2. ธุรกิจนี้โดนปลาใหญ่เขมือบไปเมื่อสัก 2 ปีก่อน แต่ยังให้ CEO เดิมบริหารต่อภายใต้ร่มของเครือตระกูลใหญ่ของประเทศ ล่าสุดกำลังจะเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ครับ OFM
3. ธุรกิจนี้อยู่ใน MAI เกี่ยวข้องกับ Mega Trend ด้าน Logistics ครับ ตัวนี้นั่งดูอยู่หลายเดือน จนราคาหุ้นขึ้นไปเป็นเด้งๆ ผบห.ออก Opp Day ทั้ง 2 ไตรมาสแรกครับ ใบ้เพิ่ม มี W ด้วยครับ
2. ธุรกิจนี้โดนปลาใหญ่เขมือบไปเมื่อสัก 2 ปีก่อน แต่ยังให้ CEO เดิมบริหารต่อภายใต้ร่มของเครือตระกูลใหญ่ของประเทศ ล่าสุดกำลังจะเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ครับ OFM
3. ธุรกิจนี้อยู่ใน MAI เกี่ยวข้องกับ Mega Trend ด้าน Logistics ครับ ตัวนี้นั่งดูอยู่หลายเดือน จนราคาหุ้นขึ้นไปเป็นเด้งๆ ผบห.ออก Opp Day ทั้ง 2 ไตรมาสแรกครับ ใบ้เพิ่ม มี W ด้วยครับ
1) นายตลาดให้ PE สูงขึ้น เช่น หุ้นตัวหนึ่ง EPS 2 บาท PE 30 ราคาหุ้น 60 บาท ถ้านายตลาดเกิดมีอารมณ์อยากได้หุ้นตัวนี้ จะเพราะจากกระแสหรืออะไรก็แล้วแต่ PE อาจจะขยับเป็น 35, 40 ,45 ราคาหุ้นก็ขยับเป็น 70, 80, 90 บาท ในกรณีนี้ E ไม่ขยับ แต่นายตลาดขยับปรับค่าพรีเมี่ยมให้ใหม่
2) หุ้นเติบโตขึ้น PE ยังคงเลี้ยงอยู่ที่ค่าใกล้เคียงของเดิม ยกตัวอย่างแบบข้อที่ 1 สมมติ PE 30 ราคาหุ้น 60 บาท EPS 2 บาท
กำไรโตขึ้น E ขยับขึ้น ราคาขยับขึ้นตาม เช่น EPS 2.4, 2.8, 3.0 ราคาขยับเป็น 72, 84, 90 บาท แต่ PE ยังยืนอยู่ที่ 30
3) คือลูกผสมระหว่างแบบที่ 1 และ 2
ผมว่าในกรณีของหุ้น PE สูงนั้น จะใช้โมเดลแนวคิดแบบหุ้นที่มี forward PE ต่ำแบบกรณีแรกได้หรือไม่ ผมว่ามันก็อาจจะยังใช้ได้ เพียงแต่ว่า มันน่าจะเป็นการประเมินที่ยากกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่า PE 5 คนส่วนใหญ่เห็นแล้วต้องรู้สึกว่าหุ้นราคาถูกมากกว่าหุ้นที่ PE 20
บางทีหุ้นพวกนี้เราอาจจะไม่สามารถใช้ค่า PE ถึงแม้ว่าจะเป็น forward PE มาจับได้อย่างเดียว เพราะมันจะไม่มีทางที่จะลงมาต่ำมาก ๆ ยกเว้นตลาดจะตกอย่างรุนแรง บางทีเราอาจจะต้องใช้วิธีการประเมินคุณภาพของบ.มากกว่าตัวเลข หรือบางทีเราอาจจะต้องใช้ค่าเฉลี่ยของ PE มาเป็นแนวทาง เช่น ถ้าหุ้นตัวหนึ่งมีค่าเฉลี่ยของ PE ที่ 30 ถ้าหุ้นตัวนั้นมีค่า PE ลดลงเหลือ 20 ราคา ณ ขณะนั้นก็อาจจะเรียกได้ว่าถูกกว่าปกติ โดยเฉพาะถ้าพื้นฐานของบ.ไม่ได้เปลี่ยน