สูตรยา

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
todsapon
Verified User
โพสต์: 1137
ผู้ติดตาม: 0

สูตรยา

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สูตรป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ

สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
todsapon
Verified User
โพสต์: 1137
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ใครมีสูตรอะไรอีก ก็เอามาแชร์กันนะครับ
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
shanghaigeny
Verified User
โพสต์: 3530
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ออกกำลังกายครับ น่าจะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแล้วมั้ง :mrgreen: ป้องกันโรคได้สารพัด แถมทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย :wink:
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 4

โพสต์

todsapon เขียน:สูตรป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ

สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
มีสถาบันไหนรับรองไหมครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
tanoppan
Verified User
โพสต์: 135
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 5

โพสต์

แม้นไม่มีสถาบันใดรับรอง
แม้นไม่ได้ผล แต่เมื่อกินไปก็เป็นอาหาร และรู้สึกอิ่มท้อง ประทังหิวหรือไม่ทำให้ท้องว่าง ไม่เป็นโรคกระเพาะ
:!: :arrow: ถ้ากินมากไป มีผลข้างเคียงคงรุนแรงไม่เท่ายาที่โรงพยาบาล(ย่อๆจะใช้คำว่า--> ยา)
:idea: ราคาก็ไม่แพง ค่ายาที่เสียไปนี้ก็กลายมาเป็นค่าอาหารเพื่อให้ท้องอิ่มแทน
:idea: เงินทองก็ตกอยู่ที่ชาวสวน
:idea: แพทย์ทางเลือกในเรืองสมุนไพรก็เจริญขึ้น

:?: ยาต่างๆที่โรงพยาบาลให้ มีสถาบันรับรอง
:?: รับรองอะไร เป็นการรับรองว่า ยาตัวนี้เป็นยาที่แก้เฉพาะอาการที่เกิดขึ้นได้หายไป
ตัวอย่างเช่น น้ำมูกไหล ก็กินยาที่มีฤทธิ์(สถาบันให้การรับรอง)สามารถลดหรือหยุดน้ำมูกไหล
:?: สถาบันที่รับรองก็มีการบอกว่า ยานี้มีผลต่อตับหรือไตหรือฮอร์โมนหรืออื่นๆ
:?: แต่มีใครรู้บ้าง หมอจ่ายยารู้หรือไม่รู้(ไม่ทราบ) เภสัชก็บอกหรือไม่บอก ในที่สุดก็จ่ายยาให้เรา
:?: โดยที่ผ่านมาก็ไม่ชี้แจงหรือชี้แจง(คนไข้ฟังหรือไม่ฟัง)
:?: แต่คนไข้ก็ไม่สนใจ
:?: สั้นๆคือบริษัทยารวย
:idea: และมีผลให้โรงพยาบาลรวย
:?: ปันผลได้มากๆ :arrow: :!: :!: :!: :!:
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ที่เขาบอกมาก็ไม่มีอะไรผิดตรงไหนนะครับ

ในขิง น้ำขิง น้ำมันขิง และ ขมิ้น มีสารสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ อยู่แล้ว เข้าใจว่าที่เอาไปผสมกับนม ทำให้ทานง่ายขึ้น

ส่วนในน้ำมะนาว มีวิตามินซีสูงมาก ทำหน้าที่เป็น Antioxidant ประเภทหนึ่ง ช่วยป้องกันมะเร็งและชะลอความแก่ได้ ไม่รู้ทำไมเอาไปผสมกับโซดา คิดว่าคงเพื่อให้ทานง่าย




แต่ที่จริงผมว่าทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลายน่าจะดีกว่า

อย่างน้ำมะนาวเป็นกรด ถ้าทานไปมาก ๆ เกินไปอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้เหมือนกัน
ยังมี Antioxidant อีกตั้งมากมายหลายชนิด ที่มีอยู่ในอาหารอร่อย ๆ หาได้ในธรรมชาติ


chatchai เขียน:
todsapon เขียน:สูตรป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ

สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
มีสถาบันไหนรับรองไหมครับ
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เล่นมั่ง
งดอาหารหลังเที่ยง กินได้แค่ผลไม้ขนาดไม่เกินกำปั้นและน้ำเปล่า ห้ามมีนม แป้ง ถั่ว
จะไม่เป็นกรดไหลย้อน บรรเทาเบาหวาน ความดัน ไขมัน(ไขเรา) ปวดหลัง ปวดเข่า (เพราะไม่อ้วนแระ)

dr1 ด๊อกเต้อร์รางวัลโนเบรนพลิ้ว รับรองความฮา
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 8

โพสต์

[quote="dr1"]เล่นมั่ง
งดอาหารหลังเที่ยง กินได้แค่ผลไม้ขนาดไม่เกินกำปั้นและน้ำเปล่า ห้ามมีนม แป้ง ถั่ว
จะไม่เป็นกรดไหลย้อน /quote]

กล้วยทอด กับกล้วยบวชชี ได้มั้ยฮ่ะ :oops:

ปล.ผมว่าพี่ฉัตรเขาไม่ได้ป่วนหรอกครับ แต่บางทีบางสูตร มันก็ Over claim กันเยอะอ่ะ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 9

โพสต์

กล้วยทอดมันมีแป้งนะ กล้วยบวชชีก็มีcoconut"milk"แถมมะพร้าวก็ลูกใหญ่กว่ากำปั้นอีก
น่าจะเป็นผลไม้สด มากกว่าแปลรูป แถมให้กินแค่ลูกเดียวอีก
บางตำราก็บอกว่ามะเฟืองไม่ได้(ถ้ามาสงสัยว่ามะเฟืองมันเป็นผักมากกว่าผลไม้เด๋วคุยยาวอีก)

คือจะมายุให้"อด"มากกว่ายุให้"กิน"น่ะครับ
คนสมัยนี้เป็นโรคของการกิน"เกิน"มากกว่า"ขาด"สารอาหาร
กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว

แต่ท่านromee ก็ผอมอยู่นะฮะ ไม่อ้วนแบบผม
samatah
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมอยากจะสร้างสังคมของ ThaiVI เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ข้อมูล เหตุผล ซักถาม ครับ

ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร

เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ยาสมุนไพรบางอย่างราคาถูกถ้าลองก็ไม่เสียหายอะไร บางอย่างแพงต้องซื้อก็ควรใช้วิจารณญาณกันเอาเอง ถ้าเรามัวหาเหตุผลกับยาเราคงสรุปไม่ได้เพราะเราไม่มีแล็ปวิจัยสรรพคุณ บางอย่างเราไม่จำเป็นต้องทดลองเองเพราะในอดีตเคยมีคนทดลองและใช้ได้ผลอยู่แล้ว เราก็ควรลองดูไม่น่าจะเสียหายอะไรมาก ยกเว้นสมุนไพรบางชนิดที่มีอาการข้างเคียง เราควรหาความรู้ไว้ก่อน(แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้ลองศึกษา สมุนไพรของไทยมีคนสรุปไว้ให้แล้วว่าพืชชนิดนั้นมีสรรพคุณอย่างนั้น พืชชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างนี้ พืชชนิดนั้นใช้แล้วมีอาการแบบนี้ซึ่งเป็นการโชคดีมากที่มีคนทำตำรายาไว้ให้)
ในสมัยพุทธกาลถ้าเราเคยได้อ่านได้ศึกษามาจะมียาชนิดนึงที่รักษาพิษงูได้(เป็นเรื่องอัศจรรย์มากที่ในอดีตไม่มีเซรุ่มรักษาแต่พระพุทธเจ้ากลับรู้วิธี ถ้าเราได้อ่านประวัติของครูบาอาจารย์หลายๆท่านมักจะพูดถึงยาชนิดนี้ นั่นก็คือถ้าเราโดนงูกัดให้นำขี้เถ้ามาผสมกับอุจจาระของคน(ไม่จำเป็นต้องเป็นขี้ของเราเอง)ปั้นเป็นก้อนขนาดนิ้วหัวแม่มือ กินเข้าไป
เมื่อสักสิบปีที่แล้วมีพระรูปนึงสนิทกันมากท่านชวนผมไปเดินธุดงค์เขตทุ่งใหญ่เนรศวร ผมถามท่านว่าไม่กลัวโดนงูกัดรึ? ท่านบอกว่าไม่กลัวเพราะมียาของพระพุทธเจ้า(ก็คือที่ผมเล่าให้ฟังนั่นแหละ ท่านปั้นเป็ก้อนใส่ไว้ในย่ามตลอดเวลา) ท่านกลับบอกว่าถ้าจะกลัวก็กลัวกระทิงมากกว่า ตอนนั้นผมไม่ทราบว่ามียาชนิดนั้นด้วยเพราะยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก หลังจากนั้นได้อ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายๆท่านก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ (มีอยู่เล่มนึงเป็นของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ท่านเล่าละเอียดมาก ที่บอกว่าทหารโดนงูกัดแล้วนึกถึงหลวงปู่ชาบอก เลยให้ทหารลูกน้องไปถ่ายเเล้วเอาขี้มาผสมกับขี้เถ้า ป้อนให้ทหารที่โดนงูเห่ากัด ตัวทหารคนนั้นตัวเขียวใกล้ตายแล้ว พอได้กินยาก็อาเจียรออกมา รอดตายหวุดหวิด) ถ้าทหารคนนั้นมัวหาเหตุผลมันก็คงไม่สมเหตุผลที่ขี้คนผสมกับขี้เถ้าจะมารักษางูกัดได้ยังไง ทหารคนนั้นถ้ามีอีโก้บ้าวิทยาศาสตร์(เพราะดูๆไปมันไม่น่าจะสมเหตุสมผลอะไร) แกก็คงไม่เชื่อทหารลูกน้องคนนั้นก็คงตายไปแล้ว :D
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
raiden
Verified User
โพสต์: 236
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 12

โพสต์

chatchai เขียน:ผมอยากจะสร้างสังคมของ ThaiVI เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ข้อมูล เหตุผล ซักถาม ครับ

ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร

เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย

ถ้าอย่างงั้นทำมัยไม่ถามเค้าดี ๆ ล่ะครัช
ว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้อะไรบ้างมั๊ย

แล้วพวกสถาบันต่าง ๆ เฮียแน่ใจแค่ไหนคับว่ามันเชื่อถือได้จริง ๆ ไม่จิงโจ้ หึ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
คนดี คนเก่ง คนรวย คนกล้าหาญ เป็นกันได้ โดยใช้คีย์บอร์ด
ภาพประจำตัวสมาชิก
นพพร
Verified User
โพสต์: 1039
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 13

โพสต์

คำถามพี่ฉัตรอาจจะดูห้วนไปนิดน่ะครับ เลยแปลเป็นคำพูดเหมือนกระชั้นไปหน่อย แต่ถ้าจะเข้าใจกันจริงๆ และอยู่ในเวปนี้นานพอแล้วจะเข้าใจครับว่ามีเหตุผลจริงๆที่พี่ฉัตรต้องถามเพื่อให้เป็นประเด็นให้หลายๆท่านฝึกคิดฝึกตรึกตรอง แพทย์ทางเลือกหลากหลายสูตรบางครั้งก็มีที่ไม่จริงและหลอกลวงแอบแฝงอยู่ ก็่ถือว่าช่วยๆกันศึกษานะครับ ^^
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ถ้าคำถามของผมจะดูห้วนไปบ้างก็ขอโทษด้วย :cry:
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมไม่ยกโทษให้อ.chatchaiหรอกครับ
เพราะอ.ไม่ได้ทำอะไรผิด(ได้โอกาสแซวอ.แล้ว ดีใจ..ฮ่าๆๆ ปกติผมกลัวอ. มั่กๆ ไม่รุทำไมถึงได้กลัวขนาดนี้)

คือถ้าคิดแบบนักวิชาการ หลักฐานที่เชื่อถือได้(evidence base)ผ่่านขบวนการคำนวนทางสถิติ
ตอนนี้ที่ยอมรับว่าข้อมูลแข็งแรงสุดคือmetaanalysis randomized control trial
(เอางานวิจัยหลายๆอันที่มีการวางแผนเก็บและประมวลข้อมูลแบบสุ่มและไม่ลำเอียง .มายำรวมกันแล้วดูผลลัพท์..
.พูดฟังไม่รู้เรื่องนี่ดูฉลาดดีแฮะเรา อิอิ)

ส่วนexpert opinion หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นหลักฐานอ่อนๆรองลงไปอันดับหลังๆครับ

คือยุคหลังๆ มักให้ความสำคัญกะ"ระบบ" มากกว่า"บุคคล"
แต่ผมเอง ยังคิดแบบโบราณอยู่ คือยังเชื่อว่าบุคคลเก่าๆ มากกว่าระบบใหม่ๆ
เช่น ถ้าจะปฏิบัติธรรม หรือศึกษาหุ้น หาอาจารย์ได้จะดีกว่าเข้าคอร์สที่มีคนจำนวนมาก
อุ๊ย..มาออกเรื่องนี้ได้ไงหว่า...
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ยาดี คือ ไม่มียา ครับ




10 วิธีกินอยู่เลี่ยงยา ลดยา ลดโรค 10 โรคที่ไม่ต้องกินยาเสมอไป

อาจารย์ของผมท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าผู้ใหญ่และผู้สูงวัยรุ่นนี้เป็นโรค “ไต” กันมาก หลายท่านต้องล้างไตกันตั้งแต่อายุไม่เท่าไร
ท่านสงสัยว่าเกิดจาก “ยา” ครับ

โดยเฉพาะยาแก้ปวดที่ถูกจ่ายให้กับผู้ใหญ่สูงวัยทั้งหลายราวกับขนม เพราะความปวดย่อมมาคู่กับวัย แล้วปวดเมื่อไรถ้าไปหาคุณหมอก็ไม่แคล้วโดนจ่ายยาอยู่เนืองๆ

เลยกินยาแก้ปวดอยู่แทบทุกมื้อ

ซึ่งยาแก้ปวดมีผลกับไตมากครับ โดยยาแก้ปวดยอดนิยมกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า “เอ็นเสด(NSAIDs)” นั้นคือตัวการสำคัญ

มันไปรบกวนสารเคมีที่ควบคุมหลอดเลือดฝอยในไต ผลลัพธ์ก็คือทำให้หน่วยไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และในคนที่รับประทานยาแก้ปวดอยู่บ่อยแทบทุกมื้อก็คือการกินยาพิษเข้าไปทำลายไตอยู่เรื่อยๆ

อายุไม่เท่าไหร่ก็ “ไตพัง” กันแล้วครับ

ลดยา ลดโรค

10 โรคที่เลี่ยงยาได้

ข้อสังเกตของอาจารย์ผมท่านนี้ผมเห็นว่ามีส่วนน่าเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านที่รักอยู่มากครับ เพราะอาจารย์ท่านเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณในด้านสรีรวิทยาอีกทั้งตัวท่านเองยังเป็นเภสัชกรอยู่ด้วย

คือเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้ง “หมอยา” เองด้วย

ตลอดชีวิตการเป็นอาจารย์มาร่วม 50 ปีท่านได้เห็นคนไข้และเพื่อนอาจารย์มากมายที่ป่วยด้วยโรคไต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคที่ต้องกินยา “เยอะ” โดยเฉพาะยาแก้ปวด

ผมเลยนึกถึงสมัยก่อนที่ยังไม่มียาฝรั่ง คนไทยเราก็อยู่กันมาได้ ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ต้องพึ่งยาเสมอไปเพราะเรารู้สึกว่ายาเป็นของหายาก แต่พอมายุคนี้ที่ยาเกลื่อนเมือง เลยทำให้นึกถึงยากันง่าย แล้วพอคิดถึงมากเข้ายาก็มาหาเอง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่ไป

คือรุ่น “อุดมยา”

ในกลุ่มของยาที่ควรระวังไม่ได้มีแค่เพียงยาแก้ปวดเท่านั้นนะครับ ยังมียากลุ่มอื่นอีกที่ทำลายตับ,ไต,สมองหรือแม้แต่ทำร้ายสุขภาพในระยะยาว

ดังนั้นโรคที่พอจะดูแลเองได้ก็ขอให้ลองใช้วิธี “ปลอดยา” แบบง่ายๆต่อไปนี้ดูก่อนก็ดีไม่น้อยนะครับ

1) ลดปวด วิธีลดปวดง่ายๆแบบไม่ใช้ยามีอยู่เยอะนะครับ สำหรับอาหารก็มีอยู่เช่น น้ำมันปลา,ขมิ้น,น้ำใบบัวบก ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบอันได้แก่ ปวด,บวม,แดงและร้อนอยู่มาก หากเบื่อรับประทานยาแล้วก็ลองหาของกินธรรมชาติมารับประทานบ้างก็ได้ครับ

2) ลดไข้ เด็กๆที่มีไข้บ่อยหรือแค่ตัวรุมๆ ทางลดไข้ที่ดีทางหนึ่งคือให้ “ดื่มน้ำ” และ “ระบาย” ให้ได้ครับ เด็กที่ท้องไม่ผูกก็จะสบายตัวความร้อนลดลงด้วย เพราะเมื่อมีไข้ก็มักทำให้ท้องผูกร่วมไปด้วยท่านที่รักลองสังเกตดูเถิดครับ อาจหาน้ำผลไม้ชื่นใจให้จิบกับเช็ดตัวลดไข้ร่วมกันไปจะได้ไม่ต้องกินพาราฯให้ลำบากตับบ่อยครับ

3) ความดันสูง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีความดันสูง หากเป็นในช่วงแรกและคุณหมอยังไม่ได้ให้ยาอาจหาวิธีเลี่ยงยาดังนี้คือ ลดน้ำหนักให้ได้ อดบุหรี่และลดเค็ม ส่วนท่านที่เป็นอยู่แล้วอย่าเพิ่งหยุดยาแต่ให้หา “คึ่นช่าย” กับ “กล้วยน้ำว้า” มารับประทานครับเพราะมีฤทธิ์คุมความดันได้และมีแร่ “โพแทสเซียม” ช่วยอีกแรงครับ

4) ท้องเสีย ถ้าเป็นในเด็กก่อนนึกถึงยา “ฆ่าเชื้อ” ขอให้ลองเปลี่ยนนมวัวที่ดื่มมาเป็น “นมผงถั่วเหลือง” และถ้าเด็กกินข้าวไม่ได้ก็ให้จิบน้ำหวานแดงๆที่ชงผสมน้ำก็ได้ครับ แล้วให้ระวังเรื่องหวัดให้หายสนิท ห้ามเอามือเข้าปาก หากซึมมากต้องหาคุณหมอแล้วครับ

5) โรคกระเพาะ ก่อนที่จะรับประทานยาเคลือบกระเพาะเป็นกำมือขอให้แก้ด้วยวิธีง่ายๆก่อนครับ โดยเฉพาะเลี่ยง “อาหารมัน” ป้องกันการนอนดึก ลดน้ำหนักตัวลงแล้วก็นอนหัวสูงครับ อาหารที่ป้องกันกระเพาะและกรดไหลย้อนได้คือ “กล้วยหักมุก” และ “กล้วยน้ำว้าห่าม” รับประทานทุกวันจะช่วยได้ครับ

6) เป็นหวัด อาการหวัดคัดจมูกแต่ละครั้งท่านมักได้ยาอย่างน้อย 3-5 อย่าง ความเสี่ยงก็มากขึ้นตามยาที่รับประทานครับ อาหารป้องกันหวัดมีง่ายๆเช่น ฝรั่งสด,เสาวรส,โป๊ยกั้ก ถ้าจะเอารับประทานง่ายๆแบบอาหารเสริมก็คือวิตามินซีกับสังกะสีครับ

7) ไขมันสูง เป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องกินยาเสมอไป ดูอย่างในสมัยปู่ย่าตายายเราท่านก็ไม่เคยต้องใช้ยาลดไขมัน แต่ก็ไม่เห็นค่อยป่วยเป็นโรคหัวใจมากเท่ายุคนี้ คนที่มีปัญหาไขมันสูงไม่จำเป็นต้องกินยาไป “ตลอดชีวิต” นะครับ มันจะกลายเป็นพิษแทน

8) นอนไม่หลับ อาการนอนไม่หลับจะกลับกลายเป็นภัยร้ายที่ทำลายสุขภาพเราได้ “ลึก” มากครับ ถึงขั้นทำให้ความดันขึ้น,เบาหวานกำเริบและลุกลามไปจนความจำเสื่อมซึมเศร้าได้ ถ้าใช้ยานอนหลับจะกลับทำให้สมองต้องทำงานหนักขึ้นครับ ซึ่งอาหารที่ช่วยนอนมีอยู่มาก อาทิ น้ำผึ้ง,คาร์โมไมล์,ขี้เหล็กและมะตูมครับ ก่อนนอนลองจิบชามะตูมอุ่นๆเหยาะน้ำผึ้งสักนิดแสนสบายท้องครับ

9) โรคอ้วน คนที่เจ้าเนื้อตัวจ้ำม่ำถ้าพึ่งยาลดความอ้วนจะออกฤทธิ์กลับตาลปัตรให้อ้วนหนักขึ้น ก่อนที่จะนึกถึงทางลัดจัดยาเข้าปาก ขอให้ลองแก้ที่ทางง่ายๆก่อนอย่างรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้น,งดนอนดึกและลดกินแป้งกับน้ำตาลลง ถ้าเอาไม่อยู่จริงค่อยใช้ตัวช่วยเล็กๆอย่างเม็ดแมงลักที่ช่วยให้อิ่มไวและกินถั่วลิสงเข้าไว้ให้หายหิวจะปลอดภัยกว่ากันเยอะครับ

10) คออักเสบ อาการเจ็บคอน่ารำคาญที่เพิ่งเริ่มต้น หรืออาการที่เจ็บคอบ่อยจนน่ารำคาญ อย่าเพิ่งท้อแท้ที่กินยาหมดทุกขนานแล้วช่วยไม่ได้ ท่านอาจใช้วิธีง่ายๆก่อนหยิบยาเข้าปากโดยเริ่มจากฝรั่งสด,น้ำเสาวรสและมะขามป้อม แต่ถ้าหาลำบากให้รับประทานวิตามินซีกับสังกะสีช่วยเพิ่มภูมิครับ สำหรับท่านที่ไอร่วมด้วยให้ใช้น้ำผึ้งผสมกับมะนาวรวมกันสดๆไม่ต้องเติมน้ำจิบบ่อยๆครับ



ยังมีอาการอื่นอีกมากครับที่คนรุ่นปู่ย่าเราท่านไม่ต้องพึ่งยาก็อยู่กันมาได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อาการปวดลูกตาที่เกิดจากใช้สายตาหน้าจอนานมากก็อาจหาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นบิดหมาดมาประคบไว้หลับตาสบายๆ หรือท่านที่มีปัญหาตาช้ำบวมง่ายก็แก้ที่ทำให้หายคัดจมูกแล้วเอาช้อนเหล็กมาแช่เย็นก่อนประคบตาไว้จะช่วยลดบวมรอบดวงตาได้

ก่อนที่ท่านจะหยิบยามื้อต่อไปขอให้ลองค่อยๆนึกก่อนก็ได้ครับว่าถ้าไม่มียาเราจะรักษามันด้วยวิธีธรรมชาติอย่างไร ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าท่านที่รักทุกท่านทำได้

แค่เรานึกถึงยาให้น้อยลง








นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช



http://www.bangkokvoice.com/2014/03/10/k/
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 17

โพสต์

เป็นบทความ แสดงความเห็นถึง อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาแผนปัจจุบัน หรือ "ยาหมอ" ที่หาได้ทั่วไป

เขียนขึ้นจากมือของหมอท่านหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และ น่าชื่นชมนับถือครับ
jverakul
Verified User
โพสต์: 1959
ผู้ติดตาม: 1

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอแนะนำหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ครับ

" ทำไมคุณถึงป่วย " โดยน.พ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์

ค้นด้วยอากู๋ จะมีไฟล์ pdf ผมอ่านแล้วน่าสนใจดี โดยเฉพาะเรื่องน้ำตาล
ผมได้ลองปฏิบัติตามดู โดยการลดการกินน้ำตาลให้มากที่สุด เช่น กินกาแฟดำ ก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่น้ำตาล ลดปริมาณน้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ลง กินนมวัวให้น้อยลง ผลที่ออกมาก็ดีครับ เจ็บป่วยน้อยลง เป็นผื่นคันที่ผิวหนัง(เริม)น้อยลง แต่ก่อนกินยาปฏิชีวนะแทบทุกเดือน (Acyclovir) พอกินหมดก็เริ่มเป็นอีก แต่ตอนนี้ไม่ได้กินมา 4-5 เดือน ครับ

อีกอย่าง สำหรับท่านที่ต้องการลดน้ำหนัก ผมมีวิธีดังนี้ครับ (จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากใหน)
ผมกินถั่วผสมกับข้าวสวย ในเวลามื้อเช้า และกลางวัน สมมุติว่าเรา 1 มื้อเราตักข้าว 2 ทัพพี เราก็เปลี่ยนเป็นข้าว 1 ทัพพี ถั่ว 1 ทัพพี หรือจะเพิ่มหรือลดถั่วตามใจชอบ ส่วนกับข้าวก็กินตามปกติ กินแบบนี้จะให้เราอิ่มนาน เพราะต้องใช้เวลานานในการย่อยถั่ว (ถ้าไม่ชอบกินถั่ว เอาข้าวกล้องก้ได้นะครับ เนื่องจากถั่วหาง่ายและราคาถูก ผมก็เลยกินถั่ว)
ส่วนถั่วที่กิน ผมจะใช้การต้มเอา จะมีถั่วแดง ถั่วดำ และลูกเดือย (ชอบกินของไร่ทิพย์ ถุง 500 ก.ประมาณ 32-35 บาท) ถ้าต้องการสีสวยก็ต้มแยกกัน แต่ก่อนต้มต้องแช่น้ำประมาณ 1 -2 ชั่วโมงเพราะถั่วจะนิ่ม ต้มให้สุขได้ง่ายไม่ต้องเปลืองพลังงาน แต่ถ้าเป็นผมจะผสมสามอย่างรวมกันต้มครั้งเดียว เพราะประหยัดพลังงาน
ผมทดลองกินแบบนี้ 5-6 เดือนจนถึงปัจจุบัน น้ำหนักก็ไม่เพิ่มเท่าใหร่ มีคนทักบ่อยว่าผมผอมลง และผมจะเพิ่มอีกอย่างคือตอนเย็นไม่กินข้าว หรือแป้ง กินแต่กับข้าว หรือ บางครั้งก็ผลไม้ ยังห้ามใจตัวเองไม่ให้กินมื้อเย็นไม่ได้ ยกเว้นจำเป็นจริงๆ ที่หาอะไรกินไม่ได้

เพิ่มหนังสืออีกเล่มครับ "ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาว และมีความสุข " น.พ.เฉก ธนะสิริ ท่านจะแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลสุขภาพทั้งทางวิทยาศาสตร์ ทางศาสนา

หมายเหตุ:
1. การกินถั่วมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมาก ทำให้ต้องฝายลมบ่อย ต้องคอยระมัดระวังด้วยนะครับ วิธีแก้ของผมคือกินนมเปรี้ยวทุก 2 วัน
2.ผมยังหาไม่เจอว่ากินถั่วจะมีผลข้างเคียงในระยะยาวหรือเปล่า แต่ตอนนี้ร่างกายผมปกติดี ไม่มีอาการผิดปกติอะไรมาก ต้องรอดูอีกปีว่าจะมีผลข้างเคียงหรือเปล่า
3. เนื่องจากผมออกกำลังโดยการวิ่งด้วย อาจจะมีผลทำให้ร่างกายมีความต้านทานเชื้อโรคมากขึ้น จนทำให้ไม่เป็นเริม หรือ น้ำหนักลดลง
4.การลดกินน้ำตาลเนื่องจากผมกลัวว่าในอนาคตผมจะเป็นเบาหวาน เพราะผมลำดับญาติทางฝ่ายพ่อและแม่ ขึ้นไปหรือลงมาแล้วพบว่าประมาณ 99.9 % เป็นเบาหวาน ดังนั้นจึงพยายามจะถ่วงเวลาให้เป็นเบาหวานให้น้อยที่สุดก่อนตาย
5.ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการทดลองโดยความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้อิงอาศัยการวัดผลทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ดังนั้นผลที่ออกมา อาจจะเจือปนด้วยความรู้สึก, ความเห็นส่วนตัวร่วมอยู่ด้วย และร่างกาย หรือธาตุแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ผลลัพท์อาจออกมาไม่เหมือนกัน โปรดใช้วิจารณญานในการตัดสินใจ :D
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
ภาพประจำตัวสมาชิก
todsapon
Verified User
โพสต์: 1137
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 19

โพสต์

raiden เขียน:
chatchai เขียน:ผมอยากจะสร้างสังคมของ ThaiVI เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ข้อมูล เหตุผล ซักถาม ครับ

ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร

เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย

ถ้าอย่างงั้นทำมัยไม่ถามเค้าดี ๆ ล่ะครัช
ว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้อะไรบ้างมั๊ย

แล้วพวกสถาบันต่าง ๆ เฮียแน่ใจแค่ไหนคับว่ามันเชื่อถือได้จริง ๆ ไม่จิงโจ้ หึ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เราต้องมีการตรวจสอบ แต่ผมมีอะไรจะเสนอครับ ทานน้ำตอนเช้าทันทีที่ตื่นนอน จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ถ่ายสะดวกในตอนเช้า เมื่อระบบขับถ่ายดี สิ่งปฏิกูลที่หมักหมม เชื้อโรคต่าง ๆ ก็ขับออกมา สุขภาพโดยรวมก็จะดีขึ้น
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ผมชอบสูตรนี้ฮะ

http://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html?m=1
samatah
chowbe76
Verified User
โพสต์: 1980
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ดื่มน้ำอุ่นๆเยอะๆตอนเช้า(ท้องว่างๆ)
ช่วยระบบขับถ่ายและการเผาผลาญครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
ภาพประจำตัวสมาชิก
CEO
Verified User
โพสต์: 1243
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 22

โพสต์

สวัสดีครับ
เห็นท่านฉัตรชัยเข้ามาตอบกระทู้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งครับ
คลอเรสเตอรอล
เมื่อกี่ปีก่อน ผมจำไม่ได้แล้วครับ
ถึงวันนี้ก็คงยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสาธาณะชน ที่เป็นประเด็นคือน้ำมันมะพร้าว

มีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มขี้นมาอีกเยอะครับ
สนุกดีครับ
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
ภาพประจำตัวสมาชิก
CEO
Verified User
โพสต์: 1243
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ตอนนี้ที่น่าสนใจก็คือยารักษาโรคจากเชื้อไวรัสอีโบลา

ก็ว่ากันว่ามันไม่ใช่โรคตามธรรมชาติของแอฟริกาตะวันตก แต่มันคือ สงครามชีวภาพ ที่ ใช้ดินแดนแถบนั้นเป็นสนามประลองกำลังและทดสอบสูตรยา

คิดแล้วเสียวครับ

อีกที่ก็ยูเครนครับ ทำไมถึงต้องไปเกิดแถบนั้น ทำไมรัสเซียต้องการนักหนา ..
หลายเหตุผล
สำหรับชาวสวนอย่างผม

ดินของยูเครนนั้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกครับ
เหมาะอย่างยิ่งในการทำการเกษตรปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี พืชเติบโต งอกงามดีโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ย
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 24

โพสต์

จริงด้วยครับ น้ำมันมะพร้าวของดีของบ้านเรา
ของพวกนี้มันจะมีคลอเรสเตอรอลได้ยังไง


แต่เราถูกฝรั่งหลอกขายน้ำมันถั่วเหลืองแปลงสภาพ โดยการจ้างให้ LAB เอางานทดลองเอียง ๆ มาหลอก ว่าของเดิมเป็นอันตรายให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองดีกว่า

ผลก็คือคนเป็นไขมันอุดตันกันเพียบ



CEO เขียน:สวัสดีครับ
เห็นท่านฉัตรชัยเข้ามาตอบกระทู้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งครับ
คลอเรสเตอรอล
เมื่อกี่ปีก่อน ผมจำไม่ได้แล้วครับ
ถึงวันนี้ก็คงยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสาธาณะชน ที่เป็นประเด็นคือน้ำมันมะพร้าว

มีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มขี้นมาอีกเยอะครับ
สนุกดีครับ
doikham
Verified User
โพสต์: 91
ผู้ติดตาม: 0

Re: สูตรยา

โพสต์ที่ 25

โพสต์

รางจืดราชาของยาแก้พิษ (www.doctor.or.th/article/detail/11960)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์ Acanthaceae

โดยการศึกษาทางเภสัชวิทยาของรางจืดครั้งแรกเริ่มจากแพทย์หญิงพาณี เตชะเสน คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่ารางจืดสามารถช่วยชีวิตแมวของท่านที่ถูกวางยาพิษได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำการศึกษาวิจัยรางจืดในการแก้พิษสารกำจัดศัตรูพืช ตั้งแต่ พ.ศ ๒๕๒๒-๒๕๒๓ โดยเริ่มจากสารกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (เช่น โฟลิดอล พาราไทออน)
ต่อมามีการศึกษาพบว่ารางจืดยังสามารถลดพิษของสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มคาร์บอเนต เช่น เมโทรมิล เป็นต้น
จากการศึกษาวิจัยการต้านฤทธิ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของรางจืดนั้นอาจเกิดจากหลายกลไก เช่น
สารสกัด รางจืดทำให้ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสเพิ่มขึ้น หรือลดการยับยั้งเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ว ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้ทำหน้าที่ทำลายโคลีนที่เป็นสาร สื่อประสาท ที่ทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ สารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาโนฟอตเฟตและคาร์บาเมต จะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ และเกิดการสะสมของโคลีนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง นำสู่อาการชัก จากการศึกษาพบว่ารางจืดไปเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ดังกล่าว

รางจืด...แก้พิษจากยาฆ่าหญ้า
ยา ฆ่าหญ้าจำพวกพาราควอต นับเป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจาก ในขนาดกินประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนตายได้ โดยสารตัวนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถึยรขึ้นอย่างมาก ออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการออกซิเดชันของไขมันที่อยู่ บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย พิษของพาราควอตจะเห็นชัดที่สุดในปอดเพราะปอดเป็นบริเวณที่มีออกซิเจรมากที่ สุด ซึ่งพาราควอตจะทำให้เนื้อเยื้อปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ จนเสียชีวิตในที่สุด
จากรายงานผู้ป่วยของโรงพยาบาล เจ้าพระ-ยา ยมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บตัวอย่างเป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอตมาที่โรงพยาบาล ๖๔ ราย พบว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ๓๓ ราย เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับการรักษาในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอต ๑๑ รายพบว่าเสียชีวิตทุกราย ซึ่งตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราชที่มีการรักษาพิษพาราควอตเช่นเดียวกัน มีอัตราการตายประมาณร้อยละ ๘๐ แต่การรักษาพิษพาราควอตนั้นไม่ได้ให้แต่รางจืดอย่างเดียว แต่จะมีการทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาก่อนแล้วล้างท้องด้วยฟูลเลอร์สเอิร์ท (Fuller's earth) และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากๆ ให้แอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ โดยการให้วิตามินซีปริมาณสูงๆ และสตีรอยด์ รวมทั้งการรักษาแบบประคับประคองอื่นๆ ให้ยาต้มรางจืด วิธีเตรียมคือนำใบแห้งหนัก ๓๐๐ กรัม ใส่ในน้ำสะอาด ๑ ลิตร ต้มในหมอดินโดยใช้ไฟกลางเดือนนาน ๑๕ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ให้ผู้ป่วยดื่มหรือให้ทาง NG tube ครั้งละ ๒๐๐ มิลลิลิตร ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่ารายงานนี้ไม่ถือเป็นงานวิจัยแต่เป็นข้อมูล ที่มีประโยชน์มาก
พ.ศ. ๒๕๔๓ มีรายงานการศึกษาสัตว์ทดลองเกี่ยวกับการต้านพิษพาราควอตของสารสกัดด้วยน้ำ ของใบรางจืด พบว่าสามารถทำให้อัตราการตายของหนูทดลองลดลง รวมทั้งพบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดรางจืดมีระดับพลาสม่า malondialdehyde (MDA) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม แสดงว่าสารสกัดใบรางจืดมีฤทธิ์ยับยั้ง lipid peroxidation และฤทธิ์นี้เป็นกลไกการออกฤทธิ์ต้านพิษพาราควอตกลไกหนึ่งของรางจืด รวมทั้งรางจืดยังไปเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ที่เรียกว่า NADPH quinineoxidonnereductase เป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายสารที่เรา ได้รับเข้าไปในร่างกาย

รางจืด...แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชพิษ
ใช้ แก้พิษแมงดาทะเลเป็นอีกหนึ่งรายงานของการใช้รางจืดแก้พิษ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีครอบครัวหนึ่ง ๔ คนที่กินไข่แมงดาทะเล ๒ ราย มีอาการรุนแรงจนหมดสติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสารพิษที่อยู่ในแมงดาทะเล คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) สารนี้จะพบในแมงดาทะเลและปลาปักเป้า ซึ่งมีพิษทำให้ผู้ป่วยอาจถึงตายได้
ความ รุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไข่แมงดาทะเลที่ได้รับ เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ ๔๐ นาทีถึง ๔ ชั่วโมง ทุกรายมีอาการชารอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาการชาจะลามไปยังกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ อาการรุนแรง หมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการรักษาปัจจุบันไม่มีวิธีเฉพาะ ไม่มีสารแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองจนผู้ป่วยขับเอาสารนี้ออกจากร่างกายให้หมดแพทย์ผู้ รักษาใช้รางจืดจากการร้องขอของญาติ เมื่อกรอกใส่สายยางลงไป ๔๐ นาที อาการดีขึ้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษารู้สึกประทับใจกับรางจืดมากและบอกว่าจังหวัดที่อยู่ชาย ทะเลปีหนึ่งจะมีคนตายจากพิษแมงดาทะเลหรือปลาปักเป้าทุกปี ถ้าทุกโรงพยาบาลสามารถปลูกต้นนี้และใช้กับผู้ป่วยของตัวเองจะช่วยให้ไม่มี ผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น

รางจืด...สู้กับมลภาวะ ออกฤทธิ์ต้านพิษของตะกั่วต่อสมอง
ตะกั่ว เป็นมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่มีรถติด มีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป พิษตะกั่วต่อร่างกายมี อยู่หลายระบบ ที่สำคัญคือสมอง เนื่องจากตะกั่วจะไปสะสมอยู่ในสมองส่วนฮิปโพแคมพัสซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยว ข้องกับการเรียนรู้และความจำ มีงานวิจัยออกว่ารางจืดแม้จะไม่ได้ช่วยลดระดับตะกั่วในเลือดของหนูที่เราให้ ตะกั่วเข้าไป แต่ไปช่วยลดพิษของตะกั่วต่อความจำและการเรียนรู้ของหนู และทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลง ด้วยกลไกการต้านออกซิเดชัน โดยตัวของรางจืดเองและการไปช่วยรักษาระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง

รางจืดช่วยในการลด เลิกยาบ้า
จาก การที่ชาวบ้านนำรางจืดมาแก้พิษยาเสพติดภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยทั่วไปเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากในขณะที่ผู้ป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับ reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืดอาจเกิดความพิงพอใจ เช่นเดียวกับการรับยาเสพติด หากนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล

รางจืดต้านพิษเหล้า
จาก การที่ประชาชนส่วนหนึ่งได้นำรางจืดมาใช้ในการต้านพิษสุรา เช่น ใช้เพื่อป้องกันหรือลดอาการเมาเหล้า คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วย ป้องกันการตายของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ทั้งในหลอดทดลองและในหนูแรตทีได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว
เนื่องจากสารสกัดด้วยน้ำ ของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และเพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase และ aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ ศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดให้ผลลดภาวะซึมเศร้าและทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่มีผลลดความวิตกกังวล โดยสารสกัดราถงจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากขาดเหล้าใน สมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะที่บริเวณ nucleus accumbens และ ventral tegmental area

รางจืด...เพื่อคุณภาพชีวิตของโรคเรื้อรัง
การ ที่มีหมอยาพื้นบ้านจำนวนหนึ่งใช้รางจืดในการคุมเบาหวานและความดัน ซึ่งมีการทดลองที่สนับสนุนการใช้ดังกล่าวคือ ในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบรางจืดสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอก จากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ ความดันโลหิตของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว
หมายเหตุ : การ ใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการรักษาร่วม ไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการศึกษายังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น รวมทั้งต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าว

รางจืด… ต้าน แก้อักเสบ
การ ที่หมอยาพื้นบ้านนิยมใช้รางจืดมารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น ผด ผื่นคัน แมลงกัดต่อย เริม งูสวัด มีการศึกษาว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ ๒ เท่า(ทดสอบด้วยวิธี Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า สารสกัดรางจืดในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีเท่ากับสตีรอยด์ครีม

รางจืด… กับมะเร็ง
รางจืด ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีการศึกษาฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ กล่าวคือสารใดๆ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการศึกษาโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้น การแบ่งตัวและการสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และมีการแบ่งตัว นั่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งรางจืดแบบสดและแบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นกัน นับเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของรางจืด
โดยพบว่าสารออก ฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ได้แก่ caffeic acid และ apigenin และสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ได้แก่ chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

รางจืด… ผักพื้นบ้านที่มีความปลอดภัย
รางจืด เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงชนิดหนึ่ง ทั้งจากการที่ชาวบ้านกินยอดอ่อน ดอกอ่อนเป็นผัก ใช้ลวกกิน แกงกิน เช่นเดียวกับผักพื้นบ้านทั่วๆ ไป
นอก จากนี้ ยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บานอีกด้วย ในส่วนของการศึกษาวิจัย มีการศึกษาทั้งพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง โดยการศึกษา ๒๘ วันก็ไม่พบหนูตาย ไม่เกิดความผิดปกติในอวัยวะภายใน ต่อมามีการศึกษาระยะ ๖ เดือน ที่เรียกว่าการศึกษาพิษเรื้อรัง พบว่ามีค่าที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในซีรั่มในเนื้อเยื่อของหนูไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุม เรียกว่ามีความปลอดภัย ค่าที่พบเปลี่ยนแปลงบางค่าหรือบิลิลูบินเพิ่มขึ้นแต่ก็อยู่ในช่วงค่าปกติ
อย่าง ไรก็ตาม การกินรางจืดปริมาณมากต่อเนื่องกัน มีคำเตือนว่าต้องมีการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิก ที่อาจเกิดขึ้น
โพสต์โพสต์