มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4652
theenuch เขียน:ขอบคุณข้อมูลดีๆเสมอค่ะ เว้นวรรคการอ่านไปบ้าง
ถึงกับต้องไล่ตามอ่านเลย....พี่หมอมุขขยันแบ่งปันมากเลย
และแสดงว่าพี่หมอมุขหายป่วยแล้วใช่มั้ยคะ เยี่ยมเลยค่ะ
หายแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
ต้องรีบหายก่อนไปพูดให้ VI เชียงใหม่ครับ คุณนุช
อีกอย่างเวลามีน้ำมูก คัดจมูก ขึ้นเครื่องบินทีไร ทรมานทุกที จะพาลเป็น sinusitis ครับ
เลยต้องรีบอัดยาอย่างแรง ทั้งกินทั้งฉีดเลยครับ
อีกอย่างตอนนี้ พยายามทานกาแฟน้อยลง
เสริมพวกวิตามินรวม พวก Antioxidants ต้านมะเร็งเยอะขึ้น
ซื้อจักยาน เครื่องออกกำลังมาปั่นที่บ้านเพิ่มแล้วครับ
จะได้อยู่นานๆ จนกระทั่ง ผลตอบแทนแบบ VI ทบต้นทบดอก ให้สะใจเลยครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4653
updated: 25 พ.ย. 2556 เวลา 18:45:11 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ส่งผลเงินบาทอ่อนค่า กระทบต้นทุนราคาน้ำมันและแอลพีจี
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ บมจ.ปตท. ในฐานะผู้ร่วมทุนอาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ (เอ็นโก้) ที่ตั้งของกระทรวงพลังงาน ดูแลเรื่องความปลอดภัย หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศว่า วันพรุ่งนี้ (26 พ.ย.) จะดาวกระจายไปยังหน่วยงานราชการทุกกระทรวง อย่างไรก็ตาม วันพรุ่งนี้ผู้บริหารส่วนใหญ่คงจะไปอยู่ที่รัฐสภา เพื่อเตรียมข้อมูลแก่ทางรัฐบาลในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
นายสุเทพกล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบปรับลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับดีเซล 60 สตางค์ พรุ่งนี้ (26 พ.ย.) ทำให้การจัดเก็บลดลงจาก 1.10 บาท เหลือ 50 สตางค์/ลิตร เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ที่ลดการจัดเก็บ เนื่องจากค่าการตลาดต่ำมาก ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่าลง การปรับลดลงทำให้กองทุนน้ำมันฯ เปลี่ยนจากมีรายรับ 1.06 ล้านบาท/วัน เป็นการติดลบหรือจ่ายออก 28.73 ล้านบาท/วัน โดยฐานะกองทุนฯ ล่าสุด 24 พ.ย.56 อยู่ที่ 5,360 ล้านบาท
“บาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาท มีผลต่อราคาน้ำมันประมาณ 70-80 สตางค์ โดยล่าสุดเงินบาทที่เกือบแตะ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ นับว่าเป็นอัตราที่อ่อนลงถึง 77 สตางค์ เมื่อเปรียบเทียบกับการประชุม กบง. วันที่ 18 ต.ค. ที่เปลี่ยนแปลงเงินกองทุนฯ ดีเซลรอบที่แล้ว” นายสุเทพกล่าว
นายสุเทพกล่าวด้วยว่า ได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปติดตามสถานการณ์ราคาแอลพีจีตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ เพราะราคาสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน โดยราคาเดือน พ.ย. อยู่ที่ 891 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ราคาเดือน ธ.ค. 1,051 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และราคาเดือน ม.ค.57 อยู่ที่ 1,029 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งประเทศไทยต้องนำเข้าประมาณ 160,000-180,000 ตัน/เดือน ซึ่งเมื่อเงินบาทอ่อนค่า กองทุนน้ำมันฯ ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยนำเข้าสูงขึ้น จึงมอบให้ ปตท.บริหารจัดการให้เหมาะสม รวมถึงกระทรวงฯ ต้องเร่งรณรงค์ประหยัดการใช้แอลพีจีในภาคต่างๆ ส่วนราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมนั้น ในเดือน ธ.ค.นี้ คงจะประกาศเต็มเพดานที่ 30.13 บาท/กิโลกรัม เหมือนกับเดือน ต.ค. และ พ.ย.ที่ผ่านมา โดยในเดือน พ.ย. ราคาต้นทุนอยู่ที่ 32.37 บาท/กิโลกรัม
นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเดือน ธ.ค. จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือไม่ เพราะจากการหารือกับกระทรวงพลังงานล่าสุดได้รับแจ้งว่า จากปัญหาทางการเมืองก็ต้องรอว่า นายกรัฐมนตรีจะมีเวลามาประชุมในฐานะประธาน กพช.หรือไม่ โดยการประชุมรอบนี้มีวาระสำคัญหลายเรื่อง เช่น การปรับราคาซื้อไฟฟ้าระบบฟีดอินทารีฟของหญ้าเนเปียร์ ปรับเพิ่มจาก 4.50 บาท/หน่วย เป็น 4.90 บาท/หน่วย
ที่มา : สำนักข่าวไทย
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ส่งผลเงินบาทอ่อนค่า กระทบต้นทุนราคาน้ำมันและแอลพีจี
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ บมจ.ปตท. ในฐานะผู้ร่วมทุนอาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ (เอ็นโก้) ที่ตั้งของกระทรวงพลังงาน ดูแลเรื่องความปลอดภัย หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศว่า วันพรุ่งนี้ (26 พ.ย.) จะดาวกระจายไปยังหน่วยงานราชการทุกกระทรวง อย่างไรก็ตาม วันพรุ่งนี้ผู้บริหารส่วนใหญ่คงจะไปอยู่ที่รัฐสภา เพื่อเตรียมข้อมูลแก่ทางรัฐบาลในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
นายสุเทพกล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบปรับลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับดีเซล 60 สตางค์ พรุ่งนี้ (26 พ.ย.) ทำให้การจัดเก็บลดลงจาก 1.10 บาท เหลือ 50 สตางค์/ลิตร เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ที่ลดการจัดเก็บ เนื่องจากค่าการตลาดต่ำมาก ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่าลง การปรับลดลงทำให้กองทุนน้ำมันฯ เปลี่ยนจากมีรายรับ 1.06 ล้านบาท/วัน เป็นการติดลบหรือจ่ายออก 28.73 ล้านบาท/วัน โดยฐานะกองทุนฯ ล่าสุด 24 พ.ย.56 อยู่ที่ 5,360 ล้านบาท
“บาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาท มีผลต่อราคาน้ำมันประมาณ 70-80 สตางค์ โดยล่าสุดเงินบาทที่เกือบแตะ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ นับว่าเป็นอัตราที่อ่อนลงถึง 77 สตางค์ เมื่อเปรียบเทียบกับการประชุม กบง. วันที่ 18 ต.ค. ที่เปลี่ยนแปลงเงินกองทุนฯ ดีเซลรอบที่แล้ว” นายสุเทพกล่าว
นายสุเทพกล่าวด้วยว่า ได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปติดตามสถานการณ์ราคาแอลพีจีตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ เพราะราคาสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน โดยราคาเดือน พ.ย. อยู่ที่ 891 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ราคาเดือน ธ.ค. 1,051 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และราคาเดือน ม.ค.57 อยู่ที่ 1,029 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งประเทศไทยต้องนำเข้าประมาณ 160,000-180,000 ตัน/เดือน ซึ่งเมื่อเงินบาทอ่อนค่า กองทุนน้ำมันฯ ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยนำเข้าสูงขึ้น จึงมอบให้ ปตท.บริหารจัดการให้เหมาะสม รวมถึงกระทรวงฯ ต้องเร่งรณรงค์ประหยัดการใช้แอลพีจีในภาคต่างๆ ส่วนราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมนั้น ในเดือน ธ.ค.นี้ คงจะประกาศเต็มเพดานที่ 30.13 บาท/กิโลกรัม เหมือนกับเดือน ต.ค. และ พ.ย.ที่ผ่านมา โดยในเดือน พ.ย. ราคาต้นทุนอยู่ที่ 32.37 บาท/กิโลกรัม
นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเดือน ธ.ค. จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือไม่ เพราะจากการหารือกับกระทรวงพลังงานล่าสุดได้รับแจ้งว่า จากปัญหาทางการเมืองก็ต้องรอว่า นายกรัฐมนตรีจะมีเวลามาประชุมในฐานะประธาน กพช.หรือไม่ โดยการประชุมรอบนี้มีวาระสำคัญหลายเรื่อง เช่น การปรับราคาซื้อไฟฟ้าระบบฟีดอินทารีฟของหญ้าเนเปียร์ ปรับเพิ่มจาก 4.50 บาท/หน่วย เป็น 4.90 บาท/หน่วย
ที่มา : สำนักข่าวไทย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4655
updated: 25 พ.ย. 2556 เวลา 12:22:34 น.
คอลัมน์ เรื่องราวกับความคิด โดย วิรัตน์ แสงทองคำ
กระแสคลื่นธุรกิจญี่ปุ่นลูกใหม่กำลังถาโถมเข้าสู่วิถีชีวิตของปัจเจกในเมืองหลวงและหัวเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนความจริงแล้ว Daimaru มาพร้อมกระแสคลื่นลูกแรกตั้งแต่ปี 2507 ถือว่าเป็น "หัวขบวน" ของธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตปัจเจกยุคใหม่ ทว่าในการแข่งกันกับธุรกิจห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นอย่างเซ็นทรัลจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ในที่สุดได้ยกธงขาวเมื่อปี 2543
Convenience Store
อย่างไรก็ตาม มีอีกบางรายพยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอด-Jusco Department Store เข้ามาทีหลัง Daimaru ถึง 2 ทศวรรษ (ปี 2527) ต้องดิ้นรนอย่างมากเช่นกัน ในที่สุดปรับตัวมาเป็น MaxValu เริ่มต้นอีกครั้งในปี 2550 ด้วยการปรับโมเดลธุรกิจใหม่เป็น Supermarket และ ConvenienceStore เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ดูไปแล้วนับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร
ปัจจุบันเครือข่าย MaxValu Supermarket มีเกือบ 20 สาขา ขณะที่เครือข่ายMaxValu Tanjai (เริ่มต้นปี 2553) ตามโมเดล Convenience Store ด้วยการเร่งขยายเครือข่ายได้เกือบ 50 สาขา
เชื่อกันว่าความสำเร็จของ MaxValu มาจากฐานอันแข็งแกร่ง เป็นแผนการผนึกกำลังระหว่างบริษัท อิออน (ไทยแลนด์) เจ้าของเครือข่าย MaxValu กับเครือข่ายธุรกิจการเงินรายย่อย-AEON
บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) ก่อตั้งขึ้นโดย AEON Credit Service Japan ดำเนินธุรกิจบริการสินเชื่อรายย่อย (Retail Finance) หลากหลายรูปแบบ ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ก่อตั้งขึ้นอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่ปี 2535 เมื่อสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ในปี 2544 ได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีเครือข่ายทั่วประเทศ
การปรับตัวของ MaxValu มีความสัมพันธ์กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเครือข่าย Convenience Store ญี่ปุ่นในประทศไทย7-Eleven คือ Convenience Store รายใหญ่ที่สุดทั้งในญี่ปุ่นและเมืองไทย
เข้ามาเมืองไทยเป็นรายแรกตั้งแต่ปี 2531 ได้ร่วมมือกับซีพีแผ้วถางความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้นึกถึงความเป็นธุรกิจญี่ปุ่น (เพราะ7-Eleven เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของมาเป็นญี่ปุ่นเมื่อปี 2548) แต่ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจประเภทเดียวกันที่ยกขบวนเข้ามาอย่างครึกโครม)
Family Mart Convenience Store รายใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่นเข้ามาเมืองไทยนานพอสมควรตั้งแต่ปี 2536 แต่เติบโตค่อนข้างช้า ได้พยายามเกาะกระแส ปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ด้วยการร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลในปลายปี 2555 ประกาศแผนการขยายสาขาให้มากกว่า 1,500 สาขาภายใน 5 ปี และเพิ่มเป็น 3,000 สาขาภายใน 1 ทศวรรษ
ขณะที่รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น-Lawson ผนึกกำลังกับสหกรุ๊ปบุกเข้ามาตลาดเมืองไทยอย่างเต็มตัวเช่นกัน
เริ่มต้นด้วย "เปิดตัวร้านค้า 3 แห่งพร้อมกันภายใต้ชื่อ Lawson 108 ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 Lawson ในไทยดำเนินงานโดยบริษัทร่วมค้าที่ก่อตั้งโดยบริษัทสหกรุ๊ป อันเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อ Lawson 108 มาจากแบรนด์ 108 Shop ร้านค้าเล็ก ๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยสหกรุ๊ป ผสมผสานกับแบรนด์ Lawson ของญี่ปุ่น" (http://www.lawson108.com/)
Uniqlo
นอกจาก Convenience Store ในฐานเครือสินค้าบริโภคสามารถเข้าถึงชุมชนได้อย่างดีแล้ว มีสินค้าสำคัญที่ยกระดับ
สู่ไลฟ์สไตล์ เข้าถึงปัจเจก Uniqlo แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับลูกค้าฐานกว้างได้เข้ามาเมืองไทยอย่างเต็มตัว โดยไม่ได้ใช้โมเดลเดียวกับกรณี Wacoal กับสหกรุ๊ปเมื่อ 40 ปีก่อน
Uniqlo ถือเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วในระดับโลก เนื่องจากมีสินค้าหลากหลาย ด้วยราคาปานกลาง จับลูกค้าเป้าหมายที่มีฐานกว้างพอสมควร ถือว่ามีความพยายามเทียบเคียงและแข่งขันอยู่ในระดับเดียวกันกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Mark & Spencer ของอังกฤษ H&M ของสวีเดน และ Zara ของสเปน
Uniqlo มีเครือข่ายร้านค้าของตัวเองในญี่ปุ่นประมาณ 1,300 แห่ง และในต่างประเทศอีก 450 แห่ง สำหรับตลาดเมืองไทยเข้ามาครั้งแรกด้วยแผนการเชิงรุก ระดมลงทุนทั้งระบบ สามารถขยายเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองได้มากกว่า 10 แห่ง โดยใช้เวลาเพียง 2 ปี (เข้ามาครั้งแรกปี 2554) เข้ายึดพื้นที่ขายขนาดใหญ่ในศูนย์การค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว
Japanese Restaurants
ปรากฏการณ์ที่ลงลึกที่สุดในกระแสคลื่นญี่ปุ่นครั้งล่าสุดคงเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น การขยายตัวของร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยอย่างเข้มข้นเป็นปรากฏการณ์สำคัญจากเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่นที่มาจากญี่ปุ่นโดยตรง
แม้ว่าตำนานร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยได้ลงหลักปักฐานมานานพอสมควร ตั้งแต่กรณี Fuji ที่ค่อย ๆ สร้างเครือข่ายโดยใช้เวลาถึง 3 ทศวรรษ จนมาถึง Oishi ตำนานอันโลดโผน เริ่มต้นโดย ตัน ภาสกรนที เพียงทศวรรษเดียว แต่นั่นคือกรณีสร้างแบรนด์ญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในสังคมไทย
ร้านอาหารญี่ปุ่น Fuji ก่อตั้งขึ้นในเมืองไทย โดยชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเปิดสาขาแรกพร้อม ๆ กับการเปิดเซ็นทรัลลาดพร้าวปี 2521 ปัจจุบันไม่เพียงมีสาขาเกือบ 100 แห่งในประเทศแล้ว กำลังเริ่มต้นเปิดสาขา Fuji ในประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อกระแสร้านอาหารญี่ปุ่นเข้าสู่กระแสหลัก คือการพาเหรดของร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่น เจ้าของร้าน Fuji ได้นำร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นมาเมืองไทยด้วย-CoCoICHIBANYA ร้านอาหารประเภทแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่น ว่ากันว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง และมีสาขาถึง 1,100 แห่งในญี่ปุ่น และอีกกว่า 15 สาขาในประเทศอื่น ๆ ส่วนในเมืองไทยสาขาแรกเปิดขึ้นเมื่อปี 2551 ปัจจุบันมี 8 สาขาแล้ว
กรณี Oishi ตัน ภาสกรนที เริ่มต้นเมื่อปี 2542 ถือว่าเป็นการเร่งกระแสร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง-เขาเริ่มร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เมื่อขายกิจการให้กับไทยเบฟเวอเรจของ เจริญ สิริวัฒนภักดี เครือข่ายร้านอาหารหลากรูปแบบแวดล้อมแบรนด์ Oishi เกิดขึ้นอย่างมากมาย ถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ด้วยสาขามากกว่า 120 แห่ง
ทางอ้อม-ตัน ภาสกรนที จุดกระแสเครื่องดื่มชาเขียว แต่เดิมเป็นส่วนเสริมในร้านอาหารญี่ปุ่น กลายมาเป็นเครื่องดื่มใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ย่อมเชื่อมโยงไปถึงกระแสร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยอยู่ดี
กระแสร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่น ควรกล่าวถึงอีกบางกรณีเพื่อให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งไม่ยอมตกกระแส โดยเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป
ปี 2548 กลุ่มเซ็นทรัลเปิดตัว Ootoya ร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งในญี่ปุ่นมามากกว่า 50 ปี มีสาขามากกว่า 250 สาขาในญี่ปุ่น และอีก 38 สาขาในต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับเมืองไทยเป็นพิเศษ เปิดสาขาแรกที่ J Avenue ทองหล่อ และต่อมาได้เปิดสาขาในไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
เฉพาะเมืองไทยมี 31 สาขาในหลายรูปแบบ Ootoya ดูเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นที่มีแผนธุรกิจเชิงรุกมากเป็นพิเศษ นอกจากร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลแล้ว ยังได้ร่วมทุนกับอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารครบวงจรรายใหญ่รายหนึ่งของไทย-กลุ่มเบทาโกร
กลุ่มเซ็นทรัลพยายามรักษาผู้นำกระแส ได้ร่วมมือกับเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ปี 2550-Pepper Lunch ร้านสเต๊กสไตล์ญี่ปุ่น ปี 2553 เปิดตัว Chabuton ร้านราเม็งจากญี่ปุ่น และปี 2554 Yoshinoya ข้าวหน้าญี่ปุ่น
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กระแสญี่ปุ่นมาแรงยิ่งขึ้นตั้งแต่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากมาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าญี่ปุ่นให้คนไทยสามารถพำนักได้ 15 วัน จากนั้น Social Media ก็เต็มไปด้วยเรื่องและภาพไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่น
คอลัมน์ เรื่องราวกับความคิด โดย วิรัตน์ แสงทองคำ
กระแสคลื่นธุรกิจญี่ปุ่นลูกใหม่กำลังถาโถมเข้าสู่วิถีชีวิตของปัจเจกในเมืองหลวงและหัวเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนความจริงแล้ว Daimaru มาพร้อมกระแสคลื่นลูกแรกตั้งแต่ปี 2507 ถือว่าเป็น "หัวขบวน" ของธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตปัจเจกยุคใหม่ ทว่าในการแข่งกันกับธุรกิจห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นอย่างเซ็นทรัลจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ในที่สุดได้ยกธงขาวเมื่อปี 2543
Convenience Store
อย่างไรก็ตาม มีอีกบางรายพยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอด-Jusco Department Store เข้ามาทีหลัง Daimaru ถึง 2 ทศวรรษ (ปี 2527) ต้องดิ้นรนอย่างมากเช่นกัน ในที่สุดปรับตัวมาเป็น MaxValu เริ่มต้นอีกครั้งในปี 2550 ด้วยการปรับโมเดลธุรกิจใหม่เป็น Supermarket และ ConvenienceStore เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ดูไปแล้วนับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร
ปัจจุบันเครือข่าย MaxValu Supermarket มีเกือบ 20 สาขา ขณะที่เครือข่ายMaxValu Tanjai (เริ่มต้นปี 2553) ตามโมเดล Convenience Store ด้วยการเร่งขยายเครือข่ายได้เกือบ 50 สาขา
เชื่อกันว่าความสำเร็จของ MaxValu มาจากฐานอันแข็งแกร่ง เป็นแผนการผนึกกำลังระหว่างบริษัท อิออน (ไทยแลนด์) เจ้าของเครือข่าย MaxValu กับเครือข่ายธุรกิจการเงินรายย่อย-AEON
บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) ก่อตั้งขึ้นโดย AEON Credit Service Japan ดำเนินธุรกิจบริการสินเชื่อรายย่อย (Retail Finance) หลากหลายรูปแบบ ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ก่อตั้งขึ้นอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่ปี 2535 เมื่อสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ในปี 2544 ได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีเครือข่ายทั่วประเทศ
การปรับตัวของ MaxValu มีความสัมพันธ์กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเครือข่าย Convenience Store ญี่ปุ่นในประทศไทย7-Eleven คือ Convenience Store รายใหญ่ที่สุดทั้งในญี่ปุ่นและเมืองไทย
เข้ามาเมืองไทยเป็นรายแรกตั้งแต่ปี 2531 ได้ร่วมมือกับซีพีแผ้วถางความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้นึกถึงความเป็นธุรกิจญี่ปุ่น (เพราะ7-Eleven เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของมาเป็นญี่ปุ่นเมื่อปี 2548) แต่ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจประเภทเดียวกันที่ยกขบวนเข้ามาอย่างครึกโครม)
Family Mart Convenience Store รายใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่นเข้ามาเมืองไทยนานพอสมควรตั้งแต่ปี 2536 แต่เติบโตค่อนข้างช้า ได้พยายามเกาะกระแส ปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ด้วยการร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลในปลายปี 2555 ประกาศแผนการขยายสาขาให้มากกว่า 1,500 สาขาภายใน 5 ปี และเพิ่มเป็น 3,000 สาขาภายใน 1 ทศวรรษ
ขณะที่รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น-Lawson ผนึกกำลังกับสหกรุ๊ปบุกเข้ามาตลาดเมืองไทยอย่างเต็มตัวเช่นกัน
เริ่มต้นด้วย "เปิดตัวร้านค้า 3 แห่งพร้อมกันภายใต้ชื่อ Lawson 108 ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 Lawson ในไทยดำเนินงานโดยบริษัทร่วมค้าที่ก่อตั้งโดยบริษัทสหกรุ๊ป อันเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อ Lawson 108 มาจากแบรนด์ 108 Shop ร้านค้าเล็ก ๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยสหกรุ๊ป ผสมผสานกับแบรนด์ Lawson ของญี่ปุ่น" (http://www.lawson108.com/)
Uniqlo
นอกจาก Convenience Store ในฐานเครือสินค้าบริโภคสามารถเข้าถึงชุมชนได้อย่างดีแล้ว มีสินค้าสำคัญที่ยกระดับ
สู่ไลฟ์สไตล์ เข้าถึงปัจเจก Uniqlo แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับลูกค้าฐานกว้างได้เข้ามาเมืองไทยอย่างเต็มตัว โดยไม่ได้ใช้โมเดลเดียวกับกรณี Wacoal กับสหกรุ๊ปเมื่อ 40 ปีก่อน
Uniqlo ถือเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วในระดับโลก เนื่องจากมีสินค้าหลากหลาย ด้วยราคาปานกลาง จับลูกค้าเป้าหมายที่มีฐานกว้างพอสมควร ถือว่ามีความพยายามเทียบเคียงและแข่งขันอยู่ในระดับเดียวกันกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Mark & Spencer ของอังกฤษ H&M ของสวีเดน และ Zara ของสเปน
Uniqlo มีเครือข่ายร้านค้าของตัวเองในญี่ปุ่นประมาณ 1,300 แห่ง และในต่างประเทศอีก 450 แห่ง สำหรับตลาดเมืองไทยเข้ามาครั้งแรกด้วยแผนการเชิงรุก ระดมลงทุนทั้งระบบ สามารถขยายเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองได้มากกว่า 10 แห่ง โดยใช้เวลาเพียง 2 ปี (เข้ามาครั้งแรกปี 2554) เข้ายึดพื้นที่ขายขนาดใหญ่ในศูนย์การค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว
Japanese Restaurants
ปรากฏการณ์ที่ลงลึกที่สุดในกระแสคลื่นญี่ปุ่นครั้งล่าสุดคงเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น การขยายตัวของร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยอย่างเข้มข้นเป็นปรากฏการณ์สำคัญจากเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่นที่มาจากญี่ปุ่นโดยตรง
แม้ว่าตำนานร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยได้ลงหลักปักฐานมานานพอสมควร ตั้งแต่กรณี Fuji ที่ค่อย ๆ สร้างเครือข่ายโดยใช้เวลาถึง 3 ทศวรรษ จนมาถึง Oishi ตำนานอันโลดโผน เริ่มต้นโดย ตัน ภาสกรนที เพียงทศวรรษเดียว แต่นั่นคือกรณีสร้างแบรนด์ญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในสังคมไทย
ร้านอาหารญี่ปุ่น Fuji ก่อตั้งขึ้นในเมืองไทย โดยชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเปิดสาขาแรกพร้อม ๆ กับการเปิดเซ็นทรัลลาดพร้าวปี 2521 ปัจจุบันไม่เพียงมีสาขาเกือบ 100 แห่งในประเทศแล้ว กำลังเริ่มต้นเปิดสาขา Fuji ในประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อกระแสร้านอาหารญี่ปุ่นเข้าสู่กระแสหลัก คือการพาเหรดของร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่น เจ้าของร้าน Fuji ได้นำร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นมาเมืองไทยด้วย-CoCoICHIBANYA ร้านอาหารประเภทแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่น ว่ากันว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง และมีสาขาถึง 1,100 แห่งในญี่ปุ่น และอีกกว่า 15 สาขาในประเทศอื่น ๆ ส่วนในเมืองไทยสาขาแรกเปิดขึ้นเมื่อปี 2551 ปัจจุบันมี 8 สาขาแล้ว
กรณี Oishi ตัน ภาสกรนที เริ่มต้นเมื่อปี 2542 ถือว่าเป็นการเร่งกระแสร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง-เขาเริ่มร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เมื่อขายกิจการให้กับไทยเบฟเวอเรจของ เจริญ สิริวัฒนภักดี เครือข่ายร้านอาหารหลากรูปแบบแวดล้อมแบรนด์ Oishi เกิดขึ้นอย่างมากมาย ถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ด้วยสาขามากกว่า 120 แห่ง
ทางอ้อม-ตัน ภาสกรนที จุดกระแสเครื่องดื่มชาเขียว แต่เดิมเป็นส่วนเสริมในร้านอาหารญี่ปุ่น กลายมาเป็นเครื่องดื่มใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ย่อมเชื่อมโยงไปถึงกระแสร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยอยู่ดี
กระแสร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่น ควรกล่าวถึงอีกบางกรณีเพื่อให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งไม่ยอมตกกระแส โดยเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป
ปี 2548 กลุ่มเซ็นทรัลเปิดตัว Ootoya ร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งในญี่ปุ่นมามากกว่า 50 ปี มีสาขามากกว่า 250 สาขาในญี่ปุ่น และอีก 38 สาขาในต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับเมืองไทยเป็นพิเศษ เปิดสาขาแรกที่ J Avenue ทองหล่อ และต่อมาได้เปิดสาขาในไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
เฉพาะเมืองไทยมี 31 สาขาในหลายรูปแบบ Ootoya ดูเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นที่มีแผนธุรกิจเชิงรุกมากเป็นพิเศษ นอกจากร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลแล้ว ยังได้ร่วมทุนกับอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารครบวงจรรายใหญ่รายหนึ่งของไทย-กลุ่มเบทาโกร
กลุ่มเซ็นทรัลพยายามรักษาผู้นำกระแส ได้ร่วมมือกับเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ปี 2550-Pepper Lunch ร้านสเต๊กสไตล์ญี่ปุ่น ปี 2553 เปิดตัว Chabuton ร้านราเม็งจากญี่ปุ่น และปี 2554 Yoshinoya ข้าวหน้าญี่ปุ่น
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กระแสญี่ปุ่นมาแรงยิ่งขึ้นตั้งแต่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากมาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าญี่ปุ่นให้คนไทยสามารถพำนักได้ 15 วัน จากนั้น Social Media ก็เต็มไปด้วยเรื่องและภาพไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4656
ว่าจะไปเหนือค่ะ แวะไปเยี่ยมญาติที่ลำพูนและเที่ยวPaul VI เขียน:ลืมถามคุณ นุชไปว่าไปเที่ยวไหนครับ ปีใหม่นี้
2-3 ปีก่อน เน้นแม่ฮ่องสอน ตาก ครั้งนี้ว่าจะเป็นแบบนี้ค่ะ
เชียงราย
(ดอยตุง วัดร่องขุน และอยากไปวัดท่าน ว.วชิราเมธี ด้วยค่ะ)
เชียงใหม่
(แม่ริม แพแม่ตะมาน นั่งช้าง ล่องแพ และพิพิธภัณฑ์แมลงที่ไปทุกปีค่ะ ลูกชอบค่ะ)
และอาจเลือก อช.สักแห่งเพื่อกางเต้นท์ด้วยค่ะ
ครอบครัวพี่หมอมุขไปไหนคะ?
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4657
theenuch เขียน:ว่าจะไปเหนือค่ะ แวะไปเยี่ยมญาติที่ลำพูนและเที่ยวPaul VI เขียน:ลืมถามคุณ นุชไปว่าไปเที่ยวไหนครับ ปีใหม่นี้
2-3 ปีก่อน เน้นแม่ฮ่องสอน ตาก ครั้งนี้ว่าจะเป็นแบบนี้ค่ะ
เชียงราย
(ดอยตุง วัดร่องขุน และอยากไปวัดท่าน ว.วชิราเมธี ด้วยค่ะ)
เชียงใหม่
(แม่ริม แพแม่ตะมาน นั่งช้าง ล่องแพ และพิพิธภัณฑ์แมลงที่ไปทุกปีค่ะ ลูกชอบค่ะ)
และอาจเลือก อช.สักแห่งเพื่อกางเต้นท์ด้วยค่ะ
ครอบครัวพี่หมอมุขไปไหนคะ?
เมื่อหลายปีก่อนไป เชียงใหม่ เชียงราย มายังประทับใจอยู่เลยครับ
อากาศหนาวกับผมนี่ เป็นของคู่กันครับ ชอบหน้าหนาวมากถึงมากที่สุดครับ
เชียงใหม่ ดอยสุเทพคนเยอะพอควรเลยครับ แต่ไปทุกครั้งก็ขึ้นไปนมัสการทุกที ที่มีโอกาส
พระตำหนักดอยสุเทพ ดอกไม้สวยๆ เยอะมาก ผมว่าคุณนุชไม่พลาดแน่นอนครับ
จำได้ว่าไปที่ ที่เค้าจัดงานดอกไม้ครับ ก็สวยสมคำร่ำลือ แต่น่าจะโทรมลงตามกาลเวลาไปบ้างนะครับ แต่หน้าหนาวผมว่า แค่ไปสูดอากาศเย็นๆ ก็ ok แล้วครับ
ส่วนเชียงราย ผมประทับใจแม่สลองครับ แต่ขึ้นไปไม่ถึงสุดครับ ตอนนั้นรถขึ้นไปไม่ไหว สัมภาระเยอะมากเลยไปได้ถึงกลางทาง แต่อากาศดีมาก
แต่ แม่สาย ก็เป็นที่น่าประทับใจมากครับ อากาศตอนที่ไปตอนนั้นเย็นอย่างกับยุโรป ทำเอาเดินเล่นแบบไม่อยากกลับเลยทีเดียวครับ
ข้ามฟากไปตลาดท่าขี้เหล็ก สำหรับผู้ชายก็เฉยๆครับ แต่ผู้หญิงก็คงชอบมากเลยที่ได้ต่อรองราคา
ดอยตุงห้ามพลาดครับ แต่คนเยอะ แน่นอนครับ จอดรถกันถึงไหล่เขาเลยทีเดียว แต่อากาศดี ดอกไม้สวย คุณนุชคงไม่พลาดแน่ครับ
วัดร่องขุ้น ก็สวยมากครับ เสียดายวันที่ผมไปตรงกับวันปีหใ่ คนเยอะมากๆๆๆ แต่ได้ไปเห็นไปถ่ายรูปหน้าวัดก็คุ้มค่าแล้วครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4658
ลืมบอกไปว่า ครอบครัวผม ปีใหม่นี้ขอทริปในประเทศก่อนครับ
เลยเลือกไป เขาค้อ ครับ
เพราะเฉียดไป เฉียดมาหลายครั้ง ยังไม่เคยไปพักจริงจังซักที
กะจะไปดูทะเลหมอกครับ แล้วก็นั่งชิลๆ จิบกาแฟ ท่ามกลางลมหนาวครับ
ที่อยากไปอีกที่ คือ วัดพระธาต ผาซ่อนแก้วครับ
นอกนั้นโปรแกรมคราวนี้ขอไป แบบหลวมๆครับ เน้นเอาความสุขระหว่างเดินทางแบบสบายๆครับ
เลยเลือกไป เขาค้อ ครับ
เพราะเฉียดไป เฉียดมาหลายครั้ง ยังไม่เคยไปพักจริงจังซักที
กะจะไปดูทะเลหมอกครับ แล้วก็นั่งชิลๆ จิบกาแฟ ท่ามกลางลมหนาวครับ
ที่อยากไปอีกที่ คือ วัดพระธาต ผาซ่อนแก้วครับ
นอกนั้นโปรแกรมคราวนี้ขอไป แบบหลวมๆครับ เน้นเอาความสุขระหว่างเดินทางแบบสบายๆครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4660
ดีจังได้ที่เที่ยวเพิ่มตามพี่หมอมุขเลยคือ "ดอยแม่สลอง" อยากไปมานานแล้ว ยังไม่เคยไปPaul VI เขียน:theenuch เขียน:ว่าจะไปเหนือค่ะ แวะไปเยี่ยมญาติที่ลำพูนและเที่ยวPaul VI เขียน:ลืมถามคุณ นุชไปว่าไปเที่ยวไหนครับ ปีใหม่นี้
2-3 ปีก่อน เน้นแม่ฮ่องสอน ตาก ครั้งนี้ว่าจะเป็นแบบนี้ค่ะ
เชียงราย
(ดอยตุง วัดร่องขุน และอยากไปวัดท่าน ว.วชิราเมธี ด้วยค่ะ)
เชียงใหม่
(แม่ริม แพแม่ตะมาน นั่งช้าง ล่องแพ และพิพิธภัณฑ์แมลงที่ไปทุกปีค่ะ ลูกชอบค่ะ)
และอาจเลือก อช.สักแห่งเพื่อกางเต้นท์ด้วยค่ะ
ครอบครัวพี่หมอมุขไปไหนคะ?
เมื่อหลายปีก่อนไป เชียงใหม่ เชียงราย มายังประทับใจอยู่เลยครับ
อากาศหนาวกับผมนี่ เป็นของคู่กันครับ ชอบหน้าหนาวมากถึงมากที่สุดครับ
เชียงใหม่ ดอยสุเทพคนเยอะพอควรเลยครับ แต่ไปทุกครั้งก็ขึ้นไปนมัสการทุกที ที่มีโอกาส
พระตำหนักดอยสุเทพ ดอกไม้สวยๆ เยอะมาก ผมว่าคุณนุชไม่พลาดแน่นอนครับ
จำได้ว่าไปที่ ที่เค้าจัดงานดอกไม้ครับ ก็สวยสมคำร่ำลือ แต่น่าจะโทรมลงตามกาลเวลาไปบ้างนะครับ แต่หน้าหนาวผมว่า แค่ไปสูดอากาศเย็นๆ ก็ ok แล้วครับ
ส่วนเชียงราย ผมประทับใจแม่สลองครับ แต่ขึ้นไปไม่ถึงสุดครับ ตอนนั้นรถขึ้นไปไม่ไหว สัมภาระเยอะมากเลยไปได้ถึงกลางทาง แต่อากาศดีมาก
แต่ แม่สาย ก็เป็นที่น่าประทับใจมากครับ อากาศตอนที่ไปตอนนั้นเย็นอย่างกับยุโรป ทำเอาเดินเล่นแบบไม่อยากกลับเลยทีเดียวครับ
ข้ามฟากไปตลาดท่าขี้เหล็ก สำหรับผู้ชายก็เฉยๆครับ แต่ผู้หญิงก็คงชอบมากเลยที่ได้ต่อรองราคา
ดอยตุงห้ามพลาดครับ แต่คนเยอะ แน่นอนครับ จอดรถกันถึงไหล่เขาเลยทีเดียว แต่อากาศดี ดอกไม้สวย คุณนุชคงไม่พลาดแน่ครับ
วัดร่องขุ้น ก็สวยมากครับ เสียดายวันที่ผมไปตรงกับวันปีหใ่ คนเยอะมากๆๆๆ แต่ได้ไปเห็นไปถ่ายรูปหน้าวัดก็คุ้มค่าแล้วครับ
วางแผนไปก่อนปีใหม่ค่ะ 21 - 27 ธค. สวนทางกับคนอื่นที่เพิ่งขึ้นไปพอดีค่ะ...คนจะได้ไม่มากนัก
ที่จริงเส้นทางตามแผนนี้เคยไปมาตั้งแต่ลูก 4 ขวบ เปิดรูปให้เค้าดูเค้าอยากไปอีกค่ะ
ส่วนแม่สายที่บ้านคนที่ชอบน่าจะเป็นลูกชายค่ะ
เค้าชอบซื้อของมาขาย วันก่อนไปลาว (ไปกับคูณครูปรีดา นักเล่านิทาน)
ก็ไปได้ของกลับมาขายได้กำไรไปไม่น้อยค่ะ
เหมือนๆ เค้าชอบขายของ และชอบเก็บเงิน ค่อนข้างชัดเจนมากๆ
ชอบท่องเที่ยวและชอบอากาศหนาวเหมือนพี่หมอมุขเลยค่ะ
คู่กับกาแฟร้อนๆ...ความสุขเรียบง่ายเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ
ปกติชอบเที่ยวแบบปีนป่าย เลอะๆ ลุยๆ ค่ะ
พวกอุทยานแห่งชาติ และน้ำตกต่างๆ
เดี๋ยวจะจัดตามเส้นทางพี่หมอมุขเลยค่ะ
เพิ่มดอยสุเทพ ดอยแม่สลอง และแม่สายในครั้งนี้ด้วย
ขอบคุณพี่หมอมุขมากค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4661
เส้นนี้ก็ชอบเหมือนกันค่ะ ถ้าไปจะเลยไปที่น้ำหนาว และ อช.แก่งกระจานด้วยPaul VI เขียน:ลืมบอกไปว่า ครอบครัวผม ปีใหม่นี้ขอทริปในประเทศก่อนครับ
เลยเลือกไป เขาค้อ ครับ
เพราะเฉียดไป เฉียดมาหลายครั้ง ยังไม่เคยไปพักจริงจังซักที
กะจะไปดูทะเลหมอกครับ แล้วก็นั่งชิลๆ จิบกาแฟ ท่ามกลางลมหนาวครับ
ที่อยากไปอีกที่ คือ วัดพระธาต ผาซ่อนแก้วครับ
นอกนั้นโปรแกรมคราวนี้ขอไป แบบหลวมๆครับ เน้นเอาความสุขระหว่างเดินทางแบบสบายๆครับ
แต่ก็ขับรถเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ จริงๆ "แบบหลวมๆ เน้นเอาความสุขระหว่างเดินทางแบบสบายๆ"
อ่านแล้วก็รู้สึกสบายๆ ตามค่ะ....เส้นนี้ร้านกาแฟ น่ารักๆ เยอะด้วยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4662
ทั้งสองที่นี้อยากไปมากๆ เหมือนกันค่ะ (แต่ต้องเก็บตังค์อีกนานค่ะ)Paul VI เขียน:แต่สงกรานต์ปีหน้า
ที่ plan อยู่มี 2 ที่ครับ
ถ้าไม่ Hokkaido แบบลุยเอง ก็คงเป็น Russia ครับ
ขอตามไปเที่ยวผ่านรูปที่พี่หมอมุขจะนำมาฝากในกระทู้นี้ไปพลางๆ ก่อนนะคะ
รอ ๆ ๆ.....รอภาพพร้อมคำบรรยายประกอบเหมือนญี่ปุ่นที่ผ่านมาค่ะ
พี่หมอมุขเก็บภาพในมุมที่สวยงาม เหมาะสม และน่าสนใจทั้งหมดเลยค่ะ
และบรรยายประกอบได้ยอดเยี่ยมมากๆ
ขอบคุณมากค่ะ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4664
คอลัมน์ เวทีอาเซียน
โดย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อ เร็ว ๆ นี้ นักการทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนในเมียนมาร์ ได้ประชุมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะในหลายประเด็น โดยเฉพาะพัฒนาการเศรษฐกิจของเมียนมาร์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับจากการปฏิรูปการเมืองการปกครองเมื่อปี 2551
ในภาพรวม ที่ประชุมเห็นว่ารัฐบาลเมียนมาร์ยังคงเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และกำลังเร่งจัดทำกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ โดย เฉพาะในด้านโทรคมนาคมและการธนาคาร ซึ่งมีความคืบหน้าที่สำคัญคือ การมีกระบวนการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่งได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากบริษัทให้คำปรึกษาต่างชาติในด้านความโปร่ง ใส และช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเมียนมาร์ว่าสามารถดำเนินมาตรการปฏิรูปได้ผล จริงในด้านนี้ ในภาคการเงินการธนาคาร นอกจากการผ่านร่างกฎหมาย "ธนาคารกลางเมียนมาร์" แล้ว ยังมีการออกกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ (Securities Exchange Law) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นเครื่องมือในการร่นระยะเวลาการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ของประเทศ จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2558
อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ภาคเอกชนต่างประเทศที่เกี่ยวข้องเห็นว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่เมียนมาร์จะจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ได้ก่อนปี 2558 เนื่องจากยังมีเงื่อนไขอีกหลายประการที่ต้องดำเนินการให้บรรลุผลก่อน โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรควบคุมตามที่กฎหมาย (Securities Regulator)
ในภาคแรงงาน ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาร์ได้ออกกฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะ "กฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ" ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคณะกรรมาธิการซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการกำหนด อัตราค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละสาขาการประกอบการที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมี "กฎหมายการจ้างงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน" ซึ่งมีการผ่านร่างไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายฉบับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการจัดระบบแรงงานในเมียนมาร์ให้มีมาตรฐานและ มีสวัสดิการที่ชัดเจนตามที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งนายจ้างทั้งในและต่างประเทศต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทดลองงาน เงินเดือน ชั่วโมงการทำงาน สวัสดิการทางการแพทย์ การทำงานล่วงเวลา และการสมทบเงินของนายจ้างในกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
นอก จากประเด็นข้างต้นแล้ว ที่ประชุมยังได้หารือกันถึงบทบาทและท่าทีของประเทศมหาอำนาจที่ไปลงทุนในเมีย นมาร์ด้วย โดยเฉพาะชาติตะวันตก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยเห็นว่า มาตรการหนึ่งที่วิสาหกิจจากประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ควบคู่กับการขยายการลงทุนในเมียนมาร์คือ การดำเนินโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) และ "การลงทุนที่รับผิดชอบต่อผลกระทบของประชาชน" รวมถึงการสื่อสารกับมวลชนมากยิ่งขึ้น (Reach out) ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนเมียนมาร์มีทัศนคติที่ดีต่อการลงทุนจากต่างประเทศ
"แม้ ว่ารัฐบาลเมียนมาร์กำลังดำเนินการผลักดันให้มีการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่ง ขึ้น แต่ปัจจุบันเมียนมาร์มีต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงมาก โดยเฉพาะค่าเช่าที่ดินและค่าเช่าที่พัก ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายของรัฐบาลเมียนมาร์ที่ต้องรีบแก้ไข" นักการทูตอาเซียนคนหนึ่งในที่ประชุมกล่าวทิ้งท้าย
โดย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อ เร็ว ๆ นี้ นักการทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนในเมียนมาร์ ได้ประชุมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะในหลายประเด็น โดยเฉพาะพัฒนาการเศรษฐกิจของเมียนมาร์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับจากการปฏิรูปการเมืองการปกครองเมื่อปี 2551
ในภาพรวม ที่ประชุมเห็นว่ารัฐบาลเมียนมาร์ยังคงเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และกำลังเร่งจัดทำกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ โดย เฉพาะในด้านโทรคมนาคมและการธนาคาร ซึ่งมีความคืบหน้าที่สำคัญคือ การมีกระบวนการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่งได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากบริษัทให้คำปรึกษาต่างชาติในด้านความโปร่ง ใส และช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเมียนมาร์ว่าสามารถดำเนินมาตรการปฏิรูปได้ผล จริงในด้านนี้ ในภาคการเงินการธนาคาร นอกจากการผ่านร่างกฎหมาย "ธนาคารกลางเมียนมาร์" แล้ว ยังมีการออกกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ (Securities Exchange Law) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นเครื่องมือในการร่นระยะเวลาการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ของประเทศ จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2558
อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ภาคเอกชนต่างประเทศที่เกี่ยวข้องเห็นว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่เมียนมาร์จะจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ได้ก่อนปี 2558 เนื่องจากยังมีเงื่อนไขอีกหลายประการที่ต้องดำเนินการให้บรรลุผลก่อน โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรควบคุมตามที่กฎหมาย (Securities Regulator)
ในภาคแรงงาน ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาร์ได้ออกกฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะ "กฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ" ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคณะกรรมาธิการซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการกำหนด อัตราค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละสาขาการประกอบการที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมี "กฎหมายการจ้างงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน" ซึ่งมีการผ่านร่างไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายฉบับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการจัดระบบแรงงานในเมียนมาร์ให้มีมาตรฐานและ มีสวัสดิการที่ชัดเจนตามที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งนายจ้างทั้งในและต่างประเทศต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทดลองงาน เงินเดือน ชั่วโมงการทำงาน สวัสดิการทางการแพทย์ การทำงานล่วงเวลา และการสมทบเงินของนายจ้างในกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
นอก จากประเด็นข้างต้นแล้ว ที่ประชุมยังได้หารือกันถึงบทบาทและท่าทีของประเทศมหาอำนาจที่ไปลงทุนในเมีย นมาร์ด้วย โดยเฉพาะชาติตะวันตก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยเห็นว่า มาตรการหนึ่งที่วิสาหกิจจากประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ควบคู่กับการขยายการลงทุนในเมียนมาร์คือ การดำเนินโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) และ "การลงทุนที่รับผิดชอบต่อผลกระทบของประชาชน" รวมถึงการสื่อสารกับมวลชนมากยิ่งขึ้น (Reach out) ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนเมียนมาร์มีทัศนคติที่ดีต่อการลงทุนจากต่างประเทศ
"แม้ ว่ารัฐบาลเมียนมาร์กำลังดำเนินการผลักดันให้มีการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่ง ขึ้น แต่ปัจจุบันเมียนมาร์มีต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงมาก โดยเฉพาะค่าเช่าที่ดินและค่าเช่าที่พัก ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายของรัฐบาลเมียนมาร์ที่ต้องรีบแก้ไข" นักการทูตอาเซียนคนหนึ่งในที่ประชุมกล่าวทิ้งท้าย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4665
Megatrend อย่างหนึ่ง ในอนาคต
นายอากิระ โมริกาวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ไลน์มียอดผู้ใช้งานทั่วโลกเกิน 300 ล้านคนแล้ว หลังยอดผู้ใช้งานครบ 100 ล้านคนเมื่อเดือนม.ค. 2556
จากปัจจัยสำคัญการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของตลาดสมารท์โฟน ส่งผลให้ไลน์หันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มความน่าสนใจบนแพลตฟอร์ม การให้บริการของตัวเอง ตั้งแต่การสื่อสารผ่านสติ๊กเกอร์ข้อความ การสนทนาเสียง และการสนทนาผ่านวีดิโอ ตลอดจนให้บริการเกมที่หลากหลาย เป็นมากกว่าเครื่องมือสื่อสารที่ให้บริการส่งข้อความแบบเดิมๆ
"เรายังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมการสื่อสารใหม่ๆ ทุกรูปแบบที่เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาฟีเจอร์และการให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยปี 2557 ไลน์ตั้งใจเพิ่มยอดผู้ใช้งานทั่วโลกเป็น 500 ล้านคน เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นและก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการให้บริการการสื่อสารอันดับต้นๆ ของโลก"
ในประเทศไทย ไลน์ ฟีเจอร์ และบริการต่างๆ ของไลน์ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ซึ่งได้ร่วมกับสถาบันการเงิน ร้านอาหาร บริษัทประกันภัย และสื่อบันเทิงต่างๆ เชื่อมโยงบริษัทกับลูกค้าให้ใกล้ชิดและเข้าใจกันมากขึ้น
ทั้งนี้ ไลน์ยังพร้อมรุกในตลาดแถบละตินอเมริกา เช่น เม็กซิโก ที่มีจำนวนผู้ใช้ไลน์เพิ่มขึ้นรวดเร็ว เช่นเดียวกับในอินเดีย ตุรกี และประเทศฝั่งยุโรปตะวันตกอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลีที่มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ไลน์จะเน้นออกโปรโมชั่นและแคมเปญเฉพาะเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้งานของแต่ละประเทศ
ไลน์มียอดผู้ใช้งานทั่วโลกครบ 100 ล้านคนใน 19 เดือน นับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ 23 มิ.ย. 2554 ต่อมาอีก 6 เดือนยอดผู้ใช้งานเพิ่มอีก 100 ล้านคน รวมเป็น 200 ล้านคน และเพิ่มเป็น 300 ล้านคนภายใน 4 เดือน
นายอากิระ โมริกาวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ไลน์มียอดผู้ใช้งานทั่วโลกเกิน 300 ล้านคนแล้ว หลังยอดผู้ใช้งานครบ 100 ล้านคนเมื่อเดือนม.ค. 2556
จากปัจจัยสำคัญการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของตลาดสมารท์โฟน ส่งผลให้ไลน์หันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มความน่าสนใจบนแพลตฟอร์ม การให้บริการของตัวเอง ตั้งแต่การสื่อสารผ่านสติ๊กเกอร์ข้อความ การสนทนาเสียง และการสนทนาผ่านวีดิโอ ตลอดจนให้บริการเกมที่หลากหลาย เป็นมากกว่าเครื่องมือสื่อสารที่ให้บริการส่งข้อความแบบเดิมๆ
"เรายังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมการสื่อสารใหม่ๆ ทุกรูปแบบที่เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาฟีเจอร์และการให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยปี 2557 ไลน์ตั้งใจเพิ่มยอดผู้ใช้งานทั่วโลกเป็น 500 ล้านคน เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นและก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการให้บริการการสื่อสารอันดับต้นๆ ของโลก"
ในประเทศไทย ไลน์ ฟีเจอร์ และบริการต่างๆ ของไลน์ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ซึ่งได้ร่วมกับสถาบันการเงิน ร้านอาหาร บริษัทประกันภัย และสื่อบันเทิงต่างๆ เชื่อมโยงบริษัทกับลูกค้าให้ใกล้ชิดและเข้าใจกันมากขึ้น
ทั้งนี้ ไลน์ยังพร้อมรุกในตลาดแถบละตินอเมริกา เช่น เม็กซิโก ที่มีจำนวนผู้ใช้ไลน์เพิ่มขึ้นรวดเร็ว เช่นเดียวกับในอินเดีย ตุรกี และประเทศฝั่งยุโรปตะวันตกอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลีที่มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ไลน์จะเน้นออกโปรโมชั่นและแคมเปญเฉพาะเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้งานของแต่ละประเทศ
ไลน์มียอดผู้ใช้งานทั่วโลกครบ 100 ล้านคนใน 19 เดือน นับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ 23 มิ.ย. 2554 ต่อมาอีก 6 เดือนยอดผู้ใช้งานเพิ่มอีก 100 ล้านคน รวมเป็น 200 ล้านคน และเพิ่มเป็น 300 ล้านคนภายใน 4 เดือน
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4666
การลงทุนทองคำในปี 2014
โดย : ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจพี มอร์แกน ได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มราคาทองคำในปีหน้า โดยแนะนำให้ระมัดระวังในการลงทุนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แม้ว่าในทศวรรษระหว่างปี 2000-2010 จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นก็ตาม เนื้อหาโดยสรุปของบทวิเคราะห์ดังกล่าว มีดังนี้
ประการแรก ทองคำมิใช่เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ หาพิจารณาจากปัจจัยอุปสงค์และอุปทาน ทองคำก็เหมือนสินค้าอื่นๆ ที่ราคาของมัน ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ในแง่ของอุปทานนั้น ทองคำจัดได้ว่าเป็นสินค้าหายาก โดยที่ประมาณร้อยละ 39 ของอุปทานในแต่ละปีผลิตมาจากการรีไซเคิลโลหะที่เหลือใช้ การที่ทองคำจัดเป็นสินค้าที่หายากนั้นจึงทำให้ทองคำได้ชื่อว่าเป็นตัวกลางสำหรับแลกเปลี่ยนของโลก และเป็นโลหะที่เอาไว้ป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยในขณะที่การพิมพ์เงินของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ อยู่ในปริมาณที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทว่าการผลิตทองคำในแต่ละปีมีปริมาณขนาดที่คงที่
จากการที่อุปทานค่อนข้างจะทรงตัว อุปสงค์โดยรวมจึงมีบทบาทในการกำหนดราคาทองคำ แม้ว่าอุปสงค์ส่วนใหญ่สำหรับการใช้ประโยชน์จากทองคำ ส่วนใหญ่จะมาจากการผลิตเครื่องประดับ ทว่าการที่เครื่องประดับไม่ค่อยมีการซื้อขายหรือมีสภาพคล่องที่สูงสักเท่าใด การลงทุนทางตราสารการเงิน โดยส่วนใหญ่ผ่านตราสาร Exchange Traded Funds (ETF) ที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 36 ของอุปสงค์เฉลี่ยจากความต้องการทั้งหมดของทองคำ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างเฮโลซื้อตราสารดังกล่าวจากความกังวล ปัญหาเศรษฐกิจโลก
ทว่า นับจากต้นปี 2013 ที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐกิจของภูมิภาคใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐอเมริกาและยุโรป เริ่มจะมีอาการดีขึ้น สินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อป้องกันความปลอดภัยอย่างทองคำ จึงได้ตกลงถึงร้อยละ 23 อย่างไรก็ดี จากการที่การผลิตเครื่องประดับและนักลงทุนทองคำมีอุปสงค์รวมคิดเป็นร้อยละ 85 ของอุปสงค์ทั้งหมด ราคาทองคำก็ยังน่าจะถือได้ว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวแปรทางเศรษฐกิจ อย่างอัตราเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การที่ทองคำจะทำหน้าที่ป้องกันเงินเฟ้อให้ได้ผลนั้น จะต้องถูกใช้ในการบริโภคโดยตรงหรือใช้ในการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากหากมีการใช้ในภาคส่วนดังกล่าวมาก สินค้าดังกล่าวก็จะมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งก็จะทำให้วัตถุดิบที่ใช้ซึ่งก็คือ ทองคำ มีราคาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้ทองคำในส่วนดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัดมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเครื่องประดับเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้หน้าที่การป้องกันเงินเฟ้อของทองคำไม่สามารถทำได้ดี โดยทองคำมีค่าสหสัมพันธ์กับดัชนีราคาผู้บริโภคประมาณ -34% ในรอบกว่า 30 ปีที่ผ่านมา
ประการที่สอง ทองคำเป็นสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุด แม้ว่า ทางเจพี มอร์แกน จะมองว่าทองคำมิได้ทำหน้าที่สำหรับการป้องกันเงินเฟ้อที่ดี ทว่าทองคำนับได้ว่าเป็นตราสารที่สามารถถือไว้เสมือนว่าเป็นสกุลเงินสำคัญอีกสกุลหนึ่ง โดยเมื่อพิจารณาศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่า ทองคำสามารถทำหน้าที่คล้ายกับเป็นตัวแทนของสกุลเงินของประเทศต่างๆ ที่ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าการสินค้าส่งออกและนำเข้าของประเทศต่างๆ ทั่วโลก นั่นคือ เมื่อไรก็ตามที่ดอลลาร์อ่อนค่าและเราต้องขาดทุนจากการถือดอลลาร์ การถือทองคำจะช่วยให้พอร์ตสามารถลดการขาดทุนดังกล่าวได้
ประการสุดท้าย ทองคำมิใช่เป็น Safe Haven ที่แท้จริงในตอนนี้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ ได้แก่ หนึ่ง จะเห็นได้ว่าในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์แย่ถึงจุดสูงสุดในเดือนมีนาคม 2009 ราคาทองคำก็มิได้สูงขึ้นแต่อย่างใดในช่วงเวลานั้น สอง หากจะใช้ทองคำเป็นตัวป้องกันความเสี่ยง จากวิกฤตในอนาคต ราคาในตอนนี้ก็อาจจะยังสูงไป หากพิจารณาจากสถิติในอดีต ในมุมมองของ เจพี มอร์แกน ได้แนะนำเกี่ยวกับราคาทองคำ ไว้ดังนี้
- การลงทุนทองคำ ในตอนนี้ อาจต้องระวังมากขึ้นจากความเป็นไปได้ของตลาดโลกที่จะฟื้นตัวในปีหน้า
- แม้โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากนโยบายต่างๆ ของธนาคารกลางในปัจจุบัน ทว่าก็มีสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นๆ เป็นทางเลือกเช่นกัน
- ทองคำทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของดอลลาร์ที่ดี
ผมเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์ดังกล่าวเสียส่วนใหญ่ แต่ผมขอเสริมว่า ทองคำมีโอกาสจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในปีหน้าโดยเฉพาะครึ่งหลังของปี หากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป เป็นเหมือนที่ ดร. ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ของสหรัฐ ที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐเหมือนกับวลี "Tomorrow Never Comes" อย่างเศรษฐกิจญี่ปุ่นในศตวรรษที่แล้ว โดยเขามองว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้แม้จะต่ำ แต่ก็ยังสูงกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งติดลบอยู่ร้อยละ 2 ถึง 3 นอกจากนี้ อุปสงค์ของสหรัฐอย่างไรเสียก็ยังไม่กลับมาอีกเป็นสิบปี เนื่องจากจีดีพีของสหรัฐต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่เป็นอันมาก
หากเป็นเช่นนี้แล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐก็มิอาจฟื้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งหากตลาดเชื่อเช่นนั้น ตลาดหุ้นในที่สุดก็จะซบเซาลงและตลาดทองคำซึ่งเป็นการลงทุนที่ไว้คลายความกังวลของเศรษฐกิจก็น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่กลับมาแบบให้เห็นกันชัดๆ ในช่วงกลางปีหน้า แนวคิดของนายซัมเมอร์ก็คงจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตรงนั้น ทองคำก็อาจจะกลับมาได้แบบไม่ยากเย็นครับ
โดย : ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจพี มอร์แกน ได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มราคาทองคำในปีหน้า โดยแนะนำให้ระมัดระวังในการลงทุนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แม้ว่าในทศวรรษระหว่างปี 2000-2010 จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นก็ตาม เนื้อหาโดยสรุปของบทวิเคราะห์ดังกล่าว มีดังนี้
ประการแรก ทองคำมิใช่เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ หาพิจารณาจากปัจจัยอุปสงค์และอุปทาน ทองคำก็เหมือนสินค้าอื่นๆ ที่ราคาของมัน ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ในแง่ของอุปทานนั้น ทองคำจัดได้ว่าเป็นสินค้าหายาก โดยที่ประมาณร้อยละ 39 ของอุปทานในแต่ละปีผลิตมาจากการรีไซเคิลโลหะที่เหลือใช้ การที่ทองคำจัดเป็นสินค้าที่หายากนั้นจึงทำให้ทองคำได้ชื่อว่าเป็นตัวกลางสำหรับแลกเปลี่ยนของโลก และเป็นโลหะที่เอาไว้ป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยในขณะที่การพิมพ์เงินของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ อยู่ในปริมาณที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทว่าการผลิตทองคำในแต่ละปีมีปริมาณขนาดที่คงที่
จากการที่อุปทานค่อนข้างจะทรงตัว อุปสงค์โดยรวมจึงมีบทบาทในการกำหนดราคาทองคำ แม้ว่าอุปสงค์ส่วนใหญ่สำหรับการใช้ประโยชน์จากทองคำ ส่วนใหญ่จะมาจากการผลิตเครื่องประดับ ทว่าการที่เครื่องประดับไม่ค่อยมีการซื้อขายหรือมีสภาพคล่องที่สูงสักเท่าใด การลงทุนทางตราสารการเงิน โดยส่วนใหญ่ผ่านตราสาร Exchange Traded Funds (ETF) ที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 36 ของอุปสงค์เฉลี่ยจากความต้องการทั้งหมดของทองคำ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างเฮโลซื้อตราสารดังกล่าวจากความกังวล ปัญหาเศรษฐกิจโลก
ทว่า นับจากต้นปี 2013 ที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐกิจของภูมิภาคใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐอเมริกาและยุโรป เริ่มจะมีอาการดีขึ้น สินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อป้องกันความปลอดภัยอย่างทองคำ จึงได้ตกลงถึงร้อยละ 23 อย่างไรก็ดี จากการที่การผลิตเครื่องประดับและนักลงทุนทองคำมีอุปสงค์รวมคิดเป็นร้อยละ 85 ของอุปสงค์ทั้งหมด ราคาทองคำก็ยังน่าจะถือได้ว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวแปรทางเศรษฐกิจ อย่างอัตราเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การที่ทองคำจะทำหน้าที่ป้องกันเงินเฟ้อให้ได้ผลนั้น จะต้องถูกใช้ในการบริโภคโดยตรงหรือใช้ในการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากหากมีการใช้ในภาคส่วนดังกล่าวมาก สินค้าดังกล่าวก็จะมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งก็จะทำให้วัตถุดิบที่ใช้ซึ่งก็คือ ทองคำ มีราคาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้ทองคำในส่วนดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัดมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเครื่องประดับเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้หน้าที่การป้องกันเงินเฟ้อของทองคำไม่สามารถทำได้ดี โดยทองคำมีค่าสหสัมพันธ์กับดัชนีราคาผู้บริโภคประมาณ -34% ในรอบกว่า 30 ปีที่ผ่านมา
ประการที่สอง ทองคำเป็นสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุด แม้ว่า ทางเจพี มอร์แกน จะมองว่าทองคำมิได้ทำหน้าที่สำหรับการป้องกันเงินเฟ้อที่ดี ทว่าทองคำนับได้ว่าเป็นตราสารที่สามารถถือไว้เสมือนว่าเป็นสกุลเงินสำคัญอีกสกุลหนึ่ง โดยเมื่อพิจารณาศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่า ทองคำสามารถทำหน้าที่คล้ายกับเป็นตัวแทนของสกุลเงินของประเทศต่างๆ ที่ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าการสินค้าส่งออกและนำเข้าของประเทศต่างๆ ทั่วโลก นั่นคือ เมื่อไรก็ตามที่ดอลลาร์อ่อนค่าและเราต้องขาดทุนจากการถือดอลลาร์ การถือทองคำจะช่วยให้พอร์ตสามารถลดการขาดทุนดังกล่าวได้
ประการสุดท้าย ทองคำมิใช่เป็น Safe Haven ที่แท้จริงในตอนนี้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ ได้แก่ หนึ่ง จะเห็นได้ว่าในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์แย่ถึงจุดสูงสุดในเดือนมีนาคม 2009 ราคาทองคำก็มิได้สูงขึ้นแต่อย่างใดในช่วงเวลานั้น สอง หากจะใช้ทองคำเป็นตัวป้องกันความเสี่ยง จากวิกฤตในอนาคต ราคาในตอนนี้ก็อาจจะยังสูงไป หากพิจารณาจากสถิติในอดีต ในมุมมองของ เจพี มอร์แกน ได้แนะนำเกี่ยวกับราคาทองคำ ไว้ดังนี้
- การลงทุนทองคำ ในตอนนี้ อาจต้องระวังมากขึ้นจากความเป็นไปได้ของตลาดโลกที่จะฟื้นตัวในปีหน้า
- แม้โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากนโยบายต่างๆ ของธนาคารกลางในปัจจุบัน ทว่าก็มีสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นๆ เป็นทางเลือกเช่นกัน
- ทองคำทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของดอลลาร์ที่ดี
ผมเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์ดังกล่าวเสียส่วนใหญ่ แต่ผมขอเสริมว่า ทองคำมีโอกาสจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในปีหน้าโดยเฉพาะครึ่งหลังของปี หากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป เป็นเหมือนที่ ดร. ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ของสหรัฐ ที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐเหมือนกับวลี "Tomorrow Never Comes" อย่างเศรษฐกิจญี่ปุ่นในศตวรรษที่แล้ว โดยเขามองว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้แม้จะต่ำ แต่ก็ยังสูงกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งติดลบอยู่ร้อยละ 2 ถึง 3 นอกจากนี้ อุปสงค์ของสหรัฐอย่างไรเสียก็ยังไม่กลับมาอีกเป็นสิบปี เนื่องจากจีดีพีของสหรัฐต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่เป็นอันมาก
หากเป็นเช่นนี้แล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐก็มิอาจฟื้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งหากตลาดเชื่อเช่นนั้น ตลาดหุ้นในที่สุดก็จะซบเซาลงและตลาดทองคำซึ่งเป็นการลงทุนที่ไว้คลายความกังวลของเศรษฐกิจก็น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่กลับมาแบบให้เห็นกันชัดๆ ในช่วงกลางปีหน้า แนวคิดของนายซัมเมอร์ก็คงจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตรงนั้น ทองคำก็อาจจะกลับมาได้แบบไม่ยากเย็นครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4667
เคยคิดเหมือนคุณแจ็ค เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง จะให้มันโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการทำธุรกิจ
ในความเป็นจริง ธุรกิจ 100 % พอเวลาผ่านไปซัก 5 ปีจะเหลือกี่ % ผ่านไป 10 ปีจะเหลือเท่าไหร่
แต่ก็นั่นแหละครับ การทำธุรกิจมีโอกาสให้พวกเราสามารถก้าวข้ามผ่านการเป็นเสรษฐีได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้จะทำอะไรที่เป็น Trend กับ megatrend ดีนะครับ
ในความเป็นจริง ธุรกิจ 100 % พอเวลาผ่านไปซัก 5 ปีจะเหลือกี่ % ผ่านไป 10 ปีจะเหลือเท่าไหร่
แต่ก็นั่นแหละครับ การทำธุรกิจมีโอกาสให้พวกเราสามารถก้าวข้ามผ่านการเป็นเสรษฐีได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้จะทำอะไรที่เป็น Trend กับ megatrend ดีนะครับ
คิดได้พูดได้แต่ "ทำ" ไม่ได้
โดย : แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ
ภาวะเศรษฐกิจในบ้านเราและตลาดโลกทุกวันนี้ คงกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าไม่ได้อยู่ในภาวะปกตินัก รวมถึงอาจเข้าขั้นวิกฤติได้ด้วยซ้ำหากสถาการณ์ต่างๆ ลุกลามและบานปลายจนควบคุมไม่ได้ เพราะระบบเศรษฐกิจทุกวันนี้เปราะบางเหลือเกิน
ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้กลับเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้หลายๆ บริษัทมองเห็นช่องว่างและหาทางไขว่คว้าความสำเร็จมาเป็นของตัวเองได้ เพราะในวิกฤติย่อมมีโอกาสแฝงอยู่ ใครที่กล้าคิดกล้าทำก็ย่อมเข้าใกล้เป้าหมายได้มากกว่าคนที่ “กล้าคิดกล้าพูด” แต่เพียงอย่างเดียว
ความกล้าคิด กล้าพูด แต่ไม่กล้าลงมือทำมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย และผมเชื่อว่ามีให้เห็นทุกองค์กร ทุกบริษัท รวมไปถึงทุกครอบครัวที่จะมีญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ที่เฉลียวฉลาดและความคิดแปลกใหม่เสมอแต่กลับไม่นำไปใช้สร้างโอกาสให้ตัวเอง
ประสบการณ์ของผมในอดีตเมื่อครั้งยังศึกษาเล่าเรียนอยู่สหรัฐก็ไม่แตกต่างกันนัก เพราะยุคนั้นคนที่มีโอกาสได้เล่าเรียนต่างประเทศไม่ได้มีจำนวนมากเหมือนทุกวันนี้ นักศึกษาต่างชาติสมัยนั้นมักจะเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิที่ได้ทุนการศึกษาจากหน่วยงานในประเทศของตัวเอง
ผมจึงมีโอกาสได้คลุกคลีกับกลุ่ม “หัวกะทิ” เหล่านี้ ซึ่งบางส่วนเมื่อเรียนจบแล้วก็ยังสมัครใจใช้ชีวิตในสหรัฐฯ ต่อ เป็นนักวิชาการ หรือเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมีชื่อ เพราะความเป็นเลิศด้านวิชาการและความเฉลียวฉลาดที่ไม่แพ้ชาวอเมริกันเลย
ชุมชนชาวจีนยุคนั้นก็มักจะรวมกลุ่มกันบ่อยเหมือนๆ สังคมชาวไทยที่มักจะทำอาหารมารับประทานร่วมกัน โดยมีอาหารหลักอย่างหนึ่งคือ Egg Flower Soup หรือซุปไข่ชนิดหนึ่งของจีน ซึ่งมีคนทำมารับประทานร่วมกันทุกปี
และทุกๆ ปีนั้น ก็จะมีคนชื่นชมรสชาติอันกลมกล่อมของซุปอย่างไม่ขาดสาย พร้อมสำทับว่าหากทำขายเมื่อไรก็คงจะร่ำรวยแน่นอนเพราะเป็นซุปที่อร่อยมาก จนใครๆ ที่ได้ชิมก็พากันติดอกติดใจรสชาติ จนขอให้ทำมารับประทานร่วมกันบ่อยๆ
ผ่านไปกี่ปีๆ Egg Flower Soup ก็ยังคงเป็นอาหารโปรดประจำงาน แต่ผมก็ไม่เคยเห็นใครตั้งใจจะทำซุปนี้ออกขายอย่างจริงจัง จนผมเชื่อว่านานวันเข้า Egg Flower Soup ก็จะกลายเป็นเหมือนนิทานปรัมปราเรื่องหนึ่งที่คนเก่าแก่เล่าขานให้เด็กๆ รุ่นใหม่ฟังว่าเป็นซุปที่อร่อยมาก และหากมีใครทำขายก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
ผมอดคิดไม่ได้ว่าผู้เล่านั้นก็คือคนชั้นหัวกะทิของประเทศและมีพื้นฐานการศึกษามาจากสถาบันชั้นนำ ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปมากมาย แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีให้เป็นจริงได้อย่างที่คิดไว้สักที
หากมองกันให้ดีเราอาจเห็น Egg Flower Soup มีปรัชญาที่แฝงอยู่ในชามซุป ว่าคนที่มีความเป็นเลิศทางความคิดย่อมมองเห็นโอกาสก่อนผู้อื่น แต่หาก “กล้าคิด กล้าพูด” เแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ “กล้าทำ” สิ่งที่ตั้งใจไว้ให้เป็นจริง ก็เท่ากับเราปล่อยให้โอกาสที่มีหลุดลอยไป
นอกเหนือจากเรื่องซุปไข่นี้แล้วผมเชื่อว่าผู้อ่านแต่ละท่านคงมีตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันแบบนี้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งมักจะมีโครงเรื่องที่ไม่แตกต่างกัน นั่นคือมีคนมากมาย มองเห็นโอกาส มองเห็นความสำเร็จ แต่ไม่กล้าลงมือทำด้วยเหตุผลร้อยแปดพันประการ
มาถึงวันนี้หากยังเห็นโอกาสของตัวเองอยู่ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีกแล้วที่จะถ่วงความเจริญของตัวเองด้วยการนิ่งดูดาย ความสำเร็จยังรอเราอยู่เสมอ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4668
เครดิตคุณ Netirut ครับ
อ่านแล้วชอบครับ 555
อ่านแล้วชอบครับ 555
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 7#p158561710 เหตุผลที่คุณควรลงทุนในหุ้น
1.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด คุณจะอดไปเที่ยวไร้สาระโดยปริยาย
2.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด คุณจะไม่ต้องกังวลเวลาเพื่อนยืมตังค์เลย เพราะมันไม่มีจริงๆ
3.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด คุณจะอยากไปช็อปปิ้งกับภรรยา อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
4.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด คุณจะลดความอ้วนได้ดีกว่าเดิม เพราะไส้แห้ง
5.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด คุณจะไม่เป็นหนี้ผ่อนรถผ่อนบ้าน เพราะคุณไม่มีเงินดาวน์
6.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด ครอบครัวจะอบอุ่น พ่อแม่จะรักคุณมากขึ้น คุณจะเป็นลูกกตัญญู เพราะคุณจะต้องอยู่บ้านพ่อแม่ จากข้อ5ไง
7.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด ภรรยาจะรักคุณมากขึ้นเช่นกัน เพราะคุณจะไม่มีเงินไปเลี้ยงเด็กที่ไหนได้เลย
8.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด ถ้ายังโสด ก็จะยังได้ใช้ชีวิตโสดไปอีกนาน
9.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด ความหรูหราไฮโซ ของแบรนด์เนม ความสะดวกสบายอย่างราชา และของแพงชิบหายทั้งหลาย จะยังไม่มีวันได้แอ้มเงินคุณ
10.เมื่อคุณใช้เงินซื้อหุ้นหมด ของทั้งหมดในข้อ9 จะมารวมกันส่งมอบให้คุณ ในวันที่คุณประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้นแล้ว และจะอยู่กับคุณตลอดไปจนวันตาย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4669
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) วันนี้ ( 27 พ.ย.) มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 2.25% จากเดิมที่ 2.50% พร้อมกับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP)ปีนี้เหลือเติบโตเพียง 3% จากเดิม 3.7% คาดว่าปีหน้าจะเติบโต 4% ต้นๆ
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เปิดเผยถึง ผลการประชุม กนง. วันนี้ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 2.25% จากเดิมที่ 2.50% โดยกรรมการ 1 เสียงที่เห็นสมควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินปัจจุบันยังผ่อนปรนเหมาะสมอยู่
พร้อมกันนี้ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP)ปีนี้เหลือเติบโตเพียง 3% จากเดิม 3.7% คาดว่าปีหน้าจะเติบโต 4% ต้นๆ โดยมองว่าเศรษฐกิจยังเปราะบางและมีความเสี่ยง หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 ขยายตัวต่ำกว่าคาด และในเดือน ต.ค.ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน
"คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม และมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าการประชุมครั้งก่อน ภายใต้แรงกดดันด้านราคาที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงบ้างแล้ว นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมกนง. ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศหลัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐฯ ทำให้
ภาวะตลาดการเงินโลกยังมีความผันผวน สำหรับเศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีในทุกภาคเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจภูมิภาคโดยรวมยังคงขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการส่งออกของประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือฟื้นตัวตามเศรษฐกิจประเทศหลักและจีนเร็วกว่ากลุ่มอาเซียนโดยรวม
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาด จากการใช้จ่ายภายในประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน ด้านการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ในระยะต่อไป เศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้นจาก
ความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐ ความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่อาจเปราะบางยิ่งขึ้นจากความไม่สงบทางการเมือง และการส่งออกที่อาจไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันด้านราคายังคงอยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจ
คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม และมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าการประชุมครั้งก่อน ภายใต้แรงกดดันด้านราคาที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงบ้างแล้ว นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงมีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที โดยกรรมการ 1 ท่าน เห็นสมควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินในปัจจุบันยังผ่อนปรนเหมาะสมอยู่
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เปิดเผยถึง ผลการประชุม กนง. วันนี้ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 2.25% จากเดิมที่ 2.50% โดยกรรมการ 1 เสียงที่เห็นสมควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินปัจจุบันยังผ่อนปรนเหมาะสมอยู่
พร้อมกันนี้ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP)ปีนี้เหลือเติบโตเพียง 3% จากเดิม 3.7% คาดว่าปีหน้าจะเติบโต 4% ต้นๆ โดยมองว่าเศรษฐกิจยังเปราะบางและมีความเสี่ยง หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 ขยายตัวต่ำกว่าคาด และในเดือน ต.ค.ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน
"คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม และมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าการประชุมครั้งก่อน ภายใต้แรงกดดันด้านราคาที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงบ้างแล้ว นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมกนง. ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศหลัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐฯ ทำให้
ภาวะตลาดการเงินโลกยังมีความผันผวน สำหรับเศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีในทุกภาคเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจภูมิภาคโดยรวมยังคงขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการส่งออกของประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือฟื้นตัวตามเศรษฐกิจประเทศหลักและจีนเร็วกว่ากลุ่มอาเซียนโดยรวม
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาด จากการใช้จ่ายภายในประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน ด้านการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ในระยะต่อไป เศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้นจาก
ความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐ ความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่อาจเปราะบางยิ่งขึ้นจากความไม่สงบทางการเมือง และการส่งออกที่อาจไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันด้านราคายังคงอยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจ
คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม และมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าการประชุมครั้งก่อน ภายใต้แรงกดดันด้านราคาที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงบ้างแล้ว นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงมีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที โดยกรรมการ 1 ท่าน เห็นสมควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินในปัจจุบันยังผ่อนปรนเหมาะสมอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4670
thanks krub
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4672
คลังเผย 9 เดือนแรกแบงก์รัฐกำไร 1.9 แสนล้านบาท ยอดหนี้เสีย 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จับตาเอสเอ็มอีแแบงก์ปล่อยสินเชื่อแฟคเตอร์ริ่งที่ผิดวัตถุประสงค์ ล่าสุดมีโรงสีนำใบประทวนในโครงการจำนำข้าวเข้าขอสินเชื่อกว่า 5 พันล้านบาท
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงผลประกอบการแบงก์รัฐในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้ว่า มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 3.7 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 7.3% ส่วนเงินรับฝากรวมมีจำนวน 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านเงินกองทุนภาพรวมมีจำนวน 2.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีผลกำไรสะสมเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 1.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนี้เสียมีจำนวนรวม 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือบีไอเอสเรโชอยู่ที่ 10.6 ซึ่งถือว่า เป็นระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินงานระยะต่อไป
เมื่อพิจารณาภาพรวมของคุณภาพสินเชื่อพบว่า ยังขยายตัวในเกณฑ์ที่ดี แต่การขยายตัวของสินเชื่อในแบงก์รัฐบางแห่งกำลังเป็นที่จับตา เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อในอนาคต โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อแฟคเตอร์ริ่งให้แก่โรงสีที่อยู่ในโครงการจำนำข้าวของธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งได้รับรายงานว่า ขณะนี้ มีโรงสีที่นำใบประทวนเข้ามาขอสินเชื่อกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งการให้สินเชื่อดังกล่าวอาจผิดวัตถุประสงค์ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
"เพราะธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โรงสีและเกษตรกรที่มีใบประทวน ทางโรงสีจึงได้นำใบประทวนมาจำนำต่อกับเอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งถือว่า ผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้น ทางกระทรวงการคลังจึงกำลังจับตาประเด็นดังกล่าว"
ทั้งนี้ เอสเอ็มอีแบงก์เป็นหนึ่งสองแบงก์รัฐที่มีปัญหาด้านการดำเนินงาน โดยมีความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ ทำให้มีหนี้เสียในระดับสูงกว่า 30% ของยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน แม้ขณะนี้ จะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคนใหม่แทนคนเก่าที่ถูกเลิกจ้าง แต่ปัญหาภายในองค์กรก็ยังไม่ได้รับกาาแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาหนี้เสีย
"เมื่อปัญหาหนี้เสียไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จ ฝ่ายบริหารของธนาคารจึงมีแนวคิดที่จะตัดขายหนี้เสียบางส่วนออกไป ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทบริหารสินทรัพย์รายหนึ่งได้เข้ามาประเมินคุณภาพหนี้เสีย เพื่อกำหนดราคาซื้อขายแล้ว"
สำหรับอิสลามแบงก์ ซึ่งเป็นแบงก์รัฐอีกแห่งที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานภายใน และ คุณภาพสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันยังมีระดับหนี้เสียในจำนวนสูงเช่นกัน โดยหลังจากกรรมการผู้จัดการของธนาคาร นายธานินทร์ อังษวรังษี ได้ลาออกจากตำแหน่งจากปัญหาความขัดแย้งในการบริหารงานภายใน ไปเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีกระบวนการสรรหาบุคคลเข้ารับตำแหน่งแทนและจากนั้นไม่นาน ประธานคณะกรรมการที่ดูแลกิจการให้เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามก็ได้ส่งหนังสือลาออกพร้อมชี้แจงเหตุผลว่า ด้วยนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้ไม่สามารถบริหารงานให้สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามได้
http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=524
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงผลประกอบการแบงก์รัฐในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้ว่า มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 3.7 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 7.3% ส่วนเงินรับฝากรวมมีจำนวน 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านเงินกองทุนภาพรวมมีจำนวน 2.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีผลกำไรสะสมเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 1.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนี้เสียมีจำนวนรวม 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือบีไอเอสเรโชอยู่ที่ 10.6 ซึ่งถือว่า เป็นระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินงานระยะต่อไป
เมื่อพิจารณาภาพรวมของคุณภาพสินเชื่อพบว่า ยังขยายตัวในเกณฑ์ที่ดี แต่การขยายตัวของสินเชื่อในแบงก์รัฐบางแห่งกำลังเป็นที่จับตา เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อในอนาคต โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อแฟคเตอร์ริ่งให้แก่โรงสีที่อยู่ในโครงการจำนำข้าวของธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งได้รับรายงานว่า ขณะนี้ มีโรงสีที่นำใบประทวนเข้ามาขอสินเชื่อกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งการให้สินเชื่อดังกล่าวอาจผิดวัตถุประสงค์ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
"เพราะธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โรงสีและเกษตรกรที่มีใบประทวน ทางโรงสีจึงได้นำใบประทวนมาจำนำต่อกับเอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งถือว่า ผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้น ทางกระทรวงการคลังจึงกำลังจับตาประเด็นดังกล่าว"
ทั้งนี้ เอสเอ็มอีแบงก์เป็นหนึ่งสองแบงก์รัฐที่มีปัญหาด้านการดำเนินงาน โดยมีความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ ทำให้มีหนี้เสียในระดับสูงกว่า 30% ของยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน แม้ขณะนี้ จะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคนใหม่แทนคนเก่าที่ถูกเลิกจ้าง แต่ปัญหาภายในองค์กรก็ยังไม่ได้รับกาาแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาหนี้เสีย
"เมื่อปัญหาหนี้เสียไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จ ฝ่ายบริหารของธนาคารจึงมีแนวคิดที่จะตัดขายหนี้เสียบางส่วนออกไป ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทบริหารสินทรัพย์รายหนึ่งได้เข้ามาประเมินคุณภาพหนี้เสีย เพื่อกำหนดราคาซื้อขายแล้ว"
สำหรับอิสลามแบงก์ ซึ่งเป็นแบงก์รัฐอีกแห่งที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานภายใน และ คุณภาพสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันยังมีระดับหนี้เสียในจำนวนสูงเช่นกัน โดยหลังจากกรรมการผู้จัดการของธนาคาร นายธานินทร์ อังษวรังษี ได้ลาออกจากตำแหน่งจากปัญหาความขัดแย้งในการบริหารงานภายใน ไปเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีกระบวนการสรรหาบุคคลเข้ารับตำแหน่งแทนและจากนั้นไม่นาน ประธานคณะกรรมการที่ดูแลกิจการให้เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามก็ได้ส่งหนังสือลาออกพร้อมชี้แจงเหตุผลว่า ด้วยนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้ไม่สามารถบริหารงานให้สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามได้
http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=524
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4673
ฟิทช์ เรตติ้งส์คาด ทีวีดิจิตอล กระทบอัตรากำไรผู้ประกอบการโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดิน เหตุ 3 ปีข้างหน้าแข่งเดือด คาดบีอีซี เวิลด์-อสมท มาร์จินลดอย่างน้อย 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 55-60% บริษัท ฟิทช์ เรตติ้งส์ จำกัด ออกบทวิเคราะห์โดยคาดการณ์การแข่งขันการช่วงชิงงบโฆษณาทางโทรทัศน์ในประเทศไทยจะรุนแรงมากขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า หลังจากทีวีดิจิตอลเริ่มดำเนินการออกอากาศ แม้ว่าฟิทช์คาดว่าจำนวนช่องโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้นน่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนงบโฆษณาทางโทรทัศน์ต่องบโฆษณาโดยรวมทั้งหมดแต่การแข่งขันก็น่าจะรุนแรงขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้อัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินลดลง และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินไทยปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินเหล่านี้ได้รับอัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ที่สูง ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนช่องที่มีอยู่อย่างจำกัด
ทั้งนี้หลังจากทีวีดิจิตอลเริ่มดำเนินการออกอากาศ ฟิทช์คาดว่างบโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินน่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเวลาในการออกอากาศที่เพิ่มมากขึ้นจากจำนวนช่องที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลมากกว่าอัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่คาดว่าจะลดลง และจากค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่คาดว่าจะลดลง น่าจะทำให้มีการโฆษณาจากผู้ประกอบการที่ไม่เคยโฆษณาในโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินมาก่อน อาทิ ผู้ประกอบกิจการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่ไม่สามารถแบกรับค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่สูงมากในปัจจุบันได้ ฟิทช์คาดว่างบโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจะมาจากการย้ายงบโฆษณาจากสื่ออื่น เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวิทยุ ที่คาดว่าจะลดลง
อย่างไรก็ตามอัตราส่วนหนี้สินของผู้ประกอบกิจการทีวีดิจิตอลรายใหม่ น่าจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อจัดหาและปรับปรุงอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกอากาศ รวมถึงค่าใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอล แม้ว่าผู้ประกอบกิจการสามารถจะทยอยชำระค่าใบอนุญาตได้ภายในระยะเวลา 5 ปี นอกจากนี้ อัตรากำไรของผู้ประกอบกิจการทีวีดิจิตอลรายใหม่น่าจะถูกกระทบจากต้นทุนในช่วงแรกของการออกอากาศ รวมถึงการที่ผู้ประกอบกิจการต้องใช้เวลาในการสร้างฐานรายได้
ฟิทช์ระบุว่า ปัจจุบันผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2 ราย ซึ่งได้แก่ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (บมจ.บีอีซี เวิลด์)และโมเดิร์นไนน์ทีวี (บมจ.อสมท)มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น(มาร์จิน)อยู่ที่ประมาณ 55-60% ฟิทช์คาดว่าการแข่งขันที่น่าจะรุนแรงมากขึ้นจากทีวีดิจิตอล น่าจะทำให้อัตราส่วนกำไรดังกล่าวลดลงอย่างน้อย 5%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,898 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ทั้งนี้หลังจากทีวีดิจิตอลเริ่มดำเนินการออกอากาศ ฟิทช์คาดว่างบโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินน่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเวลาในการออกอากาศที่เพิ่มมากขึ้นจากจำนวนช่องที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลมากกว่าอัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่คาดว่าจะลดลง และจากค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่คาดว่าจะลดลง น่าจะทำให้มีการโฆษณาจากผู้ประกอบการที่ไม่เคยโฆษณาในโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินมาก่อน อาทิ ผู้ประกอบกิจการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่ไม่สามารถแบกรับค่าโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่สูงมากในปัจจุบันได้ ฟิทช์คาดว่างบโฆษณาทางโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจะมาจากการย้ายงบโฆษณาจากสื่ออื่น เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวิทยุ ที่คาดว่าจะลดลง
อย่างไรก็ตามอัตราส่วนหนี้สินของผู้ประกอบกิจการทีวีดิจิตอลรายใหม่ น่าจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อจัดหาและปรับปรุงอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกอากาศ รวมถึงค่าใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอล แม้ว่าผู้ประกอบกิจการสามารถจะทยอยชำระค่าใบอนุญาตได้ภายในระยะเวลา 5 ปี นอกจากนี้ อัตรากำไรของผู้ประกอบกิจการทีวีดิจิตอลรายใหม่น่าจะถูกกระทบจากต้นทุนในช่วงแรกของการออกอากาศ รวมถึงการที่ผู้ประกอบกิจการต้องใช้เวลาในการสร้างฐานรายได้
ฟิทช์ระบุว่า ปัจจุบันผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ฟรีทีวีภาคพื้นดินที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2 ราย ซึ่งได้แก่ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (บมจ.บีอีซี เวิลด์)และโมเดิร์นไนน์ทีวี (บมจ.อสมท)มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น(มาร์จิน)อยู่ที่ประมาณ 55-60% ฟิทช์คาดว่าการแข่งขันที่น่าจะรุนแรงมากขึ้นจากทีวีดิจิตอล น่าจะทำให้อัตราส่วนกำไรดังกล่าวลดลงอย่างน้อย 5%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,898 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4674
กบข. เผยกลยุทธ์ลงทุนปี 57 เน้นหุ้นประเทศพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ส่วนตราสารหนี้โฟกัสประเทศกำลังพัฒนา เตรียมเงิน 2.3 หมื่นล้านบาท ขอไฟเขียวเพิ่มเพดานลงทุนนอกจาก 25 % เป็น 30 % พร้อมลงทุนตรงในจีน 3 พันล้าน
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนของกบข.ในปี 2557 ว่า จะให้น้ำหนักในหุ้นของประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา กลุ่มยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากได้ปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับตลาดสหรัฐฯ จะเน้นลงทุนในหุ้นที่อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี เรโช)อยู่ในระดับต่ำ เป็นต้น ส่วนหุ้นยุโรป จะเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่หุ้นตลาดเกิดใหม่ยังรอจังหวะเข้าลงทุน หากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคส่งออก และการปรับตัวดีขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์
ส่วนตราสารหนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเทศกำลังพัฒนาเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ พร้อมลดอายุการถือครองตราสารหนี้ในประเทศ เพราะมีความเสี่ยงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ด้านการลงทุนทางเลือก จะเน้นลงทุนเพิ่มใน อสังหาริมทรัพย์โลก โครงสร้างพื้นฐาน และไพรเวตอิควิตี้โลก เพราะมีโอกาสเติบโตสูง
สำหรับการลงทุนในประเทศยังให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตัวเทียบวัด แม้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังมีความกังวลจากภาคการส่งออก และปัจจัยการเมือง นอกจากนี้กบข. ยังมีแผนลงทุนโดยตรงในประเทศจีน หลังจากได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จีนให้เข้าลงทุนโดยตรงในตราสารหนี้และตราสารทุนในวงเงินลงทุนรวม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 3 พันล้านบาท)
นายยิ่งยง นิลเสนา รองเลขาธิการ กลุ่มงานบริหารเงินกองทุน กบข. กล่าวเพิ่มเติมว่าปี 2557 กบข.เตรียมขยายลงทุนในต่างประเทศเป็น 30 % จากปัจจุบันอยู่ที่ 25 % ซึ่งถือว่าเต็มเพดานแล้ว โดยเตรียมเงินประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท สำหรับลงทุนต่างประเทศ โดยรอความคืบหน้าจากที่กบข.ได้ขอขยายเพดานลงทุนต่างประเทศจาก 25% เป็น 40% คาดว่ารู้ผลไม่เกินสิ้นปี 2556 หรือต้นปี 2557 เช่นเดียวกับการขอขยายเพดานลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จาก 8 % เป็น 12 % ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2556 กบข.มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 6.25 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนสำรอง 1.75 แสนล้านบาท และส่วนของกองทุนสมาชิกกบข. 4.5 แสนล้านบาท สำหรับสัดส่วนลงทุนแบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 11.84% หุ้นต่างประเทศ 17.03 % ตราสารหนี้ในประเทศ 57.67 % ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5.62 % อสังหาริมทรัพย์ประเทศ 3.99 % อสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ 4.63 % กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ 0.31 % กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ 0.29 % ไพรเวตอิควิตี้ในประเทศ 1.36 %ไพรเวตอิควิตี้ต่างประเทศ 0.08 % และสินค้าโภคภัณฑ์ 3.47 %
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,898 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนของกบข.ในปี 2557 ว่า จะให้น้ำหนักในหุ้นของประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา กลุ่มยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากได้ปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับตลาดสหรัฐฯ จะเน้นลงทุนในหุ้นที่อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี เรโช)อยู่ในระดับต่ำ เป็นต้น ส่วนหุ้นยุโรป จะเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่หุ้นตลาดเกิดใหม่ยังรอจังหวะเข้าลงทุน หากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคส่งออก และการปรับตัวดีขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์
ส่วนตราสารหนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเทศกำลังพัฒนาเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ พร้อมลดอายุการถือครองตราสารหนี้ในประเทศ เพราะมีความเสี่ยงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ด้านการลงทุนทางเลือก จะเน้นลงทุนเพิ่มใน อสังหาริมทรัพย์โลก โครงสร้างพื้นฐาน และไพรเวตอิควิตี้โลก เพราะมีโอกาสเติบโตสูง
สำหรับการลงทุนในประเทศยังให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตัวเทียบวัด แม้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังมีความกังวลจากภาคการส่งออก และปัจจัยการเมือง นอกจากนี้กบข. ยังมีแผนลงทุนโดยตรงในประเทศจีน หลังจากได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จีนให้เข้าลงทุนโดยตรงในตราสารหนี้และตราสารทุนในวงเงินลงทุนรวม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 3 พันล้านบาท)
นายยิ่งยง นิลเสนา รองเลขาธิการ กลุ่มงานบริหารเงินกองทุน กบข. กล่าวเพิ่มเติมว่าปี 2557 กบข.เตรียมขยายลงทุนในต่างประเทศเป็น 30 % จากปัจจุบันอยู่ที่ 25 % ซึ่งถือว่าเต็มเพดานแล้ว โดยเตรียมเงินประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท สำหรับลงทุนต่างประเทศ โดยรอความคืบหน้าจากที่กบข.ได้ขอขยายเพดานลงทุนต่างประเทศจาก 25% เป็น 40% คาดว่ารู้ผลไม่เกินสิ้นปี 2556 หรือต้นปี 2557 เช่นเดียวกับการขอขยายเพดานลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จาก 8 % เป็น 12 % ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2556 กบข.มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 6.25 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนสำรอง 1.75 แสนล้านบาท และส่วนของกองทุนสมาชิกกบข. 4.5 แสนล้านบาท สำหรับสัดส่วนลงทุนแบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 11.84% หุ้นต่างประเทศ 17.03 % ตราสารหนี้ในประเทศ 57.67 % ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5.62 % อสังหาริมทรัพย์ประเทศ 3.99 % อสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ 4.63 % กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ 0.31 % กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ 0.29 % ไพรเวตอิควิตี้ในประเทศ 1.36 %ไพรเวตอิควิตี้ต่างประเทศ 0.08 % และสินค้าโภคภัณฑ์ 3.47 %
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,898 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4675
จำได้ว่า เคยมีคนพูดคำๆนี้ครับ ไม่แน่ใจว่าจะเป็น ไอน์สไตน์หรือไม่นะครับว่า
Life is like riding a bicycle. To keep your balance you must to keep moving
เปรียบเสมือน ชีวิตเหมือนกับการขี่จักรยาน
เพื่อรักษาสมดุล คุณต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ความสมดุล นั้นน่าจะเป็นเรื่องยาก ของชีวิตเรา
ระหว่าง "งาน" กับ "ครอบครัว"
ความสุข กับ ความสำเร็จ
คงต้องหาจุดสมดุลของตัวเองให้พบครับ
พอดีผมไปโพสต์ที่กระทู้คุณ Boon Graham มาก็เลยเอามาโพสต์ฝากพวกเราด้วยครับ
Life is like riding a bicycle. To keep your balance you must to keep moving
เปรียบเสมือน ชีวิตเหมือนกับการขี่จักรยาน
เพื่อรักษาสมดุล คุณต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ความสมดุล นั้นน่าจะเป็นเรื่องยาก ของชีวิตเรา
ระหว่าง "งาน" กับ "ครอบครัว"
ความสุข กับ ความสำเร็จ
คงต้องหาจุดสมดุลของตัวเองให้พบครับ
พอดีผมไปโพสต์ที่กระทู้คุณ Boon Graham มาก็เลยเอามาโพสต์ฝากพวกเราด้วยครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4676
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยช่วงที่เหลือของปีนี้มีบริษัทเดินหน้าเข้าตลาดหุ้น 8 ราย ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปไอพีโอปีหน้ากว่า 1 แสนล้านบาท หนุนธุรกิจที่มีรายได้จากกลุ่มเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขงระดมทุน "อิชิตัน"เลื่อนเข้าตลาดหุ้นไปเป็นม.ค.57 เลี่ยงสถานการณ์การเมืองร้อนแรง "เมก้า ไลฟ์" เทรดวันแรกเปิดบวก 8 % จากราคาไอพีโอที่ 17.50
alt นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีหุ้นใหม่เข้ามาซื้อขายอีกประมาณ 8 บริษัท แม้ล่าสุดบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)(บมจ.)(ICHI) ได้เลื่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นปีหน้าก็ตาม และขณะนี้ยังไม่มีหุ้นใหม่รายอื่นขอเลื่อนการเข้าจดทะเบียน
สำหรับปี 2557 ตลท.ตั้งเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ของหุ้นไอพีโอหรือหุ้นเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกกว่า 1 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้คาดว่าจะมาจากบริษัทที่มีรายได้ในกลุ่มเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ประเทศในกลุ่ม GMS (เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน (ยูนนาน) และไทย) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะเติบโตเป็น 2 เท่าวัดจากไทย ที่จีดีพีไทยจะโตระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับกลาง ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเทศดังกล่าว ดังนั้น จึงคาดว่ามาร์เก็ตแคปที่มาจาก GMS ในปีหน้าซึ่งเป็นหุ้นที่เข้าจดทะเบียนใหม่ได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จากกำหนดเดิมจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 300 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายน และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 11 ธันวาคมนี้ ออกไปเป็นช่วงไตรมาส 1/2557 เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,898 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
alt นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีหุ้นใหม่เข้ามาซื้อขายอีกประมาณ 8 บริษัท แม้ล่าสุดบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)(บมจ.)(ICHI) ได้เลื่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นปีหน้าก็ตาม และขณะนี้ยังไม่มีหุ้นใหม่รายอื่นขอเลื่อนการเข้าจดทะเบียน
สำหรับปี 2557 ตลท.ตั้งเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ของหุ้นไอพีโอหรือหุ้นเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกกว่า 1 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้คาดว่าจะมาจากบริษัทที่มีรายได้ในกลุ่มเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ประเทศในกลุ่ม GMS (เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน (ยูนนาน) และไทย) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะเติบโตเป็น 2 เท่าวัดจากไทย ที่จีดีพีไทยจะโตระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับกลาง ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเทศดังกล่าว ดังนั้น จึงคาดว่ามาร์เก็ตแคปที่มาจาก GMS ในปีหน้าซึ่งเป็นหุ้นที่เข้าจดทะเบียนใหม่ได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จากกำหนดเดิมจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 300 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายน และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 11 ธันวาคมนี้ ออกไปเป็นช่วงไตรมาส 1/2557 เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,898 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4677
บทความล่าสุดของ อดีตนายก ธันวา ครับ
“สวัสดีครับคุณ… ได้ข่าวว่าตอนนี้ลาออกมา‘เล่นหุ้น’อย่างเดียวเหรอครับ?”เป็นคำทักทายจากคนรู้จักหรือจากเพื่อนที่ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนักในระยะหลังนี้ ผมมักจะหยุดนิ่งชั่วครู่ก่อนที่จะตอบคำถามอย่างกระชับที่สุดเพื่อให้คู่สนทนาที่เคยมีความสัมพันธ์ทั้งที่เป็นลูกค้า เป็นเพื่อนร่วมวงการธุรกิจ หรือเป็นเพื่อนเก่า ได้รับข้อมูลที่ผมต้องการสื่อสารอย่างครบถ้วน
“ตอนนี้ไม่ได้ทำงานประจำแต่เป็นกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบของบริษัทมหาชนสามแห่งและเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)ครับ”คือคำตอบที่ผมมักใช้เสมอ ทั้งนี้เพราะผมมีความรู้สึกที่ดีมากๆ ที่ยังได้มีโอกาสใช้ความรู้และประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาทำหน้าที่เป็นกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบนอกจากนี้ ผมยังต้องการใช้เวลาที่เหลือขยายความการเป็น ‘นักลงทุนเน้นคุณค่า’ อีกด้วยผมมักหลีกเลี่ยงคำว่า ‘เล่นหุ้น’ เพราะเป็นคำที่มีความหมายกว้างครอบคลุมทุกแนวทางการลงทุนส่วนคำว่า ‘นักลงทุนเน้นคุณค่า’จะมีความหมายเจาะจงและเน้นการลงทุนระยะยาวตรงกับแนวทางการลงทุนของผมมากกว่านั่นเอง
หากไม่นับรวมการเป็นพนักงานประจำของหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนที่ได้รับผลตอบแทนแน่นอนในรูปของเงินเดือนแล้ว คนวัยทำงานที่เหลือคงจะเข้าข่ายที่เรียกว่ามี‘อาชีพอิสระ’ทั้งสิ้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องมีความรู้ความชำนาญ ความสามารถเฉพาะด้านเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ที่มักไม่คงที่แน่นอน ผู้มีอาชีพอิสระจึงจำเป็นต้องกันเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายประจำวันไว้เพื่อเป็นเงินสะสมสำรองในยามที่รายได้เกิดขึ้นไม่เพียงพออีกด้วย
นักธุรกิจซื้อขายที่ดิน เป็นอาชีพอิสระที่ต้องใช้เงินลงทุนหมุนเวียนสูง ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมินศักยภาพ ทำเลที่ตั้งของที่ดินและราคาที่เหมาะสม ผู้ประสบความสำเร็จมักได้กำไรงามจากส่วนต่างราคาขายที่สูงขึ้นเทียบกับระยะเวลาถือครอง หากเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องมีความชำนาญในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากที่ดินเปล่าเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ผู้ประกอบอาชีพซื้อขายของเก่าเช่าพระ แสตมป์ นาฬิกา เหรียญและธนบัตร ล้วนต้องมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อได้กำไรจากส่วนต่างราคาซื้อเข้าและขายออกให้เหมาะสมกับดีมานด์และซัพพลาย ส่วนผู้ประกอบการร้านค้าทุกชนิด ร้านอาหาร สถานบริการ หรือผู้รับจ้างทั่วไป ล้วนเป็นอาชีพอิสระที่ต้องพึ่งรายได้และกำไรจากการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าและบริการของตน
‘นักลงทุนเน้นคุณค่า’เป็นอาชีพอิสระอย่างหนึ่งที่ต้องมีความสามารถใน ‘การประเมินมูลค่ากิจการ’ของบริษัทจดทะเบียนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ว่าควรมีช่วงราคาเหมาะสมเท่าใดและพร้อมเข้าลงทุนหากมีผู้เสนอขายกิจการในราคาที่ต่ำกว่าช่วงราคาดังกล่าวหรืออีกนัยหนึ่งคือ เสนอขาย ณ ราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety)นักลงทุนเน้นคุณค่าอาจเลือกที่จะขายหุ้นเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาหากเห็นว่าราคาหุ้นขึ้นสูงเกินปัจจัยพื้นฐานของกิจการ หรือเลือกถือหุ้นนั้นต่อโดยหวังว่าทั้งราคาหุ้นและความมั่งคั่งของตนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากยังเชื่อมั่นว่า เป็นกิจการที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว โดยยินดีที่รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลตลอดระยะเวลาที่ถือครองนั่นเอง
เมื่อครั้งยังทำงานประจำ ผมมีโอกาสร่วมเสวนากับคุณตัน ภาสกรนที ในงานสัมมนา “CEO สัญจร” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ที่จังหวัดเชียงใหม่ คุณตันเปรียบเทียบชีวิตคนกับเข็มนาฬิกากล่าวคือ ในช่วงต้นของวัยทำงานเป็นช่วงเรียนรู้ จึงมักต้องทำงานแทบทุกชนิดอย่างหนักแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเช่นเดียวกับเข็มวินาทีที่ต้องวิ่ง(ทำงาน) อยู่เสมอเมื่อเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้จัดการแม้อาจจะเหนื่อยกายน้อยลงแต่ความรับผิดชอบและความสำคัญของงานเพิ่มขึ้นตามลำดับเปรียบเสมือนการทำงานของเข็มยาว การเป็นซีอีโอหรือเจ้าของธุรกิจนั้น เป็นงานที่ต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องตัดสินใจกลยุทธ์ธุรกิจสำคัญได้อย่างถูกต้องเปรียบเสมือนเข็มสั้นที่แม้เดินเพียงครั้งเดียวในหนึ่งชั่วโมงแต่หากผิดพลาดจะเกิดความเสียหายมากในฐานะที่เคยมีบทบาททั้งเข็มวินาที เข็มยาว และเข็มสั้น ผมยืนยันว่าเข็มทุกเข็มนั้น ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ทุกบทบาทล้วนให้โอกาสเราได้เรียนรู้แนวคิด มุมมองและประสบการณ์ที่ดีแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้อย่างดีอีกด้วย
ผลตอบแทนที่ดีจากตลาดหุ้นในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งหันมายึดอาชีพ ‘นักลงทุน’ด้วยการเป็นนักลงทุนเต็มเวลา สำหรับผู้ที่ยังทำงานประจำหรือผู้เพิ่งสำเร็จการศึกษาที่กำลังพิจารณาตัดสินใจเรื่องนี้ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า หนึ่ง การลงทุนมีความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นไม่แน่นอนหนทางข้างหน้าอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป สองแม้ต้องขยันและทุ่มเทเพื่อความก้าวหน้า แต่การทำงานนั้นทำให้เราได้แสดงศักยภาพของตนโดยใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาในทางปฏิบัติ สามสังคมทำงานทำให้มีเพื่อนร่วมงาน ต้องติดต่อกับผู้คนต่างเพศ ต่างวัยและได้แลกเปลี่ยนแนวคิด มุมมองที่หลากหลายและสี่ประเทศไทยยังต้องการทรัพยากรบุคคลวัยทำงานคุณภาพเพื่อการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
แม้การตัดสินใจในบางครั้งอาจไม่มีทางเลือกมากนักดังคำกล่าวที่ว่า Sometimes life leaves us two final choices: “Yes or No”, “Now or Never” & Take it or leave it” – choose wisely. แต่การตัดสินใจยึดอาชีพ ‘นักลงทุน’เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่ทุกคนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบนักลงทุนทุกคนจึงต้องไม่ลืมข้อคิดเตือนใจอมตะที่ว่า “จงเปลี่ยนแปลงเมื่อพร้อม”เช่นกัน