอบกาย...แต่ยังคงมีหนี้" โดยสิ้นเชิงค่ะ
..................
กลับมาที่คำว่า "มรณานุสติ" อีกครั้ง
ถ้า "วันนี้" เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับพี่และแฟนพี่ (สมมติต้องจากไปพร้อมกัน)
แล้วเหลือลูกคนเดียว...นอกจากไม่มีหนี้สินที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้แล้ว
เขาจะมีเงินปันผลจากหุ้นพอใช้จ่ายและเรียนหนังสือจนจบการศึกษาแน่นอน
โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นออกมาเลยค่ะ
(เป็นเหตุที่ต้องเลือกหุ้นที่กิจการมั่นคงมากๆ ไว้ในพอร์ตบ้าง
หากเราเป็นอะไรไป....ลูกที่ยังดูแลพอร์ตไม่เป็น แค่ถือไว้ก่อน
แล้วค่อยศึกษาวิธีการทีหลังก็ได้ค่ะ...คิดว่าไม่เจ๊งไปก่อนลูกเรียนจบ)
.
คือเป้าหมายใหญ่ที่สุดที่ตั้งใจไว้ ณ วันที่มีลูก...ซึ่งทำสำเร็จแล้วเช่นกันค่ะ
(ตั้งแต่วันที่ยังไม่รู้จักการลงทุนในหุ้น...ตั้งใจว่าต้องมี Passive Income ที่ยั่งยืน
แม้ยังไม่มีทุน และไม่รู้ว่าจะได้มาจากไหน...แต่ตั้งใจไว้ว่าต้องสร้างให้มีให้ได้ค่ะ)
.
ถ้าใครติดตามอ่านกระทู้มาโดยตลอด จะพบว่า...
เน้นความสำคัญของ "การมองภาพใหญ่" และ "การตั้งเป้าหมาย" มากๆ
จากนั้นก็กำหนดวิธีการไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วลงมือทำอย่างมุ่งมั่น
สำหรับคนที่ไม่ได้รวยมาแต่ต้น **ต้อง** อดทนมากกว่าค่าเฉลี่ยแน่นอน
แต่ความอดทน และความสมำ่เสมอ ช่วยได้จริงๆ ค่ะ...ใครอยู่ในข่ายนี้ สู้ สู้ นะคะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 954
ขอบคุณครับพี่นุช ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้รับรู้ครับtheenuch เขียน: ที่บ้านพี่เคยไม่ค่อยมีเงินค่ะ...ชีวิตครอบครัวเริ่มต้นด้วย "ติดลบ" (ยิ่งกว่า 0)
มีผลต่อจิตใจมาก เคยรอ "วันสิ้นเดือน"...(เหมือนสิ้นใจ) เหมือนคนทั่วไป
..................
แฟนพี่เคยมีหนี้บัตรเครดิตจนสะสม และจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย
เพราะเงินสดที่ได้ต้องส่งน้องเรียน และส่งให้ที่บ้านหมด
ตัวเขาเองต้องใช้บัตรเครดิตซื้อของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน...เท่าที่จะใช้ได้
คืออะไรจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้เลือกจ่ายด้วยบัตรเครดิต 100%
เพราะที่บ้านนอก พ่อแม่ และน้องๆของเขาต้องใช้เงินสดค่ะ
.
หลังแต่งงานและเมื่อพบว่ามีหนี้บัตร
พี่นำเงินที่สะสมจากการทำงานพิเศษ
ใช้หนี้จนหมดเงิน ...แต่หนี้ยังไม่หมด
เป้าหมายอื่นต้องแขวนไว้ก่อน
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อใช้หนี้บัตรให้หมดก่อน
.
พี่ไม่เคยลืมความรู้สึกในช่วงเวลานั้นเลย
ทุกวันนี้ ยังใช้บัตรเครดิตมากเท่าที่จะใช้ได้
ด้วยวัตถุประสงค์เปลี่ยนไปค่ะ...สะสมแต้ม รับส่วนลด
แต่ใช้แล้วจะจ่ายคืนทันที ไม่รอใบเรียกเก็บเงินเลยค่ะ
(โอนผ่าน i-banking เลยสะดวกมากๆ ค่ะ...ตัวอย่างตามรูปค่ะ) วันสรุปยอด คือวันที่ 12 ของทุกเดือน กำหนดจ่าย ประมาณ วันที่ 5 ของทุกเดือน
ในภาพใช้บัตรเครดิตวันที่ 1 กพ. ยอด 34,000 บาท
วันที่ 2 กพ ก็จ่ายคืนเลยค่ะ (ที่จริงจ่ายคืนนั้นเลย แต่เลยเที่ยงคืนจึงข้ามไปเป็นวันที่ 2 กพ.)
ทั้งที่วันสรุปยอดคือ 12 กพ. และวันที่ต้องจ่าย คือ 5 มีค. 58 อีกเดือนกว่าหลังจากนั้น
แต่เลือกที่จะจ่ายคืนทันทีหลังใช้ค่ะ...สบายใจ
...................
ตอนที่ชีวิตเป็นแบบสีน้ำเงิน..พี่พบว่ามันทรมานมาก...จะไม่มีวันกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก
เลยตั้งใจเอาไว้ว่า...คำว่า "สิ้นเดือน" ต้องไม่มีความหมาย
และไม่ใช่วันที่เรารอคอยอีกต่อไป...ในที่สุดก็ทำได้ตามที่ตั้งใจแล้วค่ะ
...................
[/color]
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 956
เค้าเลยถามว่าคู่เก่าจะเอาไปไหน เพื่อนบอกว่าจะทิ้งเลย
เค้าเลยขอมาซ่อม แล้วใส่ไปโรงเรียน บอกว่าไว้ใส่สลับ
กับของตัวเองที่มีอยู่ ก็ชลอการพังของรองเท้าตัวเองได้ด้วย
...............
อาจเพราะเค้าชินกับการใช้ของที่คนอื่นใช้แล้ว
และให้มาใช้ต่อ ต้องขอบคุณเพื่อนเราบ้านนึง
ที่นำรองเท้าที่ลูกเขาใสส่คับแล้ว มาให้เราใช้ต่อเสมอ
(สภาพยังดีมาก ยี่ห้อดีๆ ใช้ทนมากใช้ต่อได้อีกนาน )
ทำให้น้องธีร์ชินกับการ ใช้ของจนคุ้มค่า
................
วันก่อนไปเข้าค่าย มีเพื่อนซื้อลำโพงถูกๆ ไปใช้ที่ค่าย
ขากลับขี้เกียจขนกลับ ลูกก็เก็บกลับมาด้วย เอามาใช้ต่อจนทุกวันนี้
................
นิสัยประหยัด และต้องใช้ของให้คุ้มค่าอยู่ในสายเลือดไปแล้ว
ดีใจ ที่เขามีแววว่าจะรักษาทรัพย์ได้...อะไรที่เราหามาเขาคงดูแลต่อได้ดีพอสมควร
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 958
ขอบคุณมากเลยค่ะ...ค่อยๆ สะสมมาตามที่เขียนเล่าในกระทู้ค่ะsatit เขียน:คุณนุชสอนและเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ
เพื่อนๆ ที่มีลูกสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ก็อาจได้ผลผลิตเป็นเด็กแนวๆ เดียวกันนี้ออกมาค่ะ ^__^
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 959
แบบอย่างของความเรียบง่าย
พวกเราคนไทยรักและเคารพ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" ... ก็เพราะพระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเรียบง่าย .... ในห้องบรรทม มีเพียงเตียงนอนขนาดกว้างไม่ถึง 1 เมตร ซึ่งมีคนนำมาถวาย แต่เนื่องจากมีรูปร่างสูงใหญ่ขายาว เตียงอาจจะสั้นเกินไป สมเด็จพระสังฆราชจึงใช้โต๊ะหมู่บูชาที่ว่างอยู่มามัดติดกับขาเตียงให้ยาวขึ้นเพื่อใช้เป็นที่บรรทมแบบสมถะ
ความเป็นผู้มักน้อยสันโดษ แม้ที่อยู่อาศัยก็ไม่โปรดให้ประดับตกแต่ง มีเพียงเครื่องใช้จำเป็นและตู้หนังสือเท่านั้น ทรงเตือนภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า “พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา” พระปฏิปทาข้อนี้ที่ปรากฏอย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ทรงสะสม วัตถุสิ่งของที่มีผู้ถวายมา ก็ทรงแจกจ่ายต่อไปตามโอกาส
SSO Savings Club ขอเชิญชวนพวกเราทุกคนร่วมกันเจริญรอยตามพระองค์ท่าน ด้วยการฝึกปฏิบัติการดำรงชีวิตแบบ “เรียบง่าย” และ “รู้จักพอ” ถือเป็นการทำความดีถวายพระองค์ท่านนะครับ
...........................
Cr. โพสต์ครั้งแรกใน SSO Savings Club เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2556, ข้อมูลจาก http://sangharaja.org/ และภาพห้องบรรทมจำลอง โดย Kun Jumpa
Cr.ล่าสุดจาก facebook ของ "คุณวิน พรหมแพทย์" รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม
วิทยากรที่เคยมาร่วมรายการ Money Talk ค่ะ ^__^
https://www.facebook.com/win.phromphaet ... tif_t=like
พวกเราคนไทยรักและเคารพ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" ... ก็เพราะพระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเรียบง่าย .... ในห้องบรรทม มีเพียงเตียงนอนขนาดกว้างไม่ถึง 1 เมตร ซึ่งมีคนนำมาถวาย แต่เนื่องจากมีรูปร่างสูงใหญ่ขายาว เตียงอาจจะสั้นเกินไป สมเด็จพระสังฆราชจึงใช้โต๊ะหมู่บูชาที่ว่างอยู่มามัดติดกับขาเตียงให้ยาวขึ้นเพื่อใช้เป็นที่บรรทมแบบสมถะ
ความเป็นผู้มักน้อยสันโดษ แม้ที่อยู่อาศัยก็ไม่โปรดให้ประดับตกแต่ง มีเพียงเครื่องใช้จำเป็นและตู้หนังสือเท่านั้น ทรงเตือนภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า “พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา” พระปฏิปทาข้อนี้ที่ปรากฏอย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ทรงสะสม วัตถุสิ่งของที่มีผู้ถวายมา ก็ทรงแจกจ่ายต่อไปตามโอกาส
SSO Savings Club ขอเชิญชวนพวกเราทุกคนร่วมกันเจริญรอยตามพระองค์ท่าน ด้วยการฝึกปฏิบัติการดำรงชีวิตแบบ “เรียบง่าย” และ “รู้จักพอ” ถือเป็นการทำความดีถวายพระองค์ท่านนะครับ
...........................
Cr. โพสต์ครั้งแรกใน SSO Savings Club เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2556, ข้อมูลจาก http://sangharaja.org/ และภาพห้องบรรทมจำลอง โดย Kun Jumpa
Cr.ล่าสุดจาก facebook ของ "คุณวิน พรหมแพทย์" รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม
วิทยากรที่เคยมาร่วมรายการ Money Talk ค่ะ ^__^
https://www.facebook.com/win.phromphaet ... tif_t=like
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 960
เงินของเรา (มีค่า) ไม่เท่ากัน
(Theenuch_Team Money Talk 4)
.....................
เชื่อหรือไม่...เงิน 100 บาท ของเรา (มีค่า) ไม่เท่ากัน
100 ของมนุษย์เงินเดือน ที่เสียภาษีอัตรา 10% เหลือ 90
ถ้าภาษี 20% เหลือ 80..ภาษี 30% เหลือ 70 (เป็นลม..แป๊บ)
ซื้อ LTF สิ!...จะได้มีค่าเกิน 100 ตามสิทธิลดหย่อนภาษี
...................
100 บาท สะสมในหุ้นปันผล 10 % เพิ่มเป็น 110
(ยังไม่นับ Capital Gain_100 อาจเพิ่มเป็น 2..3..4 ร้อย
หรือในทางกลับกัน...ถ้าไม่ลงทุนในความรู้ที่ถูกต้อง)
.
100 บาท ผ่อนบ้าน ดอกร้อยละ 5 เหลือ 95
จ่ายบัตรเครดิตที่มียอดค้าง..หนี้ลดลงไม่ถึง 80
....................
ซื้อล็อตเตอรี่ 1 คู่ (80 ยอมจ่าย 100_โดนทันที 25% )
เพิ่มค่าทวีคูณ ถ้าถูกรางวัล (มาก น้อย..แล้วแต่)
“แต่! เป็น 0 ในพริบตา ถ้าไม่ถูก..ซักรางวัล!”
100 บาท ซื้อนิทานอ่านให้ลูกฟัง ได้ความผูกพัน
และจริยธรรมติดตัวลูกไปจนตาย ประเมินมูลค่าไม่ได้ค่ะ
....................
“เวลา” ยิ่งเพิ่มค่า "มหัศจรรย์ของการทบต้น"
ทั้ง “ปันผลทบต้น” และ “ดอกเบี้ย (ดบ.) ทบต้น”
“ดบ.เงินฝากทบต้น" เจ๋ง...แต่ "ดบ.เงินกู้ทบต้น" (OMG!)
....................
(เจ็บปวดที่สุด..เมื่อ) ฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2 %
แต่ "ข้าวแกง" ขึ้น จาก 30 เป็น 40 ( 33.33%)
น้ำปั่นตลาดนัด ขึ้น จาก 20 เป็น 25 (25%) (ไหนว่า..เงินเฟ้อ 3% ไง)
.....................
ถ้า "เงินของเรา" พูดได้..คงจะพูดว่า...
"ถ้ารักเรา...ซื้อหนังสืออ่านเพิ่มความรู้
แล้วใช้เราไปทำงานหนักๆ เถอะนะ
เราอยากมีค่าเพิ่ม...ให้ทัน “ข้าวแกง” (แง แง)
แล้วเราจะชวนเพื่อนมาอยู่เพิ่ม (นะ นะ)
....................
คิดไปคิดมา..สนุกดีค่ะ (คิดเล่นกัน..วันสิ้นเดือน)
อยากให้ "เงินของเรา...มีค่าเท่าไหร่กันนะ ?” ^__*
.
(Theenuch_Team Money Talk 4)
.....................
เชื่อหรือไม่...เงิน 100 บาท ของเรา (มีค่า) ไม่เท่ากัน
100 ของมนุษย์เงินเดือน ที่เสียภาษีอัตรา 10% เหลือ 90
ถ้าภาษี 20% เหลือ 80..ภาษี 30% เหลือ 70 (เป็นลม..แป๊บ)
ซื้อ LTF สิ!...จะได้มีค่าเกิน 100 ตามสิทธิลดหย่อนภาษี
...................
100 บาท สะสมในหุ้นปันผล 10 % เพิ่มเป็น 110
(ยังไม่นับ Capital Gain_100 อาจเพิ่มเป็น 2..3..4 ร้อย
หรือในทางกลับกัน...ถ้าไม่ลงทุนในความรู้ที่ถูกต้อง)
.
100 บาท ผ่อนบ้าน ดอกร้อยละ 5 เหลือ 95
จ่ายบัตรเครดิตที่มียอดค้าง..หนี้ลดลงไม่ถึง 80
....................
ซื้อล็อตเตอรี่ 1 คู่ (80 ยอมจ่าย 100_โดนทันที 25% )
เพิ่มค่าทวีคูณ ถ้าถูกรางวัล (มาก น้อย..แล้วแต่)
“แต่! เป็น 0 ในพริบตา ถ้าไม่ถูก..ซักรางวัล!”
100 บาท ซื้อนิทานอ่านให้ลูกฟัง ได้ความผูกพัน
และจริยธรรมติดตัวลูกไปจนตาย ประเมินมูลค่าไม่ได้ค่ะ
....................
“เวลา” ยิ่งเพิ่มค่า "มหัศจรรย์ของการทบต้น"
ทั้ง “ปันผลทบต้น” และ “ดอกเบี้ย (ดบ.) ทบต้น”
“ดบ.เงินฝากทบต้น" เจ๋ง...แต่ "ดบ.เงินกู้ทบต้น" (OMG!)
....................
(เจ็บปวดที่สุด..เมื่อ) ฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2 %
แต่ "ข้าวแกง" ขึ้น จาก 30 เป็น 40 ( 33.33%)
น้ำปั่นตลาดนัด ขึ้น จาก 20 เป็น 25 (25%) (ไหนว่า..เงินเฟ้อ 3% ไง)
.....................
ถ้า "เงินของเรา" พูดได้..คงจะพูดว่า...
"ถ้ารักเรา...ซื้อหนังสืออ่านเพิ่มความรู้
แล้วใช้เราไปทำงานหนักๆ เถอะนะ
เราอยากมีค่าเพิ่ม...ให้ทัน “ข้าวแกง” (แง แง)
แล้วเราจะชวนเพื่อนมาอยู่เพิ่ม (นะ นะ)
....................
คิดไปคิดมา..สนุกดีค่ะ (คิดเล่นกัน..วันสิ้นเดือน)
อยากให้ "เงินของเรา...มีค่าเท่าไหร่กันนะ ?” ^__*
.