VI หาดใหญ่
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 751
ผมคิดๆ ดูแล้ว การที่แนวทางวีไอเป็นที่นิยมของคนทั่วไปมากกว่าแนวทางอื่นๆ ทั้งๆ ที่ในแต่ละแนวทางก็มีระดับ Top ที่ทำผลตอบแทนระยะยาวได้สุดยอดไม่ต่างกันมาก ก็เพราะว่าแนวทางวีไอนั้นสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ สามารถนำไปปฎิบัติตามได้ไม่ยากนัก แม้แต่นักลงทุนมือใหม่ที่เข้าตลาดแค่ไม่ถึงปี ถ้าเริ่มต้นด้วยศรัทธาและมุ่งมั่นศึกษาแนวทางวีไออย่างเข้มข้นเพียงอย่างเดียว และถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไปคือบังเอิญเข้ามาในตลาดในช่วงวิกฤตพอดี ก็น่าจะทำผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งต่างกับแนวทางอื่นๆ ที่ต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะ + ประสบการณ์ค่อนข้างสูง และอธิบายให้เข้าใจในระยะเวลาอันสั้นได้ยาก ทำให้นักลงทุนมือใหม่ที่เริ่มต้นด้วยแนวทางอื่นๆ มักจะไม่ประสบความสำเร็จได้ง่ายนัก
ผลที่เห็นๆ กันจึงกลายเป็นว่า ในสายตานักลงทุนทั่วไป + หลักฐานพิสูจน์ยืนยัน จะได้บทสรุปออกมาว่า แนวทางวีไอดีที่สุด เหมาะสมที่สุด สำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไปครับ
ผลที่เห็นๆ กันจึงกลายเป็นว่า ในสายตานักลงทุนทั่วไป + หลักฐานพิสูจน์ยืนยัน จะได้บทสรุปออกมาว่า แนวทางวีไอดีที่สุด เหมาะสมที่สุด สำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 752
คุณดำครับ จากที่คุณดำเคยเล่าให้ฟังว่าลองมาหลายแนวทางแล้วยังหาวิธีที่ลงตัวไม่ได้ ถ้าอยากจะลองวิธีที่ผมใช้ ผมจำไม่ได้ว่าเคยสรุปไว้ในโพสต์ก่อน ๆ หรือไม่ แต่เอาเป็นว่าผมขอสรุปง่าย ๆ ว่าเคล็ดวิชามันมีอยู่แค่ 4 ข้อเท่านั้นครับ
1) Catalyst คือต้องหาตัวเร่งของหุ้นให้ได้ก่อนครับ หุ้นที่ไม่มีตัวเร่งก็จงอย่าพยายามไปซื้อครับ เพราะมันอาจจะเป็นหุ้นถูกเรื้อรังหรือถูกแล้วถูกอีก อินฟินีตี้ไปเรื่อย ๆ และต้องพยายามเข้าใจอย่างถ่องแท้ของคำว่าตัวเร่งว่ามันคืออะไร มีอะไรบ้าง และประสิทธิภาพของตัวเร่งแต่ละแบบมีอานุภาพมากน้อยแค่ไหน การแบ่งตัวเร่งออกเป็นระยะสั้นและระยะยาว ตัวเร่งที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานและไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน หนังสือที่มีเขียนถึงเรื่องตัวเร่งเอาไว้ซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างดีก็คือหนังสือกุญแจ 5 ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของที่แปลโดยคุณเว็บ จะมีบทหนึ่งที่เขียนเรื่องนี้เอาไว้ แต่ผมคิดว่าในความเป็นจริงมันมีมากกว่านั้น ลองหาเวลานั่งคิดดูครับว่า อะไรที่จะเร่งกำไรของบ. อะไรที่จะทำให้นลท.ในตลาดยอมซื้อหุ้นในราคาที่แพงขึ้น (ไม่นับเรื่องข่าว) ลองเขียนใส่กระดาษแล้วลองดูความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านั้นดูครับ
2) Downside เมื่อหาตัวเร่งได้แล้วก็ต้องมาดู downside หรือ MOS จากที่เคยบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า ถ้าเปรียบเสมือนทีมฟุตบอล ถ้าเราไม่เสียประตู ถึงเราไม่ชนะ แต่เราก็จะไม่แพ้ครับ ในขั้นตอนนี้เราต้องเอาวิธีทุกอย่างมาประเมินให้เรามีความแม่นยำในการประเมิน downside ครับ ถ้าไม่เกิน 10-20% ถือว่ารับได้ครับ ลองหาวิธีเอาเองครับ ว่าจะประเมินแบบไหนได้บ้างครับ การประเมินให้แม่นยำมันคงขึ้นกับประสบการณ์และการเรียนรู้ส่วนตัวแล้วครับ
3) Upside เมื่อเจอหุ้นที่มันไม่เสี่ยงจนเกินไปนัก หลังจากประเมินในข้อ 2 แล้ว ขั้นต่อไปคือพยายามหาวิธีอ้างอิงให้ได้ว่า ถ้าตัวเร่งของเราทำงานแล้ว มันจะผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปได้แค่ไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วครับว่าจะใช้วิธีอะไรครับ การจะใช้ forward PE ก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่จริง ๆ มันคงมีหลายวิธี ลองหาดูครับ ว่าเราถนัดแบบไหนครับ ผมว่า upside อย่างน้อยควรจะมากกว่า 30% ขึ้นไปครับ เพราะเรากำลังพยายามหาหุ้นที่ "low risk but high return" อยู่ครับ
4) Timing ถ้าการถือเงินสดทิ้งไว้เฉย ๆ คือการสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การที่เราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าตัวเร่งมันจะทำงานเมื่อไหร่ ก็คือการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์เช่นกันครับ อย่าลืมว่าเงินเรามีจำกัด นั่นแปลว่า ต้องให้เงินอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุดครับ การซื้อหุ้นเร็วเกินไปโดยที่อีกนานกว่าตัวเร่งจะทำงานย่อมเกิดความสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นที่ช้าเกินไป โดยรอจนกระทั่งตัวเร่งมันทำงานไปมากแล้ว ก็ทำให้สูญเสีย MOS เช่นกันครับ ลองหาวิธีประเมินจังหวะ "การเข้าทำ" ให้เหมาะสมครับ
ลองดูครับ ได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไงก็บอกผมด้วยครับ และผมก็คิดว่าความรู้พื้นฐาน คนส่วนใหญ่เค้าก็อ่านกันมาหมดแล้ว มันก็เหลือเพียงแค่ "การเขียนโปรแกรม" ให้มันเหมาะสมกับเราเท่านั้นครับ บางทีความรู้ที่เราศึกษามามันอาจจะกระจัดกระจายเต็มไปหมด ยิ่งอ่านยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ เพียงแต่เราดึงมันมาใช้ให้เหมาะสมไม่ได้เท่านั้นเองครับ ผมถึงพยายามเน้นว่าบางทีเราควรจะหาเวลาว่างสักวันหนึ่งครับ มานั่งวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่เรารู้ทั้งหมด สุดท้ายเราก็จะได้ "software" ที่เหมาะสมกับเราครับ
1) Catalyst คือต้องหาตัวเร่งของหุ้นให้ได้ก่อนครับ หุ้นที่ไม่มีตัวเร่งก็จงอย่าพยายามไปซื้อครับ เพราะมันอาจจะเป็นหุ้นถูกเรื้อรังหรือถูกแล้วถูกอีก อินฟินีตี้ไปเรื่อย ๆ และต้องพยายามเข้าใจอย่างถ่องแท้ของคำว่าตัวเร่งว่ามันคืออะไร มีอะไรบ้าง และประสิทธิภาพของตัวเร่งแต่ละแบบมีอานุภาพมากน้อยแค่ไหน การแบ่งตัวเร่งออกเป็นระยะสั้นและระยะยาว ตัวเร่งที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานและไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน หนังสือที่มีเขียนถึงเรื่องตัวเร่งเอาไว้ซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างดีก็คือหนังสือกุญแจ 5 ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของที่แปลโดยคุณเว็บ จะมีบทหนึ่งที่เขียนเรื่องนี้เอาไว้ แต่ผมคิดว่าในความเป็นจริงมันมีมากกว่านั้น ลองหาเวลานั่งคิดดูครับว่า อะไรที่จะเร่งกำไรของบ. อะไรที่จะทำให้นลท.ในตลาดยอมซื้อหุ้นในราคาที่แพงขึ้น (ไม่นับเรื่องข่าว) ลองเขียนใส่กระดาษแล้วลองดูความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านั้นดูครับ
2) Downside เมื่อหาตัวเร่งได้แล้วก็ต้องมาดู downside หรือ MOS จากที่เคยบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า ถ้าเปรียบเสมือนทีมฟุตบอล ถ้าเราไม่เสียประตู ถึงเราไม่ชนะ แต่เราก็จะไม่แพ้ครับ ในขั้นตอนนี้เราต้องเอาวิธีทุกอย่างมาประเมินให้เรามีความแม่นยำในการประเมิน downside ครับ ถ้าไม่เกิน 10-20% ถือว่ารับได้ครับ ลองหาวิธีเอาเองครับ ว่าจะประเมินแบบไหนได้บ้างครับ การประเมินให้แม่นยำมันคงขึ้นกับประสบการณ์และการเรียนรู้ส่วนตัวแล้วครับ
3) Upside เมื่อเจอหุ้นที่มันไม่เสี่ยงจนเกินไปนัก หลังจากประเมินในข้อ 2 แล้ว ขั้นต่อไปคือพยายามหาวิธีอ้างอิงให้ได้ว่า ถ้าตัวเร่งของเราทำงานแล้ว มันจะผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปได้แค่ไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วครับว่าจะใช้วิธีอะไรครับ การจะใช้ forward PE ก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่จริง ๆ มันคงมีหลายวิธี ลองหาดูครับ ว่าเราถนัดแบบไหนครับ ผมว่า upside อย่างน้อยควรจะมากกว่า 30% ขึ้นไปครับ เพราะเรากำลังพยายามหาหุ้นที่ "low risk but high return" อยู่ครับ
4) Timing ถ้าการถือเงินสดทิ้งไว้เฉย ๆ คือการสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การที่เราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าตัวเร่งมันจะทำงานเมื่อไหร่ ก็คือการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์เช่นกันครับ อย่าลืมว่าเงินเรามีจำกัด นั่นแปลว่า ต้องให้เงินอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุดครับ การซื้อหุ้นเร็วเกินไปโดยที่อีกนานกว่าตัวเร่งจะทำงานย่อมเกิดความสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นที่ช้าเกินไป โดยรอจนกระทั่งตัวเร่งมันทำงานไปมากแล้ว ก็ทำให้สูญเสีย MOS เช่นกันครับ ลองหาวิธีประเมินจังหวะ "การเข้าทำ" ให้เหมาะสมครับ
ลองดูครับ ได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไงก็บอกผมด้วยครับ และผมก็คิดว่าความรู้พื้นฐาน คนส่วนใหญ่เค้าก็อ่านกันมาหมดแล้ว มันก็เหลือเพียงแค่ "การเขียนโปรแกรม" ให้มันเหมาะสมกับเราเท่านั้นครับ บางทีความรู้ที่เราศึกษามามันอาจจะกระจัดกระจายเต็มไปหมด ยิ่งอ่านยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ เพียงแต่เราดึงมันมาใช้ให้เหมาะสมไม่ได้เท่านั้นเองครับ ผมถึงพยายามเน้นว่าบางทีเราควรจะหาเวลาว่างสักวันหนึ่งครับ มานั่งวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่เรารู้ทั้งหมด สุดท้ายเราก็จะได้ "software" ที่เหมาะสมกับเราครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 753
ขอบคุณ อ.leky จากใจจริงครับ
นับจากวันที่ผมประกาศขอสมัครเป็นลูกศิษย์จนถึงวันนี้ครบ 6 วันพอดี อ.อุตส่าห์เสียสละเวลาถ่ายทอดเคล็ดวิชา 4 ข้อให้ผมแบบไม่หวงไว้เลย อย่างน้อยแม้ผมยังอาจมองหุ้นผิดอยู่บ้าง แต่ผมก็มองคนที่ยอมรับนับถือเป็นอาจารย์ไม่ผิด ขอถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจนะครับ
นับจากวันที่ผมประกาศขอสมัครเป็นลูกศิษย์จนถึงวันนี้ครบ 6 วันพอดี อ.อุตส่าห์เสียสละเวลาถ่ายทอดเคล็ดวิชา 4 ข้อให้ผมแบบไม่หวงไว้เลย อย่างน้อยแม้ผมยังอาจมองหุ้นผิดอยู่บ้าง แต่ผมก็มองคนที่ยอมรับนับถือเป็นอาจารย์ไม่ผิด ขอถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจนะครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 754
ที่อ.แนะว่า "บางทีเราควรจะหาเวลาว่างสักวันหนึ่งครับ มานั่งวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่เรารู้ทั้งหมด สุดท้ายเราก็จะได้ "software" ที่เหมาะสมกับเรา" ผมเห็นด้วยแล้วก็ได้ทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้วครับ คือ ผมบันทึกเป็นเหมือน Trade Diary เกี่ยวกับแนวทาง หลักการ ขั้นตอนปฏิบัติ ข้อผิดพลาดที่ควรแก้ไข ไว้ในคอมพ์ แล้วก็คอยทบทวนเป็นระยะๆ ทำมาได้เกือบ 3 ปีแล้วครับ
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 755
ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆครับ ช่วงนี้ตลาดร้อนแรง เคล็ดวิชาเหล่านี้นักลงทุนก็หลงลืมกันไป
อีกไม่นาน ฟองสบู่ตลาดหุ้นบ้านเราก็คงแตกครับ
อีกไม่นาน ฟองสบู่ตลาดหุ้นบ้านเราก็คงแตกครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 756
ผมมองคล้ายกันครับว่าอีกไม่นาน (ที่กะไว้น่าจะภายใน 1-2 เดือน) ตลาดจะลง แต่ขอไม่เรียกว่าฟองสบู่แตกนะครับ สำหรับผมน่าจะเรียกว่าปรับฐานใหญ่จะเหมาะกว่าครับuntrataro25 เขียน:ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆครับ ช่วงนี้ตลาดร้อนแรง เคล็ดวิชาเหล่านี้นักลงทุนก็หลงลืมกันไป
อีกไม่นาน ฟองสบู่ตลาดหุ้นบ้านเราก็คงแตกครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 757
ที่อ.บอกว่าให้ลองนำเคล็ดวิชาไปปฏิบัติดู ได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไงก็ให้กลับมาบอกด้วย
คงต้องบอกว่าแนวทางที่ผมใช้เลือกถือหุ้นในพอร์ตอยู่ตอนนี้มันมีส่วนคล้ายกับเคล็ดวิชาของอ.อยู่หลายส่วนครับ ผมคาดไว้ว่าภายใน 1 เดือนข้างหน้า มันน่าจะเห็นผลอะไรได้บ้าง
งั้นผมรับปากอ.ว่า อีกประมาณ 1 เดือน ผมจะมารายงานว่าผลออกมาเป็นยังไงบ้างนะครับ
คงต้องบอกว่าแนวทางที่ผมใช้เลือกถือหุ้นในพอร์ตอยู่ตอนนี้มันมีส่วนคล้ายกับเคล็ดวิชาของอ.อยู่หลายส่วนครับ ผมคาดไว้ว่าภายใน 1 เดือนข้างหน้า มันน่าจะเห็นผลอะไรได้บ้าง
งั้นผมรับปากอ.ว่า อีกประมาณ 1 เดือน ผมจะมารายงานว่าผลออกมาเป็นยังไงบ้างนะครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 758
ส่วนตอนนี้ ผมมีความเห็นบางส่วนที่จะขอแชร์แล้วให้อ.ช่วยเสริมให้ เผื่อว่าผมจะได้เอาไปใช้ปรับพอร์ตให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องรอวัดผลอีก 1 เดือนครับ
1) Catalyst เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมละเลยตลอดมา เพิ่งจะได้ตระหนักถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยผมได้แรงบันดาลใจจากเซียนหุ้นคนนึงชื่อ Nicolas Darvas ครับ เค้าบอกว่า ตัวเร่งที่ร้อนแรงคือ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องใหม่ เรื่องที่สร้างความประหลาดใจ ตื่นเต้น แก่นักลงทุนในตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งผมได้พิจารณาดูแล้วมันน่าจะเป็น Theme ของ "Big Data" ครับ
2) Downside และ 3) Upside ทั้ง 2 เรื่องนี้ โดยปกติผมพิจารณาไปพร้อมๆ กันครับ คือ เลือกหุ้นที่มีความเป็นไปได้ (ความน่าจะเป็น) ที่รายได้/กำไรจะเติบโตได้สูง และมีกระแสเงินสดหมุนเวียน/เงินลงทุนที่ดี ถ้าลงรายละเอียดไปอีก จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเติบโตได้เรื่อยๆในระยะยาว ส่วนกลุ่มที่สองจะเติบโตค่อนข้างมากในระยะ 1-2 ปีจากนั้นอาจเป็นวัฏจักร สรุปคือมองวงจรธุรกิจให้ออกว่าจะโตในลักษณะไหน (แต่ไม่ว่าจะลักษณะไหนก็ตาม ที่สำคัญคือต้องโตค่อนข้างแน่แล้วก็มากพอด้วย เออ...แล้วก็มีอีกอย่างที่ผมใช้ในการดู Downside & Upside คือจะดู Price Cycle จากกราฟประกอบด้วยครับ
4) Timing เรื่องนี้ผมใช้เครื่องมือ 2 ส่วนครับ คือส่วนแรก ใช้การมอง Schedule บางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น High season ของธุรกิจ ช่วงที่จะเซ็นสัญญางานก้อนใหญ่... อีกส่วนหนึ่ง จะเป็นเรื่องของการอ่านกราฟครับ
1) Catalyst เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมละเลยตลอดมา เพิ่งจะได้ตระหนักถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยผมได้แรงบันดาลใจจากเซียนหุ้นคนนึงชื่อ Nicolas Darvas ครับ เค้าบอกว่า ตัวเร่งที่ร้อนแรงคือ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องใหม่ เรื่องที่สร้างความประหลาดใจ ตื่นเต้น แก่นักลงทุนในตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งผมได้พิจารณาดูแล้วมันน่าจะเป็น Theme ของ "Big Data" ครับ
2) Downside และ 3) Upside ทั้ง 2 เรื่องนี้ โดยปกติผมพิจารณาไปพร้อมๆ กันครับ คือ เลือกหุ้นที่มีความเป็นไปได้ (ความน่าจะเป็น) ที่รายได้/กำไรจะเติบโตได้สูง และมีกระแสเงินสดหมุนเวียน/เงินลงทุนที่ดี ถ้าลงรายละเอียดไปอีก จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเติบโตได้เรื่อยๆในระยะยาว ส่วนกลุ่มที่สองจะเติบโตค่อนข้างมากในระยะ 1-2 ปีจากนั้นอาจเป็นวัฏจักร สรุปคือมองวงจรธุรกิจให้ออกว่าจะโตในลักษณะไหน (แต่ไม่ว่าจะลักษณะไหนก็ตาม ที่สำคัญคือต้องโตค่อนข้างแน่แล้วก็มากพอด้วย เออ...แล้วก็มีอีกอย่างที่ผมใช้ในการดู Downside & Upside คือจะดู Price Cycle จากกราฟประกอบด้วยครับ
4) Timing เรื่องนี้ผมใช้เครื่องมือ 2 ส่วนครับ คือส่วนแรก ใช้การมอง Schedule บางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น High season ของธุรกิจ ช่วงที่จะเซ็นสัญญางานก้อนใหญ่... อีกส่วนหนึ่ง จะเป็นเรื่องของการอ่านกราฟครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 759
อีกเรื่องที่อ.ว่าไว้ "บางทีความรู้ที่เราศึกษามามันอาจจะกระจัดกระจายเต็มไปหมด ยิ่งอ่านยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ เพียงแต่เราดึงมันมาใช้ให้เหมาะสมไม่ได้เท่านั้นเอง"
สำหรับผมแล้ว ที่ผ่านมามันกระจัดกระจายเต็มไปหมดนั่นล่ะครับ แถมมันเป็นในแบบที่เรียกว่า "รู้กว้างแต่ไม่รู้ลึก" มันเลยออกมาคล้ายวิชากระบี่หกชีพจรของต้วนวี้ในแปดเทพอสูรมังกรฟ้าอ่ะครับ (ไม่ทราบว่าอ.เคยติดตามรึเปล่าครับ) ก็เพิ่งจะมาช่วง 1-2 เดือนล่าสุดนี่ล่ะครับที่ดูเหมือนว่าผมจะเริ่ม "รู้ลึก" ขึ้นมาในวิชาแต่ละแขนงๆ บ้างแล้วครับ
สำหรับผมแล้ว ที่ผ่านมามันกระจัดกระจายเต็มไปหมดนั่นล่ะครับ แถมมันเป็นในแบบที่เรียกว่า "รู้กว้างแต่ไม่รู้ลึก" มันเลยออกมาคล้ายวิชากระบี่หกชีพจรของต้วนวี้ในแปดเทพอสูรมังกรฟ้าอ่ะครับ (ไม่ทราบว่าอ.เคยติดตามรึเปล่าครับ) ก็เพิ่งจะมาช่วง 1-2 เดือนล่าสุดนี่ล่ะครับที่ดูเหมือนว่าผมจะเริ่ม "รู้ลึก" ขึ้นมาในวิชาแต่ละแขนงๆ บ้างแล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 760
ผมคงไม่มีอะไรจะเสริมให้แล้วล่ะครับ เพราะอย่างที่บอกไป เคล็ดวิชา 4 ข้อนี้มันก็เป็น "แก่น" ที่ผมสรุปออกมาได้ ส่วนรายละเอียดมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะ "ปรุงแต่ง" มันยังไงแล้ว ขึ้นกับความรู้ ประสบการณ์ ฯลฯ สำหรับผมเองบางอย่างมันก็อธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำน่ะครับ แต่เอาเป็นว่าบางทีมันก็เหมือนสัญชาติญาณยังไงยังงั้น อย่างผมดูเทคนิคไม่เป็น แต่ถ้าใครดูเป็นและจะเอาไปใส่ใน "software" มันก็ไม่มีใครว่าอะไรครับ และผมไม่อยากให้วัดสั้น ๆ แค่ 1 เดือนครับ
ตอนที่ผมกลับมาลงทุนเต็มตัวรอบใหม่ หลังจากห่าง ๆ ไปนาน ตอนนั้นเป็นต้นปี 51 ผมจำได้เลยว่าเข้ามาถึงก็โดนรับน้องอย่างแรง เริ่มต้นด้วยฐานที่ติดลบ 40% สุดท้ายผ่านมาจนถึงวันนี้ ค่อย ๆ ขัดเกลา ลองผิดลองถูกมาเรื่อย ๆ ไอ้ที่เคยติดลบไปมันแค่เด็ก ๆ ครับ ฉะนั้นเราควรมองยาว ๆ ครับ เพราะถ้าเราวัดระยะสั้น ๆ บางทีเราจะท้อได้ครับ หุ้นบางตัวถืออยู่นานไม่ค่อยไปไหน บทมันจะไปก็ขึ้นไปเป็นเท่า ๆ ภายในระยะเวลาไม่นานก็ถมเถไปครับ
เรื่องความรู้ ถึงผมจะบอกไปมันก็คงไม่หายไปจากสมองผม บางทีผมนั่งพิมพ์ให้คนอื่นอ่าน ผมก็ได้คิดกลั่นกรองอีกทีด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าถ้าเราแบ่งปันให้ผู้อื่นได้บ้าง สุดท้ายเราจะเจอแต่สิ่งดี ๆ ครับ เคยไหมครับ บางทีมันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เราเข้าไปดูหุ้นตัวหนึ่งและเจออะไรดี ๆ ผมก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้บ่อย ๆ ครับ มันคงไม่ใช่ว่าบอกคนอื่นไปแล้ว เค้าจะมาแข่งกับเรา หรือจะมาแย่งหุ้นกับเราครับ
ตอนที่ผมกลับมาลงทุนเต็มตัวรอบใหม่ หลังจากห่าง ๆ ไปนาน ตอนนั้นเป็นต้นปี 51 ผมจำได้เลยว่าเข้ามาถึงก็โดนรับน้องอย่างแรง เริ่มต้นด้วยฐานที่ติดลบ 40% สุดท้ายผ่านมาจนถึงวันนี้ ค่อย ๆ ขัดเกลา ลองผิดลองถูกมาเรื่อย ๆ ไอ้ที่เคยติดลบไปมันแค่เด็ก ๆ ครับ ฉะนั้นเราควรมองยาว ๆ ครับ เพราะถ้าเราวัดระยะสั้น ๆ บางทีเราจะท้อได้ครับ หุ้นบางตัวถืออยู่นานไม่ค่อยไปไหน บทมันจะไปก็ขึ้นไปเป็นเท่า ๆ ภายในระยะเวลาไม่นานก็ถมเถไปครับ
เรื่องความรู้ ถึงผมจะบอกไปมันก็คงไม่หายไปจากสมองผม บางทีผมนั่งพิมพ์ให้คนอื่นอ่าน ผมก็ได้คิดกลั่นกรองอีกทีด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าถ้าเราแบ่งปันให้ผู้อื่นได้บ้าง สุดท้ายเราจะเจอแต่สิ่งดี ๆ ครับ เคยไหมครับ บางทีมันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เราเข้าไปดูหุ้นตัวหนึ่งและเจออะไรดี ๆ ผมก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้บ่อย ๆ ครับ มันคงไม่ใช่ว่าบอกคนอื่นไปแล้ว เค้าจะมาแข่งกับเรา หรือจะมาแย่งหุ้นกับเราครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 761
อ่านที่อ.พิมพ์ออกมาแล้ว ผมมั่นใจครับว่าผมจะต้องประสบความสำเร็จในหุ้นให้ได้
ถึงตอนนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่ผมได้มีโอกาสมารู้จักกับอ. ในช่วงจังหวะเวลาที่ผมกำลังรวบยอดความรู้ เพื่อจะตกผลึกเป็นแนวทางของตัวเอง แล้วก็กำลังต้องการ "ใครสักคน" ที่เหมาะกับแนวทางของผม ที่จะมาเป็น Mentor แล้วก็มาเจอกับอ.ไม่ช้าไม่เร็วกว่านี้พอดี
ที่ผมบอกไปว่าอีก 1 เดือนจะมาส่งการบ้าน เนื่องจากว่าในแนวทางของผมมันมีส่วนของ Timing อยู่มากพอสมควรเพราะใช้ทั้งจังหวะเวลาด้านตัวเร่ง + จังหวะเวลาจากการอ่านกราฟ ซึ่งมันเหมาะเจาะพอดีว่าตามที่ผมได้ประเมินไว้ จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นน่าจะภายใน 1 เดือนข้างหน้าที่จะส่งผลต่อพอร์ตโดยรวมพอดีครับ
อ.ครับ ไหนๆ อ.ก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แล้ว อย่าหาว่าผมพอได้คืบแล้วจะเอาศอกเลยนะครับ ขอให้อ.ช่วยแสดงกระบวนท่า ด้วยการเล่า Case Study ในอดีตที่จะอธิบายให้เห็นถึงการนำเคล็ดวิชาไปใช้จริงให้ชมเป็นขวัญตาสักท่า 2 ท่าจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือไม่ครับ ผมเชื่อว่าถ้าได้เห็นจากของจริงโดยละเอียดสักครั้ง จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจได้ลึกซึ้งทีเดียวครับ
ถึงตอนนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่ผมได้มีโอกาสมารู้จักกับอ. ในช่วงจังหวะเวลาที่ผมกำลังรวบยอดความรู้ เพื่อจะตกผลึกเป็นแนวทางของตัวเอง แล้วก็กำลังต้องการ "ใครสักคน" ที่เหมาะกับแนวทางของผม ที่จะมาเป็น Mentor แล้วก็มาเจอกับอ.ไม่ช้าไม่เร็วกว่านี้พอดี
ที่ผมบอกไปว่าอีก 1 เดือนจะมาส่งการบ้าน เนื่องจากว่าในแนวทางของผมมันมีส่วนของ Timing อยู่มากพอสมควรเพราะใช้ทั้งจังหวะเวลาด้านตัวเร่ง + จังหวะเวลาจากการอ่านกราฟ ซึ่งมันเหมาะเจาะพอดีว่าตามที่ผมได้ประเมินไว้ จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นน่าจะภายใน 1 เดือนข้างหน้าที่จะส่งผลต่อพอร์ตโดยรวมพอดีครับ
อ.ครับ ไหนๆ อ.ก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แล้ว อย่าหาว่าผมพอได้คืบแล้วจะเอาศอกเลยนะครับ ขอให้อ.ช่วยแสดงกระบวนท่า ด้วยการเล่า Case Study ในอดีตที่จะอธิบายให้เห็นถึงการนำเคล็ดวิชาไปใช้จริงให้ชมเป็นขวัญตาสักท่า 2 ท่าจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือไม่ครับ ผมเชื่อว่าถ้าได้เห็นจากของจริงโดยละเอียดสักครั้ง จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจได้ลึกซึ้งทีเดียวครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 762
ต้องเคยสิครับอ. แต่ของผมจะต่างกับของอ.นิดนึงนะครับ น่าจะเด็ดกว่าของอ.ด้วยครับ ตรงที่ของผมมันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ได้เข้าไปดูกระทู้ๆ หนึ่งและได้เจออะไรดีๆ ซึ่งก็คือการที่ผมได้มาเจอกับอ.ในกระทู้นี้ไงครับleky เขียน:เคยไหมครับ บางทีมันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เราเข้าไปดูหุ้นตัวหนึ่งและเจออะไรดี ๆ ผมก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้บ่อย ๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 763
ผมเข้าใจว่าในโพสต์เก่า ๆ ในห้องนี้ ผมเคยพูดถึง case study ไปบ้างแล้วครับ ลองย้อนไปดูครับ เพราะหุ้นบางตัวที่ไม่ได้ post ผมจำรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด เขียนไปมันก็ไม่ครอบคลุมครับ แต่ case เก่า ๆ นี่จะเขียนไว้อย่างละเอียดแล้วครับ น่าจะเป็น หุ้นลิสซิ่ง และ หุ้นถังแก๊ส และก็อีกประปรายครับดำ เขียน: อ.ครับ ไหนๆ อ.ก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แล้ว อย่าหาว่าผมพอได้คืบแล้วจะเอาศอกเลยนะครับ ขอให้อ.ช่วยแสดงกระบวนท่า ด้วยการเล่า Case Study ในอดีตที่จะอธิบายให้เห็นถึงการนำเคล็ดวิชาไปใช้จริงให้ชมเป็นขวัญตาสักท่า 2 ท่าจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือไม่ครับ ผมเชื่อว่าถ้าได้เห็นจากของจริงโดยละเอียดสักครั้ง จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจได้ลึกซึ้งทีเดียวครับ
ผมว่าถ้าคุณดำมีหุ้นตัวไหนอยากจะเล่าให้ฟัง ก็บอกกันได้ครับ เหล่าสมาชิกในห้องนี้น่าจะช่วยกันเม้นต์ได้ครับ
เมื่อวานผมลืมถามไปครับ ว่าทำไมถึงคืดว่าอีก 1 เดือน ตลาดอาจจะลงครับ ถ้าเป็นเหตุผลเรื่องทางเทคนิคล้วน ๆ ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ เพราะมันอาจจะไม่เหมาะสมเท่าไรนักสำหรับเว็บนี้ ผมเองตอนนี้ก็ได้แต่เสียว ๆ อยู่บ้าง แบบไม่ค่อยมีเหตุผลนัก อาจจะเพราะ SET กำลังจะ 1600 จุด เลยพยายามระมัดระวังครับ ที่เน้นก็ปล่อยตัวที่อยากปล่อยมานานแล้ว เช่นพวกที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด หรือความผิดพลาดทั้งหลาย ซึ่งจริง ๆ ก็ควรจะปล่อยไปนานแล้ว แต่เห็นว่าตลาดยังดีอยู่และเราก็ไม่ได้มีแผนจะไปซื้อหุ้นตัวไหน ก็เลยยังเลี้ยง ๆ ไว้อยู่น่ะครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 764
นอกจากเหตุผลทางกราฟแล้ว มีอีก 2 เหตุผลครับleky เขียน:เมื่อวานผมลืมถามไปครับ ว่าทำไมถึงคิดว่าอีก 1 เดือน ตลาดอาจจะลงครับ ถ้าเป็นเหตุผลเรื่องทางเทคนิคล้วน ๆ ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ เพราะมันอาจจะไม่เหมาะสมเท่าไรนักสำหรับเว็บนี้
1. ดูจากมุมมองของแนววีไอส่วนใหญ่ตอนนี้ + ระดับ P/E ของ SET และ MAI ตัวอย่างที่ชัดเจนก็ตามที่ท่านดร.เขียนไว้ล่าสุด "สัญญาณฟองสบู่ (ของหุ้นตัวเล็ก)
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor 27 กันยายน 2557"
2. ดูจากตารางเวลาซึ่งใน 1-2 สัปดาห์หน้าจะมีข่าวบวกแรงๆ 2 เรื่อง (1. การประกาศแผนกระตุ้นศก.ระยะสั้นอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาล 2. การอัดฉีดเงินรอบใหม่จำนวนมากของ ECB) ซึ่งผมเชื่อว่าข่าวทั้ง 2 จะส่งผลให้หลายสำนักทำการปรับเป้าหมาย SET ขึ้นอีกจากปัจจุบันที่ใกล้ถึงเป้าเดิมเต็มทีแล้ว ที่สำคัญคือ หลังจากที่ตลาดน่าจะวิ่งขึ้นร้อนแรงพอควรตอบรับข่าวดีเหล่านี้แล้ว ในระยะต่อไปจากนั้น ผมมองไม่เห็นว่าจะมีข่าวดีซ้อนข่าวดีอะไรที่จะทำให้นักลงทุนยอมจ่ายแพงกว่าขึ้นไปได้อีก ในทางกลับกัน ข่าวร้ายก็ยังมีที่รออยู่อีกไม่น้อย ขอยกแค่ตัวอย่างเดียว คือ แผนการปรับขึ้นราคาพลังงานในประเทศ
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์สำหรับอ.บ้างนะครับ ส่วนเรื่องกราฟผมขอยกไว้ตามกติกาของเว็บครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 765
อยากถามคุณหมอ leky ครับ โดยทั่วไปแล้วคุณหมอ จะให้เวลาประมาณเท่าใหร่ครับ ถ้าไม่เป็นไปตามเวลาที่ต้องการคุณหมอจะทำอย่างไรครับleky เขียน: 4) Timing ถ้าการถือเงินสดทิ้งไว้เฉย ๆ คือการสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การที่เราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าตัวเร่งมันจะทำงานเมื่อไหร่ ก็คือการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์เช่นกันครับ อย่าลืมว่าเงินเรามีจำกัด นั่นแปลว่า ต้องให้เงินอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุดครับ การซื้อหุ้นเร็วเกินไปโดยที่อีกนานกว่าตัวเร่งจะทำงานย่อมเกิดความสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นที่ช้าเกินไป โดยรอจนกระทั่งตัวเร่งมันทำงานไปมากแล้ว ก็ทำให้สูญเสีย MOS เช่นกันครับ ลองหาวิธีประเมินจังหวะ "การเข้าทำ" ให้เหมาะสมครับ
อีกอย่างผมรู้ว่าคุณหมอถือหุ้นไม่เกิน 10 ตัว ผมจึงอยากได้คำแนะนำหน่อยครับ เราจะลดจำนวนหุ้นที่เราถือแบบเบี้ยหัวแตก ให้น้อยลงได้ยังไง เพราะผมมีปัญหาว่าพออ่านข่าว หรือ รายงานประจำปี แล้วชอบ ก็เลยซื้อแล้วถือไป ไม่คิดขาย ไปๆ มาๆ มี 20 กว่าตัว ถึงแม้ 80 % จะไม่ขาดทุน แต่ขนาดพอร์ทก็ไม่โตเท่าใหร่ 555 พยายามลดแล้ว แต่แบบรักพี่เสียดายน้องอยู่ ตอนนี้ก็เลยติดปัญหาไม่อยากดูบริษัทใหม่ๆ เท่าใหร่ เพราะกลัวใจตัวเองจะซื้อเข้ามาอีก
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 766
คำถามข้อแรกคือ ไม่มีระยะเวลาตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเร่งที่เราคาดหวังครับ ยกตัวอย่างเช่น สมมติ บ.แห่งหนึ่งมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัว โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานใหม่ที่ 50% นั่นแปลว่าเราคาดหวังว่ารายได้น่าจะเพิ่มอย่างน้อย 30% อันนี้ผมสมมติตัวเลขแบบง่าย ๆ นะครับ เพราะมันคงต้องมีการหักค่าเสื่อม ดอกเบี้ย ฯลฯ ถ้าจะให้ง่ายก็ถามบ.ไปตรง ๆ ว่า การเพิ่มกำลังการผลิตตรงนี้บ.หวังผลรายได้เพิ่มกี่% สมมติ เราให้เวลาโรงงานใหม่เดินเครื่องเต็มที่ ปรับปรุงทุกอย่างแล้ว 6 เดือนก็ยังไม่เห็นผล อย่างแรกควรสอบถามข้อมูลก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกอย่างมันยังไม่เข้าที่ก็ต้องให้เวลา แต่ถ้าทุกอย่างดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไรสะดุด แต่ยอดขายยังไม่กระเตื้องโดยที่ไม่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อันนี้ก็คงโบกมือบายบายครับ ทุกอย่างมันมีรายละเอียดครับ ที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า "ตัวเร่ง" ทุกอย่างที่เราสนใจในบ.นั้น เราต้องเข้าใจว่า "มันทำงานอย่างไร" ครับjverakul เขียน:อยากถามคุณหมอ leky ครับ โดยทั่วไปแล้วคุณหมอ จะให้เวลาประมาณเท่าใหร่ครับ ถ้าไม่เป็นไปตามเวลาที่ต้องการคุณหมอจะทำอย่างไรครับleky เขียน: 4) Timing ถ้าการถือเงินสดทิ้งไว้เฉย ๆ คือการสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การที่เราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าตัวเร่งมันจะทำงานเมื่อไหร่ ก็คือการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์เช่นกันครับ อย่าลืมว่าเงินเรามีจำกัด นั่นแปลว่า ต้องให้เงินอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุดครับ การซื้อหุ้นเร็วเกินไปโดยที่อีกนานกว่าตัวเร่งจะทำงานย่อมเกิดความสูญเสียโอกาส ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นที่ช้าเกินไป โดยรอจนกระทั่งตัวเร่งมันทำงานไปมากแล้ว ก็ทำให้สูญเสีย MOS เช่นกันครับ ลองหาวิธีประเมินจังหวะ "การเข้าทำ" ให้เหมาะสมครับ
อีกอย่างผมรู้ว่าคุณหมอถือหุ้นไม่เกิน 10 ตัว ผมจึงอยากได้คำแนะนำหน่อยครับ เราจะลดจำนวนหุ้นที่เราถือแบบเบี้ยหัวแตก ให้น้อยลงได้ยังไง เพราะผมมีปัญหาว่าพออ่านข่าว หรือ รายงานประจำปี แล้วชอบ ก็เลยซื้อแล้วถือไป ไม่คิดขาย ไปๆ มาๆ มี 20 กว่าตัว ถึงแม้ 80 % จะไม่ขาดทุน แต่ขนาดพอร์ทก็ไม่โตเท่าใหร่ 555 พยายามลดแล้ว แต่แบบรักพี่เสียดายน้องอยู่ ตอนนี้ก็เลยติดปัญหาไม่อยากดูบริษัทใหม่ๆ เท่าใหร่ เพราะกลัวใจตัวเองจะซื้อเข้ามาอีก
ข้อสอง จริง ๆ ทุกวันนี้ผมก็มีหุ้นเกิน 10 ตัวครับ เหตุผลคงจะคล้าย ๆ กันคือเจอตัวไหนก็อยากได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นหุ้นที่ไม่เป็นไปตามที่คิด และก็ยังมีการขาดทุนอยู่หรือกำไรเล็กน้อย ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้คงตัดสินใจไม่ยากเพราะว่าคงจะต้องขายออกไป
แต่หุ้นในพอร์ทของผมจะมีตัวหลัก ๆ อยู่หนึ่งตัวเสมอ ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่า 30-40% คือบางตัวก็ซื้อตั้งแต่มูลค่าแค่ 10% แต่มันโตขึ้นจนแซงตัวอื่น หุ้นตัวหลักจะค่อนข้างชี้เป็นชีัตายทิศทางของพอร์ทครับ ส่วนหุ้นตัวอื่น ๆ สัดส่วนก็กระจายกันไป บางตัวก็ไม่ถึง 5% คือถึงจะมีเกิน 10 ตัวแต่ก็ไม่ซีเรียส เพราะว่าหุ้นเหล่านี้บางตัวสัดส่วนน้อย ไม่ค่อยมีผลต่อทิศทางของพอร์ทครับ บางทีหุ้นบางตัวเราอยากจะซื้อมากกว่านั้น แต่ช่วงนั้นผมไม่มีเงินสดเหลือมากนัก และหุ้นที่ถืออยู่ก็ยังดีอยู่บางทีก็เลยซื้อได้ไม่มาก
แต่ผมจะบอกว่าการถือหุ้นมาก ๆ แบบกระจายเท่า ๆ กัน อาจจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว ๆ ครับ เพราะถึงแม้บางตัวจะขึ้นมามาก แต่มันจะไม่มีแรงพอที่จะดึงพอร์ทขึ้นไปทั้งหมดครับ ถามว่าจะทำอย่างไร ก็คงต้องกลับไปดูครับ ละจัดอันดับดูครับ ตัวไหนที่สัดส่วนมีน้อยและเราก็ไม่ค่อยรักมันมากเท่าไหร่ ก็ขายออกไปครับ อาจจะเอาเงินไปซื้อตัวที่เราชอบมากที่สุดเพิ่มก็ได้ ถ้าราคามันยังไปไม่ไกลนักครับ สรุปคือต้องตัดใจครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 767
ดูเหมือนตอนนี้ทุกคน "ตัวเกร็ง" กันหมดครับ มือเตรียมจ่อไว้ที่ปุ่มขาย กะว่าทำท่าจะไปเมื่อไหร่ "กดทันที"ดำ เขียน:1. ดูจากมุมมองของแนววีไอส่วนใหญ่ตอนนี้ + ระดับ P/E ของ SET และ MAI ตัวอย่างที่ชัดเจนก็ตามที่ท่านดร.เขียนไว้ล่าสุด "สัญญาณฟองสบู่ (ของหุ้นตัวเล็ก)
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor 27 กันยายน 2557"
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 768
ที่อ.ว่านี่แหละครับ ทำให้ตอนนี้ SET ยังลงไม่ได้ เพราะมีคนที่ถือหุ้นกำไรอยู่ (ต้นทุนต่ำ) จำนวนมากรอเทขายอยู่ตลอดเวลาleky เขียน:ดูเหมือนตอนนี้ทุกคน "ตัวเกร็ง" กันหมดครับ มือเตรียมจ่อไว้ที่ปุ่มขาย กะว่าทำท่าจะไปเมื่อไหร่ "กดทันที"
ถ้าอ.เป็นคนคุมเกม เจอแบบนี้อ.จะทำยังไงครับ ที่จะขายได้เยอะๆ โดยที่คนอื่นจะยอมเปลี่ยนใจไม่ขายตามหรือเปลี่ยนใจไปซื้อเพิ่มแทน
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 769
ผมว่ามันก็เป็นธรรมดาของตลาดขาขึ้นน่ะครับ คือพอได้กำไรก็ยังไม่ขาย อีกส่วนหนึ่งขายแล้วก็ไปซื้อตัวอื่นต่อ ผมว่าในส่วนของรายย่อยเองเหมือนเบี้ยหัวแตกครับ คงยากที่จะพร้อมใจกันขาย เท่าที่เห็นมา คนที่มักจะเริ่ม "กดปุ่ม" ก่อนก็คือต่างชาติครับ แต่ทีนี้ผมคิดว่าตอนนี้สำหรับต่างชาติเอง ข่าวร้ายใหญ่ ๆ อาจจะยังไม่มี เพราะเท่าที่ผมเห็นเค้ามักจะกดปุ่มแบบอำนาจทำลายล้างสูงครับ สมัยก่อนต่างชาติถ้าเค้าอยากจะเข้าหรือออกเค้าก็ทำเลยครับ บางทีมันก็ไม่มีเรื่องดีหรือร้ายมารองรับ เหมือนอย่างปี 37 ที่เล่นทุบหลังเปิดตลาดช่วงปีใหม่ แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไป การจะทุบตลาด มันก็เหมือนจะต้องมีเรื่องร้าย ๆ ให้รายย่อยกลัวด้วย เพราะอย่าลืมว่า เค้าขาย หุ้นลง เค้าก็ยังทำกำไรจากอนุพันธ์ได้ครับ อีกอย่างปีก่อนต่างชาติเค้าขายหุ้นไปเยอะ นี่ก็เหมือนจะเพิ่งเข้ามาเก็บสะสม ผมว่าของที่เค้าจะเอามาขายมันก็คงไม่น่าจะเยอะแบบปีก่อน ส่วนโบรกนี่ผมเข้าใจว่าเค้าน่าจะเน้นไปในทางการเทรดมากกว่าเพราะอาศัยว่าไม่มีต้นทุนเรื่องค่าคอมฯ ส่วนกองทุนก็ไม่น่าจะเริ่มกดปุ่มซะเองนะ เพราะถ้าตลาดดีเค้าก็ออกกองหุ้นใหม่ ๆ พวกทริกเกอร์ได้เรื่อย ๆ ยิ่งถ้าเค้าขาย ก็ถือเงินสดมากไม่ได้อยู่ดี ถ้าขายแล้วไม่ลง ต้องมาซื้อหุ้นสูงมันก็คงจะแย่กันไปใหม่ อันนี้คุยกันสนุก ๆ ครับ แต่อย่าได้พยายามจับจังหวะตลาดมากครับ โอกาสผิดสูงมาก
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 770
แต่ผมว่ามันควรจะต้องมีการปรับฐานใหญ่ ๆ บ้างนะครับ เพราะถ้าราคาหุ้นมันขึ้นไปเรื่อย ๆ เราก็ไม่มีทางได้ซื้อหุ้นราคาถูก และถ้ามีการปรับฐานใหญ่รายย่อยที่เป็นพวกเก็งกำไรจะออกจากตลาดชั่วคราว เพียงแต่ยามที่ตลาดลงเราก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ครับ และถ้าตลาดกลับมาใหม่เราจะโตขึ้นมากกว่าเดิมครับ และเท่าที่เห็น ๆ กันมา ถ้าตลาดมีการปรับฐานจริง พวกหุ้นเล็ก ๆ ที่ขึ้นมามาก ๆ จากการเก็งกำไร ก็มักจะเป็นกลุ่มที่ลงหนักเหมือนกันครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 771
[quote="leky"
แต่ผมจะบอกว่าการถือหุ้นมาก ๆ แบบกระจายเท่า ๆ กัน อาจจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว ๆ ครับ เพราะถึงแม้บางตัวจะขึ้นมามาก แต่มันจะไม่มีแรงพอที่จะดึงพอร์ทขึ้นไปทั้งหมดครับ ถามว่าจะทำอย่างไร ก็คงต้องกลับไปดูครับ ละจัดอันดับดูครับ ตัวไหนที่สัดส่วนมีน้อยและเราก็ไม่ค่อยรักมันมากเท่าไหร่ ก็ขายออกไปครับ อาจจะเอาเงินไปซื้อตัวที่เราชอบมากที่สุดเพิ่มก็ได้ ถ้าราคามันยังไปไม่ไกลนักครับ สรุปคือต้องตัดใจครับ [/quote]
ขอบคุณครับคุณหมอ leky
แต่ผมจะบอกว่าการถือหุ้นมาก ๆ แบบกระจายเท่า ๆ กัน อาจจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว ๆ ครับ เพราะถึงแม้บางตัวจะขึ้นมามาก แต่มันจะไม่มีแรงพอที่จะดึงพอร์ทขึ้นไปทั้งหมดครับ ถามว่าจะทำอย่างไร ก็คงต้องกลับไปดูครับ ละจัดอันดับดูครับ ตัวไหนที่สัดส่วนมีน้อยและเราก็ไม่ค่อยรักมันมากเท่าไหร่ ก็ขายออกไปครับ อาจจะเอาเงินไปซื้อตัวที่เราชอบมากที่สุดเพิ่มก็ได้ ถ้าราคามันยังไปไม่ไกลนักครับ สรุปคือต้องตัดใจครับ [/quote]
ขอบคุณครับคุณหมอ leky
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 772
ขอบพระคุณนลท.ชายเดี่ยว(อ.leky)ชายคู่(ท่านดำ)ที่สร้างตำราลงทุนให้นลท.ชายหมู่(แปลว่าพวกมาก)แบบผมได้ศึกษานะฮะ
ระหว่างนี้ไม่ค่อยมีไรทำฮะ แคะขี้มูกมาปั้นดีดเล่นก็แล้ว แช่งเอ๊ยเชียร์หุ้นก็แล้ว..
มีสัมมนามาฝากอีกแล้วครับ ของแบ็งค์ม่วง"FIRST"(คุณเสร็จเราเป็นคนแรก รึให้เราเป็นคนแรกของคุณไรราวนี้)
ช่วงแรกขายกองทุน บอกว่าอันดับดีขึ้นแล้วเทียบกะชาวบ้าน(หือ....หึหึ..ฮือฮือ..ฮึ่มม...)
ช่วงน่าสนใจคือเรื่องภาษีมรดก( อ.สุวรรณ)
อ.ศึกษามา25ปี เคยเป็นเรื่องใหญ่ในเมกามาก่อน
ท่านหม่อมอุ๋ยถือเป็นเรื่องเร่งด่วน รัฐบาลอยากทำ ได้คะแนนโดยไม่ลงทุนมาก
ยกร่างรอกฤษฎีกา ผ่านสภาในขั้นเดียวปลายปีนี้ ไม่ต้องสองขั้นกับอปท.แบบภาษีทรัพย์สิน
เพราะคนมีเกิน50ล้านไม่เกิน600,000คน คนส่วนใหญ่ชั้นกลาง,ล่าง เห็นด้วย
แนวโน้มทรัพย์สินไม่มีตัวตนเช่นintellectualจะมากขึ้นกว่าพวกมีตัวตนเช่นอสังหาฯ
(ตอนนี้ครอบครัวจิฯมีมากกว่าเจียรฯ แต่อนาคตอาจแซงได้จากบ.สื่อสาร อ.ยกตัวอย่างอาลีบาบา มีเจ็ดแสนล้านในคืนเดียวที่ไอพีโอ)
จะเก็บ"จากทายาท"อัตรา10%(อาจต่ำกว่าแบบต่อรองได้แบบVAT)
(อีกหน่อยอาจมีประกันชิวิตไว้ให้ทายาทจ่ายภาษีมรดกโดยไม่ต้องขายทรัพย์สิน อันนี้ผมนึกในใจ)
ของส่วนที่เกิน50ล้าน ที่มีทะเบียน ที่ดิน อสังหาฯ หุ้น (ไม่มีทะเบียน เช่น ทอง วัตถุโบราณ งานศิลปะ ไม่เก็บ)
สรรพากรไม่ได้ตั้งเป้าเป็นรายได้หลัก หวังกระจายรายได้มากกว่า (กระทบแค่1%ของคนไทย)
แต่ก็ยังมีอุปสรรค และช่องทางให้ห่าน เอ๊ยผู้มีมรดกปรับตัวได้อีก เช่น
ค่าใช้จ่ายอาจมากพอๆกับภาษีที่เก็บได้(software ค่าจ้างคนแผนกภาษีมรดกๆลๆ)
และยังไม่เคยมีประสบการณ์เก็บมาก่อน (VATใช้เวลาสิบกว่าปีกว่าจะเข้าที่) และยังไม่มี"ฐานข้อมูล"
คนสมัยนี้อายุยืน ตายยาก อีกนานกว่าจะได้เก็บภาษี(เก็บเมื่อตาย)
เมืองไทยเคยมีสมัยจอมพลป.2478ยกเลิก2487 หายไป50ปีมาจน2557นี้
เพราะเก็บสองทางทั้งต้นและปลายทางจากกองมรดกและทายาท เก็บแทบไม่ได้
ในเมกาซึ่งสรรพากรเก่งมากยังเก็บลำบาก ยังต้องมีgift taxขวางไว้
คือคนสมัยนี้ดูแลตัวเองดีขึ้น ส่วนใหญ่จะรู้ตัวล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อไร ก่อนตาย3-4เดือนก็ยกให้โดยสเน่หา(ไทยควรมีgift taxก่อนภาษีมรดก)
หลายประเทศยกเลิกไปแล้ว มาเลย์(ปชก.น้อย อยากให้คนมาลงทุน)
สิงค์โปร์,ฮ่องกง(แข่งกันเป็นศูนย์กลางทางการเงิน อยากให้คนรวยมาอยู่)
อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กฎหมายแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน คนจะไปซื้อทรัพย์สินในรัฐที่ไม่มีภาษีมรดก
อ.มีตัวอย่างให้ดูสองแบบ
1. กิจการกงสีส่วนรวม แยกไม่ได้ ลูกคนที่บริหารควรได้ค่าตอบแทนมากกว่าลูกคนที่ถือหุ้นกินปันผล"สองเท่า"
และวางโครงสร้างไม่ให้มีการกู้เงิน(กันเจ๊ง)หรือถ้ากู้ต้องได้เสียงส่วนใหญ่เกิน80%
2. ทรัพย์สินที่แบ่งได้ แนะนำให้แบ่งกันไปเลย
ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ทกบกะแอม(อย่าถามนะว่าใครอ้ะ?)มาในธีม ณเดชกะญาญ่า
นรก ไม่มี(น้ำ)ยา,หญ้า รายงาน
ระหว่างนี้ไม่ค่อยมีไรทำฮะ แคะขี้มูกมาปั้นดีดเล่นก็แล้ว แช่งเอ๊ยเชียร์หุ้นก็แล้ว..
มีสัมมนามาฝากอีกแล้วครับ ของแบ็งค์ม่วง"FIRST"(คุณเสร็จเราเป็นคนแรก รึให้เราเป็นคนแรกของคุณไรราวนี้)
ช่วงแรกขายกองทุน บอกว่าอันดับดีขึ้นแล้วเทียบกะชาวบ้าน(หือ....หึหึ..ฮือฮือ..ฮึ่มม...)
ช่วงน่าสนใจคือเรื่องภาษีมรดก( อ.สุวรรณ)
อ.ศึกษามา25ปี เคยเป็นเรื่องใหญ่ในเมกามาก่อน
ท่านหม่อมอุ๋ยถือเป็นเรื่องเร่งด่วน รัฐบาลอยากทำ ได้คะแนนโดยไม่ลงทุนมาก
ยกร่างรอกฤษฎีกา ผ่านสภาในขั้นเดียวปลายปีนี้ ไม่ต้องสองขั้นกับอปท.แบบภาษีทรัพย์สิน
เพราะคนมีเกิน50ล้านไม่เกิน600,000คน คนส่วนใหญ่ชั้นกลาง,ล่าง เห็นด้วย
แนวโน้มทรัพย์สินไม่มีตัวตนเช่นintellectualจะมากขึ้นกว่าพวกมีตัวตนเช่นอสังหาฯ
(ตอนนี้ครอบครัวจิฯมีมากกว่าเจียรฯ แต่อนาคตอาจแซงได้จากบ.สื่อสาร อ.ยกตัวอย่างอาลีบาบา มีเจ็ดแสนล้านในคืนเดียวที่ไอพีโอ)
จะเก็บ"จากทายาท"อัตรา10%(อาจต่ำกว่าแบบต่อรองได้แบบVAT)
(อีกหน่อยอาจมีประกันชิวิตไว้ให้ทายาทจ่ายภาษีมรดกโดยไม่ต้องขายทรัพย์สิน อันนี้ผมนึกในใจ)
ของส่วนที่เกิน50ล้าน ที่มีทะเบียน ที่ดิน อสังหาฯ หุ้น (ไม่มีทะเบียน เช่น ทอง วัตถุโบราณ งานศิลปะ ไม่เก็บ)
สรรพากรไม่ได้ตั้งเป้าเป็นรายได้หลัก หวังกระจายรายได้มากกว่า (กระทบแค่1%ของคนไทย)
แต่ก็ยังมีอุปสรรค และช่องทางให้ห่าน เอ๊ยผู้มีมรดกปรับตัวได้อีก เช่น
ค่าใช้จ่ายอาจมากพอๆกับภาษีที่เก็บได้(software ค่าจ้างคนแผนกภาษีมรดกๆลๆ)
และยังไม่เคยมีประสบการณ์เก็บมาก่อน (VATใช้เวลาสิบกว่าปีกว่าจะเข้าที่) และยังไม่มี"ฐานข้อมูล"
คนสมัยนี้อายุยืน ตายยาก อีกนานกว่าจะได้เก็บภาษี(เก็บเมื่อตาย)
เมืองไทยเคยมีสมัยจอมพลป.2478ยกเลิก2487 หายไป50ปีมาจน2557นี้
เพราะเก็บสองทางทั้งต้นและปลายทางจากกองมรดกและทายาท เก็บแทบไม่ได้
ในเมกาซึ่งสรรพากรเก่งมากยังเก็บลำบาก ยังต้องมีgift taxขวางไว้
คือคนสมัยนี้ดูแลตัวเองดีขึ้น ส่วนใหญ่จะรู้ตัวล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อไร ก่อนตาย3-4เดือนก็ยกให้โดยสเน่หา(ไทยควรมีgift taxก่อนภาษีมรดก)
หลายประเทศยกเลิกไปแล้ว มาเลย์(ปชก.น้อย อยากให้คนมาลงทุน)
สิงค์โปร์,ฮ่องกง(แข่งกันเป็นศูนย์กลางทางการเงิน อยากให้คนรวยมาอยู่)
อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กฎหมายแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน คนจะไปซื้อทรัพย์สินในรัฐที่ไม่มีภาษีมรดก
อ.มีตัวอย่างให้ดูสองแบบ
1. กิจการกงสีส่วนรวม แยกไม่ได้ ลูกคนที่บริหารควรได้ค่าตอบแทนมากกว่าลูกคนที่ถือหุ้นกินปันผล"สองเท่า"
และวางโครงสร้างไม่ให้มีการกู้เงิน(กันเจ๊ง)หรือถ้ากู้ต้องได้เสียงส่วนใหญ่เกิน80%
2. ทรัพย์สินที่แบ่งได้ แนะนำให้แบ่งกันไปเลย
ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ทกบกะแอม(อย่าถามนะว่าใครอ้ะ?)มาในธีม ณเดชกะญาญ่า
นรก ไม่มี(น้ำ)ยา,หญ้า รายงาน
samatah
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 773
ไม่รู้ท่านอื่นอ่านตรงนี้แล้วจะรู้สึกจั๊กกะจี้เหมือนผมรึเปล่าอ่ะครับ ...ชายเดี่ยว ชายคู่ แล้วยังตามมาด้วยชายหมู่อีกdr1 เขียน:ขอบพระคุณนลท.ชายเดี่ยว(อ.leky)ชายคู่(ท่านดำ)ที่สร้างตำราลงทุนให้นลท.ชายหมู่(แปลว่าพวกมาก)แบบผมได้ศึกษานะฮะ
ผมอยากขอโทษท่าน dr1 ด้วยที่ไม่อาจสอดแทรกความฮาเข้าไปในเนื้อหาที่โพสต์ได้เท่าไหร่ คงต้องเรียนรู้จากสำนวนฮาขั้นเทพของท่าน dr1 ต่อไปเรื่อยๆ ก่อนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 775
หวัดดีรอบวง ทุกท่านค่ะ _/l\_
สาว(เหลือ)น้อย ขอรายงานตัว หลังจากซุ่มเงียบ ตามติดและติดตามเก็บความรู้คู่ความฮามาตลอด แถมมีแอบหวังว่าชาติเอ๊ย!โอกาสหน้า(ที่ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน) หากมีพัฒนาการในด้านการลงทุนแนวนี้แบบฝันที่เป็นจริง คงมีโอกาสได้แทนคุณด้วยบทสนทนา ประสาหญิงเดี่ยว หญิงคูู่ หรือหญิงหมู่ มาแจมให้ท่านอาจารย์และพี่ๆช่วยเป็น commentator ให้บ้าง
ขอถือโอกาสนี้ยกพานไหว้ครู มอบแด่ทุกๆท่านที่เมตตาให้ความรู้เม่าน้อยอยากเปลี่ยนสปีชีส์เป็น VI มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
สาว(เหลือ)น้อย ขอรายงานตัว หลังจากซุ่มเงียบ ตามติดและติดตามเก็บความรู้คู่ความฮามาตลอด แถมมีแอบหวังว่าชาติเอ๊ย!โอกาสหน้า(ที่ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน) หากมีพัฒนาการในด้านการลงทุนแนวนี้แบบฝันที่เป็นจริง คงมีโอกาสได้แทนคุณด้วยบทสนทนา ประสาหญิงเดี่ยว หญิงคูู่ หรือหญิงหมู่ มาแจมให้ท่านอาจารย์และพี่ๆช่วยเป็น commentator ให้บ้าง
ขอถือโอกาสนี้ยกพานไหว้ครู มอบแด่ทุกๆท่านที่เมตตาให้ความรู้เม่าน้อยอยากเปลี่ยนสปีชีส์เป็น VI มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 776
ขอต้อนรับคุณหวานกับแววนะฮะ
ทำตัวสบายๆเหมือนอยู่ห้องนั่งเล่นที่บ้านฮะ ถามคำถามได้ทุกแบบ เพื่อนๆและอ.พร้อมจะตอบและช่วยประคอง
ให้การกลายพันธ์(เปลี่ยนสปีชีส์)เป็นไปอย่างราบรื่นฮะ
ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือ"outofmind on value investment"(คิดและลงทุนหุ้นอย่างถูกต้อง)ภาค2อยู่ฮะ
ภาค1หาหนังสือไม่ได้ แต่เค้าว่าไว้ในนั้นว่าอ่านภาค2ก่อนก็ได้ไอเดียเหมือนกัน เรื่อง"มูลค่าธุรกิจ กับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ"
"หุ้นแบบเก็งกำไร กับหุ้นแบบเจ้าของธุรกิจ" "การแยกธุรกิจที่ดีกับไม่ดี"
อ.ลูกอิสานแนะนำไว้ในมี้ตติ้งครั้งที่แล้ว พร้อมกับ"margin of safery" ของseth klarman
คำนิยมโดยอ.ลูกอิสาน
"เมื่อความคิดเปลี่ยน วิธีการจะเปลี่ยน และชีวิตจะเปลี่ยน"
"แนวคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง สำคัญที่สุดสำหรับการเริ่มต้น คนที่ฉลาดเพียงใด แต่แลือกทางผิด ชีวิตก็ไม่ถึงจุดหมาย
เหมือนปลูกต้นไม้พิษ ย่อมให้ผลที่เป็นพิษด้วย"
"การลงทุนที่ดีที่สุดคือลงทุนในตัวเราเอง โดยพัฒนาหาความรู้ตลอดเวลา จนเกิดการทบต้นของความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้"
"ผมพลิกอ่านไม่กี่หน้าก็รู้ทันทีว่าผู้เขียนไม่ธรรมดา การได้อ่านหนังสือดีๆสักเล่มเช่นเล่มนี้ เป็นวิธีลัดในการเรียนรู้จากผู้อื่น
โดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ย่อมดีกว่าอ่านหนังสือแย่ๆนับสิบเล่ม นับเป็นโชคดีที่คุณปราการ สมใจเพ็ง
ได้ถ่ายทอดความรู้และจิตวิญญาณออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้" น่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ
คำนิยมโดยอ.web(ซึ่งแปลตำรามาเยอะมาก)
"เนิ้อหาส่วนแรก ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักการลงทุนเน้นคุณค่า เหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นลงทุนแนวทางนี้เป็นอย่างยิ่ง"
"ส่วนที่สอง เขียนถึงเกร็ดข้อคิดและความรู้ในประเด็นต่างๆของธุรกิจและการลงทุน เป็นประโยชน์ทั้งนักลงทุนหน้าใหม่และมือเก่า"
"การอ่านหนังสือเล่มนี้คือหนึ่งในการเรียนรู้ที่คุ้มค่ายิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน"
ท่านดำฮะ
ผมรู้สึกอยู่ลึกๆฮะ ว่าผมนับท่านเป็นอาจารย์คนนึงเมื่อชาติ..เอ๊ยชื่อก่อนมั้ง
เรื่องมุกฮาขั้นเทพ(ไม่รับ)ประทาน ไม่เป็นไรฮะ ขอเพียงคำถามและไอเดียดีๆให้อ.lekyและท่านอื่นมาต่อยอดให้พวกเราฟังก็พอฮะ
เพราะห้องนั่งเล่นนี้ออกแบบไว้แบบuniversal designฮะ สำหรับสมาชิกทุกเพศวัย
เปรียบเหมือนทีมกีฬา เราก็จะมีทีมนักลงทุนคู่ผสม(ศัพท์นี้มาจากทีมกีฬาแบตมินตั้น ห้ามคิดไกลนะฮะ),หมู่ผสม ไรราวๆนี้ฮะ
ท่านoattyฮะ
เด๋วเราช่วยกันหาสมาชิกสุภาพสตรีมาร่วมแจมกันต่อนะฮะ ส่วนใหญ่เค้าไม่ต่อยโพสต์กัน พี่แมว พี่บัวดินงี้ คนละสามสิบโพสต์มั้ง
อีกคนที่ผมเห็นแววคือMJทีน่าร่าเริงฮะ(MJ=money jockey ฟังแล้วนึกภาพกำลังควบกระปุกหมูออมสิน ฮี้ๆกั้บๆ)
ไม่ทราบว่าพอติดต่อมาช่วยออกไอเดียได้ป่าวนะฮะ คุณทีน่าเค้าสัมภาษณ์คนมาเยอะ น่าจะมีไอเดียดีๆ
ฆฤฎจภัฅร ฆฤฎฐฤงฆฤฎแฆต (เปลี่ยนชื่อให้คล้ายน้องทีน่า เผื่อเรียกความสนใจได้มั่ง อ่านว่า"คิดจะพัก คิดถึงคิตแค็ต") รายงาน
ทำตัวสบายๆเหมือนอยู่ห้องนั่งเล่นที่บ้านฮะ ถามคำถามได้ทุกแบบ เพื่อนๆและอ.พร้อมจะตอบและช่วยประคอง
ให้การกลายพันธ์(เปลี่ยนสปีชีส์)เป็นไปอย่างราบรื่นฮะ
ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือ"outofmind on value investment"(คิดและลงทุนหุ้นอย่างถูกต้อง)ภาค2อยู่ฮะ
ภาค1หาหนังสือไม่ได้ แต่เค้าว่าไว้ในนั้นว่าอ่านภาค2ก่อนก็ได้ไอเดียเหมือนกัน เรื่อง"มูลค่าธุรกิจ กับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ"
"หุ้นแบบเก็งกำไร กับหุ้นแบบเจ้าของธุรกิจ" "การแยกธุรกิจที่ดีกับไม่ดี"
อ.ลูกอิสานแนะนำไว้ในมี้ตติ้งครั้งที่แล้ว พร้อมกับ"margin of safery" ของseth klarman
คำนิยมโดยอ.ลูกอิสาน
"เมื่อความคิดเปลี่ยน วิธีการจะเปลี่ยน และชีวิตจะเปลี่ยน"
"แนวคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง สำคัญที่สุดสำหรับการเริ่มต้น คนที่ฉลาดเพียงใด แต่แลือกทางผิด ชีวิตก็ไม่ถึงจุดหมาย
เหมือนปลูกต้นไม้พิษ ย่อมให้ผลที่เป็นพิษด้วย"
"การลงทุนที่ดีที่สุดคือลงทุนในตัวเราเอง โดยพัฒนาหาความรู้ตลอดเวลา จนเกิดการทบต้นของความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้"
"ผมพลิกอ่านไม่กี่หน้าก็รู้ทันทีว่าผู้เขียนไม่ธรรมดา การได้อ่านหนังสือดีๆสักเล่มเช่นเล่มนี้ เป็นวิธีลัดในการเรียนรู้จากผู้อื่น
โดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ย่อมดีกว่าอ่านหนังสือแย่ๆนับสิบเล่ม นับเป็นโชคดีที่คุณปราการ สมใจเพ็ง
ได้ถ่ายทอดความรู้และจิตวิญญาณออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้" น่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ
คำนิยมโดยอ.web(ซึ่งแปลตำรามาเยอะมาก)
"เนิ้อหาส่วนแรก ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักการลงทุนเน้นคุณค่า เหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นลงทุนแนวทางนี้เป็นอย่างยิ่ง"
"ส่วนที่สอง เขียนถึงเกร็ดข้อคิดและความรู้ในประเด็นต่างๆของธุรกิจและการลงทุน เป็นประโยชน์ทั้งนักลงทุนหน้าใหม่และมือเก่า"
"การอ่านหนังสือเล่มนี้คือหนึ่งในการเรียนรู้ที่คุ้มค่ายิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน"
ท่านดำฮะ
ผมรู้สึกอยู่ลึกๆฮะ ว่าผมนับท่านเป็นอาจารย์คนนึงเมื่อชาติ..เอ๊ยชื่อก่อนมั้ง
เรื่องมุกฮาขั้นเทพ(ไม่รับ)ประทาน ไม่เป็นไรฮะ ขอเพียงคำถามและไอเดียดีๆให้อ.lekyและท่านอื่นมาต่อยอดให้พวกเราฟังก็พอฮะ
เพราะห้องนั่งเล่นนี้ออกแบบไว้แบบuniversal designฮะ สำหรับสมาชิกทุกเพศวัย
เปรียบเหมือนทีมกีฬา เราก็จะมีทีมนักลงทุนคู่ผสม(ศัพท์นี้มาจากทีมกีฬาแบตมินตั้น ห้ามคิดไกลนะฮะ),หมู่ผสม ไรราวๆนี้ฮะ
ท่านoattyฮะ
เด๋วเราช่วยกันหาสมาชิกสุภาพสตรีมาร่วมแจมกันต่อนะฮะ ส่วนใหญ่เค้าไม่ต่อยโพสต์กัน พี่แมว พี่บัวดินงี้ คนละสามสิบโพสต์มั้ง
อีกคนที่ผมเห็นแววคือMJทีน่าร่าเริงฮะ(MJ=money jockey ฟังแล้วนึกภาพกำลังควบกระปุกหมูออมสิน ฮี้ๆกั้บๆ)
ไม่ทราบว่าพอติดต่อมาช่วยออกไอเดียได้ป่าวนะฮะ คุณทีน่าเค้าสัมภาษณ์คนมาเยอะ น่าจะมีไอเดียดีๆ
ฆฤฎจภัฅร ฆฤฎฐฤงฆฤฎแฆต (เปลี่ยนชื่อให้คล้ายน้องทีน่า เผื่อเรียกความสนใจได้มั่ง อ่านว่า"คิดจะพัก คิดถึงคิตแค็ต") รายงาน
samatah
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 777
ชอบบทความนี้ครับ ทฤษฏีปาร์ตี้ค็อกเทล
ดำ เขียน:<< เราอยู่ตรงไหน >>
ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ อย่างนี้ "ทฤษฏีปาร์ตี้ค็อกเทล" (The Cocktail Party Theory) ของ ปีเตอร์ ลินช์ สุดยอดผู้จัดการกองทุนในตำนาน ยังใช้เตือนใจได้เสมอนะครับ
ลินช์บอกว่าการไปงานปาร์ตี้ ทำให้เขาพบตัวบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นเวลานั้นอยู่ ณ จุดไหนแล้ว ดังนี้
ระยะที่ 1 - เมื่อหุ้นกำลังจะขึ้น
ในงานปาร์ตี้ ผู้คนไม่ค่อยสนใจคุยกับ ผจก.กองทุน (หมายถึงตัวลินช์เอง) แต่ไปคุยกับหมอฟันมากกว่า พอบอกใครว่าเป็น ผจก.กองทุน เขาจะยิ้มให้อย่างสุภาพ แล้วเดินจากไป
ระยะที่ 2 - เมื่อหุ้นขึ้นมาแล้ว 15%
ผู้คนเริ่มพูดถึงหุ้นบ้าง แต่ยังพูดในแง่ลบว่ามันเสี่ยงยังงั้นยังงี้ คุยได้ไม่นานก็กลับไปคุยกับหมอฟันตามเดิม
ระยะที่ 3 - เมื่อหุ้นขึ้นมาแล้ว 30%
ผู้คนเลิกคุยกับหมอฟัน หันมาห้อมล้อมและขอหุ้นเด็ดจาก ผจก.กองทุน หลายคนซื้อหุ้นไปแล้วด้วย
ระยะที่ 4 - เมื่อหุ้นใกล้ถึงจุดสูงสุด
ผู้คนยังคงห้อมล้อม ผจก.กองทุน คราวนี้ไม่ขอหุ้น แต่กลายเป็น "บอกหุ้น" แทน แม้แต่หมอฟันก็ยังมีหุ้นเด็ดมาแนะนำ ผจก.กองทุน
โดยส่วนตัว จากสิ่งแวดล้อมที่เจออยู่ตอนนี้ ผมมองว่าเราน่าจะอยู่ในระยะที่ 3 ตอนปลาย ถึงระยะที่ 4 ตอนต้น ซึ่งควรเพิ่มความระมัดระวังครับ
(สนใจเรื่อง Cocktail Party Theory หาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ One Up on Wall Street ของ ปีเตอร์ ลินช์)
https://www.facebook.com/ClubVI/posts/822379314480764
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 778
ผมเองก็เชื่อมั่นในประโยคนี้เหมือนกับอ.ลูกอีสานครับdr1 เขียน:คำนิยมโดยอ.ลูกอิสาน
"เมื่อความคิดเปลี่ยน วิธีการจะเปลี่ยน และชีวิตจะเปลี่ยน"
โอย... ความรู้ระดับผมยังมิบังอาจเป็นอาจารย์ของใครได้หรอกครับ แต่ถ้าให้เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องช่วยกันคิดช่วยกันมั่วแบบนั้นพอได้อยู่ครับdr1 เขียน:ท่านดำฮะ
ผมรู้สึกอยู่ลึกๆฮะ ว่าผมนับท่านเป็นอาจารย์คนนึงเมื่อชาติ..เอ๊ยชื่อก่อนมั้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 343
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 780
มีท่านใดศึกษาdisc ซึ่งเป็นพฤติกรรม บุคลิกของคนแต่ละประเภทบ้างครับ และความเห็นของท่านหรือประสบการณ์จากคนที่รู้จัก คนแต่ละประเภทจะมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นบ้างมั้ยครับ
DISC เป็นวิธี การจัดหมวดหมู่บุคลิกภาพของคนเราไว้ 4 แบบ ซึ่งอ้างอิงมาจากทฤษฎีทางจิตวิทยาของคาร์ล จุง และ Dr. William Marston คนเขียนหนังสือชื่อ The Emotions of Normal People และเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องจับโกหกเป็นผู้นำมาพัฒนาต่อ
DISC มาจากอักษรย่อของ 4 คุณลักษณะ คือ
Dominance (D), Influence (I), Steadiness (S) และCompliance (C)
ซึ่งเป็นคุณลักษณะพฤติกรรมที่มีความเฉพาะตัวแตกต่างกันดังนี้
D: Dominant ควบคุม มีอำนาจเหนือ ตรงไปตรงมา มั่นใจ เด็ดขาด แน่วแน่ กล้าเผชิญหน้า ตัดสินใจเร็ว ทำงานเร็ว คล่องแคล่ว เน้นผลลัพธ์ ชอบความท้าทายผจญภัย แข่งขัน ต้องการอำนาจชอบจัดการกับปัญหามองภาพใหญ่
I: Influence ชักจูง มีอิทธิพล ช่างพูด ช่างเจรจา เปิดเผย ชอบสังสรรค์ เข้าสังคมพบปะผู้คนกระตือรือร้นสนุกสนานกับกลุ่มคนอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี เป็นมิตร ปรารถนาที่จะช่วยผู้อื่นอย่างมีส่วนร่วม โน้มน้าวจูงใจเก่ง
S: Steadiness ใจเย็น มั่นคง ปลอดภัย อดทน เป็นผู้ฟังที่ดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น สุภาพ อ่อนน้อม ทำงานตามแบบแผนให้ความร่วมมือกับกลุ่ม ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงสม่ำเสมอ ประณีต รอบคอบ ค่อยเป็นค่อยไป เรื่อยๆ สบายๆ
C: Compliance to own standard เจ้าระเบียบ ละเอียด รอบคอบ พิธีรีตรอง อิงกฎและมาตรฐานมีวินัย ให้ความสำคัญกับรายละเอียดและข้อเท็จจริง ต้องการความถูกต้องและแม่นยำชอบการ คิดวิเคราะห์ เน้นเหตุและผล สุขุม ครุ่นคิด เก็บความรู้สึก
DISC เป็นวิธี การจัดหมวดหมู่บุคลิกภาพของคนเราไว้ 4 แบบ ซึ่งอ้างอิงมาจากทฤษฎีทางจิตวิทยาของคาร์ล จุง และ Dr. William Marston คนเขียนหนังสือชื่อ The Emotions of Normal People และเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องจับโกหกเป็นผู้นำมาพัฒนาต่อ
DISC มาจากอักษรย่อของ 4 คุณลักษณะ คือ
Dominance (D), Influence (I), Steadiness (S) และCompliance (C)
ซึ่งเป็นคุณลักษณะพฤติกรรมที่มีความเฉพาะตัวแตกต่างกันดังนี้
D: Dominant ควบคุม มีอำนาจเหนือ ตรงไปตรงมา มั่นใจ เด็ดขาด แน่วแน่ กล้าเผชิญหน้า ตัดสินใจเร็ว ทำงานเร็ว คล่องแคล่ว เน้นผลลัพธ์ ชอบความท้าทายผจญภัย แข่งขัน ต้องการอำนาจชอบจัดการกับปัญหามองภาพใหญ่
I: Influence ชักจูง มีอิทธิพล ช่างพูด ช่างเจรจา เปิดเผย ชอบสังสรรค์ เข้าสังคมพบปะผู้คนกระตือรือร้นสนุกสนานกับกลุ่มคนอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี เป็นมิตร ปรารถนาที่จะช่วยผู้อื่นอย่างมีส่วนร่วม โน้มน้าวจูงใจเก่ง
S: Steadiness ใจเย็น มั่นคง ปลอดภัย อดทน เป็นผู้ฟังที่ดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น สุภาพ อ่อนน้อม ทำงานตามแบบแผนให้ความร่วมมือกับกลุ่ม ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงสม่ำเสมอ ประณีต รอบคอบ ค่อยเป็นค่อยไป เรื่อยๆ สบายๆ
C: Compliance to own standard เจ้าระเบียบ ละเอียด รอบคอบ พิธีรีตรอง อิงกฎและมาตรฐานมีวินัย ให้ความสำคัญกับรายละเอียดและข้อเท็จจริง ต้องการความถูกต้องและแม่นยำชอบการ คิดวิเคราะห์ เน้นเหตุและผล สุขุม ครุ่นคิด เก็บความรู้สึก