มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4741
คุณสมบัติคนที่จะมั่งคั่งในอนาคตครับ คงไม่จำเป็นต้องมีทุกข้่อนะครับ
1. อย่าอายที่จะพูดเรื่องเงิน
2. เลือกวิธีที่สนุกในการหารายได้
3. มีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าสองทางขึ้นไป
4. ไม่มีข้ออ้างสำหรับการเรียนรู้
5. ไม่เคยพูดคำว่า มีเงินแต่ไม่มีความสุข จะมีไปทำไม
6. ลงทุนในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
7. เป้าหมายเรื่องรายได้ ชัดเจน
8. คิดเรื่องการเติบโตตลอดเวลา
9. ให้รางวัลตัวเองทุกครั้งที่ทำสำเร็จ
10. ไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการทำงาน
11. ไม่ได้เป็นคนที่เก่งหมดทุกอย่าง
12. ใช้คนเป็น เลือกคนเก่งมาเคียงข้างโดยไม่สนเรื่องค่าใช้จ่าย
13. กล้าทุ่มเทเงินให้กับสิ่งที่คุ้มค่า
14. หาแนวคิดและเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อตัวเอง
15. รักครอบครัว
16. ทุ่มเทความสะดวกสบายให้พ่อแม่
17. พ่อแม่อยากได้อะไรที่ไม่ผิดหาให้หมด
18. เอาแต่ใจ ดื้อเงียบ
19. ฟังมากกว่าพูด
20. ชื่นชมคนที่รวยกว่าด้วยลำแข้งตัวเอง
21. อ่อนน้อมถ่อมตน
22. คิดใหญ่กว่าคนธรรมดา
23. วิ่งเข้าหาความเป็นไปไม่ได้
24. ค้นหาโอกาส แสดงตัวทุกครั้งที่โอกาสมาถึง
25. ไม่เคยรอคำว่าพร้อม
26. เลือกคบหาคนที่มองโลกในแง่ดี
27. เข้าใจความเสี่ยง
28. กล้าพูดถึงความดีของตัวเอง
29. ทำบุญแบบถึงไหนถึงกัน
30. ลงเงิน ลงแรงช่วยเหลือคนอื่น
31. ชอบให้ความรู้เด็กรุ่นใหม่
32. ไม่ขี้บ่น ไม่เคยโทษคนอื่น
33. เจอปัญหา เขากลับบอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหา นี่คือโจทย์
34. พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
35. เป็นนักอ่านชั้นยอด
36. เห็นคุณค่าของเวลา
37. มองเห็นอนาคตทางการงานของตัวเอง
38. บอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร
39. แบ่งเวลาทำงานหนัก และให้รางวัลตัวเองอย่างหนัก
40. ชอบพูดคำว่า "พี่ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ" เป็นประจำ
1. อย่าอายที่จะพูดเรื่องเงิน
2. เลือกวิธีที่สนุกในการหารายได้
3. มีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าสองทางขึ้นไป
4. ไม่มีข้ออ้างสำหรับการเรียนรู้
5. ไม่เคยพูดคำว่า มีเงินแต่ไม่มีความสุข จะมีไปทำไม
6. ลงทุนในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
7. เป้าหมายเรื่องรายได้ ชัดเจน
8. คิดเรื่องการเติบโตตลอดเวลา
9. ให้รางวัลตัวเองทุกครั้งที่ทำสำเร็จ
10. ไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการทำงาน
11. ไม่ได้เป็นคนที่เก่งหมดทุกอย่าง
12. ใช้คนเป็น เลือกคนเก่งมาเคียงข้างโดยไม่สนเรื่องค่าใช้จ่าย
13. กล้าทุ่มเทเงินให้กับสิ่งที่คุ้มค่า
14. หาแนวคิดและเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อตัวเอง
15. รักครอบครัว
16. ทุ่มเทความสะดวกสบายให้พ่อแม่
17. พ่อแม่อยากได้อะไรที่ไม่ผิดหาให้หมด
18. เอาแต่ใจ ดื้อเงียบ
19. ฟังมากกว่าพูด
20. ชื่นชมคนที่รวยกว่าด้วยลำแข้งตัวเอง
21. อ่อนน้อมถ่อมตน
22. คิดใหญ่กว่าคนธรรมดา
23. วิ่งเข้าหาความเป็นไปไม่ได้
24. ค้นหาโอกาส แสดงตัวทุกครั้งที่โอกาสมาถึง
25. ไม่เคยรอคำว่าพร้อม
26. เลือกคบหาคนที่มองโลกในแง่ดี
27. เข้าใจความเสี่ยง
28. กล้าพูดถึงความดีของตัวเอง
29. ทำบุญแบบถึงไหนถึงกัน
30. ลงเงิน ลงแรงช่วยเหลือคนอื่น
31. ชอบให้ความรู้เด็กรุ่นใหม่
32. ไม่ขี้บ่น ไม่เคยโทษคนอื่น
33. เจอปัญหา เขากลับบอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหา นี่คือโจทย์
34. พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
35. เป็นนักอ่านชั้นยอด
36. เห็นคุณค่าของเวลา
37. มองเห็นอนาคตทางการงานของตัวเอง
38. บอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร
39. แบ่งเวลาทำงานหนัก และให้รางวัลตัวเองอย่างหนัก
40. ชอบพูดคำว่า "พี่ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ" เป็นประจำ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4742
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 ธันวาคม 2556
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มองเทคนิคแบบ VI
เวลาฟังนักวิเคราะห์ทางเทคนิคพูดถึงราคาหุ้นของแต่ละตัวว่าจะไปทางไหน ควรจะซื้อหรือขาย หรือมีแนวต้านแนวรับเท่าไรแล้ว ผมจะไม่สนใจเลย เหตุผลก็เพราะผมไม่เชื่อว่าวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะสามารถทำเงินได้ ประเด็นสำคัญก็คือ การซื้อ ๆ ขาย ๆ เมื่อราคาขยับไปเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้กำไรที่ได้รับคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น้อยตามไปด้วย และนี่หมายความว่าราคาหุ้นต้องขยับไปตามที่เราคาดด้วยวิธีทางเทคนิคด้วย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ราคาหุ้นอาจจะขยับไปในทางตรงกันข้าม ผลก็คือเราก็จะขาดทุน ดังนั้น ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะบอกได้ถูกต้องถึง 60-70% บอกผิด 30-40% แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องเสียค่าคอมมิชชั่นทุกครั้งไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด ผลก็คือ เราก็ไม่เหลืออะไร เป็นไปได้ว่าเราจะขาดทุนมากกว่ากำไรเพราะเราซื้อขายบ่อยมาก ดังนั้น โอกาสที่เราจะรวยหรือได้กำไรมาก ๆ จากการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาซื้อขายหุ้นเป็นประจำจึงเป็นไปได้ยากมาก
ถ้าจะถามว่าผมไม่ยอมรับเลยใช่ไหมว่าเรื่องของเทคนิคนั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและก็อาจจะเป็นจริงสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้ คำตอบของผมก็คือ ไม่ใช่! เรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น อาจจะมี “รูปแบบ” ที่พอจะคาดการณ์ได้ มันอาจจะมีเหตุผลรองรับ ว่าที่จริงผมเองก็มักจะสังเกตดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบางตัวอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง ผมไม่ได้ใช้กราฟราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นแบบนักเทคนิคมืออาชีพ ผมแค่นั่งดูการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นแต่ละวันและก็พยายามคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น “เบื้องหลัง” หุ้นตัวนั้น และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นเคลื่อนไหวอย่างที่มันกำลังเป็น
เหตุผลข้อแรกก็คือเรื่องของ “จิตวิทยา” ของนักลงทุน ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นอาจจะเคลื่อนไหวไปตาม “จิตวิทยาหมู่” ของ “มวลมหาประชากรของนักลงทุน” ที่เข้ามาซื้อขายหุ้นที่พวกเขาเชื่อว่าจะวิ่งขึ้นไปมากด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นขึ้นไปจริงตามคำทำนาย หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self- Prophecy กระบวนการก็คือ เมื่อนักลงทุนเห็นราคาหุ้นของหุ้น “ยอดนิยม” ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็อยากจะ “กระโดดขึ้นรถ” เพื่อขอทำกำไรไปด้วย นั่นก็คือ พวกเขาเข้าไปซื้อหุ้น และการซื้อหุ้นของพวกเขาก็มีส่วนที่จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ดังนั้นหุ้นก็จะวิ่งขึ้นต่อไปตามที่พวกเขาคาดไว้ และนี่ก็จะดึงดูดให้นักลงทุนคนใหม่เข้ามาซื้อเพิ่มเพื่อหวังทำกำไรและก็ทำให้หุ้นเพิ่มต่อขึ้นไปอีก
เหตุผลข้อสองที่อาจจะเป็นเบื้องหลังของราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ “ตามเทคนิค” ก็คือเรื่องของการ “มีข้อมูลที่ไม่เท่ากัน” ของนักลงทุนเกี่ยวกับตัวบริษัทนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทอาจจะค้นพบเหมืองทองคำ หรือกำลังได้งานหรือสัญญาที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในอีกหลายปีข้างหน้า คนที่รู้ก่อนก็คือบุคคลภายในบริษัท (Insider) หรือคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็จะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวขึ้น ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็จะบอกคนใกล้ชิดหรือเพื่อนซึ่งก็จะเข้ามาซื้อเป็นรายต่อไปซึ่งก็จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก ต่อมานักวิเคราะห์ซึ่งสังเกตเห็นราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นก็ค้นพบข้อมูล อาจจะโดยการเปิดเผยของบริษัท ก็จะออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้น ต่อจากนั้น นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นล็อตใหญ่เก็บเข้าพอร์ตส่งผลให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างแรง และสุดท้าย นักลงทุนรายย่อยประเภท “แมงเม่า” ก็ได้รับรู้ข่าวสารที่ “ดีสุดยอด” นั้นและเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งก็ยิ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก กระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดทันทีแต่ค่อย ๆ ทยอยเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น อาจจะเป็นหลายเดือน ดังนั้น นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักเทคนิคสามารถเข้ามาทำกำไรได้ในจุดใดจุดหนึ่ง
เหตุผลข้อที่สาม เป็นเรื่องของการตอบสนองของคนหรือนักลงทุนต่อข่าวสารที่มักจะไม่พอดีหรือไม่สมบูรณ์หรือไม่ทันทีโดยเฉพาะข้อมูลที่จะต้องนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติม ตัวอย่างเช่นเรื่องของผลประกอบการที่ประกาศออกมาของบริษัท สมมุติว่าบริษัทประกาศว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด นักลงทุนบางส่วนก็จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มแต่หลายคนก็ยังอาจจะรีรอเพราะยังไม่แน่ใจว่ากำไรนั้นจะดีต่อไปมากน้อยแค่ไหน หลายคนอาจจะยังไม่ทันได้วิเคราะห์ ดังนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นบ้างแต่ยังไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น ต่อมาเมื่อนักวิเคราะห์เข้าไปตรวจสอบและออกคำแนะนำให้ซื้อ ราคาหุ้นก็อาจจะขยับตัวขึ้นไป กระบวนการนี้ทำให้ราคาค่อย ๆ ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักเทคนิคสามารถเข้าไปซื้อหุ้นทำกำไรได้
ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ เบื้องหลังของ “แนวรับแนวต้าน” นั้น อาจจะเกิดขึ้นจาก “ความทรงจำ” ของนักลงทุนต่อราคาหุ้นในอดีต ตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นตัวหนึ่งมีการซื้อขายกันที่ราคาประมาณ 10 บาทต่อหุ้นเป็นระยะเวลานานซึ่งทำให้มีคนจำนวนมากที่ซื้อหุ้นมาในต้นทุนประมาณนั้น ครั้นแล้วราคาหุ้นก็ตกลงมาเหลือเพียง 8 บาทต่อหุ้น ดังนั้น เมื่อหุ้นค่อย ๆ ปรับตัวกลับมาที่ 10 บาทต่อหุ้น คนที่ขาดทุนจำนวนมากก็จะขายเพื่อ “เอาทุนคืน” ผลก็คือ หุ้นจะวิ่งเกิน 10 บาทไปยาก ดังนั้น 10 บาทจึงกลายเป็น “แนวต้าน” ในทางตรงกันข้าม เมื่อหุ้นแกว่งตัวอยู่ที่ระดับราคาค่อนข้างต่ำในระดับหนึ่งมานาน นักลงทุนจำนวนมากที่พลาดโอกาสหรือพลาดจังหวะที่จะซื้อเมื่อหุ้นอยู่ในระดับราคาที่สูงก็จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้นเมื่อหุ้นตัวนั้นตกลงมาที่ระดับราคาที่ต่ำ ผลก็คือ ที่ราคานั้นจะเป็น “แนวรับ” ที่ราคาจะไม่ลดต่ำกว่านั้นง่าย ๆ
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองนั้น ผมคิดว่าเหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวถึงคงมีความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย ผมเคยเห็นหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ยาวนานและสูงมาก โดยที่ผมไม่คิดว่าพื้นฐานของมันจะดีพอที่จะรองรับราคาที่ขึ้นไป แต่ในใจก็รู้สึกว่ามันคงจะขึ้นไปอีก เหตุผลก็เพราะว่ามี “แรงเชียร์” และมีคนสนใจพูดถึงกันมาก และแม้แต่ VI ชั้นนำบางคนก็ถือหุ้นจำนวนมาก ดังนั้น หุ้นตัวนั้นก็คงต้องขึ้นตามที่มีการคาดไว้ เป็น Self Prophecy ส่วนในกรณีของหุ้นที่ขยับขึ้นไปในลักษณะที่ว่าอาจจะมีข่าวดีที่บุคคลภายในรู้ก่อนและเริ่มซื้อหุ้นและต่อมาก็มีคนใกล้ชิดหรือคนที่อาจจะรู้ข่าวเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยพบมาก่อน เช่นเดียวกับเรื่องของการประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นแต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา สุดท้ายในเรื่องของแนวรับแนวต้านนั้น ผมก็รู้สึกว่ามันอาจจะมีความเป็นจริงอยู่เหมือนกันแต่ไม่ใช่ในแบบที่นักเทคนิคพูด แนวรับแนวต้านที่บางครั้งผมพบนั้น จะเป็นลักษณะที่หุ้นบางตัวนั้น พอลงถึงจุดหนึ่งก็มักจะมีแรงซื้อเข้ามารับเหมือน ๆ กับว่าคราวก่อนที่หุ้นลงมาแล้วไม่ได้ซื้อ คราวนี้เป็นโอกาส และดังนั้น หุ้นก็มักไม่ลงต่ำกว่านั้น
ทั้งหมดที่พูดถึงนั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่จริงแท้แค่ไหน มันอาจจะเป็นความรู้สึกของผมเองที่ติดตามดูราคาของหุ้นบางตัวที่ผมสนใจและก็เห็น “อาการ” หรือรูปแบบของราคาหุ้นเป็นแบบนั้น แต่ถ้าทำการศึกษาจริง ๆ ในหุ้นจำนวนมาก มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังไม่เคยใช้การสังเกตหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาตัดสินใจซื้อขายหุ้นจริง ๆ เลย ผมยังยึดมั่นว่าจะไม่ใช้ความรู้สึกมาเป็นหลักในการซื้อขายหุ้นเพราะความรู้สึกนั้นอาจจะผิดเพราะมันมักจะ “ลำเอียง” โดยที่เราไม่มีทางจะรู้ตัว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความรู้สึกนั้น มักจะทำให้การถือหุ้นลงทุนของเราสั้นลง และนี่อาจจะไม่คุ้มค่าเลย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว “อาการทางเทคนิค” ของหุ้นนั้น เอาไว้ดูเล่นดีกว่า อย่าเอาไปตัดสินใจซื้อขายหุ้นเลย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มองเทคนิคแบบ VI
เวลาฟังนักวิเคราะห์ทางเทคนิคพูดถึงราคาหุ้นของแต่ละตัวว่าจะไปทางไหน ควรจะซื้อหรือขาย หรือมีแนวต้านแนวรับเท่าไรแล้ว ผมจะไม่สนใจเลย เหตุผลก็เพราะผมไม่เชื่อว่าวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะสามารถทำเงินได้ ประเด็นสำคัญก็คือ การซื้อ ๆ ขาย ๆ เมื่อราคาขยับไปเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้กำไรที่ได้รับคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น้อยตามไปด้วย และนี่หมายความว่าราคาหุ้นต้องขยับไปตามที่เราคาดด้วยวิธีทางเทคนิคด้วย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ราคาหุ้นอาจจะขยับไปในทางตรงกันข้าม ผลก็คือเราก็จะขาดทุน ดังนั้น ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะบอกได้ถูกต้องถึง 60-70% บอกผิด 30-40% แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องเสียค่าคอมมิชชั่นทุกครั้งไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด ผลก็คือ เราก็ไม่เหลืออะไร เป็นไปได้ว่าเราจะขาดทุนมากกว่ากำไรเพราะเราซื้อขายบ่อยมาก ดังนั้น โอกาสที่เราจะรวยหรือได้กำไรมาก ๆ จากการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาซื้อขายหุ้นเป็นประจำจึงเป็นไปได้ยากมาก
ถ้าจะถามว่าผมไม่ยอมรับเลยใช่ไหมว่าเรื่องของเทคนิคนั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและก็อาจจะเป็นจริงสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้ คำตอบของผมก็คือ ไม่ใช่! เรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น อาจจะมี “รูปแบบ” ที่พอจะคาดการณ์ได้ มันอาจจะมีเหตุผลรองรับ ว่าที่จริงผมเองก็มักจะสังเกตดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบางตัวอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง ผมไม่ได้ใช้กราฟราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นแบบนักเทคนิคมืออาชีพ ผมแค่นั่งดูการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นแต่ละวันและก็พยายามคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น “เบื้องหลัง” หุ้นตัวนั้น และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นเคลื่อนไหวอย่างที่มันกำลังเป็น
เหตุผลข้อแรกก็คือเรื่องของ “จิตวิทยา” ของนักลงทุน ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นอาจจะเคลื่อนไหวไปตาม “จิตวิทยาหมู่” ของ “มวลมหาประชากรของนักลงทุน” ที่เข้ามาซื้อขายหุ้นที่พวกเขาเชื่อว่าจะวิ่งขึ้นไปมากด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นขึ้นไปจริงตามคำทำนาย หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Self- Prophecy กระบวนการก็คือ เมื่อนักลงทุนเห็นราคาหุ้นของหุ้น “ยอดนิยม” ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็อยากจะ “กระโดดขึ้นรถ” เพื่อขอทำกำไรไปด้วย นั่นก็คือ พวกเขาเข้าไปซื้อหุ้น และการซื้อหุ้นของพวกเขาก็มีส่วนที่จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ดังนั้นหุ้นก็จะวิ่งขึ้นต่อไปตามที่พวกเขาคาดไว้ และนี่ก็จะดึงดูดให้นักลงทุนคนใหม่เข้ามาซื้อเพิ่มเพื่อหวังทำกำไรและก็ทำให้หุ้นเพิ่มต่อขึ้นไปอีก
เหตุผลข้อสองที่อาจจะเป็นเบื้องหลังของราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ “ตามเทคนิค” ก็คือเรื่องของการ “มีข้อมูลที่ไม่เท่ากัน” ของนักลงทุนเกี่ยวกับตัวบริษัทนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทอาจจะค้นพบเหมืองทองคำ หรือกำลังได้งานหรือสัญญาที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในอีกหลายปีข้างหน้า คนที่รู้ก่อนก็คือบุคคลภายในบริษัท (Insider) หรือคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็จะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวขึ้น ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็จะบอกคนใกล้ชิดหรือเพื่อนซึ่งก็จะเข้ามาซื้อเป็นรายต่อไปซึ่งก็จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก ต่อมานักวิเคราะห์ซึ่งสังเกตเห็นราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นก็ค้นพบข้อมูล อาจจะโดยการเปิดเผยของบริษัท ก็จะออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้น ต่อจากนั้น นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นล็อตใหญ่เก็บเข้าพอร์ตส่งผลให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างแรง และสุดท้าย นักลงทุนรายย่อยประเภท “แมงเม่า” ก็ได้รับรู้ข่าวสารที่ “ดีสุดยอด” นั้นและเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งก็ยิ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก กระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดทันทีแต่ค่อย ๆ ทยอยเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น อาจจะเป็นหลายเดือน ดังนั้น นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักเทคนิคสามารถเข้ามาทำกำไรได้ในจุดใดจุดหนึ่ง
เหตุผลข้อที่สาม เป็นเรื่องของการตอบสนองของคนหรือนักลงทุนต่อข่าวสารที่มักจะไม่พอดีหรือไม่สมบูรณ์หรือไม่ทันทีโดยเฉพาะข้อมูลที่จะต้องนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติม ตัวอย่างเช่นเรื่องของผลประกอบการที่ประกาศออกมาของบริษัท สมมุติว่าบริษัทประกาศว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด นักลงทุนบางส่วนก็จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มแต่หลายคนก็ยังอาจจะรีรอเพราะยังไม่แน่ใจว่ากำไรนั้นจะดีต่อไปมากน้อยแค่ไหน หลายคนอาจจะยังไม่ทันได้วิเคราะห์ ดังนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นบ้างแต่ยังไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น ต่อมาเมื่อนักวิเคราะห์เข้าไปตรวจสอบและออกคำแนะนำให้ซื้อ ราคาหุ้นก็อาจจะขยับตัวขึ้นไป กระบวนการนี้ทำให้ราคาค่อย ๆ ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักเทคนิคสามารถเข้าไปซื้อหุ้นทำกำไรได้
ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ เบื้องหลังของ “แนวรับแนวต้าน” นั้น อาจจะเกิดขึ้นจาก “ความทรงจำ” ของนักลงทุนต่อราคาหุ้นในอดีต ตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นตัวหนึ่งมีการซื้อขายกันที่ราคาประมาณ 10 บาทต่อหุ้นเป็นระยะเวลานานซึ่งทำให้มีคนจำนวนมากที่ซื้อหุ้นมาในต้นทุนประมาณนั้น ครั้นแล้วราคาหุ้นก็ตกลงมาเหลือเพียง 8 บาทต่อหุ้น ดังนั้น เมื่อหุ้นค่อย ๆ ปรับตัวกลับมาที่ 10 บาทต่อหุ้น คนที่ขาดทุนจำนวนมากก็จะขายเพื่อ “เอาทุนคืน” ผลก็คือ หุ้นจะวิ่งเกิน 10 บาทไปยาก ดังนั้น 10 บาทจึงกลายเป็น “แนวต้าน” ในทางตรงกันข้าม เมื่อหุ้นแกว่งตัวอยู่ที่ระดับราคาค่อนข้างต่ำในระดับหนึ่งมานาน นักลงทุนจำนวนมากที่พลาดโอกาสหรือพลาดจังหวะที่จะซื้อเมื่อหุ้นอยู่ในระดับราคาที่สูงก็จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้นเมื่อหุ้นตัวนั้นตกลงมาที่ระดับราคาที่ต่ำ ผลก็คือ ที่ราคานั้นจะเป็น “แนวรับ” ที่ราคาจะไม่ลดต่ำกว่านั้นง่าย ๆ
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองนั้น ผมคิดว่าเหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวถึงคงมีความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย ผมเคยเห็นหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ยาวนานและสูงมาก โดยที่ผมไม่คิดว่าพื้นฐานของมันจะดีพอที่จะรองรับราคาที่ขึ้นไป แต่ในใจก็รู้สึกว่ามันคงจะขึ้นไปอีก เหตุผลก็เพราะว่ามี “แรงเชียร์” และมีคนสนใจพูดถึงกันมาก และแม้แต่ VI ชั้นนำบางคนก็ถือหุ้นจำนวนมาก ดังนั้น หุ้นตัวนั้นก็คงต้องขึ้นตามที่มีการคาดไว้ เป็น Self Prophecy ส่วนในกรณีของหุ้นที่ขยับขึ้นไปในลักษณะที่ว่าอาจจะมีข่าวดีที่บุคคลภายในรู้ก่อนและเริ่มซื้อหุ้นและต่อมาก็มีคนใกล้ชิดหรือคนที่อาจจะรู้ข่าวเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยพบมาก่อน เช่นเดียวกับเรื่องของการประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นแต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา สุดท้ายในเรื่องของแนวรับแนวต้านนั้น ผมก็รู้สึกว่ามันอาจจะมีความเป็นจริงอยู่เหมือนกันแต่ไม่ใช่ในแบบที่นักเทคนิคพูด แนวรับแนวต้านที่บางครั้งผมพบนั้น จะเป็นลักษณะที่หุ้นบางตัวนั้น พอลงถึงจุดหนึ่งก็มักจะมีแรงซื้อเข้ามารับเหมือน ๆ กับว่าคราวก่อนที่หุ้นลงมาแล้วไม่ได้ซื้อ คราวนี้เป็นโอกาส และดังนั้น หุ้นก็มักไม่ลงต่ำกว่านั้น
ทั้งหมดที่พูดถึงนั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่จริงแท้แค่ไหน มันอาจจะเป็นความรู้สึกของผมเองที่ติดตามดูราคาของหุ้นบางตัวที่ผมสนใจและก็เห็น “อาการ” หรือรูปแบบของราคาหุ้นเป็นแบบนั้น แต่ถ้าทำการศึกษาจริง ๆ ในหุ้นจำนวนมาก มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังไม่เคยใช้การสังเกตหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาตัดสินใจซื้อขายหุ้นจริง ๆ เลย ผมยังยึดมั่นว่าจะไม่ใช้ความรู้สึกมาเป็นหลักในการซื้อขายหุ้นเพราะความรู้สึกนั้นอาจจะผิดเพราะมันมักจะ “ลำเอียง” โดยที่เราไม่มีทางจะรู้ตัว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความรู้สึกนั้น มักจะทำให้การถือหุ้นลงทุนของเราสั้นลง และนี่อาจจะไม่คุ้มค่าเลย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว “อาการทางเทคนิค” ของหุ้นนั้น เอาไว้ดูเล่นดีกว่า อย่าเอาไปตัดสินใจซื้อขายหุ้นเลย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4743
อุตสาห์ดีใจ เห็นจะจัดงบเร่งด่วน ที่ไหนได้ เร่งด่วน คืออีก 16 ปี
พ.ศ. 2572

รฟม.เตรียมของบศึกษาออกแบบรายละเอียดส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินเชื่อมถึงแยกพุทธมณฑลสาย 4 จับตาความเจริญด้านการพัฒนาพื้นที่และที่อยู่อาศัยโซนเพชรเกษม-หนองแขมทั้งถนนเมนหลักและเชื่อมโยงถนนสายรอง ด้านบิ๊กซิโน-ไทยเร่งเครื่องงานก่อสร้างหลังได้รับมอบพื้นที่บริเวณแยกท่าพระ ชี้คืบหน้าแล้วกว่า 33% ค่ายอสังหาฯจมูกไว แห่ผุดโครงการเพียบ
alt นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า เตรียมผลักดันของบประมาณจำนวนไม่เกิน 100 ล้านบาทเพื่อใช้ในการศึกษาออกแบบรายละเอียดโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจากสถานีหลักสองไปถึงสี่แยกพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งตามแผนเดิมในช่วงรัฐบาลสมัยนายสมัคร สุนทรเวช ได้เคยอนุมัติให้มีการศึกษาความเหมาะสมในช่วงดังกล่าวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงด้านการบริการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าเข้าถึงประชาชนได้อย่างครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปริมณฑลโดยรอบกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบันส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ สิ้นสุดที่สถานีหลักสองเท่านั้น โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้
โดยส่วนต่อขยายช่วงบางแค-พุทธมณฑล สาย 4 ระยะทาง 8 กิโลเมตร (4 สถานี) ได้แก่ สถานีพุทธมณฑลสาย 2 สถานีทวีวัฒนา สถานีพุทธมณฑลสาย 3 และสถานีพุทธมณฑลสาย 4 ลักษณะโครงการ ออกแบบโครงสร้างยกระดับทั้งหมดในลักษณะเป็นทางวิ่งรางคู่บนเสาตอม่อ บริเวณเกาะกลางถนน แนวเส้นทางจุดเริ่มต้นโครงการจะต่อจากสถานีรถไฟฟ้าที่สถานีหลักสอง วิ่งไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านแยกพุทธมณฑลสาย 2 ผ่านแยกทวีวัฒนา ผ่านแยกพุทธมณฑลสาย 3 ไปสิ้นสุดที่แยกพุทธมณฑลสาย 4 โดยโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 จัดอยู่ในส่วนของแผนแม่บทเร่งด่วนช่วงระยะ 20 ปี (ปี 2572)
"ประจวบเหมาะตนเองมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่แถบนี้ จึงมีโอกาสได้ติดตามความเคลื่อนไหวงานก่อสร้างและแนวโน้มการเติบโตของพื้นที่มาโดยตลอดทั้งรอบสถานีและในแนวเส้นทางโดยเฉพาะวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่พบว่าแม้จะยังไม่เปิดให้บริการเดินรถ เพียงเริ่มงานก่อสร้างเท่านั้นก็เปิดโครงการอย่างมากมาย โดยเฉพาะช่วงพ้นจากจุดก่อสร้างสถานีหลักสองไปแล้วซึ่งเข้าสู่พื้นที่หนองแขม ทั้ง 2 ฝั่งมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยหลายโครงการ โดยได้จับตาความเจริญด้านการพัฒนาพื้นที่และที่อยู่อาศัยโซนเพชรเกษม-หนองแขมทั้งถนนเมนหลักและเชื่อมโยงถนนสายรอง โดยมีหลายโครงการของบรัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำขึ้นป้ายประกาศขายจำนวนมาก"
ด้านนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าขณะนี้ได้ลงเครื่องมือหนักจำนวน 6 ชุดเพื่อเร่งงานก่อสร้างช่วงถนนเพชรเกษมแล้ว ล่าสุดได้รับมอบพื้นที่จากรฟม.ในช่วงแยกท่าพระจึงสามารถเร่งรัดงานก่อสร้างในช่วงดังกล่าวได้มากขึ้น
ขณะนี้มีความคืบหน้าในภาพรวมประมาณ 33% โดยมีทั้งการขึ้นเสาตอม่อ การขึ้นบล็อกคาน การวางทางวิ่ง ตั้งแต่สถานีหลักสองเข้ามาสู่เขตชั้นในถึงใกล้แยกท่าพระ ยังไม่พบปัญหาในการก่อสร้างที่จะส่งผลให้เกิดความล่าช้า ทั้งในส่วนงานก่อสร้างสถานีและจุดซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ"
สอดรับกับการลงพื้นที่สำรวจอสังหาริมทรัพย์และติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างของ"ฐานเศรษฐกิจ"พบว่าในช่วงต้นถนนเพชรเกษมช่วงท่าพระ บางไผ่ บางแค ซึ่งมีชุมชนหนาแน่น พบโครงการก่อสร้างบ้างประปราย พร้อมกับป้ายประกาศให้เช่า เซ้ง อาคารหลายจุด เมื่อผ่านพื้นที่จุดก่อสร้างสถานีหลักสองไปแล้วจะเริ่มเห็นโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้นทั้งตลอดแนว 2 ข้างทางถนนเพชรเกษมและถนนซอยแยกเชื่อมโยงสู่ถนนบางบอน 3 , 4, 5 และถนนพุทธสาครที่เริ่มจากแยกพุทธมณฑลสาย 4 มีหลายโครงการทั้งจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอย่างพฤกษา เรียลเอสเตท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ คิวเฮ้าส์ และรายใหญ่เจ้าของพื้นที่อย่างบริษัท คลาสเซ่อร์พีค โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) เจ้าของโครงการบ้านสิวารัตน์ และ บริษัท อู่เงิน จำกัด เจ้าของโครงการบ้านศุภวรรณ ย่านเพชรเกษม-เดอะมอลล์บางแค เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,907 วันที่ 22 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4744
ใกล้จะสิ้นปี 2556 แล้ว หลายคนเริ่มมองหาสถานที่ที่จะนับถอยหลังเพื่อบอกลาปีเก่าและต้อนรับวินาทีแรกของปีใหม่ 2557 เรามาดูกันว่า สถานที่ชิกๆ ชิลๆ ติดอันดับโลกเพื่อการนี้10 อันดับแรก มีที่ไหนกันบ้าง
1. ลาสเวกัส (สหรัฐอเมริกา) มหานครแห่งงานปาร์ตี้ แต่ละปีจะมีผู้มาเลี้ยงฉลองคืนส่งท้ายปีเก่ากลางทะเลทรายแห่งนี้กว่า 3 แสนคน โรงแรม ผับ บาร์ ล้วนแน่นขนัดและมีธีมงานแตกต่างกันไป เช่น ปีนี้โรงแรมฮาร์ดร็อคมีธีมโชว์แสงสีเคล้าเสียงดนตรียุค 90
altalt 2. เบอร์ลิน (เยอรมนี) ลานจัดงานเคาต์ดาวน์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีคือหน้าประตูชัยบรานเด็นบวร์ก จุคนได้ถึง 2 ล้านคน การจุดพลุเที่ยงคืนถือเป็นไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ ปีนี้ยังมีการจัดแข่งวิ่งมาราธอน Berlin New Year's Eve Run 2013 เส้นทางวิ่งตัดผ่านป่ากรูเนอวาลท์ที่แสนงดงาม
3. ลอสแองเจลีส (สหรัฐอเมริกา) โรงแรมหลายแห่งจัดเฮาส์ปาร์ตี้อำลาปีเก่า แต่ที่ไม่ควรพลาดคือ โรสพาเหรด ที่พาซาเดนา ซึ่งปีนี้เป็นธีม Dreams Come True ระยะทางยาวของขบวนพาเหรด 5.5 ไมล์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง มีทั้งขบวนม้า รถบุปผาและวงโยธวาทิต
4. ควิเบค (แคนาดา) เมืองเก่าเปี่ยมเสน่ห์ มีเทศกาล Lights Festival และตลาดคริสต์มาสที่เลื่องชื่อ ในคืนนับถอยหลังส่งท้ายปีต้องไปที่จัตุรัส Grande Allee
5. ซิดนีย์ (ออสเตรเลีย) คาดว่าจะมีผู้มาร่วมกันเคาต์ดาวน์กว่า 1.5 ล้านคน ครึกครื้นกับการแสดงดนตรี โชว์ถนนคนเดิน และพลุเที่ยงคืนริมท่าเรือซิดนีย์ โอเปร่าเฮาส์ สะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่ลูนาร์ปาร์คและหาดบอนดี้
6. แวนคูเวอร์ (แคนาดา) หลายโรงแรมจัดงานเคาต์ดาวน์สุดหรู เช่น แชงกรีล่า เดอะ แฟร์มอนต์ วอเตอร์ฟรอนท์ อีกกิจกรรมยอดฮิตคือการว่ายน้ำท้าทายความหนาวที่อ่าวอิงลิชเบย์ในวันที่ 1 มกราคม
7. ลอนดอน (อังกฤษ) ปาร์ตี้กลางแจ้งในกรุงลอนดอนดึงดูดผู้คนหลายแสนคน ไฮไลต์คือการเคาต์ดาวน์รอเสียงระฆังปีใหม่ลั่นเปิดศักราชที่หอนาฬิกาบิ๊กเบนและการจุดพลุที่ลอนดอนอายส์ริมฝั่งแม่น้ำเธมส์
8. นิวยอร์ก ซิตี (สหรัฐอเมริกา) ปาร์ตี้เคาต์ดาวน์ที่ไทม์สแควร์ เป็นมหกรรมระดับโลกที่คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก หากมองหากิจกรรมอื่นที่น่าสนใจนอกเหนือจากการกิน-ดื่ม-เต้นรำ-ฟังเพลง ลองเข้าร่วมวิ่งมาราธอน 5 กม. เริ่มเวลา 23.15 น.ของคืนวันที่ 31 ธ.ค.
9. ไมอามี (สหรัฐอเมริกา) นับถอยหลังกันที่ชายหาดไมอามีท่ามกลางลมเย็นเยียบและเสียงคลื่
น
10. ฮ่องกง จุดนัดพบยอดฮิตคือ วิคทอเรีย ฮาร์เบอร์ ท่าเรือใหญ่ที่สุดของจีน ชมการแสดงเสียงสีเสียงและจุดพลุรับปีใหม่กันให้ฉ่ำใจ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,907 วันที่ 22 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556
1. ลาสเวกัส (สหรัฐอเมริกา) มหานครแห่งงานปาร์ตี้ แต่ละปีจะมีผู้มาเลี้ยงฉลองคืนส่งท้ายปีเก่ากลางทะเลทรายแห่งนี้กว่า 3 แสนคน โรงแรม ผับ บาร์ ล้วนแน่นขนัดและมีธีมงานแตกต่างกันไป เช่น ปีนี้โรงแรมฮาร์ดร็อคมีธีมโชว์แสงสีเคล้าเสียงดนตรียุค 90
altalt 2. เบอร์ลิน (เยอรมนี) ลานจัดงานเคาต์ดาวน์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีคือหน้าประตูชัยบรานเด็นบวร์ก จุคนได้ถึง 2 ล้านคน การจุดพลุเที่ยงคืนถือเป็นไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ ปีนี้ยังมีการจัดแข่งวิ่งมาราธอน Berlin New Year's Eve Run 2013 เส้นทางวิ่งตัดผ่านป่ากรูเนอวาลท์ที่แสนงดงาม
3. ลอสแองเจลีส (สหรัฐอเมริกา) โรงแรมหลายแห่งจัดเฮาส์ปาร์ตี้อำลาปีเก่า แต่ที่ไม่ควรพลาดคือ โรสพาเหรด ที่พาซาเดนา ซึ่งปีนี้เป็นธีม Dreams Come True ระยะทางยาวของขบวนพาเหรด 5.5 ไมล์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง มีทั้งขบวนม้า รถบุปผาและวงโยธวาทิต
4. ควิเบค (แคนาดา) เมืองเก่าเปี่ยมเสน่ห์ มีเทศกาล Lights Festival และตลาดคริสต์มาสที่เลื่องชื่อ ในคืนนับถอยหลังส่งท้ายปีต้องไปที่จัตุรัส Grande Allee
5. ซิดนีย์ (ออสเตรเลีย) คาดว่าจะมีผู้มาร่วมกันเคาต์ดาวน์กว่า 1.5 ล้านคน ครึกครื้นกับการแสดงดนตรี โชว์ถนนคนเดิน และพลุเที่ยงคืนริมท่าเรือซิดนีย์ โอเปร่าเฮาส์ สะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่ลูนาร์ปาร์คและหาดบอนดี้
6. แวนคูเวอร์ (แคนาดา) หลายโรงแรมจัดงานเคาต์ดาวน์สุดหรู เช่น แชงกรีล่า เดอะ แฟร์มอนต์ วอเตอร์ฟรอนท์ อีกกิจกรรมยอดฮิตคือการว่ายน้ำท้าทายความหนาวที่อ่าวอิงลิชเบย์ในวันที่ 1 มกราคม
7. ลอนดอน (อังกฤษ) ปาร์ตี้กลางแจ้งในกรุงลอนดอนดึงดูดผู้คนหลายแสนคน ไฮไลต์คือการเคาต์ดาวน์รอเสียงระฆังปีใหม่ลั่นเปิดศักราชที่หอนาฬิกาบิ๊กเบนและการจุดพลุที่ลอนดอนอายส์ริมฝั่งแม่น้ำเธมส์
8. นิวยอร์ก ซิตี (สหรัฐอเมริกา) ปาร์ตี้เคาต์ดาวน์ที่ไทม์สแควร์ เป็นมหกรรมระดับโลกที่คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก หากมองหากิจกรรมอื่นที่น่าสนใจนอกเหนือจากการกิน-ดื่ม-เต้นรำ-ฟังเพลง ลองเข้าร่วมวิ่งมาราธอน 5 กม. เริ่มเวลา 23.15 น.ของคืนวันที่ 31 ธ.ค.
9. ไมอามี (สหรัฐอเมริกา) นับถอยหลังกันที่ชายหาดไมอามีท่ามกลางลมเย็นเยียบและเสียงคลื่
น
10. ฮ่องกง จุดนัดพบยอดฮิตคือ วิคทอเรีย ฮาร์เบอร์ ท่าเรือใหญ่ที่สุดของจีน ชมการแสดงเสียงสีเสียงและจุดพลุรับปีใหม่กันให้ฉ่ำใจ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,907 วันที่ 22 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4746
สสว. สรุปสถานการณ์ SMEs ปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 3.3 ขณะที่การส่งออก ในช่วง 10 เดือนแรกมีมูลค่ากว่า 1.57 ล้านล้านบาท การจัดตั้งกิจการใหม่รวม 59,999 ราย คาดการณ์ปี 2557 GDP SMEs ขยายตัว 4.3-4.7 ปัจจัยบวกมาจากสถานกาณในประเทศดีขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้นผลจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ปี 2556 และคาดการณ์แนวโน้มปี 2557 ว่า SMEs ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 2.74 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 98.5 ของจำนวนวิสาหกิจรวมทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงาน 11.78 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 80.4 ของการจ้างงานรวมทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาวิเคราะห์เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ SMEs ปี 2556 โดยข้อมูลในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า การส่งออกของ SMEs มีมูลค่ารวม 1,571,145.18 ล้านบาท หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 9.3 โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ยางและของที่ทำด้วยยาง โดยประเทศคู่ค้าหลักของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
ในด้านการจัดตั้งและยกเลิกกิจการในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า SMEs มีการจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ จำนวน 59,999 ราย ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.5 โดยเดือนตุลาคม มีกิจการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ จำนวน 5,262 ราย กิจการที่จัดตั้งใหม่สูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการด้านวิทยุและโทรทัศน์ และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการยกเลิกกิจการในรอบ 10 เดือน มีจำนวน 11,070 ราย หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.4 โดยเดือนตุลาคม มีกิจการที่ยกเลิกจำนวน 1,581 ราย กิจการที่ยกเลิกสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการนันทนาการ และอสังหาริมทรัพย์
“จากการประเมินสถานการณ์ของ สสว. พบว่า ภาวะเศรษฐกิจของ SMEs ในปี 2556 ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น เห็นได้จากการขยายตัวของยอดการผลิตสินค้าต่างๆ เช่น รถยนต์นั่ง พาหนะเพื่อการพาณิชย์ ซีเมนต์ผสม ฯลฯ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ mai พื้นที่ก่อสร้างที่ได้รับอนุญาต และปริมาณเงินความหมายแคบ คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2556 เศรษฐกิจของ SMEs (GDP SMEs) จะขยายตัวร้อยละ 3.3 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ราคาพืชผลการเกษตรหลายประเภทตกต่ำ การส่งออกมีอัตราการขยายตัวลดลงอย่าง
ต่อเนื่อง ต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น สถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ผอ.สสว. กล่าว
ในส่วนคาดการณ์แนวโน้มปี 2557 คาดว่าเศรษฐกิจประเทศ (GDP) จะมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.5 ขณะที่การขยายตัวของ SMEs (GDP SMEs) จะอยู่ที่ร้อยละ 4.3-4.7 เป็นผลมาจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นเกือบทุกด้าน โดยการบริโภคภาคครัวเรือน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่หนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มลดลง อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มคงที่ในระดับต่ำซึ่งสนับสนุนการขยายตัวของการบริโภค การใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นตามงบประมาณปี 2557 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 ผลจากการเติบโตของการลงทุนของรัฐบาล ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.9 จากโครงการบริหารจัดการน้ำและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลด QE ของสหรัฐ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าขยายตัว โดยเฉพาะด้านบริการที่สำคัญคือการท่องเที่ยวของประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวม มูลค่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ส่วนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6 และ 7 ตามลำดับ
นายปฏิมา เปิดเผยต่อว่า จากการที่ สสว. ทำการวิเคราะห์โดยใช้ตารางปัจจัย-ผลผลิตของ SMEs (SME input-Output Table: IO Table) จำนวน 58 สาขา ทั้งในภาคการผลิต ภาคการค้าและภาคบริการ และผลการศึกษาแนวทางการส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีการเติบโตสูงของประเทศไทย (SME High Growth Sectors) พบว่า กลุ่มธุรกิจที่จะมีอนาคตสดใสเป็นดาวรุ่ง และกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ในปี 2557 มีดังนี้
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกและภูมิภาค ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน/อะไหล่ และกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
2.กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่ต้องพึ่งพิงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในการแข่งขันในตลาดโลกและภูมิภาค เช่น กลุ่ม SMEs ในภาคก่อสร้าง ซึ่งมีโอกาสในการขยายตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสมาชิก AEC ที่กำลังเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประเทศ ซึ่งการส่งเสริมให้มีความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดใหญ่และ SMEs ด้วยการพัฒนาคลัสเตอร์และห่วงโซ่อุปทานของประเทศไทย จะช่วยให้ SMEs ในธุรกิจดังกล่าว สามารถขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลกได้เป็นอย่างดี
3. กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่รัฐต้องวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไป ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน กลุ่มเกษตรกรรมโดยเฉพาะพืชพลังงาน กลุ่มขนส่งและ โลจิสติกส์ กลุ่มบริการด้านการศึกษา กลุ่มธุรกิจ IT และ ICT รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาและส่งเสริม SMEs ให้ได้รับมาตรฐานในระดับสากล รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี
ทั้งนี้ จากผลการศึกษา SME High Growth Sectors ได้มีข้อเสนอแนะถึงแนวทางในการส่งเสริมกลุ่ม SMEs ที่มีการเติบโตสูงทั้ง 3 กลุ่ม โดยหน่วยงานภาครัฐต้องบูรณาการความร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อสนับสนุน ช่วยเหลือ SMEs ให้ครอบคลุมทุกระดับการเติบโต มีการพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านตลาดเงินตลาดทุน เพื่อขยายโอกาสให้
ผู้ประกอบการ SMEs ไทย สามารถเข้าถึงได้สะดวก โดยเฉพาะตลาดทุนระดับแรก (Primary Market) การลดภาระทางภาษี การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไปสู่บุคลากรในสังคมแห่งความรู้ ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานคุณภาพในประเทศและระหว่างประเทศ ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีและการวิจัยพัฒนา (R&D) ในกลุ่ม SMEs และต้องปรับปรุง แก้ไขกฎ ระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเติบโตของ SMEs
ในส่วนกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นสาขาธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของผลผลิตต่ำในปี 2555-2556 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้กับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่ำกว่า เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้แรงงานมาก เช่น เครื่องหนัง การผลิตกระเบื้องเคลือบ ผลิตภัณฑ์แก้ว ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องประดับ ซึ่งมีการขยายตัวน้อยไปจนถึงหดตัว (ขยายตัวร้อยละ 0.22 ถึงหดตัวร้อยละ 11.0 ) 2.กลุ่มโลหะ-อโลหะมูลฐานที่เป็นวัตถุดิบ เช่น เหมืองแร่ เหล็ก ถ่านหิน (มีการหดตัวลง ระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 12.3) และ 3.กลุ่มบริการทางธุรกิจบางประเภท เช่น บริการส่วนบุคคล มีการหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 1.12
“แม้สาขาธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง จะมีอัตราการเติบโตต่ำในช่วง 1–2 ปี ที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไปในระดับผลิตภัณฑ์ พบว่า ยังมีบางผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสาขาดังกล่าว ที่มีโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างคุณค่าและมีมูลค่าเพิ่ม เช่น มีการออกแบบ มีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ มีการสนองตอบเฉพาะตลาดระดับบนหรือตลาดเฉพาะกลุ่ม ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง-คนรุ่นใหม่ มีการใส่ความเป็นไทยลงไป (Thainess) ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช่น การผลิตอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายกีฬาในเทศกาลการแข่งขัน ผลิตภัณฑ์กระเบื้องเคลือบตกแต่งบ้าน เครื่องหนังที่มีดีไซน์และใช้วัตถุดิบคุณสมบัติพิเศษ เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีการออกแบบ ฯลฯ ซึ่งในส่วนภาครัฐก็จะเร่งให้การสนับสนุน ส่งเสริม เพื่อให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวสามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ” ผอ.สสว. กล่าวในที่สุด
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2013 เวลา 08:12 น.
นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ปี 2556 และคาดการณ์แนวโน้มปี 2557 ว่า SMEs ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 2.74 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 98.5 ของจำนวนวิสาหกิจรวมทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงาน 11.78 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 80.4 ของการจ้างงานรวมทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาวิเคราะห์เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ SMEs ปี 2556 โดยข้อมูลในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า การส่งออกของ SMEs มีมูลค่ารวม 1,571,145.18 ล้านบาท หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 9.3 โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ยางและของที่ทำด้วยยาง โดยประเทศคู่ค้าหลักของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
ในด้านการจัดตั้งและยกเลิกกิจการในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 พบว่า SMEs มีการจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ จำนวน 59,999 ราย ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.5 โดยเดือนตุลาคม มีกิจการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ จำนวน 5,262 ราย กิจการที่จัดตั้งใหม่สูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการด้านวิทยุและโทรทัศน์ และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการยกเลิกกิจการในรอบ 10 เดือน มีจำนวน 11,070 ราย หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.4 โดยเดือนตุลาคม มีกิจการที่ยกเลิกจำนวน 1,581 ราย กิจการที่ยกเลิกสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการนันทนาการ และอสังหาริมทรัพย์
“จากการประเมินสถานการณ์ของ สสว. พบว่า ภาวะเศรษฐกิจของ SMEs ในปี 2556 ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น เห็นได้จากการขยายตัวของยอดการผลิตสินค้าต่างๆ เช่น รถยนต์นั่ง พาหนะเพื่อการพาณิชย์ ซีเมนต์ผสม ฯลฯ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ mai พื้นที่ก่อสร้างที่ได้รับอนุญาต และปริมาณเงินความหมายแคบ คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2556 เศรษฐกิจของ SMEs (GDP SMEs) จะขยายตัวร้อยละ 3.3 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ราคาพืชผลการเกษตรหลายประเภทตกต่ำ การส่งออกมีอัตราการขยายตัวลดลงอย่าง
ต่อเนื่อง ต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น สถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ผอ.สสว. กล่าว
ในส่วนคาดการณ์แนวโน้มปี 2557 คาดว่าเศรษฐกิจประเทศ (GDP) จะมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.5 ขณะที่การขยายตัวของ SMEs (GDP SMEs) จะอยู่ที่ร้อยละ 4.3-4.7 เป็นผลมาจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นเกือบทุกด้าน โดยการบริโภคภาคครัวเรือน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่หนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มลดลง อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มคงที่ในระดับต่ำซึ่งสนับสนุนการขยายตัวของการบริโภค การใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นตามงบประมาณปี 2557 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 ผลจากการเติบโตของการลงทุนของรัฐบาล ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.9 จากโครงการบริหารจัดการน้ำและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลด QE ของสหรัฐ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าขยายตัว โดยเฉพาะด้านบริการที่สำคัญคือการท่องเที่ยวของประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวม มูลค่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ส่วนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6 และ 7 ตามลำดับ
นายปฏิมา เปิดเผยต่อว่า จากการที่ สสว. ทำการวิเคราะห์โดยใช้ตารางปัจจัย-ผลผลิตของ SMEs (SME input-Output Table: IO Table) จำนวน 58 สาขา ทั้งในภาคการผลิต ภาคการค้าและภาคบริการ และผลการศึกษาแนวทางการส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีการเติบโตสูงของประเทศไทย (SME High Growth Sectors) พบว่า กลุ่มธุรกิจที่จะมีอนาคตสดใสเป็นดาวรุ่ง และกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ในปี 2557 มีดังนี้
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกและภูมิภาค ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน/อะไหล่ และกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
2.กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่ต้องพึ่งพิงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในการแข่งขันในตลาดโลกและภูมิภาค เช่น กลุ่ม SMEs ในภาคก่อสร้าง ซึ่งมีโอกาสในการขยายตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสมาชิก AEC ที่กำลังเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประเทศ ซึ่งการส่งเสริมให้มีความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดใหญ่และ SMEs ด้วยการพัฒนาคลัสเตอร์และห่วงโซ่อุปทานของประเทศไทย จะช่วยให้ SMEs ในธุรกิจดังกล่าว สามารถขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลกได้เป็นอย่างดี
3. กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่รัฐต้องวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไป ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน กลุ่มเกษตรกรรมโดยเฉพาะพืชพลังงาน กลุ่มขนส่งและ โลจิสติกส์ กลุ่มบริการด้านการศึกษา กลุ่มธุรกิจ IT และ ICT รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาและส่งเสริม SMEs ให้ได้รับมาตรฐานในระดับสากล รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี
ทั้งนี้ จากผลการศึกษา SME High Growth Sectors ได้มีข้อเสนอแนะถึงแนวทางในการส่งเสริมกลุ่ม SMEs ที่มีการเติบโตสูงทั้ง 3 กลุ่ม โดยหน่วยงานภาครัฐต้องบูรณาการความร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อสนับสนุน ช่วยเหลือ SMEs ให้ครอบคลุมทุกระดับการเติบโต มีการพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านตลาดเงินตลาดทุน เพื่อขยายโอกาสให้
ผู้ประกอบการ SMEs ไทย สามารถเข้าถึงได้สะดวก โดยเฉพาะตลาดทุนระดับแรก (Primary Market) การลดภาระทางภาษี การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไปสู่บุคลากรในสังคมแห่งความรู้ ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานคุณภาพในประเทศและระหว่างประเทศ ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีและการวิจัยพัฒนา (R&D) ในกลุ่ม SMEs และต้องปรับปรุง แก้ไขกฎ ระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเติบโตของ SMEs
ในส่วนกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นสาขาธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของผลผลิตต่ำในปี 2555-2556 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้กับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่ำกว่า เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้แรงงานมาก เช่น เครื่องหนัง การผลิตกระเบื้องเคลือบ ผลิตภัณฑ์แก้ว ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องประดับ ซึ่งมีการขยายตัวน้อยไปจนถึงหดตัว (ขยายตัวร้อยละ 0.22 ถึงหดตัวร้อยละ 11.0 ) 2.กลุ่มโลหะ-อโลหะมูลฐานที่เป็นวัตถุดิบ เช่น เหมืองแร่ เหล็ก ถ่านหิน (มีการหดตัวลง ระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 12.3) และ 3.กลุ่มบริการทางธุรกิจบางประเภท เช่น บริการส่วนบุคคล มีการหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 1.12
“แม้สาขาธุรกิจหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง จะมีอัตราการเติบโตต่ำในช่วง 1–2 ปี ที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไปในระดับผลิตภัณฑ์ พบว่า ยังมีบางผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสาขาดังกล่าว ที่มีโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างคุณค่าและมีมูลค่าเพิ่ม เช่น มีการออกแบบ มีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ มีการสนองตอบเฉพาะตลาดระดับบนหรือตลาดเฉพาะกลุ่ม ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง-คนรุ่นใหม่ มีการใส่ความเป็นไทยลงไป (Thainess) ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช่น การผลิตอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายกีฬาในเทศกาลการแข่งขัน ผลิตภัณฑ์กระเบื้องเคลือบตกแต่งบ้าน เครื่องหนังที่มีดีไซน์และใช้วัตถุดิบคุณสมบัติพิเศษ เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีการออกแบบ ฯลฯ ซึ่งในส่วนภาครัฐก็จะเร่งให้การสนับสนุน ส่งเสริม เพื่อให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวสามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ” ผอ.สสว. กล่าวในที่สุด
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2013 เวลา 08:12 น.
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4747
updated: 24 ธ.ค. 2556 เวลา 20:38:19 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ธุรกิจ หวั่นมู้ดเดี้ยงยาวข้ามปี ล่าสุดน้ำมันจ่อขยับราคาหลังมาตรการสิ้นสุด ลดภาษีน้ำมันดีเซล แอลพีจีภาคขนส่ง หลังจากก่อนหน้านี้ที่เจอพิษม็อบการเมืองทุบมู้ดจับจ่ายนิ่งสนิท ยอดขายร่วงถ้วนหน้า สินค้าอุปโภคบริโภคครวญสถานการณ์ไม่เอื้อ-แข่งขันสูง ซัพพลายเออร์-ค่ายค้าปลีกเร่งปรับแผนรับมือ
จากสถานการณ์การ เมืองที่ยังไม่นิ่ง จนถึงขณะนี้ที่เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่อารมณ์จับจ่ายของผู้บริโภคยัง คงชะงักงันซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับสินค้าต่าง ๆ โดยถ้วนหน้า ล่าสุดข่าวการเตรียมขึ้นราคาสินค้าที่เป็นผลจากการลดภาษีน้ำมัน ดีเซล ก๊าซแอลพีจีในภาพขนส่งที่จะหมดลงในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ ที่จะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป เป็นข่าวร้ายซ้ำสองที่กระหน่ำเข้ามาท่ามกลางกำลังซื้อและมู้ดจับจ่ายที่ยัง ไม่กระเตื้องขึ้น และหลาย ๆ ฝ่ายมองว่าอาจซึมยาวไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า เป็นโจทย์ยากของทุกธุรกิจที่ต้องเตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์ที่ไร้ "ข่าวดี" ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ซัพพลายเออร์กระอักพิษต้นทุน
นายสหาย ณ นคร ผู้จัดการแผนกสื่อสารการตลาด บริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ต้นทุนน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นข่าวร้ายซ้ำสองสำหรับธุรกิจในปีหน้า เพราะจะทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นทันที แต่สถานการณ์ขณะนี้การขึ้นราคาทำได้ยาก เพราะสินค้าอุปโภคบริโภคมีการแข่งขันสูง ยิ่งดอกบัวคู่ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ การขึ้นราคาจึงต้องดูคู่แข่งเป็นหลัก การปรับราคาขายปลีกในภาวะเช่นนี้คงทำไม่ได้แน่ เช่นเดียวกับการขึ้นราคาขายส่งที่เป็นเรื่องยาก เพราะยี่ปั๊วที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายหลักของดอกบัวคู่
หากปรับลด ส่วนลดต่าง ๆ ก็จะลดแรงจูงใจการผลักดันสินค้าสู่ร้านค้าย่อย ไตรมาส 1 ปีหน้าคงไม่สามารถกระตุ้นตลาดได้มากนัก และคงคาดหวังกับอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ และต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งปีหน้าบริษัทจะชะลอการใช้งบฯโฆษณา และได้เพิ่มช่องทางจำหน่ายด้วยการนำสินค้าส่งออกของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมี่ยมไปทำตลาดผ่านช่องทางการขายตรงในรูปแบบการนำสินค้าไป ฝากขาย ขณะเดียวกันก็จะเน้นการออกสินค้าพรีเมี่ยมเข้าสู่ตลาด เพื่อเพิ่มกำไร และไม่ต้องลงไปแข่งขันด้านราคา
สอดคล้องกับความเห็น ของนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ที่เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มว่าจะมีสินค้าปรับราคาในต้นปีหน้า จะยิ่งซ้ำเติมอารมณ์จับจ่ายผู้บริโภคที่ซบเซาอยู่แล้วให้แย่ลงอีก ก่อนหน้านี้สินค้าส่วนใหญ่ใช้วิธีปรับลดขนาดให้เล็กลงแทนการขึ้นราคา เพื่อไม่ให้กระทบการจับจ่ายของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ขณะนี้การขึ้นราคาอาจต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย บางสินค้าอาจเลือกตรึงราคาไปก่อนรอจนกว่าภาวะเศรษฐกิจ มู้ดจับจ่ายจะดีขึ้น จึงค่อยขึ้นราคา บางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นก็อาจต้องตัดสิน ใจขึ้นราคา
"ค้าขายช่วงนี้ไม่ดี สินค้าก็ต้องทำใจ ช่วงโค้งสุดท้ายนี้คงต้องปล่อยไป และไตรมาส 1 ปีหน้าค่อยมาลุ้นกันอีกที"
ธุรกิจโอดมู้ดหดทุบยอดขายร่วง
นาย อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังซื้อชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด สำหรับบีเจซีปีนี้เติบโตได้เพียง 10% ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เพราะได้รับผลกระทบในช่วงไตรมาส 4 ที่สินค้าชะลอตัวทุกกลุ่ม และกำลังซื้อเงียบเหงาอาจข้ามไปถึงปีหน้า หากบรรยากาศหรือมู้ดการจับจ่ายไม่ดี ถ้าลูกค้าไม่มั่นใจน่าจะกระทบหนัก
นอก จากนี้ ปีหน้าที่อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ก็ยิ่งมาซ้ำเติมมากขึ้น สำหรับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในแง่ระบบขนส่งของบริษัทไม่กระทบเพราะใช้พลังงานธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นต้นทุนผลิตโดยรวมอาจกระทบบ้าง อย่างไรก็ตามจากภาวะของกำลังซื้อและบรรยากาศเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบการคงไม่มีใครกล้าปรับราคาสินค้า
นายอัศวินกล่าว อีกว่า สำหรับแผนในปี 2557 ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ซื้อกิจการ และการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในการบุกตลาดอาเซียน ในส่วนปีนี้ที่สำเร็จเรียบร้อยแล้วคือที่ประเทศลาว ส่วนปีหน้ายังต่อเนื่องสำหรับแผนซื้อกิจการในประเทศเวียดนาม ไทย และพม่าต่อเนื่อง
ปีหน้าธุรกิจชูนโยบายระมัดระวัง
นาง สาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดสินค้าเด็กโดยรวมโตลดลงอยู่ที่ 8-9% พฤติกรรมผู้บริโภคขณะนี้ส่วนหนึ่งคือ เรื่องอารมณ์จับจ่าย แต่หลัก ๆ คือกำลังซื้อจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น บวกกับภาระค่าใช้จ่าย หนี้ต่อครัวเรือนทำให้เงินในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลง
เชื่อว่าปี หน้าแนวโน้มจะยังเห็นภาพการระมัดระวังการใช้จ่าย อารมณ์ผู้บริโภคจดจ่อที่การเมือง ทำให้อารมณ์จับจ่ายหรือเตรียมเฉลิมฉลองปีใหม่น้อยลง สังเกตว่าการจัดกิจกรรมของห้างและทราฟฟิกไม่คึกคัก
ผู้บริโภคมีการตัดสินใจซื้อนานขึ้น
"เชื่อ ว่าทุกธุรกิจไม่ได้ตั้งความหวังว่ามู้ดจับจ่ายจะฟื้นกลับมาทันใน 1-2 สัปดาห์ บรรยากาศเงียบมาก จะเห็นว่าโมเดิร์นเทรดมีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นแรงมากในช่วงนี้"
ทั้ง นี้ภาพรวมเศรษฐกิจต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในประเทศยังไม่แน่นอน ดังนั้นการดำเนินธุรกิจในปีหน้าจะต้องระมัดระวังมากขึ้น
"ต่าง ประเทศเริ่มดีขึ้น ในกลุ่มเพื่อนบ้านก็ดีขึ้นแต่ในประเทศยังไม่ดี หลังปีใหม่เชื่อว่าจะไม่เห็นทุกแบรนด์ออกมาทำการตลาดแรงเหมือนก่อน ทุกคนคงรอดูสถานการณ์ บางคนอาจชะลอใช้งบฯ ตลาดไว้ก่อน"
ยักษ์ค้าปลิกโหมกิจกรรมปลุกจับจ่าย
นาง วรรณา สวัสดิกุล ประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้คนไม่มีอารมณ์ออกมาจับจ่าย และโฟกัสอยู่เพียงเรื่องการเมือง โดยภาพรวมการใช้จ่ายชะลอตัวบ้าง บรรยากาศเงียบ ๆ ทุกธุรกิจเป็นเหมือนกัน จึงต้องทำเรื่องโปรโมชั่น จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบริษัทต้องปรับตัว ปรับนโยบายและแผนงาน โดยเฉพาะการศึกษาพฤติกรรมและอารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถนำเสนอโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ บริการได้ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
"สถานการณ์ทางการ เมืองตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน และส่งผลกับอารมณ์จับจ่ายของผู้บริโภคโดยเฉพาะคนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดแม้จะไม่มีการชุมนุม แต่การที่คนมีการติดตามข่าวสาร ก็มีผลบ้างแต่ไม่มากเท่ากรุงเทพฯ"
สำหรับยอดกระเช้าปีใหม่ นางวรรณากล่าวว่า ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจจะมีการทำกิจกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาจับจ่าย หวังว่าสัปดาห์หน้าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี เพราะใกล้เทศกาลปีใหม่
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าปีนี้ลูกค้ากลุ่มบริษัทซื้อกระเช้าในปริมาณลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ
"เทสโก้จะมีโปรโมชั่นต่อเนื่องควบคู่กับการสื่อสารตลาด ความพิเศษปีนี้คือ ราคาเริ่มต้นกระเช้าละ 228 บาท ลดลงจากปีก่อนเริ่มต้นที่ 249 บาท เป็นผลจากการประเมินเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีว่าไม่ดี บวกกับความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา"
ด้าน นายเนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บิ๊กซีได้จัดโปรโมชั่น "เคานต์ดาวน์ นับถอยหลัง สู่ปี 2557" ระหว่างวันที่ 20-31 ธันวาคมนี้ จัดสินค้าราคาโปรโมชั่นธงฟ้าที่ไม่ซ้ำกันตลอด 12 วัน อาทิ ซื้อ 1 แถม 1, สินค้าราคาลดพิเศษสุดรายวัน และสินค้าแลกซื้อในราคาพิเศษ และร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ลดรายจ่ายผู้บริโภคโดยนำสินค้าช่วงเทศกาล และสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 1,000 รายการมาจำหน่ายในราคาธงฟ้า
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ธุรกิจ หวั่นมู้ดเดี้ยงยาวข้ามปี ล่าสุดน้ำมันจ่อขยับราคาหลังมาตรการสิ้นสุด ลดภาษีน้ำมันดีเซล แอลพีจีภาคขนส่ง หลังจากก่อนหน้านี้ที่เจอพิษม็อบการเมืองทุบมู้ดจับจ่ายนิ่งสนิท ยอดขายร่วงถ้วนหน้า สินค้าอุปโภคบริโภคครวญสถานการณ์ไม่เอื้อ-แข่งขันสูง ซัพพลายเออร์-ค่ายค้าปลีกเร่งปรับแผนรับมือ
จากสถานการณ์การ เมืองที่ยังไม่นิ่ง จนถึงขณะนี้ที่เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่อารมณ์จับจ่ายของผู้บริโภคยัง คงชะงักงันซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับสินค้าต่าง ๆ โดยถ้วนหน้า ล่าสุดข่าวการเตรียมขึ้นราคาสินค้าที่เป็นผลจากการลดภาษีน้ำมัน ดีเซล ก๊าซแอลพีจีในภาพขนส่งที่จะหมดลงในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ ที่จะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป เป็นข่าวร้ายซ้ำสองที่กระหน่ำเข้ามาท่ามกลางกำลังซื้อและมู้ดจับจ่ายที่ยัง ไม่กระเตื้องขึ้น และหลาย ๆ ฝ่ายมองว่าอาจซึมยาวไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า เป็นโจทย์ยากของทุกธุรกิจที่ต้องเตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์ที่ไร้ "ข่าวดี" ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ซัพพลายเออร์กระอักพิษต้นทุน
นายสหาย ณ นคร ผู้จัดการแผนกสื่อสารการตลาด บริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ต้นทุนน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นข่าวร้ายซ้ำสองสำหรับธุรกิจในปีหน้า เพราะจะทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นทันที แต่สถานการณ์ขณะนี้การขึ้นราคาทำได้ยาก เพราะสินค้าอุปโภคบริโภคมีการแข่งขันสูง ยิ่งดอกบัวคู่ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ การขึ้นราคาจึงต้องดูคู่แข่งเป็นหลัก การปรับราคาขายปลีกในภาวะเช่นนี้คงทำไม่ได้แน่ เช่นเดียวกับการขึ้นราคาขายส่งที่เป็นเรื่องยาก เพราะยี่ปั๊วที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายหลักของดอกบัวคู่
หากปรับลด ส่วนลดต่าง ๆ ก็จะลดแรงจูงใจการผลักดันสินค้าสู่ร้านค้าย่อย ไตรมาส 1 ปีหน้าคงไม่สามารถกระตุ้นตลาดได้มากนัก และคงคาดหวังกับอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ และต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งปีหน้าบริษัทจะชะลอการใช้งบฯโฆษณา และได้เพิ่มช่องทางจำหน่ายด้วยการนำสินค้าส่งออกของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมี่ยมไปทำตลาดผ่านช่องทางการขายตรงในรูปแบบการนำสินค้าไป ฝากขาย ขณะเดียวกันก็จะเน้นการออกสินค้าพรีเมี่ยมเข้าสู่ตลาด เพื่อเพิ่มกำไร และไม่ต้องลงไปแข่งขันด้านราคา
สอดคล้องกับความเห็น ของนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ที่เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มว่าจะมีสินค้าปรับราคาในต้นปีหน้า จะยิ่งซ้ำเติมอารมณ์จับจ่ายผู้บริโภคที่ซบเซาอยู่แล้วให้แย่ลงอีก ก่อนหน้านี้สินค้าส่วนใหญ่ใช้วิธีปรับลดขนาดให้เล็กลงแทนการขึ้นราคา เพื่อไม่ให้กระทบการจับจ่ายของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ขณะนี้การขึ้นราคาอาจต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย บางสินค้าอาจเลือกตรึงราคาไปก่อนรอจนกว่าภาวะเศรษฐกิจ มู้ดจับจ่ายจะดีขึ้น จึงค่อยขึ้นราคา บางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นก็อาจต้องตัดสิน ใจขึ้นราคา
"ค้าขายช่วงนี้ไม่ดี สินค้าก็ต้องทำใจ ช่วงโค้งสุดท้ายนี้คงต้องปล่อยไป และไตรมาส 1 ปีหน้าค่อยมาลุ้นกันอีกที"
ธุรกิจโอดมู้ดหดทุบยอดขายร่วง
นาย อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังซื้อชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด สำหรับบีเจซีปีนี้เติบโตได้เพียง 10% ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เพราะได้รับผลกระทบในช่วงไตรมาส 4 ที่สินค้าชะลอตัวทุกกลุ่ม และกำลังซื้อเงียบเหงาอาจข้ามไปถึงปีหน้า หากบรรยากาศหรือมู้ดการจับจ่ายไม่ดี ถ้าลูกค้าไม่มั่นใจน่าจะกระทบหนัก
นอก จากนี้ ปีหน้าที่อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ก็ยิ่งมาซ้ำเติมมากขึ้น สำหรับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในแง่ระบบขนส่งของบริษัทไม่กระทบเพราะใช้พลังงานธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นต้นทุนผลิตโดยรวมอาจกระทบบ้าง อย่างไรก็ตามจากภาวะของกำลังซื้อและบรรยากาศเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบการคงไม่มีใครกล้าปรับราคาสินค้า
นายอัศวินกล่าว อีกว่า สำหรับแผนในปี 2557 ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ซื้อกิจการ และการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในการบุกตลาดอาเซียน ในส่วนปีนี้ที่สำเร็จเรียบร้อยแล้วคือที่ประเทศลาว ส่วนปีหน้ายังต่อเนื่องสำหรับแผนซื้อกิจการในประเทศเวียดนาม ไทย และพม่าต่อเนื่อง
ปีหน้าธุรกิจชูนโยบายระมัดระวัง
นาง สาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดสินค้าเด็กโดยรวมโตลดลงอยู่ที่ 8-9% พฤติกรรมผู้บริโภคขณะนี้ส่วนหนึ่งคือ เรื่องอารมณ์จับจ่าย แต่หลัก ๆ คือกำลังซื้อจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น บวกกับภาระค่าใช้จ่าย หนี้ต่อครัวเรือนทำให้เงินในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลง
เชื่อว่าปี หน้าแนวโน้มจะยังเห็นภาพการระมัดระวังการใช้จ่าย อารมณ์ผู้บริโภคจดจ่อที่การเมือง ทำให้อารมณ์จับจ่ายหรือเตรียมเฉลิมฉลองปีใหม่น้อยลง สังเกตว่าการจัดกิจกรรมของห้างและทราฟฟิกไม่คึกคัก
ผู้บริโภคมีการตัดสินใจซื้อนานขึ้น
"เชื่อ ว่าทุกธุรกิจไม่ได้ตั้งความหวังว่ามู้ดจับจ่ายจะฟื้นกลับมาทันใน 1-2 สัปดาห์ บรรยากาศเงียบมาก จะเห็นว่าโมเดิร์นเทรดมีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นแรงมากในช่วงนี้"
ทั้ง นี้ภาพรวมเศรษฐกิจต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในประเทศยังไม่แน่นอน ดังนั้นการดำเนินธุรกิจในปีหน้าจะต้องระมัดระวังมากขึ้น
"ต่าง ประเทศเริ่มดีขึ้น ในกลุ่มเพื่อนบ้านก็ดีขึ้นแต่ในประเทศยังไม่ดี หลังปีใหม่เชื่อว่าจะไม่เห็นทุกแบรนด์ออกมาทำการตลาดแรงเหมือนก่อน ทุกคนคงรอดูสถานการณ์ บางคนอาจชะลอใช้งบฯ ตลาดไว้ก่อน"
ยักษ์ค้าปลิกโหมกิจกรรมปลุกจับจ่าย
นาง วรรณา สวัสดิกุล ประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้คนไม่มีอารมณ์ออกมาจับจ่าย และโฟกัสอยู่เพียงเรื่องการเมือง โดยภาพรวมการใช้จ่ายชะลอตัวบ้าง บรรยากาศเงียบ ๆ ทุกธุรกิจเป็นเหมือนกัน จึงต้องทำเรื่องโปรโมชั่น จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบริษัทต้องปรับตัว ปรับนโยบายและแผนงาน โดยเฉพาะการศึกษาพฤติกรรมและอารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถนำเสนอโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ บริการได้ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
"สถานการณ์ทางการ เมืองตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน และส่งผลกับอารมณ์จับจ่ายของผู้บริโภคโดยเฉพาะคนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดแม้จะไม่มีการชุมนุม แต่การที่คนมีการติดตามข่าวสาร ก็มีผลบ้างแต่ไม่มากเท่ากรุงเทพฯ"
สำหรับยอดกระเช้าปีใหม่ นางวรรณากล่าวว่า ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจจะมีการทำกิจกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาจับจ่าย หวังว่าสัปดาห์หน้าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี เพราะใกล้เทศกาลปีใหม่
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าปีนี้ลูกค้ากลุ่มบริษัทซื้อกระเช้าในปริมาณลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ
"เทสโก้จะมีโปรโมชั่นต่อเนื่องควบคู่กับการสื่อสารตลาด ความพิเศษปีนี้คือ ราคาเริ่มต้นกระเช้าละ 228 บาท ลดลงจากปีก่อนเริ่มต้นที่ 249 บาท เป็นผลจากการประเมินเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีว่าไม่ดี บวกกับความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา"
ด้าน นายเนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บิ๊กซีได้จัดโปรโมชั่น "เคานต์ดาวน์ นับถอยหลัง สู่ปี 2557" ระหว่างวันที่ 20-31 ธันวาคมนี้ จัดสินค้าราคาโปรโมชั่นธงฟ้าที่ไม่ซ้ำกันตลอด 12 วัน อาทิ ซื้อ 1 แถม 1, สินค้าราคาลดพิเศษสุดรายวัน และสินค้าแลกซื้อในราคาพิเศษ และร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ลดรายจ่ายผู้บริโภคโดยนำสินค้าช่วงเทศกาล และสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 1,000 รายการมาจำหน่ายในราคาธงฟ้า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4748
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2013 เวลา 11:51 น.
กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ย.56 ระบุว่า มูลค่าการส่งออกเดือน พ.ย. มีมูลค่า 18,757 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4.08% จากช่วงเดียวกันปีก่อน การนำเข้าในเดือนพ.ย. มีมูลค่า19,314 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 8.60% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ไทยขาดดุลการค้า 557 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 56(ม.ค.-พ.ย.56) การส่งออก ลดลง 0.49% มาที่ 210,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนำเข้า เติบโต 1.22% มาที่ 231,997 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 21,907 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ย.56 ระบุว่า มูลค่าการส่งออกเดือน พ.ย. มีมูลค่า 18,757 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4.08% จากช่วงเดียวกันปีก่อน การนำเข้าในเดือนพ.ย. มีมูลค่า19,314 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 8.60% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ไทยขาดดุลการค้า 557 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 56(ม.ค.-พ.ย.56) การส่งออก ลดลง 0.49% มาที่ 210,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนำเข้า เติบโต 1.22% มาที่ 231,997 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 21,907 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4749
ลุ้นให้ครอบครัวพี่หมอมุขยังได้เจออากาศหนาวๆ สมกับที่รอคอยนะคะ
แต่เท่าที่ตามดูข่าวพยากรณ์อากาศ...นุชว่าหนาวแน่ค่ะ
อาจต้องระวังคนตัวผอมๆ ในครอบครัวนะคะ...จะแย่เลยค่ะ
นับถอยหลังแล้วนะคะ....ขอให้ครอบครัวพี่หมอมุขมีความสุขกับการท่องเที่ยว
และเดินทางโดยปลอดภัยคะ
หมอกยามเช้าค่ะ ดอยแม่สลอง...ไม่เจอดอกพญาเสือโคร่งบานแต่ก็ชอบมาก...วิวสวยมากค่ะ สามเหลี่ยมทองคำ
แต่เท่าที่ตามดูข่าวพยากรณ์อากาศ...นุชว่าหนาวแน่ค่ะ
อาจต้องระวังคนตัวผอมๆ ในครอบครัวนะคะ...จะแย่เลยค่ะ
นับถอยหลังแล้วนะคะ....ขอให้ครอบครัวพี่หมอมุขมีความสุขกับการท่องเที่ยว
และเดินทางโดยปลอดภัยคะ

หมอกยามเช้าค่ะ ดอยแม่สลอง...ไม่เจอดอกพญาเสือโคร่งบานแต่ก็ชอบมาก...วิวสวยมากค่ะ สามเหลี่ยมทองคำ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4750
รูปสวยมากครับ
สวยสงบ ทำให้ใจสบาย
ยังคิดเลยว่าตอนแก่ตัว ถ้าลูกหลานโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ดี จะหลบเมืองหลวงอันวุ่นวายไปอยู่ที่สงบๆซักที่
บรรยากาศแบบนี้ ใช่เลยครับ แต่หลบไปแม่สะลอง คงไม่ไหวครับ ไกลไปนิด แหะๆ
คุณนุช มีความสุข เดินทางปลอดภัยนะครับ ผ่านแม่สายหรือยังครับ ไปพัก รร. ขันทองคำ ก็บริการดี ไม่แพง ใกล้ด่าน ด้วยครับ เดินไปแป๊บเดียวถึงเลย
ถ่ายรูปสวยๆมาฝากอีกนะครับ
ตอนนี้ผมนับถอยหลังแล้วครับ อากาศแบบนี้ ชอบที่สุดเลยครับ
สวยสงบ ทำให้ใจสบาย
ยังคิดเลยว่าตอนแก่ตัว ถ้าลูกหลานโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ดี จะหลบเมืองหลวงอันวุ่นวายไปอยู่ที่สงบๆซักที่
บรรยากาศแบบนี้ ใช่เลยครับ แต่หลบไปแม่สะลอง คงไม่ไหวครับ ไกลไปนิด แหะๆ
คุณนุช มีความสุข เดินทางปลอดภัยนะครับ ผ่านแม่สายหรือยังครับ ไปพัก รร. ขันทองคำ ก็บริการดี ไม่แพง ใกล้ด่าน ด้วยครับ เดินไปแป๊บเดียวถึงเลย
ถ่ายรูปสวยๆมาฝากอีกนะครับ

ตอนนี้ผมนับถอยหลังแล้วครับ อากาศแบบนี้ ชอบที่สุดเลยครับ

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4751
ย้ายหมวด/ตลาดรอง
เรื่อง : การปรับย้ายหมวดธุรกิจ
ชื่อบริษัท
- บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON)
- บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (BJCHI)
- บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK)
- บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (CNT)
- บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) (EMC)
- บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD)
- บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) (NWR)
- บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PAE)
- บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (PLE)
- บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) (PREB)
- บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) (SEAFCO)
- บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SRICHA)
- บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (STEC)
- บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) (STPI)
- บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SYNTEC)
- บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY)
- บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (TRC)
- บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TTCL)
- บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (UNIQ)
กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม : อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
หมวดธุรกิจเดิม : พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ : อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
หมวดธุรกิจใหม่ : บริการรับเหมาก่อสร้าง
ลักษณะธุรกิจ :
วันที่มีผล : 02 ม.ค. 2557
เรื่อง : การปรับย้ายหมวดธุรกิจ
ชื่อบริษัท
- บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON)
- บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (BJCHI)
- บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK)
- บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (CNT)
- บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) (EMC)
- บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD)
- บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) (NWR)
- บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PAE)
- บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (PLE)
- บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) (PREB)
- บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) (SEAFCO)
- บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SRICHA)
- บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (STEC)
- บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) (STPI)
- บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SYNTEC)
- บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY)
- บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (TRC)
- บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TTCL)
- บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (UNIQ)
กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม : อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
หมวดธุรกิจเดิม : พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ : อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
หมวดธุรกิจใหม่ : บริการรับเหมาก่อสร้าง
ลักษณะธุรกิจ :
วันที่มีผล : 02 ม.ค. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4752
อสังหาริมทรัพย์
วันที่ 20 ธันวาคม 2556 10:23
เอกชนหวังการเมืองสงบ ธุรกิจอสังหาฯฟื้น
นายพรเทพ พิพัฒน์ทั้งสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายโครงการบ้านและอาคารสูง บริษัทควอลิตี้ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมประเมินทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีหน้า กับ นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บจ.เอเจนซี่ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หัวข้อ "ธุรกิจอสังหาฯ 2014 โอกาสหรือความเสี่ยง" ในรายการ Business talk ทางกรุงเทพธุรกิจทีวี
นายพรเทพ บอกว่า ความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีหน้า คงเป็นเรื่องการเมือง เพราะหากยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่ จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากธุรกิจอสังหาฯนั้นช่วงไฮซีชั่นจะอยู่ในช่วงไตรมาส 2 -ไตรมาส 3 โดยไตรมาส 4- ไตรมาส 1 ยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน รวมถึงการท่องเที่ยว ลูกค้ายังไม่ได้คิดถึงการซื้อบ้านพักอาศัย ทำให้ยังไม่มียอดขายมากนัก แต่หลังจากนั้นจะเป็นช่วงที่เริ่มมียอดขายเข้ามามาก ดังนั้นหากการเมืองกลับมาสงบและนิ่งก็น่าจะทำให้ยอดขายอสังหาฯกลับมาอยู่วงจรธุรกิจตามปกตินั่นคือ มีความต้องการซื้อในช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาสที่ 3 แต่ถ้าการเมืองยังยืดเยื้อและปัญหายังไม่ยุติก็อาจกระทบความต้องการซื้ออสังหาฯได้
นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงของธุรกิจจากปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคก่อสร้างอย่างหนัก ซึ่งในส่วนของควอลิตี้ เฮาส์เองก็เตรียมปรับระบบการใช้แรงงาน โดยลดแรงงาน และเริ่มใช้วัสดุสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นจาก 30%เพิ่มเป็น 60% และ 100%ในที่สุด เพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาด โดยสินค้าบ้านระดับกลางลงมาถึงระดับล่าง และคอนโดราคา 1-3 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยลดแรงงานลงได้ประมาณ 50%สำหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนงานตกแต่งยังคงต้องใช้แรงงานปกติ
"ที่ผ่านมาภาคอสังหาฯมีอุปสรรคจากการขาดแรงงาน ทำให้ส่งมอบบ้านหรือคอนโดให้ลูกค้าไม่ทันกำหนด ทำให้บริษัทต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก ส่งผลต่อต้นทุนดำเนินงาน นอกจากนั้นปีหน้าต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 5% ดังนั้นการใช้วัสดุสำเร็จรูปจากโรงงานที่ลงทุนเองน่าจะประหยัดต้นทุนค่าแรงไปได้บ้าง" นายพรเทพย้ำ
นายพรเทพ ยังบอกว่า ปีหน้า ควอลิตี้ เฮาส์ จะเน้นกลุ่มค้าระดับกลางถึงระดับล่าง ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ราคา 2 ล้านบาท คอนโดราคา 1-2 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไปเจาะตลาดมากนัก และเพื่อให้ปีหน้ามีอัตราการเติบโตภาพรวม10% แบ่งเป็น บ้าน 10% คอนโด 15% เนื่องจากประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลต่อการส่งออกดีขึ้น จะทำให้ธุรกิจอสังหาฯได้รับอานิสงส์ไปด้วย โดยเฉพาะหากมีการเดินหน้าโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งปีหน้าบริษัทมีแผนลงทุนอีก 21 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท
"อยากให้รัฐบาลใหม่มีมาตรการส่งเสริมธุรกิจอสังหาฯเช่น การลดอัตราดอกเบี้ย หรือ ลดค่าธรรมเนียมการโอน เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เพราะธุรกิจอสังหาฯส่วนใหญ่ใช้วัสดุภายในประเทศ และมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้ นอกจากนั้นการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง ก็จะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคอสังหาฯในจุดที่มีสถานีรถไฟฟ้าเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระจายที่พักอาศัยไม่ให้มีการกระจุกอยู่เฉพาะในเมือง และยังช่วยกระจายรายได้ด้วย"นายพรเทพย้ำ
ด้านนายโสภณ บอกว่า แม้ปัญหาการเมืองขณะนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯมากนัก เพราะยังคงมีโครงการใหม่เปิดตัวมากถึง 1.2 แสนหน่วย แสดงว่าการเมืองยังไม่มีผลแต่ในระยะยาวหากปัญหาการเมืองยังยืดเยื้อและไร้ข้อยุติไปนานอีกประมาณ 3 เดือน อาจจะส่งผลให้กำลังซื้อชะลอไปรวมถึงการลงทุนของเอกชน ขณะที่ปีหน้า อุปสรรคที่จะเป็นความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาฯคือ ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะปัจจุบันโครงการต่างๆ 1.2 แสนหน่วยส่วนใหญ่ใช้แรงงานต่างชาติ
อย่างไรก็ตามปีหน้า หากผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศหรือจีดีพี โต 4.5% ก็คาดว่าธุรกิจอสังหาฯจะเติบโตได้ประมาณ 5% หรือประมาณ 1.2 แสนหน่วยใกล้เคียงกับปีนี้ แต่ปีถัดไปหรือปี 2558 เมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี หลายฝ่ายก็มองว่าสถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯจะดีขึ้น และจะมีการหมุนเวียนการลงทุนรวมถึงการซื้อขายธุรกิจอสังหาฯในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันมากขึ้น
" การเปิดเออีซี จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบ ในเรื่องทำเลที่ตั้ง ถ้าแนวโน้มการเมืองในประเทศนิ่งแล้ว จะทำให้มีกำลังซื้อและการลงทุนเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ที่เป็นแหล่งดึงดูดเงิน ซึ่งรัฐบาลน่าจะเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้าง เพื่อนำเงินไปพัฒนาท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง" นายโสภณระบุ
วันที่ 20 ธันวาคม 2556 10:23
เอกชนหวังการเมืองสงบ ธุรกิจอสังหาฯฟื้น
นายพรเทพ พิพัฒน์ทั้งสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายโครงการบ้านและอาคารสูง บริษัทควอลิตี้ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมประเมินทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีหน้า กับ นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บจ.เอเจนซี่ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หัวข้อ "ธุรกิจอสังหาฯ 2014 โอกาสหรือความเสี่ยง" ในรายการ Business talk ทางกรุงเทพธุรกิจทีวี
นายพรเทพ บอกว่า ความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีหน้า คงเป็นเรื่องการเมือง เพราะหากยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่ จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากธุรกิจอสังหาฯนั้นช่วงไฮซีชั่นจะอยู่ในช่วงไตรมาส 2 -ไตรมาส 3 โดยไตรมาส 4- ไตรมาส 1 ยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน รวมถึงการท่องเที่ยว ลูกค้ายังไม่ได้คิดถึงการซื้อบ้านพักอาศัย ทำให้ยังไม่มียอดขายมากนัก แต่หลังจากนั้นจะเป็นช่วงที่เริ่มมียอดขายเข้ามามาก ดังนั้นหากการเมืองกลับมาสงบและนิ่งก็น่าจะทำให้ยอดขายอสังหาฯกลับมาอยู่วงจรธุรกิจตามปกตินั่นคือ มีความต้องการซื้อในช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาสที่ 3 แต่ถ้าการเมืองยังยืดเยื้อและปัญหายังไม่ยุติก็อาจกระทบความต้องการซื้ออสังหาฯได้
นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงของธุรกิจจากปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคก่อสร้างอย่างหนัก ซึ่งในส่วนของควอลิตี้ เฮาส์เองก็เตรียมปรับระบบการใช้แรงงาน โดยลดแรงงาน และเริ่มใช้วัสดุสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นจาก 30%เพิ่มเป็น 60% และ 100%ในที่สุด เพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาด โดยสินค้าบ้านระดับกลางลงมาถึงระดับล่าง และคอนโดราคา 1-3 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยลดแรงงานลงได้ประมาณ 50%สำหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนงานตกแต่งยังคงต้องใช้แรงงานปกติ
"ที่ผ่านมาภาคอสังหาฯมีอุปสรรคจากการขาดแรงงาน ทำให้ส่งมอบบ้านหรือคอนโดให้ลูกค้าไม่ทันกำหนด ทำให้บริษัทต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก ส่งผลต่อต้นทุนดำเนินงาน นอกจากนั้นปีหน้าต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 5% ดังนั้นการใช้วัสดุสำเร็จรูปจากโรงงานที่ลงทุนเองน่าจะประหยัดต้นทุนค่าแรงไปได้บ้าง" นายพรเทพย้ำ
นายพรเทพ ยังบอกว่า ปีหน้า ควอลิตี้ เฮาส์ จะเน้นกลุ่มค้าระดับกลางถึงระดับล่าง ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ราคา 2 ล้านบาท คอนโดราคา 1-2 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไปเจาะตลาดมากนัก และเพื่อให้ปีหน้ามีอัตราการเติบโตภาพรวม10% แบ่งเป็น บ้าน 10% คอนโด 15% เนื่องจากประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลต่อการส่งออกดีขึ้น จะทำให้ธุรกิจอสังหาฯได้รับอานิสงส์ไปด้วย โดยเฉพาะหากมีการเดินหน้าโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งปีหน้าบริษัทมีแผนลงทุนอีก 21 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท
"อยากให้รัฐบาลใหม่มีมาตรการส่งเสริมธุรกิจอสังหาฯเช่น การลดอัตราดอกเบี้ย หรือ ลดค่าธรรมเนียมการโอน เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เพราะธุรกิจอสังหาฯส่วนใหญ่ใช้วัสดุภายในประเทศ และมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้ นอกจากนั้นการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง ก็จะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคอสังหาฯในจุดที่มีสถานีรถไฟฟ้าเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระจายที่พักอาศัยไม่ให้มีการกระจุกอยู่เฉพาะในเมือง และยังช่วยกระจายรายได้ด้วย"นายพรเทพย้ำ
ด้านนายโสภณ บอกว่า แม้ปัญหาการเมืองขณะนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯมากนัก เพราะยังคงมีโครงการใหม่เปิดตัวมากถึง 1.2 แสนหน่วย แสดงว่าการเมืองยังไม่มีผลแต่ในระยะยาวหากปัญหาการเมืองยังยืดเยื้อและไร้ข้อยุติไปนานอีกประมาณ 3 เดือน อาจจะส่งผลให้กำลังซื้อชะลอไปรวมถึงการลงทุนของเอกชน ขณะที่ปีหน้า อุปสรรคที่จะเป็นความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาฯคือ ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะปัจจุบันโครงการต่างๆ 1.2 แสนหน่วยส่วนใหญ่ใช้แรงงานต่างชาติ
อย่างไรก็ตามปีหน้า หากผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศหรือจีดีพี โต 4.5% ก็คาดว่าธุรกิจอสังหาฯจะเติบโตได้ประมาณ 5% หรือประมาณ 1.2 แสนหน่วยใกล้เคียงกับปีนี้ แต่ปีถัดไปหรือปี 2558 เมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี หลายฝ่ายก็มองว่าสถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯจะดีขึ้น และจะมีการหมุนเวียนการลงทุนรวมถึงการซื้อขายธุรกิจอสังหาฯในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันมากขึ้น
" การเปิดเออีซี จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบ ในเรื่องทำเลที่ตั้ง ถ้าแนวโน้มการเมืองในประเทศนิ่งแล้ว จะทำให้มีกำลังซื้อและการลงทุนเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ที่เป็นแหล่งดึงดูดเงิน ซึ่งรัฐบาลน่าจะเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้าง เพื่อนำเงินไปพัฒนาท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง" นายโสภณระบุ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4753
ข่าวเรื่องยอดรวมรถยนต์ ทำนายอนาคตกลุ่มนี้
"โตโยต้า มอเตอร์"เผยสถิติการขายรถยนต์ตลาดรถยนต์สะสม 11 เดือนลดลง 5.8%
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ ว่าตลาดรถยนต์สะสม 11 เดือนลดลง 5.8%( ม.ค. พ ย 56)มีปริมาณการขาย 1,216,751 คัน ลดลง 5.8%
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาด รถยนต์นั่งมีปริมาณการขายสะสมที่ 580,169 คัน ลดลง 3.5% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขายสะสมที่ 636,582 คัน ลดลง 7.8% เป็นผลจากการลดลงของการส่งมอบรถยนต์คันแรกตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม ประกอบกับการลดกำลังการผลิตของรถยนต์นั่งรุ่นสำคัญหลายรุ่นเพื่อเตรียมการแนะนำรุ่นใหม่ในปีหน้า
ในขณะที่ตลาดรถยนต์ในเดือน ธันวาคม แนวโน้มเติบโต จากดัชนีการขายตามฤดูกาล เดือนธันวาคมจะมียอดขายสูงสุดของปี เป็นผลจากการที่ทุกค่ายรถยนต์จะนำข้อเสนอพิเศษต่างๆมาเสนอต่อผู้บริโภคเพื่อบรรลุเป้าหมายการขายของปี การจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ประกอบกับความนิยมต่อเนื่องในรถยนต์รุ่นใหม่ที่เพิ่งแนะนำเข้าสู่ตลาด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4756
ขออนุญาตแสดงความชื่นชมและยินดีกับคุณ tonway ด้วยนะคะ...เยี่ยมเลยค่ะ ^_^tonway เขียน:พอร์ทโตขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ แตวิธีการยัวมั่วมาก ต้องปรับปรุงอีกแยะ พี่หมอช่วยแนะนำเรื่อยนะครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4759
ขอบคุณครับ คุณนุช ทริปนี้มีความสุขมากๆครับtheenuch เขียน:ขอให้พี่หมอมุขและครอบครัวที่น่ารักเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างมีความสุข
และปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ
มาลงชื่อ...รอชื่นชมภาพที่พี่หมอมุขจะนำมาฝากค่ะ
กลับไปแล้วจะอัพรูปให้พวกเราดูกันครับ

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4760
ที่สุดหุ้นแห่งปี 2556
Source - เว็บไซต์ไทยรัฐ (Th)
Saturday, December 28, 2013 05:00
ตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งปีนี้ แกว่งตัวสวิงสวายผันผวนขึ้นลงรุนแรง โดยดัชนีหุ้นช่วงครึ่งปีแรก เดือน พ.ค. สามารถขึ้นไปได้ สูงสุดถึงระดับ 1,643.43 จุด ทำนิวไฮหรือจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า19ปีได้
ก่อนจะโดนแรงขายออกมาอย่างหนัก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรลง ตามมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยลงไปต่ำสุดที่ 1,275.76 จุด และในที่สุดเฟดจึงได้ตัดสินใจลด QE ลง โดยให้เริ่มต้นในเดือน ม.ค.ปีหน้า
ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มชะลอตัว ทำให้มีการปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวหดตัวลงเกินคาด ส่งผลให้ต้องเคาะตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้โตได้เพียง 3% จากต้นปีประเมินตัวเลขกันไว้ว่าจะขยายตัวสูงถึง 6-7%
ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองช่วงปลายปีมีความขัดแย้งรุนแรง จนนำไปสู่การยุบสภา ล้วนเป็นปัจจัยกดดัน หุ้นไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพากันเทขายหุ้นหนีตายตลาดหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 200,000 ล้านบาท
เรียกว่าตลาดหุ้นไทยในรอบปี 56 สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้นักลงทุนไม่น้อย!!
อย่างไรก็ตาม หากโฟกัสหุ้นรายกลุ่มรายตัวจะพบว่า มีหุ้นหลายตัวที่มีความโดดเด่น ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทั้งหุ้นที่สร้างกำไรให้นักลงทุนกระเป๋าตุง และหุ้นที่สร้างความชอกช้ำระกำใจ ขาดทุนบักโกรกหมดเนื้อหมดตัว
ในโอกาสนี้ “ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” ได้จับมือกับ stock2morrow เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมสังคมนักลงทุนรายย่อยคุณภาพและทีมงาน
Stock Radars สุดยอดแอพพลิเคชั่นหุ้นที่นักลงทุนควรมี ร่วมกันจัดอันดับสุดยอดหุ้นแห่งปี Stock of the Year 2013 ด้านต่างๆ นอกจากนี้ยังได้เปิดให้นักลงทุนรายย่อย โหวตเลือกหุ้นขวัญใจนักลงทุนและหุ้นไอพีโอยอดนิยมประจำปี 56
หุ้นขวัญใจนักลงทุน
ปรากฏว่านักลงทุนได้โหวตเลือก บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE เป็นสุดยอด “หุ้นขวัญใจนักลงทุน” แห่งปี 2556!! โดยปีนี้ถือเป็นปีที่หุ้น TRUE โดดเด่นสมกับเป็นหุ้นขวัญใจนักลงทุนจริงๆ เชื่อว่าความเคลื่อนไหว
และข่าวคราวที่เกิดขึ้นกับหุ้น TRUE ปีนี้น่าจะเร้าใจ ดึงดูดให้นักลงทุนซื้อเข้าพอร์ตทั้งเก็งกำไรระยะสั้นและถือลุ้นหวังกินยาวกันไม่มากก็น้อย แม้งบกำไรขาดทุนของบริษัทจะไม่ได้สวยนัก แต่ด้วยธุรกิจที่มีความหลากหลาย และคาดว่าบริษัทจะสามารถพลิกฟื้นให้ธุรกิจกลับมาเติบโตได้ โดยเฉพาะการได้สัมปทานคลื่น 3จีใหม่
และไฮไลต์สำคัญคือมีการปล่อยข่าวการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานออกมาเป็นระลอก ในที่สุดบริษัทก็นำทรัพย์สิน เช่น เสาส่งสัญญาณและเครือข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง มาขายเข้ากองทุนระดมเงินทุนไปได้กว่า 58,000 ล้าน โดยนำส่วนหนึ่งไปจ่ายหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย จนส่งผลให้โครงสร้างการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และยังมีเงินไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจเพิ่ม
จากปัจจัยทั้งหมดข้างต้นส่งผลให้ราคาหุ้น TRUE แกว่งตัวขึ้นลงผันผวนสวิงสวายตลอดทั้งปี จากราคาปิดปี 55 อยู่ที่ 5.45 ทะยานขึ้นต่อเนื่องไปทำนิวไฮของปีที่ 11.40 บาท แต่หลังจากนั้นถูกทิ้งดิ่งลงมาแตะจุดต่ำสุดของปีที่ 5.45 บาท แบ่งงบกลับไปเริ่มต้นใหม่ ก่อนจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นมา และกระชากไปถึง 9.60 บาท แถมทำเสียวลงมาที่ 6.15 บาท แต่หลังมีความชัดเจนเรื่องกองทุนโครงสร้างพื้นฐานราคาก็ทะยานกลับมาสูงถึง 9.85 บาท ก่อนมาปิดตลาด ณ 20 ธ.ค.ที่ 8.55 บาท
ขณะที่ยังพบว่าหุ้น TRUE ติดอันดับท็อปเทนหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดแทบทุกวัน!!
หุ้น IPO ยอดนิยม
ส่วนผลการโหวตหุ้นไอพีโอหรือหุ้นน้องใหม่ที่ระดมทุนเข้าซื้อขายในตลาดปีนี้ ปรากฏว่าหุ้น บมจ.เอ็มเค เรสเตอร์รองท์ (M) ได้รับการโหวตเป็นหุ้นยอดนิยม เพราะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุนล้นหลาม เรียกว่าเป็นหุ้นจองที่หายากที่สุดของปีเลยทีเดียว ใครได้สิทธิจองซื้อหุ้นเป็นต้องฮัมเพลง “สุขอยู่ที่จายยยย” เหตุที่หุ้น M ได้รับความสนใจเพราะเป็นธุรกิจที่นักลงทุนใกล้ชิดสนิทสนม จับต้องได้ คงแทบไม่มีนักลงทุนคนไหนไม่เคยทานเอ็มเคสุกี้
แต่หลังหุ้น M เข้าซื้อขายในตลาด ราคาหุ้นคึกคักแค่สัปดาห์เดียว จากนั้นก็ปรับตัวลงมาวิ่งเล่นต่ำกว่าราคาจองที่ 49 บาทมาตลอด จนนักลงทุนที่ยังถือ หุ้นอยู่ ต้องแอบร้องเพลงในใจ “สุขอยู่ที่ดอยยยย..ยย” และเพิ่ง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี่แหละ ที่ราคาขึ้นมายืนเหนือ 49 บาทได้ แต่กูรูกระซิบมาว่าถือหุ้นตัวนี้ต้องใจเย็นๆถือยาวๆ
ส่วนหุ้น IPO ยอดนิยมอื่นๆ คือหุ้น SEAOIL ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าหุ้นขายน้ำมันกลางทะเลบริษัทเล็กๆแห่งนี้จะเป็นหุ้นยอดนิยมขวัญใจนักลงทุนได้ ที่ยอดนิยมเพราะทำกำไรเข้ากระเป๋าได้แบบนิ่งๆเนียนๆ จากราคาจองซื้อที่ 3.45 บาท เข้าซื้อขายวันแรกราคาปรับขึ้นเล็กๆ แต่หลังจากนั้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนไปสูงสุดที่ 11.20 บาท
ไอซีทีสุดยอด “กลุ่มอุตสาหกรรม”
ขณะที่ผลโหวตสุดยอดหุ้นเด่นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น นักลงทุนโหวตให้หุ้นกลุ่ม ICT หรือกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะเป็นกลุ่มที่ร้อนแรงมากช่วงต้นปี หลังเริ่มเปิดให้บริการ 3G ทั่วประเทศ ทำให้นักลงทุนคาดการณ์รายได้กันแบบเต็มที่ โดยหุ้นดาวเด่นกลุ่มนี้ หนีไม่พ้น “หุ้นขวัญใจนักลงทุน” อย่างหุ้น TRUE ตามด้วย JAS, ADVANC และ INTUCH ที่แม้ช่วงปลายปีจะเริ่มแผ่วลง แต่ยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนมากที่สุด
ส่วนสุดยอดหุ้นเด่นด้านอื่นๆ ที่ทีมงานทำการโฟกัสเจาะลึก โดยนำหลายเงื่อนไขมาประกอบกันและคำนวณจากข้อมูลต่างๆ เช่น ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ปริมาณการซื้อขายของหุ้นทุกตัวในตลาดตลอดทั้งปี (ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 28 ธ.ค.55 ถึง 20 ธ.ค.56) เพื่อคัดหุ้นที่มีความโดดเด่นออกมา
หุ้นรถไฟเหาะ
หุ้นที่สร้างความหวือหวา ราคากระชากขึ้น-ลง รุนแรงทั้งขาขึ้นและขาลง และมีความถี่ในการขยับขึ้นลงของราคาบ่อยครั้ง กระตุ้นต่อมอดรีนาลีนสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “เม่า” มากที่สุดเรายกให้เป็น “หุ้นรถไฟเหาะ” โดยแชมป์ประจำปีนี้ได้แก่ JAS บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล โดยเมื่อปลายปี 55 มีราคาปิดอยู่ที่ 5.40 บาท ช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค. ได้กระชากจาก 6.15 บาท ลากขึ้นไปถึง 9.80บาทภายในเวลา 2 เดือน เล่นเอานักลงทุนรวยไม่รู้ตัว
แต่หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียว กลับทรุดลงมาเหลือ 6.8 บาท และเด้งกลับขึ้นไป 8.20 บาท ภายใน สัปดาห์เดียว พร้อมกระชากใจเม่ารอบใหม่ ด้วยการรูดกลับลงมาที่ 6.80 บาท หลังจากนั้นเพียง 3 วัน!! แล้วกระชากราคาพุ่งขึ้นไปที่ 8.85 บาทในอีก 2 สัปดาห์ต่อมาเรียกว่า JAS ได้สร้างความหวาดเสียวให้นักลงทุนได้ตลอดทั้งปี
ส่วนหุ้นรถไฟเหาะตัวอื่นๆที่ทำให้นักลงทุนได้ลุ้นกันตัวโก่งตลอดทั้งปีคือหุ้น TRUE และ ITD บมจ.อิตาเลี่ยนไทย โดย ITD เล่นข่าวการลงทุน พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท และโครงการก่อสร้างท่าเรือทวายที่พม่า มาให้นักลงทุนเล่นเก็งกำไรกันสนุกสนานหลายรอบ จากราคาสิ้นปี 55 อยู่ที่ 4.02 บาท ทะยานขึ้นไปสูงลิ่ว 9.45 บาท ก่อนทิ้งดิ่งลงมาที่ 6.00 บาท แล้วดีดไปที่ 8.90 บาท ทำเอาเวียนหัวไปตามๆกัน จากนั้นก็ถูกทิ้งดิ่งหนีตายลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 3.80 บาท
เรียกได้ว่า คนที่ถือนิ่งๆ ตั้งแต่ต้นปีแล้วไม่ได้ขายนี่ขาดทุนได้เลย จากนั้นยังทำราคาหุ้นขึ้นลงๆอีกหลายรอบ ไปสูงสุดที่ 6.70 บาท ก่อนจะทิ้งตัวให้เสียวรอบสุดท้ายของปีที่ราคา 4.10 บาท ณ 20 ธ.ค.56 หลัง พ.ร.บ.2ล้านล้าน โดนลากยาววววว!!
หุ้นชาวดอย!!
ปีนี้ถือเป็นปีที่ มีหุ้นที่จัดได้ว่าเป็น “หุ้นชาวดอย” อยู่เต็มตลาด แต่ทางทีมงานได้จัดอันดับหุ้นชาวดอยตามความน่าสะพรึงกลัวดังนี้ แชมป์หุ้นชาวดอยของปีนี้ได้แก่ TSF ซึ่งทำราคาปิดปลายปี 55 ที่ 3.80 บาท และมาแรงตั้งแต่ต้นปี โดยขึ้นไปที่ 4.80 บาทช่วงกลาง ม.ค. ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าจุดนั้น มันได้กลายเป็น “ยอดดอย” ไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นสัปดาห์เดียว ราคาก็กลับมาอยู่แถว 3.80 บาทเหมือนเดิม และเดือน ก.พ. ราคาได้ขยับลงต่อมาอยู่ในโซน 3 บาทต้นๆ จนลงไปถึง 2.70 บาท ช่วงปลายเดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปเห็นราคาที่ 3 บาทอีกเลย เพราะราคาได้ไหลรูดลงอย่างต่อเนื่อง จนต่ำกว่า 1 บาท ในช่วงเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ราคาก็ไม่กลับไปแตะที่ 1 บาทอีกเลย
หุ้นตัวนี้จึงเป็นหุ้นที่ทำให้นักลงทุนต้องพบกับความหนาวเหน็บชนิดเย็นเยียบไปถึงกระดูกดำ เพราะราคา ณ 20 ธ.ค.อยู่ที่ 0.59 บาท!!
หุ้นติดลมบน
หุ้นที่ราคาเป็นขาขึ้นเกือบตลอดทั้งปี โดยมีจุดต่ำสุดของราคาในช่วงต้นปี และขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีจุดสูงสุดในช่วงปลายปี แถมมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีหนาแน่น ซึ่งในปีที่ตลาดผันผวนขนาดนี้ หุ้นติดลมบน อาจหาได้ยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย โดยแชมป์หุ้นติดลมบนประจำปีนี้คือ สุดยอดหุ้น KCE หุ้นส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตัวนี้ ปิดตลาดปลายปี 55 ที่ 10.40 บาท และทำราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนถึง 18 บาทในเดือน มี.ค. และเริ่มพักตัว แม้ราคาจะย่อลงมา แต่ก็อยู่ในกรอบ 15-18 บาท ถือว่าใช้ได้ทีเดียวเมื่อเทียบกับต้นปี เรียกได้ว่าติดลมบนไปเรียบร้อยแล้ว และช่วงไฮไลต์สำคัญ เมื่อเร็วๆนี้ KCE ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องดันราคาผ่าน 20 บาทปุ๊บ กระชากขึ้นไปถึงแถวๆ 22.00 บาทได้อย่างสบายๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะร่วงลงเลย
เรียกว่าให้ผลตอบแทนเกิน 100% ถ้าซื้อต้นปี ถือถึงปลายปี!!
หุ้นห่านทองคำ
คอนเซปต์หุ้นห่านทองคำในปี 56 คือหุ้นที่สร้างความสบายใจให้นักลงทุน ถือหุ้นแล้วนอนเฉยๆ ให้เงินทำงาน ก็ได้รับเงินปันผล และราคาหุ้นก็ปรับขึ้น โดยคัดเลือกจากหุ้นที่จ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 8% และมีราคาเฉลี่ยช่วงปลายปี 56 สูงกว่าราคาสิ้นปี 55 ไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่มีอัตราการเติบโตของกำไรของกิจการ รวมถึงมูลค่ากิจการตามราคาตลาด โดยใช้ทุกปัจจัยประกอบกัน จึงได้หุ้นห่านทองคำปี 56 ที่เป็นหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ล้วนๆ เป็นผลจากความคึกคักของมูลค่าการซื้อขายหุ้นปีนี้ ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยต่อวัน 51,000 ล้านบาท
โดยแชมป์หุ้นห่านทองคำ คือ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET ซึ่งจ่ายเงินปันผลปี 56 สูงถึง 8.62% เทียบกับราคาเมื่อสิ้นปี 55 และมีราคาปิด 20 ธ.ค.56 ที่ 22 บาท ปรับขึ้นมาถึง 51.72% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อสิ้นปี 55 เรียกได้ว่า นี่คือแชมป์หุ้นห่านทองคำอย่างแท้จริง!!
หุ้นเรือเกลือ
ในปีที่ภาวะตลาดผันผวนอย่างรุนแรง ถ้าหากนับจุดสูงสุดของดัชนีที่ 1643.43 จุด เทียบกับจุดต่ำสุดของดัชนีที่ 1275.76 จุด แต่หากโฟกัสดูจะพบว่าหุ้นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด มีการขึ้นลงของราคาอย่างหวือหวาเกินกว่า 40%ขึ้นไป หรือบางตัวก็แกว่งตัวกว้างถึง 200% แต่กลับมีหุ้นบางตัว ที่ราคาแกว่งตัวแคบๆ แทบไม่มีการขยับรุนแรงทั้งขาขึ้นและขาลง เรียกว่าราคาหุ้นอืดเป็นเรือเกลือ
โดยแชมป์หุ้นเรือเกลือประจำปีนี้ คือ บมจ.ปตท.สผ. หรือ PTTEP ซึ่งมีราคาสูงสุดตลอดปี อยู่ที่ 174 บาท และราคาต่ำสุด อยู่ที่ 141 บาท ซึ่งเมื่อนำราคาสูงสุดเทียบกับราคาต่ำสุดพบว่ามีการแกว่งตัวของราคาอยู่ที่ 23.40%
และนี่ก็คือภาพรวมคร่าวๆ ของตลาดบ้านเราปีนี้ หวังว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับนักลงทุน ก่อนจะจากกันไปก็อยากจะขอย้ำเตือนว่า การลงทุนที่สำคัญที่สุด คือการลงทุนในการศึกษา เพิ่มเติมในด้านความรู้การลงทุน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เป็นเกราะป้องกันให้กับนักลงทุนให้อยู่รอดได้ในระยะยาว
หวังว่าทุกท่านจะโชคดีมีชัยในปีใหม่ 2557 นี้ และปีต่อๆไป.
ที่มา: http://www.thairath.co.th
Source - เว็บไซต์ไทยรัฐ (Th)
Saturday, December 28, 2013 05:00
ตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งปีนี้ แกว่งตัวสวิงสวายผันผวนขึ้นลงรุนแรง โดยดัชนีหุ้นช่วงครึ่งปีแรก เดือน พ.ค. สามารถขึ้นไปได้ สูงสุดถึงระดับ 1,643.43 จุด ทำนิวไฮหรือจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า19ปีได้
ก่อนจะโดนแรงขายออกมาอย่างหนัก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรลง ตามมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยลงไปต่ำสุดที่ 1,275.76 จุด และในที่สุดเฟดจึงได้ตัดสินใจลด QE ลง โดยให้เริ่มต้นในเดือน ม.ค.ปีหน้า
ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มชะลอตัว ทำให้มีการปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวหดตัวลงเกินคาด ส่งผลให้ต้องเคาะตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้โตได้เพียง 3% จากต้นปีประเมินตัวเลขกันไว้ว่าจะขยายตัวสูงถึง 6-7%
ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองช่วงปลายปีมีความขัดแย้งรุนแรง จนนำไปสู่การยุบสภา ล้วนเป็นปัจจัยกดดัน หุ้นไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพากันเทขายหุ้นหนีตายตลาดหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 200,000 ล้านบาท
เรียกว่าตลาดหุ้นไทยในรอบปี 56 สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้นักลงทุนไม่น้อย!!
อย่างไรก็ตาม หากโฟกัสหุ้นรายกลุ่มรายตัวจะพบว่า มีหุ้นหลายตัวที่มีความโดดเด่น ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทั้งหุ้นที่สร้างกำไรให้นักลงทุนกระเป๋าตุง และหุ้นที่สร้างความชอกช้ำระกำใจ ขาดทุนบักโกรกหมดเนื้อหมดตัว
ในโอกาสนี้ “ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” ได้จับมือกับ stock2morrow เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมสังคมนักลงทุนรายย่อยคุณภาพและทีมงาน
Stock Radars สุดยอดแอพพลิเคชั่นหุ้นที่นักลงทุนควรมี ร่วมกันจัดอันดับสุดยอดหุ้นแห่งปี Stock of the Year 2013 ด้านต่างๆ นอกจากนี้ยังได้เปิดให้นักลงทุนรายย่อย โหวตเลือกหุ้นขวัญใจนักลงทุนและหุ้นไอพีโอยอดนิยมประจำปี 56
หุ้นขวัญใจนักลงทุน
ปรากฏว่านักลงทุนได้โหวตเลือก บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE เป็นสุดยอด “หุ้นขวัญใจนักลงทุน” แห่งปี 2556!! โดยปีนี้ถือเป็นปีที่หุ้น TRUE โดดเด่นสมกับเป็นหุ้นขวัญใจนักลงทุนจริงๆ เชื่อว่าความเคลื่อนไหว
และข่าวคราวที่เกิดขึ้นกับหุ้น TRUE ปีนี้น่าจะเร้าใจ ดึงดูดให้นักลงทุนซื้อเข้าพอร์ตทั้งเก็งกำไรระยะสั้นและถือลุ้นหวังกินยาวกันไม่มากก็น้อย แม้งบกำไรขาดทุนของบริษัทจะไม่ได้สวยนัก แต่ด้วยธุรกิจที่มีความหลากหลาย และคาดว่าบริษัทจะสามารถพลิกฟื้นให้ธุรกิจกลับมาเติบโตได้ โดยเฉพาะการได้สัมปทานคลื่น 3จีใหม่
และไฮไลต์สำคัญคือมีการปล่อยข่าวการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานออกมาเป็นระลอก ในที่สุดบริษัทก็นำทรัพย์สิน เช่น เสาส่งสัญญาณและเครือข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง มาขายเข้ากองทุนระดมเงินทุนไปได้กว่า 58,000 ล้าน โดยนำส่วนหนึ่งไปจ่ายหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย จนส่งผลให้โครงสร้างการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และยังมีเงินไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจเพิ่ม
จากปัจจัยทั้งหมดข้างต้นส่งผลให้ราคาหุ้น TRUE แกว่งตัวขึ้นลงผันผวนสวิงสวายตลอดทั้งปี จากราคาปิดปี 55 อยู่ที่ 5.45 ทะยานขึ้นต่อเนื่องไปทำนิวไฮของปีที่ 11.40 บาท แต่หลังจากนั้นถูกทิ้งดิ่งลงมาแตะจุดต่ำสุดของปีที่ 5.45 บาท แบ่งงบกลับไปเริ่มต้นใหม่ ก่อนจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นมา และกระชากไปถึง 9.60 บาท แถมทำเสียวลงมาที่ 6.15 บาท แต่หลังมีความชัดเจนเรื่องกองทุนโครงสร้างพื้นฐานราคาก็ทะยานกลับมาสูงถึง 9.85 บาท ก่อนมาปิดตลาด ณ 20 ธ.ค.ที่ 8.55 บาท
ขณะที่ยังพบว่าหุ้น TRUE ติดอันดับท็อปเทนหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดแทบทุกวัน!!
หุ้น IPO ยอดนิยม
ส่วนผลการโหวตหุ้นไอพีโอหรือหุ้นน้องใหม่ที่ระดมทุนเข้าซื้อขายในตลาดปีนี้ ปรากฏว่าหุ้น บมจ.เอ็มเค เรสเตอร์รองท์ (M) ได้รับการโหวตเป็นหุ้นยอดนิยม เพราะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุนล้นหลาม เรียกว่าเป็นหุ้นจองที่หายากที่สุดของปีเลยทีเดียว ใครได้สิทธิจองซื้อหุ้นเป็นต้องฮัมเพลง “สุขอยู่ที่จายยยย” เหตุที่หุ้น M ได้รับความสนใจเพราะเป็นธุรกิจที่นักลงทุนใกล้ชิดสนิทสนม จับต้องได้ คงแทบไม่มีนักลงทุนคนไหนไม่เคยทานเอ็มเคสุกี้
แต่หลังหุ้น M เข้าซื้อขายในตลาด ราคาหุ้นคึกคักแค่สัปดาห์เดียว จากนั้นก็ปรับตัวลงมาวิ่งเล่นต่ำกว่าราคาจองที่ 49 บาทมาตลอด จนนักลงทุนที่ยังถือ หุ้นอยู่ ต้องแอบร้องเพลงในใจ “สุขอยู่ที่ดอยยยย..ยย” และเพิ่ง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี่แหละ ที่ราคาขึ้นมายืนเหนือ 49 บาทได้ แต่กูรูกระซิบมาว่าถือหุ้นตัวนี้ต้องใจเย็นๆถือยาวๆ
ส่วนหุ้น IPO ยอดนิยมอื่นๆ คือหุ้น SEAOIL ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าหุ้นขายน้ำมันกลางทะเลบริษัทเล็กๆแห่งนี้จะเป็นหุ้นยอดนิยมขวัญใจนักลงทุนได้ ที่ยอดนิยมเพราะทำกำไรเข้ากระเป๋าได้แบบนิ่งๆเนียนๆ จากราคาจองซื้อที่ 3.45 บาท เข้าซื้อขายวันแรกราคาปรับขึ้นเล็กๆ แต่หลังจากนั้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนไปสูงสุดที่ 11.20 บาท
ไอซีทีสุดยอด “กลุ่มอุตสาหกรรม”
ขณะที่ผลโหวตสุดยอดหุ้นเด่นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น นักลงทุนโหวตให้หุ้นกลุ่ม ICT หรือกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะเป็นกลุ่มที่ร้อนแรงมากช่วงต้นปี หลังเริ่มเปิดให้บริการ 3G ทั่วประเทศ ทำให้นักลงทุนคาดการณ์รายได้กันแบบเต็มที่ โดยหุ้นดาวเด่นกลุ่มนี้ หนีไม่พ้น “หุ้นขวัญใจนักลงทุน” อย่างหุ้น TRUE ตามด้วย JAS, ADVANC และ INTUCH ที่แม้ช่วงปลายปีจะเริ่มแผ่วลง แต่ยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนมากที่สุด
ส่วนสุดยอดหุ้นเด่นด้านอื่นๆ ที่ทีมงานทำการโฟกัสเจาะลึก โดยนำหลายเงื่อนไขมาประกอบกันและคำนวณจากข้อมูลต่างๆ เช่น ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ปริมาณการซื้อขายของหุ้นทุกตัวในตลาดตลอดทั้งปี (ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 28 ธ.ค.55 ถึง 20 ธ.ค.56) เพื่อคัดหุ้นที่มีความโดดเด่นออกมา
หุ้นรถไฟเหาะ
หุ้นที่สร้างความหวือหวา ราคากระชากขึ้น-ลง รุนแรงทั้งขาขึ้นและขาลง และมีความถี่ในการขยับขึ้นลงของราคาบ่อยครั้ง กระตุ้นต่อมอดรีนาลีนสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “เม่า” มากที่สุดเรายกให้เป็น “หุ้นรถไฟเหาะ” โดยแชมป์ประจำปีนี้ได้แก่ JAS บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล โดยเมื่อปลายปี 55 มีราคาปิดอยู่ที่ 5.40 บาท ช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค. ได้กระชากจาก 6.15 บาท ลากขึ้นไปถึง 9.80บาทภายในเวลา 2 เดือน เล่นเอานักลงทุนรวยไม่รู้ตัว
แต่หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียว กลับทรุดลงมาเหลือ 6.8 บาท และเด้งกลับขึ้นไป 8.20 บาท ภายใน สัปดาห์เดียว พร้อมกระชากใจเม่ารอบใหม่ ด้วยการรูดกลับลงมาที่ 6.80 บาท หลังจากนั้นเพียง 3 วัน!! แล้วกระชากราคาพุ่งขึ้นไปที่ 8.85 บาทในอีก 2 สัปดาห์ต่อมาเรียกว่า JAS ได้สร้างความหวาดเสียวให้นักลงทุนได้ตลอดทั้งปี
ส่วนหุ้นรถไฟเหาะตัวอื่นๆที่ทำให้นักลงทุนได้ลุ้นกันตัวโก่งตลอดทั้งปีคือหุ้น TRUE และ ITD บมจ.อิตาเลี่ยนไทย โดย ITD เล่นข่าวการลงทุน พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท และโครงการก่อสร้างท่าเรือทวายที่พม่า มาให้นักลงทุนเล่นเก็งกำไรกันสนุกสนานหลายรอบ จากราคาสิ้นปี 55 อยู่ที่ 4.02 บาท ทะยานขึ้นไปสูงลิ่ว 9.45 บาท ก่อนทิ้งดิ่งลงมาที่ 6.00 บาท แล้วดีดไปที่ 8.90 บาท ทำเอาเวียนหัวไปตามๆกัน จากนั้นก็ถูกทิ้งดิ่งหนีตายลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 3.80 บาท
เรียกได้ว่า คนที่ถือนิ่งๆ ตั้งแต่ต้นปีแล้วไม่ได้ขายนี่ขาดทุนได้เลย จากนั้นยังทำราคาหุ้นขึ้นลงๆอีกหลายรอบ ไปสูงสุดที่ 6.70 บาท ก่อนจะทิ้งตัวให้เสียวรอบสุดท้ายของปีที่ราคา 4.10 บาท ณ 20 ธ.ค.56 หลัง พ.ร.บ.2ล้านล้าน โดนลากยาววววว!!
หุ้นชาวดอย!!
ปีนี้ถือเป็นปีที่ มีหุ้นที่จัดได้ว่าเป็น “หุ้นชาวดอย” อยู่เต็มตลาด แต่ทางทีมงานได้จัดอันดับหุ้นชาวดอยตามความน่าสะพรึงกลัวดังนี้ แชมป์หุ้นชาวดอยของปีนี้ได้แก่ TSF ซึ่งทำราคาปิดปลายปี 55 ที่ 3.80 บาท และมาแรงตั้งแต่ต้นปี โดยขึ้นไปที่ 4.80 บาทช่วงกลาง ม.ค. ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าจุดนั้น มันได้กลายเป็น “ยอดดอย” ไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นสัปดาห์เดียว ราคาก็กลับมาอยู่แถว 3.80 บาทเหมือนเดิม และเดือน ก.พ. ราคาได้ขยับลงต่อมาอยู่ในโซน 3 บาทต้นๆ จนลงไปถึง 2.70 บาท ช่วงปลายเดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปเห็นราคาที่ 3 บาทอีกเลย เพราะราคาได้ไหลรูดลงอย่างต่อเนื่อง จนต่ำกว่า 1 บาท ในช่วงเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ราคาก็ไม่กลับไปแตะที่ 1 บาทอีกเลย
หุ้นตัวนี้จึงเป็นหุ้นที่ทำให้นักลงทุนต้องพบกับความหนาวเหน็บชนิดเย็นเยียบไปถึงกระดูกดำ เพราะราคา ณ 20 ธ.ค.อยู่ที่ 0.59 บาท!!
หุ้นติดลมบน
หุ้นที่ราคาเป็นขาขึ้นเกือบตลอดทั้งปี โดยมีจุดต่ำสุดของราคาในช่วงต้นปี และขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีจุดสูงสุดในช่วงปลายปี แถมมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีหนาแน่น ซึ่งในปีที่ตลาดผันผวนขนาดนี้ หุ้นติดลมบน อาจหาได้ยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย โดยแชมป์หุ้นติดลมบนประจำปีนี้คือ สุดยอดหุ้น KCE หุ้นส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตัวนี้ ปิดตลาดปลายปี 55 ที่ 10.40 บาท และทำราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนถึง 18 บาทในเดือน มี.ค. และเริ่มพักตัว แม้ราคาจะย่อลงมา แต่ก็อยู่ในกรอบ 15-18 บาท ถือว่าใช้ได้ทีเดียวเมื่อเทียบกับต้นปี เรียกได้ว่าติดลมบนไปเรียบร้อยแล้ว และช่วงไฮไลต์สำคัญ เมื่อเร็วๆนี้ KCE ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องดันราคาผ่าน 20 บาทปุ๊บ กระชากขึ้นไปถึงแถวๆ 22.00 บาทได้อย่างสบายๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะร่วงลงเลย
เรียกว่าให้ผลตอบแทนเกิน 100% ถ้าซื้อต้นปี ถือถึงปลายปี!!
หุ้นห่านทองคำ
คอนเซปต์หุ้นห่านทองคำในปี 56 คือหุ้นที่สร้างความสบายใจให้นักลงทุน ถือหุ้นแล้วนอนเฉยๆ ให้เงินทำงาน ก็ได้รับเงินปันผล และราคาหุ้นก็ปรับขึ้น โดยคัดเลือกจากหุ้นที่จ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 8% และมีราคาเฉลี่ยช่วงปลายปี 56 สูงกว่าราคาสิ้นปี 55 ไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่มีอัตราการเติบโตของกำไรของกิจการ รวมถึงมูลค่ากิจการตามราคาตลาด โดยใช้ทุกปัจจัยประกอบกัน จึงได้หุ้นห่านทองคำปี 56 ที่เป็นหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ล้วนๆ เป็นผลจากความคึกคักของมูลค่าการซื้อขายหุ้นปีนี้ ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยต่อวัน 51,000 ล้านบาท
โดยแชมป์หุ้นห่านทองคำ คือ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET ซึ่งจ่ายเงินปันผลปี 56 สูงถึง 8.62% เทียบกับราคาเมื่อสิ้นปี 55 และมีราคาปิด 20 ธ.ค.56 ที่ 22 บาท ปรับขึ้นมาถึง 51.72% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อสิ้นปี 55 เรียกได้ว่า นี่คือแชมป์หุ้นห่านทองคำอย่างแท้จริง!!
หุ้นเรือเกลือ
ในปีที่ภาวะตลาดผันผวนอย่างรุนแรง ถ้าหากนับจุดสูงสุดของดัชนีที่ 1643.43 จุด เทียบกับจุดต่ำสุดของดัชนีที่ 1275.76 จุด แต่หากโฟกัสดูจะพบว่าหุ้นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด มีการขึ้นลงของราคาอย่างหวือหวาเกินกว่า 40%ขึ้นไป หรือบางตัวก็แกว่งตัวกว้างถึง 200% แต่กลับมีหุ้นบางตัว ที่ราคาแกว่งตัวแคบๆ แทบไม่มีการขยับรุนแรงทั้งขาขึ้นและขาลง เรียกว่าราคาหุ้นอืดเป็นเรือเกลือ
โดยแชมป์หุ้นเรือเกลือประจำปีนี้ คือ บมจ.ปตท.สผ. หรือ PTTEP ซึ่งมีราคาสูงสุดตลอดปี อยู่ที่ 174 บาท และราคาต่ำสุด อยู่ที่ 141 บาท ซึ่งเมื่อนำราคาสูงสุดเทียบกับราคาต่ำสุดพบว่ามีการแกว่งตัวของราคาอยู่ที่ 23.40%
และนี่ก็คือภาพรวมคร่าวๆ ของตลาดบ้านเราปีนี้ หวังว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับนักลงทุน ก่อนจะจากกันไปก็อยากจะขอย้ำเตือนว่า การลงทุนที่สำคัญที่สุด คือการลงทุนในการศึกษา เพิ่มเติมในด้านความรู้การลงทุน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เป็นเกราะป้องกันให้กับนักลงทุนให้อยู่รอดได้ในระยะยาว
หวังว่าทุกท่านจะโชคดีมีชัยในปีใหม่ 2557 นี้ และปีต่อๆไป.
ที่มา: http://www.thairath.co.th
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4761
ปี 2557 หรือปีมะเมีย มีปัจจัยที่ต้องจับตาต่อการลงทุน 3 เรื่อง ประกอบด้วย
1. การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้ว (กลุ่มประเทศ G3) เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเศรษฐกิจหลักในกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้น
2. การส่งออกของเอเชีย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และ จีน ถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่เริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่าเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่จะเริ่มกลับมาขยายตัวจากการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นและปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
3. ความคืบหน้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2556 จีนได้แถลงนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจในแผนพัฒนา 10 ปีของประเทศ นักวิเคราะห์มองว่าหากมาตรการดังกล่าวมีความคืบหน้าในทางปฏิบัติก็จะช่วยเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจเอเชียที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนเป็นอย่างมาก
***หุ้นต่างประเทศโดดเด่น
ทิสโก้ เวลธ์ บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์กลุ่มทิสโก้ ประเมินกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1 ปี 2557 ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ได้ลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ (คิวอี)
ทั้งนี้จากการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่จะเริ่มส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ และหันมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นจากทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด
โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจทิสโก้ เวลธ์ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน เอเชียเหนือ และกลุ่มประเทศหลักของยุโรป และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อินเดีย และลาตินอเมริกา
alt ***ลดน้ำหนัก"หุ้นไทย"
สำหรับตลาดหุ้นไทย อินเดีย และลาตินอเมริกา ทิสโก้ เวลธ์ แนะนำให้ลดน้ำหนักและหลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อ ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 ปี 2557 และส่งผลให้คาดการณ์ผลกำไรของหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลงอีกในอนาคต บวกกับภาพรวมเศรษฐกิจต่างที่เริ่มมีการชะลอตัวมากขึ้น
เช่นเดียวกับนายประเสริฐ ขนบธรรมเนียมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนปี 2557 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และปัจจัยลบการเมือง
***จัดพอร์ตอย่างไร
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน บลจ.กสิกรไทยฯ แนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง ให้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศสัดส่วน 40-50 % อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น ส่วนหุ้นไทย แนะนำให้ลงทุนเพียง 30-40 % เท่านั้น ที่เหลือแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ โดยไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้อายุเกิน 2 ปี เพื่อลดความเสี่ยงดอกเบี้ยปรับขึ้น
ส่วนทองคำยังไม่แนะนำเข้าลงทุนหรือควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำปรับขึ้นสำหรับปี2557 ยังไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมีสัญญาณแข็งค่าตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว
ด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บัวหลวง จำกัด(มหาชน)(บมจ.) แนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำลงทุนในหุ้น 22 % ใกล้เคียงกับปี 2556 คาดการณ์มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.15 % อย่างไรก็ตามในกรณีที่ดีที่สุด(Best case)มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงถึง 19.81 % และกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) มีโอกาสติดลบ 1.5 %
นอกจากนี้แนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนในกองทุนน้ำมันเป็น 21 % จากปี 2556 ที่ให้น้ำหนัก 16 % พร้อมกับเพิ่มการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็น 15 % จากปี 2556 ที่ให้น้ำหนัก 10 % เนื่องจากเงินปันผลจูงใจ โดยบล.บัวหลวงฯ คาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.5-6.8 % ต่อปี ซึ่งสามารถชนะเงินเฟ้อได้อย่างแน่นอน แม้ว่าปี 2557 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้น 0.5 % โดยเริ่มเห็นช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
สำหรับทองคำ แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนเหลือเพียง 6 % จากปี 2556 ที่แนะนำลงทุนสัดส่วน 16 %
*** ทองคำปี 57 ยังเป็นขาลง
สำหรับทิศทางราคาทองคำปีมะเมีย ผู้ค้าทองและผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองทองจากออสเตรเลีย เห็นพ้องราคาทองคำเป็นขาลง โดยมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวส่งผลชะลอมาตรการคิวอี ให้กรอบเคลื่อนไหว 1,100-1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนราคาในประเทศให้กรอบ 17,000-17,500 บาทต่อบาททอง
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ศูนย์วิจัยฯได้จัดทำแบบสำรวจสัดส่วนการลงทุนทองคำในปี 2557 กลุ่มตัวอย่างคิดว่าจะลงทุนใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ผ่านมา คือ ประมาณ 18% สำหรับผู้ที่คาดว่าจะโยกเงินลงทุนจากตลาดทองคำไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นส่วนใหญ่คิดว่าจะย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเงินฝากธนาคาร พันธบัตร และบางรายคิดว่าจะถือเงินสด
นายไมค์ โมนาฮาน ผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองแร่ทองคำจากประเทศออสเตรเลีย และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำโลกอยู่ในช่วงขาลง
อย่างไรก็ตามนายไมค์ เชื่อว่าในระยะสั้นหรืออีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า (ปี 2557-2558)ราคาทองคำจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 1,100-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงต้นทุนหน้าเหมือง ขณะที่นักวิเคราะห์ทองคำต่างประเทศส่วนใหญ่ประเมินว่าอีก 7 ปีข้างหน้า (2563 )ราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแตะ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
***"ฝากสั้น"เกาะกระแสดอกเบี้ยขึ้น-ลง
ฟากตลาดเงินนั้น ในรอบปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะเสิร์ฟลูกค้าด้วยเงินฝากประจำพิเศษ ส่วนทิศทางอัตราดอกเบียปี 2557 นายกฤษณ์ จันทโนทก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัย และธนบดี
บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปี 2557 ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็น 2 มุมมองที่อาจะเกิดขึ้น คือ 1.ถ้าเศรษฐกิจและภาคส่งออกฟื้นตัว และการเมืองไม่ยืดเยื้อ คาดว่าครึ่งปีแรกจะได้เห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจปรับดอกเบี้ยเพิ่ม
2. กรณีจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ในครึ่งปีแรก ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีโอกาสเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดังนั้นสำหรับผู้บริโภค เมื่อดอกเบี้ยมีโอกาสเพิ่มครึ่งแรกปี 2557 อาจเลือกฝากเงินระยะสั้นก่อน(เช่นเงินฝากประจำ 3-9เดือน)เพื่อรอจังหวะดอกเบี้ยนโยบายขึ้นและเกาะกระแสเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ซึ่งในส่วนกรุงศรียังเสนอ "เงินฝากออมทรัพย์มีแต่ได้"ฝากประจำ 5เดือนดอกเบี้ย 2.7%ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของผู้ฝากเงินนั้น ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ แต่ยังคงได้รับความคุ้มครองเงินฝากในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อธนาคาร
***เปิดผลิตภัณฑ์"เงินฝาก"
สำหรับแนวโน้มการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากปี 2557 นายชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่ายบมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าจะเห็นเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้น เพื่อรอดูสถานการณ์ที่แท้จริง
ดังนั้นหากปัจจุบันลูกค้ายังมีเงินฝากประเภทระยะกลางและยาวที่อัตราดอกเบี้ยสูงแนะนำให้ฝากเงินในระยะเวลาและอัตราดอกเบี้ยที่สูงดังกล่าว ทั้งนี้แม้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะอยู่ในช่วงขาลง แต่กรุงไทยได้เตรียมเงินฝากพิเศษเป็นทางเลือกของลูกค้าตั้งแต่วันที่ 6- 31 มกราคม2557 ประกอบด้วย เงินฝาก KTB แซบเวอร์ 14 เดือน ฝากขั้นต่ำ 1หมื่นบาทลูกค้าทั่วไปรับดอกเบี้ย 3.14%ต่อปี,ลูกค้าทั่วไปฝากผ่านNetbank อัตรา 3.44%ต่อปี สำหรับลูกค้าKTB Precious Plus ดอกเบี้ย 3.41%เงินฝากKTB Zero Tax extra 24 เดือนดอกเบี้ย 3.8%ต่อปีและเงินฝากถึงใจวัยเกษียณ 60 เดือนดอกเบี้ย 4%ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557
ด้านนายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ แนะนำลูกค้าที่กังวลต่อสถานการณ์ฝากเงินระยะกลางถึงยาว ด้วยเงินฝากประจำพิเศษ 3 ระยะ กำหนดรับฝากถึงวันที่ 20 มกราคม 2557 ประกอบด้วย เงินฝากประจำพิเศษ 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.625%ต่อปี ,เงินฝากประจำพิเศษ 10 เดือนอัตราดอกเบี้ย 2.875%ต่อปี และเงินฝากประจำพิเศษ 15 เดือนอัตราดอกเบี้ย 3.25%ต่อปี
ทั้งหมด คือ ทิศทางการลงทุนปี 2557 และคำแนะนำการจัดพอร์ต จะลงทุนหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ เงินฝาก และการลงทุนทางเลือกเพื่อเพิ่มสีสรร สุดท้ายแล้วผู้ลงทุนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ด้วย รับเสี่ยงได้สูงก็จัดไปหนัก ๆหุ้นต่างประเทศ ชอบเสี่ยงต่ำก็ตราสารหนี้และเงินฝาก แต่ก็ต้องยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำเตี้ยได้ด้วยเช่นกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,910 วันที่ 2 - 4 มกราคม พ.ศ. 2557

1. การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้ว (กลุ่มประเทศ G3) เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเศรษฐกิจหลักในกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้น
2. การส่งออกของเอเชีย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และ จีน ถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่เริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่าเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่จะเริ่มกลับมาขยายตัวจากการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นและปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
3. ความคืบหน้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2556 จีนได้แถลงนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจในแผนพัฒนา 10 ปีของประเทศ นักวิเคราะห์มองว่าหากมาตรการดังกล่าวมีความคืบหน้าในทางปฏิบัติก็จะช่วยเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจเอเชียที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนเป็นอย่างมาก
***หุ้นต่างประเทศโดดเด่น
ทิสโก้ เวลธ์ บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์กลุ่มทิสโก้ ประเมินกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1 ปี 2557 ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ได้ลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ (คิวอี)
ทั้งนี้จากการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่จะเริ่มส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ และหันมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นจากทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด
โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจทิสโก้ เวลธ์ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน เอเชียเหนือ และกลุ่มประเทศหลักของยุโรป และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อินเดีย และลาตินอเมริกา
alt ***ลดน้ำหนัก"หุ้นไทย"
สำหรับตลาดหุ้นไทย อินเดีย และลาตินอเมริกา ทิสโก้ เวลธ์ แนะนำให้ลดน้ำหนักและหลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อ ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 ปี 2557 และส่งผลให้คาดการณ์ผลกำไรของหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลงอีกในอนาคต บวกกับภาพรวมเศรษฐกิจต่างที่เริ่มมีการชะลอตัวมากขึ้น
เช่นเดียวกับนายประเสริฐ ขนบธรรมเนียมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนปี 2557 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และปัจจัยลบการเมือง
***จัดพอร์ตอย่างไร
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน บลจ.กสิกรไทยฯ แนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง ให้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศสัดส่วน 40-50 % อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น ส่วนหุ้นไทย แนะนำให้ลงทุนเพียง 30-40 % เท่านั้น ที่เหลือแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ โดยไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้อายุเกิน 2 ปี เพื่อลดความเสี่ยงดอกเบี้ยปรับขึ้น
ส่วนทองคำยังไม่แนะนำเข้าลงทุนหรือควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำปรับขึ้นสำหรับปี2557 ยังไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมีสัญญาณแข็งค่าตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว
ด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บัวหลวง จำกัด(มหาชน)(บมจ.) แนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำลงทุนในหุ้น 22 % ใกล้เคียงกับปี 2556 คาดการณ์มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.15 % อย่างไรก็ตามในกรณีที่ดีที่สุด(Best case)มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงถึง 19.81 % และกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) มีโอกาสติดลบ 1.5 %
นอกจากนี้แนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนในกองทุนน้ำมันเป็น 21 % จากปี 2556 ที่ให้น้ำหนัก 16 % พร้อมกับเพิ่มการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็น 15 % จากปี 2556 ที่ให้น้ำหนัก 10 % เนื่องจากเงินปันผลจูงใจ โดยบล.บัวหลวงฯ คาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.5-6.8 % ต่อปี ซึ่งสามารถชนะเงินเฟ้อได้อย่างแน่นอน แม้ว่าปี 2557 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้น 0.5 % โดยเริ่มเห็นช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
สำหรับทองคำ แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนเหลือเพียง 6 % จากปี 2556 ที่แนะนำลงทุนสัดส่วน 16 %
*** ทองคำปี 57 ยังเป็นขาลง
สำหรับทิศทางราคาทองคำปีมะเมีย ผู้ค้าทองและผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองทองจากออสเตรเลีย เห็นพ้องราคาทองคำเป็นขาลง โดยมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวส่งผลชะลอมาตรการคิวอี ให้กรอบเคลื่อนไหว 1,100-1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนราคาในประเทศให้กรอบ 17,000-17,500 บาทต่อบาททอง
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ศูนย์วิจัยฯได้จัดทำแบบสำรวจสัดส่วนการลงทุนทองคำในปี 2557 กลุ่มตัวอย่างคิดว่าจะลงทุนใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ผ่านมา คือ ประมาณ 18% สำหรับผู้ที่คาดว่าจะโยกเงินลงทุนจากตลาดทองคำไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นส่วนใหญ่คิดว่าจะย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเงินฝากธนาคาร พันธบัตร และบางรายคิดว่าจะถือเงินสด
นายไมค์ โมนาฮาน ผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองแร่ทองคำจากประเทศออสเตรเลีย และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำโลกอยู่ในช่วงขาลง
อย่างไรก็ตามนายไมค์ เชื่อว่าในระยะสั้นหรืออีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า (ปี 2557-2558)ราคาทองคำจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 1,100-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงต้นทุนหน้าเหมือง ขณะที่นักวิเคราะห์ทองคำต่างประเทศส่วนใหญ่ประเมินว่าอีก 7 ปีข้างหน้า (2563 )ราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแตะ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
***"ฝากสั้น"เกาะกระแสดอกเบี้ยขึ้น-ลง
ฟากตลาดเงินนั้น ในรอบปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะเสิร์ฟลูกค้าด้วยเงินฝากประจำพิเศษ ส่วนทิศทางอัตราดอกเบียปี 2557 นายกฤษณ์ จันทโนทก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัย และธนบดี
บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปี 2557 ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็น 2 มุมมองที่อาจะเกิดขึ้น คือ 1.ถ้าเศรษฐกิจและภาคส่งออกฟื้นตัว และการเมืองไม่ยืดเยื้อ คาดว่าครึ่งปีแรกจะได้เห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจปรับดอกเบี้ยเพิ่ม
2. กรณีจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ในครึ่งปีแรก ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีโอกาสเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดังนั้นสำหรับผู้บริโภค เมื่อดอกเบี้ยมีโอกาสเพิ่มครึ่งแรกปี 2557 อาจเลือกฝากเงินระยะสั้นก่อน(เช่นเงินฝากประจำ 3-9เดือน)เพื่อรอจังหวะดอกเบี้ยนโยบายขึ้นและเกาะกระแสเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ซึ่งในส่วนกรุงศรียังเสนอ "เงินฝากออมทรัพย์มีแต่ได้"ฝากประจำ 5เดือนดอกเบี้ย 2.7%ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของผู้ฝากเงินนั้น ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ แต่ยังคงได้รับความคุ้มครองเงินฝากในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อธนาคาร
***เปิดผลิตภัณฑ์"เงินฝาก"
สำหรับแนวโน้มการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากปี 2557 นายชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่ายบมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าจะเห็นเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้น เพื่อรอดูสถานการณ์ที่แท้จริง
ดังนั้นหากปัจจุบันลูกค้ายังมีเงินฝากประเภทระยะกลางและยาวที่อัตราดอกเบี้ยสูงแนะนำให้ฝากเงินในระยะเวลาและอัตราดอกเบี้ยที่สูงดังกล่าว ทั้งนี้แม้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะอยู่ในช่วงขาลง แต่กรุงไทยได้เตรียมเงินฝากพิเศษเป็นทางเลือกของลูกค้าตั้งแต่วันที่ 6- 31 มกราคม2557 ประกอบด้วย เงินฝาก KTB แซบเวอร์ 14 เดือน ฝากขั้นต่ำ 1หมื่นบาทลูกค้าทั่วไปรับดอกเบี้ย 3.14%ต่อปี,ลูกค้าทั่วไปฝากผ่านNetbank อัตรา 3.44%ต่อปี สำหรับลูกค้าKTB Precious Plus ดอกเบี้ย 3.41%เงินฝากKTB Zero Tax extra 24 เดือนดอกเบี้ย 3.8%ต่อปีและเงินฝากถึงใจวัยเกษียณ 60 เดือนดอกเบี้ย 4%ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557
ด้านนายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ แนะนำลูกค้าที่กังวลต่อสถานการณ์ฝากเงินระยะกลางถึงยาว ด้วยเงินฝากประจำพิเศษ 3 ระยะ กำหนดรับฝากถึงวันที่ 20 มกราคม 2557 ประกอบด้วย เงินฝากประจำพิเศษ 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.625%ต่อปี ,เงินฝากประจำพิเศษ 10 เดือนอัตราดอกเบี้ย 2.875%ต่อปี และเงินฝากประจำพิเศษ 15 เดือนอัตราดอกเบี้ย 3.25%ต่อปี
ทั้งหมด คือ ทิศทางการลงทุนปี 2557 และคำแนะนำการจัดพอร์ต จะลงทุนหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ เงินฝาก และการลงทุนทางเลือกเพื่อเพิ่มสีสรร สุดท้ายแล้วผู้ลงทุนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ด้วย รับเสี่ยงได้สูงก็จัดไปหนัก ๆหุ้นต่างประเทศ ชอบเสี่ยงต่ำก็ตราสารหนี้และเงินฝาก แต่ก็ต้องยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำเตี้ยได้ด้วยเช่นกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,910 วันที่ 2 - 4 มกราคม พ.ศ. 2557

-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4762
มาทวงรูปแทนชาว thaivi ค่ะ...คาดว่ารอชมกันเยอะเลยPaul VI เขียน:ขอบคุณครับ คุณนุช ทริปนี้มีความสุขมากๆครับtheenuch เขียน:ขอให้พี่หมอมุขและครอบครัวที่น่ารักเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างมีความสุข
และปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ
มาลงชื่อ...รอชื่นชมภาพที่พี่หมอมุขจะนำมาฝากค่ะ
กลับไปแล้วจะอัพรูปให้พวกเราดูกันครับ

ขออนุญาตนำมาที่กระทู้นี้ด้วยนะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่หมอมุข ชื่นชมรูปครอบครัวน่ารักของพี่หมอมุขใน fb ทุกวันเลยค่ะPaul VI เขียน:สวัสดีปีใหม่ครับtheenuch เขียน:สวัสดีปีใหม่ค่ะ...หายไปเสียนานกับการพักผ่อนยาวๆ
เปิดทำการวันแรกตลาดก็ลบเสียมากมาย
เหมือนกันเลยครับ วันนี้ผมทำงานวันแรก ยุ่งทั้งวันเลย
จากเพชรบูรณ์ไปเขาใหญ่ต่อเที่ยวรับลมหนาวเต็มที่ไปเลยนะคะ
กลับมาทำการกันวันแรกๆ แม้จะเหนื่อยแต่เชื่อแน่ว่าจิตใจสดใสที่สุด

ชอบสีน้ำเงินค่ะ...ขอให้มีความสุขกับ "ฮาเร็มหุ้น" นะคะพี่หมอมุขPaul VI เขียน:วันนี้ก็คัดเลือกหุ้นที่จะซื้อ รู้สึกเหมือนที่ บัฟเฟต บอก เหมือนอยู่ ในฮาเร็มนิดๆ แล้วครับ

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4764
วันเดินทางไป นึกว่าจะสบายแล้วนะครับ คิดว่าตัวเองเดินทางไปก่อนชาวบ้านแล้วนะครับ อีกทั้งคิดว่าคนอื่นคงไม่ไปเส้นนี้ ผมเลือกเส้นทางสระบุรี ตัดขึ้นตรงเพชรบูรณ์ มุ่งสู่เขาค้อครับ
(เหมือนหุ้นเลย
คิดว่าคนอื่น คงรู้ไม่ทันเรา หรือเราคงซื้อก่อนคนอื่นแล้ว ที่ไหนได้ อิอิ
)
กลับเข้าเรื่องเที่ยวต่อ หนาวครั้งนี้เลือกไปเที่ยวดอย เขาค้อ เพื่อจะไม่เที่ยวดอยหุ้น
แต่พอกลับมา ที่ไหนได้
พี่ไทยลบซะ 67 จุดเลย
อ้าวกลับเข้าเรื่องเที่ยว ไหงไปเรื่องหุ้น ทู้กที
รูปนี้ถ่าย เย็นวันแรกที่ รร. อิมพีเรียล ภูแก้ว เขาค้อครับ
อากาศเย็นพร้อมลมแรงๆ เรียกเอาความเหนื่อยของการเดินทาง หายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียวครับ
เห็นลูกๆมีความสุข คนเป็นพ่อแม่ ก็มีความสุขครับ
เอาไว้จะหาเวลามาอัพรูปลงเพิ่มเติมต่อนะครับ
(เหมือนหุ้นเลย


กลับเข้าเรื่องเที่ยวต่อ หนาวครั้งนี้เลือกไปเที่ยวดอย เขาค้อ เพื่อจะไม่เที่ยวดอยหุ้น
แต่พอกลับมา ที่ไหนได้


อ้าวกลับเข้าเรื่องเที่ยว ไหงไปเรื่องหุ้น ทู้กที

รูปนี้ถ่าย เย็นวันแรกที่ รร. อิมพีเรียล ภูแก้ว เขาค้อครับ
อากาศเย็นพร้อมลมแรงๆ เรียกเอาความเหนื่อยของการเดินทาง หายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียวครับ
เห็นลูกๆมีความสุข คนเป็นพ่อแม่ ก็มีความสุขครับ

เอาไว้จะหาเวลามาอัพรูปลงเพิ่มเติมต่อนะครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4765
สิงคโปร์แอร์ไลน์ ยกเลิกเที่ยวบินมากรุงเทพ 19 เที่ยวบิน ดูตามข่าวครับ
http://www.thairath.co.th/content/eco/393684
http://www.thairath.co.th/content/eco/393684
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4766
updated: 02 ม.ค. 2557 เวลา 13:20:15 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แม้ปลายปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่ AREA-เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
บริษัทวิจัยและประเมินค่าอสังหาฯได้สำรวจภาพรวมอสังหาฯเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ปรากฏว่ามีโครงการเปิดตัวใหม่ถึง 43 โครงการ จำนวน 16,474 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 50,566 ล้านบาท ทั้งจำนวนโครงการ-หน่วย-มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 79% 63% และ 167% ตามลำดับ
คอนโดฯเปิดตัว 1 หมื่นยูนิต
จากผลสำรวจโครงการใหม่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า "คอนโดมิเนียม" ยังครองแชมป์เปิดตัวถึง 62.5% หรือ 10,299 หน่วย ทิ้งห่าง "ทาวน์เฮาส์" ที่มีสัดส่วน 28.3% หรือ 4,656 หน่วย อันดับ 3 คือ "บ้านเดี่ยว" 8.6% หรือ 1,425 หน่วย
แง่ระดับราคาพบว่าเป็นโครงการที่มีราคาขายต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีสัดส่วน 1% หรือ 166 หน่วย มูลค่าโครงการ 147 ล้านบาท ราคา 1-2 ล้านบาท มีสัดส่วน 40% หรือ 6,635 หน่วย มูลค่าโครงการ 10,264 ล้านบาท ราคา 2-3 ล้านบาท มีสัดส่วน 27% หรือ 4,506 หน่วย มูลค่าโครงการ 10,957 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วน 20% หรือ 3,250 หน่วย มูลค่าโครงการ 13,695 ล้านบาท และราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 12% หรือ 1,971 หน่วย มูลค่าโครงการ 15,504 ล้านบาท
ส่วนอัตราการขายพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขาย แต่ละโครงการมีอัตราการขายเฉลี่ย 37% ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 49% โดย "คอนโดฯ" มีอัตราการขายได้สูงสุด เริ่มจากห้องชุด ราคา 1-2 ล้านบาท จำนวน 4,585 หน่วย ขายได้ 48% หรือ 2,200 หน่วย รองลงมาคืออาคารชุด ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 1,959 หน่วย ขายได้แล้ว 76% หรือ 1,495 หน่วย และอันดับ 3 เป็นอาคารชุด 2-3 ล้านบาท จำนวน 2,513 หน่วย ขายได้แล้ว 43% หรือ 1,082 หน่วย
ด้านภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่ 11 เดือนแรกปีที่ผ่านมา มีโครงการเปิดใหม่รวม 382 โครงการ เพิ่มขึ้น 3% มีจำนวน 116,701 หน่วย เพิ่มขึ้น 25% หรือ 23,236 หน่วย และมีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 21% หรือ 58,238 ล้านบาท
ไนท์แฟรงค์ฯ ชี้คอนโดฯไร้ฟองสบู่
ขณะที่ "แฟรงค์ ข่าน" กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย "ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย)" บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯประเมินว่าแนวโน้มตลาดรวมอสังหาฯปี"57 ยังไม่มีภาวะฟองสบู่
ถ้าโฟกัสเฉพาะ "คอนโดฯ" เป็นรายทำเล 1) ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) ได้แก่ เพลินจิต สาทร ไม่มีปัญหาฟองสบู่ เพราะที่ดินเหลือน้อยและราคาแพง แต่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกมาก
2) สุขุมวิทซอย 3-71 ยังให้ผลตอบแทนเพื่อซื้อลงทุนปล่อยเช่าที่จูงใจเฉลี่ย 5-6% ต่อปี
3) คอนโดฯพื้นที่ชั้นกลาง เช่น ลาดพร้าว รัชดาฯ พระราม 9 ฯลฯ ถือว่ามีศักยภาพสูง เพราะเข้าถึงรถไฟฟ้าง่าย ขณะที่ราคาขายปรับขึ้นต่อเนื่องจากปี"54-56 จาก 7.7 หมื่น เป็น 8.4 หมื่น และ 1.06 แสนบาทตามลำดับ และ 4) คอนโดฯในพื้นที่รอบนอก มีแนวโน้มจะสร้างยูนิตขนาดเล็กลง เพื่อควบคุมราคาให้สอดรับกับกำลังซื้อ
ในจำนวนคอนโดฯเปิดตัวใหม่ปี′56 ช่วง 11 เดือนแรก ตามแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนในอนาคต 8 สายทาง ได้แก่ 1) สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 2) สายสีเขียว (วงเวียนใหญ่-บางหว้า) 3) สายสีเขียวเข้ม (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 4) เอ็มอาร์ทีสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ) 5) สายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) 6) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 7) สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ 8) สายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี)
ปรากฏว่า 3 อันดับแรก "รถไฟฟ้าสายสีม่วง" (บางซื่อ-บางใหญ่) มีสัดส่วนสูงสุด 42% จำนวน 1.35 หมื่นหน่วย "สายสีเขียวเข้ม" (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 16% จำนวน 4,994 หน่วย "สายสีน้ำเงิน" (บางซื่อ-ท่าพระ) 9% จำนวน 2,792 ยูนิต
แต่ถ้าโฟกัสตลาดคอนโดฯพรีเมี่ยมในกรุงเทพฯ ยังมีราคาต่ำกว่าที่ "ฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้-สิงคโปร์" แต่คุณภาพโครงการใกล้เคียงกัน ไม่ว่าเดอะ สุโขทัย เรสซิเดนซ์เซส, เซนต์ รีจีส เรสซิเดนซ์เซส ฯลฯ และยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติ ปี"57 จึงวางแผนนำคอนโดฯไปจัดโรดโชว์เสนอขายนักลงทุนที่เมืองกาลัวลัมเปอร์ มาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ รวมถึงมีดีมานด์จากกลุ่มคนไทยระดับไฮเอนด์ที่ซื้อไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน
ด้านตลาดคอนโดฯพัทยา ปีนี้มีคอนโดฯสร้างใหม่ถึง 17,064 ยูนิต ในจำนวนนี้ 57% อยู่โซนหาดจอมเทียน โดยโครงการระดับไฮเอนด์ ยกตัวอย่างราคาตารางเมตรละ 1 แสนบาท มีลูกค้าชาวไต้หวันและฮ่องกงสนใจซื้อ
โดยโควตาการขายห้องชุดให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมด แต่โครงการส่วนใหญ่ใช้สิทธิ์ลูกค้าต่างชาติเต็มโควตา จึงเชื่อว่าตลาดคอนโดฯโซนพัทยายังไปได้

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แม้ปลายปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่ AREA-เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
บริษัทวิจัยและประเมินค่าอสังหาฯได้สำรวจภาพรวมอสังหาฯเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ปรากฏว่ามีโครงการเปิดตัวใหม่ถึง 43 โครงการ จำนวน 16,474 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 50,566 ล้านบาท ทั้งจำนวนโครงการ-หน่วย-มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 79% 63% และ 167% ตามลำดับ
คอนโดฯเปิดตัว 1 หมื่นยูนิต
จากผลสำรวจโครงการใหม่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า "คอนโดมิเนียม" ยังครองแชมป์เปิดตัวถึง 62.5% หรือ 10,299 หน่วย ทิ้งห่าง "ทาวน์เฮาส์" ที่มีสัดส่วน 28.3% หรือ 4,656 หน่วย อันดับ 3 คือ "บ้านเดี่ยว" 8.6% หรือ 1,425 หน่วย
แง่ระดับราคาพบว่าเป็นโครงการที่มีราคาขายต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีสัดส่วน 1% หรือ 166 หน่วย มูลค่าโครงการ 147 ล้านบาท ราคา 1-2 ล้านบาท มีสัดส่วน 40% หรือ 6,635 หน่วย มูลค่าโครงการ 10,264 ล้านบาท ราคา 2-3 ล้านบาท มีสัดส่วน 27% หรือ 4,506 หน่วย มูลค่าโครงการ 10,957 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วน 20% หรือ 3,250 หน่วย มูลค่าโครงการ 13,695 ล้านบาท และราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 12% หรือ 1,971 หน่วย มูลค่าโครงการ 15,504 ล้านบาท
ส่วนอัตราการขายพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขาย แต่ละโครงการมีอัตราการขายเฉลี่ย 37% ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 49% โดย "คอนโดฯ" มีอัตราการขายได้สูงสุด เริ่มจากห้องชุด ราคา 1-2 ล้านบาท จำนวน 4,585 หน่วย ขายได้ 48% หรือ 2,200 หน่วย รองลงมาคืออาคารชุด ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 1,959 หน่วย ขายได้แล้ว 76% หรือ 1,495 หน่วย และอันดับ 3 เป็นอาคารชุด 2-3 ล้านบาท จำนวน 2,513 หน่วย ขายได้แล้ว 43% หรือ 1,082 หน่วย
ด้านภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่ 11 เดือนแรกปีที่ผ่านมา มีโครงการเปิดใหม่รวม 382 โครงการ เพิ่มขึ้น 3% มีจำนวน 116,701 หน่วย เพิ่มขึ้น 25% หรือ 23,236 หน่วย และมีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 21% หรือ 58,238 ล้านบาท
ไนท์แฟรงค์ฯ ชี้คอนโดฯไร้ฟองสบู่
ขณะที่ "แฟรงค์ ข่าน" กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย "ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย)" บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯประเมินว่าแนวโน้มตลาดรวมอสังหาฯปี"57 ยังไม่มีภาวะฟองสบู่
ถ้าโฟกัสเฉพาะ "คอนโดฯ" เป็นรายทำเล 1) ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) ได้แก่ เพลินจิต สาทร ไม่มีปัญหาฟองสบู่ เพราะที่ดินเหลือน้อยและราคาแพง แต่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกมาก
2) สุขุมวิทซอย 3-71 ยังให้ผลตอบแทนเพื่อซื้อลงทุนปล่อยเช่าที่จูงใจเฉลี่ย 5-6% ต่อปี
3) คอนโดฯพื้นที่ชั้นกลาง เช่น ลาดพร้าว รัชดาฯ พระราม 9 ฯลฯ ถือว่ามีศักยภาพสูง เพราะเข้าถึงรถไฟฟ้าง่าย ขณะที่ราคาขายปรับขึ้นต่อเนื่องจากปี"54-56 จาก 7.7 หมื่น เป็น 8.4 หมื่น และ 1.06 แสนบาทตามลำดับ และ 4) คอนโดฯในพื้นที่รอบนอก มีแนวโน้มจะสร้างยูนิตขนาดเล็กลง เพื่อควบคุมราคาให้สอดรับกับกำลังซื้อ
ในจำนวนคอนโดฯเปิดตัวใหม่ปี′56 ช่วง 11 เดือนแรก ตามแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนในอนาคต 8 สายทาง ได้แก่ 1) สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 2) สายสีเขียว (วงเวียนใหญ่-บางหว้า) 3) สายสีเขียวเข้ม (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 4) เอ็มอาร์ทีสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ) 5) สายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) 6) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 7) สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ 8) สายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี)
ปรากฏว่า 3 อันดับแรก "รถไฟฟ้าสายสีม่วง" (บางซื่อ-บางใหญ่) มีสัดส่วนสูงสุด 42% จำนวน 1.35 หมื่นหน่วย "สายสีเขียวเข้ม" (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 16% จำนวน 4,994 หน่วย "สายสีน้ำเงิน" (บางซื่อ-ท่าพระ) 9% จำนวน 2,792 ยูนิต
แต่ถ้าโฟกัสตลาดคอนโดฯพรีเมี่ยมในกรุงเทพฯ ยังมีราคาต่ำกว่าที่ "ฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้-สิงคโปร์" แต่คุณภาพโครงการใกล้เคียงกัน ไม่ว่าเดอะ สุโขทัย เรสซิเดนซ์เซส, เซนต์ รีจีส เรสซิเดนซ์เซส ฯลฯ และยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติ ปี"57 จึงวางแผนนำคอนโดฯไปจัดโรดโชว์เสนอขายนักลงทุนที่เมืองกาลัวลัมเปอร์ มาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ รวมถึงมีดีมานด์จากกลุ่มคนไทยระดับไฮเอนด์ที่ซื้อไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน
ด้านตลาดคอนโดฯพัทยา ปีนี้มีคอนโดฯสร้างใหม่ถึง 17,064 ยูนิต ในจำนวนนี้ 57% อยู่โซนหาดจอมเทียน โดยโครงการระดับไฮเอนด์ ยกตัวอย่างราคาตารางเมตรละ 1 แสนบาท มีลูกค้าชาวไต้หวันและฮ่องกงสนใจซื้อ
โดยโควตาการขายห้องชุดให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมด แต่โครงการส่วนใหญ่ใช้สิทธิ์ลูกค้าต่างชาติเต็มโควตา จึงเชื่อว่าตลาดคอนโดฯโซนพัทยายังไปได้

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4767
updated: 03 ม.ค. 2557 เวลา 14:00:37 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คลื่นการลงทุนถาโถมไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างไม่ขาดสายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้าง, ภาคอุตสาหกรรม, โมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง, ศูนย์การค้า, โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าประเภทรีเทล โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่หัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยวและเมืองชายแดน ส่งผลให้ราคาที่ดินในหลาย ๆ จังหวัดขยับราคาขายเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ที่ดินเมืองท่องเที่ยว 50-200 ล.
"กูรู" ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์หลายรายประเมินแนวโน้มของราคาที่ดินปีหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ราคาที่ดินในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศอาจปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกตามความต้องการของตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องแม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้านไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีทางออก หนักสุดคือหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง
"วสันต์ คงจันทร์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอลซัลแตนต์จำกัด วิเคราะห์ว่า ความเคลื่อนไหวของราคาที่ดินในปี 2557 ในบางทำเลยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บางพื้นที่อาจจะลดความร้อนแรงลงบ้าง ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทำเลที่คาดว่าราคาที่ดินมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกค่อนข้ามากในปีหน้ามี 3 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพัทยา สมุย หัวหิน และภูเก็ต
โดยเฉพาะเมืองพัทยาพบว่าที่ดินในเขตเทศบาลติดริมหาด ราคาขายปรับตัวสูง ปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 2-3 แสนบาท/ตารางวา หรือไร่ละ 120-160 ล้านบาท หาดวงศ์อำมาตย์ ราคา 100-120 ล้านบาท
ปัญหาคือที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการเริ่มหาได้ยาก ทำให้ผู้ประกอบการขยายการลงทุนออกไปทางทำเลนาจอมเทียน และสัตหีบ เพราะยังหาซื้อที่ดินได้ง่าย ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยต่อตารางวาอยู่ที่ 1 แสนบาท ในปีหน้าอาจปรับขึ้นเป็น 2 แสนบาท
ขณะที่ภูเก็ต หาดป่าตอง ครองแชมป์ราคาที่ดินแพงสุดอยู่ที่ 120-200 ล้านบาท/ไร่ หาดกะตะ กะรน ราคา 40-50 ล้านบาท ที่ดินหาดหัวหิน 60-80 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โอกาสของราคาที่ดินเมืองท่องเที่ยวจะปรับขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนนั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยการท่องเที่ยวของพื้นที่นั้นๆด้วย
หัวเมืองใหญ่เริ่มชะลอตั
2)เมืองเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ในช่วง 2-3 ปี มีการขยายตัวทั้งด้านการค้าการลงทุนที่สูงมาก ในปีหน้าทิศทางราคาที่ดินขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ที่ส่งผลได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ
"เมืองเศรษฐกิจหลักในปีหน้า ผมมองว่าราคาที่ดินน่าจะชะลอความร้อนแรงลงแล้ว หลังจากที่ทุนใหญ่จากส่วนกลางโหมเข้าไปทำตลาดอย่างหนักในช่วงที่ผ่าน หรือทำเลที่เป็นที่ต้องการมากเท่านั้นที่จะขยับราคาได้เพิ่มขึ้น แต่โดยรวมชะลอตัวลง"
ที่ดินเมืองประตูการค้าพุ่งรับเออีซี
3) เมืองชายแดน ที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สะเดา แม่สอด เชียงของ หนองคาย มุกดาหาร ฯลฯ ราคาที่ดินมีโอกาสขยับตัวได้อีกมาก เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านที่เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปัจจุบันมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อก่อสร้างเป็นศูนย์กระจายสินค้า (DC) รองรับการค้าขายที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เปิดในปี 2558
"ต้องจับตาเมืองชายแดน ราคาที่ดินที่ซื้อขายกันยังมีฐานราคาที่อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ราคาที่ดินมีโอกาสขยับขึ้นได้อีก 50-100% ขณะนี้ในหลาย ๆ จังหวัดชายแดนซึ่งเป็นประตูการค้า ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ"
"เอ็มดี" บริษัทโมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ฯ ยกตัวอย่างราคาที่ดินที่มีแนวโน้มจะปรับราคาในปีหน้า อาทิ 1) เชียงใหม่ ย่านถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (เซ็นทรัลใหม่) ราคาต่ำสุด 5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว., ถนนนิมมานเหมินท์ ราคาต่ำสุด 1 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.5 แสนบาท/ตร.ว. 2) อุดรธานี ถนนโพธิ์ศรีตั้งแต่บิ๊กซี-ห้าแยกน้ำพุ ราคาต่ำสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1 แสนบาท/ตร.ว., ถนนเลี่ยงเมืองฝั่งตะวันออก บ้านเป็ด ราคาต่ำสุด 6.25 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว.
3) หนองคาย ถนนเลี่ยงเมือง-สะพานมิตรภาพ ราคาต่ำสุด 1.25 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 2.5 หมื่นบาท/ตร.ว., ถนนมิตรภาพแยกการเคหะ-ตัวเมือง ราคาต่ำสุด 1.75 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 2.5 หมื่นบาท/ตร.ว. 4) ขอนแก่น ถนนศรีจันทร์ ย่านธุรกิจ ราคาต่ำสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1 แสนบาท/ตร.ว., ถนนสายเลี่ยงเมือง ฝั่งตะวันตก ราคาต่ำสุด 1 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.25 หมื่นบาท/ตร.ว. 5) หาดใหญ่ ถนนกาญจนวณิชย์ ย่าน มอ.และเซ็นทรัล ราคาต่ำสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.5 แสนบาท/ตร.ว., ถนนเพชรเกษม บิ๊กซี ราคาต่ำสุด 1 แสนบาท/ตร.ม. แพงสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ม.
6) เชียงราย /เชียงของ ถนน 1020 ทางเข้าสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 ราคาต่ำสุด 7.5 พันบาท/ตร.ว. แพงสุด 1 หมื่นบาท/ตร.ว., ทำเลติดแม่น้ำโขง ราคาต่ำสุด 1 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ว. 7) พัทยา หาดนาจอมเทียน สัตหีบ ราคาต่ำสุด 7.5 หมื่นบาท แพงสุด 1 แสนบาท/ตร.ว., ถนนเลียบหาดพัทยา ราคาต่ำสุด 3 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 4 แสนบาท/ตร.ว.
8) ภูเก็ต ถนนเลี่ยงเมืองภูเก็ต ย่านศูนย์การค้า ราคาต่ำสุด 5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว., หาดป่าตอง ราคาต่ำสุด 3 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 5 แสนบาท/ตร.ว.
9) หัวหิน เขาตะเกียบ ราคาต่ำสุด 1 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ว., หาดหัวหิน ราคาต่ำสุด 1.5 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 2 แสนบาท/ตร.ว. 10) สุราษฎร์ธานี ถนนสุราษฎร์ฯ-สนามบิน ราคาต่ำสุด 3.75 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 5 หมื่นบาท/ตร.ว., ถนนเลี่ยงเมืองปัจจุบัน ราคาต่ำสุด 2.5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 3 หมื่นบาท/ตร.ว.
ที่ดินแพงผู้บริโภคซื้อบ้านแพงขึ้น
ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอุดรธานี"จาตุรงค์ธนะปุระ"กรรมการผู้จัดการ บริษัท รุ่งเรืองดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บอกว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาที่ดินขยับสูงขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทำเลถนนรอบเมืองปัจจุบันเคาะขายกันอยู่ที่ 15-20 ล้านบาท/ไร่ จากเดิมราคาขายอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท/ไร่ บางพื้นที่มีการซื้อเพื่อเก็งกำไร ผลที่ตามมาคือผู้บริโภคซื้อบ้านในราคาที่แพงขึ้น
เช่นเดียวกับกับ "สุเมธ เอี่ยมไกรอมร" ดีเวลลอปเปอร์ในจังหวัดขอนแก่นมองว่า ราคาที่ดินในจังหวัดขอนแก่นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณบึงหนองโคตรเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่นและส่วนกลางเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการกันเป็นจำนวนมากราคาซื้อขายที่ดินในถนนซอยปัจจุบันอยู่ที่4-5ล้านบาท/ไร่ จากเดิมมีราคาขายอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท/ไร่ ส่วนที่ดินติดถนนใหญ่และอยู่ริมบึง ราคาขายอยู่ที่ 6-10 ล้านบาท/ไร่
ตบท้ายด้วย "พินิจ จารุสมบัติ" ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ผู้บุกเบิกและส่งเสริมการปลูกยางพาราในจังหวัดบึงกาฬ บอกว่า กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของประชาชนที่มาจากการขายยางพารา ทำให้คนใช้จ่ายมากขึ้น ธุรกิจที่คึกคักมากคืออสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ตอนนี้เกิดปรากฏการณ์สร้างบ้านไม่ทันขาย ราคาที่ดินในเขตเมืองปรับตัวสูงขึ้น
ฉะนั้น ราคาที่ดินในหัวเมืองต่างจังหวัดปี 2557 ยังมีโอกาสที่จะขยับขึ้นในหลายพื้นที่ เพราะความต้องการยังมีต่อเนื่องทั้งจากดีมานด์ของคนไทยและชาวต่างชาติ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คลื่นการลงทุนถาโถมไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างไม่ขาดสายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้าง, ภาคอุตสาหกรรม, โมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง, ศูนย์การค้า, โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าประเภทรีเทล โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่หัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยวและเมืองชายแดน ส่งผลให้ราคาที่ดินในหลาย ๆ จังหวัดขยับราคาขายเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ที่ดินเมืองท่องเที่ยว 50-200 ล.
"กูรู" ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์หลายรายประเมินแนวโน้มของราคาที่ดินปีหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ราคาที่ดินในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศอาจปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกตามความต้องการของตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องแม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้านไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีทางออก หนักสุดคือหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง
"วสันต์ คงจันทร์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอลซัลแตนต์จำกัด วิเคราะห์ว่า ความเคลื่อนไหวของราคาที่ดินในปี 2557 ในบางทำเลยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บางพื้นที่อาจจะลดความร้อนแรงลงบ้าง ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทำเลที่คาดว่าราคาที่ดินมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกค่อนข้ามากในปีหน้ามี 3 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพัทยา สมุย หัวหิน และภูเก็ต
โดยเฉพาะเมืองพัทยาพบว่าที่ดินในเขตเทศบาลติดริมหาด ราคาขายปรับตัวสูง ปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 2-3 แสนบาท/ตารางวา หรือไร่ละ 120-160 ล้านบาท หาดวงศ์อำมาตย์ ราคา 100-120 ล้านบาท
ปัญหาคือที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการเริ่มหาได้ยาก ทำให้ผู้ประกอบการขยายการลงทุนออกไปทางทำเลนาจอมเทียน และสัตหีบ เพราะยังหาซื้อที่ดินได้ง่าย ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยต่อตารางวาอยู่ที่ 1 แสนบาท ในปีหน้าอาจปรับขึ้นเป็น 2 แสนบาท
ขณะที่ภูเก็ต หาดป่าตอง ครองแชมป์ราคาที่ดินแพงสุดอยู่ที่ 120-200 ล้านบาท/ไร่ หาดกะตะ กะรน ราคา 40-50 ล้านบาท ที่ดินหาดหัวหิน 60-80 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โอกาสของราคาที่ดินเมืองท่องเที่ยวจะปรับขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนนั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยการท่องเที่ยวของพื้นที่นั้นๆด้วย
หัวเมืองใหญ่เริ่มชะลอตั
2)เมืองเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ในช่วง 2-3 ปี มีการขยายตัวทั้งด้านการค้าการลงทุนที่สูงมาก ในปีหน้าทิศทางราคาที่ดินขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ที่ส่งผลได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ
"เมืองเศรษฐกิจหลักในปีหน้า ผมมองว่าราคาที่ดินน่าจะชะลอความร้อนแรงลงแล้ว หลังจากที่ทุนใหญ่จากส่วนกลางโหมเข้าไปทำตลาดอย่างหนักในช่วงที่ผ่าน หรือทำเลที่เป็นที่ต้องการมากเท่านั้นที่จะขยับราคาได้เพิ่มขึ้น แต่โดยรวมชะลอตัวลง"
ที่ดินเมืองประตูการค้าพุ่งรับเออีซี
3) เมืองชายแดน ที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สะเดา แม่สอด เชียงของ หนองคาย มุกดาหาร ฯลฯ ราคาที่ดินมีโอกาสขยับตัวได้อีกมาก เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านที่เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปัจจุบันมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อก่อสร้างเป็นศูนย์กระจายสินค้า (DC) รองรับการค้าขายที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เปิดในปี 2558
"ต้องจับตาเมืองชายแดน ราคาที่ดินที่ซื้อขายกันยังมีฐานราคาที่อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ราคาที่ดินมีโอกาสขยับขึ้นได้อีก 50-100% ขณะนี้ในหลาย ๆ จังหวัดชายแดนซึ่งเป็นประตูการค้า ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ"
"เอ็มดี" บริษัทโมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ฯ ยกตัวอย่างราคาที่ดินที่มีแนวโน้มจะปรับราคาในปีหน้า อาทิ 1) เชียงใหม่ ย่านถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (เซ็นทรัลใหม่) ราคาต่ำสุด 5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว., ถนนนิมมานเหมินท์ ราคาต่ำสุด 1 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.5 แสนบาท/ตร.ว. 2) อุดรธานี ถนนโพธิ์ศรีตั้งแต่บิ๊กซี-ห้าแยกน้ำพุ ราคาต่ำสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1 แสนบาท/ตร.ว., ถนนเลี่ยงเมืองฝั่งตะวันออก บ้านเป็ด ราคาต่ำสุด 6.25 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว.
3) หนองคาย ถนนเลี่ยงเมือง-สะพานมิตรภาพ ราคาต่ำสุด 1.25 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 2.5 หมื่นบาท/ตร.ว., ถนนมิตรภาพแยกการเคหะ-ตัวเมือง ราคาต่ำสุด 1.75 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 2.5 หมื่นบาท/ตร.ว. 4) ขอนแก่น ถนนศรีจันทร์ ย่านธุรกิจ ราคาต่ำสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1 แสนบาท/ตร.ว., ถนนสายเลี่ยงเมือง ฝั่งตะวันตก ราคาต่ำสุด 1 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.25 หมื่นบาท/ตร.ว. 5) หาดใหญ่ ถนนกาญจนวณิชย์ ย่าน มอ.และเซ็นทรัล ราคาต่ำสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.5 แสนบาท/ตร.ว., ถนนเพชรเกษม บิ๊กซี ราคาต่ำสุด 1 แสนบาท/ตร.ม. แพงสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ม.
6) เชียงราย /เชียงของ ถนน 1020 ทางเข้าสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 ราคาต่ำสุด 7.5 พันบาท/ตร.ว. แพงสุด 1 หมื่นบาท/ตร.ว., ทำเลติดแม่น้ำโขง ราคาต่ำสุด 1 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ว. 7) พัทยา หาดนาจอมเทียน สัตหีบ ราคาต่ำสุด 7.5 หมื่นบาท แพงสุด 1 แสนบาท/ตร.ว., ถนนเลียบหาดพัทยา ราคาต่ำสุด 3 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 4 แสนบาท/ตร.ว.
8) ภูเก็ต ถนนเลี่ยงเมืองภูเก็ต ย่านศูนย์การค้า ราคาต่ำสุด 5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 7.5 หมื่นบาท/ตร.ว., หาดป่าตอง ราคาต่ำสุด 3 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 5 แสนบาท/ตร.ว.
9) หัวหิน เขาตะเกียบ ราคาต่ำสุด 1 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 1.25 แสนบาท/ตร.ว., หาดหัวหิน ราคาต่ำสุด 1.5 แสนบาท/ตร.ว. แพงสุด 2 แสนบาท/ตร.ว. 10) สุราษฎร์ธานี ถนนสุราษฎร์ฯ-สนามบิน ราคาต่ำสุด 3.75 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 5 หมื่นบาท/ตร.ว., ถนนเลี่ยงเมืองปัจจุบัน ราคาต่ำสุด 2.5 หมื่นบาท/ตร.ว. แพงสุด 3 หมื่นบาท/ตร.ว.
ที่ดินแพงผู้บริโภคซื้อบ้านแพงขึ้น
ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอุดรธานี"จาตุรงค์ธนะปุระ"กรรมการผู้จัดการ บริษัท รุ่งเรืองดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บอกว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาที่ดินขยับสูงขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทำเลถนนรอบเมืองปัจจุบันเคาะขายกันอยู่ที่ 15-20 ล้านบาท/ไร่ จากเดิมราคาขายอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท/ไร่ บางพื้นที่มีการซื้อเพื่อเก็งกำไร ผลที่ตามมาคือผู้บริโภคซื้อบ้านในราคาที่แพงขึ้น
เช่นเดียวกับกับ "สุเมธ เอี่ยมไกรอมร" ดีเวลลอปเปอร์ในจังหวัดขอนแก่นมองว่า ราคาที่ดินในจังหวัดขอนแก่นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณบึงหนองโคตรเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่นและส่วนกลางเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการกันเป็นจำนวนมากราคาซื้อขายที่ดินในถนนซอยปัจจุบันอยู่ที่4-5ล้านบาท/ไร่ จากเดิมมีราคาขายอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท/ไร่ ส่วนที่ดินติดถนนใหญ่และอยู่ริมบึง ราคาขายอยู่ที่ 6-10 ล้านบาท/ไร่
ตบท้ายด้วย "พินิจ จารุสมบัติ" ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ผู้บุกเบิกและส่งเสริมการปลูกยางพาราในจังหวัดบึงกาฬ บอกว่า กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของประชาชนที่มาจากการขายยางพารา ทำให้คนใช้จ่ายมากขึ้น ธุรกิจที่คึกคักมากคืออสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ตอนนี้เกิดปรากฏการณ์สร้างบ้านไม่ทันขาย ราคาที่ดินในเขตเมืองปรับตัวสูงขึ้น
ฉะนั้น ราคาที่ดินในหัวเมืองต่างจังหวัดปี 2557 ยังมีโอกาสที่จะขยับขึ้นในหลายพื้นที่ เพราะความต้องการยังมีต่อเนื่องทั้งจากดีมานด์ของคนไทยและชาวต่างชาติ

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4768
บทความล่าสุดของพี่วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ที่ผมนับถือครับ
เจ้าของหนังสือ เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่เงิน ซึ่งเขียนได้ชัดเจนและเป็นจริงในชีวิตประจำวันมากครับ
เจ้าของหนังสือ เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่เงิน ซึ่งเขียนได้ชัดเจนและเป็นจริงในชีวิตประจำวันมากครับ
ดิฉันเคยเขียนหัวข้อนี้ไปแล้วเมื่อสามปีก่อน แต่พอถึงปลายปีทีไร ก็มักจะมีแฟนคอลัมน์เรียกร้องให้เขียนอีก วันนี้จึงขอเขียนถึงอีกสักครั้ง บางประเด็นอาจจะซ้ำกับปีที่ผ่านมาบ้าง แต่จะพยายามหาประเด็นต่างๆให้ครอบคลุมค่ะ
เรื่องเงินเรื่องทองถ้าไม่ใส่ใจดูแลก็อาจจะเสียประโยชน์มากมาย สิ่งแรกที่อยากให้ทบทวนก่อนก็คือการเตรียมเงินเอาไว้เผื่อฉุกเฉินค่ะ ตามทฤษฎีก็บอกว่า 3-6 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน ถ้าท่านมีรายได้มั่นคง และการลงทุนเพื่อดูแลเงินส่วนสภาพคล่องของท่านอยู่ในตราสารที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียค่าปรับหรือเสียประโยชน์อะไรมากมาย ท่านก็สามารถสำรองเพียง 3 เดือนได้ค่ะ
เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินนี้นำออกมาใช้ได้ในยามฉุกเฉิน และเมื่อสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ ก็ต้องพยามยามเก็บเติมให้มีครบเท่าเดิมก่อน จึงจะเก็บออมสำหรับเรื่องอื่นๆนะคะ หลายท่านนำออกมาใช้ในยามฉุกเฉินแล้วลืมเก็บออมเพิ่ม พอสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่สองเกิดขึ้น จึงเดือดร้อน
ขอทำความกระจ่างไว้ ณ ที่นี้ว่า เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินสามารถนำไปลงทุนได้ แต่ต้องมีสภาพคล่องสูง เช่น อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ส่วนหนึ่ง กองทุนรวมตลาดเงินส่วนหนึ่ง หากต้องการฝากประจำก็ไม่ควรเกิน 3 เดือน เพราะหากกรณีฉุกเฉินต้องถอนออกมาใช้จะได้เสียผลประโยชน์น้อยหน่อยค่ะ
สิ่งต่อไปคือจัดการกับหนี้สินและทบทวนรายจ่าย ว่าท่านยังมีหนี้สินค้างชำระหรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอะไรค้างจ่ายบ้าง ควรรีบจ่ายก่อน เพราะข้ามปีอาจจะมีค่าปรับ หรือค่าสมาชิกบางแห่งจ่ายล่วงหน้ามีส่วนลด ต้องเรียนว่าส่วนลดมีความสำคัญค่ะ เพราะส่วนลดไม่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา เช่น ลด 5% หากชำระภายในสิ้นปี เทียบเท่ากับลงทุนได้ผลตอบแทน 5% ต่อ 5-7 วันเลยทีเดียว
เมื่อทบทวนรายจ่าย อยากให้ถือโอกาสทบทวนไปด้วยเลยว่า มีค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่สมควรจ่ายบ้าง บางครั้งไปสมัครสมาชิกอะไรไว้ แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยสองสามปี ก็น่าจะถึงเวลายกเลิกสมาชิกนั้นแล้ว เพราะเป็นต่อก็มีโอกาสใช้ประโยชน์น้อย กลุ่มคนที่ใจอ่อนยอมซื้อสมาชิกเวลามีคนมาอ้อนวอนขอให้ซื้อ(ซึ่งรวมถึงดิฉันด้วย) ควรอย่างยิ่งที่จะถือโอกาสนี้ทบทวนนะคะ
ต่อไปคือ ตรวจสอบรายรับ ว่ามีอะไรตกหล่นบ้าง ผู้ทำงานอิสระอาจจะลืมส่งบิลไปเรียกเก็บเงิน หรือบางครั้งรับเช็คเงินปันผลมาแล้วลืมเอาเข้าบัญชีจนเช็คหมดอายุไป ฯลฯ
หลังจากนั้นต้องมาทบทวนสิทธิประโยชน์ มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้างที่สามารถใช้ได้แต่ยังไม่ได้ใช้ ตั้งแต่สิทธิประโยชน์ใหญ่ๆ คือ การลดหย่อนภาษีเงินได้ เช่น การลงทุนในกองทุนรวมที่ลดหย่อนภาษีได้คือ LTF และ RMF เบี้ยประกันชีวิตที่ลดหย่อนภาษีได้ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อที่อยู่อาศัย เงินบริจาคต่างๆที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ เช่น บริจาคเงินผ่านองค์กรการกุศลให้พี่น้องในชนบทสู้ภัยหนาว ฯลฯ สามารถทำเพิ่มได้ค่ะ ยังพอมีเวลา
ไล่ไปจนถึงสิทธิประโยชน์เล็กๆน้อยๆ เช่น ไมล์สะสมจากสายการบินที่จะหมดอายุ แต้มสะสมจากร้านค้าที่สามารถนำไปแลกเป็นบัตรเงินสด อย่าดูหมิ่นว่าเป็นเงินน้อยนะคะ ดิฉันไปแลกได้มาตั้งหลายพันบาท ใช้คูปองแลกฟรี คูปองส่วนลดตามร้านค้า (ต้องพิจารณาด้วยว่าต้องการจะซื้ออยู่แล้ว) ไม่ใช้ก็นำไปให้คนอื่นใช้ก็ได้ค่ะ
แนะนำให้นำสมุดบัญชีเงินฝากไปปรับปรุงให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน เนื่องจากมีช่องทางให้ท่านทำธุรกรรมมากมายหลายช่องทาง ทั้งทางอินเตอร์เน็ต ผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ ผ่านตู้เอทีเอ็ม และธุรกรรมที่ท่านยินยอมให้หักบัญชีหรือนำเงินเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ ควรจะนำสมุดบัญชีไปปรับปรุงข้อมูลเพื่อนำมาตรวจสอบดูว่ามีอะไรผิดปกติ หรือขาดตกไปบ้าง ทิ้งเอาไว้นานๆ รายการอาจถูกรวบยอด ทำให้ท่านตรวจสอบลำบากค่ะ
ท้ายที่สุดคือ การทบทวนพอร์ตการลงทุน ที่เอาไว้ตอนท้ายเพราะหากทบทวนไม่เสร็จ สามารถทำข้ามปีได้ ไม่เร่งด่วนอะไร สำหรับการลงทุนบางประเภทต้องอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับพอร์ต
ในช่วงสิ้นปีนี้หากมีเวลาอาจจะทบทวนพอร์ตการลงทุนดูว่าเหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงและข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของท่านในปัจจุบันหรือไม่ และที่สำคัญคือ เหมาะสมกับสภาพการลงทุนในสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนนี้ ดิฉันแนะนำให้ทบทวนบ่อยขึ้น คือให้ทบทวนทุกไตรมาส แต่ในสถานการณ์ที่ตลาดไม่ผันผวน เราสามารถทบทวนพอร์ตการลงทุนปีละหนึ่งหรือสองครั้งได้ค่ะ
ต้นปีเราจะมาดูกันค่ะว่าควรจะจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันอย่างไร
เน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งนะคะ ว่าพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนระยะปานกลางถึงระยะยาว คือพอร์ตการลงทุนแบบผสม ที่มีทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน ส่วนจะเป็นสัดส่วนเท่าใดจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละท่านค่ะ
สำหรับท่านที่ยังหาของขวัญปีใหม่ถูกใจไม่ได้ อยากแนะนำหนังสือ “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่เงิน” ราคาเล่มละ 185 บาทค่ะ ล่าสุดมีผู้อ่านเขียนมาบอกว่า “ดีมากเลยค่ะ น่าจะมีหนังสือแบบนี้ให้อ่านเมื่อสัก 15 ปีที่แล้ว สอนทุกมุมของชีวิตเลย ตั้งแต่ออม เที่ยว ลงทุน ทำงาน ครอบครัว”
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี 2556 และต้อนรับปีใหม่ 2557 ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ มีสุขภาพแข็งแรง สมปรารถนาในสิ่งดีงามทุกประการ และขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดียิ่งๆขึ้นของผู้อ่านทุกท่านค่ะ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4769
นอกเรื่องซักนิด มาดูความฝันของเด็กไทยกันครับ
แพทย์ ยังครองใจอันดับ 1 อาชีพในฝันของเด็กไทยปี 2557 ตามด้วยอาชีพทหาร ตำรวจ วิศวกร และครู ตามลำดับ
วานนี้ (3 มกราคม 2557) กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ได้สรุปผลสำรวจประจำปีในหัวข้อ "อาชีพในฝันของเด็กไทย" ครั้งที่ 5 โดยระบุว่า "แพทย์" ยังเป็นอาชีพในฝันที่ครองใจเด็กไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ด้วยเหตุผลคือ อยากช่วยเหลือและดูแลรักษาผู้อื่น ดูแลรักษาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง พร้อมระบุว่า เป็นอาชีพที่รายได้ดีและต้องการรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 1 หมื่นบาท ถึง 1 ล้านบาท ตามด้วยอาชีพทหาร ตำรวจ วิศวกร และครู ตามลำดับ
นอกจากอาชีพข้างต้นแล้ว ผลสำรวจระบุว่า เด็กบางคนอยากเป็นเชฟทำอาหาร โดยระบุว่าเป็นความชื่นชอบส่วนตัว ส่วนเด็กบางคนก็อยากอยู่ในวงการบันเทิง ทั้งนักร้อง นักแสดง นักดนตรี นางแบบ และพิธีกร โดยบอกว่าเป็นความใฝ่ฝันและอยากสร้างความสุขให้กับคนอื่น ๆ
ขณะที่เด็ก ๆ บางส่วน ระบุว่า อยากเป็นนักเขียนโปรแกรม เพราะรายได้ดีและเป็นอาชีพอิสระ ส่วนอาชีพอื่น ๆ ที่เด็กสนใจก็มีมากมาย อาทิ นักวิทยาศาสตร์ ชาวนา นักบินอวกาศ นักวาดการ์ตูน นักมายากล นักฟุตบอล หรือนักแบดมินตัน ขณะที่ อาชีพนักธุรกิจเป็นตัวเลือกที่เด็กสนใจเพียง 3.5% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้วมาก
กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ยังได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับอาชีพที่เด็ก ๆ คิดว่าดีที่สุดและเท่ที่สุดด้วย โดยผลการสำรวจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือกลุ่มแรกคืออาชีพที่สอดคล้องกับที่ใฝ่ฝัน เช่น ฝันอยากเป็นนักดนตรีและเห็นว่ามือกีตาร์เป็นอาชีพที่เท่ที่สุด เป็นต้น ส่วนเด็กอีกกลุ่มคิดจะมีความคิดเห็นที่ต่างจากอาชีพที่ใฝ่ฝัน เช่น ฝันอยากเป็นสถาปนิก แต่อาชีพที่เห็นว่าเท่ที่สุดคือนักแข่งรถ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามเด็ก ๆ ว่า หากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย สิ่งที่ต้องการทำ 3 อย่างคืออะไร คำตอบที่ได้เรียงลำดับมีดังต่อไปนี้
ดูแลช่วยเหลือประชาชน
พัฒนาประเทศ
พัฒนาการศึกษา อยากให้เด็กด้อยโอกาสและเด็กยากจนได้รับการศึกษาด้วย
ปรับปรุงระบบคมนาคม และแก้ปัญหารถติด
ปรับกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น
ปราบปรามยาเสพติด
ต่อต้านการโกงกินบ้านเมือง
ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
ลดความขัดแย้งทางการเมือง
แก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนคำถามที่ให้เด็ก ๆ เลือกระหว่างเงินกับครอบครัวนั้น ผลการสำรวจระบุว่า มากกว่าร้อยละ 94 เด็กอยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว โดยบอกว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเงินจะหาเมื่อไรก็ได้ ขณะเดียวกันเด็กที่เลือกว่าเงินสำคัญกว่า ให้เหตุผลว่า ต้องการนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวให้มีความสุข และเป็นโอกาสที่จะได้เรียนสูง ๆ เพื่อมาดูแลครอบครัว
สำหรับงานอดิเรกของเด็ก ๆ ที่ใช้ในวันหยุดก็คือ การเรียนพิเศษ, เล่นเกม, ดูทีวี และช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ขณะที่สิ่งที่เด็ก ๆ อยากทำในวันหยุดคือ การไปเที่ยวและใช้เวลากับครอบครัว, เล่นเกม, เล่นกีฬา และเล่นกับเพื่อน ๆ แต่ทั้งนี้ เด็กบางคนก็บอกว่าอยากออกไปชุมนุมทางการเมืองด้วย
ผลสำรวจยังระบุถึงประเทศที่เด็ก ๆ อยากอยู่ ซึ่งกว่า 30% กล่าวว่าอยากอยู่ประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่าไม่ว่าประเทศอื่นน่าตื่นเต้นหรือน่าสนใจขนาดไหน แต่ก็อยากอยู่ที่ประเทศไทยมากที่สุด ส่วนรองลงมาคือประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และอังกฤษ ตามลำดับ
แพทย์ ยังครองใจอันดับ 1 อาชีพในฝันของเด็กไทยปี 2557 ตามด้วยอาชีพทหาร ตำรวจ วิศวกร และครู ตามลำดับ
วานนี้ (3 มกราคม 2557) กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ได้สรุปผลสำรวจประจำปีในหัวข้อ "อาชีพในฝันของเด็กไทย" ครั้งที่ 5 โดยระบุว่า "แพทย์" ยังเป็นอาชีพในฝันที่ครองใจเด็กไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ด้วยเหตุผลคือ อยากช่วยเหลือและดูแลรักษาผู้อื่น ดูแลรักษาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง พร้อมระบุว่า เป็นอาชีพที่รายได้ดีและต้องการรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 1 หมื่นบาท ถึง 1 ล้านบาท ตามด้วยอาชีพทหาร ตำรวจ วิศวกร และครู ตามลำดับ
นอกจากอาชีพข้างต้นแล้ว ผลสำรวจระบุว่า เด็กบางคนอยากเป็นเชฟทำอาหาร โดยระบุว่าเป็นความชื่นชอบส่วนตัว ส่วนเด็กบางคนก็อยากอยู่ในวงการบันเทิง ทั้งนักร้อง นักแสดง นักดนตรี นางแบบ และพิธีกร โดยบอกว่าเป็นความใฝ่ฝันและอยากสร้างความสุขให้กับคนอื่น ๆ
ขณะที่เด็ก ๆ บางส่วน ระบุว่า อยากเป็นนักเขียนโปรแกรม เพราะรายได้ดีและเป็นอาชีพอิสระ ส่วนอาชีพอื่น ๆ ที่เด็กสนใจก็มีมากมาย อาทิ นักวิทยาศาสตร์ ชาวนา นักบินอวกาศ นักวาดการ์ตูน นักมายากล นักฟุตบอล หรือนักแบดมินตัน ขณะที่ อาชีพนักธุรกิจเป็นตัวเลือกที่เด็กสนใจเพียง 3.5% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้วมาก
กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ยังได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับอาชีพที่เด็ก ๆ คิดว่าดีที่สุดและเท่ที่สุดด้วย โดยผลการสำรวจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือกลุ่มแรกคืออาชีพที่สอดคล้องกับที่ใฝ่ฝัน เช่น ฝันอยากเป็นนักดนตรีและเห็นว่ามือกีตาร์เป็นอาชีพที่เท่ที่สุด เป็นต้น ส่วนเด็กอีกกลุ่มคิดจะมีความคิดเห็นที่ต่างจากอาชีพที่ใฝ่ฝัน เช่น ฝันอยากเป็นสถาปนิก แต่อาชีพที่เห็นว่าเท่ที่สุดคือนักแข่งรถ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามเด็ก ๆ ว่า หากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย สิ่งที่ต้องการทำ 3 อย่างคืออะไร คำตอบที่ได้เรียงลำดับมีดังต่อไปนี้
ดูแลช่วยเหลือประชาชน
พัฒนาประเทศ
พัฒนาการศึกษา อยากให้เด็กด้อยโอกาสและเด็กยากจนได้รับการศึกษาด้วย
ปรับปรุงระบบคมนาคม และแก้ปัญหารถติด
ปรับกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น
ปราบปรามยาเสพติด
ต่อต้านการโกงกินบ้านเมือง
ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
ลดความขัดแย้งทางการเมือง
แก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนคำถามที่ให้เด็ก ๆ เลือกระหว่างเงินกับครอบครัวนั้น ผลการสำรวจระบุว่า มากกว่าร้อยละ 94 เด็กอยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว โดยบอกว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเงินจะหาเมื่อไรก็ได้ ขณะเดียวกันเด็กที่เลือกว่าเงินสำคัญกว่า ให้เหตุผลว่า ต้องการนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวให้มีความสุข และเป็นโอกาสที่จะได้เรียนสูง ๆ เพื่อมาดูแลครอบครัว
สำหรับงานอดิเรกของเด็ก ๆ ที่ใช้ในวันหยุดก็คือ การเรียนพิเศษ, เล่นเกม, ดูทีวี และช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ขณะที่สิ่งที่เด็ก ๆ อยากทำในวันหยุดคือ การไปเที่ยวและใช้เวลากับครอบครัว, เล่นเกม, เล่นกีฬา และเล่นกับเพื่อน ๆ แต่ทั้งนี้ เด็กบางคนก็บอกว่าอยากออกไปชุมนุมทางการเมืองด้วย
ผลสำรวจยังระบุถึงประเทศที่เด็ก ๆ อยากอยู่ ซึ่งกว่า 30% กล่าวว่าอยากอยู่ประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่าไม่ว่าประเทศอื่นน่าตื่นเต้นหรือน่าสนใจขนาดไหน แต่ก็อยากอยู่ที่ประเทศไทยมากที่สุด ส่วนรองลงมาคือประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และอังกฤษ ตามลำดับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4770
updated: 05 ม.ค. 2557 เวลา 05:49:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
อมตะฯ เผยกำไรพุ่งกว่า 1,000 ล้านบาท แม้ยอดขายที่ดินแตะแค่ 1,000 ไร่ ไปไม่ถึงเป้าที่วางไว้ เหตุเพราะการเมืองไม่นิ่ง ย้ำพร้อมเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปีสร้างนิคมเอ็กซ์ปอร์ตชายแดนติดกับ จ.กาญจนบุรี นักลงทุนจีน-ญี่ปุ่นรุมตอมแล้ว คาดเปิดตัวโครงการต้นปีཱུ ด้านนิคมทวายยังไม่คืบ ขอศึกษาโอกาสอย่างน้อย 3-5 ปี
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 3,000 ไร่ แต่เมื่อรวมทั้งปีกลับมียอดขายที่ดินเพียง 1,000 กว่าไร่ หรือต่ำกว่าเป้าหมายถึง 3 เท่าตัว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบคือสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่นิ่ง ที่สำคัญคือรัฐบาลไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองประเทศขณะนี้ นักลงทุนจึงชะลอการลงทุน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่บ้าง แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการตัดสินใจชะลอลงทุนเมื่อเทียบกับปัจจัยทางการ เมือง
แม้ว่าการขายที่ดินจะไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่รายได้รวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยทั้งปีจะมีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าช่วงปีก่อนกว่า 100 ล้านบาท สำหรับที่ดินที่ยังเหลืออยู่ 2,000 ไร่นั้น ขณะนี้ได้เริ่มมีนักลงทุนเข้ามาเจรจาบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงลงนามสัญญา ทั้งนี้มั่นใจว่าในปี 2557 นี้จะมีการตกลงซื้อขายที่ดินจำนวนดังกล่าวได้แน่นอน ทั้งนี้สำหรับการขยายพื้นที่พัฒนาใหม่นั้น ขณะนี้ทั้งอมตะนครและอมตะซิตี้ยังมีพื้นที่ Land Bank อีกกว่า 10,000 ไร่ ที่คาดว่าจะพัฒนาต่อไปในอนาคตโดยที่ยังไม่ต้องซื้อที่ดินเพิ่ม
"พอ การเมืองไม่นิ่งทุกคนก็ Wait & See แต่ยังไม่ได้ถอนการลงทุนออกไป ยังมองว่าเมืองไทยน่าลงทุน สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในพื้นที่อมตะนครเป็นนักลงทุนชาวญี่ปุ่นกว่า 62% ส่วนอีก 38% ประกอบด้วยนักลงทุนจากหลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง รัสเซีย สหรัฐอเมริกา รวมถึงยุโรป เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซียที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น"
นายวิบูลย์กล่าว เพิ่มเติมถึงแผนดำเนินงาน 5 ปี (2557-2561) ว่า เฉพาะในปี 2557 อมตะฯมีโอกาสพัฒนาด้านที่ดินและนิคมอุตสาหกรรมในหลาย ๆ ประเทศในอาเซียนเพิ่มเติม นอกเหนือจากนิคมอุตสาหกรรมที่พัฒนาไปแล้วในประเทศเวียดนาม ตั้งเป้าประเทศที่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูงในอนาคต คือ เมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างใช้เวลาในการเข้าไปศึกษา เก็บข้อมูล รวมไปถึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ร่วมทุนมากตามไปด้วย
สำหรับ ในปี 2557 อมตะฯจะมีการเข้าไปลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรมบริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า พื้นที่ใกล้เคียงกับ จ.กาญจนบุรี ซึ่งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่เน้นส่งเสริมธุรกิจด้านการส่งออก โดยอาจจะมีการผลิตสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่นี้ และส่งสินค้าเข้ามาที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ก่อนส่งออกไป ยังประเทศที่ 3 ซึ่งเป็นแผนคร่าว ๆ และในนิคมแห่งใหม่นี้จะมีการลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ มีการทำโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน (Cogeneration) ที่เตรียมเจรจาเพื่อซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เงินลงทุนในส่วนนี้กว่า 300 ล้านบาท และในขณะนี้ได้มีการเจรจากับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นและจีนที่สนใจจะเข้ามาลงทุน ในนิคมแห่งใหม่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่าง ๆค่อนข้างให้ความสนใจ คือ การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์นั้น นายวิบูลย์กล่าวว่า โอกาสอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อื่น ๆ ที่จะเข้ามาประกอบกัน โดยเชื่อมั่นว่าในระยะ 3-5 ปีนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่อมตะฯจะ เข้าไปพัฒนารายเดียวได้ เนื่องจากเส้นทางคมนาคมไปยังทวายยังไม่สะดวกนัก และหากจะมีการเข้าไปลงทุนจริง ๆ จะต้องมีการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาท่าเรือ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลจิสติกส์ทางน้ำ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อมตะฯก็จะยังคงศึกษาความเป็นไปได้ของนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์อย่างต่อ เนื่อง เพราะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในอนาคต ถ้าระบบสาธารณูปโภคของทวายพร้อมและพัฒนาในเรื่องการคมนาคมมากขึ้นแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนได้ในอนาคต
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
อมตะฯ เผยกำไรพุ่งกว่า 1,000 ล้านบาท แม้ยอดขายที่ดินแตะแค่ 1,000 ไร่ ไปไม่ถึงเป้าที่วางไว้ เหตุเพราะการเมืองไม่นิ่ง ย้ำพร้อมเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปีสร้างนิคมเอ็กซ์ปอร์ตชายแดนติดกับ จ.กาญจนบุรี นักลงทุนจีน-ญี่ปุ่นรุมตอมแล้ว คาดเปิดตัวโครงการต้นปีཱུ ด้านนิคมทวายยังไม่คืบ ขอศึกษาโอกาสอย่างน้อย 3-5 ปี
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 3,000 ไร่ แต่เมื่อรวมทั้งปีกลับมียอดขายที่ดินเพียง 1,000 กว่าไร่ หรือต่ำกว่าเป้าหมายถึง 3 เท่าตัว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบคือสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่นิ่ง ที่สำคัญคือรัฐบาลไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองประเทศขณะนี้ นักลงทุนจึงชะลอการลงทุน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่บ้าง แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการตัดสินใจชะลอลงทุนเมื่อเทียบกับปัจจัยทางการ เมือง
แม้ว่าการขายที่ดินจะไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่รายได้รวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยทั้งปีจะมีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าช่วงปีก่อนกว่า 100 ล้านบาท สำหรับที่ดินที่ยังเหลืออยู่ 2,000 ไร่นั้น ขณะนี้ได้เริ่มมีนักลงทุนเข้ามาเจรจาบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงลงนามสัญญา ทั้งนี้มั่นใจว่าในปี 2557 นี้จะมีการตกลงซื้อขายที่ดินจำนวนดังกล่าวได้แน่นอน ทั้งนี้สำหรับการขยายพื้นที่พัฒนาใหม่นั้น ขณะนี้ทั้งอมตะนครและอมตะซิตี้ยังมีพื้นที่ Land Bank อีกกว่า 10,000 ไร่ ที่คาดว่าจะพัฒนาต่อไปในอนาคตโดยที่ยังไม่ต้องซื้อที่ดินเพิ่ม
"พอ การเมืองไม่นิ่งทุกคนก็ Wait & See แต่ยังไม่ได้ถอนการลงทุนออกไป ยังมองว่าเมืองไทยน่าลงทุน สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในพื้นที่อมตะนครเป็นนักลงทุนชาวญี่ปุ่นกว่า 62% ส่วนอีก 38% ประกอบด้วยนักลงทุนจากหลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง รัสเซีย สหรัฐอเมริกา รวมถึงยุโรป เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซียที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น"
นายวิบูลย์กล่าว เพิ่มเติมถึงแผนดำเนินงาน 5 ปี (2557-2561) ว่า เฉพาะในปี 2557 อมตะฯมีโอกาสพัฒนาด้านที่ดินและนิคมอุตสาหกรรมในหลาย ๆ ประเทศในอาเซียนเพิ่มเติม นอกเหนือจากนิคมอุตสาหกรรมที่พัฒนาไปแล้วในประเทศเวียดนาม ตั้งเป้าประเทศที่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูงในอนาคต คือ เมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างใช้เวลาในการเข้าไปศึกษา เก็บข้อมูล รวมไปถึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ร่วมทุนมากตามไปด้วย
สำหรับ ในปี 2557 อมตะฯจะมีการเข้าไปลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรมบริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า พื้นที่ใกล้เคียงกับ จ.กาญจนบุรี ซึ่งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่เน้นส่งเสริมธุรกิจด้านการส่งออก โดยอาจจะมีการผลิตสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่นี้ และส่งสินค้าเข้ามาที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ก่อนส่งออกไป ยังประเทศที่ 3 ซึ่งเป็นแผนคร่าว ๆ และในนิคมแห่งใหม่นี้จะมีการลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ มีการทำโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน (Cogeneration) ที่เตรียมเจรจาเพื่อซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เงินลงทุนในส่วนนี้กว่า 300 ล้านบาท และในขณะนี้ได้มีการเจรจากับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นและจีนที่สนใจจะเข้ามาลงทุน ในนิคมแห่งใหม่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่าง ๆค่อนข้างให้ความสนใจ คือ การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์นั้น นายวิบูลย์กล่าวว่า โอกาสอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อื่น ๆ ที่จะเข้ามาประกอบกัน โดยเชื่อมั่นว่าในระยะ 3-5 ปีนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่อมตะฯจะ เข้าไปพัฒนารายเดียวได้ เนื่องจากเส้นทางคมนาคมไปยังทวายยังไม่สะดวกนัก และหากจะมีการเข้าไปลงทุนจริง ๆ จะต้องมีการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาท่าเรือ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลจิสติกส์ทางน้ำ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อมตะฯก็จะยังคงศึกษาความเป็นไปได้ของนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์อย่างต่อ เนื่อง เพราะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในอนาคต ถ้าระบบสาธารณูปโภคของทวายพร้อมและพัฒนาในเรื่องการคมนาคมมากขึ้นแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนได้ในอนาคต