สูตรยา
- todsapon
- Verified User
- โพสต์: 1137
- ผู้ติดตาม: 0
สูตรยา
โพสต์ที่ 1
สูตรป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ
สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ
สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
- shanghaigeny
- Verified User
- โพสต์: 3530
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 3
ออกกำลังกายครับ น่าจะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแล้วมั้ง ป้องกันโรคได้สารพัด แถมทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 4
มีสถาบันไหนรับรองไหมครับtodsapon เขียน:สูตรป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ
สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 5
แม้นไม่มีสถาบันใดรับรอง
แม้นไม่ได้ผล แต่เมื่อกินไปก็เป็นอาหาร และรู้สึกอิ่มท้อง ประทังหิวหรือไม่ทำให้ท้องว่าง ไม่เป็นโรคกระเพาะ
ถ้ากินมากไป มีผลข้างเคียงคงรุนแรงไม่เท่ายาที่โรงพยาบาล(ย่อๆจะใช้คำว่า--> ยา)
ราคาก็ไม่แพง ค่ายาที่เสียไปนี้ก็กลายมาเป็นค่าอาหารเพื่อให้ท้องอิ่มแทน
เงินทองก็ตกอยู่ที่ชาวสวน
แพทย์ทางเลือกในเรืองสมุนไพรก็เจริญขึ้น
ยาต่างๆที่โรงพยาบาลให้ มีสถาบันรับรอง
รับรองอะไร เป็นการรับรองว่า ยาตัวนี้เป็นยาที่แก้เฉพาะอาการที่เกิดขึ้นได้หายไป
ตัวอย่างเช่น น้ำมูกไหล ก็กินยาที่มีฤทธิ์(สถาบันให้การรับรอง)สามารถลดหรือหยุดน้ำมูกไหล
สถาบันที่รับรองก็มีการบอกว่า ยานี้มีผลต่อตับหรือไตหรือฮอร์โมนหรืออื่นๆ
แต่มีใครรู้บ้าง หมอจ่ายยารู้หรือไม่รู้(ไม่ทราบ) เภสัชก็บอกหรือไม่บอก ในที่สุดก็จ่ายยาให้เรา
โดยที่ผ่านมาก็ไม่ชี้แจงหรือชี้แจง(คนไข้ฟังหรือไม่ฟัง)
แต่คนไข้ก็ไม่สนใจ
สั้นๆคือบริษัทยารวย
และมีผลให้โรงพยาบาลรวย
ปันผลได้มากๆ
แม้นไม่ได้ผล แต่เมื่อกินไปก็เป็นอาหาร และรู้สึกอิ่มท้อง ประทังหิวหรือไม่ทำให้ท้องว่าง ไม่เป็นโรคกระเพาะ
ถ้ากินมากไป มีผลข้างเคียงคงรุนแรงไม่เท่ายาที่โรงพยาบาล(ย่อๆจะใช้คำว่า--> ยา)
ราคาก็ไม่แพง ค่ายาที่เสียไปนี้ก็กลายมาเป็นค่าอาหารเพื่อให้ท้องอิ่มแทน
เงินทองก็ตกอยู่ที่ชาวสวน
แพทย์ทางเลือกในเรืองสมุนไพรก็เจริญขึ้น
ยาต่างๆที่โรงพยาบาลให้ มีสถาบันรับรอง
รับรองอะไร เป็นการรับรองว่า ยาตัวนี้เป็นยาที่แก้เฉพาะอาการที่เกิดขึ้นได้หายไป
ตัวอย่างเช่น น้ำมูกไหล ก็กินยาที่มีฤทธิ์(สถาบันให้การรับรอง)สามารถลดหรือหยุดน้ำมูกไหล
สถาบันที่รับรองก็มีการบอกว่า ยานี้มีผลต่อตับหรือไตหรือฮอร์โมนหรืออื่นๆ
แต่มีใครรู้บ้าง หมอจ่ายยารู้หรือไม่รู้(ไม่ทราบ) เภสัชก็บอกหรือไม่บอก ในที่สุดก็จ่ายยาให้เรา
โดยที่ผ่านมาก็ไม่ชี้แจงหรือชี้แจง(คนไข้ฟังหรือไม่ฟัง)
แต่คนไข้ก็ไม่สนใจ
สั้นๆคือบริษัทยารวย
และมีผลให้โรงพยาบาลรวย
ปันผลได้มากๆ
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 6
ที่เขาบอกมาก็ไม่มีอะไรผิดตรงไหนนะครับ
ในขิง น้ำขิง น้ำมันขิง และ ขมิ้น มีสารสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ อยู่แล้ว เข้าใจว่าที่เอาไปผสมกับนม ทำให้ทานง่ายขึ้น
ส่วนในน้ำมะนาว มีวิตามินซีสูงมาก ทำหน้าที่เป็น Antioxidant ประเภทหนึ่ง ช่วยป้องกันมะเร็งและชะลอความแก่ได้ ไม่รู้ทำไมเอาไปผสมกับโซดา คิดว่าคงเพื่อให้ทานง่าย
แต่ที่จริงผมว่าทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลายน่าจะดีกว่า
อย่างน้ำมะนาวเป็นกรด ถ้าทานไปมาก ๆ เกินไปอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้เหมือนกัน
ยังมี Antioxidant อีกตั้งมากมายหลายชนิด ที่มีอยู่ในอาหารอร่อย ๆ หาได้ในธรรมชาติ
ในขิง น้ำขิง น้ำมันขิง และ ขมิ้น มีสารสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ อยู่แล้ว เข้าใจว่าที่เอาไปผสมกับนม ทำให้ทานง่ายขึ้น
ส่วนในน้ำมะนาว มีวิตามินซีสูงมาก ทำหน้าที่เป็น Antioxidant ประเภทหนึ่ง ช่วยป้องกันมะเร็งและชะลอความแก่ได้ ไม่รู้ทำไมเอาไปผสมกับโซดา คิดว่าคงเพื่อให้ทานง่าย
แต่ที่จริงผมว่าทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลายน่าจะดีกว่า
อย่างน้ำมะนาวเป็นกรด ถ้าทานไปมาก ๆ เกินไปอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้เหมือนกัน
ยังมี Antioxidant อีกตั้งมากมายหลายชนิด ที่มีอยู่ในอาหารอร่อย ๆ หาได้ในธรรมชาติ
chatchai เขียน:มีสถาบันไหนรับรองไหมครับtodsapon เขียน:สูตรป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ
น้ำมันขิงหรือน้ำมันงา 1 ช้อน นม 1 กล่อง ขมิ้นชัน 1 ช้อน ผสมให้เข้ากันป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ
สูตรป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวกับโซดาป้องกันมะเร็ง กินทุกวันช่วยให้แก่ช้า
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 7
เล่นมั่ง
งดอาหารหลังเที่ยง กินได้แค่ผลไม้ขนาดไม่เกินกำปั้นและน้ำเปล่า ห้ามมีนม แป้ง ถั่ว
จะไม่เป็นกรดไหลย้อน บรรเทาเบาหวาน ความดัน ไขมัน(ไขเรา) ปวดหลัง ปวดเข่า (เพราะไม่อ้วนแระ)
dr1 ด๊อกเต้อร์รางวัลโนเบรนพลิ้ว รับรองความฮา
งดอาหารหลังเที่ยง กินได้แค่ผลไม้ขนาดไม่เกินกำปั้นและน้ำเปล่า ห้ามมีนม แป้ง ถั่ว
จะไม่เป็นกรดไหลย้อน บรรเทาเบาหวาน ความดัน ไขมัน(ไขเรา) ปวดหลัง ปวดเข่า (เพราะไม่อ้วนแระ)
dr1 ด๊อกเต้อร์รางวัลโนเบรนพลิ้ว รับรองความฮา
samatah
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 8
[quote="dr1"]เล่นมั่ง
งดอาหารหลังเที่ยง กินได้แค่ผลไม้ขนาดไม่เกินกำปั้นและน้ำเปล่า ห้ามมีนม แป้ง ถั่ว
จะไม่เป็นกรดไหลย้อน /quote]
กล้วยทอด กับกล้วยบวชชี ได้มั้ยฮ่ะ
ปล.ผมว่าพี่ฉัตรเขาไม่ได้ป่วนหรอกครับ แต่บางทีบางสูตร มันก็ Over claim กันเยอะอ่ะ
งดอาหารหลังเที่ยง กินได้แค่ผลไม้ขนาดไม่เกินกำปั้นและน้ำเปล่า ห้ามมีนม แป้ง ถั่ว
จะไม่เป็นกรดไหลย้อน /quote]
กล้วยทอด กับกล้วยบวชชี ได้มั้ยฮ่ะ
ปล.ผมว่าพี่ฉัตรเขาไม่ได้ป่วนหรอกครับ แต่บางทีบางสูตร มันก็ Over claim กันเยอะอ่ะ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 9
กล้วยทอดมันมีแป้งนะ กล้วยบวชชีก็มีcoconut"milk"แถมมะพร้าวก็ลูกใหญ่กว่ากำปั้นอีก
น่าจะเป็นผลไม้สด มากกว่าแปลรูป แถมให้กินแค่ลูกเดียวอีก
บางตำราก็บอกว่ามะเฟืองไม่ได้(ถ้ามาสงสัยว่ามะเฟืองมันเป็นผักมากกว่าผลไม้เด๋วคุยยาวอีก)
คือจะมายุให้"อด"มากกว่ายุให้"กิน"น่ะครับ
คนสมัยนี้เป็นโรคของการกิน"เกิน"มากกว่า"ขาด"สารอาหาร
กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว
แต่ท่านromee ก็ผอมอยู่นะฮะ ไม่อ้วนแบบผม
น่าจะเป็นผลไม้สด มากกว่าแปลรูป แถมให้กินแค่ลูกเดียวอีก
บางตำราก็บอกว่ามะเฟืองไม่ได้(ถ้ามาสงสัยว่ามะเฟืองมันเป็นผักมากกว่าผลไม้เด๋วคุยยาวอีก)
คือจะมายุให้"อด"มากกว่ายุให้"กิน"น่ะครับ
คนสมัยนี้เป็นโรคของการกิน"เกิน"มากกว่า"ขาด"สารอาหาร
กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว
แต่ท่านromee ก็ผอมอยู่นะฮะ ไม่อ้วนแบบผม
samatah
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 10
ผมอยากจะสร้างสังคมของ ThaiVI เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ข้อมูล เหตุผล ซักถาม ครับ
ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร
เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย
ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร
เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 11
ยาสมุนไพรบางอย่างราคาถูกถ้าลองก็ไม่เสียหายอะไร บางอย่างแพงต้องซื้อก็ควรใช้วิจารณญาณกันเอาเอง ถ้าเรามัวหาเหตุผลกับยาเราคงสรุปไม่ได้เพราะเราไม่มีแล็ปวิจัยสรรพคุณ บางอย่างเราไม่จำเป็นต้องทดลองเองเพราะในอดีตเคยมีคนทดลองและใช้ได้ผลอยู่แล้ว เราก็ควรลองดูไม่น่าจะเสียหายอะไรมาก ยกเว้นสมุนไพรบางชนิดที่มีอาการข้างเคียง เราควรหาความรู้ไว้ก่อน(แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้ลองศึกษา สมุนไพรของไทยมีคนสรุปไว้ให้แล้วว่าพืชชนิดนั้นมีสรรพคุณอย่างนั้น พืชชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างนี้ พืชชนิดนั้นใช้แล้วมีอาการแบบนี้ซึ่งเป็นการโชคดีมากที่มีคนทำตำรายาไว้ให้)
ในสมัยพุทธกาลถ้าเราเคยได้อ่านได้ศึกษามาจะมียาชนิดนึงที่รักษาพิษงูได้(เป็นเรื่องอัศจรรย์มากที่ในอดีตไม่มีเซรุ่มรักษาแต่พระพุทธเจ้ากลับรู้วิธี ถ้าเราได้อ่านประวัติของครูบาอาจารย์หลายๆท่านมักจะพูดถึงยาชนิดนี้ นั่นก็คือถ้าเราโดนงูกัดให้นำขี้เถ้ามาผสมกับอุจจาระของคน(ไม่จำเป็นต้องเป็นขี้ของเราเอง)ปั้นเป็นก้อนขนาดนิ้วหัวแม่มือ กินเข้าไป
เมื่อสักสิบปีที่แล้วมีพระรูปนึงสนิทกันมากท่านชวนผมไปเดินธุดงค์เขตทุ่งใหญ่เนรศวร ผมถามท่านว่าไม่กลัวโดนงูกัดรึ? ท่านบอกว่าไม่กลัวเพราะมียาของพระพุทธเจ้า(ก็คือที่ผมเล่าให้ฟังนั่นแหละ ท่านปั้นเป็ก้อนใส่ไว้ในย่ามตลอดเวลา) ท่านกลับบอกว่าถ้าจะกลัวก็กลัวกระทิงมากกว่า ตอนนั้นผมไม่ทราบว่ามียาชนิดนั้นด้วยเพราะยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก หลังจากนั้นได้อ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายๆท่านก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ (มีอยู่เล่มนึงเป็นของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ท่านเล่าละเอียดมาก ที่บอกว่าทหารโดนงูกัดแล้วนึกถึงหลวงปู่ชาบอก เลยให้ทหารลูกน้องไปถ่ายเเล้วเอาขี้มาผสมกับขี้เถ้า ป้อนให้ทหารที่โดนงูเห่ากัด ตัวทหารคนนั้นตัวเขียวใกล้ตายแล้ว พอได้กินยาก็อาเจียรออกมา รอดตายหวุดหวิด) ถ้าทหารคนนั้นมัวหาเหตุผลมันก็คงไม่สมเหตุผลที่ขี้คนผสมกับขี้เถ้าจะมารักษางูกัดได้ยังไง ทหารคนนั้นถ้ามีอีโก้บ้าวิทยาศาสตร์(เพราะดูๆไปมันไม่น่าจะสมเหตุสมผลอะไร) แกก็คงไม่เชื่อทหารลูกน้องคนนั้นก็คงตายไปแล้ว
ในสมัยพุทธกาลถ้าเราเคยได้อ่านได้ศึกษามาจะมียาชนิดนึงที่รักษาพิษงูได้(เป็นเรื่องอัศจรรย์มากที่ในอดีตไม่มีเซรุ่มรักษาแต่พระพุทธเจ้ากลับรู้วิธี ถ้าเราได้อ่านประวัติของครูบาอาจารย์หลายๆท่านมักจะพูดถึงยาชนิดนี้ นั่นก็คือถ้าเราโดนงูกัดให้นำขี้เถ้ามาผสมกับอุจจาระของคน(ไม่จำเป็นต้องเป็นขี้ของเราเอง)ปั้นเป็นก้อนขนาดนิ้วหัวแม่มือ กินเข้าไป
เมื่อสักสิบปีที่แล้วมีพระรูปนึงสนิทกันมากท่านชวนผมไปเดินธุดงค์เขตทุ่งใหญ่เนรศวร ผมถามท่านว่าไม่กลัวโดนงูกัดรึ? ท่านบอกว่าไม่กลัวเพราะมียาของพระพุทธเจ้า(ก็คือที่ผมเล่าให้ฟังนั่นแหละ ท่านปั้นเป็ก้อนใส่ไว้ในย่ามตลอดเวลา) ท่านกลับบอกว่าถ้าจะกลัวก็กลัวกระทิงมากกว่า ตอนนั้นผมไม่ทราบว่ามียาชนิดนั้นด้วยเพราะยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก หลังจากนั้นได้อ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายๆท่านก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ (มีอยู่เล่มนึงเป็นของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ท่านเล่าละเอียดมาก ที่บอกว่าทหารโดนงูกัดแล้วนึกถึงหลวงปู่ชาบอก เลยให้ทหารลูกน้องไปถ่ายเเล้วเอาขี้มาผสมกับขี้เถ้า ป้อนให้ทหารที่โดนงูเห่ากัด ตัวทหารคนนั้นตัวเขียวใกล้ตายแล้ว พอได้กินยาก็อาเจียรออกมา รอดตายหวุดหวิด) ถ้าทหารคนนั้นมัวหาเหตุผลมันก็คงไม่สมเหตุผลที่ขี้คนผสมกับขี้เถ้าจะมารักษางูกัดได้ยังไง ทหารคนนั้นถ้ามีอีโก้บ้าวิทยาศาสตร์(เพราะดูๆไปมันไม่น่าจะสมเหตุสมผลอะไร) แกก็คงไม่เชื่อทหารลูกน้องคนนั้นก็คงตายไปแล้ว
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- raiden
- Verified User
- โพสต์: 236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 12
chatchai เขียน:ผมอยากจะสร้างสังคมของ ThaiVI เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ข้อมูล เหตุผล ซักถาม ครับ
ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร
เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย
ถ้าอย่างงั้นทำมัยไม่ถามเค้าดี ๆ ล่ะครัช
ว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้อะไรบ้างมั๊ย
แล้วพวกสถาบันต่าง ๆ เฮียแน่ใจแค่ไหนคับว่ามันเชื่อถือได้จริง ๆ ไม่จิงโจ้ หึ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
คนดี คนเก่ง คนรวย คนกล้าหาญ เป็นกันได้ โดยใช้คีย์บอร์ด
- นพพร
- Verified User
- โพสต์: 1039
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 13
คำถามพี่ฉัตรอาจจะดูห้วนไปนิดน่ะครับ เลยแปลเป็นคำพูดเหมือนกระชั้นไปหน่อย แต่ถ้าจะเข้าใจกันจริงๆ และอยู่ในเวปนี้นานพอแล้วจะเข้าใจครับว่ามีเหตุผลจริงๆที่พี่ฉัตรต้องถามเพื่อให้เป็นประเด็นให้หลายๆท่านฝึกคิดฝึกตรึกตรอง แพทย์ทางเลือกหลากหลายสูตรบางครั้งก็มีที่ไม่จริงและหลอกลวงแอบแฝงอยู่ ก็่ถือว่าช่วยๆกันศึกษานะครับ ^^
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 15
ผมไม่ยกโทษให้อ.chatchaiหรอกครับ
เพราะอ.ไม่ได้ทำอะไรผิด(ได้โอกาสแซวอ.แล้ว ดีใจ..ฮ่าๆๆ ปกติผมกลัวอ. มั่กๆ ไม่รุทำไมถึงได้กลัวขนาดนี้)
คือถ้าคิดแบบนักวิชาการ หลักฐานที่เชื่อถือได้(evidence base)ผ่่านขบวนการคำนวนทางสถิติ
ตอนนี้ที่ยอมรับว่าข้อมูลแข็งแรงสุดคือmetaanalysis randomized control trial
(เอางานวิจัยหลายๆอันที่มีการวางแผนเก็บและประมวลข้อมูลแบบสุ่มและไม่ลำเอียง .มายำรวมกันแล้วดูผลลัพท์..
.พูดฟังไม่รู้เรื่องนี่ดูฉลาดดีแฮะเรา อิอิ)
ส่วนexpert opinion หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นหลักฐานอ่อนๆรองลงไปอันดับหลังๆครับ
คือยุคหลังๆ มักให้ความสำคัญกะ"ระบบ" มากกว่า"บุคคล"
แต่ผมเอง ยังคิดแบบโบราณอยู่ คือยังเชื่อว่าบุคคลเก่าๆ มากกว่าระบบใหม่ๆ
เช่น ถ้าจะปฏิบัติธรรม หรือศึกษาหุ้น หาอาจารย์ได้จะดีกว่าเข้าคอร์สที่มีคนจำนวนมาก
อุ๊ย..มาออกเรื่องนี้ได้ไงหว่า...
เพราะอ.ไม่ได้ทำอะไรผิด(ได้โอกาสแซวอ.แล้ว ดีใจ..ฮ่าๆๆ ปกติผมกลัวอ. มั่กๆ ไม่รุทำไมถึงได้กลัวขนาดนี้)
คือถ้าคิดแบบนักวิชาการ หลักฐานที่เชื่อถือได้(evidence base)ผ่่านขบวนการคำนวนทางสถิติ
ตอนนี้ที่ยอมรับว่าข้อมูลแข็งแรงสุดคือmetaanalysis randomized control trial
(เอางานวิจัยหลายๆอันที่มีการวางแผนเก็บและประมวลข้อมูลแบบสุ่มและไม่ลำเอียง .มายำรวมกันแล้วดูผลลัพท์..
.พูดฟังไม่รู้เรื่องนี่ดูฉลาดดีแฮะเรา อิอิ)
ส่วนexpert opinion หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นหลักฐานอ่อนๆรองลงไปอันดับหลังๆครับ
คือยุคหลังๆ มักให้ความสำคัญกะ"ระบบ" มากกว่า"บุคคล"
แต่ผมเอง ยังคิดแบบโบราณอยู่ คือยังเชื่อว่าบุคคลเก่าๆ มากกว่าระบบใหม่ๆ
เช่น ถ้าจะปฏิบัติธรรม หรือศึกษาหุ้น หาอาจารย์ได้จะดีกว่าเข้าคอร์สที่มีคนจำนวนมาก
อุ๊ย..มาออกเรื่องนี้ได้ไงหว่า...
samatah
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 16
ยาดี คือ ไม่มียา ครับ
10 วิธีกินอยู่เลี่ยงยา ลดยา ลดโรค 10 โรคที่ไม่ต้องกินยาเสมอไป
อาจารย์ของผมท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าผู้ใหญ่และผู้สูงวัยรุ่นนี้เป็นโรค “ไต” กันมาก หลายท่านต้องล้างไตกันตั้งแต่อายุไม่เท่าไร
ท่านสงสัยว่าเกิดจาก “ยา” ครับ
โดยเฉพาะยาแก้ปวดที่ถูกจ่ายให้กับผู้ใหญ่สูงวัยทั้งหลายราวกับขนม เพราะความปวดย่อมมาคู่กับวัย แล้วปวดเมื่อไรถ้าไปหาคุณหมอก็ไม่แคล้วโดนจ่ายยาอยู่เนืองๆ
เลยกินยาแก้ปวดอยู่แทบทุกมื้อ
ซึ่งยาแก้ปวดมีผลกับไตมากครับ โดยยาแก้ปวดยอดนิยมกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า “เอ็นเสด(NSAIDs)” นั้นคือตัวการสำคัญ
มันไปรบกวนสารเคมีที่ควบคุมหลอดเลือดฝอยในไต ผลลัพธ์ก็คือทำให้หน่วยไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และในคนที่รับประทานยาแก้ปวดอยู่บ่อยแทบทุกมื้อก็คือการกินยาพิษเข้าไปทำลายไตอยู่เรื่อยๆ
อายุไม่เท่าไหร่ก็ “ไตพัง” กันแล้วครับ
ลดยา ลดโรค
10 โรคที่เลี่ยงยาได้
ข้อสังเกตของอาจารย์ผมท่านนี้ผมเห็นว่ามีส่วนน่าเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านที่รักอยู่มากครับ เพราะอาจารย์ท่านเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณในด้านสรีรวิทยาอีกทั้งตัวท่านเองยังเป็นเภสัชกรอยู่ด้วย
คือเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้ง “หมอยา” เองด้วย
ตลอดชีวิตการเป็นอาจารย์มาร่วม 50 ปีท่านได้เห็นคนไข้และเพื่อนอาจารย์มากมายที่ป่วยด้วยโรคไต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคที่ต้องกินยา “เยอะ” โดยเฉพาะยาแก้ปวด
ผมเลยนึกถึงสมัยก่อนที่ยังไม่มียาฝรั่ง คนไทยเราก็อยู่กันมาได้ ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ต้องพึ่งยาเสมอไปเพราะเรารู้สึกว่ายาเป็นของหายาก แต่พอมายุคนี้ที่ยาเกลื่อนเมือง เลยทำให้นึกถึงยากันง่าย แล้วพอคิดถึงมากเข้ายาก็มาหาเอง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่ไป
คือรุ่น “อุดมยา”
ในกลุ่มของยาที่ควรระวังไม่ได้มีแค่เพียงยาแก้ปวดเท่านั้นนะครับ ยังมียากลุ่มอื่นอีกที่ทำลายตับ,ไต,สมองหรือแม้แต่ทำร้ายสุขภาพในระยะยาว
ดังนั้นโรคที่พอจะดูแลเองได้ก็ขอให้ลองใช้วิธี “ปลอดยา” แบบง่ายๆต่อไปนี้ดูก่อนก็ดีไม่น้อยนะครับ
1) ลดปวด วิธีลดปวดง่ายๆแบบไม่ใช้ยามีอยู่เยอะนะครับ สำหรับอาหารก็มีอยู่เช่น น้ำมันปลา,ขมิ้น,น้ำใบบัวบก ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบอันได้แก่ ปวด,บวม,แดงและร้อนอยู่มาก หากเบื่อรับประทานยาแล้วก็ลองหาของกินธรรมชาติมารับประทานบ้างก็ได้ครับ
2) ลดไข้ เด็กๆที่มีไข้บ่อยหรือแค่ตัวรุมๆ ทางลดไข้ที่ดีทางหนึ่งคือให้ “ดื่มน้ำ” และ “ระบาย” ให้ได้ครับ เด็กที่ท้องไม่ผูกก็จะสบายตัวความร้อนลดลงด้วย เพราะเมื่อมีไข้ก็มักทำให้ท้องผูกร่วมไปด้วยท่านที่รักลองสังเกตดูเถิดครับ อาจหาน้ำผลไม้ชื่นใจให้จิบกับเช็ดตัวลดไข้ร่วมกันไปจะได้ไม่ต้องกินพาราฯให้ลำบากตับบ่อยครับ
3) ความดันสูง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีความดันสูง หากเป็นในช่วงแรกและคุณหมอยังไม่ได้ให้ยาอาจหาวิธีเลี่ยงยาดังนี้คือ ลดน้ำหนักให้ได้ อดบุหรี่และลดเค็ม ส่วนท่านที่เป็นอยู่แล้วอย่าเพิ่งหยุดยาแต่ให้หา “คึ่นช่าย” กับ “กล้วยน้ำว้า” มารับประทานครับเพราะมีฤทธิ์คุมความดันได้และมีแร่ “โพแทสเซียม” ช่วยอีกแรงครับ
4) ท้องเสีย ถ้าเป็นในเด็กก่อนนึกถึงยา “ฆ่าเชื้อ” ขอให้ลองเปลี่ยนนมวัวที่ดื่มมาเป็น “นมผงถั่วเหลือง” และถ้าเด็กกินข้าวไม่ได้ก็ให้จิบน้ำหวานแดงๆที่ชงผสมน้ำก็ได้ครับ แล้วให้ระวังเรื่องหวัดให้หายสนิท ห้ามเอามือเข้าปาก หากซึมมากต้องหาคุณหมอแล้วครับ
5) โรคกระเพาะ ก่อนที่จะรับประทานยาเคลือบกระเพาะเป็นกำมือขอให้แก้ด้วยวิธีง่ายๆก่อนครับ โดยเฉพาะเลี่ยง “อาหารมัน” ป้องกันการนอนดึก ลดน้ำหนักตัวลงแล้วก็นอนหัวสูงครับ อาหารที่ป้องกันกระเพาะและกรดไหลย้อนได้คือ “กล้วยหักมุก” และ “กล้วยน้ำว้าห่าม” รับประทานทุกวันจะช่วยได้ครับ
6) เป็นหวัด อาการหวัดคัดจมูกแต่ละครั้งท่านมักได้ยาอย่างน้อย 3-5 อย่าง ความเสี่ยงก็มากขึ้นตามยาที่รับประทานครับ อาหารป้องกันหวัดมีง่ายๆเช่น ฝรั่งสด,เสาวรส,โป๊ยกั้ก ถ้าจะเอารับประทานง่ายๆแบบอาหารเสริมก็คือวิตามินซีกับสังกะสีครับ
7) ไขมันสูง เป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องกินยาเสมอไป ดูอย่างในสมัยปู่ย่าตายายเราท่านก็ไม่เคยต้องใช้ยาลดไขมัน แต่ก็ไม่เห็นค่อยป่วยเป็นโรคหัวใจมากเท่ายุคนี้ คนที่มีปัญหาไขมันสูงไม่จำเป็นต้องกินยาไป “ตลอดชีวิต” นะครับ มันจะกลายเป็นพิษแทน
8) นอนไม่หลับ อาการนอนไม่หลับจะกลับกลายเป็นภัยร้ายที่ทำลายสุขภาพเราได้ “ลึก” มากครับ ถึงขั้นทำให้ความดันขึ้น,เบาหวานกำเริบและลุกลามไปจนความจำเสื่อมซึมเศร้าได้ ถ้าใช้ยานอนหลับจะกลับทำให้สมองต้องทำงานหนักขึ้นครับ ซึ่งอาหารที่ช่วยนอนมีอยู่มาก อาทิ น้ำผึ้ง,คาร์โมไมล์,ขี้เหล็กและมะตูมครับ ก่อนนอนลองจิบชามะตูมอุ่นๆเหยาะน้ำผึ้งสักนิดแสนสบายท้องครับ
9) โรคอ้วน คนที่เจ้าเนื้อตัวจ้ำม่ำถ้าพึ่งยาลดความอ้วนจะออกฤทธิ์กลับตาลปัตรให้อ้วนหนักขึ้น ก่อนที่จะนึกถึงทางลัดจัดยาเข้าปาก ขอให้ลองแก้ที่ทางง่ายๆก่อนอย่างรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้น,งดนอนดึกและลดกินแป้งกับน้ำตาลลง ถ้าเอาไม่อยู่จริงค่อยใช้ตัวช่วยเล็กๆอย่างเม็ดแมงลักที่ช่วยให้อิ่มไวและกินถั่วลิสงเข้าไว้ให้หายหิวจะปลอดภัยกว่ากันเยอะครับ
10) คออักเสบ อาการเจ็บคอน่ารำคาญที่เพิ่งเริ่มต้น หรืออาการที่เจ็บคอบ่อยจนน่ารำคาญ อย่าเพิ่งท้อแท้ที่กินยาหมดทุกขนานแล้วช่วยไม่ได้ ท่านอาจใช้วิธีง่ายๆก่อนหยิบยาเข้าปากโดยเริ่มจากฝรั่งสด,น้ำเสาวรสและมะขามป้อม แต่ถ้าหาลำบากให้รับประทานวิตามินซีกับสังกะสีช่วยเพิ่มภูมิครับ สำหรับท่านที่ไอร่วมด้วยให้ใช้น้ำผึ้งผสมกับมะนาวรวมกันสดๆไม่ต้องเติมน้ำจิบบ่อยๆครับ
ยังมีอาการอื่นอีกมากครับที่คนรุ่นปู่ย่าเราท่านไม่ต้องพึ่งยาก็อยู่กันมาได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อาการปวดลูกตาที่เกิดจากใช้สายตาหน้าจอนานมากก็อาจหาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นบิดหมาดมาประคบไว้หลับตาสบายๆ หรือท่านที่มีปัญหาตาช้ำบวมง่ายก็แก้ที่ทำให้หายคัดจมูกแล้วเอาช้อนเหล็กมาแช่เย็นก่อนประคบตาไว้จะช่วยลดบวมรอบดวงตาได้
ก่อนที่ท่านจะหยิบยามื้อต่อไปขอให้ลองค่อยๆนึกก่อนก็ได้ครับว่าถ้าไม่มียาเราจะรักษามันด้วยวิธีธรรมชาติอย่างไร ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าท่านที่รักทุกท่านทำได้
แค่เรานึกถึงยาให้น้อยลง
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช
http://www.bangkokvoice.com/2014/03/10/k/
10 วิธีกินอยู่เลี่ยงยา ลดยา ลดโรค 10 โรคที่ไม่ต้องกินยาเสมอไป
อาจารย์ของผมท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าผู้ใหญ่และผู้สูงวัยรุ่นนี้เป็นโรค “ไต” กันมาก หลายท่านต้องล้างไตกันตั้งแต่อายุไม่เท่าไร
ท่านสงสัยว่าเกิดจาก “ยา” ครับ
โดยเฉพาะยาแก้ปวดที่ถูกจ่ายให้กับผู้ใหญ่สูงวัยทั้งหลายราวกับขนม เพราะความปวดย่อมมาคู่กับวัย แล้วปวดเมื่อไรถ้าไปหาคุณหมอก็ไม่แคล้วโดนจ่ายยาอยู่เนืองๆ
เลยกินยาแก้ปวดอยู่แทบทุกมื้อ
ซึ่งยาแก้ปวดมีผลกับไตมากครับ โดยยาแก้ปวดยอดนิยมกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า “เอ็นเสด(NSAIDs)” นั้นคือตัวการสำคัญ
มันไปรบกวนสารเคมีที่ควบคุมหลอดเลือดฝอยในไต ผลลัพธ์ก็คือทำให้หน่วยไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และในคนที่รับประทานยาแก้ปวดอยู่บ่อยแทบทุกมื้อก็คือการกินยาพิษเข้าไปทำลายไตอยู่เรื่อยๆ
อายุไม่เท่าไหร่ก็ “ไตพัง” กันแล้วครับ
ลดยา ลดโรค
10 โรคที่เลี่ยงยาได้
ข้อสังเกตของอาจารย์ผมท่านนี้ผมเห็นว่ามีส่วนน่าเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านที่รักอยู่มากครับ เพราะอาจารย์ท่านเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณในด้านสรีรวิทยาอีกทั้งตัวท่านเองยังเป็นเภสัชกรอยู่ด้วย
คือเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้ง “หมอยา” เองด้วย
ตลอดชีวิตการเป็นอาจารย์มาร่วม 50 ปีท่านได้เห็นคนไข้และเพื่อนอาจารย์มากมายที่ป่วยด้วยโรคไต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคที่ต้องกินยา “เยอะ” โดยเฉพาะยาแก้ปวด
ผมเลยนึกถึงสมัยก่อนที่ยังไม่มียาฝรั่ง คนไทยเราก็อยู่กันมาได้ ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ต้องพึ่งยาเสมอไปเพราะเรารู้สึกว่ายาเป็นของหายาก แต่พอมายุคนี้ที่ยาเกลื่อนเมือง เลยทำให้นึกถึงยากันง่าย แล้วพอคิดถึงมากเข้ายาก็มาหาเอง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่ไป
คือรุ่น “อุดมยา”
ในกลุ่มของยาที่ควรระวังไม่ได้มีแค่เพียงยาแก้ปวดเท่านั้นนะครับ ยังมียากลุ่มอื่นอีกที่ทำลายตับ,ไต,สมองหรือแม้แต่ทำร้ายสุขภาพในระยะยาว
ดังนั้นโรคที่พอจะดูแลเองได้ก็ขอให้ลองใช้วิธี “ปลอดยา” แบบง่ายๆต่อไปนี้ดูก่อนก็ดีไม่น้อยนะครับ
1) ลดปวด วิธีลดปวดง่ายๆแบบไม่ใช้ยามีอยู่เยอะนะครับ สำหรับอาหารก็มีอยู่เช่น น้ำมันปลา,ขมิ้น,น้ำใบบัวบก ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบอันได้แก่ ปวด,บวม,แดงและร้อนอยู่มาก หากเบื่อรับประทานยาแล้วก็ลองหาของกินธรรมชาติมารับประทานบ้างก็ได้ครับ
2) ลดไข้ เด็กๆที่มีไข้บ่อยหรือแค่ตัวรุมๆ ทางลดไข้ที่ดีทางหนึ่งคือให้ “ดื่มน้ำ” และ “ระบาย” ให้ได้ครับ เด็กที่ท้องไม่ผูกก็จะสบายตัวความร้อนลดลงด้วย เพราะเมื่อมีไข้ก็มักทำให้ท้องผูกร่วมไปด้วยท่านที่รักลองสังเกตดูเถิดครับ อาจหาน้ำผลไม้ชื่นใจให้จิบกับเช็ดตัวลดไข้ร่วมกันไปจะได้ไม่ต้องกินพาราฯให้ลำบากตับบ่อยครับ
3) ความดันสูง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีความดันสูง หากเป็นในช่วงแรกและคุณหมอยังไม่ได้ให้ยาอาจหาวิธีเลี่ยงยาดังนี้คือ ลดน้ำหนักให้ได้ อดบุหรี่และลดเค็ม ส่วนท่านที่เป็นอยู่แล้วอย่าเพิ่งหยุดยาแต่ให้หา “คึ่นช่าย” กับ “กล้วยน้ำว้า” มารับประทานครับเพราะมีฤทธิ์คุมความดันได้และมีแร่ “โพแทสเซียม” ช่วยอีกแรงครับ
4) ท้องเสีย ถ้าเป็นในเด็กก่อนนึกถึงยา “ฆ่าเชื้อ” ขอให้ลองเปลี่ยนนมวัวที่ดื่มมาเป็น “นมผงถั่วเหลือง” และถ้าเด็กกินข้าวไม่ได้ก็ให้จิบน้ำหวานแดงๆที่ชงผสมน้ำก็ได้ครับ แล้วให้ระวังเรื่องหวัดให้หายสนิท ห้ามเอามือเข้าปาก หากซึมมากต้องหาคุณหมอแล้วครับ
5) โรคกระเพาะ ก่อนที่จะรับประทานยาเคลือบกระเพาะเป็นกำมือขอให้แก้ด้วยวิธีง่ายๆก่อนครับ โดยเฉพาะเลี่ยง “อาหารมัน” ป้องกันการนอนดึก ลดน้ำหนักตัวลงแล้วก็นอนหัวสูงครับ อาหารที่ป้องกันกระเพาะและกรดไหลย้อนได้คือ “กล้วยหักมุก” และ “กล้วยน้ำว้าห่าม” รับประทานทุกวันจะช่วยได้ครับ
6) เป็นหวัด อาการหวัดคัดจมูกแต่ละครั้งท่านมักได้ยาอย่างน้อย 3-5 อย่าง ความเสี่ยงก็มากขึ้นตามยาที่รับประทานครับ อาหารป้องกันหวัดมีง่ายๆเช่น ฝรั่งสด,เสาวรส,โป๊ยกั้ก ถ้าจะเอารับประทานง่ายๆแบบอาหารเสริมก็คือวิตามินซีกับสังกะสีครับ
7) ไขมันสูง เป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องกินยาเสมอไป ดูอย่างในสมัยปู่ย่าตายายเราท่านก็ไม่เคยต้องใช้ยาลดไขมัน แต่ก็ไม่เห็นค่อยป่วยเป็นโรคหัวใจมากเท่ายุคนี้ คนที่มีปัญหาไขมันสูงไม่จำเป็นต้องกินยาไป “ตลอดชีวิต” นะครับ มันจะกลายเป็นพิษแทน
8) นอนไม่หลับ อาการนอนไม่หลับจะกลับกลายเป็นภัยร้ายที่ทำลายสุขภาพเราได้ “ลึก” มากครับ ถึงขั้นทำให้ความดันขึ้น,เบาหวานกำเริบและลุกลามไปจนความจำเสื่อมซึมเศร้าได้ ถ้าใช้ยานอนหลับจะกลับทำให้สมองต้องทำงานหนักขึ้นครับ ซึ่งอาหารที่ช่วยนอนมีอยู่มาก อาทิ น้ำผึ้ง,คาร์โมไมล์,ขี้เหล็กและมะตูมครับ ก่อนนอนลองจิบชามะตูมอุ่นๆเหยาะน้ำผึ้งสักนิดแสนสบายท้องครับ
9) โรคอ้วน คนที่เจ้าเนื้อตัวจ้ำม่ำถ้าพึ่งยาลดความอ้วนจะออกฤทธิ์กลับตาลปัตรให้อ้วนหนักขึ้น ก่อนที่จะนึกถึงทางลัดจัดยาเข้าปาก ขอให้ลองแก้ที่ทางง่ายๆก่อนอย่างรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้น,งดนอนดึกและลดกินแป้งกับน้ำตาลลง ถ้าเอาไม่อยู่จริงค่อยใช้ตัวช่วยเล็กๆอย่างเม็ดแมงลักที่ช่วยให้อิ่มไวและกินถั่วลิสงเข้าไว้ให้หายหิวจะปลอดภัยกว่ากันเยอะครับ
10) คออักเสบ อาการเจ็บคอน่ารำคาญที่เพิ่งเริ่มต้น หรืออาการที่เจ็บคอบ่อยจนน่ารำคาญ อย่าเพิ่งท้อแท้ที่กินยาหมดทุกขนานแล้วช่วยไม่ได้ ท่านอาจใช้วิธีง่ายๆก่อนหยิบยาเข้าปากโดยเริ่มจากฝรั่งสด,น้ำเสาวรสและมะขามป้อม แต่ถ้าหาลำบากให้รับประทานวิตามินซีกับสังกะสีช่วยเพิ่มภูมิครับ สำหรับท่านที่ไอร่วมด้วยให้ใช้น้ำผึ้งผสมกับมะนาวรวมกันสดๆไม่ต้องเติมน้ำจิบบ่อยๆครับ
ยังมีอาการอื่นอีกมากครับที่คนรุ่นปู่ย่าเราท่านไม่ต้องพึ่งยาก็อยู่กันมาได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อาการปวดลูกตาที่เกิดจากใช้สายตาหน้าจอนานมากก็อาจหาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นบิดหมาดมาประคบไว้หลับตาสบายๆ หรือท่านที่มีปัญหาตาช้ำบวมง่ายก็แก้ที่ทำให้หายคัดจมูกแล้วเอาช้อนเหล็กมาแช่เย็นก่อนประคบตาไว้จะช่วยลดบวมรอบดวงตาได้
ก่อนที่ท่านจะหยิบยามื้อต่อไปขอให้ลองค่อยๆนึกก่อนก็ได้ครับว่าถ้าไม่มียาเราจะรักษามันด้วยวิธีธรรมชาติอย่างไร ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าท่านที่รักทุกท่านทำได้
แค่เรานึกถึงยาให้น้อยลง
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช
http://www.bangkokvoice.com/2014/03/10/k/
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 17
เป็นบทความ แสดงความเห็นถึง อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาแผนปัจจุบัน หรือ "ยาหมอ" ที่หาได้ทั่วไป
เขียนขึ้นจากมือของหมอท่านหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และ น่าชื่นชมนับถือครับ
เขียนขึ้นจากมือของหมอท่านหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และ น่าชื่นชมนับถือครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 18
ขอแนะนำหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ครับ
" ทำไมคุณถึงป่วย " โดยน.พ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์
ค้นด้วยอากู๋ จะมีไฟล์ pdf ผมอ่านแล้วน่าสนใจดี โดยเฉพาะเรื่องน้ำตาล
ผมได้ลองปฏิบัติตามดู โดยการลดการกินน้ำตาลให้มากที่สุด เช่น กินกาแฟดำ ก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่น้ำตาล ลดปริมาณน้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ลง กินนมวัวให้น้อยลง ผลที่ออกมาก็ดีครับ เจ็บป่วยน้อยลง เป็นผื่นคันที่ผิวหนัง(เริม)น้อยลง แต่ก่อนกินยาปฏิชีวนะแทบทุกเดือน (Acyclovir) พอกินหมดก็เริ่มเป็นอีก แต่ตอนนี้ไม่ได้กินมา 4-5 เดือน ครับ
อีกอย่าง สำหรับท่านที่ต้องการลดน้ำหนัก ผมมีวิธีดังนี้ครับ (จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากใหน)
ผมกินถั่วผสมกับข้าวสวย ในเวลามื้อเช้า และกลางวัน สมมุติว่าเรา 1 มื้อเราตักข้าว 2 ทัพพี เราก็เปลี่ยนเป็นข้าว 1 ทัพพี ถั่ว 1 ทัพพี หรือจะเพิ่มหรือลดถั่วตามใจชอบ ส่วนกับข้าวก็กินตามปกติ กินแบบนี้จะให้เราอิ่มนาน เพราะต้องใช้เวลานานในการย่อยถั่ว (ถ้าไม่ชอบกินถั่ว เอาข้าวกล้องก้ได้นะครับ เนื่องจากถั่วหาง่ายและราคาถูก ผมก็เลยกินถั่ว)
ส่วนถั่วที่กิน ผมจะใช้การต้มเอา จะมีถั่วแดง ถั่วดำ และลูกเดือย (ชอบกินของไร่ทิพย์ ถุง 500 ก.ประมาณ 32-35 บาท) ถ้าต้องการสีสวยก็ต้มแยกกัน แต่ก่อนต้มต้องแช่น้ำประมาณ 1 -2 ชั่วโมงเพราะถั่วจะนิ่ม ต้มให้สุขได้ง่ายไม่ต้องเปลืองพลังงาน แต่ถ้าเป็นผมจะผสมสามอย่างรวมกันต้มครั้งเดียว เพราะประหยัดพลังงาน
ผมทดลองกินแบบนี้ 5-6 เดือนจนถึงปัจจุบัน น้ำหนักก็ไม่เพิ่มเท่าใหร่ มีคนทักบ่อยว่าผมผอมลง และผมจะเพิ่มอีกอย่างคือตอนเย็นไม่กินข้าว หรือแป้ง กินแต่กับข้าว หรือ บางครั้งก็ผลไม้ ยังห้ามใจตัวเองไม่ให้กินมื้อเย็นไม่ได้ ยกเว้นจำเป็นจริงๆ ที่หาอะไรกินไม่ได้
เพิ่มหนังสืออีกเล่มครับ "ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาว และมีความสุข " น.พ.เฉก ธนะสิริ ท่านจะแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลสุขภาพทั้งทางวิทยาศาสตร์ ทางศาสนา
หมายเหตุ:
1. การกินถั่วมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมาก ทำให้ต้องฝายลมบ่อย ต้องคอยระมัดระวังด้วยนะครับ วิธีแก้ของผมคือกินนมเปรี้ยวทุก 2 วัน
2.ผมยังหาไม่เจอว่ากินถั่วจะมีผลข้างเคียงในระยะยาวหรือเปล่า แต่ตอนนี้ร่างกายผมปกติดี ไม่มีอาการผิดปกติอะไรมาก ต้องรอดูอีกปีว่าจะมีผลข้างเคียงหรือเปล่า
3. เนื่องจากผมออกกำลังโดยการวิ่งด้วย อาจจะมีผลทำให้ร่างกายมีความต้านทานเชื้อโรคมากขึ้น จนทำให้ไม่เป็นเริม หรือ น้ำหนักลดลง
4.การลดกินน้ำตาลเนื่องจากผมกลัวว่าในอนาคตผมจะเป็นเบาหวาน เพราะผมลำดับญาติทางฝ่ายพ่อและแม่ ขึ้นไปหรือลงมาแล้วพบว่าประมาณ 99.9 % เป็นเบาหวาน ดังนั้นจึงพยายามจะถ่วงเวลาให้เป็นเบาหวานให้น้อยที่สุดก่อนตาย
5.ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการทดลองโดยความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้อิงอาศัยการวัดผลทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ดังนั้นผลที่ออกมา อาจจะเจือปนด้วยความรู้สึก, ความเห็นส่วนตัวร่วมอยู่ด้วย และร่างกาย หรือธาตุแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ผลลัพท์อาจออกมาไม่เหมือนกัน โปรดใช้วิจารณญานในการตัดสินใจ
" ทำไมคุณถึงป่วย " โดยน.พ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์
ค้นด้วยอากู๋ จะมีไฟล์ pdf ผมอ่านแล้วน่าสนใจดี โดยเฉพาะเรื่องน้ำตาล
ผมได้ลองปฏิบัติตามดู โดยการลดการกินน้ำตาลให้มากที่สุด เช่น กินกาแฟดำ ก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่น้ำตาล ลดปริมาณน้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ลง กินนมวัวให้น้อยลง ผลที่ออกมาก็ดีครับ เจ็บป่วยน้อยลง เป็นผื่นคันที่ผิวหนัง(เริม)น้อยลง แต่ก่อนกินยาปฏิชีวนะแทบทุกเดือน (Acyclovir) พอกินหมดก็เริ่มเป็นอีก แต่ตอนนี้ไม่ได้กินมา 4-5 เดือน ครับ
อีกอย่าง สำหรับท่านที่ต้องการลดน้ำหนัก ผมมีวิธีดังนี้ครับ (จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากใหน)
ผมกินถั่วผสมกับข้าวสวย ในเวลามื้อเช้า และกลางวัน สมมุติว่าเรา 1 มื้อเราตักข้าว 2 ทัพพี เราก็เปลี่ยนเป็นข้าว 1 ทัพพี ถั่ว 1 ทัพพี หรือจะเพิ่มหรือลดถั่วตามใจชอบ ส่วนกับข้าวก็กินตามปกติ กินแบบนี้จะให้เราอิ่มนาน เพราะต้องใช้เวลานานในการย่อยถั่ว (ถ้าไม่ชอบกินถั่ว เอาข้าวกล้องก้ได้นะครับ เนื่องจากถั่วหาง่ายและราคาถูก ผมก็เลยกินถั่ว)
ส่วนถั่วที่กิน ผมจะใช้การต้มเอา จะมีถั่วแดง ถั่วดำ และลูกเดือย (ชอบกินของไร่ทิพย์ ถุง 500 ก.ประมาณ 32-35 บาท) ถ้าต้องการสีสวยก็ต้มแยกกัน แต่ก่อนต้มต้องแช่น้ำประมาณ 1 -2 ชั่วโมงเพราะถั่วจะนิ่ม ต้มให้สุขได้ง่ายไม่ต้องเปลืองพลังงาน แต่ถ้าเป็นผมจะผสมสามอย่างรวมกันต้มครั้งเดียว เพราะประหยัดพลังงาน
ผมทดลองกินแบบนี้ 5-6 เดือนจนถึงปัจจุบัน น้ำหนักก็ไม่เพิ่มเท่าใหร่ มีคนทักบ่อยว่าผมผอมลง และผมจะเพิ่มอีกอย่างคือตอนเย็นไม่กินข้าว หรือแป้ง กินแต่กับข้าว หรือ บางครั้งก็ผลไม้ ยังห้ามใจตัวเองไม่ให้กินมื้อเย็นไม่ได้ ยกเว้นจำเป็นจริงๆ ที่หาอะไรกินไม่ได้
เพิ่มหนังสืออีกเล่มครับ "ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาว และมีความสุข " น.พ.เฉก ธนะสิริ ท่านจะแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลสุขภาพทั้งทางวิทยาศาสตร์ ทางศาสนา
หมายเหตุ:
1. การกินถั่วมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมาก ทำให้ต้องฝายลมบ่อย ต้องคอยระมัดระวังด้วยนะครับ วิธีแก้ของผมคือกินนมเปรี้ยวทุก 2 วัน
2.ผมยังหาไม่เจอว่ากินถั่วจะมีผลข้างเคียงในระยะยาวหรือเปล่า แต่ตอนนี้ร่างกายผมปกติดี ไม่มีอาการผิดปกติอะไรมาก ต้องรอดูอีกปีว่าจะมีผลข้างเคียงหรือเปล่า
3. เนื่องจากผมออกกำลังโดยการวิ่งด้วย อาจจะมีผลทำให้ร่างกายมีความต้านทานเชื้อโรคมากขึ้น จนทำให้ไม่เป็นเริม หรือ น้ำหนักลดลง
4.การลดกินน้ำตาลเนื่องจากผมกลัวว่าในอนาคตผมจะเป็นเบาหวาน เพราะผมลำดับญาติทางฝ่ายพ่อและแม่ ขึ้นไปหรือลงมาแล้วพบว่าประมาณ 99.9 % เป็นเบาหวาน ดังนั้นจึงพยายามจะถ่วงเวลาให้เป็นเบาหวานให้น้อยที่สุดก่อนตาย
5.ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการทดลองโดยความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้อิงอาศัยการวัดผลทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ดังนั้นผลที่ออกมา อาจจะเจือปนด้วยความรู้สึก, ความเห็นส่วนตัวร่วมอยู่ด้วย และร่างกาย หรือธาตุแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ผลลัพท์อาจออกมาไม่เหมือนกัน โปรดใช้วิจารณญานในการตัดสินใจ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
- todsapon
- Verified User
- โพสต์: 1137
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 19
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เราต้องมีการตรวจสอบ แต่ผมมีอะไรจะเสนอครับ ทานน้ำตอนเช้าทันทีที่ตื่นนอน จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ถ่ายสะดวกในตอนเช้า เมื่อระบบขับถ่ายดี สิ่งปฏิกูลที่หมักหมม เชื้อโรคต่าง ๆ ก็ขับออกมา สุขภาพโดยรวมก็จะดีขึ้นraiden เขียน:chatchai เขียน:ผมอยากจะสร้างสังคมของ ThaiVI เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ข้อมูล เหตุผล ซักถาม ครับ
ไม่อยากเป็นสังคมแบบ นาย ก พูดให้ทำ A
ทุกคนก็เชื่อ โดยไม่มีการซักถามว่าทำไม เพราะอะไร
เหมือนผู้บริหารบอกว่าปีนี้จะโต 50%
เราก็ควรซักถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทจะโตได้ขนาดนั้น ไม่ใช่พูดมาก็เชื่อโดยง่าย
ถ้าอย่างงั้นทำมัยไม่ถามเค้าดี ๆ ล่ะครัช
ว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้อะไรบ้างมั๊ย
แล้วพวกสถาบันต่าง ๆ เฮียแน่ใจแค่ไหนคับว่ามันเชื่อถือได้จริง ๆ ไม่จิงโจ้ หึ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 21
ดื่มน้ำอุ่นๆเยอะๆตอนเช้า(ท้องว่างๆ)
ช่วยระบบขับถ่ายและการเผาผลาญครับ
ช่วยระบบขับถ่ายและการเผาผลาญครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 22
สวัสดีครับ
เห็นท่านฉัตรชัยเข้ามาตอบกระทู้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งครับ
คลอเรสเตอรอล
เมื่อกี่ปีก่อน ผมจำไม่ได้แล้วครับ
ถึงวันนี้ก็คงยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสาธาณะชน ที่เป็นประเด็นคือน้ำมันมะพร้าว
มีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มขี้นมาอีกเยอะครับ
สนุกดีครับ
เห็นท่านฉัตรชัยเข้ามาตอบกระทู้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งครับ
คลอเรสเตอรอล
เมื่อกี่ปีก่อน ผมจำไม่ได้แล้วครับ
ถึงวันนี้ก็คงยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสาธาณะชน ที่เป็นประเด็นคือน้ำมันมะพร้าว
มีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มขี้นมาอีกเยอะครับ
สนุกดีครับ
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 23
ตอนนี้ที่น่าสนใจก็คือยารักษาโรคจากเชื้อไวรัสอีโบลา
ก็ว่ากันว่ามันไม่ใช่โรคตามธรรมชาติของแอฟริกาตะวันตก แต่มันคือ สงครามชีวภาพ ที่ ใช้ดินแดนแถบนั้นเป็นสนามประลองกำลังและทดสอบสูตรยา
คิดแล้วเสียวครับ
อีกที่ก็ยูเครนครับ ทำไมถึงต้องไปเกิดแถบนั้น ทำไมรัสเซียต้องการนักหนา ..
หลายเหตุผล
สำหรับชาวสวนอย่างผม
ดินของยูเครนนั้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกครับ
เหมาะอย่างยิ่งในการทำการเกษตรปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี พืชเติบโต งอกงามดีโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ย
ก็ว่ากันว่ามันไม่ใช่โรคตามธรรมชาติของแอฟริกาตะวันตก แต่มันคือ สงครามชีวภาพ ที่ ใช้ดินแดนแถบนั้นเป็นสนามประลองกำลังและทดสอบสูตรยา
คิดแล้วเสียวครับ
อีกที่ก็ยูเครนครับ ทำไมถึงต้องไปเกิดแถบนั้น ทำไมรัสเซียต้องการนักหนา ..
หลายเหตุผล
สำหรับชาวสวนอย่างผม
ดินของยูเครนนั้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกครับ
เหมาะอย่างยิ่งในการทำการเกษตรปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี พืชเติบโต งอกงามดีโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ย
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 24
จริงด้วยครับ น้ำมันมะพร้าวของดีของบ้านเรา
ของพวกนี้มันจะมีคลอเรสเตอรอลได้ยังไง
แต่เราถูกฝรั่งหลอกขายน้ำมันถั่วเหลืองแปลงสภาพ โดยการจ้างให้ LAB เอางานทดลองเอียง ๆ มาหลอก ว่าของเดิมเป็นอันตรายให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองดีกว่า
ผลก็คือคนเป็นไขมันอุดตันกันเพียบ
ของพวกนี้มันจะมีคลอเรสเตอรอลได้ยังไง
แต่เราถูกฝรั่งหลอกขายน้ำมันถั่วเหลืองแปลงสภาพ โดยการจ้างให้ LAB เอางานทดลองเอียง ๆ มาหลอก ว่าของเดิมเป็นอันตรายให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองดีกว่า
ผลก็คือคนเป็นไขมันอุดตันกันเพียบ
CEO เขียน:สวัสดีครับ
เห็นท่านฉัตรชัยเข้ามาตอบกระทู้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งครับ
คลอเรสเตอรอล
เมื่อกี่ปีก่อน ผมจำไม่ได้แล้วครับ
ถึงวันนี้ก็คงยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสาธาณะชน ที่เป็นประเด็นคือน้ำมันมะพร้าว
มีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มขี้นมาอีกเยอะครับ
สนุกดีครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 91
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สูตรยา
โพสต์ที่ 25
รางจืดราชาของยาแก้พิษ (www.doctor.or.th/article/detail/11960)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์ Acanthaceae
โดยการศึกษาทางเภสัชวิทยาของรางจืดครั้งแรกเริ่มจากแพทย์หญิงพาณี เตชะเสน คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่ารางจืดสามารถช่วยชีวิตแมวของท่านที่ถูกวางยาพิษได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำการศึกษาวิจัยรางจืดในการแก้พิษสารกำจัดศัตรูพืช ตั้งแต่ พ.ศ ๒๕๒๒-๒๕๒๓ โดยเริ่มจากสารกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (เช่น โฟลิดอล พาราไทออน)
ต่อมามีการศึกษาพบว่ารางจืดยังสามารถลดพิษของสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มคาร์บอเนต เช่น เมโทรมิล เป็นต้น
จากการศึกษาวิจัยการต้านฤทธิ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของรางจืดนั้นอาจเกิดจากหลายกลไก เช่น
สารสกัด รางจืดทำให้ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสเพิ่มขึ้น หรือลดการยับยั้งเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ว ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้ทำหน้าที่ทำลายโคลีนที่เป็นสาร สื่อประสาท ที่ทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ สารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาโนฟอตเฟตและคาร์บาเมต จะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ และเกิดการสะสมของโคลีนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง นำสู่อาการชัก จากการศึกษาพบว่ารางจืดไปเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ดังกล่าว
รางจืด...แก้พิษจากยาฆ่าหญ้า
ยา ฆ่าหญ้าจำพวกพาราควอต นับเป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจาก ในขนาดกินประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนตายได้ โดยสารตัวนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถึยรขึ้นอย่างมาก ออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการออกซิเดชันของไขมันที่อยู่ บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย พิษของพาราควอตจะเห็นชัดที่สุดในปอดเพราะปอดเป็นบริเวณที่มีออกซิเจรมากที่ สุด ซึ่งพาราควอตจะทำให้เนื้อเยื้อปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ จนเสียชีวิตในที่สุด
จากรายงานผู้ป่วยของโรงพยาบาล เจ้าพระ-ยา ยมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บตัวอย่างเป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอตมาที่โรงพยาบาล ๖๔ ราย พบว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ๓๓ ราย เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับการรักษาในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอต ๑๑ รายพบว่าเสียชีวิตทุกราย ซึ่งตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราชที่มีการรักษาพิษพาราควอตเช่นเดียวกัน มีอัตราการตายประมาณร้อยละ ๘๐ แต่การรักษาพิษพาราควอตนั้นไม่ได้ให้แต่รางจืดอย่างเดียว แต่จะมีการทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาก่อนแล้วล้างท้องด้วยฟูลเลอร์สเอิร์ท (Fuller's earth) และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากๆ ให้แอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ โดยการให้วิตามินซีปริมาณสูงๆ และสตีรอยด์ รวมทั้งการรักษาแบบประคับประคองอื่นๆ ให้ยาต้มรางจืด วิธีเตรียมคือนำใบแห้งหนัก ๓๐๐ กรัม ใส่ในน้ำสะอาด ๑ ลิตร ต้มในหมอดินโดยใช้ไฟกลางเดือนนาน ๑๕ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ให้ผู้ป่วยดื่มหรือให้ทาง NG tube ครั้งละ ๒๐๐ มิลลิลิตร ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่ารายงานนี้ไม่ถือเป็นงานวิจัยแต่เป็นข้อมูล ที่มีประโยชน์มาก
พ.ศ. ๒๕๔๓ มีรายงานการศึกษาสัตว์ทดลองเกี่ยวกับการต้านพิษพาราควอตของสารสกัดด้วยน้ำ ของใบรางจืด พบว่าสามารถทำให้อัตราการตายของหนูทดลองลดลง รวมทั้งพบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดรางจืดมีระดับพลาสม่า malondialdehyde (MDA) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม แสดงว่าสารสกัดใบรางจืดมีฤทธิ์ยับยั้ง lipid peroxidation และฤทธิ์นี้เป็นกลไกการออกฤทธิ์ต้านพิษพาราควอตกลไกหนึ่งของรางจืด รวมทั้งรางจืดยังไปเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ที่เรียกว่า NADPH quinineoxidonnereductase เป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายสารที่เรา ได้รับเข้าไปในร่างกาย
รางจืด...แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชพิษ
ใช้ แก้พิษแมงดาทะเลเป็นอีกหนึ่งรายงานของการใช้รางจืดแก้พิษ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีครอบครัวหนึ่ง ๔ คนที่กินไข่แมงดาทะเล ๒ ราย มีอาการรุนแรงจนหมดสติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสารพิษที่อยู่ในแมงดาทะเล คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) สารนี้จะพบในแมงดาทะเลและปลาปักเป้า ซึ่งมีพิษทำให้ผู้ป่วยอาจถึงตายได้
ความ รุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไข่แมงดาทะเลที่ได้รับ เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ ๔๐ นาทีถึง ๔ ชั่วโมง ทุกรายมีอาการชารอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาการชาจะลามไปยังกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ อาการรุนแรง หมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการรักษาปัจจุบันไม่มีวิธีเฉพาะ ไม่มีสารแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองจนผู้ป่วยขับเอาสารนี้ออกจากร่างกายให้หมดแพทย์ผู้ รักษาใช้รางจืดจากการร้องขอของญาติ เมื่อกรอกใส่สายยางลงไป ๔๐ นาที อาการดีขึ้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษารู้สึกประทับใจกับรางจืดมากและบอกว่าจังหวัดที่อยู่ชาย ทะเลปีหนึ่งจะมีคนตายจากพิษแมงดาทะเลหรือปลาปักเป้าทุกปี ถ้าทุกโรงพยาบาลสามารถปลูกต้นนี้และใช้กับผู้ป่วยของตัวเองจะช่วยให้ไม่มี ผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
รางจืด...สู้กับมลภาวะ ออกฤทธิ์ต้านพิษของตะกั่วต่อสมอง
ตะกั่ว เป็นมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่มีรถติด มีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป พิษตะกั่วต่อร่างกายมี อยู่หลายระบบ ที่สำคัญคือสมอง เนื่องจากตะกั่วจะไปสะสมอยู่ในสมองส่วนฮิปโพแคมพัสซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยว ข้องกับการเรียนรู้และความจำ มีงานวิจัยออกว่ารางจืดแม้จะไม่ได้ช่วยลดระดับตะกั่วในเลือดของหนูที่เราให้ ตะกั่วเข้าไป แต่ไปช่วยลดพิษของตะกั่วต่อความจำและการเรียนรู้ของหนู และทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลง ด้วยกลไกการต้านออกซิเดชัน โดยตัวของรางจืดเองและการไปช่วยรักษาระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง
รางจืดช่วยในการลด เลิกยาบ้า
จาก การที่ชาวบ้านนำรางจืดมาแก้พิษยาเสพติดภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยทั่วไปเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากในขณะที่ผู้ป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับ reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืดอาจเกิดความพิงพอใจ เช่นเดียวกับการรับยาเสพติด หากนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล
รางจืดต้านพิษเหล้า
จาก การที่ประชาชนส่วนหนึ่งได้นำรางจืดมาใช้ในการต้านพิษสุรา เช่น ใช้เพื่อป้องกันหรือลดอาการเมาเหล้า คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วย ป้องกันการตายของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ทั้งในหลอดทดลองและในหนูแรตทีได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว
เนื่องจากสารสกัดด้วยน้ำ ของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และเพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase และ aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ ศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดให้ผลลดภาวะซึมเศร้าและทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่มีผลลดความวิตกกังวล โดยสารสกัดราถงจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากขาดเหล้าใน สมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะที่บริเวณ nucleus accumbens และ ventral tegmental area
รางจืด...เพื่อคุณภาพชีวิตของโรคเรื้อรัง
การ ที่มีหมอยาพื้นบ้านจำนวนหนึ่งใช้รางจืดในการคุมเบาหวานและความดัน ซึ่งมีการทดลองที่สนับสนุนการใช้ดังกล่าวคือ ในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบรางจืดสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอก จากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ ความดันโลหิตของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว
หมายเหตุ : การ ใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการรักษาร่วม ไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการศึกษายังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น รวมทั้งต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าว
รางจืด… ต้าน แก้อักเสบ
การ ที่หมอยาพื้นบ้านนิยมใช้รางจืดมารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น ผด ผื่นคัน แมลงกัดต่อย เริม งูสวัด มีการศึกษาว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ ๒ เท่า(ทดสอบด้วยวิธี Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า สารสกัดรางจืดในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีเท่ากับสตีรอยด์ครีม
รางจืด… กับมะเร็ง
รางจืด ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีการศึกษาฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ กล่าวคือสารใดๆ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการศึกษาโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้น การแบ่งตัวและการสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และมีการแบ่งตัว นั่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งรางจืดแบบสดและแบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นกัน นับเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของรางจืด
โดยพบว่าสารออก ฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ได้แก่ caffeic acid และ apigenin และสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ได้แก่ chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
รางจืด… ผักพื้นบ้านที่มีความปลอดภัย
รางจืด เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงชนิดหนึ่ง ทั้งจากการที่ชาวบ้านกินยอดอ่อน ดอกอ่อนเป็นผัก ใช้ลวกกิน แกงกิน เช่นเดียวกับผักพื้นบ้านทั่วๆ ไป
นอก จากนี้ ยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บานอีกด้วย ในส่วนของการศึกษาวิจัย มีการศึกษาทั้งพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง โดยการศึกษา ๒๘ วันก็ไม่พบหนูตาย ไม่เกิดความผิดปกติในอวัยวะภายใน ต่อมามีการศึกษาระยะ ๖ เดือน ที่เรียกว่าการศึกษาพิษเรื้อรัง พบว่ามีค่าที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในซีรั่มในเนื้อเยื่อของหนูไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุม เรียกว่ามีความปลอดภัย ค่าที่พบเปลี่ยนแปลงบางค่าหรือบิลิลูบินเพิ่มขึ้นแต่ก็อยู่ในช่วงค่าปกติ
อย่าง ไรก็ตาม การกินรางจืดปริมาณมากต่อเนื่องกัน มีคำเตือนว่าต้องมีการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิก ที่อาจเกิดขึ้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์ Acanthaceae
โดยการศึกษาทางเภสัชวิทยาของรางจืดครั้งแรกเริ่มจากแพทย์หญิงพาณี เตชะเสน คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่ารางจืดสามารถช่วยชีวิตแมวของท่านที่ถูกวางยาพิษได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำการศึกษาวิจัยรางจืดในการแก้พิษสารกำจัดศัตรูพืช ตั้งแต่ พ.ศ ๒๕๒๒-๒๕๒๓ โดยเริ่มจากสารกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (เช่น โฟลิดอล พาราไทออน)
ต่อมามีการศึกษาพบว่ารางจืดยังสามารถลดพิษของสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มคาร์บอเนต เช่น เมโทรมิล เป็นต้น
จากการศึกษาวิจัยการต้านฤทธิ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของรางจืดนั้นอาจเกิดจากหลายกลไก เช่น
สารสกัด รางจืดทำให้ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสเพิ่มขึ้น หรือลดการยับยั้งเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ว ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้ทำหน้าที่ทำลายโคลีนที่เป็นสาร สื่อประสาท ที่ทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ สารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาโนฟอตเฟตและคาร์บาเมต จะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ และเกิดการสะสมของโคลีนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง นำสู่อาการชัก จากการศึกษาพบว่ารางจืดไปเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ดังกล่าว
รางจืด...แก้พิษจากยาฆ่าหญ้า
ยา ฆ่าหญ้าจำพวกพาราควอต นับเป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจาก ในขนาดกินประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนตายได้ โดยสารตัวนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถึยรขึ้นอย่างมาก ออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการออกซิเดชันของไขมันที่อยู่ บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย พิษของพาราควอตจะเห็นชัดที่สุดในปอดเพราะปอดเป็นบริเวณที่มีออกซิเจรมากที่ สุด ซึ่งพาราควอตจะทำให้เนื้อเยื้อปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ จนเสียชีวิตในที่สุด
จากรายงานผู้ป่วยของโรงพยาบาล เจ้าพระ-ยา ยมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บตัวอย่างเป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอตมาที่โรงพยาบาล ๖๔ ราย พบว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ๓๓ ราย เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับการรักษาในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอต ๑๑ รายพบว่าเสียชีวิตทุกราย ซึ่งตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราชที่มีการรักษาพิษพาราควอตเช่นเดียวกัน มีอัตราการตายประมาณร้อยละ ๘๐ แต่การรักษาพิษพาราควอตนั้นไม่ได้ให้แต่รางจืดอย่างเดียว แต่จะมีการทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาก่อนแล้วล้างท้องด้วยฟูลเลอร์สเอิร์ท (Fuller's earth) และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากๆ ให้แอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ โดยการให้วิตามินซีปริมาณสูงๆ และสตีรอยด์ รวมทั้งการรักษาแบบประคับประคองอื่นๆ ให้ยาต้มรางจืด วิธีเตรียมคือนำใบแห้งหนัก ๓๐๐ กรัม ใส่ในน้ำสะอาด ๑ ลิตร ต้มในหมอดินโดยใช้ไฟกลางเดือนนาน ๑๕ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ให้ผู้ป่วยดื่มหรือให้ทาง NG tube ครั้งละ ๒๐๐ มิลลิลิตร ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่ารายงานนี้ไม่ถือเป็นงานวิจัยแต่เป็นข้อมูล ที่มีประโยชน์มาก
พ.ศ. ๒๕๔๓ มีรายงานการศึกษาสัตว์ทดลองเกี่ยวกับการต้านพิษพาราควอตของสารสกัดด้วยน้ำ ของใบรางจืด พบว่าสามารถทำให้อัตราการตายของหนูทดลองลดลง รวมทั้งพบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดรางจืดมีระดับพลาสม่า malondialdehyde (MDA) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม แสดงว่าสารสกัดใบรางจืดมีฤทธิ์ยับยั้ง lipid peroxidation และฤทธิ์นี้เป็นกลไกการออกฤทธิ์ต้านพิษพาราควอตกลไกหนึ่งของรางจืด รวมทั้งรางจืดยังไปเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ที่เรียกว่า NADPH quinineoxidonnereductase เป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายสารที่เรา ได้รับเข้าไปในร่างกาย
รางจืด...แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชพิษ
ใช้ แก้พิษแมงดาทะเลเป็นอีกหนึ่งรายงานของการใช้รางจืดแก้พิษ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีครอบครัวหนึ่ง ๔ คนที่กินไข่แมงดาทะเล ๒ ราย มีอาการรุนแรงจนหมดสติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสารพิษที่อยู่ในแมงดาทะเล คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) สารนี้จะพบในแมงดาทะเลและปลาปักเป้า ซึ่งมีพิษทำให้ผู้ป่วยอาจถึงตายได้
ความ รุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไข่แมงดาทะเลที่ได้รับ เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ ๔๐ นาทีถึง ๔ ชั่วโมง ทุกรายมีอาการชารอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาการชาจะลามไปยังกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ อาการรุนแรง หมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการรักษาปัจจุบันไม่มีวิธีเฉพาะ ไม่มีสารแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองจนผู้ป่วยขับเอาสารนี้ออกจากร่างกายให้หมดแพทย์ผู้ รักษาใช้รางจืดจากการร้องขอของญาติ เมื่อกรอกใส่สายยางลงไป ๔๐ นาที อาการดีขึ้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษารู้สึกประทับใจกับรางจืดมากและบอกว่าจังหวัดที่อยู่ชาย ทะเลปีหนึ่งจะมีคนตายจากพิษแมงดาทะเลหรือปลาปักเป้าทุกปี ถ้าทุกโรงพยาบาลสามารถปลูกต้นนี้และใช้กับผู้ป่วยของตัวเองจะช่วยให้ไม่มี ผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
รางจืด...สู้กับมลภาวะ ออกฤทธิ์ต้านพิษของตะกั่วต่อสมอง
ตะกั่ว เป็นมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่มีรถติด มีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป พิษตะกั่วต่อร่างกายมี อยู่หลายระบบ ที่สำคัญคือสมอง เนื่องจากตะกั่วจะไปสะสมอยู่ในสมองส่วนฮิปโพแคมพัสซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยว ข้องกับการเรียนรู้และความจำ มีงานวิจัยออกว่ารางจืดแม้จะไม่ได้ช่วยลดระดับตะกั่วในเลือดของหนูที่เราให้ ตะกั่วเข้าไป แต่ไปช่วยลดพิษของตะกั่วต่อความจำและการเรียนรู้ของหนู และทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลง ด้วยกลไกการต้านออกซิเดชัน โดยตัวของรางจืดเองและการไปช่วยรักษาระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง
รางจืดช่วยในการลด เลิกยาบ้า
จาก การที่ชาวบ้านนำรางจืดมาแก้พิษยาเสพติดภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยทั่วไปเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากในขณะที่ผู้ป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับ reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืดอาจเกิดความพิงพอใจ เช่นเดียวกับการรับยาเสพติด หากนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล
รางจืดต้านพิษเหล้า
จาก การที่ประชาชนส่วนหนึ่งได้นำรางจืดมาใช้ในการต้านพิษสุรา เช่น ใช้เพื่อป้องกันหรือลดอาการเมาเหล้า คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วย ป้องกันการตายของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ทั้งในหลอดทดลองและในหนูแรตทีได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว
เนื่องจากสารสกัดด้วยน้ำ ของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และเพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase และ aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ ศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดให้ผลลดภาวะซึมเศร้าและทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่มีผลลดความวิตกกังวล โดยสารสกัดราถงจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากขาดเหล้าใน สมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะที่บริเวณ nucleus accumbens และ ventral tegmental area
รางจืด...เพื่อคุณภาพชีวิตของโรคเรื้อรัง
การ ที่มีหมอยาพื้นบ้านจำนวนหนึ่งใช้รางจืดในการคุมเบาหวานและความดัน ซึ่งมีการทดลองที่สนับสนุนการใช้ดังกล่าวคือ ในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบรางจืดสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอก จากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ ความดันโลหิตของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว
หมายเหตุ : การ ใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการรักษาร่วม ไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการศึกษายังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น รวมทั้งต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าว
รางจืด… ต้าน แก้อักเสบ
การ ที่หมอยาพื้นบ้านนิยมใช้รางจืดมารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น ผด ผื่นคัน แมลงกัดต่อย เริม งูสวัด มีการศึกษาว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ ๒ เท่า(ทดสอบด้วยวิธี Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า สารสกัดรางจืดในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีเท่ากับสตีรอยด์ครีม
รางจืด… กับมะเร็ง
รางจืด ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีการศึกษาฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ กล่าวคือสารใดๆ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการศึกษาโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้น การแบ่งตัวและการสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และมีการแบ่งตัว นั่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งรางจืดแบบสดและแบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นกัน นับเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของรางจืด
โดยพบว่าสารออก ฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ได้แก่ caffeic acid และ apigenin และสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ได้แก่ chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
รางจืด… ผักพื้นบ้านที่มีความปลอดภัย
รางจืด เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงชนิดหนึ่ง ทั้งจากการที่ชาวบ้านกินยอดอ่อน ดอกอ่อนเป็นผัก ใช้ลวกกิน แกงกิน เช่นเดียวกับผักพื้นบ้านทั่วๆ ไป
นอก จากนี้ ยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บานอีกด้วย ในส่วนของการศึกษาวิจัย มีการศึกษาทั้งพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง โดยการศึกษา ๒๘ วันก็ไม่พบหนูตาย ไม่เกิดความผิดปกติในอวัยวะภายใน ต่อมามีการศึกษาระยะ ๖ เดือน ที่เรียกว่าการศึกษาพิษเรื้อรัง พบว่ามีค่าที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในซีรั่มในเนื้อเยื่อของหนูไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุม เรียกว่ามีความปลอดภัย ค่าที่พบเปลี่ยนแปลงบางค่าหรือบิลิลูบินเพิ่มขึ้นแต่ก็อยู่ในช่วงค่าปกติ
อย่าง ไรก็ตาม การกินรางจืดปริมาณมากต่อเนื่องกัน มีคำเตือนว่าต้องมีการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิก ที่อาจเกิดขึ้น