มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4861
วันศุกร์, 07 กุมภาพันธ์ 2557 09:46 | |
รอยเตอร์ เผยผลสำรวจ ดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ สามารถปรับลดขนาดมาตรการ QE ลงได้อีก
รอยเตอร์สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินกว่า 60 รายในสัปดาห์นี้ โดยผลสำรวจครั้งนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ การสำรวจในเดือนที่แล้ว และบ่งชี้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบ กับยูโร, เยน และปอนด์
นายคริส วอล์คเกอร์ จากธนาคารบาร์เคลย์ส กล่าวว่า "ในขณะที่ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มต้นปรับตัวขึ้น ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญ ยกเว้นปอนด์"
เฟดเคยดำเนิน QE ในช่วงก่อนหน้านี้ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่เฟดได้ประกาศปรับลดขนาด QE ลงมาแล้ว 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 70 รายในโพลล์รอยเตอร์สัปดาห์ที่แล้วคาดว่า เฟดจะยุติ QE ทั้งหมดก่อนสิ้นปีนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสกุลเงินของประเทศ ตลาดเกิดใหม่ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยโพลล์ล่าสุดคาดว่าสกุลเงิน ลีร์ ของตุรกี และแรนด์ของแอฟริกาใต้จะเป็นหนึ่งในบรรดาสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ถึงแม้ธนาคารกลางตุรกีและแอฟริกาใต้ประกาศ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ไปแล้วก็ตาม
ขณะที่ค่าเงิน เยนจะได้รับแรงกดดันจากการดำเนินมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้งทางการเงินและทางการคลังในญี่ปุ่น ผลสำรวจคาดว่า ดอลลาร์จะพุ่งขึ้นจากระดับ 101 เยนในปัจจุบัน สู่ 107 เยนในอีก 6 เดือนข้างหน้า และ 110 เยนในอีก 1 ปี ข้างหน้า
โดยนักวิเคราะห์สองรายของธนาคารเครดิต สวิสระบุว่า การคาดการณ์ ที่ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะผ่อนคลายนโยบายลงต่อไปในช่วงหลายเดือน ข้างหน้า ส่งผลให้เราคาดการณ์ค่าเงินเยนในทางลบมากยิ่งขึ้นในระยะกลาง
http://www.moneychannel.co.th/index.php ... -qa25.html
รอยเตอร์ เผยผลสำรวจ ดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ สามารถปรับลดขนาดมาตรการ QE ลงได้อีก
รอยเตอร์สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินกว่า 60 รายในสัปดาห์นี้ โดยผลสำรวจครั้งนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ การสำรวจในเดือนที่แล้ว และบ่งชี้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบ กับยูโร, เยน และปอนด์
นายคริส วอล์คเกอร์ จากธนาคารบาร์เคลย์ส กล่าวว่า "ในขณะที่ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มต้นปรับตัวขึ้น ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญ ยกเว้นปอนด์"
เฟดเคยดำเนิน QE ในช่วงก่อนหน้านี้ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่เฟดได้ประกาศปรับลดขนาด QE ลงมาแล้ว 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 70 รายในโพลล์รอยเตอร์สัปดาห์ที่แล้วคาดว่า เฟดจะยุติ QE ทั้งหมดก่อนสิ้นปีนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสกุลเงินของประเทศ ตลาดเกิดใหม่ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยโพลล์ล่าสุดคาดว่าสกุลเงิน ลีร์ ของตุรกี และแรนด์ของแอฟริกาใต้จะเป็นหนึ่งในบรรดาสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ถึงแม้ธนาคารกลางตุรกีและแอฟริกาใต้ประกาศ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ไปแล้วก็ตาม
ขณะที่ค่าเงิน เยนจะได้รับแรงกดดันจากการดำเนินมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้งทางการเงินและทางการคลังในญี่ปุ่น ผลสำรวจคาดว่า ดอลลาร์จะพุ่งขึ้นจากระดับ 101 เยนในปัจจุบัน สู่ 107 เยนในอีก 6 เดือนข้างหน้า และ 110 เยนในอีก 1 ปี ข้างหน้า
โดยนักวิเคราะห์สองรายของธนาคารเครดิต สวิสระบุว่า การคาดการณ์ ที่ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะผ่อนคลายนโยบายลงต่อไปในช่วงหลายเดือน ข้างหน้า ส่งผลให้เราคาดการณ์ค่าเงินเยนในทางลบมากยิ่งขึ้นในระยะกลาง
http://www.moneychannel.co.th/index.php ... -qa25.html
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4862
updated: 06 ก.พ. 2557 เวลา 13:43:29 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นักเศรษฐศาสตร์ "แบงก์-สศค." ชี้การเมืองลากยาว เสี่ยงต่างชาติลดความเชื่อมั่นประเทศไทย บวกปัจจัยสหรัฐถอน QE กระหน่ำ เชื่อเงินทุนไหลออกหนักกว่าปีก่อนที่ทะลักร่วม 5.2 ล้านดอลล์ หลังไตรมาส 4/56 ต่างชาติขนเงินลงทุนหลักทรัพย์ออกหนักสุดในรอบปี ขณะที่ธปท.แบกภาระหนักดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ ชี้เครื่องมือดูแลมีจำกัด
ผู้สื่อข่าวรายงานจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ภาวะเงินไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างประเทศในปี 2556 พบว่า เงินลงทุนในหลักทรัพย์จากต่างประเทศไหลออกจำนวน 5,208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งพบว่าในช่วงครึ่งปีแรกยังเป็นเงินไหลเข้าอยู่ แต่ครึ่งปีหลังเริ่มมีเงินไหลออก โดยไตรมาส 4/56 มีเงินไหลออกมากสุดในรอบปี โดยไหลออกจำนวน 5,144 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายตราสารทุน หลังมีความกังวลต่อการปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม หากดูทั้งปี 2556 เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าสุทธิอยู่ที่ 13,318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ประเทศไทยยังมีแนวโน้มประสบภาวะเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของต่างชาติไหล ออกต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น เนื่องจากปัจจัยหลักการถอน QE ที่ชัดเจนของสหรัฐ ส่วนปัจจัยชุมนุมการเมืองเป็นที่รับรู้ในตลาดแล้ว คิดว่าไม่น่าเลวร้ายไปกว่าเวลานี้แล้ว
"เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะยังมีการถอนเงินลงทุนจากตลาดลงทุนของประเทศเกิด ใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ผมยังเชื่อว่าในสายตาต่างชาติ เศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง หากเทียบกับประเทศใกล้เคียง เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย ที่มีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง อีกทั้งตอนนี้ไทยยังมีเงินทุนสำรองอยู่ที่ 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าจะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดบอนด์ราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินทุนสำรองจะสามารถรองรับได้ แม้ปีนี้เงินไหลออกเป็นภาพที่คาดกันอยู่แล้ว เพียงแต่โจทย์เงินทุนเคลื่อนย้ายจะเป็นโจทย์ยากในการบริหารของ ธปท." นายเชาว์กล่าว
โดยปีนี้ ธปท.จะเผชิญความยากในการบริหารนโยบายการเงิน เพราะจะต้องดูแลทั้งค่าเงินบาท การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ (จีดีพี) ซึ่งปีนี้คาดการณ์เติบโตไม่ถึง 3% ขณะที่เครื่องมือการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยทำได้จำกัด เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% ขณะที่เงินเฟ้อปี"56 อยู่ที่ 2.25% ดังนั้น หาก ธปท.จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก จะต้องประเมินว่าเกิดประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจหรือไม่ ในภาวะที่คนไม่มีอารมณ์จับจ่ายใช้สอย
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ปรับลดความเชื่อมั่นประเทศไทย เพราะเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่ง แต่หากสถานการณ์การเมืองยังยืดเยื้อต่อไปนาน ถือเป็นความเสี่ยงที่จะกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะลดความเชื่อมั่นไทยลงได้
ด้าน นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดและขยายวงกว้างอย่างต่อ เนื่อง ก็มีโอกาสที่ปีนี้จะเห็นต่างชาติเทขายหลักทรัพย์ (หุ้น) ออกรุนแรงเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพราะการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติในปีนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยความเชื่อ มั่นของประเทศเป็นปัจจัยหลัก แต่ว่าปีที่แล้วต่างชาติไหลออก เนื่องจากปัจจัยเฟดส่งสัญญาณจะลด QE
"ครึ่งปีแรกนี้ต้องระวังเรื่อง เงินทุนไหลออกเป็นพิเศษ เพราะต่างชาติมีทางเลือกเยอะ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาลงทุนในไทยเลย ยอมรับว่าตอนนี้ก็ยังพอมีต่างชาติที่เป็นรายย่อยสนใจเข้ามาลงทุนอยู่บ้าง เพราะ มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี และการเมืองก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนบางประเทศ ราคาหลักทรัพย์ก็ไม่ได้แพงมาก แต่ก็มีข้อจำกัดการลงทุนมากขึ้น เช่น อาจเลี่ยงลงทุนระยะสั้นที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป หรือเลือกลงทุนในบริษัทที่พื้นฐานกำไรยังดีเป็นต้น"
ขณะที่ดัชนีความ เชื่อมั่นภาคธุรกิจภายหลังมีการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เห็นทางออกทางการเมืองในทิศทาง ที่ดีขึ้น หรือสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว เพราะโจทย์ใหญ่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้คือจะจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อ ไหร่ เนื่องจากหากไม่มีรัฐบาลก็ไม่สามารถอนุมัติเงินกู้ในโครงการต่าง ๆ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอยู่ที่ระดับ 45 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในรอบมากกว่า 2 ปี หลังวิกฤตอุทกภัยปี 2554
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นักเศรษฐศาสตร์ "แบงก์-สศค." ชี้การเมืองลากยาว เสี่ยงต่างชาติลดความเชื่อมั่นประเทศไทย บวกปัจจัยสหรัฐถอน QE กระหน่ำ เชื่อเงินทุนไหลออกหนักกว่าปีก่อนที่ทะลักร่วม 5.2 ล้านดอลล์ หลังไตรมาส 4/56 ต่างชาติขนเงินลงทุนหลักทรัพย์ออกหนักสุดในรอบปี ขณะที่ธปท.แบกภาระหนักดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ ชี้เครื่องมือดูแลมีจำกัด
ผู้สื่อข่าวรายงานจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ภาวะเงินไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างประเทศในปี 2556 พบว่า เงินลงทุนในหลักทรัพย์จากต่างประเทศไหลออกจำนวน 5,208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งพบว่าในช่วงครึ่งปีแรกยังเป็นเงินไหลเข้าอยู่ แต่ครึ่งปีหลังเริ่มมีเงินไหลออก โดยไตรมาส 4/56 มีเงินไหลออกมากสุดในรอบปี โดยไหลออกจำนวน 5,144 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายตราสารทุน หลังมีความกังวลต่อการปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม หากดูทั้งปี 2556 เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าสุทธิอยู่ที่ 13,318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ประเทศไทยยังมีแนวโน้มประสบภาวะเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของต่างชาติไหล ออกต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น เนื่องจากปัจจัยหลักการถอน QE ที่ชัดเจนของสหรัฐ ส่วนปัจจัยชุมนุมการเมืองเป็นที่รับรู้ในตลาดแล้ว คิดว่าไม่น่าเลวร้ายไปกว่าเวลานี้แล้ว
"เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะยังมีการถอนเงินลงทุนจากตลาดลงทุนของประเทศเกิด ใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ผมยังเชื่อว่าในสายตาต่างชาติ เศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง หากเทียบกับประเทศใกล้เคียง เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย ที่มีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง อีกทั้งตอนนี้ไทยยังมีเงินทุนสำรองอยู่ที่ 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าจะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดบอนด์ราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินทุนสำรองจะสามารถรองรับได้ แม้ปีนี้เงินไหลออกเป็นภาพที่คาดกันอยู่แล้ว เพียงแต่โจทย์เงินทุนเคลื่อนย้ายจะเป็นโจทย์ยากในการบริหารของ ธปท." นายเชาว์กล่าว
โดยปีนี้ ธปท.จะเผชิญความยากในการบริหารนโยบายการเงิน เพราะจะต้องดูแลทั้งค่าเงินบาท การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ (จีดีพี) ซึ่งปีนี้คาดการณ์เติบโตไม่ถึง 3% ขณะที่เครื่องมือการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยทำได้จำกัด เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% ขณะที่เงินเฟ้อปี"56 อยู่ที่ 2.25% ดังนั้น หาก ธปท.จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก จะต้องประเมินว่าเกิดประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจหรือไม่ ในภาวะที่คนไม่มีอารมณ์จับจ่ายใช้สอย
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ปรับลดความเชื่อมั่นประเทศไทย เพราะเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่ง แต่หากสถานการณ์การเมืองยังยืดเยื้อต่อไปนาน ถือเป็นความเสี่ยงที่จะกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะลดความเชื่อมั่นไทยลงได้
ด้าน นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดและขยายวงกว้างอย่างต่อ เนื่อง ก็มีโอกาสที่ปีนี้จะเห็นต่างชาติเทขายหลักทรัพย์ (หุ้น) ออกรุนแรงเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพราะการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติในปีนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยความเชื่อ มั่นของประเทศเป็นปัจจัยหลัก แต่ว่าปีที่แล้วต่างชาติไหลออก เนื่องจากปัจจัยเฟดส่งสัญญาณจะลด QE
"ครึ่งปีแรกนี้ต้องระวังเรื่อง เงินทุนไหลออกเป็นพิเศษ เพราะต่างชาติมีทางเลือกเยอะ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาลงทุนในไทยเลย ยอมรับว่าตอนนี้ก็ยังพอมีต่างชาติที่เป็นรายย่อยสนใจเข้ามาลงทุนอยู่บ้าง เพราะ มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี และการเมืองก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนบางประเทศ ราคาหลักทรัพย์ก็ไม่ได้แพงมาก แต่ก็มีข้อจำกัดการลงทุนมากขึ้น เช่น อาจเลี่ยงลงทุนระยะสั้นที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป หรือเลือกลงทุนในบริษัทที่พื้นฐานกำไรยังดีเป็นต้น"
ขณะที่ดัชนีความ เชื่อมั่นภาคธุรกิจภายหลังมีการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เห็นทางออกทางการเมืองในทิศทาง ที่ดีขึ้น หรือสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว เพราะโจทย์ใหญ่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้คือจะจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อ ไหร่ เนื่องจากหากไม่มีรัฐบาลก็ไม่สามารถอนุมัติเงินกู้ในโครงการต่าง ๆ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอยู่ที่ระดับ 45 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในรอบมากกว่า 2 ปี หลังวิกฤตอุทกภัยปี 2554
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4863
updated: 07 ก.พ. 2557 เวลา 12:00:27 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
การเมืองยังไร้ทางออกเศรษฐกิจส่อซึมยาว "สหพัฒน์" Wait & See ชะลอลงทุนไม่มีกำหนด "แลนด์ฯ-พฤกษาฯ" รัดเข็มขัดองค์กร ลดงบฯการตลาด-ซื้อที่ดิน ยืดระยะเวลาเปิดตัวโครงการ ส.เครื่องนุ่งห่มฯชี้คำสั่งซื้อหด หวั่นทั้งปียอดส่งออกโต 0%
แม้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 จะผ่านพ้นไป แต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไร้ทางออก และปัญหาข้อกฎหมายซึ่งหลายฝ่ายยังมองแตกต่างกันในประเด็นการเลือกตั้งครั้ง ที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่โมฆะ ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านที่ยังเคลื่อนไหวกดดันต่อเนื่อง บวกกับความสุ่มเสี่ยงในสถานะของรัฐบาล จากที่ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างพิจารณาคดีที่เกี่ยวโยงถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคนในรัฐบาล รวมทั้งกรณีล่าสุด การค้างชำระหนี้ค่ารับจำนำข้าวชาวนาทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาสูงถึง 1.3 แสนล้านบาท ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไป รวมทั้งต่างชาติจับตามองด้วยความเป็นห่วง
ยืดเยื้อกระทบธุรกิจ
นาย บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์หลังการเลือกตั้งถึงขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแต่อย่างใด กระนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯยิ่งลักษณ์ ถ้ายังยืนยันในแนวทางเดิมก็จะยืดเยื้อ สำหรับผลกระทบต่อธุรกิจมีผลกระทบแน่นอน แต่จะนานขนาดไหนยังไม่สามารถประเมินได้ ส่วนตัวต้องการให้ทุกอย่างจบโดยเร็ว
"ตอนนี้ไม่สำคัญว่าจะเป็นกี่ชั่วโมง กี่วันกี่เดือน อาจจะแค่ 1 ชั่วโมง ก็จบได้ ขึ้นกับรัฐบาล"
สำหรับ นโยบายที่ให้กับทั้งเครือสหพัฒน์ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันคือ ให้ดำเนินธุรกิจโดย Wait & See ทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะการลงทุน ในปีนี้ก็จะชะลอการลงทุนต่าง ๆ ออกไปก่อน ส่วนภาพรวมทั้งเครือสหพัฒน์ไม่ได้ตั้งเป้าการเติบโต แต่ขอให้ไม่ตกจากปีที่แล้วถือว่าโอเค
"ตอนนี้ต่างประเทศไม่กล้ามาไทย นักลงทุนที่ดิวกันไว้ก็ไม่กล้ามา ตอนนี้ก็ชะลอแผนทุกอย่างออกไปก่อน"
นาย บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ทุกอย่างยังไม่น่าจะดีขึ้น ตรงกันข้ามแนวโน้มอาจจะเกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก สังเกตจากกรณีที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) มีการยุบเวทีจาก 7 เวที เหลือเพียง 4 เวที เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย และดูจากท่าทีของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ขณะนี้ก็มีแนวโน้มแข็งกร้าวเช่นกัน
ขณะที่นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไปน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นักธุรกิจปรับตัวได้ดีขึ้น จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา
L&H-พฤกษาเลื่อนเปิดคอนโดฯ
ใน ส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ถ้าต้องรอจัดตั้งรัฐบาลอีก 6 เดือน ผลกระทบมีแน่ 1.การลงทุนจากต่างชาติ จากเดิมหวังจะเห็นการเข้ามาลงทุน แต่ตอนนี้ชะลอหมดแล้ว 2.ธุรกิจในประเทศ การจะผลักดันยอดขายปีนี้ให้เติบโตคงยาก แค่ประคองตัวเท่ากับปีที่ผ่านมาก็ดีมากแล้ว สิ่งที่น่าห่วงคือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีรายที่ไม่แข็งแรง หากเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจซบเซานาน ๆ จะขาดสภาพคล่อง สุดท้ายอาจต้องเลิกจ้างงาน
"การทำธุรกิจภายใต้ สถานการณ์แบบนี้ต้องเน้นบริหารกระแสเงินสด ควบคุมรายรับรายจ่าย และกลับมาดูแลการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กรในภาวะที่ต้องควบคุมค่าใช้ จ่าย"
สอดคล้องกับมุมมองของนายเลอศักดิ์จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตทที่ชี้ว่า ถ้าเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองอีก 180 วัน บริษัทคงต้องวางแผนธุรกิจแบบประคองตัวซึ่งพฤกษาฯจะเน้นการดูแลรายรับ ควบคุมรายจ่าย ทั้งงบฯการตลาด งบฯซื้อที่ดินที่จะพัฒนาปีหน้า ขณะเดียวกันต้องระวังเรื่องการลงทุนคอนโดฯใหม่ 5-8 โครงการในปีนี้ โดยอาจเลื่อนไปเปิดตัวครึ่งปีหลังแทน เพราะต้องใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปีจึงจะโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้เข้ามา ขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์จะเปิดตัวตามปกติ 42-45 โครงการ เนื่องจากใช้เวลาก่อสร้าง-ขาย-โอนกรรมสิทธิ์เฉลี่ย 5-6 เดือน
เครื่องนุ่งห่มออร์เดอร์หด
ด้าน นายถาวร กนกวลีวงศ์ เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยว่า หลังเลือกตั้งยังประเมินได้ยากว่าปัญหาการเมืองจะจบหรือไม่จบ แต่หวังว่าจะไม่มีการปิดเส้นทางคมนาคม ซึ่งจะกระทบนักท่องเที่ยวและการเดินทางของนักธุรกิจนักลงทุน จริง ๆ แล้วไม่ต้องถึงกับการเมืองนิ่ง แต่สถานการณ์ตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่น ทำให้ยอดคำสั่งซื้อเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ช่วงต้นปีลดลง
จากปกติจะรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า ประมาณ 3-4 เดือนล่วงหน้า ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นผลกระทบต่อการส่งออกอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 หรือกลางปี 2557 ถ้าหากการเมืองยังลากยาวอาจจะทำให้ยอดส่งออกเครื่องนุ่งห่มทั้งปี 2557 ได้แค่ 0% จากเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ระหว่าง 0-5%
"อัญมณี-เครื่องประดับ" อ่วม
นาย สมชาย พรจินดารักษ์ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ เปิดเผยว่า ยอดส่งออกในปี 2556 มูลค่า 350,000-360,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2555 มียอดส่งออก 408,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2557 ยังไม่สามารถสรุปประมาณการได้ เพราะปัจจัยเสี่ยงยังค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัจจัยการเมือง ขณะนี้การส่งออกไตรมาส 1/2557 ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หลายประเทศเตือนเรื่องความปลอดภัย ทำให้ไม่มีการรับประกันภัย
การ เดินทางมาไทย เรามีปัญหาแน่นอน เพราะส่วนใหญ่เครื่องประดับ 95% ผลิตเพื่อส่งออก ขณะนี้ยอดการสั่งซื้อชะลอตัวลงมาก กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีความมั่นใจ หันไปสั่งซื้อจากผู้ผลิตอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม พม่า ซึ่งมีจุดแข็งในการผลิตพลอยและทับทิม และศรีลังกาซึ่งเคยเป็นผู้ค้าส่งพลอยสีน้ำเงินให้กับไทย ส่วนยอดค้าในประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 5% ได้รับผลกระทบจากกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นลูกค้าหลักลดลง
อย่าง ไรก็ตาม สมาคมได้มีข้อเสนอไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขอลดภาษีนำเข้าทองเค ซึ่งปกติอัตราภาษีนำเข้า 20% ไม่ใช่ทองคำที่ขายในประเทศ และเสนอให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขปัญหาที่อินเดียใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ทองคำเป็น 15% ทั้งที่เอฟทีเอลดภาษี 0% แล้ว นอกจากนี้ ยังเสนอให้ไปโรดโชว์ในตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และจีนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
การเมืองยังไร้ทางออกเศรษฐกิจส่อซึมยาว "สหพัฒน์" Wait & See ชะลอลงทุนไม่มีกำหนด "แลนด์ฯ-พฤกษาฯ" รัดเข็มขัดองค์กร ลดงบฯการตลาด-ซื้อที่ดิน ยืดระยะเวลาเปิดตัวโครงการ ส.เครื่องนุ่งห่มฯชี้คำสั่งซื้อหด หวั่นทั้งปียอดส่งออกโต 0%
แม้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 จะผ่านพ้นไป แต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไร้ทางออก และปัญหาข้อกฎหมายซึ่งหลายฝ่ายยังมองแตกต่างกันในประเด็นการเลือกตั้งครั้ง ที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่โมฆะ ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านที่ยังเคลื่อนไหวกดดันต่อเนื่อง บวกกับความสุ่มเสี่ยงในสถานะของรัฐบาล จากที่ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างพิจารณาคดีที่เกี่ยวโยงถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคนในรัฐบาล รวมทั้งกรณีล่าสุด การค้างชำระหนี้ค่ารับจำนำข้าวชาวนาทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาสูงถึง 1.3 แสนล้านบาท ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไป รวมทั้งต่างชาติจับตามองด้วยความเป็นห่วง
ยืดเยื้อกระทบธุรกิจ
นาย บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์หลังการเลือกตั้งถึงขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแต่อย่างใด กระนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯยิ่งลักษณ์ ถ้ายังยืนยันในแนวทางเดิมก็จะยืดเยื้อ สำหรับผลกระทบต่อธุรกิจมีผลกระทบแน่นอน แต่จะนานขนาดไหนยังไม่สามารถประเมินได้ ส่วนตัวต้องการให้ทุกอย่างจบโดยเร็ว
"ตอนนี้ไม่สำคัญว่าจะเป็นกี่ชั่วโมง กี่วันกี่เดือน อาจจะแค่ 1 ชั่วโมง ก็จบได้ ขึ้นกับรัฐบาล"
สำหรับ นโยบายที่ให้กับทั้งเครือสหพัฒน์ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันคือ ให้ดำเนินธุรกิจโดย Wait & See ทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะการลงทุน ในปีนี้ก็จะชะลอการลงทุนต่าง ๆ ออกไปก่อน ส่วนภาพรวมทั้งเครือสหพัฒน์ไม่ได้ตั้งเป้าการเติบโต แต่ขอให้ไม่ตกจากปีที่แล้วถือว่าโอเค
"ตอนนี้ต่างประเทศไม่กล้ามาไทย นักลงทุนที่ดิวกันไว้ก็ไม่กล้ามา ตอนนี้ก็ชะลอแผนทุกอย่างออกไปก่อน"
นาย บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ทุกอย่างยังไม่น่าจะดีขึ้น ตรงกันข้ามแนวโน้มอาจจะเกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก สังเกตจากกรณีที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) มีการยุบเวทีจาก 7 เวที เหลือเพียง 4 เวที เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย และดูจากท่าทีของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ขณะนี้ก็มีแนวโน้มแข็งกร้าวเช่นกัน
ขณะที่นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไปน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นักธุรกิจปรับตัวได้ดีขึ้น จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา
L&H-พฤกษาเลื่อนเปิดคอนโดฯ
ใน ส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ถ้าต้องรอจัดตั้งรัฐบาลอีก 6 เดือน ผลกระทบมีแน่ 1.การลงทุนจากต่างชาติ จากเดิมหวังจะเห็นการเข้ามาลงทุน แต่ตอนนี้ชะลอหมดแล้ว 2.ธุรกิจในประเทศ การจะผลักดันยอดขายปีนี้ให้เติบโตคงยาก แค่ประคองตัวเท่ากับปีที่ผ่านมาก็ดีมากแล้ว สิ่งที่น่าห่วงคือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีรายที่ไม่แข็งแรง หากเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจซบเซานาน ๆ จะขาดสภาพคล่อง สุดท้ายอาจต้องเลิกจ้างงาน
"การทำธุรกิจภายใต้ สถานการณ์แบบนี้ต้องเน้นบริหารกระแสเงินสด ควบคุมรายรับรายจ่าย และกลับมาดูแลการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กรในภาวะที่ต้องควบคุมค่าใช้ จ่าย"
สอดคล้องกับมุมมองของนายเลอศักดิ์จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตทที่ชี้ว่า ถ้าเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองอีก 180 วัน บริษัทคงต้องวางแผนธุรกิจแบบประคองตัวซึ่งพฤกษาฯจะเน้นการดูแลรายรับ ควบคุมรายจ่าย ทั้งงบฯการตลาด งบฯซื้อที่ดินที่จะพัฒนาปีหน้า ขณะเดียวกันต้องระวังเรื่องการลงทุนคอนโดฯใหม่ 5-8 โครงการในปีนี้ โดยอาจเลื่อนไปเปิดตัวครึ่งปีหลังแทน เพราะต้องใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปีจึงจะโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้เข้ามา ขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์จะเปิดตัวตามปกติ 42-45 โครงการ เนื่องจากใช้เวลาก่อสร้าง-ขาย-โอนกรรมสิทธิ์เฉลี่ย 5-6 เดือน
เครื่องนุ่งห่มออร์เดอร์หด
ด้าน นายถาวร กนกวลีวงศ์ เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยว่า หลังเลือกตั้งยังประเมินได้ยากว่าปัญหาการเมืองจะจบหรือไม่จบ แต่หวังว่าจะไม่มีการปิดเส้นทางคมนาคม ซึ่งจะกระทบนักท่องเที่ยวและการเดินทางของนักธุรกิจนักลงทุน จริง ๆ แล้วไม่ต้องถึงกับการเมืองนิ่ง แต่สถานการณ์ตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่น ทำให้ยอดคำสั่งซื้อเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ช่วงต้นปีลดลง
จากปกติจะรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า ประมาณ 3-4 เดือนล่วงหน้า ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นผลกระทบต่อการส่งออกอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 หรือกลางปี 2557 ถ้าหากการเมืองยังลากยาวอาจจะทำให้ยอดส่งออกเครื่องนุ่งห่มทั้งปี 2557 ได้แค่ 0% จากเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ระหว่าง 0-5%
"อัญมณี-เครื่องประดับ" อ่วม
นาย สมชาย พรจินดารักษ์ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ เปิดเผยว่า ยอดส่งออกในปี 2556 มูลค่า 350,000-360,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2555 มียอดส่งออก 408,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2557 ยังไม่สามารถสรุปประมาณการได้ เพราะปัจจัยเสี่ยงยังค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัจจัยการเมือง ขณะนี้การส่งออกไตรมาส 1/2557 ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หลายประเทศเตือนเรื่องความปลอดภัย ทำให้ไม่มีการรับประกันภัย
การ เดินทางมาไทย เรามีปัญหาแน่นอน เพราะส่วนใหญ่เครื่องประดับ 95% ผลิตเพื่อส่งออก ขณะนี้ยอดการสั่งซื้อชะลอตัวลงมาก กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีความมั่นใจ หันไปสั่งซื้อจากผู้ผลิตอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม พม่า ซึ่งมีจุดแข็งในการผลิตพลอยและทับทิม และศรีลังกาซึ่งเคยเป็นผู้ค้าส่งพลอยสีน้ำเงินให้กับไทย ส่วนยอดค้าในประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 5% ได้รับผลกระทบจากกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นลูกค้าหลักลดลง
อย่าง ไรก็ตาม สมาคมได้มีข้อเสนอไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขอลดภาษีนำเข้าทองเค ซึ่งปกติอัตราภาษีนำเข้า 20% ไม่ใช่ทองคำที่ขายในประเทศ และเสนอให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขปัญหาที่อินเดียใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ทองคำเป็น 15% ทั้งที่เอฟทีเอลดภาษี 0% แล้ว นอกจากนี้ ยังเสนอให้ไปโรดโชว์ในตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และจีนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4864
คอนโดฯ ปี 56 ทะลุ 5.11 หมื่นยูนิต 04 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 13:22 น....
คอลลิเออร์สเผยตัวเลขคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ณ ไตรมาสที่ 4 พ.ศ.2556 ทะลุ 5.11 หมื่นยูนิต คอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ.2556 ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้านี้ แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครจะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อปัญหารการเมืองในเดือนธันวาคม.......
อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1ihu2ar
คอลลิเออร์สเผยตัวเลขคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ณ ไตรมาสที่ 4 พ.ศ.2556 ทะลุ 5.11 หมื่นยูนิต คอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ.2556 ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้านี้ แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครจะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อปัญหารการเมืองในเดือนธันวาคม.......
อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1ihu2ar
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4865
บราซิลกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลก หรือเวิลด์คัพ ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ และสิ่งหนึ่งที่เป็นความกังวลใจของเจ้าภาพที่กำลังเร่งมือเตรียมความพร้อมก็คือ ความสามารถในการรองรับผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศ ทั้งนี้ผู้บริหารในอุตสาหกรรมการบินของบราซิลเปิดเผยว่า altนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา รัฐบาลบราซิลได้พยายามเร่งรัดกระบวนการปรับปรุงและขยายสมรรถนะของสนามบินภายในประเทศ ด้วยการเปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาประมูลงาน สนามบินและสายการบินที่มีอยู่อาจไม่สามารถให้บริการผู้โดยสารที่คาดว่าจะมีจำนวนมากขึ้นถึงระดับหลายแสนคนในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างสะดวกราบรื่น เนื่องจากการจัดแข่งขันบอลโลกครั้งนี้มีสนามแข่งขันกระจายอยู่ตามเมืองใหญ่ของประเทศบราซิลถึง 12 เมืองด้วยกัน
บราซิลเป็นประเทศขนาดใหญ่พอๆกับสหรัฐอเมริกา การจัดแข่งขันบอลโลกครั้งนี้เป็นการประกาศศักยภาพของบราซิลในเวทีระดับโลกด้วยว่าในเวลานี้เศรษฐกิจของบราซิลได้เจริญเติบโตมามากแล้วเพียงใด แต่ในขณะเดียวกัน ความไม่พร้อมในหลายๆด้านของประเทศเจ้าภาพบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภายในบางอย่างของบราซิลเช่นกัน "ใครก็ตามที่บอกคุณว่าเราจะไม่มีปัญหาอะไรเลย เขากำลังพูดโกหกอยู่แน่ๆ" โฆเซ่ เอฟโฟรโมวิค ประธานสายการบิน เอเวียนก้า บราซิล ให้ความเห็น พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ในการแข่งขันระหว่างบราซิลและเม็กซิโกซึ่งกำหนดจัดที่เมืองฟอร์ตาเลซาที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ นั่นหมายความว่าในวันนั้นจะต้องมีเครื่องบินที่บินเข้า-ออกที่เมืองนี้ประมาณ 100 ลำ ซึ่งเขาเห็นว่า ณ ปัจจุบัน สนามบินที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินได้มากขนาดนั้น "แค่ครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้น สนามบินก็ไม่มีที่จอดเพียงพอจะรองรับ"
ในขณะเดียวกัน สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ หรือฟีฟ่า ซึ่งเป็นผู้จัดบอลโลก ก็ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์บราซิล เกี่ยวกับเรื่องความล่าช้าในการเตรียมความพร้อมด้านสนามแข่งขัน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมโรงแรมของบราซิลก็มีความกังวลเกี่ยวกับจำนวนห้องพักที่จะรองรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งกองทัพนักกีฬา นักข่าว และเจ้าหน้าที่ ที่จะเดินทางมาเยือนบราซิลในช่วงที่มีการแข่งขัน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การจราจรทางอากาศของบราซิลเพิ่มขึ้นในอัตราเท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าล่าสุดในปีที่ผ่านมาจะมีการเติบโตในอัตราชะลอลงก็ตาม แต่การลงทุนด้านสนามบินภายในประเทศบราซิลก็ยังก้าวไม่ทันการขยายตัวดังกล่าว ทั้งนี้ข้อมูลจากเวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรัม เมื่อปี 2556 ระบุว่า ตลาดการบินภายในประเทศของบราซิลมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ผู้โดยสารกลับให้คะแนนเกี่ยวกับคุณภาพของสถานที่(สนามบิน) เป็นอันดับที่ 131 ของโลกเมื่อมีการเปรียบเทียบกับสนามบินภายในประเทศของประเทศอื่นๆทั่วโลก
มาร์เซโล กัวรานิส ผู้บริหารกรมการบินพาณิชย์ของบราซิล หรือเอแนค กล่าวว่าหากการปรับปรุงและการขยายขีดความสามารถของสนามบินยังคงเดินหน้าต่อไปก็เชื่อว่าจะมีสมรรถนะในการรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการแข่งขันบอลโลก ทั้งนี้ มีการประเมินตัวเลขว่า จะมีแฟนบอลจากต่างประเทศประมาณ 6 แสนคนหลั่งไหลเข้ามายังประเทศบราซิลซึ่งจะทำให้สนามบินต้องให้บริการอย่างแออัดและตึงมือ หลายสายการบินหลักๆภายในประเทศของบราซิล อาทิ สายการบินแทม (Tam)โกล (Gol)และอะซูล (Azul)ได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการเพิ่มเที่ยวบินจำนวนรวมเกือบๆ 2 พันเที่ยวบินเพื่อรองรับผู้โดยสาร โดยการเพิ่มเที่ยวบินดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากเอแนคเรียบร้อยแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการเพิ่มเที่ยวบิน แต่หลายฝ่ายเกรงว่าสนามบินเองที่จะไม่สามารถรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นได้ ผลศึกษาของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ หรือ บีเอ็นดีอีเอส ของบราซิลที่จัดทำไว้เมื่อปี 2553 พบว่า สนามบินที่ใหญ่ที่สุดของบราซิลจำนวน 20 แห่งไม่สามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินมากกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากความจำกัดของพื้นที่อาคารผู้โดยสาร รวมทั้งความจำกัดของพื้นที่จอดเครื่องบิน โครงการปรับปรุงและขยายสนามบินมูลค่ารวม 2.7 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท ก็เพิ่งจะมีการดำเนินงานแล้วเสร็จไปเพียงไม่ถึงครึ่ง ทั้งนี้ จากการเปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ของอินฟราเอโร บริษัทของรัฐบาลบราซิลที่บริหารงานท่าอากาศยานทั่วประเทศ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
บราซิลเป็นประเทศขนาดใหญ่พอๆกับสหรัฐอเมริกา การจัดแข่งขันบอลโลกครั้งนี้เป็นการประกาศศักยภาพของบราซิลในเวทีระดับโลกด้วยว่าในเวลานี้เศรษฐกิจของบราซิลได้เจริญเติบโตมามากแล้วเพียงใด แต่ในขณะเดียวกัน ความไม่พร้อมในหลายๆด้านของประเทศเจ้าภาพบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภายในบางอย่างของบราซิลเช่นกัน "ใครก็ตามที่บอกคุณว่าเราจะไม่มีปัญหาอะไรเลย เขากำลังพูดโกหกอยู่แน่ๆ" โฆเซ่ เอฟโฟรโมวิค ประธานสายการบิน เอเวียนก้า บราซิล ให้ความเห็น พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ในการแข่งขันระหว่างบราซิลและเม็กซิโกซึ่งกำหนดจัดที่เมืองฟอร์ตาเลซาที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ นั่นหมายความว่าในวันนั้นจะต้องมีเครื่องบินที่บินเข้า-ออกที่เมืองนี้ประมาณ 100 ลำ ซึ่งเขาเห็นว่า ณ ปัจจุบัน สนามบินที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินได้มากขนาดนั้น "แค่ครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้น สนามบินก็ไม่มีที่จอดเพียงพอจะรองรับ"
ในขณะเดียวกัน สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ หรือฟีฟ่า ซึ่งเป็นผู้จัดบอลโลก ก็ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์บราซิล เกี่ยวกับเรื่องความล่าช้าในการเตรียมความพร้อมด้านสนามแข่งขัน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมโรงแรมของบราซิลก็มีความกังวลเกี่ยวกับจำนวนห้องพักที่จะรองรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งกองทัพนักกีฬา นักข่าว และเจ้าหน้าที่ ที่จะเดินทางมาเยือนบราซิลในช่วงที่มีการแข่งขัน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การจราจรทางอากาศของบราซิลเพิ่มขึ้นในอัตราเท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าล่าสุดในปีที่ผ่านมาจะมีการเติบโตในอัตราชะลอลงก็ตาม แต่การลงทุนด้านสนามบินภายในประเทศบราซิลก็ยังก้าวไม่ทันการขยายตัวดังกล่าว ทั้งนี้ข้อมูลจากเวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรัม เมื่อปี 2556 ระบุว่า ตลาดการบินภายในประเทศของบราซิลมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ผู้โดยสารกลับให้คะแนนเกี่ยวกับคุณภาพของสถานที่(สนามบิน) เป็นอันดับที่ 131 ของโลกเมื่อมีการเปรียบเทียบกับสนามบินภายในประเทศของประเทศอื่นๆทั่วโลก
มาร์เซโล กัวรานิส ผู้บริหารกรมการบินพาณิชย์ของบราซิล หรือเอแนค กล่าวว่าหากการปรับปรุงและการขยายขีดความสามารถของสนามบินยังคงเดินหน้าต่อไปก็เชื่อว่าจะมีสมรรถนะในการรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการแข่งขันบอลโลก ทั้งนี้ มีการประเมินตัวเลขว่า จะมีแฟนบอลจากต่างประเทศประมาณ 6 แสนคนหลั่งไหลเข้ามายังประเทศบราซิลซึ่งจะทำให้สนามบินต้องให้บริการอย่างแออัดและตึงมือ หลายสายการบินหลักๆภายในประเทศของบราซิล อาทิ สายการบินแทม (Tam)โกล (Gol)และอะซูล (Azul)ได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการเพิ่มเที่ยวบินจำนวนรวมเกือบๆ 2 พันเที่ยวบินเพื่อรองรับผู้โดยสาร โดยการเพิ่มเที่ยวบินดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากเอแนคเรียบร้อยแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการเพิ่มเที่ยวบิน แต่หลายฝ่ายเกรงว่าสนามบินเองที่จะไม่สามารถรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นได้ ผลศึกษาของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ หรือ บีเอ็นดีอีเอส ของบราซิลที่จัดทำไว้เมื่อปี 2553 พบว่า สนามบินที่ใหญ่ที่สุดของบราซิลจำนวน 20 แห่งไม่สามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินมากกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากความจำกัดของพื้นที่อาคารผู้โดยสาร รวมทั้งความจำกัดของพื้นที่จอดเครื่องบิน โครงการปรับปรุงและขยายสนามบินมูลค่ารวม 2.7 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท ก็เพิ่งจะมีการดำเนินงานแล้วเสร็จไปเพียงไม่ถึงครึ่ง ทั้งนี้ จากการเปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ของอินฟราเอโร บริษัทของรัฐบาลบราซิลที่บริหารงานท่าอากาศยานทั่วประเทศ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4866
วันพุธที่ 29 มกราคม 2014 เวลา 12:47 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลก - คอลัมน์ : เศรษฐกิจโลก
โตโยต้า มอเตอร์ วางแผนลดกำลังการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นลง 15% ในเดือนเมษายน เพื่อรองรับความต้องการที่คาดหมายว่าจะลดต่ำลงจากผลกระทบของการขึ้นภาษีขายทั่วญี่ปุ่นในช่วงเวลาดังกล่าว
กำหนดการปรับขึ้นภาษีขายของญี่ปุ่นจาก 5% เป็น 8% ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ เป็นที่คาดหมายว่าจะส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อนวันที่ 1 เมษายน และลดลงชั่วคราวหลังจากนั้น โดยมาตรการขึ้นภาษีขาย ซึ่งเป็นแนวคิดของรัฐบาลก่อน และได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ มีเป้าหมายเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะก้อนโตของประเทศ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำกล่าวของแหล่งข่าวว่า เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษี บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ฯ มีแผนจะผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นประมาณ 12,200 คันต่อวันในเดือนเมษายน หรือลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า โตโยต้ามีแผนเพิ่มกำลังการผลิต 4% ในเดือนมกราคม ขณะที่เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมจะเพิ่มกำลังการผลิตจากปีก่อน 3%
โตโยต้ากล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตั้งเป้าลดกำลังการผลิตในญี่ปุ่นตลอดทั้งปี 2557 ลง 6% เหลือ 3.15 ล้านคัน
ผู้บริหารโตโยต้ากล่าวยอมรับว่า การขึ้นภาษีจะกระทบกับยอดขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี นายอาคิโอะ โทโยดะ ประธานโตโยต้ากล่าวว่า ต้องการจำกัดผลกระทบให้อยู่เพียงไม่เกิน 3 เดือน "เราต้องการเห็นบรรยากาศกลับมาอยู่ในทิศทางที่เป็นบวกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม"
การขึ้นภาษีได้ส่งผลให้ผู้บริโภคเลื่อนการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ เช่น บ้าน รถยนต์ และสินค้าคงทนและฟุ่มเฟือยอื่นๆ ขึ้นมาก่อนที่จะมีราคาแพงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจไตรมาส 2 จะหดตัวจากผลกระทบของการขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปี จากอานิสงส์ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของนายอาเบะ
"ผมเชื่อว่าญี่ปุ่นจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ มาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำมาใช้จะให้ผลลัพธ์เป็นอย่างมาก ซึ่งจะกลบผลกระทบด้านลบที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีขาย" นายฮิโรมาสะ โยเนคุระ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) กล่าวแสดงความเชื่อมั่น พร้อมกับเสริมว่าปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยุโรปพัฒนาขึ้น เช่นเดียวกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ฮิเดทากะ โยเนยามะ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยฟูจิทสึ กล่าวว่า ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นในครึ่งหลังของปีจะมาจากการส่งออกและการลงทุน "เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งดังนั้นการส่งออกจะเติบโต การลงทุนจะแข็งแกร่ง เพราะบริษัทญี่ปุ่นจำกัดการลงทุนให้อยู่ในระดับต่ำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และผลประกอบการบริษัทมีความแข็งแกร่ง" อย่างไรก็ดี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโต 1.2% ในปีนี้ ลดลงจาก 2% ในปี 2556 และ 2555 จากผลกระทบของการขึ้นภาษี ขณะที่ปี 2554 เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 0.6%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,918
วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
โตโยต้า มอเตอร์ วางแผนลดกำลังการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นลง 15% ในเดือนเมษายน เพื่อรองรับความต้องการที่คาดหมายว่าจะลดต่ำลงจากผลกระทบของการขึ้นภาษีขายทั่วญี่ปุ่นในช่วงเวลาดังกล่าว
กำหนดการปรับขึ้นภาษีขายของญี่ปุ่นจาก 5% เป็น 8% ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ เป็นที่คาดหมายว่าจะส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อนวันที่ 1 เมษายน และลดลงชั่วคราวหลังจากนั้น โดยมาตรการขึ้นภาษีขาย ซึ่งเป็นแนวคิดของรัฐบาลก่อน และได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ มีเป้าหมายเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะก้อนโตของประเทศ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำกล่าวของแหล่งข่าวว่า เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษี บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ฯ มีแผนจะผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นประมาณ 12,200 คันต่อวันในเดือนเมษายน หรือลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า โตโยต้ามีแผนเพิ่มกำลังการผลิต 4% ในเดือนมกราคม ขณะที่เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมจะเพิ่มกำลังการผลิตจากปีก่อน 3%
โตโยต้ากล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตั้งเป้าลดกำลังการผลิตในญี่ปุ่นตลอดทั้งปี 2557 ลง 6% เหลือ 3.15 ล้านคัน
ผู้บริหารโตโยต้ากล่าวยอมรับว่า การขึ้นภาษีจะกระทบกับยอดขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี นายอาคิโอะ โทโยดะ ประธานโตโยต้ากล่าวว่า ต้องการจำกัดผลกระทบให้อยู่เพียงไม่เกิน 3 เดือน "เราต้องการเห็นบรรยากาศกลับมาอยู่ในทิศทางที่เป็นบวกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม"
การขึ้นภาษีได้ส่งผลให้ผู้บริโภคเลื่อนการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ เช่น บ้าน รถยนต์ และสินค้าคงทนและฟุ่มเฟือยอื่นๆ ขึ้นมาก่อนที่จะมีราคาแพงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจไตรมาส 2 จะหดตัวจากผลกระทบของการขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปี จากอานิสงส์ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของนายอาเบะ
"ผมเชื่อว่าญี่ปุ่นจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ มาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำมาใช้จะให้ผลลัพธ์เป็นอย่างมาก ซึ่งจะกลบผลกระทบด้านลบที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีขาย" นายฮิโรมาสะ โยเนคุระ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) กล่าวแสดงความเชื่อมั่น พร้อมกับเสริมว่าปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยุโรปพัฒนาขึ้น เช่นเดียวกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ฮิเดทากะ โยเนยามะ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยฟูจิทสึ กล่าวว่า ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นในครึ่งหลังของปีจะมาจากการส่งออกและการลงทุน "เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งดังนั้นการส่งออกจะเติบโต การลงทุนจะแข็งแกร่ง เพราะบริษัทญี่ปุ่นจำกัดการลงทุนให้อยู่ในระดับต่ำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และผลประกอบการบริษัทมีความแข็งแกร่ง" อย่างไรก็ดี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโต 1.2% ในปีนี้ ลดลงจาก 2% ในปี 2556 และ 2555 จากผลกระทบของการขึ้นภาษี ขณะที่ปี 2554 เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 0.6%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,918
วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4867
ซัมซุง อิเล็คโทรนิคส์ บรรลุข้อตกลงร่วมกับ คาร์โฟน แวร์เฮาส์ เชนค้าปลีกโทรศัพท์มือถืออันดับ 1 ของยุโรป เพื่อเปิดร้านค้าปลีกของซัมซุง 60 แห่งทั่วยุโรป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ร้านค้าของซัมซุงซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในเดือนเมษายน นับเป็นการก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกอย่างเต็มตัวในยุโรปเป็นครั้งแรก โดยผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่จากเกาหลีใต้กำลังพยายามรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนและทำส่วนแบ่งตลาดให้ทิ้งห่างคู่แข่งสำคัญอย่างแอปเปิล ที่มีธุรกิจค้าปลีกที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
ร้านค้าของซัมซุงในยุโรปจะจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกประเภท ตั้งแต่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป แท็บเลต สมาร์ทโฟน ตลอดจนอุปกรณ์น้องใหม่อย่างสมาร์ทวอตช์ โดยคาดว่าร้านค้าประมาณ 10-15 แห่งจะเปิดให้บริการในอังกฤษ ส่วนที่เหลือจะอยู่ในไอร์แลนด์ เยอรมนี โปรตุเกส สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และสเปน ซึ่งมีร้านค้าตัวอย่างอยู่แล้ว 3 แห่ง
ร้านค้าซัมซุงอาจจะยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้เทียบเท่ากับร้านค้าปลีกของแอปเปิล ที่ทำยอดขายได้ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำเงินต่อตารางฟุตของร้านค้าได้สูงที่สุดในบรรดาเชนร้านค้าปลีกทั่วโลก อย่างไรก็ดี ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซัมซุงจะมีจำนวนร้านค้าในยุโรปเกือบเท่ากับที่แอปเปิลขยายธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าวมาตลอดช่วง 10 ปี ปัจจุบันแอปเปิลมีร้านค้าปลีก 98 แห่งใน 8 ประเทศยุโรป
ร้านค้าของซัมซุงจะมีคาร์โฟน แวร์เฮาส์ เป็นเจ้าของและผู้บริหาร ต่างจากร้านค้าของแอปเปิลที่แอปเปิลเป็นเจ้าของและดำเนินการเองทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะดัดแปลงจากร้านของคาร์โฟน แวร์เฮาส์ ที่มีอยู่เดิม ปัจจุบันคาร์โฟนมีร้านค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองอยู่กว่า 2,000 ร้านทั่วยุโรป
แอนดรูว์ แฮร์ริสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคาร์โฟน กล่าวว่า "หุ้นส่วนในครั้งนี้เป็นการจับมือร่วมกันที่ดึงเอาความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยความร่วมมือของเราจะเป็นการสร้างแนวคิดการค้าปลีกแบบใหม่ที่แข็งแกร่ง เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ คอนเทนต์ และบริการที่หลากหลายให้กับผู้บริโภคของเรา รวมถึงอัดฉีดการลงทุนและการสร้างงานใหม่ให้กับภาคการค้าปลีก"
นักวิเคราะห์คาดหมายว่า ร้านค้าซัมซุงจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในยุโรปเป็นตัวเลขที่น่าพึงพอใจ และคาดว่าจะทำกำไรให้กับคาร์โฟนได้ในอัตรา 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า หลังจากดูดซับต้นทุนจากการดัดแปลงร้านแล้ว
นอกจากจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของซัมซุง ร้านค้าซัมซุงจะมีบริการให้คำปรึกษากับผู้บริโภคในลักษณะคล้ายคลึงกับบริการ จีเนียส บาร์ (Genius Bar) ของแอปเปิล เช่น การช่วยเหลือในการติดตั้งและเริ่มต้นใช้งานอุปกรณ์ใหม่ก่อนออกจากร้าน เป็นต้น โดยพนักงานผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคนิคจะเป็นพนักงานของคาร์โฟน
ซัมซุงมีร้านค้าปลีกจำนวนไม่มากนักอยู่ในตลาดเกาหลีใต้ รวมถึงตลาดต่างประเทศอื่นๆ ขณะที่ในสหรัฐฯ ธุรกิจค้าปลีกของซัมซุงอยู่ในรูปของเคาน์เตอร์ภายในร้านค้าของเชนค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ เบสต์บาย 1,400 สาขาทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน คาร์โฟนเองก็มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจหลังจากความเป็นหุ้นส่วนกับเบสต์บายสิ้นสุดลงเมื่อปีก่อน "ร้านค้า 60 แห่งน่าจะมองได้ว่าเป็นก้าวแรกในการเปิดตัวธุรกิจค้าปลีกในยุโรปของซัมซุง เป็นสัญญาณว่ามีโอกาสที่จะขยายความตกลงเพิ่มเติมในระยะกลาง" นักวิเคราะห์จากเอ็กเซน แบงก์ กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ร้านค้าของซัมซุงซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในเดือนเมษายน นับเป็นการก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกอย่างเต็มตัวในยุโรปเป็นครั้งแรก โดยผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่จากเกาหลีใต้กำลังพยายามรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนและทำส่วนแบ่งตลาดให้ทิ้งห่างคู่แข่งสำคัญอย่างแอปเปิล ที่มีธุรกิจค้าปลีกที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
ร้านค้าของซัมซุงในยุโรปจะจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกประเภท ตั้งแต่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป แท็บเลต สมาร์ทโฟน ตลอดจนอุปกรณ์น้องใหม่อย่างสมาร์ทวอตช์ โดยคาดว่าร้านค้าประมาณ 10-15 แห่งจะเปิดให้บริการในอังกฤษ ส่วนที่เหลือจะอยู่ในไอร์แลนด์ เยอรมนี โปรตุเกส สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และสเปน ซึ่งมีร้านค้าตัวอย่างอยู่แล้ว 3 แห่ง
ร้านค้าซัมซุงอาจจะยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้เทียบเท่ากับร้านค้าปลีกของแอปเปิล ที่ทำยอดขายได้ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำเงินต่อตารางฟุตของร้านค้าได้สูงที่สุดในบรรดาเชนร้านค้าปลีกทั่วโลก อย่างไรก็ดี ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซัมซุงจะมีจำนวนร้านค้าในยุโรปเกือบเท่ากับที่แอปเปิลขยายธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าวมาตลอดช่วง 10 ปี ปัจจุบันแอปเปิลมีร้านค้าปลีก 98 แห่งใน 8 ประเทศยุโรป
ร้านค้าของซัมซุงจะมีคาร์โฟน แวร์เฮาส์ เป็นเจ้าของและผู้บริหาร ต่างจากร้านค้าของแอปเปิลที่แอปเปิลเป็นเจ้าของและดำเนินการเองทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะดัดแปลงจากร้านของคาร์โฟน แวร์เฮาส์ ที่มีอยู่เดิม ปัจจุบันคาร์โฟนมีร้านค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองอยู่กว่า 2,000 ร้านทั่วยุโรป
แอนดรูว์ แฮร์ริสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคาร์โฟน กล่าวว่า "หุ้นส่วนในครั้งนี้เป็นการจับมือร่วมกันที่ดึงเอาความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยความร่วมมือของเราจะเป็นการสร้างแนวคิดการค้าปลีกแบบใหม่ที่แข็งแกร่ง เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ คอนเทนต์ และบริการที่หลากหลายให้กับผู้บริโภคของเรา รวมถึงอัดฉีดการลงทุนและการสร้างงานใหม่ให้กับภาคการค้าปลีก"
นักวิเคราะห์คาดหมายว่า ร้านค้าซัมซุงจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในยุโรปเป็นตัวเลขที่น่าพึงพอใจ และคาดว่าจะทำกำไรให้กับคาร์โฟนได้ในอัตรา 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า หลังจากดูดซับต้นทุนจากการดัดแปลงร้านแล้ว
นอกจากจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของซัมซุง ร้านค้าซัมซุงจะมีบริการให้คำปรึกษากับผู้บริโภคในลักษณะคล้ายคลึงกับบริการ จีเนียส บาร์ (Genius Bar) ของแอปเปิล เช่น การช่วยเหลือในการติดตั้งและเริ่มต้นใช้งานอุปกรณ์ใหม่ก่อนออกจากร้าน เป็นต้น โดยพนักงานผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคนิคจะเป็นพนักงานของคาร์โฟน
ซัมซุงมีร้านค้าปลีกจำนวนไม่มากนักอยู่ในตลาดเกาหลีใต้ รวมถึงตลาดต่างประเทศอื่นๆ ขณะที่ในสหรัฐฯ ธุรกิจค้าปลีกของซัมซุงอยู่ในรูปของเคาน์เตอร์ภายในร้านค้าของเชนค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ เบสต์บาย 1,400 สาขาทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน คาร์โฟนเองก็มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจหลังจากความเป็นหุ้นส่วนกับเบสต์บายสิ้นสุดลงเมื่อปีก่อน "ร้านค้า 60 แห่งน่าจะมองได้ว่าเป็นก้าวแรกในการเปิดตัวธุรกิจค้าปลีกในยุโรปของซัมซุง เป็นสัญญาณว่ามีโอกาสที่จะขยายความตกลงเพิ่มเติมในระยะกลาง" นักวิเคราะห์จากเอ็กเซน แบงก์ กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4868
มาแวะอ่านด้วยความขอบคุณเช่นเคยค่ะtheenuch เขียน:mind set ที่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงิน
ถ้าฟังหรืออ่านบทสัมภาษณ์ Idol ด้านการลงทุนแนว VI
ของพวกเราทุกท่าน จะพบความสอดคล้องกันในเรื่อง
"mind set ที่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงิน" ค่ะ
ล่าสุดได้ชม clip "คุณธันวา เลาหศิริวงศ์" อดีตนายกสมาคมของพวกเรา
ได้กรุณาถ่ายทอดผ่านรายการ Stop Lost ช่วง The Investor
ที่ย้ำให้ทุกๆ คนควรมีวินัยด้านการเงิน ขยันออม และวางแผนสู่
การมีอิสรภาพทางการเงินอย่างเป็นระบบ...ทางที่ดีควรเริ่มให้เร็วที่สุดค่ะ
ดูแล้วน่าจะเป็นกำลังใจให้นักลงทุนที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ไม่น้อย...ตาม link นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?v=61 ... =2&theater
ขออนุญาตนำ "mind set ที่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงิน"
มาฝากในกระทู้พี่หมอมุขด้วยนะคะ..เพื่อนๆ แวะมาอ่านเยอะกว่า
จะได้เกิดประโยชน์เป็นวงกว้างขึ้น...ขอบคุณค่ะ ^_*
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4869
มุมมองอาจารย์ของพวกเรานั้นยังล้ำลึกเกินความคาดหมายไปอีกหลายขุมกับบทบาทนี้ครับ
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
กุมภาพันธ์ 10, 2014
ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก มีบทกลอนที่ทำนายถึงอนาคตของประเทศไทยบทหนึ่ง ซึ่งลงท้ายด้วยคำว่า “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมลง” ความหมายกว้าง ๆ ก็คือ คนที่ “ต่ำต้อยไร้ค่า” ในคำนิยามสมัยนั้น จะมีอำนาจวาสนาขึ้น ในขณะที่คนที่ “สูงศักดิ์” กว่า จะถดถอยตกต่ำลง คำทำนายนี้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันที่เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ โดยเฉพาะในทางการเมือง ก็มักจะมีคนยกขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ในการชักนำความคิดคนอ่านหรือคนฟังให้เป็นคุณกับฝ่ายตน อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ ผมจะใช้ในความหมายที่เป็นกลาง นั่นก็คือ สิ่งที่ด้อยกว่าจะเติบโตโดดเด่นขึ้น ในขณะที่สิ่งที่ดีเด่นกว่าจะถดถอยลง-ในทางเศรษฐกิจและหุ้น
เริ่มต้นที่ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ ย้อนหลังไปไกลอาจจะซัก 40 ปีขึ้นไป โลกของเราในขณะนั้นดูเหมือนว่าจะถูก “ครอบงำ” โดยประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งก็คือ ประเทศซีกโลกด้านตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ต่อมา เยอรมันและญี่ปุ่นก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจด้วย สัดส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกนั้นดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนานั้นน่าจะโตช้าหรือบางประเทศถึงกับถดถอยลง พูดง่าย ๆ ประเทศที่จนอยู่แล้ว ยิ่งจนลง ปัญหาใหญ่ก็คือ ประเทศเหล่านั้นมีเด็กเกิดใหม่มาก พูดกันในสมัยนั้นก็คือ “ลูกมากยากจน” ประเด็นสำคัญก็คือ ประเทศขาดคนที่มีความรู้ เทคโนโลยีในการผลิต ทุน และผู้ประกอบการที่จะสร้างผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ดังนั้น คนที่มีอยู่มากและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้าม กลับเป็น “ภาระ” ที่ทำให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจทำได้ยากขึ้น
ต่อมาเมื่อโลก “เปิดกว้าง” ขึ้น ผลจากความสงบ ปราศจากสงคราม ทั้งสงครามเย็นและสงครามร้อนของประเทศมหาอำนาจ ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและให้เสรีภาพทางการเมืองแก่ประชาชนมากขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างคึกคักโดยเฉพาะประเทศในเอเซียซึ่งนำโดยประเทศ “เสือแห่งเอเซีย” ที่มีประชากรน้อยและอยู่ในกลุ่มโลกเสรีในช่วงสงครามเย็นที่โลกยังไม่เปิดกว้างทั้งหมด ต่อมาก็คือประเทศในเอเชียที่มีประชากรมากอย่างจีน และอินเดีย ที่ได้เปิดประเทศเต็มที่หลังจากสงครามเย็นสงบลง การเปิดประเทศนั้นทำให้ปัจจัยการผลิตสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาทำการผลิตได้โดยสะดวก ปัญหาเรื่องความรู้ เทคโนโลยี ทุน และแรงงานหมดไป ดังนั้น การผลิตและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ผลก็คือ เศรษฐกิจของประเทศยากจนที่ “เปิดประเทศ” จึงเติบโตเร็วอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็น Emerging Economy ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นทุกทีในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วโตช้าลงไปมากเนื่องจากระดับการพัฒนาที่สูงอยู่แล้วกอร์ปกับการที่ประชากรไม่ใคร่เพิ่มขึ้นและแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว
“กระเบื้อง” ชิ้นใหญ่มโหฬารอย่างจีนได้เฟื่องฟูขึ้นมาแล้วและน่าจะยังขึ้นต่อไป กระเบื้องชิ้นเล็ก ๆ อีกหลายชิ้นข้างบ้านเราเช่น เวียตนาม พม่า กัมพูชา ลาว กำลัง “เปิดประเทศ” ซึ่งจะนำมาซึ่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วน่าจะเป็นกระเบื้องที่จะเฟื่องฟูลอยต่อไป และนี่ก็คือจุดที่ประเทศไทยควรจะต้องเข้าไป “เกาะ” หรือเข้าไปมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จะส่งเสริมให้เรามีความก้าวหน้าหรือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเมื่อคำนึงถึงว่าประชากรของเราไม่ใคร่เพิ่มขึ้นและกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ประเด็นปัญหาของเราที่อาจจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะเข้าไปมีบทบาทที่คึกคักในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็คือ “ปัญหาทางการเมือง” และการบริหารประเทศที่ทำให้รัฐไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินการที่เหมาะสม ตัวอย่างที่เห็นชัดในช่วงนี้ก็คือ ระบบการขนส่งและ Logistic ที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องใช้เวลาอีก 20 ปีเพื่อเชื่อมต่อรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจะเหลืออะไรเมื่อ “กระเบื้อง” ทั้งหลายได้เฟื่องฟูไปหมดแล้ว?
ผมพูดแต่เรื่องนอกบ้านซึ่งยังห่างไกลจากประเด็นของการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่บ้าง แต่ “กระเบื้อง” ไม่ได้มีเฉพาะในต่างประเทศ “กระเบื้อง” ที่อยู่ในบ้าน หรือคนไทยที่ด้อยกว่าทางด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยเองก็มีมากมาย ว่าที่จริง ในอดีตย้อนหลังไป 40-50 ปี นั้น ต่างจังหวัดทั้งหมดของประเทศไทยมีสัดส่วนทางเศรษฐกิจน้อยมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพ จนคนแทบจะพูดกันว่า “กรุงเทพก็คือประเทศไทย” ต่อมา อาจจะราว ๆ 20-30 ปีที่ผ่านมาเมื่อผมเริ่มทำงานที่เกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจและธุรกิจ ตัวเลขที่ผมรู้สึกว่าเป็น “Magic Number” หรือตัวเลข “อัศจรรย์” ก็คือ กรุงเทพและปริมณฑลมักจะมียอดรวมของยอดขายของสิ่งต่าง ๆ ประมาณ 50% ส่วนต่างจังหวัดที่มีมากถึง 50-60 จังหวัดมีสัดส่วนรวมกันเท่ากับ 50% เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ยอดขายรถยนต์ ยอดขายเทปเพลง และอื่น ๆ อีกมาก
ประมาณซัก 10-20 ปีที่ผ่านมา อาการกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอยของจังหวัดหัวเมืองของไทยก็เริ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของรายได้ของประชาชนในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอันเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมทั้งหลายโดยเฉพาะที่เป็นขนาดใหญ่เริ่มตั้งแต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต่อมาก็เป็นธุรกิจรถยนต์ นี่ยังไม่นับอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมส่งออกทั้งหลายที่ถูกย้ายมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น นั่นส่งผลให้จังหวัดชายทะเลที่เป็นท่าเรือน้ำลึก เช่น ชลบุรีและระยองเติบโตขึ้นมหาศาล รายได้ต่อหัวสูงขึ้นเท่าเทียมหรือสูงกว่ากรุงเทพ ต่อมาการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วก็ส่งผลให้จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เติบโตขึ้นมากจากธุรกิจที่ให้บริการนักท่องเที่ยว คนในจังหวัดเหล่านี้มีรายได้และพฤติกรรมการใช้จ่ายไม่ต่างจากกรุงเทพเท่าใดนัก เวลาต่อมาเมื่อแรงงานเป็นที่ต้องการมากขึ้น จังหวัดที่มีคนมากและระยะทางไม่ห่างจากกรุงเทพหรือท่าเรืออย่างเช่นโคราชก็เริ่มมีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมากขึ้น และสุดท้ายที่ดูเหมือนว่าจะเป็น “คลื่นลูกล่าสุด” ก็คือจังหวัดที่เป็นชายแดนทางผ่านติดต่อกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่กำลังเปิดประเทศ เช่น อุดรธานี แม่สอด อรัญประเทศ เชียงราย ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอานิสงค์จากการค้าขายกับประเทศเหล่านั้นที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด การค้าขายผ่านชายแดนรวมกันน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่าการค้าขายกับประเทศใหญ่ ๆ ของโลกแล้ว
ตัวเลขกรุงเทพ 50% และต่างจังหวัด 50% นั้น ขณะนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ต่างจังหวัดของไทยโตเร็วขึ้นขณะที่กรุงเทพโตช้าลง ธุรกิจหลาย ๆ อย่างเริ่มจะอิ่มตัว ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 เคยมีจำนวนร้าน 50% ในกรุงเทพขณะนี้กลายเป็น 45% และที่เปิดใหม่ก็เปิดในต่างจังหวัดมากกว่า เช่นเดียวกัน ชอปปิงมอลอย่างห้างของเครือเซ็นทรัลในระยะหลัง ๆ ต่างก็เปิดในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพ สิ่งที่ตามก็คือร้านค้าทั้งหลายที่ขายสินค้าระดับสูงรวมไปถึงภัตตาคารที่ขายอาหารราคาสูงก็ขยายไปในต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพ ว่าที่จริงบริษัทที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคที่ยังเติบโตได้ในเวลานี้ ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องเน้นไปที่ต่างจังหวัดแทบทุกบริษัท ครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมมีเวลาว่างหลังจากการบรรยายและได้ไปเดินเล่นในห้างเซ็นทรัลที่เชียงใหม่ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ มันแทบจะไม่ต่างจากชอปปิ้งมอลที่กรุงเทพเลย และทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผมสรุปว่า “กระเบื้อง” ในประเทศไทยนั้นกำลังเฟื่องฟูลอย กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทยอีกต่อไป
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมลง” นั้น กำลังเป็น “เมกาเทรนด์” ในหลาย ๆ สิ่งของโลกและของประเทศไทย การวิเคราะห์หุ้นของเราจะต้องตระหนักในเรื่องนี้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4870
ขอบคุณครับ แวะมาดพสต์บทความหรือข้อความดีๆ เรื่อยๆนะครับ คุณนุชtheenuch เขียน:มาแวะอ่านด้วยความขอบคุณเช่นเคยค่ะtheenuch เขียน:mind set ที่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงิน
ถ้าฟังหรืออ่านบทสัมภาษณ์ Idol ด้านการลงทุนแนว VI
ของพวกเราทุกท่าน จะพบความสอดคล้องกันในเรื่อง
"mind set ที่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงิน" ค่ะ
ล่าสุดได้ชม clip "คุณธันวา เลาหศิริวงศ์" อดีตนายกสมาคมของพวกเรา
ได้กรุณาถ่ายทอดผ่านรายการ Stop Lost ช่วง The Investor
ที่ย้ำให้ทุกๆ คนควรมีวินัยด้านการเงิน ขยันออม และวางแผนสู่
การมีอิสรภาพทางการเงินอย่างเป็นระบบ...ทางที่ดีควรเริ่มให้เร็วที่สุดค่ะ
ดูแล้วน่าจะเป็นกำลังใจให้นักลงทุนที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ไม่น้อย...ตาม link นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?v=61 ... =2&theater
ขออนุญาตนำ "mind set ที่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงิน"
มาฝากในกระทู้พี่หมอมุขด้วยนะคะ..เพื่อนๆ แวะมาอ่านเยอะกว่า
จะได้เกิดประโยชน์เป็นวงกว้างขึ้น...ขอบคุณค่ะ ^_*
ยิ่งช่วงเดือนนี้ผมจะไม่ค่อยว่างซะด้วย ฝากคุณนุชดูแลห้องนี้ด้วยคนนะครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4871
updated: 12 ก.พ. 2557 เวลา 11:18:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจยอดขายเดือน ม.ค. อสังหาฯรายใหญ่-รายกลางออกตัวแผ่ว พลาดเป้าระนาว "พฤกษาฯ" ปิดยอดเดือนแรก 2,800 ล้าน ตกเป้า 9% "ศุภาลัย" ได้ยอด 870 ล้าน หลุดเป้า 3% รายกลาง "ปริญสิริ-เสนาฯ-ซื่อตรงฯ-เปี่ยมสุขฯ-ริชี่เพลซฯ" ต้านไม่ไหว ยอดวูบจากเป้า 14-30% ปรับกลยุทธ์ "เวต แอนด์ ซี" ภาวนาการเมืองสงบ ชะลอเปิดโครงการใหม่จากไตรมาสแรกเป็นไตรมาส 2-3
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การชุมนุมทางการเมืองที่กินเวลามากว่า 3 เดือน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนจากยอดขายบ้าน-คอนโดมิเนียมที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
จากการสำรวจยอดขายล่าสุดในเดือนมกราคม 2557 ของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่-รายกลาง 7 บริษัท ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.ศุภาลัย บมจ.ปริญสิริ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ริชี่เพลซ (2002) บจ.ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และ บจ. เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ พบว่ามียอดขายเดือนแรกต่ำกว่าเป้าหมายตั้งแต่ 3-30%
พฤกษาฯยอดต่ำเป้า 9%
แหล่งข่าวจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมียอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 2,550 ล้านบาท ถึงจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 2,800 ล้านบาท อยู่ 9% ปัจจัยหลักมาจากผลกระทบการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ เริ่มเห็นผลกระทบมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีทีแล้ว ขณะที่ปริมาณลูกค้าแวะชมโครงการลดลงจากช่วงปกติเฉลี่ย 25-30% จากเดิมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 20 คนต่อโครงการ เหลือสัปดาห์ละ 14-15 คนต่อโครงการ
"ไซต์โครงการทำเลรังสิต และบางบัวทอง มีลูกค้าเข้าชมลดลงมากกว่าโซนอื่น วิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้าในโซนนี้ส่วนใหญ่เป็นพนักงานโรงงาน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หลังจากหมดมาตรการรถคันแรก ทางโรงงานเริ่มทยอยลดชั่วโมงทำงานโอที ทำให้รายได้ลดลง"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับภาวะยอดขายชะลอซึ่งน่าจะต่อเนื่องไปถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หากปัญหาการเมืองยังไม่ได้ข้อยุติ บริษัทปรับแผนไม่รีบร้อนเปิดโครงการใหม่ แม้ว่าประกาศแผนลงทุนปีนี้จำนวน 40-50 โครงการ โดยโครงการทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ส่วนโครงการคอนโดฯจะเริ่มเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 3-4 ยกเว้นปัญหาการเมืองจบเร็วก็อาจจะเริ่มเปิดตัวในไตรมาส 2 เป็นต้นไป
ศุภาลัย-ปริญสิริแผ่ว
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 870 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3% ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนทำยอดขายได้ 1,000 ล้านบาท ลดลง 20% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ปัจจัยมาจากปัญหาการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ
สำหรับการเร่งยอดขายยอมรับว่าคงฝืนตลาดยาก การบริหารจัดการในภาวะปัจจุบันจะต้องระมัดระวังการลงทุน โดยปีนี้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์) 15-16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 8-9 โครงการ สำหรับโครงการแนวราบคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ ส่วนคอนโดฯเซตไว้ไตรมาส 2 แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจะเลื่อนเปิดตัวเป็นไตรมาส 3
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายช่วงเดือนแรกที่ผ่านมาชะลอลงทุกโครงการ มียอดขาย 197 ล้านบาท จากเป้าหมาย 250 ล้านบาท หรือลดลง 25% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายได้ 273 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ปรับแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมาเปิดแล้ว 1 โครงการ ไตรมาส 2 จะเปิด 1 โครงการ และไตรมาส 3-4 จะเปิด 3 โครงการ เนื่องจากบางส่วนเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวจากปีที่ผ่านมา
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคม 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 102 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่าประมาณการทั้งเดือนที่ตั้งไว้ 180 ล้านบาท โดยมีบางโครงการที่ยอดขายต่ำกว่าเป้า 50-60%
"ปัจจัยหลักเกิดจากปัญหาการเมือง ในกลุ่มคอนโดฯยังไม่ถึงขั้นเห็นการทิ้งเงินจอง-เงินดาวน์เพิ่ม อัตราเฉลี่ยยังปกติอยู่ที่ 4% ส่วนกลุ่มที่ประวิงเวลายื้อการโอนมีบ้างตามปกติ"
รายกลางยอดวูบ
นายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำได้ 60 ล้านบาท จากเป้า 75 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้า 20% ล่าสุดบริษัทปรับลดประมาณการยอดขายทั้งปีลงจาก 1,200-1,400 ล้านบาท เหลือ 800-1,200 ล้าน และเลื่อนเปิดตัวโครงการบ้านซื่อตรง พระราม 2 จากเดิมจะเปิดตัวไตรมาส 2 เป็นไตรมาส 4 หรือต้นปี 2558 เพื่อคุมค่าใช้จ่าย และการที่ปรับลดเป้าหมายยอดขายปีนี้ เพราะประเมินว่าปัญหาการเมืองมีโอกาสจะยืดเยื้อ กว่าจะได้รัฐบาลใหม่คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ดังนั้นแผนธุรกิจช่วง 1 ปีนับจากนี้จะใช้กลยุทธ์ประคองตัว
ผู้สื่อข่าวสำรวจยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมาของบริษัทพัฒนาที่ดินรายอื่น อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% , บมจ.ริชี่เพลซ (2002) ได้ยอดขาย 85 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 120 ล้านบาท อยู่ 30%, บจ.เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ฯ มียอดขาย 60 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 70 ล้านบาท อยู่ 14% ฯลฯ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจยอดขายเดือน ม.ค. อสังหาฯรายใหญ่-รายกลางออกตัวแผ่ว พลาดเป้าระนาว "พฤกษาฯ" ปิดยอดเดือนแรก 2,800 ล้าน ตกเป้า 9% "ศุภาลัย" ได้ยอด 870 ล้าน หลุดเป้า 3% รายกลาง "ปริญสิริ-เสนาฯ-ซื่อตรงฯ-เปี่ยมสุขฯ-ริชี่เพลซฯ" ต้านไม่ไหว ยอดวูบจากเป้า 14-30% ปรับกลยุทธ์ "เวต แอนด์ ซี" ภาวนาการเมืองสงบ ชะลอเปิดโครงการใหม่จากไตรมาสแรกเป็นไตรมาส 2-3
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การชุมนุมทางการเมืองที่กินเวลามากว่า 3 เดือน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนจากยอดขายบ้าน-คอนโดมิเนียมที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
จากการสำรวจยอดขายล่าสุดในเดือนมกราคม 2557 ของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่-รายกลาง 7 บริษัท ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.ศุภาลัย บมจ.ปริญสิริ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ริชี่เพลซ (2002) บจ.ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และ บจ. เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ พบว่ามียอดขายเดือนแรกต่ำกว่าเป้าหมายตั้งแต่ 3-30%
พฤกษาฯยอดต่ำเป้า 9%
แหล่งข่าวจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมียอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 2,550 ล้านบาท ถึงจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 2,800 ล้านบาท อยู่ 9% ปัจจัยหลักมาจากผลกระทบการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ เริ่มเห็นผลกระทบมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีทีแล้ว ขณะที่ปริมาณลูกค้าแวะชมโครงการลดลงจากช่วงปกติเฉลี่ย 25-30% จากเดิมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 20 คนต่อโครงการ เหลือสัปดาห์ละ 14-15 คนต่อโครงการ
"ไซต์โครงการทำเลรังสิต และบางบัวทอง มีลูกค้าเข้าชมลดลงมากกว่าโซนอื่น วิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้าในโซนนี้ส่วนใหญ่เป็นพนักงานโรงงาน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หลังจากหมดมาตรการรถคันแรก ทางโรงงานเริ่มทยอยลดชั่วโมงทำงานโอที ทำให้รายได้ลดลง"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับภาวะยอดขายชะลอซึ่งน่าจะต่อเนื่องไปถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หากปัญหาการเมืองยังไม่ได้ข้อยุติ บริษัทปรับแผนไม่รีบร้อนเปิดโครงการใหม่ แม้ว่าประกาศแผนลงทุนปีนี้จำนวน 40-50 โครงการ โดยโครงการทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ส่วนโครงการคอนโดฯจะเริ่มเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 3-4 ยกเว้นปัญหาการเมืองจบเร็วก็อาจจะเริ่มเปิดตัวในไตรมาส 2 เป็นต้นไป
ศุภาลัย-ปริญสิริแผ่ว
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 870 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3% ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนทำยอดขายได้ 1,000 ล้านบาท ลดลง 20% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ปัจจัยมาจากปัญหาการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ
สำหรับการเร่งยอดขายยอมรับว่าคงฝืนตลาดยาก การบริหารจัดการในภาวะปัจจุบันจะต้องระมัดระวังการลงทุน โดยปีนี้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์) 15-16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 8-9 โครงการ สำหรับโครงการแนวราบคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ ส่วนคอนโดฯเซตไว้ไตรมาส 2 แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจะเลื่อนเปิดตัวเป็นไตรมาส 3
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายช่วงเดือนแรกที่ผ่านมาชะลอลงทุกโครงการ มียอดขาย 197 ล้านบาท จากเป้าหมาย 250 ล้านบาท หรือลดลง 25% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายได้ 273 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ปรับแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมาเปิดแล้ว 1 โครงการ ไตรมาส 2 จะเปิด 1 โครงการ และไตรมาส 3-4 จะเปิด 3 โครงการ เนื่องจากบางส่วนเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวจากปีที่ผ่านมา
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคม 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 102 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่าประมาณการทั้งเดือนที่ตั้งไว้ 180 ล้านบาท โดยมีบางโครงการที่ยอดขายต่ำกว่าเป้า 50-60%
"ปัจจัยหลักเกิดจากปัญหาการเมือง ในกลุ่มคอนโดฯยังไม่ถึงขั้นเห็นการทิ้งเงินจอง-เงินดาวน์เพิ่ม อัตราเฉลี่ยยังปกติอยู่ที่ 4% ส่วนกลุ่มที่ประวิงเวลายื้อการโอนมีบ้างตามปกติ"
รายกลางยอดวูบ
นายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำได้ 60 ล้านบาท จากเป้า 75 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้า 20% ล่าสุดบริษัทปรับลดประมาณการยอดขายทั้งปีลงจาก 1,200-1,400 ล้านบาท เหลือ 800-1,200 ล้าน และเลื่อนเปิดตัวโครงการบ้านซื่อตรง พระราม 2 จากเดิมจะเปิดตัวไตรมาส 2 เป็นไตรมาส 4 หรือต้นปี 2558 เพื่อคุมค่าใช้จ่าย และการที่ปรับลดเป้าหมายยอดขายปีนี้ เพราะประเมินว่าปัญหาการเมืองมีโอกาสจะยืดเยื้อ กว่าจะได้รัฐบาลใหม่คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ดังนั้นแผนธุรกิจช่วง 1 ปีนับจากนี้จะใช้กลยุทธ์ประคองตัว
ผู้สื่อข่าวสำรวจยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมาของบริษัทพัฒนาที่ดินรายอื่น อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% , บมจ.ริชี่เพลซ (2002) ได้ยอดขาย 85 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 120 ล้านบาท อยู่ 30%, บจ.เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ฯ มียอดขาย 60 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 70 ล้านบาท อยู่ 14% ฯลฯ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4872
นักวิเคราะห์จับตากลุ่มค้าปลีก ไตรมาส 4 ผลการดำเนินงานขี้เหร่ สาเหตุเศรษฐกิจชะลอ แข่งขันสูง คาดกำไรเติบโตเพียง 1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ประมาณการทั้งปี 56 โชว์กำไร 2.4 หมื่นล้าน ขยายตัวแค่ 5% ถูกกระทบซ้ำจากปัญหาโครงการจำนำข้าว ม็อบ ชูหุ้นเด่น ซีพี ออลล์ โฮมโปรฯ
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/2556 ของกลุ่มค้าปลีกที่อยู่ในการวิเคราะห์จำนวน 6 บริษัท จะเติบโต 14% จากไตรมาส 3 ปีเดียวกัน ขณะที่เมื่อเทียบไตรมาส 4 ของปีก่อนคาดว่าเติบโตเพียง 1% สาเหตุที่เติบโตในอัตราที่ลดลง เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภค โดยคาดว่ายอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth :SSSG)ของทุกบริษัทจะปรับตัวลดลง
สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปี 2556 ของกลุ่มพาณิชย์ คาดว่ากำไรเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน เป็น 2.42 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเติบโต 18% เป็น 2.85 หมื่นล้านบาท ในปี 2557 โดยยอดขายสาขาเดิมชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ แต่การที่ยังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำไรของกลุ่มยังคงเติบโตได้จากยอดขายที่สูงขึ้น เพิ่มอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ ได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด เติบโตตามการขยายตัวของชุมชนเมือง และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค นอกจากนี้การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกถูกผลักดันจากสาขาในปริมณฑลและบริเวณชายแดน
ส่วนกลุ่มที่คาดว่ายอดขายสาขาเดิมยังคงเป็นบวก ได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL), บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO) และบมจ.สยามแมคโคร (MAKRO) สำหรับกลุ่มที่ยอดขายสาขาเดิมติดลบ ได้แก่ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC), บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์(GLOBAL) และบมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน(ROBINS) อย่างไรก็ดี กลุ่มพาณิชย์ยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกับการขยายตัวของชุมชนเมือง และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ขณะที่ยกให้ CPALL และ HMPRO เป็นหุ้นเด่น
นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ปรับลดประมาณกำไรการกลุ่มพาณิชย์ สะท้อนกำลังซื้อที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ปัญหาจากโครงการจำนำข้าว และการชุมนุมทางการเมือง ทั้งนี้ยอดขายสาขาเดิมสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยยอดขายต่อสาขาของ CPALL และ HMPRO สูงกว่าตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจหรือจีดีพี
ทั้งนี้ยอดขายสาขาเดิมของ BIGC ต่ำกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุจากการแข่งขันสูงในตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ต จากการที่คู่แข่ง คือ ห้างเทสโก้ โลตัส มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกับ BIGC ในขณะที่ CPALL และ HMPRO เป็นผู้นำตลาดทำให้สามารถรักษาความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน
นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัสฯ คาดการณ์บมจ.บิ๊กซี มียอดขายไตรมาส 4/2556 ประมาณ 3.09 หมื่นล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เติบโตต่ำกว่า 9 เดือน ปี 2555 และถือว่าหดตัวเป็นไตรมาสแรกในรอบกว่า 10 ไตรมาส
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/2556 ของกลุ่มค้าปลีกที่อยู่ในการวิเคราะห์จำนวน 6 บริษัท จะเติบโต 14% จากไตรมาส 3 ปีเดียวกัน ขณะที่เมื่อเทียบไตรมาส 4 ของปีก่อนคาดว่าเติบโตเพียง 1% สาเหตุที่เติบโตในอัตราที่ลดลง เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภค โดยคาดว่ายอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth :SSSG)ของทุกบริษัทจะปรับตัวลดลง
สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปี 2556 ของกลุ่มพาณิชย์ คาดว่ากำไรเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน เป็น 2.42 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเติบโต 18% เป็น 2.85 หมื่นล้านบาท ในปี 2557 โดยยอดขายสาขาเดิมชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ แต่การที่ยังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำไรของกลุ่มยังคงเติบโตได้จากยอดขายที่สูงขึ้น เพิ่มอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ ได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด เติบโตตามการขยายตัวของชุมชนเมือง และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค นอกจากนี้การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกถูกผลักดันจากสาขาในปริมณฑลและบริเวณชายแดน
ส่วนกลุ่มที่คาดว่ายอดขายสาขาเดิมยังคงเป็นบวก ได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL), บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO) และบมจ.สยามแมคโคร (MAKRO) สำหรับกลุ่มที่ยอดขายสาขาเดิมติดลบ ได้แก่ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC), บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์(GLOBAL) และบมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน(ROBINS) อย่างไรก็ดี กลุ่มพาณิชย์ยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกับการขยายตัวของชุมชนเมือง และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ขณะที่ยกให้ CPALL และ HMPRO เป็นหุ้นเด่น
นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ปรับลดประมาณกำไรการกลุ่มพาณิชย์ สะท้อนกำลังซื้อที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ปัญหาจากโครงการจำนำข้าว และการชุมนุมทางการเมือง ทั้งนี้ยอดขายสาขาเดิมสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยยอดขายต่อสาขาของ CPALL และ HMPRO สูงกว่าตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจหรือจีดีพี
ทั้งนี้ยอดขายสาขาเดิมของ BIGC ต่ำกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุจากการแข่งขันสูงในตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ต จากการที่คู่แข่ง คือ ห้างเทสโก้ โลตัส มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกับ BIGC ในขณะที่ CPALL และ HMPRO เป็นผู้นำตลาดทำให้สามารถรักษาความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน
นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัสฯ คาดการณ์บมจ.บิ๊กซี มียอดขายไตรมาส 4/2556 ประมาณ 3.09 หมื่นล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เติบโตต่ำกว่า 9 เดือน ปี 2555 และถือว่าหดตัวเป็นไตรมาสแรกในรอบกว่า 10 ไตรมาส
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4873
โรงแรมโซนม็อบเริ่มลดเงินเดือน/โละคน
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 00:18 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : ข่าวหน้า1
ชัตดาวน์ยืดเยื้อธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหารโซน สุขุมวิท อโศก ราชประสงค์ ทองหล่อ ยอดร่วงหนักเผยอัตราเข้าพักลดต่อเนื่องเหลือ 10-20 % จนต้องงัดมาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติม ทั้งปิดฟลอร์ ปิดห้องอาหาร ลดวันทำงาน ลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน บางแห่งเริ่มปลดคน ด้านส.ภัตตาคารไทย แจงยอดขายวูบไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน สะเทือนสมาชิก 3 หมื่นราย คาดลากยาวถึงมีนาคมส่อเค้าลดพนักงาน
จากการสำรวจของ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงผลกระทบของธุรกิจโรงแรม ภัตตาคารร้านอาหารในพื้นที่ชุมนุมย่านสุขุมวิท อโศก ราชประสงค์ สีลม ทองหล่อ สี่แยกปทุมวัน ล่าสุดพบว่าได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องโดยธุรกิจโรงแรมมีอัตราเข้าพักราว 10-20 % เท่านั้นหลังจากก่อนหน้านั้นมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 40 -50 % ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างหันมาใช้มาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งหลัก ๆ คือการลดค่าใช้จ่าย ให้ธุรกิจอยู่รอด หลังจากได้เคยจัดโปรโมชันขายห้องพัก ห้องอาหาร ในราคาพิเศษเพื่อกระตุ้นยอดขายไปแล้ว
ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด(มหาชน) หรือเซ็นเทล เผยว่า แม้โรงแรม 2 แห่งที่เป็นเจ้าของคือ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ขณะนี้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ราว 20-40% ส่วนโรงแรมที่รับบริหาร อย่าง โรงแรมเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยราว 10% เท่านั้นเนื่องจากตลาดไมซ์ มีการยกเลิกและเลื่อนการจัดงานออกไปเป็นจำนวนมาก ขณะที่โรงแรมในเครือต่างจังหวัดอัตราการเข้าพักยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ 80-90 %
ส่งผลให้สามารถลดค่าใช้จ่ายโดยโยกย้ายพนักงานที่ทำงานในโรงแรมพื้นที่ม็อบไปทำงานในโรงแรมต่างจังหวัด ที่ยังมียอดบุ๊กกิ้งสูง และต้องการพนักงานเพิ่มแทน ซึ่งพนักงานก็พึ่งพอใจ เนื่องจากได้ค่าเซอร์วิสชาร์จเพิ่ม นอกจากนี้ใช้มาตรการให้พนักงานที่ยังไม่ลาพักร้อนใช้สิทธิ์ในช่วงนี้ และพิจารณาหักค่าใช้จ่ายแก่พนักงานผู้ที่ใช้วันลาหยุดเกินกำหนดโดยจะเริ่มพิจารณาจากพนักงานที่มีตำแหน่งสูงก่อนรวมถึงการลดราคาอาหารเช่นมา 4 คนจ่ายเพียง 2 คน เป็นต้น ดร. รณชิตกล่าว
++ บีบหยุดงานไม่จ่ายเงินเดือน
ด้านแหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ ชุมนุม เผยว่า ในส่วนของโรงแรมที่ไม่มีเครือข่ายอยู่ต่างจังหวัด หรือมีเพียงแห่งเดียว ต่างกำลังเผชิญกับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขณะนี้หลายโรงแรมในย่านนั้น ต้องใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายและประหยัดอย่างเข้มข้น โดยนโยบายหลัก ๆ จะมีทั้งการปิดห้องพักบางชั้นที่ไม่มีลูกค้า ปิดห้องอาหารบางช่วง ลดปริมาณอาหาร หรือยกเลิกบริการบุฟเฟ่ต์ หันมาให้บริการสั่งอาหารตามเมนู ลดราคาขาย ตลอดจนถึงการให้ใช้วันพักร้อน การลดเงินเดือนด้วยการขอความร่วมมือให้หยุดงานโดยไม่จ่ายเงินเดือนหรือ (Leave without pay) ซึ่งมาตรการจะเข้มข้นขึ้นตามความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นและบางโรงแรมถึงขั้นปลดพนักงาน
เช่น โรงแรมแกรนด์ มิลเลนเนียม สุขุมวิท ใกล้แยกอโศกมีนโยบายเลิกจ้างพนักงานที่อยู่ในช่วงทดลองงาน 4 เดือน จำนวน 15 คน โดยให้เวลา 1 เดือนเพื่อหางานใหม่ ส่วนพนักงานที่ยังทำงานอยู่ก็ขอให้หยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือนเป็นเวลา 2-4 วันต่อเดือน ปิดห้องอาหารอเทลิเย่ บริการอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันและค่ำ และปิดห้องอาหารทาปาส อิ วีโน่ ช่วงกลางวัน เปิดเฉพาะมื้อค่ำเท่านั้น
++เรดิสัน บลู ยกเลิกเซอร์วิสชาร์จ
ส่วนโรงแรมโลตัส สุขุมวิท 33 ให้พนักงานหยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือน 1 วัน โฮเทลมิวส์ ลดเงินเดือนสำหรับฝ่ายบริหาร โรงแรม เรดิสัน บลู สุขุมวิท 27 ยกเลิกการจ่ายเงินการันตีเซอร์วิสชาร์จ จากเดิมที่ตกลงไว้เดือนละ 5-6 พันบาท ช่วงเปิดโรงแรมอย่างไม่เป็นทางการ โรงแรมคอนราด บังคับให้ใช้วันพักร้อนในเดือนมกราคม เช่นเดียวกับโรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท
ขณะที่โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ให้หยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือน 1 วัน โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ ให้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อน ในช่วงนี้ปรับปริมาณอาหาร บุฟเฟ่ต์ให้ลดลง เพื่อลดราคา และนำเบเกอรี่ มาวางด้านหน้าโรงแรม ส่วนห้องอาหารเดอะสแควร์ โรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ ลดค่าอาหาร 30% ช่วงวันหยุด และขอให้พนักงานสมัครใจหยุดโดยไม่รับเงินเดือน โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ขอให้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในช่วงนี้ และมีการปิดบาร์ ในกรณีไม่มียอดจอง เป็นต้น
"หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นผู้ประกอบการอาจต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้น และถึงขั้นปลดพนักงานโดยเฉพาะโรงแรมไม่มีเครือข่ายจะได้รับผลกระทบมาก และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ประกอบการจะได้รับการเยียวยา เหมือนเมื่อครั้งที่ที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์หรือไม่" แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย
++ ร้านอาหารยอดขายตก
ด้าน นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ธุรกิจห้องอาหาร ภัตตาคาร และร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ ในพื้นที่ที่มีการชุมนุมที่กระทบมากคือในย่านสุขุมวิท อโศก และทองหล่อ รวมแล้วที่เป็นสมาชิกของสมาคมรวมกว่า 3 หมื่นราย ยอดขายลดลงมากโดยร้านอาหารราคาแพงยอดขายลดลงเดือนละ 20% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
"ประเมินว่าผู้ประกอบสูญเสียรายได้โดยรวมวันละราว 50 ล้านบาท เดือนละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจในพื้นที่ต่างใช้มาตรการรัดเข็มขัด นอกจากชะลอการลงทุนใหม่ ๆ แล้ว ลดค่าใช้จ่ายและการพิจารณาปรับลดพนักงานในอนาคต หากการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อถึงเดือนมีนาคมนี้ แม้ว่าช่วงแรกที่ชุมนุมยอดขายร้านอาหารในพื้นที่ก็เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม แต่เมื่อยืดเยื้อนานขึ้น ผู้ชุมนุมไม่นิยมใช้บริการร้านอาหาร ส่วนลูกค้านก็เดินทางไม่ได้ จึงทำให้ยอดขายเริ่มตกลงอย่างต่อเนื่อง"
ส่วนนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ เผยว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในขณะนี้ คือ ธุรกิจโรงแรม เนื่องจากมียอดการเข้าพักเหลือเพียง 20% จาก 4 พันห้อง ขายได้ 800 ห้องเท่านั้น ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยในย่านราชประสงค์ลดลงเหลือวันละ 150 ล้านบาท จากปกติราว 300 ล้านบาท หรือ 50 % ขณะที่ร้านอาหารย่านราชประสงค์ ยอดขายลดลงเหลือ 40 % ซึ่งทางสมาคมจะเรียกสมาชิกภายในย่านนี้เข้ามาหารือ เพื่อหามาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,922 วันที่ 13 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 00:18 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : ข่าวหน้า1
ชัตดาวน์ยืดเยื้อธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหารโซน สุขุมวิท อโศก ราชประสงค์ ทองหล่อ ยอดร่วงหนักเผยอัตราเข้าพักลดต่อเนื่องเหลือ 10-20 % จนต้องงัดมาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติม ทั้งปิดฟลอร์ ปิดห้องอาหาร ลดวันทำงาน ลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน บางแห่งเริ่มปลดคน ด้านส.ภัตตาคารไทย แจงยอดขายวูบไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน สะเทือนสมาชิก 3 หมื่นราย คาดลากยาวถึงมีนาคมส่อเค้าลดพนักงาน
จากการสำรวจของ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงผลกระทบของธุรกิจโรงแรม ภัตตาคารร้านอาหารในพื้นที่ชุมนุมย่านสุขุมวิท อโศก ราชประสงค์ สีลม ทองหล่อ สี่แยกปทุมวัน ล่าสุดพบว่าได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องโดยธุรกิจโรงแรมมีอัตราเข้าพักราว 10-20 % เท่านั้นหลังจากก่อนหน้านั้นมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 40 -50 % ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างหันมาใช้มาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งหลัก ๆ คือการลดค่าใช้จ่าย ให้ธุรกิจอยู่รอด หลังจากได้เคยจัดโปรโมชันขายห้องพัก ห้องอาหาร ในราคาพิเศษเพื่อกระตุ้นยอดขายไปแล้ว
ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด(มหาชน) หรือเซ็นเทล เผยว่า แม้โรงแรม 2 แห่งที่เป็นเจ้าของคือ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ขณะนี้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ราว 20-40% ส่วนโรงแรมที่รับบริหาร อย่าง โรงแรมเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยราว 10% เท่านั้นเนื่องจากตลาดไมซ์ มีการยกเลิกและเลื่อนการจัดงานออกไปเป็นจำนวนมาก ขณะที่โรงแรมในเครือต่างจังหวัดอัตราการเข้าพักยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ 80-90 %
ส่งผลให้สามารถลดค่าใช้จ่ายโดยโยกย้ายพนักงานที่ทำงานในโรงแรมพื้นที่ม็อบไปทำงานในโรงแรมต่างจังหวัด ที่ยังมียอดบุ๊กกิ้งสูง และต้องการพนักงานเพิ่มแทน ซึ่งพนักงานก็พึ่งพอใจ เนื่องจากได้ค่าเซอร์วิสชาร์จเพิ่ม นอกจากนี้ใช้มาตรการให้พนักงานที่ยังไม่ลาพักร้อนใช้สิทธิ์ในช่วงนี้ และพิจารณาหักค่าใช้จ่ายแก่พนักงานผู้ที่ใช้วันลาหยุดเกินกำหนดโดยจะเริ่มพิจารณาจากพนักงานที่มีตำแหน่งสูงก่อนรวมถึงการลดราคาอาหารเช่นมา 4 คนจ่ายเพียง 2 คน เป็นต้น ดร. รณชิตกล่าว
++ บีบหยุดงานไม่จ่ายเงินเดือน
ด้านแหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ ชุมนุม เผยว่า ในส่วนของโรงแรมที่ไม่มีเครือข่ายอยู่ต่างจังหวัด หรือมีเพียงแห่งเดียว ต่างกำลังเผชิญกับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขณะนี้หลายโรงแรมในย่านนั้น ต้องใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายและประหยัดอย่างเข้มข้น โดยนโยบายหลัก ๆ จะมีทั้งการปิดห้องพักบางชั้นที่ไม่มีลูกค้า ปิดห้องอาหารบางช่วง ลดปริมาณอาหาร หรือยกเลิกบริการบุฟเฟ่ต์ หันมาให้บริการสั่งอาหารตามเมนู ลดราคาขาย ตลอดจนถึงการให้ใช้วันพักร้อน การลดเงินเดือนด้วยการขอความร่วมมือให้หยุดงานโดยไม่จ่ายเงินเดือนหรือ (Leave without pay) ซึ่งมาตรการจะเข้มข้นขึ้นตามความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นและบางโรงแรมถึงขั้นปลดพนักงาน
เช่น โรงแรมแกรนด์ มิลเลนเนียม สุขุมวิท ใกล้แยกอโศกมีนโยบายเลิกจ้างพนักงานที่อยู่ในช่วงทดลองงาน 4 เดือน จำนวน 15 คน โดยให้เวลา 1 เดือนเพื่อหางานใหม่ ส่วนพนักงานที่ยังทำงานอยู่ก็ขอให้หยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือนเป็นเวลา 2-4 วันต่อเดือน ปิดห้องอาหารอเทลิเย่ บริการอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันและค่ำ และปิดห้องอาหารทาปาส อิ วีโน่ ช่วงกลางวัน เปิดเฉพาะมื้อค่ำเท่านั้น
++เรดิสัน บลู ยกเลิกเซอร์วิสชาร์จ
ส่วนโรงแรมโลตัส สุขุมวิท 33 ให้พนักงานหยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือน 1 วัน โฮเทลมิวส์ ลดเงินเดือนสำหรับฝ่ายบริหาร โรงแรม เรดิสัน บลู สุขุมวิท 27 ยกเลิกการจ่ายเงินการันตีเซอร์วิสชาร์จ จากเดิมที่ตกลงไว้เดือนละ 5-6 พันบาท ช่วงเปิดโรงแรมอย่างไม่เป็นทางการ โรงแรมคอนราด บังคับให้ใช้วันพักร้อนในเดือนมกราคม เช่นเดียวกับโรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท
ขณะที่โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ให้หยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือน 1 วัน โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ ให้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อน ในช่วงนี้ปรับปริมาณอาหาร บุฟเฟ่ต์ให้ลดลง เพื่อลดราคา และนำเบเกอรี่ มาวางด้านหน้าโรงแรม ส่วนห้องอาหารเดอะสแควร์ โรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ ลดค่าอาหาร 30% ช่วงวันหยุด และขอให้พนักงานสมัครใจหยุดโดยไม่รับเงินเดือน โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ขอให้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในช่วงนี้ และมีการปิดบาร์ ในกรณีไม่มียอดจอง เป็นต้น
"หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นผู้ประกอบการอาจต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้น และถึงขั้นปลดพนักงานโดยเฉพาะโรงแรมไม่มีเครือข่ายจะได้รับผลกระทบมาก และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ประกอบการจะได้รับการเยียวยา เหมือนเมื่อครั้งที่ที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์หรือไม่" แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย
++ ร้านอาหารยอดขายตก
ด้าน นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ธุรกิจห้องอาหาร ภัตตาคาร และร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ ในพื้นที่ที่มีการชุมนุมที่กระทบมากคือในย่านสุขุมวิท อโศก และทองหล่อ รวมแล้วที่เป็นสมาชิกของสมาคมรวมกว่า 3 หมื่นราย ยอดขายลดลงมากโดยร้านอาหารราคาแพงยอดขายลดลงเดือนละ 20% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
"ประเมินว่าผู้ประกอบสูญเสียรายได้โดยรวมวันละราว 50 ล้านบาท เดือนละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจในพื้นที่ต่างใช้มาตรการรัดเข็มขัด นอกจากชะลอการลงทุนใหม่ ๆ แล้ว ลดค่าใช้จ่ายและการพิจารณาปรับลดพนักงานในอนาคต หากการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อถึงเดือนมีนาคมนี้ แม้ว่าช่วงแรกที่ชุมนุมยอดขายร้านอาหารในพื้นที่ก็เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม แต่เมื่อยืดเยื้อนานขึ้น ผู้ชุมนุมไม่นิยมใช้บริการร้านอาหาร ส่วนลูกค้านก็เดินทางไม่ได้ จึงทำให้ยอดขายเริ่มตกลงอย่างต่อเนื่อง"
ส่วนนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ เผยว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในขณะนี้ คือ ธุรกิจโรงแรม เนื่องจากมียอดการเข้าพักเหลือเพียง 20% จาก 4 พันห้อง ขายได้ 800 ห้องเท่านั้น ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยในย่านราชประสงค์ลดลงเหลือวันละ 150 ล้านบาท จากปกติราว 300 ล้านบาท หรือ 50 % ขณะที่ร้านอาหารย่านราชประสงค์ ยอดขายลดลงเหลือ 40 % ซึ่งทางสมาคมจะเรียกสมาชิกภายในย่านนี้เข้ามาหารือ เพื่อหามาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,922 วันที่ 13 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4874
'มือถือ' ดึงสารพัดกลยุทธ์ ฟื้นกำลังซื้อ-ปัดฝุ่นสต็อกรอรับรุ่นใหม่
'โมบาย เอ็กซ์โป' เคลียร์สต็อกรอรับมือถือรุ่นใหม่ พร้อมวัดดวงกำลังซื้อท่ามกลางวิกฤติการเมือง ลุ้นฟื้นอนาคตยอดขายมือถือไทย
หากเทียบกับสถานการณ์บ้านเมืองในยามปกติ เวลานี้วงการมือถือไทยควรจะเป็นช่วงเก็บดอกเก็บผลอย่างเต็มที่หลังไทยมี 3จีใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ และตัวเครื่องรุ่นใหม่ๆ ทั้งสมาร์ทโฟนและแทบเล็ตจากแบรนด์ต่างๆ ที่หวังใช้ไทยเป็นตลาดสำคัญเพื่อสร้างยอดขาย แต่เมื่อแผนไม่เป็นไปตามคาดธุรกิจที่ยังต้องเดินหน้าต่อก็ต้องปรับตัวตามระเบียบ
นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด ผู้จัดงาน ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป กล่าวว่า ตลาดมือถือช่วงนี้ถือว่ายังนิ่งต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพราะหลายแบรนด์ที่เคยทำยอดขายได้สูงๆ ก็จะร่วงหนักเฉลี่ย 30% ขึ้นไป
ส่วนบางแบรนด์ที่ในสถานการณ์ปกติยอดขายไม่มากอยู่แล้วก็จะกระทบน้อย แต่ก็ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ยอดขายเพิ่มอยู่บ้าง เช่น แอลจี เลอโนโว และเอเซอร์ จากสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่นำมาเปิดตัวตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับงานโมบาย เอ็กซ์โปที่ครั้งนี้จัดระหว่างวันที่ 13-16 ก.พ. ชัดเจนว่า เป็นจังหวะที่ทุกแบรนด์จะเคลียร์สต็อกมือถือรุ่นเดิมเพื่อรอรับรุ่นใหม่ที่จะเริ่มทยอยเข้ามาหลังงานโมบาย เวิลด์ คองเกรส ที่สเปน ช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้ ทำให้คาดว่าภายในงานจะเห็นผู้ค้ามือถือส่งโปรโมชั่นออกมาเรียกลูกค้ากันดุเดือด
โดยจากการตอบรับเข้าร่วมงานของผู้ค้ามือถือทุกราย รวมทั้งกลุ่มผู้ค้าจากฟากไอทีทั้งระดับดิสทริบิวเตอร์ และดีลเลอร์ ก็เข้ามาร่วมออกบูธในงานครั้งนี้เพิ่มจากเดิมถึง 30% เช่น อีซีเอส, บานาน่า ไอที, ไอที ซิตี้ หรือแม้แต่โมเดิร์น เทรด เช่น บิ๊กซี ที่ก็นำมือถือของแบรนด์ต่างๆ มาเปิดบูธขายในงานด้วย
แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องวัดดวงว่า การจัดงานในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองเอาแน่เอานอนไม่ได้ ซ้ำยังเป็นช่วงวัดหยุดยาวติดต่อกันจะส่งผลต่อบรรยากาศการซื้อขายภายในงานหรือไม่
"ยังต้องลุ้นอยู่ว่าคนจะมีอารมณ์มาเดิน มาซื้อมือถือในงานหรือไม่ แต่เราก็ยังเชื่อว่าด้วยเวลาของงานที่เพิ่งผ่านวัดหยุดยาวช่วงปีใหม่ที่คนส่วนใหญ่ออกไปเที่ยวกันมาแล้ว และการเมืองที่ผ่านวันเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 2 ก.พ.มาแล้ว แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่า โมบาย เอ็กซ์โปครั้งนี้ยังจัดได้ และยังเป็นจังหวะดีก่อนที่จะมีของใหม่จากงานโมบาย เวิลด์ ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของมือถือรุ่นเก่าลดลงไป" นายโอภาสกล่าว
พร้อมกับคาดว่า งานครั้งนี้จะสามารถรักษายอดขายภายในงานได้อย่างน้อยใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือราว 1,300-1,500 ล้านบาท
ค่ายเกาหลีส่งนวัตกรรมประชัน
ทั้งนี้ ตลาดมือถือช่วงต้นปี ไฮไลต์สำคัญยังคงอยู่ที่แบรนด์ใหญ่จากโซนเอเชียที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นกระแสในตลาดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาเข้ามาวางจำหน่าย
นำโดย "แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด" เตรียมเปิดให้จอง "แอลจี จี เฟล็กซ์ (G Flex)" สมาร์ทโฟนจอโค้งเครื่องแรกของโลก ที่มีจุดขายด้วยดีไซน์ที่สอดรับกับสรีระมนุษย์ทั้งการมองเห็น การได้ยิน และการถือ พร้อมแบตเตอรี่ทรงโค้งความจุ 3,500 มิลลิแอมป์ และฝาหลังที่รักษารอยขีดข่วนได้ด้วยตัวเอง สัมผัสเครื่องจริงและจองเครื่องในราคา 24,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมรับเคสนำเข้าจากเกาหลีและฟิล์มกันรอย
พร้อมกันนี้แอลจียังเปิดจอง "แอลจี จี3 โกลด์" สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สำหรับผู้ที่ชอบความหรูหรา เปิดจองสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น ผ่านบูธแอลจี บาย สตูดิโอโฟน, เจมาร์ท และทีจี โฟน
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นให้เลือกผ่อนชำระ 0% นาน 12 เดือนผ่านธนาคาร และแถมเคสนำเข้าจากเกาหลีและฟิล์มกันรอยสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการ
ด้าน "ซัมซุง อิเล็คโทรนิกส์" ก็ส่งไฮไลต์เป็นการโชว์นวัตกรรม "เอ็นเอฟซี หรือ Near Field Communication" เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้มีไลฟ์สไตล์ที่คล่องตัวมากขึ้น เช่นที่กำลังเป็นกระแสในตลาดโลกคือ การใช้เอ็นเอฟซีบนมือถือเพื่อให้สมาร์ทโฟนชำระค่าบริการต่างๆ ได้
รวมทั้งนำสมาร์ทโฟนรุ่นไฮไลต์ทั้ง “กาแล็คซี่ แกรนด์ 2” และ“กาแลคซี่ โน้ต 3" รุ่นรองรับ 4จี แอลทีอี เจาะกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ขึ้น
แอดไวซ์-ไอทีซิตี้ลดสูงสุด 90%
ฟาก "แอดไวซ์" ตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอทีและสมาร์ทโฟนรายใหญ่ จัดโปรโมชั่นลดราคาสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมสูงสุด 90% เช่น โซนี่ เอ็กซ์พีเรีย แอล แบล็ค จาก 6,990 เหลือ 3,990 บาท, เลอโนโว เอส820 จาก 7,500 เหลือ 3,750 บาท หรือแทบเล็ต เลอโนโว ไอเดียแท็บ เอ3000 ราคา 6,390 บาท แถมสมาร์ทโฟนเลอโนโว เอ269ไอ มูลค่า 2,190 บาท
ทั้งยังมีโปรโมชั่นของแถมสำหรับสมาร์ทโฟน ไฮเอ็นด์ เช่น ซื้อเครื่องแถมเพาเวอร์ แบงก์ สำหรับกาแล็คซี่ โน้ต3, เอ็กซ์พีเรีย แซด1, ลูเมีย 1020 และวัน แม็กซ์
รวมทั้งสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เสริมราคาพิเศษ เช่น เพาเวอร์ แบงก์ 10,000 มิลลิแอมป์จากโซนี่ ที่นำมาลดราคาจาก 2,700 เหลือ 1,395 บาท และเลือกผ่อนสินค้า 0% กับธนาคาร 6 แห่งที่ร่วมรายการ
นอกจากนี้ผู้ซื้อสินค้าในงานสามารถนำเลขที่ใบเสร็จสมาร์ทโฟนหรือแทบแล็ตที่บูธแอดไวซ์ลงทะเบียนร่วมลุ้นรางวัลกับกิจกรรม “แอดไวซ์เบนซ์หล่นทับ รับโชคจากสมาร์ทโฟน” ผ่านเว็บไซต์แอดไวซ์ เพื่อลุ้นรับรางวัลสูงสุดรถเบนซ์ ซี คลาส หรือแพ็คเกจเที่ยวเกาหลี และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สคูปปี้ไอ รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท
ขณะที่รายงานข่าวจากบมจ.ไอที ซิตี้ เผยว่า ไอที ซิตี้ได้นำสินค้าประเภทโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสมาร์ทโฟน รุ่นล่าสุดจากแบรนด์ดังทุกค่าย ไม่ว่าจะเป็นแอ๊ปเปิ้ล, ซัมซุง, โนเกีย, ไอ โมบาย, อ๊อปโป้, เลอโนโว แอลจี และเชอรี่ โมบาย จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ เช่น เชอรี่ เรเซอร์ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ 4.2 ขนาดจอ 4.5 นิ้ว กล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ลดเหลือ 3,999 บาท รวมทั้งของแถม และกิจกรรมสำหรับผู้ซื้อภายในงาน
โอเปอเรเตอร์ร่วมด้วย
ในฝั่งผู้ให้บริการระบบ หรือโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายใหญ่ก็ส่งโปรโมชั่นมาประชันกันดุเดือดเพื่อดึงลูกค้า เช่น เอไอเอส 3จี 2100 ที่ลดราคาไอโฟนเหลือไม่ถึงหมื่นบาท พร้อมแพ็คเกจและโปรสุดว๊าวให้ลูกค้า หรือลดราคาไอโฟน 4เอส 8 กิกะไบต์ เหลือ 9,500 บาท เมื่อซื้อพร้อมแพ็คเกจไอโฟน เอ็กซ์แอล 670 บาท 5 เดือน
รวมทั้งโปรโมชั่น ไอโฟน 5ซี ใช้ฟรีแพ็คเกจ เอ็กซ์แอล 5 เดือน พร้อมฟรีเพาเวอร์ แบงก์
ทั้งนี้ยังรวมถึงความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการระบบและแบรนด์มือถือ เพื่อร่วมกันผลักดันตลาด เช่น การประกาศตัวเป็นพาร์ทเนอร์กันอย่างเป็นทางการระหว่าง "เลอโนโว" และ "ค่ายทรู" พร้อมกับส่งสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นที่กวาดรางวัลในเวทีโลกมาแล้วอย่าง "เลอโนโว ไวบ์ ซี" และ "ไวบ์ เอ็กซ์" พ่วงด้วยแพ็คเกจซื้อเครื่องพร้อมส่วนลด 50% มาช่วยกระตุ้นความสนใจให้ตลาดมือถืออีกครั้ง
'โมบาย เอ็กซ์โป' เคลียร์สต็อกรอรับมือถือรุ่นใหม่ พร้อมวัดดวงกำลังซื้อท่ามกลางวิกฤติการเมือง ลุ้นฟื้นอนาคตยอดขายมือถือไทย
หากเทียบกับสถานการณ์บ้านเมืองในยามปกติ เวลานี้วงการมือถือไทยควรจะเป็นช่วงเก็บดอกเก็บผลอย่างเต็มที่หลังไทยมี 3จีใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ และตัวเครื่องรุ่นใหม่ๆ ทั้งสมาร์ทโฟนและแทบเล็ตจากแบรนด์ต่างๆ ที่หวังใช้ไทยเป็นตลาดสำคัญเพื่อสร้างยอดขาย แต่เมื่อแผนไม่เป็นไปตามคาดธุรกิจที่ยังต้องเดินหน้าต่อก็ต้องปรับตัวตามระเบียบ
นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด ผู้จัดงาน ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป กล่าวว่า ตลาดมือถือช่วงนี้ถือว่ายังนิ่งต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพราะหลายแบรนด์ที่เคยทำยอดขายได้สูงๆ ก็จะร่วงหนักเฉลี่ย 30% ขึ้นไป
ส่วนบางแบรนด์ที่ในสถานการณ์ปกติยอดขายไม่มากอยู่แล้วก็จะกระทบน้อย แต่ก็ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ยอดขายเพิ่มอยู่บ้าง เช่น แอลจี เลอโนโว และเอเซอร์ จากสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่นำมาเปิดตัวตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับงานโมบาย เอ็กซ์โปที่ครั้งนี้จัดระหว่างวันที่ 13-16 ก.พ. ชัดเจนว่า เป็นจังหวะที่ทุกแบรนด์จะเคลียร์สต็อกมือถือรุ่นเดิมเพื่อรอรับรุ่นใหม่ที่จะเริ่มทยอยเข้ามาหลังงานโมบาย เวิลด์ คองเกรส ที่สเปน ช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้ ทำให้คาดว่าภายในงานจะเห็นผู้ค้ามือถือส่งโปรโมชั่นออกมาเรียกลูกค้ากันดุเดือด
โดยจากการตอบรับเข้าร่วมงานของผู้ค้ามือถือทุกราย รวมทั้งกลุ่มผู้ค้าจากฟากไอทีทั้งระดับดิสทริบิวเตอร์ และดีลเลอร์ ก็เข้ามาร่วมออกบูธในงานครั้งนี้เพิ่มจากเดิมถึง 30% เช่น อีซีเอส, บานาน่า ไอที, ไอที ซิตี้ หรือแม้แต่โมเดิร์น เทรด เช่น บิ๊กซี ที่ก็นำมือถือของแบรนด์ต่างๆ มาเปิดบูธขายในงานด้วย
แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องวัดดวงว่า การจัดงานในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองเอาแน่เอานอนไม่ได้ ซ้ำยังเป็นช่วงวัดหยุดยาวติดต่อกันจะส่งผลต่อบรรยากาศการซื้อขายภายในงานหรือไม่
"ยังต้องลุ้นอยู่ว่าคนจะมีอารมณ์มาเดิน มาซื้อมือถือในงานหรือไม่ แต่เราก็ยังเชื่อว่าด้วยเวลาของงานที่เพิ่งผ่านวัดหยุดยาวช่วงปีใหม่ที่คนส่วนใหญ่ออกไปเที่ยวกันมาแล้ว และการเมืองที่ผ่านวันเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 2 ก.พ.มาแล้ว แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่า โมบาย เอ็กซ์โปครั้งนี้ยังจัดได้ และยังเป็นจังหวะดีก่อนที่จะมีของใหม่จากงานโมบาย เวิลด์ ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของมือถือรุ่นเก่าลดลงไป" นายโอภาสกล่าว
พร้อมกับคาดว่า งานครั้งนี้จะสามารถรักษายอดขายภายในงานได้อย่างน้อยใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือราว 1,300-1,500 ล้านบาท
ค่ายเกาหลีส่งนวัตกรรมประชัน
ทั้งนี้ ตลาดมือถือช่วงต้นปี ไฮไลต์สำคัญยังคงอยู่ที่แบรนด์ใหญ่จากโซนเอเชียที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นกระแสในตลาดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาเข้ามาวางจำหน่าย
นำโดย "แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด" เตรียมเปิดให้จอง "แอลจี จี เฟล็กซ์ (G Flex)" สมาร์ทโฟนจอโค้งเครื่องแรกของโลก ที่มีจุดขายด้วยดีไซน์ที่สอดรับกับสรีระมนุษย์ทั้งการมองเห็น การได้ยิน และการถือ พร้อมแบตเตอรี่ทรงโค้งความจุ 3,500 มิลลิแอมป์ และฝาหลังที่รักษารอยขีดข่วนได้ด้วยตัวเอง สัมผัสเครื่องจริงและจองเครื่องในราคา 24,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมรับเคสนำเข้าจากเกาหลีและฟิล์มกันรอย
พร้อมกันนี้แอลจียังเปิดจอง "แอลจี จี3 โกลด์" สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สำหรับผู้ที่ชอบความหรูหรา เปิดจองสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น ผ่านบูธแอลจี บาย สตูดิโอโฟน, เจมาร์ท และทีจี โฟน
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นให้เลือกผ่อนชำระ 0% นาน 12 เดือนผ่านธนาคาร และแถมเคสนำเข้าจากเกาหลีและฟิล์มกันรอยสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการ
ด้าน "ซัมซุง อิเล็คโทรนิกส์" ก็ส่งไฮไลต์เป็นการโชว์นวัตกรรม "เอ็นเอฟซี หรือ Near Field Communication" เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้มีไลฟ์สไตล์ที่คล่องตัวมากขึ้น เช่นที่กำลังเป็นกระแสในตลาดโลกคือ การใช้เอ็นเอฟซีบนมือถือเพื่อให้สมาร์ทโฟนชำระค่าบริการต่างๆ ได้
รวมทั้งนำสมาร์ทโฟนรุ่นไฮไลต์ทั้ง “กาแล็คซี่ แกรนด์ 2” และ“กาแลคซี่ โน้ต 3" รุ่นรองรับ 4จี แอลทีอี เจาะกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ขึ้น
แอดไวซ์-ไอทีซิตี้ลดสูงสุด 90%
ฟาก "แอดไวซ์" ตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอทีและสมาร์ทโฟนรายใหญ่ จัดโปรโมชั่นลดราคาสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมสูงสุด 90% เช่น โซนี่ เอ็กซ์พีเรีย แอล แบล็ค จาก 6,990 เหลือ 3,990 บาท, เลอโนโว เอส820 จาก 7,500 เหลือ 3,750 บาท หรือแทบเล็ต เลอโนโว ไอเดียแท็บ เอ3000 ราคา 6,390 บาท แถมสมาร์ทโฟนเลอโนโว เอ269ไอ มูลค่า 2,190 บาท
ทั้งยังมีโปรโมชั่นของแถมสำหรับสมาร์ทโฟน ไฮเอ็นด์ เช่น ซื้อเครื่องแถมเพาเวอร์ แบงก์ สำหรับกาแล็คซี่ โน้ต3, เอ็กซ์พีเรีย แซด1, ลูเมีย 1020 และวัน แม็กซ์
รวมทั้งสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เสริมราคาพิเศษ เช่น เพาเวอร์ แบงก์ 10,000 มิลลิแอมป์จากโซนี่ ที่นำมาลดราคาจาก 2,700 เหลือ 1,395 บาท และเลือกผ่อนสินค้า 0% กับธนาคาร 6 แห่งที่ร่วมรายการ
นอกจากนี้ผู้ซื้อสินค้าในงานสามารถนำเลขที่ใบเสร็จสมาร์ทโฟนหรือแทบแล็ตที่บูธแอดไวซ์ลงทะเบียนร่วมลุ้นรางวัลกับกิจกรรม “แอดไวซ์เบนซ์หล่นทับ รับโชคจากสมาร์ทโฟน” ผ่านเว็บไซต์แอดไวซ์ เพื่อลุ้นรับรางวัลสูงสุดรถเบนซ์ ซี คลาส หรือแพ็คเกจเที่ยวเกาหลี และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สคูปปี้ไอ รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท
ขณะที่รายงานข่าวจากบมจ.ไอที ซิตี้ เผยว่า ไอที ซิตี้ได้นำสินค้าประเภทโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสมาร์ทโฟน รุ่นล่าสุดจากแบรนด์ดังทุกค่าย ไม่ว่าจะเป็นแอ๊ปเปิ้ล, ซัมซุง, โนเกีย, ไอ โมบาย, อ๊อปโป้, เลอโนโว แอลจี และเชอรี่ โมบาย จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ เช่น เชอรี่ เรเซอร์ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ 4.2 ขนาดจอ 4.5 นิ้ว กล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ลดเหลือ 3,999 บาท รวมทั้งของแถม และกิจกรรมสำหรับผู้ซื้อภายในงาน
โอเปอเรเตอร์ร่วมด้วย
ในฝั่งผู้ให้บริการระบบ หรือโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายใหญ่ก็ส่งโปรโมชั่นมาประชันกันดุเดือดเพื่อดึงลูกค้า เช่น เอไอเอส 3จี 2100 ที่ลดราคาไอโฟนเหลือไม่ถึงหมื่นบาท พร้อมแพ็คเกจและโปรสุดว๊าวให้ลูกค้า หรือลดราคาไอโฟน 4เอส 8 กิกะไบต์ เหลือ 9,500 บาท เมื่อซื้อพร้อมแพ็คเกจไอโฟน เอ็กซ์แอล 670 บาท 5 เดือน
รวมทั้งโปรโมชั่น ไอโฟน 5ซี ใช้ฟรีแพ็คเกจ เอ็กซ์แอล 5 เดือน พร้อมฟรีเพาเวอร์ แบงก์
ทั้งนี้ยังรวมถึงความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการระบบและแบรนด์มือถือ เพื่อร่วมกันผลักดันตลาด เช่น การประกาศตัวเป็นพาร์ทเนอร์กันอย่างเป็นทางการระหว่าง "เลอโนโว" และ "ค่ายทรู" พร้อมกับส่งสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นที่กวาดรางวัลในเวทีโลกมาแล้วอย่าง "เลอโนโว ไวบ์ ซี" และ "ไวบ์ เอ็กซ์" พ่วงด้วยแพ็คเกจซื้อเครื่องพร้อมส่วนลด 50% มาช่วยกระตุ้นความสนใจให้ตลาดมือถืออีกครั้ง
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4875
เอาบทความดีๆมาฝากครับ เครดิตจาก Mind investing blog
ของน้องหมอก๊อบ ที่คุ้นเคยกันดีครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราทุกคนครับ
ของน้องหมอก๊อบ ที่คุ้นเคยกันดีครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราทุกคนครับ
นักลงทุนที่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้น หลายคนมีเงินลงทุนตั้งต้นแค่หลักหมื่นหลักแสน มองดูแล้วหนทางสู่อิสระภาพทางการเงินช่างดูไกลแสนไกล หลายคนอยากจะมีเงินลงทุนเริ่มต้นในระดับสิบล้านหรือร้อยล้านบาท บางคนตัดพ้อกับโชคชะตา...ทำไมชีวิตเราถึงไม่ได้เกิดมามีเงินเยอะจะได้เป็นรายใหญ่ตั้งแต่ต้น
แต่หนทางการอยู่รอดในตลาดหุ้นระยะยาวนั้นไม่ง่าย การมีเงินเริ่มลงทุนมากแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับการหาความรู้ หาประสบการณ์ และพัฒนาทักษะในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
เพราะคนที่เอาเงินมาลงทุนจำนวนมากโดยที่ไม่ได้มีความรู้และความสามารถในการลงทุน เงินเยอะขนาดไหน..สิบล้านร้อยล้านอาจจะไม่เหลือกลับไป
ต่างกับคนที่เริ่มต้นด้วยพอร์ตการลงทุนหลักหมื่นหลักแสนที่หาความรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง พอร์ตจะเติบโตขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นการเติบโตที่มั่นคง เพราะพวกเขามีความสามารถที่จะรักษาเงินต้นและทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นไปได้ นอกจากนั้นพวกเขายังนำเงินที่ได้จากการออมมาลงทุนทำให้พอร์ตยิ่งเติบโตเร็วขึ้น
ระหว่างที่พอร์ตขนาดเล็กกำลังเติบโตขึ้น นักลงทุนจะได้เรียนรู้ในระหว่างทางที่กำลังก้าวไป ได้เรียนรู้การรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ได้เรียนรู้สภาวะตลาดในแต่ละช่วง ฝึกจิตใจที่จะรับมือกับความผันผวนในการลงทุนและการบริหารพอร์ตตั้งแต่เงินหลักแสน หลักล้าน หลักสิบล้าน หลักร้อยล้าน...
ดังนั้นอย่าเสียใจที่เริ่มต้นด้วยพอร์ตขนาดเล็ก ประสบการณ์ระหว่างทางมีค่ามากมายนัก พอร์ตขขนาดเล็กสามารถกลายเป็นพอร์ตขนาดใหญ่ได้ถ้าเราไม่หยุดพัฒนาตนเองให้เป็นนักลงทุนที่มีความสามารถครับ
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4876
ขออนุญาติแปะบทความใหม่จากบลอกของผมนะคับ ไม่ได้อัพเดตนานนนนนนมาแล้ว
http://reitertvi.wordpress.com/2014/02/ ... %B8%9A-vi/
การวิ่งกับการลงทุนแบบ VI
ผมเริ่มวิ่งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณหกเดือนก่อน หลังจากความพยายามจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องล้มเหลวติดกันมาหลายรอบ ผมเพิ่งจะสังเกตได้ว่าการอดทนวิ่ง (หรือการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ) นั้นคล้ายกับการลงทุนอย่างมุ่งเน้นคุณค่าอยู่หลายประการ
ประการแรกเลยคือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ที่รักสบาย และไม่อดทนเพียงพอต่อการกระทำที่จะส่งผลดีในระยะยาว ทุกคนทราบดีว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันโรคเรื้อรังและทำให้อายุขัยโดยเฉลี่ยยาวขึ้น แต่คนที่สามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องกลับมีไม่มาก การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ทุกคนทราบดีกว่าการลงทุนในแนวนี้แทบจะการันตีความ”มั่งคั่ง”ในระยะยาว มีตัวอย่างของความสำเร็จให้เห็นมากมายทั้งระดับโลก หรือตัวอย่างในประเทศ เช่น อ.นิเวศน์ของเรา แต่ถึงกระนั้น นักลงทุนในตลาดส่วนมากกลับไม่สามารถจะยึดหลักการการลงทุนแบบนี้ไว้ได้ เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องการอะไรที่เห็นผลไว การลงทุนในหุ้นชั้นยอดจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่เหมือนกับการเก็งกำไรที่เห็นผลเร็วในหลักวัน หรือแม้กระทั่งหลัก”นาที”
ประการที่สอง ผมยิ่งเห็นด้วยกับบทความ practice make permanent ของ อ.นิเวศน์ การอดทนวิ่ง หรือการอดทนลงทุนตามหลักการวีไออย่างเคร่งครัดนั้น เป็นเรื่องที่ทำยากในระยะแรก ผมจำได้ว่าช่วงเดือนแรกที่ผมเริ่มวิ่ง ผมมีเหตุผลมากมายที่จะ “excuse” ตัวเองจากการวิ่งในวันนั้นๆ บางทีผมก็โทษว่าอากาศหนาวไป หรือร้อนไป บางทีผมก็อ้างกับตัวเองว่าวันนี้มีงานวิชาการที่คั่งค้างที่ต้องสะสางให้เสร็จ แต่ผมจากที่ผมเริ่มกัดฟันวิ่งไปได้ประมาณสามเดือน ผมก็เริ่มมีข้ออ้างให้ตัวเองน้อยลง และการเป็นความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หรือออกจะไม่สดชื่นไปแทน หากวันไหนไม่ได้ออกไปวิ่ง การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของผมก็เช่นเดียวกัน ช่วงปีแรกที่ผมเริ่มยึดถือการลงทุนแนวนี้ ก็มีอยู่หลายวาระและโอกาส ที่ผมแอบละเมิดกฎเกณฑ์ของตัวเองไปเล่นเก็งกำไรระยะสั้น หรือเล่นตามข่าวที่เพื่อนนักลงทุนรอบตัวบอกว่ามาจาก”วงใน” แต่พอเข้าถึงช่วงปีที่สองที่สาม ผลจากการ “practice” อย่างต่อเนื่องก็ทำให้สไตล์การลงทุนของผมเริ่ม “permanent” ผมกลับมีความรุ้สึกไม่มั่นใจที่จะเก็งกำไร ด้วยความรู้สึกที่ว่า “ไม่อยากขาดทุน” แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ประการที่สาม ผมรู้สึกว่าอุปนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งมักจะนำไปสู่อุปนิสัยที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ผมเริ่มวิ่งมาผมรู้สึกว่าอุปนิสัยในการทานอาหารของตัวเองดีขึ้นไปด้วย ผมทานอาหารในปริมาณที่ลดลงเพราะผม”เสียดาย”แคลอรี่ จากการวิ่ง ผมมักจะคิดเสมอๆว่า ถ้าเรากินเฟรนช์ฟรายจานนี้ หรือเค้กชิ้นนี้เข้าไป ที่เราอุตส่าห์วิ่งมาเมื่อตะกี้ ก็จะมีค่าเป็นศูนย์ อุปนิสัยการมองที่คุณค่าในการเลือกซื้อหุ้น ก้นำมาสู่อุปนิสัยการมองที่คุณค่าในการชื้อของในชีวิตจริง และทำให้อุปนิสัยในการจับจ่ายซื้อสิ่งของของผมเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง (จริงๆข้อนี้ ผมไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไร เพราะผมติดนิสัยประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ แต่จะกลายเป็นว่าผมกล้าใช้จ่ายมากขึ้นถ้าเห็นว่า intrinsic value ของสิ่งที่ผมจะซื้อนั้นสูงกว่าราคาที่ผมจะจ่าย)
ประการสุดท้ายคือความมหัศจรรย์ของการ”ทบต้น” ในโลกของวีไอเราทราบดีว่า”เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน” เพราะหากเรามีหลักการลงทุนที่แทบจะไม่มีโอกาส “ขาดทุนแบบถาวร” ถึงแม้เราเราจะกำไรปีละไม่มาก แต่ด้วยพลังของการทบต้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีในที่สุดกำไรเล็กน้อยก็จะแปรสภาพเป็นความมั่งคั่งให้เรา ข้อนี้อาจจะไม่เหมือนการวิ่งซะเลยทีเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าการวิ่งอย่างต่อเนื่องทำให้สมรรถภาพของกล้ามเนื้อ ปอด และหัวใจของผมดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมวิ่งได้เร็วขึ้น นานขึ้น โดยทีรู้สึกเหนื่อย/ทรมานลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
http://reitertvi.wordpress.com/2014/02/ ... %B8%9A-vi/
การวิ่งกับการลงทุนแบบ VI
ผมเริ่มวิ่งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณหกเดือนก่อน หลังจากความพยายามจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องล้มเหลวติดกันมาหลายรอบ ผมเพิ่งจะสังเกตได้ว่าการอดทนวิ่ง (หรือการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ) นั้นคล้ายกับการลงทุนอย่างมุ่งเน้นคุณค่าอยู่หลายประการ
ประการแรกเลยคือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ที่รักสบาย และไม่อดทนเพียงพอต่อการกระทำที่จะส่งผลดีในระยะยาว ทุกคนทราบดีว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันโรคเรื้อรังและทำให้อายุขัยโดยเฉลี่ยยาวขึ้น แต่คนที่สามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องกลับมีไม่มาก การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ทุกคนทราบดีกว่าการลงทุนในแนวนี้แทบจะการันตีความ”มั่งคั่ง”ในระยะยาว มีตัวอย่างของความสำเร็จให้เห็นมากมายทั้งระดับโลก หรือตัวอย่างในประเทศ เช่น อ.นิเวศน์ของเรา แต่ถึงกระนั้น นักลงทุนในตลาดส่วนมากกลับไม่สามารถจะยึดหลักการการลงทุนแบบนี้ไว้ได้ เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องการอะไรที่เห็นผลไว การลงทุนในหุ้นชั้นยอดจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่เหมือนกับการเก็งกำไรที่เห็นผลเร็วในหลักวัน หรือแม้กระทั่งหลัก”นาที”
ประการที่สอง ผมยิ่งเห็นด้วยกับบทความ practice make permanent ของ อ.นิเวศน์ การอดทนวิ่ง หรือการอดทนลงทุนตามหลักการวีไออย่างเคร่งครัดนั้น เป็นเรื่องที่ทำยากในระยะแรก ผมจำได้ว่าช่วงเดือนแรกที่ผมเริ่มวิ่ง ผมมีเหตุผลมากมายที่จะ “excuse” ตัวเองจากการวิ่งในวันนั้นๆ บางทีผมก็โทษว่าอากาศหนาวไป หรือร้อนไป บางทีผมก็อ้างกับตัวเองว่าวันนี้มีงานวิชาการที่คั่งค้างที่ต้องสะสางให้เสร็จ แต่ผมจากที่ผมเริ่มกัดฟันวิ่งไปได้ประมาณสามเดือน ผมก็เริ่มมีข้ออ้างให้ตัวเองน้อยลง และการเป็นความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หรือออกจะไม่สดชื่นไปแทน หากวันไหนไม่ได้ออกไปวิ่ง การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของผมก็เช่นเดียวกัน ช่วงปีแรกที่ผมเริ่มยึดถือการลงทุนแนวนี้ ก็มีอยู่หลายวาระและโอกาส ที่ผมแอบละเมิดกฎเกณฑ์ของตัวเองไปเล่นเก็งกำไรระยะสั้น หรือเล่นตามข่าวที่เพื่อนนักลงทุนรอบตัวบอกว่ามาจาก”วงใน” แต่พอเข้าถึงช่วงปีที่สองที่สาม ผลจากการ “practice” อย่างต่อเนื่องก็ทำให้สไตล์การลงทุนของผมเริ่ม “permanent” ผมกลับมีความรุ้สึกไม่มั่นใจที่จะเก็งกำไร ด้วยความรู้สึกที่ว่า “ไม่อยากขาดทุน” แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ประการที่สาม ผมรู้สึกว่าอุปนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งมักจะนำไปสู่อุปนิสัยที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ผมเริ่มวิ่งมาผมรู้สึกว่าอุปนิสัยในการทานอาหารของตัวเองดีขึ้นไปด้วย ผมทานอาหารในปริมาณที่ลดลงเพราะผม”เสียดาย”แคลอรี่ จากการวิ่ง ผมมักจะคิดเสมอๆว่า ถ้าเรากินเฟรนช์ฟรายจานนี้ หรือเค้กชิ้นนี้เข้าไป ที่เราอุตส่าห์วิ่งมาเมื่อตะกี้ ก็จะมีค่าเป็นศูนย์ อุปนิสัยการมองที่คุณค่าในการเลือกซื้อหุ้น ก้นำมาสู่อุปนิสัยการมองที่คุณค่าในการชื้อของในชีวิตจริง และทำให้อุปนิสัยในการจับจ่ายซื้อสิ่งของของผมเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง (จริงๆข้อนี้ ผมไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไร เพราะผมติดนิสัยประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ แต่จะกลายเป็นว่าผมกล้าใช้จ่ายมากขึ้นถ้าเห็นว่า intrinsic value ของสิ่งที่ผมจะซื้อนั้นสูงกว่าราคาที่ผมจะจ่าย)
ประการสุดท้ายคือความมหัศจรรย์ของการ”ทบต้น” ในโลกของวีไอเราทราบดีว่า”เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน” เพราะหากเรามีหลักการลงทุนที่แทบจะไม่มีโอกาส “ขาดทุนแบบถาวร” ถึงแม้เราเราจะกำไรปีละไม่มาก แต่ด้วยพลังของการทบต้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีในที่สุดกำไรเล็กน้อยก็จะแปรสภาพเป็นความมั่งคั่งให้เรา ข้อนี้อาจจะไม่เหมือนการวิ่งซะเลยทีเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าการวิ่งอย่างต่อเนื่องทำให้สมรรถภาพของกล้ามเนื้อ ปอด และหัวใจของผมดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมวิ่งได้เร็วขึ้น นานขึ้น โดยทีรู้สึกเหนื่อย/ทรมานลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4877
ผมก็เป็นคล้ายๆ คุณหมอ reiter ครับ คือเหมือนร่างกายไม่มีแรง เหนื่อยง่าย เวลานอนหลับไม่ค่อยสนิท หรือ เหมือนนอนไม่เพียงพอ ทั้งที่นอนมากกว่า 6 ชั่วโมง (แต่ว่าผมวิ่งไม่บ่อย ประมาณ 2-3 วัน/อาทิตย์ ยังสั่งใจตัวเองไม่ได้ดีเท่าที่ควร )reiter เขียน:
การวิ่งกับการลงทุนแบบ VI
ประการที่สอง แต่ผมจากที่ผมเริ่มกัดฟันวิ่งไปได้ประมาณสามเดือน ผมก็เริ่มมีข้ออ้างให้ตัวเองน้อยลง และการเป็นความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หรือออกจะไม่สดชื่นไปแทน หากวันไหนไม่ได้ออกไปวิ่ง
ส่วนเรื่องลงทุน ในแนว VI ยังต้องฝึกและปฏิบัติตามอีกเยอะครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4878
ดีใจที่หมอแป๊ะกลับมา update ความรู้การลงทุนอีกครั้งครับ มาได้เรื่อยๆเลยนะครับ แฟนๆรออยู่reiter เขียน:ขออนุญาติแปะบทความใหม่จากบลอกของผมนะคับ ไม่ได้อัพเดตนานนนนนนมาแล้ว
http://reitertvi.wordpress.com/2014/02/ ... %B8%9A-vi/
การวิ่งกับการลงทุนแบบ VI
ผมเริ่มวิ่งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณหกเดือนก่อน หลังจากความพยายามจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องล้มเหลวติดกันมาหลายรอบ ผมเพิ่งจะสังเกตได้ว่าการอดทนวิ่ง (หรือการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ) นั้นคล้ายกับการลงทุนอย่างมุ่งเน้นคุณค่าอยู่หลายประการ
ประการแรกเลยคือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ที่รักสบาย และไม่อดทนเพียงพอต่อการกระทำที่จะส่งผลดีในระยะยาว ทุกคนทราบดีว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันโรคเรื้อรังและทำให้อายุขัยโดยเฉลี่ยยาวขึ้น แต่คนที่สามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องกลับมีไม่มาก การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ทุกคนทราบดีกว่าการลงทุนในแนวนี้แทบจะการันตีความ”มั่งคั่ง”ในระยะยาว มีตัวอย่างของความสำเร็จให้เห็นมากมายทั้งระดับโลก หรือตัวอย่างในประเทศ เช่น อ.นิเวศน์ของเรา แต่ถึงกระนั้น นักลงทุนในตลาดส่วนมากกลับไม่สามารถจะยึดหลักการการลงทุนแบบนี้ไว้ได้ เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องการอะไรที่เห็นผลไว การลงทุนในหุ้นชั้นยอดจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่เหมือนกับการเก็งกำไรที่เห็นผลเร็วในหลักวัน หรือแม้กระทั่งหลัก”นาที”
ประการที่สอง ผมยิ่งเห็นด้วยกับบทความ practice make permanent ของ อ.นิเวศน์ การอดทนวิ่ง หรือการอดทนลงทุนตามหลักการวีไออย่างเคร่งครัดนั้น เป็นเรื่องที่ทำยากในระยะแรก ผมจำได้ว่าช่วงเดือนแรกที่ผมเริ่มวิ่ง ผมมีเหตุผลมากมายที่จะ “excuse” ตัวเองจากการวิ่งในวันนั้นๆ บางทีผมก็โทษว่าอากาศหนาวไป หรือร้อนไป บางทีผมก็อ้างกับตัวเองว่าวันนี้มีงานวิชาการที่คั่งค้างที่ต้องสะสางให้เสร็จ แต่ผมจากที่ผมเริ่มกัดฟันวิ่งไปได้ประมาณสามเดือน ผมก็เริ่มมีข้ออ้างให้ตัวเองน้อยลง และการเป็นความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หรือออกจะไม่สดชื่นไปแทน หากวันไหนไม่ได้ออกไปวิ่ง การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของผมก็เช่นเดียวกัน ช่วงปีแรกที่ผมเริ่มยึดถือการลงทุนแนวนี้ ก็มีอยู่หลายวาระและโอกาส ที่ผมแอบละเมิดกฎเกณฑ์ของตัวเองไปเล่นเก็งกำไรระยะสั้น หรือเล่นตามข่าวที่เพื่อนนักลงทุนรอบตัวบอกว่ามาจาก”วงใน” แต่พอเข้าถึงช่วงปีที่สองที่สาม ผลจากการ “practice” อย่างต่อเนื่องก็ทำให้สไตล์การลงทุนของผมเริ่ม “permanent” ผมกลับมีความรุ้สึกไม่มั่นใจที่จะเก็งกำไร ด้วยความรู้สึกที่ว่า “ไม่อยากขาดทุน” แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ประการที่สาม ผมรู้สึกว่าอุปนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งมักจะนำไปสู่อุปนิสัยที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ผมเริ่มวิ่งมาผมรู้สึกว่าอุปนิสัยในการทานอาหารของตัวเองดีขึ้นไปด้วย ผมทานอาหารในปริมาณที่ลดลงเพราะผม”เสียดาย”แคลอรี่ จากการวิ่ง ผมมักจะคิดเสมอๆว่า ถ้าเรากินเฟรนช์ฟรายจานนี้ หรือเค้กชิ้นนี้เข้าไป ที่เราอุตส่าห์วิ่งมาเมื่อตะกี้ ก็จะมีค่าเป็นศูนย์ อุปนิสัยการมองที่คุณค่าในการเลือกซื้อหุ้น ก้นำมาสู่อุปนิสัยการมองที่คุณค่าในการชื้อของในชีวิตจริง และทำให้อุปนิสัยในการจับจ่ายซื้อสิ่งของของผมเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง (จริงๆข้อนี้ ผมไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไร เพราะผมติดนิสัยประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ แต่จะกลายเป็นว่าผมกล้าใช้จ่ายมากขึ้นถ้าเห็นว่า intrinsic value ของสิ่งที่ผมจะซื้อนั้นสูงกว่าราคาที่ผมจะจ่าย)
ประการสุดท้ายคือความมหัศจรรย์ของการ”ทบต้น” ในโลกของวีไอเราทราบดีว่า”เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน” เพราะหากเรามีหลักการลงทุนที่แทบจะไม่มีโอกาส “ขาดทุนแบบถาวร” ถึงแม้เราเราจะกำไรปีละไม่มาก แต่ด้วยพลังของการทบต้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีในที่สุดกำไรเล็กน้อยก็จะแปรสภาพเป็นความมั่งคั่งให้เรา ข้อนี้อาจจะไม่เหมือนการวิ่งซะเลยทีเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าการวิ่งอย่างต่อเนื่องทำให้สมรรถภาพของกล้ามเนื้อ ปอด และหัวใจของผมดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมวิ่งได้เร็วขึ้น นานขึ้น โดยทีรู้สึกเหนื่อย/ทรมานลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
เห็นด้วยกับ การตั้งเป้าหมายและการลงมือทำครับ
เกือบทุกอย่างที่มีผลดีต่ออนาคตของเรา หรือสื่งที่เราต้องทำหรือควรจำทำ มักต้องผ่านการต่อรองจากจิตใจเราเองทุกครั้ง
ทั้งที่รู้ว่าดี แต่ก็จะมีข้ออ้างร่ำไป
เยี่ยมครับ หมอแป๊ะ เอาประสบการณ์ชีวิตมาผนวกเข้ากับประสบการณ์การลงทุน
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4879
ช่วงนี้วุ่นถึงวุ่นมากครับ นานๆจะได้มา update ซักครั้งหนึ่งครับ
มีโอกาสจะหาบทความดีๆมาลงอีกครับ แต่ตอนนี้บทความ อาจารย์นิเวศน์ ใช้ได้ดีและโดนใจมากสำหรับหลายคนในตอนนี้แน่ๆครับ
มีโอกาสจะหาบทความดีๆมาลงอีกครับ แต่ตอนนี้บทความ อาจารย์นิเวศน์ ใช้ได้ดีและโดนใจมากสำหรับหลายคนในตอนนี้แน่ๆครับ
โอกาสลงทุน
กุมภาพันธ์ 17, 2014 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์
นักลงทุนระยะยาวที่เป็น Value Investor นั้น โดยปกติมักจะไม่ใคร่ทำอะไรกับการซื้อ-ขายหุ้นมากนัก เขาจะ “ขยับ” ก็ต่อเมื่อมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวหุ้นหรือสภาวะแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่ส่งผลกระทบต่อตัวกิจการหรือบริษัทจดทะเบียน การขายหุ้นนั้น โดยปกติก็มักจะเกิดจากการที่กิจการมีพื้นฐานที่แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือไม่ก็ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจนแพงเกินพื้นฐานอย่างเห็นได้ชัด หรือไม่ก็เพราะเขาพบหุ้นตัวอื่นที่มี Value หรือคุณค่าดีกว่ามากแต่เขาไม่มีเงินสดในมือที่จะซื้อมันได้ ส่วนการซื้อหุ้นนั้น เขามักจะทำก็ต่อเมื่อเขาพบ “โอกาสในการลงทุน” ในหุ้นของบริษัทที่มีคุณสมบัติดีเด่นในระยะยาวที่มีราคาหุ้นที่เหมาะสมหรือราคาถูกกว่าพื้นฐาน
หุ้นที่มีคุณสมบัติดีเด่นในระยะยาวนั้นควรมีคุณสมบัติหลาย ๆ ข้อที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ:
ข้อแรก สินค้าหรือบริการของบริษัทจะต้องมีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งโดยตรงอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็คือ มันเป็นสิ่งที่ลูกค้าเลือกที่จะใช้มากกว่าคู่แข่ง คนใช้รู้สึกมีความภูมิใจหรือมีความรู้สึกที่ดีที่ได้ใช้ ถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือ มันเป็นยี่ห้อยอดนิยมมานานที่ผู้คนหรือคนที่ใช้ส่วนใหญ่ต่างก็ชอบและมีความเชื่อมั่นในคุณสมบัติของมันจนไม่อยากจะเลือกยี่ห้ออื่นถ้าทั้งสองต่างก็สะดวกที่จะซื้อเหมือน ๆ กัน ประเด็นสำคัญก็คือ ยี่ห้อนั้น ไม่ใช่เพียงแต่เป็นยี่ห้อที่คนรู้จักกันแพร่หลายเท่านั้น แต่ต้องเป็นยี่ห้อที่คนเลือกที่จะซื้อหรือใช้บริการเหนือกว่ายี่ห้ออื่นอย่างชัดเจน นอกจากเรื่องของยี่ห้อแล้ว กิจการที่โดดเด่นที่คู่แข่งต่อสู้ได้ยากก็คือ บริษัทที่สามารถ “ล็อค” ลูกค้าให้อยู่ในมือได้ยาวนานโดยที่คู่แข่งเข้ามาแย่งธุรกิจไม่ได้หรือแย่งได้ยาก อาจจะเพราะว่าบริษัทเป็นรายเดียวหรือน้อยรายที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ให้บริการในกิจการที่เป็นสาธารณูปโภค หรือบริษัทอาจจะควบคุมหรือได้ทำเลของสถานที่ให้บริการที่ดีเด่นกว่าที่คู่แข่งไม่สามารถหาได้แล้วเนื่องข้อจำกัดทางด้านที่ดิน เหล่านี้เป็นต้น
ข้อสอง คุณสมบัติที่ดีเด่นในระยะยาวของกิจการก็คือ มันเป็นกิจการที่ทำกำไรได้สูงวัดจากกำไรต่อยอดขายเมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยตรง และกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่สูงกว่า 15% ต่อปีต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งสูงก็ยิ่งดี
ข้อสาม บริษัทต้องขายสินค้าหรือบริการที่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดที่ดี นั่นอาจจะหมายความว่า บริษัทขายสินค้าเป็นเงินสดและจ่ายเจ้าหนี้การค้าเป็นเงินเชื่อระยะยาว บริษัทมีสินค้าคงคลังน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายหรือแทบไม่มีสินค้าคงคลังเลยเนื่องจากเป็นงานบริการ บริษัทไม่ต้องลงทุนในการ Maintain หรือบำรุงรักษาทรัพย์สินถาวรที่ใช้ในการให้บริการมากนัก และสุดท้ายก็คือ ถ้าบริษัทขยายงานหรือขยายกำลังการผลิตได้โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพย์สินถาวรหรือเพิ่มน้อย แบบนี้ก็จะทำให้กระแสเงินสดของบริษัทดีเยี่ยมขึ้นไปอีก
ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ กิจการยังมีการเติบโตต่อไปอีกยาวนานเนื่องจากตลาดเดิมยังไม่อิ่มตัวและตลาดใหม่ที่มีศักยภาพกำลังเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนและชัดเจนและจะต่อเนื่องไปอีกนานเนื่องจากตลาดเหล่านั้นจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากการกำหนดตัวกิจการที่เข้าข่ายเป็นหุ้นดีที่เหมาะสมจะลงทุนระยะยาวได้แล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือ รอโอกาสที่จะซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม ซึ่งโดยปกติมักจะเกิดขึ้นไม่ง่าย เหตุก็เพราะว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นของกิจการที่คนเชื่อหรือยอมรับกันว่าเป็นบริษัทที่ดี ดังนั้น ราคาหุ้นก็มักจะไม่ถูก ค่า PE ก็มักจะสูงกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาด หรือของบริษัทที่ดีเหมือนกันแต่ไม่ใช่บริษัทที่ดีเลิศ เช่น มีคุณสมบัติดีบางข้อแต่ขาดบางข้อ หรือเป็นกิจการที่กำไรเติบโตเร็วอย่างเดียวแต่ความแข็งแกร่งหรือกระแสเงินสดไม่ดี เป็นต้น โอกาสที่หุ้นชั้นเยี่ยมจะมีราคาลดลงมาจนเหมาะสมที่จะลงทุนนั้นมักจะเกิดจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ดังต่อไปนี้
เรื่องแรกที่มักจะเป็น “โอกาสทอง” ก็คือ เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้บริษัทเสียหาย ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์แวดล้อมหรือเกิดจากความผิดพลาดของผู้บริหารซึ่งทำให้กำไรของบริษัทลดลงมาก บางทีอาจจะถึงกับขาดทุน แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว พื้นฐานของกิจการไม่เปลี่ยนแปลง หรือเหตุการณ์นั้นสามารถแก้ไขได้ค่อนข้างแน่นอนในอนาคตไม่ไกลนัก อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นตกลงมามากจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ กรณีอย่างนี้ เราต้องไม่รีรอที่จะซื้อหุ้นและถือไว้ อย่างน้อยจนกระทั่งบริษัทสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว
เรื่องที่สองที่มักเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นก็คือ ตลาดหุ้นตกต่ำลงมามากและทำให้ราคาหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพดีเลิศตกต่ำลงไปด้วยจนคุ้มค่าที่จะซื้อลงทุนระยะยาว กรณีแบบนี้ก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเข้าไปลงทุน เพราะถ้าสภาวะตลาดปรับตัวดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทที่ดีเลิศก็มักจะปรับขึ้นไปด้วย ประเด็นก็คือ ในบางครั้งที่ดัชนีตลาดตกต่ำลงแรงนั้น หุ้นของบริษัทที่ดีเลิศอาจจะไม่ใคร่ตกลงมามากนักเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ผลก็คือ โดยเปรียบเทียบแล้ว บางทีเราก็อาจจะอยากซื้อหุ้นตัวอื่นมากกว่า โดยอาจจะหวังว่าเมื่อตลาดปรับตัวขึ้น เราจะได้กำไรจากหุ้นตัวที่ปรับลดลงแรงกว่า อย่างไรก็ตาม โอกาสลงทุนหุ้นดีในระยะยาวในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวแรงนั้น เป็นโอกาสที่เกิดได้บ่อยพอสมควรในตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีหุ้นผันผวนแรง
เรื่องที่สามที่เป็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นสุดยอดก็คือ ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือถดถอย ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นซบเซาและราคาหุ้นไม่ไปไหนมานาน ราคาหุ้นที่ดีเลิศเองก็นิ่งมานานและมีแนวโน้มตกลงมาเนื่องจากผลประกอบการที่เติบโตน้อยลงอันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปของนักลงทุนต่อคุณสมบัติของกิจการในประเด็นของการเติบโตของบริษัท ผลก็คือ ค่า PE ของบริษัทปรับตัวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่หุ้นกำลังร้อนแรง ถ้าเรามองดูแล้วพบว่าเศรษฐกิจในที่สุดก็จะฟื้นตัว การเติบโตของบริษัทจะกลับมาเหมือนเดิมในไม่ช้าอย่างแน่นอนเนื่องจากการขยายตัวของตลาดที่มีศักยภาพสูงที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นแบบเป็นเมกาเทรนด์ ในกรณีอย่างนี้ เราก็สามารถ “ทยอย” ซื้อหุ้นที่มีคุณสมบัติดีที่เราต้องการจะถือยาว เมื่อซื้อครบแล้วก็รอไปเรื่อย ๆ จนกว่าภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะดีขึ้นและนั่นก็มักจะทำให้หุ้นชั้นยอดปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้งหนึ่ง เราต้องมีความมั่นใจว่า หุ้นของบริษัทที่แข็งแกร่งและมีคุณสมบัติที่ดีมากนั้น จะต้องกลับมาเป็นหุ้นที่โดดเด่นเสมอโดยเฉพาะในช่วงที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีวันหนึ่งวันใดในอนาคต
ผมเองคิดว่า เรื่องที่สามดังกล่าวนั้น กำลังเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ที่หุ้นร้อนแรงมากทำให้หุ้นที่ดีเลิศมีราคาขึ้นไปสูงมากและอาจจะทำให้มีราคาที่ไม่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้หุ้นคุณภาพดีเลิศปรับตัวลง ถ้าบริษัทเหล่านั้นเป็นกิจการที่มีคุณสมบัติครบ ซึ่งรวมถึงการเติบโตที่น่าจะยังไปต่อได้อีกมากโดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดของไทยที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไปอีกมาก ผมคิดว่าบริษัทเหล่านั้นจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะเข้าไปซื้อลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนที่จะตามมาเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ กลับมาเป็นปกติน่าจะอยู่ในอัตราที่ใช้ได้โดยที่ความเสี่ยงอาจจะไม่สูงนัก
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4880
ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย
กุมภาพันธ์ 24, 2014 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์
ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่สิ้นปี 2543 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้ ตลาดหุ้นไทยมีการพัฒนามาอย่าง “ก้าวกระโดด” ในเกือบทุกด้าน
เริ่มตั้งแต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปิดที่ประมาณ 269 จุดตอนสิ้นปี 2543 ได้ปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 1300 จุดเมื่อสิ้นปี 2556 หรือเติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 13% และถ้ารวมปันผลอีกปีละประมาณ 3% ก็จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนถึง 16% ต่อปีแบบทบต้น ถ้าเราลงทุนระยะยาวต่อเนื่องมาตลอดโดยถือกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด เงิน 1 บาทจะกลายเป็นเงินเกือบ 7 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีและหาได้ยากมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงต้นปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2543 ที่ดัชนีปรับขึ้นน้อยมาก กล่าวคือ ในช่วงเวลา 26 ปี ดัชนีตลาดปรับขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 3.9% แบบทบต้น ดังนั้นต้องถือว่าในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมานั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” และนี่ก็ตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2540
การฟื้นตัวหรือการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เพราะหลังจากภาวะวิกฤติและทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวในปี 2544 สิ่งต่าง ๆ ในตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทุก ๆ อย่างกำลังดีขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” ในความรู้สึกของผม
นักลงทุนที่เข้ามาหลังจากปี 2543 นั้น ผมคิดว่ามี Profile หรือมีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะที่แตกต่างจากนักลงทุนที่ “เล่นหุ้น” อยู่ในตลาดก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะพวกเขากลายเป็น “นักลงทุน” ที่เน้นการเลือกซื้อหุ้นที่มี “พื้นฐาน” การดำเนินงานที่ดี หุ้นที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนหรือมีกำไรต่ำ มีผลประกอบการไม่แน่นอน หุ้นมีการ “ปั่น” โดยนักลงทุน “ขาใหญ่” ที่เคยเป็นหุ้น “ยอดนิยม” นั้น หมดความนิยมลงไปอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนหน้าใหม่นั้น ไม่ใช่ “นักเก็งกำไร” ที่เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อที่จะ “เสี่ยงโชค” อีกต่อไป พวกเขาคือคนที่มีเงินเหลือเก็บที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้แก่เงินที่พวกเขาอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อการเกษียน พวกเขาคิดว่าการฝากเงินในสถาบันการเงินที่ “ปลอดภัย” นั้น “ไม่คุ้มค่า” เพราะดอกเบี้ยแต่ละปีที่ได้รับนั้นต่ำมาก ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่เคยสูงกว่า 10% ต่อปีก่อนวิกฤติลดลงมาเรื่อย ๆ เหลือ 6% ในปี 2542 4% ในปี 2543 3.5% ในปี 2544 และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำกว่า 3% มาเกือบทุกปีในช่วงเวลา 13 ปี
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย “รุ่นใหม่” นั้น จำนวนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่ กินเงินเดือนในบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นคนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับคนรุ่นก่อน พวกเขาเป็นคน “Gen- X” ที่มีความคิด “เสรี” กล้ารับความคิดใหม่ ๆ ในทุกด้านของสังคม และสำหรับเรื่องของเงินทองแล้ว พวกเขาไม่เดินตามคนรุ่นก่อนที่มักคิดแต่ว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งที่ดีและมีคุณธรรมนั้นจะต้อง “ท่วมไปด้วยหยาดเหงื่อ” พวกเขาเชื่อว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งนั้นมีมากมายและมันมักจะมาจากความคิดสร้างสรรค์และ—การลงทุน และพวกเขาก็ค้นพบว่าตลาดหุ้นนั้น คือแหล่งการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับพวกเขาที่สุด ตลาดหุ้นไม่ใช่แหล่ง “อบายมุข” สำหรับนักเก็งกำไรหรือนักพนันในสายตาของพวกเขาและสังคมอีกต่อไป นักลงทุนรุ่นใหม่เลิกพูดว่าตนเอง “เล่นหุ้น” แต่เป็น “นักลงทุน” คนที่ทุ่มเทและศึกษาการลงทุนเลือกแนวทางการลงทุนใหม่ที่กำลังเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยที่เรียกว่า Value Investment ที่เพิ่งถูกนำมาเผยแพร่ในตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤติตลาดหุ้นเป็นปรัชญาการลงทุนใหม่ “VI” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นของการลงทุน คุณภาพของนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นไทยนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งปริมาณและคุณภาพ
บริษัทจดทะเบียนก่อนปี 2544 นั้น ที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีแต่หุ้นธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก หุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีอยู่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะของโภคภัณฑ์ เช่น บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรที่ไม่แน่นอน เรียกว่าเป็นกิจการที่มี “คุณภาพต่ำ” และเหมาะสำหรับ “เก็งกำไร” เท่านั้น แต่หลังจากการเข้าตลาดของหุ้น ปตท. ในปี 2546 ก็ดูเหมือนว่าคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป หุ้นจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น เรามีกลุ่มพลังงานที่ใหญ่โตเช่นเดียวกับกลุ่มธนาคาร เรามีหุ้นที่อิงกับการบริโภคที่ไม่ใช่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เรามีหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่เติบโตขึ้นมาก เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างมั่นคง หุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันถึง 7 อุตสาหกรรม
ไม่เพียงแต่ขนาดและคุณภาพของกิจการเท่านั้นที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างโดดเด่น Corporate Governance หรือบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนของไทยก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่าง “ผิดหูผิดตา” ความโปร่งใสของผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่นั้นดีขึ้นมาก บริษัทขนาดกลางและแม้แต่บริษัทขนาดเล็กก็มีเรื่อง “ฉาวโฉ่” น้อยลง กรณีของการ “ปั่นหุ้น” ของผู้บริหารก็ลดลงไปมาก ว่าที่จริง CG ของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ได้รับการยกย่องว่าดีระดับต้น ๆ ของเอเซียโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอย่างจีนที่ยังมีปัญหามากจนนักลงทุนต่างชาติต่างก็ยังไม่สบายใจนักในการลงทุนในหุ้นจีนโดยเฉพาะในบริษัทที่เจ้าของยังเป็นเอกชน ดังนั้น พูดโดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า คุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น เติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” ในช่วง 13 ปีหลัง
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญก็คือ การหาข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลสำหรับนักลงทุน นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการพัฒนาไปมากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่เวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีการจัดเรียงเป็นระเบียบที่ทำให้สามารถดูและวิเคราะห์ได้อย่างสะดวกย้อนหลังไป 4-5 ปี รวมถึงข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่นักลงทุนสามารถหาเพิ่มเติมได้ทั้งจากเวบของตลาดและเวบของ กลต. ทำให้ตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นตลาดที่นักวิเคราะห์ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาศึกษาบริษัทและหุ้นจดทะเบียนได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะใน “ข้อมูลพื้นฐาน” ที่จำเป็นในการลงทุน นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยยังได้สร้างโปรแกรมประจำที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมาพบกับนักลงทุนที่เรียกว่า Opportunity Day ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลทั่วไปสามารถรับรู้ข้อมูลในรายละเอียดของบริษัท เข้าใจกลยุทธ์การดำเนินงานและรู้จักกับผู้บริหารซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนในแบบที่ถูกต้อง เท่าที่รู้ ยังไม่เห็นมีตลาดหุ้นที่ไหนในเอเชียที่จะเป็นเพื่อนกับนักลงทุนส่วนบุคคลขนาดนี้
การให้ข้อมูลความรู้ในบริษัทจดทะเบียนและความรู้ทั่ว ๆ ไปของตลาดทุนในบ้านเรายังขยายไปถึงสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทางทีวีที่เรามีช่องที่เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงอย่างช่อง Money Channel ของตลาดหลักทรัพย์ และยังมีทีวีช่องอื่น ๆ ที่เน้นการลงทุนค่อนข้างมากอย่างกรุงเทพธุรกิจทีวี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงประมาณ 13 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่านี่เป็นการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” ของเรื่องข้อมูลข่าวสารในการลงทุนของตลาดหุ้นไทย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นไทยได้พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลาย ๆ ด้านที่จำเป็นต่อการลงทุนของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อย มันทำให้นักลงทุนค่อนข้างที่จะสบายใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ อีกหลายตลาดที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจพอ ๆ กัน และนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังยึดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะแพงกว่าหุ้นในประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบในขณะนี้
กุมภาพันธ์ 24, 2014 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์
ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่สิ้นปี 2543 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้ ตลาดหุ้นไทยมีการพัฒนามาอย่าง “ก้าวกระโดด” ในเกือบทุกด้าน
เริ่มตั้งแต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปิดที่ประมาณ 269 จุดตอนสิ้นปี 2543 ได้ปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 1300 จุดเมื่อสิ้นปี 2556 หรือเติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 13% และถ้ารวมปันผลอีกปีละประมาณ 3% ก็จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนถึง 16% ต่อปีแบบทบต้น ถ้าเราลงทุนระยะยาวต่อเนื่องมาตลอดโดยถือกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด เงิน 1 บาทจะกลายเป็นเงินเกือบ 7 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีและหาได้ยากมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงต้นปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2543 ที่ดัชนีปรับขึ้นน้อยมาก กล่าวคือ ในช่วงเวลา 26 ปี ดัชนีตลาดปรับขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 3.9% แบบทบต้น ดังนั้นต้องถือว่าในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมานั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” และนี่ก็ตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2540
การฟื้นตัวหรือการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เพราะหลังจากภาวะวิกฤติและทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวในปี 2544 สิ่งต่าง ๆ ในตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทุก ๆ อย่างกำลังดีขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” ในความรู้สึกของผม
นักลงทุนที่เข้ามาหลังจากปี 2543 นั้น ผมคิดว่ามี Profile หรือมีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะที่แตกต่างจากนักลงทุนที่ “เล่นหุ้น” อยู่ในตลาดก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะพวกเขากลายเป็น “นักลงทุน” ที่เน้นการเลือกซื้อหุ้นที่มี “พื้นฐาน” การดำเนินงานที่ดี หุ้นที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนหรือมีกำไรต่ำ มีผลประกอบการไม่แน่นอน หุ้นมีการ “ปั่น” โดยนักลงทุน “ขาใหญ่” ที่เคยเป็นหุ้น “ยอดนิยม” นั้น หมดความนิยมลงไปอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนหน้าใหม่นั้น ไม่ใช่ “นักเก็งกำไร” ที่เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อที่จะ “เสี่ยงโชค” อีกต่อไป พวกเขาคือคนที่มีเงินเหลือเก็บที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้แก่เงินที่พวกเขาอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อการเกษียน พวกเขาคิดว่าการฝากเงินในสถาบันการเงินที่ “ปลอดภัย” นั้น “ไม่คุ้มค่า” เพราะดอกเบี้ยแต่ละปีที่ได้รับนั้นต่ำมาก ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่เคยสูงกว่า 10% ต่อปีก่อนวิกฤติลดลงมาเรื่อย ๆ เหลือ 6% ในปี 2542 4% ในปี 2543 3.5% ในปี 2544 และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำกว่า 3% มาเกือบทุกปีในช่วงเวลา 13 ปี
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย “รุ่นใหม่” นั้น จำนวนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่ กินเงินเดือนในบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นคนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับคนรุ่นก่อน พวกเขาเป็นคน “Gen- X” ที่มีความคิด “เสรี” กล้ารับความคิดใหม่ ๆ ในทุกด้านของสังคม และสำหรับเรื่องของเงินทองแล้ว พวกเขาไม่เดินตามคนรุ่นก่อนที่มักคิดแต่ว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งที่ดีและมีคุณธรรมนั้นจะต้อง “ท่วมไปด้วยหยาดเหงื่อ” พวกเขาเชื่อว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งนั้นมีมากมายและมันมักจะมาจากความคิดสร้างสรรค์และ—การลงทุน และพวกเขาก็ค้นพบว่าตลาดหุ้นนั้น คือแหล่งการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับพวกเขาที่สุด ตลาดหุ้นไม่ใช่แหล่ง “อบายมุข” สำหรับนักเก็งกำไรหรือนักพนันในสายตาของพวกเขาและสังคมอีกต่อไป นักลงทุนรุ่นใหม่เลิกพูดว่าตนเอง “เล่นหุ้น” แต่เป็น “นักลงทุน” คนที่ทุ่มเทและศึกษาการลงทุนเลือกแนวทางการลงทุนใหม่ที่กำลังเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยที่เรียกว่า Value Investment ที่เพิ่งถูกนำมาเผยแพร่ในตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤติตลาดหุ้นเป็นปรัชญาการลงทุนใหม่ “VI” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นของการลงทุน คุณภาพของนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นไทยนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งปริมาณและคุณภาพ
บริษัทจดทะเบียนก่อนปี 2544 นั้น ที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีแต่หุ้นธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก หุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีอยู่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะของโภคภัณฑ์ เช่น บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรที่ไม่แน่นอน เรียกว่าเป็นกิจการที่มี “คุณภาพต่ำ” และเหมาะสำหรับ “เก็งกำไร” เท่านั้น แต่หลังจากการเข้าตลาดของหุ้น ปตท. ในปี 2546 ก็ดูเหมือนว่าคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป หุ้นจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น เรามีกลุ่มพลังงานที่ใหญ่โตเช่นเดียวกับกลุ่มธนาคาร เรามีหุ้นที่อิงกับการบริโภคที่ไม่ใช่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เรามีหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่เติบโตขึ้นมาก เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างมั่นคง หุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันถึง 7 อุตสาหกรรม
ไม่เพียงแต่ขนาดและคุณภาพของกิจการเท่านั้นที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างโดดเด่น Corporate Governance หรือบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนของไทยก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่าง “ผิดหูผิดตา” ความโปร่งใสของผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่นั้นดีขึ้นมาก บริษัทขนาดกลางและแม้แต่บริษัทขนาดเล็กก็มีเรื่อง “ฉาวโฉ่” น้อยลง กรณีของการ “ปั่นหุ้น” ของผู้บริหารก็ลดลงไปมาก ว่าที่จริง CG ของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ได้รับการยกย่องว่าดีระดับต้น ๆ ของเอเซียโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอย่างจีนที่ยังมีปัญหามากจนนักลงทุนต่างชาติต่างก็ยังไม่สบายใจนักในการลงทุนในหุ้นจีนโดยเฉพาะในบริษัทที่เจ้าของยังเป็นเอกชน ดังนั้น พูดโดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า คุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น เติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” ในช่วง 13 ปีหลัง
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญก็คือ การหาข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลสำหรับนักลงทุน นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการพัฒนาไปมากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่เวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีการจัดเรียงเป็นระเบียบที่ทำให้สามารถดูและวิเคราะห์ได้อย่างสะดวกย้อนหลังไป 4-5 ปี รวมถึงข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่นักลงทุนสามารถหาเพิ่มเติมได้ทั้งจากเวบของตลาดและเวบของ กลต. ทำให้ตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นตลาดที่นักวิเคราะห์ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาศึกษาบริษัทและหุ้นจดทะเบียนได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะใน “ข้อมูลพื้นฐาน” ที่จำเป็นในการลงทุน นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยยังได้สร้างโปรแกรมประจำที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมาพบกับนักลงทุนที่เรียกว่า Opportunity Day ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลทั่วไปสามารถรับรู้ข้อมูลในรายละเอียดของบริษัท เข้าใจกลยุทธ์การดำเนินงานและรู้จักกับผู้บริหารซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนในแบบที่ถูกต้อง เท่าที่รู้ ยังไม่เห็นมีตลาดหุ้นที่ไหนในเอเชียที่จะเป็นเพื่อนกับนักลงทุนส่วนบุคคลขนาดนี้
การให้ข้อมูลความรู้ในบริษัทจดทะเบียนและความรู้ทั่ว ๆ ไปของตลาดทุนในบ้านเรายังขยายไปถึงสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทางทีวีที่เรามีช่องที่เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงอย่างช่อง Money Channel ของตลาดหลักทรัพย์ และยังมีทีวีช่องอื่น ๆ ที่เน้นการลงทุนค่อนข้างมากอย่างกรุงเทพธุรกิจทีวี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงประมาณ 13 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่านี่เป็นการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” ของเรื่องข้อมูลข่าวสารในการลงทุนของตลาดหุ้นไทย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นไทยได้พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลาย ๆ ด้านที่จำเป็นต่อการลงทุนของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อย มันทำให้นักลงทุนค่อนข้างที่จะสบายใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ อีกหลายตลาดที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจพอ ๆ กัน และนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังยึดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะแพงกว่าหุ้นในประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบในขณะนี้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4881
updated: 25 ก.พ. 2557 เวลา 15:40:27 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า กสท.ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดระยะเวลาการออกอากาศทีวีดิจิตอลอย่างเป็นทางการ จากเดิมในเดือนเมษายนเป็นเดือนมิถุนายน เพื่อขยายเวลาความพร้อมของผู้ประกอบการ และพิจารณาด้านกฎหมายให้รอบด้าน เนื่องจากมีผู้ประกอบการบางรายท้วงติงมายัง กสทช. เรื่องความพร้อมในการออกอากาศจากระยะเวลาที่มีอยู่ ซึ่งตามกฎหมายกำหนดต้องให้ใบอนุญาตทีวีดิจิตอลและเปิดให้บริการทีวีดิจิตอลอย่างเป็นทางการภายใน 90 วัน หลังจากปิดรับการยื่นเอกสารในวันที่ 26 กุมภาพันธ์
พ.อ.นทีกล่าวว่า ระยะเวลาออกอากาศอย่างเป็นทางการ ไม่เกี่ยวกับการกำหนดกรอบเวลาของผู้ให้บริการโครงข่ายทั้ง 4 ราย คือบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5, กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่จะต้องติดตั้งโครงข่ายทีวีดิจิตอลให้แล้วเสร็จพร้อมให้บริการได้ภายในวันที่ 1 เมษายน ใน 4 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สงขลา และนครราชสีมา ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หากผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลทีวีดิจิตอลรายใดที่พร้อมให้บริการ สามารถทดลองออกอากาศได้ทันที
พ.อ.นทีกล่าวว่า ส่วนการทดลองออกอากาศทีวีดิจิตอล บอร์ด กสท.มีคำสั่งให้อนุกรรมการด้านกฎหมาย และที่ปรึกษาทางกฎหมายของ กสท. ศึกษาความเป็นไปได้ที่ในช่วงระยะเวลาทดลองการออกอากาศในเดือนเมษายน จะมีโฆษณาเช่นเดียวกับการออกอากาศจริงได้หรือไม่ เพราะในทางปฏิบัติ กสท.ต้องการให้ผังรายการช่วงทดลองออกอากาศเหมือนจริงทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องตัดโฆษณาออก แต่กังวลว่าอาจขัดกฎหมายที่ระบุว่าการทดลองออกอากาศต้องไม่ดำเนินการในเชิงพาณิชย์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า กสท.ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดระยะเวลาการออกอากาศทีวีดิจิตอลอย่างเป็นทางการ จากเดิมในเดือนเมษายนเป็นเดือนมิถุนายน เพื่อขยายเวลาความพร้อมของผู้ประกอบการ และพิจารณาด้านกฎหมายให้รอบด้าน เนื่องจากมีผู้ประกอบการบางรายท้วงติงมายัง กสทช. เรื่องความพร้อมในการออกอากาศจากระยะเวลาที่มีอยู่ ซึ่งตามกฎหมายกำหนดต้องให้ใบอนุญาตทีวีดิจิตอลและเปิดให้บริการทีวีดิจิตอลอย่างเป็นทางการภายใน 90 วัน หลังจากปิดรับการยื่นเอกสารในวันที่ 26 กุมภาพันธ์
พ.อ.นทีกล่าวว่า ระยะเวลาออกอากาศอย่างเป็นทางการ ไม่เกี่ยวกับการกำหนดกรอบเวลาของผู้ให้บริการโครงข่ายทั้ง 4 ราย คือบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5, กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่จะต้องติดตั้งโครงข่ายทีวีดิจิตอลให้แล้วเสร็จพร้อมให้บริการได้ภายในวันที่ 1 เมษายน ใน 4 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สงขลา และนครราชสีมา ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หากผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลทีวีดิจิตอลรายใดที่พร้อมให้บริการ สามารถทดลองออกอากาศได้ทันที
พ.อ.นทีกล่าวว่า ส่วนการทดลองออกอากาศทีวีดิจิตอล บอร์ด กสท.มีคำสั่งให้อนุกรรมการด้านกฎหมาย และที่ปรึกษาทางกฎหมายของ กสท. ศึกษาความเป็นไปได้ที่ในช่วงระยะเวลาทดลองการออกอากาศในเดือนเมษายน จะมีโฆษณาเช่นเดียวกับการออกอากาศจริงได้หรือไม่ เพราะในทางปฏิบัติ กสท.ต้องการให้ผังรายการช่วงทดลองออกอากาศเหมือนจริงทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องตัดโฆษณาออก แต่กังวลว่าอาจขัดกฎหมายที่ระบุว่าการทดลองออกอากาศต้องไม่ดำเนินการในเชิงพาณิชย์
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4882
updated: 24 ก.พ. 2557 เวลา 12:54:44 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ถ้าการใช้เงินไปกับการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในปี 2557 นี้มีมูลค่าเฉียด 6 พันล้านบาท ตามการคาดการณ์ของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (เพิ่มขึ้น 38%จากปีที่แล้ว) เชื่อว่าธุรกิจออนไลน์คงคึกคักไม่เบา ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้จะสดใสนัก "ออนไลน์" นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะสะดวก ประหยัด (กว่า) และเข้ากับยุคสมัยชนเผ่าหัวก้ม (นิยามเด็กติดสมาร์ทโฟน)
"ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์" ผู้อำนวยการธุรกิจกลุ่มอินเทอร์เน็ต บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤติกรรมการซื้อสื่อออนไลน์ของบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันลูกค้าเริ่มถามหาวิธีวัดผลการทำตลาดแบบดิจิทัล เช่น ดูจำนวนคนคลิกโฆษณา เป็นต้น รวมถึงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของโฆษณามากกว่าการเน้นให้แบนเนอร์โฆษณาโดดเด่นสุด
และเปลี่ยนจากการลงโฆษณาในออนไลน์แบบพื้นฐานมาเป็นการนำสื่อออนไลน์ไปต่อยอดกับสื่ออื่น ๆ เช่น การคลิกที่แบนเนอร์แล้วเชื่อมไปที่หน้าแฟนเพจ, การตั้งข้อแม้ให้ลูกค้าแชร์ภาพก่อนจึงจะสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม เป็นต้น เรียกว่าเป็นการต่อยอดจากแบนเนอร์ไปสู่แฟนเพจ, จำนวนยอดไลก์, กิจกรรมการตลาด, และโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ ของแบรนด์นั้น ๆ อย่างเต็มรูปแบบ
"พฤติกรรมการรับสื่อโฆษณาของผู้บริโภคเองก็เปลี่ยนไป บางคนที่มีความรู้เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตอาจนำโปรแกรมบล็อกโฆษณาเข้ามาใช้งาน หรือหากผู้ใช้เว็บไซต์จำได้ว่าตำแหน่งใดเป็นพื้นที่โฆษณาก็จะไม่อ่านเนื้อหาส่วนนั้น ลูกค้าที่มาลงโฆษณาจะเน้นให้โฆษณาเชื่อมกับเนื้อหาในเว็บ หรือเนียนไปกับเว็บทำให้เอเยนซี่โฆษณา และเว็บไซต์ทำงานยากขึ้น เว็บต้องใช้ความโดดเด่นของตัวเองดึงดูดลูกค้า เช่น คนอ่านข่าวในเอ็มไทยจะรู้ว่าข่าวเราเป็นสไตล์จิกกัด การโฆษณาก็ต้องให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน"
"ปฐมพงศ์" เชื่อว่าตลาดโฆษณาดิจิทัลประเทศไทยปีนี้ยังเติบโตจากการที่บริษัทเอกชนเริ่มให้ความสนใจกับการใช้สื่อออนไลน์ในการทำตลาดมากขึ้น มีการจัดสรรงบประมาณให้อย่างชัดเจน เนื่องจากวัดผลได้ และติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้ จึงเปลี่ยนจากการใช้เงินไปกับสื่อโฆษณาทั่วไปมาลงเว็บไซต์ หรือนำสื่อออนไลน์ไปเชื่อมโยงกับกิจกรรมการตลาดในสื่ออื่น ๆ
"ปัจจัยลบคงเป็นเรื่องกำลังซื้อที่ลดลงและสถานการณ์การเมืองทำให้ธุรกิจชะลอการทำตลาด แต่ช่วงนี้ของปีการใช้เงินกับการโฆษณาจะค่อนข้างน้อย เมื่อมีสถานการณ์การเมืองยิ่งเห็นชัด หากไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่านี้ เม็ดเงินโฆษณาคงกลับมาได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์"
สำหรับการเปลี่ยนผ่านของระบบโทรทัศน์จากแอนะล็อกไปยังดิจิทัล "บิ๊กบอสโมโน" มองว่า ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลต่างต้องสร้างจุดเด่นของตัวเองเพื่อให้คนจดจำได้ จึงเป็นไปได้ที่จะแบ่งงบประมาณการตลาดบางส่วนมาใช้กับสื่อโฆษณาดิจิทัล รวมถึงใช้กลยุทธ์ใช้สื่อที่มีในมือทุกสื่อเชื่อมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, นิตยสาร และออนไลน์
ด้าน "อภิศิลป์ ตรุงกานนท์" ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ พันทิปดอทคอม มองว่า การเติบโตของตลาดโฆษณาดิจิทัลปีนี้น่าจะมาจากการที่งบประมาณการตลาดในอุตสาหกรรมสื่อประเภทอื่นมีการแบ่งมายังสื่อออนไลน์มากขึ้น
"กูเกิลและเฟซบุ๊กเป็นสื่อโฆษณาดิจิทัลที่นักโฆษณานิยมใช้ โดยกูเกิลเน้นเพื่อเพิ่มยอดขาย ขณะที่เฟซบุ๊กเน้นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า ส่วนโฆษณาแบบดิสเพลย์แอดใช้เพื่อสร้างความรับรู้ให้แบรนด์ ปีนี้คาดว่าองค์กรต่าง ๆ จะทุ่มงบไปกับการสร้างคอนเทนต์สำหรับการทำตลาดมากขึ้น เพราะโฆษณาที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ว่าโดนใจคนทั่วไปหรือไม่ เกาะกระแสหรือเปล่า ที่สำคัญคือต้องตรงกลุ่มเป้าหมาย หากคอนเทนต์น่าสนใจ คนก็จะบอกต่อไปกันเอง"
สำหรับพฤติกรรมการรับสื่อโฆษณาในเว็บ "พันทิปดอทคอม" ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปดูโฆษณาจากป้ายดิสเพลย์แอดเพียง 0.06% เว็บจึงต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการเพิ่มพื้นที่โฆษณาตำแหน่งใหม่ ให้อยู่ระหว่างพื้นที่แนะนำหัวข้อกระทู้หน้าแรกของเว็บไซต์ ส่งผลให้ผู้ใช้เว็บไซต์พันทิปคลิกเข้าไปดูโฆษณาในตำแหน่งนี้มากขึ้น เพราะมีที่อยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้อยากคลิก และทำให้เป็นโฆษณาเชิงกิจกรรมที่มีเนื้อหาหรือรูปบางส่วนเชื่อมโยงกับเนื้อหาของกระทู้ในพันทิป
"รายได้รวมของพันทิปปีที่แล้วโตขึ้น 30% เพราะเปิดตัวรูปแบบการขายโฆษณาแบบซีพีเอ็ม (Cost Per Impression) ทำให้ได้พื้นที่โฆษณาเพิ่มขึ้น จากเดิมเน้นขายแบบเช่าเหมาพื้นที่ รายได้รวมปีนี้น่าจะโตจากปีก่อน 10% เนื่องจากไม่มีแผนเพิ่มพื้นที่โฆษณา หรือปรับราคา"
หันมาฟังความเห็นของยักษ์อีคอมเมิร์ซไทยอีกรายบ้าง "ทิวา ยอร์ค" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเอฟ มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้ให้บริการ Dealfish เว็บไซต์ซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์แบบซีทูซี (Consumer to Consumer) กล่าวว่า Dealfish จะยังคงใช้สื่อออนไลน์เป็นสื่อหลักสำหรับทำการตลาด เนื่องจากมองว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น แต่บริษัทยังมีโฆษณาผ่านสื่อออฟไลน์เช่นกัน
"ปัจจัยบวกสำหรับตลาดการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลปีนี้คือจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากระดับราคาสมาร์ทโฟนถูกลง และเครือข่าย 3G ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ทำให้คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั่วประเทศ หลายฝ่ายคาดว่าจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยจะมีมากกว่าจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์พีซีภายในครึ่งปีแรกปี 2557 ขณะที่จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ Dealfish ผ่านโทรศัพท์มือถือปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 50% จากปีก่อนมีสัดส่วนเพียง 12% เท่านั้น"
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในวงการโฆษณาดิจิทัลเริ่มจากปีที่ผ่านมา นักโฆษณาหันไปให้ความสนใจกับ "วิดีโอออนไลน์" มากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากผู้บริโภคในไทยให้ความสนใจกับสื่อวิดีโอมาก ชนิดว่าวิดีโอที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งไม่ได้ต่อต้านโฆษณาออนไลน์ เพราะเข้าใจว่าเป็นช่องทางหารายได้ของเว็บไซต์ แต่การนำเสนอโฆษณาต่าง ๆ ผ่านสื่อออนไลน์ต้องทำตรงกลุ่มเป้าหมาย และเหมาะสมกับผู้บริโภครายนั้น ๆ
ที่น่าสนใจกว่า คือไม่ได้มีแค่บริษัทใหญ่ ที่ทุ่มเงินไปกับสื่อดิจิทัล บรรดาแบรนด์เล็กหน้าใหม่ต่างต้องการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์เช่นกัน
รวมถึงยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้นโลก "กูเกิล" ก็ตั้งใจผลักดันการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์เต็มที่ โดย "พรทิพย์ กองชุน" หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท กูเกิล ประเทศไทย ย้ำว่า กลยุทธ์ธุรกิจปีนี้จะให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการในระดับ "เอสเอ็มบี"
ที่ต้องการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เนื่องจากโอกาสธุรกิจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มบีทั่วประเทศที่สนใจทำให้ธุรกิจของพวกเขามีตัวตนในโลกออนไลน์ รวมถึงต้องการทำการตลาด หรือโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Adwords
"กูเกิล" จะร่วมมือกับพันธมิตร เช่น แบงก์กสิกรไทย, หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ จัดงานสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับการโฆษณาออนไลน์ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มบีให้ตระหนักถึงพลังของอินเทอร์เน็ตและการโฆษณาออนไลน์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ถ้าการใช้เงินไปกับการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในปี 2557 นี้มีมูลค่าเฉียด 6 พันล้านบาท ตามการคาดการณ์ของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (เพิ่มขึ้น 38%จากปีที่แล้ว) เชื่อว่าธุรกิจออนไลน์คงคึกคักไม่เบา ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้จะสดใสนัก "ออนไลน์" นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะสะดวก ประหยัด (กว่า) และเข้ากับยุคสมัยชนเผ่าหัวก้ม (นิยามเด็กติดสมาร์ทโฟน)
"ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์" ผู้อำนวยการธุรกิจกลุ่มอินเทอร์เน็ต บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤติกรรมการซื้อสื่อออนไลน์ของบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันลูกค้าเริ่มถามหาวิธีวัดผลการทำตลาดแบบดิจิทัล เช่น ดูจำนวนคนคลิกโฆษณา เป็นต้น รวมถึงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของโฆษณามากกว่าการเน้นให้แบนเนอร์โฆษณาโดดเด่นสุด
และเปลี่ยนจากการลงโฆษณาในออนไลน์แบบพื้นฐานมาเป็นการนำสื่อออนไลน์ไปต่อยอดกับสื่ออื่น ๆ เช่น การคลิกที่แบนเนอร์แล้วเชื่อมไปที่หน้าแฟนเพจ, การตั้งข้อแม้ให้ลูกค้าแชร์ภาพก่อนจึงจะสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม เป็นต้น เรียกว่าเป็นการต่อยอดจากแบนเนอร์ไปสู่แฟนเพจ, จำนวนยอดไลก์, กิจกรรมการตลาด, และโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ ของแบรนด์นั้น ๆ อย่างเต็มรูปแบบ
"พฤติกรรมการรับสื่อโฆษณาของผู้บริโภคเองก็เปลี่ยนไป บางคนที่มีความรู้เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตอาจนำโปรแกรมบล็อกโฆษณาเข้ามาใช้งาน หรือหากผู้ใช้เว็บไซต์จำได้ว่าตำแหน่งใดเป็นพื้นที่โฆษณาก็จะไม่อ่านเนื้อหาส่วนนั้น ลูกค้าที่มาลงโฆษณาจะเน้นให้โฆษณาเชื่อมกับเนื้อหาในเว็บ หรือเนียนไปกับเว็บทำให้เอเยนซี่โฆษณา และเว็บไซต์ทำงานยากขึ้น เว็บต้องใช้ความโดดเด่นของตัวเองดึงดูดลูกค้า เช่น คนอ่านข่าวในเอ็มไทยจะรู้ว่าข่าวเราเป็นสไตล์จิกกัด การโฆษณาก็ต้องให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน"
"ปฐมพงศ์" เชื่อว่าตลาดโฆษณาดิจิทัลประเทศไทยปีนี้ยังเติบโตจากการที่บริษัทเอกชนเริ่มให้ความสนใจกับการใช้สื่อออนไลน์ในการทำตลาดมากขึ้น มีการจัดสรรงบประมาณให้อย่างชัดเจน เนื่องจากวัดผลได้ และติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้ จึงเปลี่ยนจากการใช้เงินไปกับสื่อโฆษณาทั่วไปมาลงเว็บไซต์ หรือนำสื่อออนไลน์ไปเชื่อมโยงกับกิจกรรมการตลาดในสื่ออื่น ๆ
"ปัจจัยลบคงเป็นเรื่องกำลังซื้อที่ลดลงและสถานการณ์การเมืองทำให้ธุรกิจชะลอการทำตลาด แต่ช่วงนี้ของปีการใช้เงินกับการโฆษณาจะค่อนข้างน้อย เมื่อมีสถานการณ์การเมืองยิ่งเห็นชัด หากไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่านี้ เม็ดเงินโฆษณาคงกลับมาได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์"
สำหรับการเปลี่ยนผ่านของระบบโทรทัศน์จากแอนะล็อกไปยังดิจิทัล "บิ๊กบอสโมโน" มองว่า ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลต่างต้องสร้างจุดเด่นของตัวเองเพื่อให้คนจดจำได้ จึงเป็นไปได้ที่จะแบ่งงบประมาณการตลาดบางส่วนมาใช้กับสื่อโฆษณาดิจิทัล รวมถึงใช้กลยุทธ์ใช้สื่อที่มีในมือทุกสื่อเชื่อมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, นิตยสาร และออนไลน์
ด้าน "อภิศิลป์ ตรุงกานนท์" ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ พันทิปดอทคอม มองว่า การเติบโตของตลาดโฆษณาดิจิทัลปีนี้น่าจะมาจากการที่งบประมาณการตลาดในอุตสาหกรรมสื่อประเภทอื่นมีการแบ่งมายังสื่อออนไลน์มากขึ้น
"กูเกิลและเฟซบุ๊กเป็นสื่อโฆษณาดิจิทัลที่นักโฆษณานิยมใช้ โดยกูเกิลเน้นเพื่อเพิ่มยอดขาย ขณะที่เฟซบุ๊กเน้นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า ส่วนโฆษณาแบบดิสเพลย์แอดใช้เพื่อสร้างความรับรู้ให้แบรนด์ ปีนี้คาดว่าองค์กรต่าง ๆ จะทุ่มงบไปกับการสร้างคอนเทนต์สำหรับการทำตลาดมากขึ้น เพราะโฆษณาที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ว่าโดนใจคนทั่วไปหรือไม่ เกาะกระแสหรือเปล่า ที่สำคัญคือต้องตรงกลุ่มเป้าหมาย หากคอนเทนต์น่าสนใจ คนก็จะบอกต่อไปกันเอง"
สำหรับพฤติกรรมการรับสื่อโฆษณาในเว็บ "พันทิปดอทคอม" ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปดูโฆษณาจากป้ายดิสเพลย์แอดเพียง 0.06% เว็บจึงต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการเพิ่มพื้นที่โฆษณาตำแหน่งใหม่ ให้อยู่ระหว่างพื้นที่แนะนำหัวข้อกระทู้หน้าแรกของเว็บไซต์ ส่งผลให้ผู้ใช้เว็บไซต์พันทิปคลิกเข้าไปดูโฆษณาในตำแหน่งนี้มากขึ้น เพราะมีที่อยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้อยากคลิก และทำให้เป็นโฆษณาเชิงกิจกรรมที่มีเนื้อหาหรือรูปบางส่วนเชื่อมโยงกับเนื้อหาของกระทู้ในพันทิป
"รายได้รวมของพันทิปปีที่แล้วโตขึ้น 30% เพราะเปิดตัวรูปแบบการขายโฆษณาแบบซีพีเอ็ม (Cost Per Impression) ทำให้ได้พื้นที่โฆษณาเพิ่มขึ้น จากเดิมเน้นขายแบบเช่าเหมาพื้นที่ รายได้รวมปีนี้น่าจะโตจากปีก่อน 10% เนื่องจากไม่มีแผนเพิ่มพื้นที่โฆษณา หรือปรับราคา"
หันมาฟังความเห็นของยักษ์อีคอมเมิร์ซไทยอีกรายบ้าง "ทิวา ยอร์ค" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเอฟ มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้ให้บริการ Dealfish เว็บไซต์ซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์แบบซีทูซี (Consumer to Consumer) กล่าวว่า Dealfish จะยังคงใช้สื่อออนไลน์เป็นสื่อหลักสำหรับทำการตลาด เนื่องจากมองว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น แต่บริษัทยังมีโฆษณาผ่านสื่อออฟไลน์เช่นกัน
"ปัจจัยบวกสำหรับตลาดการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลปีนี้คือจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากระดับราคาสมาร์ทโฟนถูกลง และเครือข่าย 3G ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ทำให้คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั่วประเทศ หลายฝ่ายคาดว่าจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยจะมีมากกว่าจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์พีซีภายในครึ่งปีแรกปี 2557 ขณะที่จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ Dealfish ผ่านโทรศัพท์มือถือปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 50% จากปีก่อนมีสัดส่วนเพียง 12% เท่านั้น"
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในวงการโฆษณาดิจิทัลเริ่มจากปีที่ผ่านมา นักโฆษณาหันไปให้ความสนใจกับ "วิดีโอออนไลน์" มากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากผู้บริโภคในไทยให้ความสนใจกับสื่อวิดีโอมาก ชนิดว่าวิดีโอที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งไม่ได้ต่อต้านโฆษณาออนไลน์ เพราะเข้าใจว่าเป็นช่องทางหารายได้ของเว็บไซต์ แต่การนำเสนอโฆษณาต่าง ๆ ผ่านสื่อออนไลน์ต้องทำตรงกลุ่มเป้าหมาย และเหมาะสมกับผู้บริโภครายนั้น ๆ
ที่น่าสนใจกว่า คือไม่ได้มีแค่บริษัทใหญ่ ที่ทุ่มเงินไปกับสื่อดิจิทัล บรรดาแบรนด์เล็กหน้าใหม่ต่างต้องการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์เช่นกัน
รวมถึงยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้นโลก "กูเกิล" ก็ตั้งใจผลักดันการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์เต็มที่ โดย "พรทิพย์ กองชุน" หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท กูเกิล ประเทศไทย ย้ำว่า กลยุทธ์ธุรกิจปีนี้จะให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการในระดับ "เอสเอ็มบี"
ที่ต้องการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เนื่องจากโอกาสธุรกิจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มบีทั่วประเทศที่สนใจทำให้ธุรกิจของพวกเขามีตัวตนในโลกออนไลน์ รวมถึงต้องการทำการตลาด หรือโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Adwords
"กูเกิล" จะร่วมมือกับพันธมิตร เช่น แบงก์กสิกรไทย, หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ จัดงานสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับการโฆษณาออนไลน์ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มบีให้ตระหนักถึงพลังของอินเทอร์เน็ตและการโฆษณาออนไลน์
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4883
ช่วงนี้คงจะต้องอภัยเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ VI ที่คงต้องขอทำภารกิจสำคัญที่มากกว่าเรื่องหุ้นในตอนนี้ครับ เป็นภารกิจที่รอคอยมาเป็นแรมปีครับ
พร้อมกับภารกิจหน้าที่ใหม่ที่ท้าทายเพิ่มขึ้นมาในชีวิต เป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะสะสมในไมล์ชีวิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ จากทำไม่ได้เป็น เมื่อคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้
เจอกันอีกทีปลายเดือนเลยครับ ^^
พร้อมกับภารกิจหน้าที่ใหม่ที่ท้าทายเพิ่มขึ้นมาในชีวิต เป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะสะสมในไมล์ชีวิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ จากทำไม่ได้เป็น เมื่อคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้
เจอกันอีกทีปลายเดือนเลยครับ ^^
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4885
ขอบคุณคุณนุชครับ ที่เป็นกำลังใจให้ครับและขอบคุณพวกเราทุกคนด้วยนะครับ ที่ส่งกำลังใจให้เป็นระยะๆ ^^
ช่วงนี้เป็นช่วงที่โกลาหลที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผมแล้วครับ
แต่มีความสุขครับ ได้ทำอะไรที่ท้าทายให้กับตัวเอง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนทั้งสิ้นครับ
แต่ผมเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่เราทำไม่ได้ ... ถ้าเราจะลงมือทำครับ
มีเวลาจะเข้ามา update เป็นช่วงๆครับ
ปล. ตอนนี้ผมมี Facebook fanpage แล้วครับ สามารถกดติดตามได้ที่
https://www.facebook.com/PramukVong ได้เลยครับ ^^
ช่วงนี้เป็นช่วงที่โกลาหลที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผมแล้วครับ
แต่มีความสุขครับ ได้ทำอะไรที่ท้าทายให้กับตัวเอง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนทั้งสิ้นครับ
แต่ผมเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่เราทำไม่ได้ ... ถ้าเราจะลงมือทำครับ
มีเวลาจะเข้ามา update เป็นช่วงๆครับ
ปล. ตอนนี้ผมมี Facebook fanpage แล้วครับ สามารถกดติดตามได้ที่
https://www.facebook.com/PramukVong ได้เลยครับ ^^
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4886
ถ้าถามว่า...ใครกันที่ รวย ที่สุดในประเทศไทย? คำตอบนั้นคงต้องยกให้แด่ “เจ้าสัว แห่งซีพี” ซึ่งคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
วันเสาร์ 11 มกราคม 2557 เวลา 00:00 น.
ถ้าถามว่า...ใครกันที่ รวย ที่สุดในประเทศไทย?
คำตอบนั้นคงต้องยกให้แด่ “เจ้าสัว แห่งซีพี” ซึ่งคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
แล้วรู้ไหมว่าใคร รวย ที่สุดในโลก?
บิลเกตส์หรือ? วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ไม่ใช่...
นิตยสารฟอร์บส์ได้จัดอันดับมหาเศรษฐีประจำปี 2556 แต่ผลปรากฏ บิล เกตส์ กลับครองเพียงอันดับ 2ในขณะที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ร่วงมาอยู่ที่อันดับ 4 ส่วนเจ้าสัวซีพีอย่าง ธนินท์เจียรวนนท์ ติดอันดับที่ 58!
จำชื่อให้ดีอภิมหาเศรษฐีของโลกนั้น เขาคือ คาร์ลอส สลิม เจ้าของธุรกิจสื่อสารชาวเม็กซิกัน ที่ครั้งนี้ครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสูงถึงกว่า 2.3 ล้านล้านบาท
แล้วเขาทำได้อย่างไร?
มาไขเคล็ดลับสู่เส้นทางเศรษฐีฉบับคาร์ลอสกันเถอะ
แรกเริ่มคาร์ลอสได้รับการปลูกฝังจาก คุณพ่อให้มีความรับผิดชอบและมี วินัยทางการเงิน ตั้งแต่เด็กโดยสอนให้เขารู้จักจด “รายรับ-รายจ่าย” ในแต่ละวัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะทำให้รู้จักบริหารจัดการทรัพย์สิน และถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยไขไปสู่ความมั่งคั่งได้
ด้วยความ ขยันและมีวินัย ของคาร์ลอสซึ่งพิสูจน์ได้จาก การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทุก วันอย่างต่อเนื่องทำให้เขาสังเกตเห็น จุดรั่วไหลของเงิน ได้อย่างชัดเจนและอุดรูรั่วนั้นได้อย่างตรงจุด
นอกจากนั้นยังเพิ่มอุปนิสัยของการเป็น คนรู้จักคิดก่อนซื้อ ขึ้นมาอีกด้วย
เคยสังเกตไหมว่าเงินมักออกจากกระเป๋าง่ายเสมอ ทันทีที่มีความต้องการ อยากจะซื้อ แม้หลายครั้งข้าวของเหล่านั้นกลับมากองให้ฝุ่นจับอย่างไร้ประโยชน์
หากคิดมุมกลับถ้าตัดสินใจไม่ซื้อของ ชิ้นนั้น เงินที่จะต้องหลุดลอยไป ก็จะยังคงเป็น เงินออม สำหรับนำไปต่อยอดเสริมความมั่งคั่งได้สบาย
มองง่าย ๆ ผ่านมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ซึ่งได้รับเงินเดือน 20,000 บาท ผ่านมา 1 ปี กลับไม่มีเงินเก็บ ก็เลยทดลองจดบันทึกรายรับ- รายจ่ายดูบ้าง เพียง 1 เดือนเขาพบว่า ทุกวันต้องจ่ายค่ากาแฟแก้วละ 40 บาท และจ่ายค่าโดยสารมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 20 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,800 บาท/เดือน
ถามว่า “จำเป็นต้องดื่มกาแฟ และนั่งมอเตอร์ไซค์หรือไม่?”
คำตอบคือ “ไม่จำเป็น” และนั่นคือ “รูรั่วของค่าใช้จ่าย”
เขาตั้งใจ อุด รูรั่วนั้นด้วยการ เลิก ซื้อกาแฟในร้านหรู แต่หันมาทานกาแฟร้านเล็ก ๆ รับรองว่าอร่อยเหมือนกัน แถมยังสบายกระเป๋ากว่า และ งด ใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างแต่หันมาเลือกที่จะเดินแทน ไม่ต้องเสียเงินค่าฟิตเนสและยังได้ออกกำลังกายประโยชน์มากมายได้ถึง 2 ต่อ!!!
เดือนต่อมาเขามีเงินเก็บ 1,800 บาทผ่านไป 1 ปี มีเงินเก็บ 21,600 บาท
หากต้นปีนำเงินไปลงทุนได้รับผลตอบ แทน 10% ผ่านไปอีก 1 ปี เขาจะมีเงินเก็บเกือบ 24,000 บาท!! ถ้าบวกกับเงินเก็บของปีที่เพิ่งผ่านมา พบว่า เวลาผ่านไปแค่ 2 ปีแต่เขามีเงินออมเกือบ 50,000 บาท
อยากทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายต้องทำอย่างไร?
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยสมุดเพียง 1 เล่ม ตีตาราง 4 ช่อง บันทึกวัน เดือน ปี/รายรับ/รายจ่าย/ช่องบันทึกช่วยจำสั้น ๆ เมื่อครบ 1 เดือนก็จะรู้ถึงพฤติกรรมการใช้เงินว่าส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปด้วยเหตุผลหรืออารมณ์
เส้นทางเศรษฐีไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดใครที่เคยทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายมักจะรู้ดี
เพียงมีเป้าหมายหากขาดความ จำ ความ อดทน และความมี วินัย อย่างสูงสุด ก็คงไปได้ไม่ถึงฝั่งฝัน
ดังนั้นการสร้างนิสัยให้ ขยันจด นั้นไม่ง่าย แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำได้ดี กลับเป็น ขยันจ่าย เสียมากกว่า
“อยากเป็นเศรษฐี เริ่มต้นได้ แค่เริ่มจด” แล้วคุณจะพบเส้นทางสู่ความมั่งคั่งฉบับคาร์ลอสอย่างแน่นอน.
http://www.dailynews.co.th/Content/Arti ... 0%E0%B8%B5
วันเสาร์ 11 มกราคม 2557 เวลา 00:00 น.
ถ้าถามว่า...ใครกันที่ รวย ที่สุดในประเทศไทย?
คำตอบนั้นคงต้องยกให้แด่ “เจ้าสัว แห่งซีพี” ซึ่งคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
แล้วรู้ไหมว่าใคร รวย ที่สุดในโลก?
บิลเกตส์หรือ? วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ไม่ใช่...
นิตยสารฟอร์บส์ได้จัดอันดับมหาเศรษฐีประจำปี 2556 แต่ผลปรากฏ บิล เกตส์ กลับครองเพียงอันดับ 2ในขณะที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ร่วงมาอยู่ที่อันดับ 4 ส่วนเจ้าสัวซีพีอย่าง ธนินท์เจียรวนนท์ ติดอันดับที่ 58!
จำชื่อให้ดีอภิมหาเศรษฐีของโลกนั้น เขาคือ คาร์ลอส สลิม เจ้าของธุรกิจสื่อสารชาวเม็กซิกัน ที่ครั้งนี้ครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสูงถึงกว่า 2.3 ล้านล้านบาท
แล้วเขาทำได้อย่างไร?
มาไขเคล็ดลับสู่เส้นทางเศรษฐีฉบับคาร์ลอสกันเถอะ
แรกเริ่มคาร์ลอสได้รับการปลูกฝังจาก คุณพ่อให้มีความรับผิดชอบและมี วินัยทางการเงิน ตั้งแต่เด็กโดยสอนให้เขารู้จักจด “รายรับ-รายจ่าย” ในแต่ละวัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะทำให้รู้จักบริหารจัดการทรัพย์สิน และถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยไขไปสู่ความมั่งคั่งได้
ด้วยความ ขยันและมีวินัย ของคาร์ลอสซึ่งพิสูจน์ได้จาก การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทุก วันอย่างต่อเนื่องทำให้เขาสังเกตเห็น จุดรั่วไหลของเงิน ได้อย่างชัดเจนและอุดรูรั่วนั้นได้อย่างตรงจุด
นอกจากนั้นยังเพิ่มอุปนิสัยของการเป็น คนรู้จักคิดก่อนซื้อ ขึ้นมาอีกด้วย
เคยสังเกตไหมว่าเงินมักออกจากกระเป๋าง่ายเสมอ ทันทีที่มีความต้องการ อยากจะซื้อ แม้หลายครั้งข้าวของเหล่านั้นกลับมากองให้ฝุ่นจับอย่างไร้ประโยชน์
หากคิดมุมกลับถ้าตัดสินใจไม่ซื้อของ ชิ้นนั้น เงินที่จะต้องหลุดลอยไป ก็จะยังคงเป็น เงินออม สำหรับนำไปต่อยอดเสริมความมั่งคั่งได้สบาย
มองง่าย ๆ ผ่านมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ซึ่งได้รับเงินเดือน 20,000 บาท ผ่านมา 1 ปี กลับไม่มีเงินเก็บ ก็เลยทดลองจดบันทึกรายรับ- รายจ่ายดูบ้าง เพียง 1 เดือนเขาพบว่า ทุกวันต้องจ่ายค่ากาแฟแก้วละ 40 บาท และจ่ายค่าโดยสารมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 20 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,800 บาท/เดือน
ถามว่า “จำเป็นต้องดื่มกาแฟ และนั่งมอเตอร์ไซค์หรือไม่?”
คำตอบคือ “ไม่จำเป็น” และนั่นคือ “รูรั่วของค่าใช้จ่าย”
เขาตั้งใจ อุด รูรั่วนั้นด้วยการ เลิก ซื้อกาแฟในร้านหรู แต่หันมาทานกาแฟร้านเล็ก ๆ รับรองว่าอร่อยเหมือนกัน แถมยังสบายกระเป๋ากว่า และ งด ใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างแต่หันมาเลือกที่จะเดินแทน ไม่ต้องเสียเงินค่าฟิตเนสและยังได้ออกกำลังกายประโยชน์มากมายได้ถึง 2 ต่อ!!!
เดือนต่อมาเขามีเงินเก็บ 1,800 บาทผ่านไป 1 ปี มีเงินเก็บ 21,600 บาท
หากต้นปีนำเงินไปลงทุนได้รับผลตอบ แทน 10% ผ่านไปอีก 1 ปี เขาจะมีเงินเก็บเกือบ 24,000 บาท!! ถ้าบวกกับเงินเก็บของปีที่เพิ่งผ่านมา พบว่า เวลาผ่านไปแค่ 2 ปีแต่เขามีเงินออมเกือบ 50,000 บาท
อยากทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายต้องทำอย่างไร?
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยสมุดเพียง 1 เล่ม ตีตาราง 4 ช่อง บันทึกวัน เดือน ปี/รายรับ/รายจ่าย/ช่องบันทึกช่วยจำสั้น ๆ เมื่อครบ 1 เดือนก็จะรู้ถึงพฤติกรรมการใช้เงินว่าส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปด้วยเหตุผลหรืออารมณ์
เส้นทางเศรษฐีไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดใครที่เคยทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายมักจะรู้ดี
เพียงมีเป้าหมายหากขาดความ จำ ความ อดทน และความมี วินัย อย่างสูงสุด ก็คงไปได้ไม่ถึงฝั่งฝัน
ดังนั้นการสร้างนิสัยให้ ขยันจด นั้นไม่ง่าย แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำได้ดี กลับเป็น ขยันจ่าย เสียมากกว่า
“อยากเป็นเศรษฐี เริ่มต้นได้ แค่เริ่มจด” แล้วคุณจะพบเส้นทางสู่ความมั่งคั่งฉบับคาร์ลอสอย่างแน่นอน.
http://www.dailynews.co.th/Content/Arti ... 0%E0%B8%B5
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4887
เรื่องหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ควรละเลยคือ การสอนลูกให้ใช้เงินเป็น เพราะในอนาคตเมื่อลูกเติบโตขึ้น แต่ไม่รู้จักวิธีใช้หรือบริหารเงินที่ถูกต้อง เงินที่มีอยู่ก็มีโอกาสที่จะลดลงได้ง่าย
วันศุกร์ 11 มกราคม 2556 เวลา 06:05 น.
ลูกนับว่าเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ทุกคน การจะเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่และประสบความสำเร็จต้องอาศัยการสั่งสอนในหลายๆ เรื่อง และเรื่องหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ควรละเลยคือ การสอนลูกให้ใช้เงินเป็น เพราะในอนาคตเมื่อลูกเติบโตขึ้น แต่ไม่รู้จักวิธีใช้หรือบริหารเงินที่ถูกต้อง เงินที่มีอยู่ก็มีโอกาสที่จะลดลงได้ง่าย เราจึงนำ 8 เทคนิคง่ายๆ เพื่อสอนเรื่องการใช้เงินเบื้องต้นมาฝากกันค่ะ
1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เทคนิคในการจัดการเงินทองขั้นตอนแรกที่พ่อแม่ควรสอนลูกคือ การทำบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้ว่า เงินค่าขนมที่ได้รับในแต่ละวันถูกใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง เช่น ค่าขนม ค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง หากเงินที่ได้รับในแต่ละวัน ไม่พอใช้จ่าย บัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยให้ทราบว่า ควรปรับลดค่าใช้จ่ายส่วนใด เพื่อให้เงินค่าขนมที่ได้รับในแต่ละวันเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
2. ออมก่อนใช้ เมื่อได้รับเงินค่าขนม เด็กๆ มักจะใช้เงินที่มีจนหมด และไม่เหลือเก็บออม การสอนให้ลูกออมเงินเพื่อเป้าหมายต่างๆ เป็นสิ่งที่จะช่วยปลูกฝังนิสัยรักการออมของลูกได้ ยกตัวอย่างเช่น หากลูกอยากได้จักรยานราคา 1,500 บาท พ่อแม่ควรสอนให้ลูกออมเงิน โดยวิธีการออมที่จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นคือ การตั้งเป้าหมายและออมก่อนใช้ เช่น ลูกได้รับเงินค่าขนมสัปดาห์ละ 300 บาท การหักเงินเพื่อออมสำหรับค่าจักรยานก่อนใช้จ่ายสัปดาห์ละ 30 บาท จะช่วยให้ลูกสามารถออมเพื่อจักรยานได้ภายใน 1 ปี ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจกับของที่ซื้อได้ด้วยเงินเก็บของตัวเอง
3. ซื้อเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น ของเล่นกับเด็กมักเป็นของคู่กัน บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักใจอ่อนเมื่อลูกร้องขอให้ซื้อของเล่นที่ตนอยากได้ การซื้อของเล่นให้เป็นประจำจะทำให้ลูกไม่รู้จักค่าของเงิน และอาจสร้างนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้เกิดขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การปฏิเสธคำขอร้องให้ซื้อของเล่นและอธิบายถึงการใช้เงินในการซื้อของที่จำเป็นจะช่วยสร้างนิสัยที่ดีในการใช้จ่ายเงิน นอกจากนี้ พ่อแม่ยังสามารถให้ของเล่นเป็นรางวัลให้กับลูกในการทำความดีต่างๆ เช่น สอบได้คะแนนดี หรือช่วยทำงานบ้าน เพื่อให้ลูกรู้จักถึงคุณค่าของการทำความดีและรู้ถึงคุณค่าของของเล่นที่ได้รับ
4. อย่าซื้อสินค้าเพราะของแถม สติ๊กเกอร์ ของเล่น หรือตุ๊กตา ของแถมเหล่านี้มักล่อใจให้เด็กๆ ซื้อขนมเกินความจำเป็น บางคนถึงขนาด ทิ้งขนมเพื่อเอาแต่ของแถมเลยก็มี พ่อแม่จึงควรสอนให้ลูกอย่าซื้อขนมเพื่อของแถม เพราะเป็นการใช้จ่ายเงินที่สิ้นเปลือง โดยควรเก็บเงินที่จะซื้อขนมพ่วงของแถมมาออมเพื่อซื้อของเล่นชิ้นใหญ่จะดีกว่า
5. รู้จักการซื้อของแบบปลีกและส่ง เทคนิคในการเลือกซื้อของอย่างง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถแนะนำให้ลูกทำได้คือ การซื้อของแบบหลายชิ้นหรือยกโหลจะได้ราคาต่อชิ้นที่ถูกกว่าการซื้อแบบชิ้นเดียว โดยเทคนิคนี้จะใช้ได้ดีกับสินค้าที่เราใช้เป็นประจำเป็นจำนวนมากเช่น ดินสอ สมุด เป็นต้น สมมติ ดินสอราคาแท่งละ 5 บาท ซื้อยกโหลจะได้ราคาโหลละ 50 บาท หากใช้ดินสอเดือนละ 5 แท่ง พ่อแม่ควรซื้อแบบยกโหล เพราะใช้เพียง 2 เดือนครึ่ง ดินสอ 1 โหลก็จะหมดไป และจะช่วยให้ประหยัดเงินได้โหลละ 10 บาท อย่างไรก็ดี ของบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องซื้อยกโหล เพราะมีอายุการใช้งานที่นาน เช่น ยางลบหรือไม้บรรทัด การซื้อแบบยกโหลอาจทำให้ซื้อของมามากเกินความจำเป็นได้
6. ซื้อสดดีกว่าซื้อผ่อน เพราะนอกจากจะได้ราคาสินค้าที่ถูกกว่าแล้ว ยังไม่ต้องเป็นหนี้ธนาคารหรือสถาบันการเงินไหนอีกด้วย ผิดกับการซื้อด้วยเงินผ่อนที่ราคามักจะสูงกว่าการซื้อด้วยเงินสด เพราะคนขายบวกดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไป เพื่อให้คุ้มค่ากับการรอคอยที่ได้รับเงินชำระค่าสินค้านาน ทำให้ราคาขายสินค้าด้วยเงินผ่อนสูงกว่าการขายสินค้าเงินสด ดังนั้น หากยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้า อาจเก็บเงินไปก่อนเพื่อซื้อด้วยเงินสด เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
7. รู้จักกับการใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักทำบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตให้ลูกไว้กดเงินหรือรูดซื้อสินค้าต่างๆ แต่การใช้บัตรเหล่านี้อย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้ลูกใช้เงินเกินตัว พ่อแม่จึงควรสอนให้ลูกใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็น ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รวมทั้งความปลอดภัยในการใช้บัตร เช่น การเปลี่ยนรหัสบัตรเอทีเอ็มเป็นประจำ ไม่บอกรหัสบัตรกับเพื่อนๆ การเซ็นด้านหลังบัตรเดบิต รวมถึงการดูแลรักษาบัตรไม่ให้สูญหาย ซึ่งจะช่วยให้พ่อแม่อุ่นใจได้ว่า เงินที่ตนตั้งใจฝากไว้ให้ลูกใช้จ่ายจะไม่ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ
8. แบ่งปันให้กับผู้ด้อยโอกาส เมื่อเด็กๆ เติบโตขึ้นมักจะมีของเล่นที่ไม่ใช้แล้ว การนำของเล่นเหล่านี้ไปบริจาคให้กับผู้ด้อยโอกาส เช่น สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือ เด็กพิการ นอกจากจะใช้ของเล่นที่มีอยู่ให้คุ้มค่าแล้ว ยังเป็นการสอนให้ลูกรู้จักการแบ่งปันให้กับผู้อื่น และยังให้ลูกได้รู้ถึงคุณค่าของสิ่งของหรือของเล่นที่ตนเองมี
สอนลูกเรื่องใช้จ่ายเงินไม่ใช่เรื่องยาก โดยพ่อแม่สามารถสอนสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกได้ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาไปจนถึงมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ พ่อแม่สามารถสอนลูกให้รู้จักกับการออมและลงทุน เช่น การเปิดบัญชีเงินฝาก หรือการเริ่มต้นในกองทุนรวม เพื่อช่วยให้เงินที่เก็บออมมางอกเงยเป็นเงินก้อนใหญ่ได้รวดเร็วขึ้นค่ะ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ [email protected] และ เว็บบอร์ด K-Expert ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert และติดตามข่าวสารการเงินได้ที่ Twitter@KBank_Expert
อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
เอามาฝากพวกเราจาก fanpage ของผม ^^
วันศุกร์ 11 มกราคม 2556 เวลา 06:05 น.
ลูกนับว่าเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ทุกคน การจะเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่และประสบความสำเร็จต้องอาศัยการสั่งสอนในหลายๆ เรื่อง และเรื่องหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ควรละเลยคือ การสอนลูกให้ใช้เงินเป็น เพราะในอนาคตเมื่อลูกเติบโตขึ้น แต่ไม่รู้จักวิธีใช้หรือบริหารเงินที่ถูกต้อง เงินที่มีอยู่ก็มีโอกาสที่จะลดลงได้ง่าย เราจึงนำ 8 เทคนิคง่ายๆ เพื่อสอนเรื่องการใช้เงินเบื้องต้นมาฝากกันค่ะ
1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เทคนิคในการจัดการเงินทองขั้นตอนแรกที่พ่อแม่ควรสอนลูกคือ การทำบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้ว่า เงินค่าขนมที่ได้รับในแต่ละวันถูกใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง เช่น ค่าขนม ค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง หากเงินที่ได้รับในแต่ละวัน ไม่พอใช้จ่าย บัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยให้ทราบว่า ควรปรับลดค่าใช้จ่ายส่วนใด เพื่อให้เงินค่าขนมที่ได้รับในแต่ละวันเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
2. ออมก่อนใช้ เมื่อได้รับเงินค่าขนม เด็กๆ มักจะใช้เงินที่มีจนหมด และไม่เหลือเก็บออม การสอนให้ลูกออมเงินเพื่อเป้าหมายต่างๆ เป็นสิ่งที่จะช่วยปลูกฝังนิสัยรักการออมของลูกได้ ยกตัวอย่างเช่น หากลูกอยากได้จักรยานราคา 1,500 บาท พ่อแม่ควรสอนให้ลูกออมเงิน โดยวิธีการออมที่จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นคือ การตั้งเป้าหมายและออมก่อนใช้ เช่น ลูกได้รับเงินค่าขนมสัปดาห์ละ 300 บาท การหักเงินเพื่อออมสำหรับค่าจักรยานก่อนใช้จ่ายสัปดาห์ละ 30 บาท จะช่วยให้ลูกสามารถออมเพื่อจักรยานได้ภายใน 1 ปี ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจกับของที่ซื้อได้ด้วยเงินเก็บของตัวเอง
3. ซื้อเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น ของเล่นกับเด็กมักเป็นของคู่กัน บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักใจอ่อนเมื่อลูกร้องขอให้ซื้อของเล่นที่ตนอยากได้ การซื้อของเล่นให้เป็นประจำจะทำให้ลูกไม่รู้จักค่าของเงิน และอาจสร้างนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้เกิดขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การปฏิเสธคำขอร้องให้ซื้อของเล่นและอธิบายถึงการใช้เงินในการซื้อของที่จำเป็นจะช่วยสร้างนิสัยที่ดีในการใช้จ่ายเงิน นอกจากนี้ พ่อแม่ยังสามารถให้ของเล่นเป็นรางวัลให้กับลูกในการทำความดีต่างๆ เช่น สอบได้คะแนนดี หรือช่วยทำงานบ้าน เพื่อให้ลูกรู้จักถึงคุณค่าของการทำความดีและรู้ถึงคุณค่าของของเล่นที่ได้รับ
4. อย่าซื้อสินค้าเพราะของแถม สติ๊กเกอร์ ของเล่น หรือตุ๊กตา ของแถมเหล่านี้มักล่อใจให้เด็กๆ ซื้อขนมเกินความจำเป็น บางคนถึงขนาด ทิ้งขนมเพื่อเอาแต่ของแถมเลยก็มี พ่อแม่จึงควรสอนให้ลูกอย่าซื้อขนมเพื่อของแถม เพราะเป็นการใช้จ่ายเงินที่สิ้นเปลือง โดยควรเก็บเงินที่จะซื้อขนมพ่วงของแถมมาออมเพื่อซื้อของเล่นชิ้นใหญ่จะดีกว่า
5. รู้จักการซื้อของแบบปลีกและส่ง เทคนิคในการเลือกซื้อของอย่างง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถแนะนำให้ลูกทำได้คือ การซื้อของแบบหลายชิ้นหรือยกโหลจะได้ราคาต่อชิ้นที่ถูกกว่าการซื้อแบบชิ้นเดียว โดยเทคนิคนี้จะใช้ได้ดีกับสินค้าที่เราใช้เป็นประจำเป็นจำนวนมากเช่น ดินสอ สมุด เป็นต้น สมมติ ดินสอราคาแท่งละ 5 บาท ซื้อยกโหลจะได้ราคาโหลละ 50 บาท หากใช้ดินสอเดือนละ 5 แท่ง พ่อแม่ควรซื้อแบบยกโหล เพราะใช้เพียง 2 เดือนครึ่ง ดินสอ 1 โหลก็จะหมดไป และจะช่วยให้ประหยัดเงินได้โหลละ 10 บาท อย่างไรก็ดี ของบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องซื้อยกโหล เพราะมีอายุการใช้งานที่นาน เช่น ยางลบหรือไม้บรรทัด การซื้อแบบยกโหลอาจทำให้ซื้อของมามากเกินความจำเป็นได้
6. ซื้อสดดีกว่าซื้อผ่อน เพราะนอกจากจะได้ราคาสินค้าที่ถูกกว่าแล้ว ยังไม่ต้องเป็นหนี้ธนาคารหรือสถาบันการเงินไหนอีกด้วย ผิดกับการซื้อด้วยเงินผ่อนที่ราคามักจะสูงกว่าการซื้อด้วยเงินสด เพราะคนขายบวกดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไป เพื่อให้คุ้มค่ากับการรอคอยที่ได้รับเงินชำระค่าสินค้านาน ทำให้ราคาขายสินค้าด้วยเงินผ่อนสูงกว่าการขายสินค้าเงินสด ดังนั้น หากยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้า อาจเก็บเงินไปก่อนเพื่อซื้อด้วยเงินสด เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
7. รู้จักกับการใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักทำบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตให้ลูกไว้กดเงินหรือรูดซื้อสินค้าต่างๆ แต่การใช้บัตรเหล่านี้อย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้ลูกใช้เงินเกินตัว พ่อแม่จึงควรสอนให้ลูกใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็น ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รวมทั้งความปลอดภัยในการใช้บัตร เช่น การเปลี่ยนรหัสบัตรเอทีเอ็มเป็นประจำ ไม่บอกรหัสบัตรกับเพื่อนๆ การเซ็นด้านหลังบัตรเดบิต รวมถึงการดูแลรักษาบัตรไม่ให้สูญหาย ซึ่งจะช่วยให้พ่อแม่อุ่นใจได้ว่า เงินที่ตนตั้งใจฝากไว้ให้ลูกใช้จ่ายจะไม่ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ
8. แบ่งปันให้กับผู้ด้อยโอกาส เมื่อเด็กๆ เติบโตขึ้นมักจะมีของเล่นที่ไม่ใช้แล้ว การนำของเล่นเหล่านี้ไปบริจาคให้กับผู้ด้อยโอกาส เช่น สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือ เด็กพิการ นอกจากจะใช้ของเล่นที่มีอยู่ให้คุ้มค่าแล้ว ยังเป็นการสอนให้ลูกรู้จักการแบ่งปันให้กับผู้อื่น และยังให้ลูกได้รู้ถึงคุณค่าของสิ่งของหรือของเล่นที่ตนเองมี
สอนลูกเรื่องใช้จ่ายเงินไม่ใช่เรื่องยาก โดยพ่อแม่สามารถสอนสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกได้ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาไปจนถึงมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ พ่อแม่สามารถสอนลูกให้รู้จักกับการออมและลงทุน เช่น การเปิดบัญชีเงินฝาก หรือการเริ่มต้นในกองทุนรวม เพื่อช่วยให้เงินที่เก็บออมมางอกเงยเป็นเงินก้อนใหญ่ได้รวดเร็วขึ้นค่ะ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ [email protected] และ เว็บบอร์ด K-Expert ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert และติดตามข่าวสารการเงินได้ที่ Twitter@KBank_Expert
อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
เอามาฝากพวกเราจาก fanpage ของผม ^^
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4888
ขอบคุณครับที่มีกระทู้แนะนำหนังสือ มีข้อคิดเห็นประการใดเชิญแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ^^
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=15&t=57275
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=15&t=57275
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4889
ผมซื้อมาแล้ว..Paul VI เขียน:ขอบคุณครับที่มีกระทู้แนะนำหนังสือ มีข้อคิดเห็นประการใดเชิญแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ^^
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=15&t=57275
อ่านง่ายดีครับคุณหมอ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4890
ขอบคุณครับ น้องสายชลsaichon เขียน:ผมซื้อมาแล้ว..Paul VI เขียน:ขอบคุณครับที่มีกระทู้แนะนำหนังสือ มีข้อคิดเห็นประการใดเชิญแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ^^
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=15&t=57275
อ่านง่ายดีครับคุณหมอ
ขอโทษทีครับ ช่วงนี้ภารกิจรัดตัวมากมาย เพิ่งได้เข้ามาตอบนี่ล่ะครับ