มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4561

โพสต์

ชื่นชมมากๆอยู่อย่าง คือความไว ของไม้กั้นที่ด่านเก็บเงินครับ
ผมพยายามสังเกตแล้ว พอรถเข้าไปในรัศมีไม่เกิน 2-3 เมตร เจ้าที่กั้นก็เปิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

ทำไมถึงตั้งใจมองเหรอครับ ก็เพราะคนขับรถบัส เค้าไม่ได้ชลอซักเท่าไหร่เลย แทบจะขับพุ่งผ่านเจ้าเครื่องกีดขวางเลย
ผมล่ะ แอบเสียวเลย จะลุ้นว่าจะชนโครมซักอันไหม ก็ไม่มีเลยซักด่านที่จะเปิดไม่ทัน สุดยอดจริงๆ ญี่ปุ่นนี่ :B
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4562

โพสต์

บทความตอนล่าสุด ของดร . นิเวศน์ เรื่องตลาดหุ้นเวียดนาม

ประโยคท่อนสุดท้าย เขียนไว้น่าคิดต่อเลยทีเดียว ...
ตลาดหุ้นเวียตนาม

ตุลาคม 6, 2013 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์

“ผมอยากมีลูกมาก ๆ ซัก 6 คนถ้าเป็นไปได้ เขาจะได้เลี้ยงเราในยามแก่เฒ่า ถ้ามีลูกน้อยแล้วเขาเกิดตายไปด้วยเราจะลำบาก ดูซิมันอันตรายเวลาขับมอเตอร์ไซต์บนท้องถนน หรือบางทีก็อาจจะเป็นโรคตายก่อนวัยอันควรก็ได้ มีลูกมากก็มีความสุข”

นั่นเป็นคำพูดของไก้ด์หนุ่มเวียตนามอายุ 24-25 ปี ที่พูดไทยได้ชัดเจนคล่องแคล่ว เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูทันสมัย แต่งตัวและทำผมแบบวัยรุ่นสไตล์เด็กแนวของไทย เขาเป็นคนนำทางร่วมไปกับกลุ่มนักลงทุนไทยที่ไปท่องเที่ยวและชมตลาดหุ้นโฮจิมินของเวียตนามและพบปะกับบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งซึ่งจัดโดยมันนีแชนเนล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปด้วย และต่อไปนี้คือข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับตลาดหุ้นเวียตนามและอนาคตของการลงทุนในประเทศนั้น

ความน่าทึ่งของเวียตนามสำหรับผมก็คือ ประเทศนี้กำลังมีวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจคล้าย ๆ กับประเทศไทยเมื่อสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นเป็นเวลา 40 ปี มาแล้ว เพียงแต่ว่ามันอาจจะแรงกว่ามากเนื่องจากประเทศเวียตนามขณะนี้มีประชากรถึงกว่า 90 ล้านคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนุ่มสาวอายุก็คงพอ ๆ กับไก้ด์หนุ่ม ประเด็นก็คือ ประชากรของเวียตนามในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้าคงจะเพิ่มขึ้นไปอีกมากทีเดียวอนุมานจากความคิดและความต้องการของไก้ด์ที่อยากมีลูกมากและยังมองว่าการมีลูกมากนั้นเป็นเสมือนการลงทุนอย่างหนึ่งที่จะทำให้ตนเองสบายในยามแก่เฒ่าซึ่งเป็นความคิดของคนในยุคพ่อแม่ผม การมีประชากรที่เป็นคนอายุน้อยมากมายในปัจจุบันและต่อไปอีกในอนาคตนั้น ถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเซียและที่อื่น ๆ ทั่วโลก

ผมถามเขาว่ารับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูไหวหรือ? รัฐบาลให้เรียนฟรีหรือเปล่า? คำตอบก็คือ ทุกอย่างคนเวียตนามต้องออกเอง การเรียนโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัยนั้นแพงมาก อย่างไรก็ตาม น่าจะมีคนเวียตนามเพียง 10-15% เท่านั้นที่เรียนถึงระดับวิทยาลัย ทั้งหมดนั้น ผมนึกดูแล้วก็คล้าย ๆ กับเมืองไทยในสมัยหลายสิบปีก่อนที่ “ไม่มีอะไรฟรีหรือที่รัฐบาลออกให้” แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่มีลูกไม่น้อยกว่า 5-6 คน ก็สามารถเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามอัตภาพ ลูกคนที่เรียนดีบางคนก็ได้รับการศึกษาถึงระดับวิทยาลัย ส่วนคนที่ “ไม่ได้เรียน” ก็ออกไปทำงานเป็นช่าง เป็นคนงานโรงงาน และอื่น ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความรู้ระดับมหาวิทยาลัย งานของคนเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำรายได้มากเพราะค่าแรงต่ำ แต่ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ อานิสงค์จากการเข้ามาลงทุนของต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีนไต้หวัน และนั่นได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตมาโดยตลอด และบังเอิญ นี่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวียตนามที่นักลงทุนใหญ่ในปัจจุบันก็คือ ไต้หวันและญี่ปุ่น

คนเวียตนามในเวลานี้ต้องถือว่ายังยากจนอยู่มากเหมือนเมืองไทยในสมัย 40 ปีก่อน พวกเขายังบริโภคสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเป็นหลักแม้ว่าในโฮจิมินจะมีร้านแบรนด์เนมหรูจากต่างประเทศที่ดัง ๆ เกือบทุกยี่ห้อ แต่จำนวนร้านก็มีไม่มากและคนที่เข้าร้านนั้นส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเวียตนามและคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศหยิบมือเดียว สินค้าที่ต้องใช้เงินมากเช่น บ้านจัดสรรหรือรถยนต์ที่มีราคาขายพอ ๆ กับเมืองไทยนั้น ยังคงมียอดขายน้อยกว่าเมืองไทยมาก เหตุผลนอกจากความมั่งคั่งแล้วก็คือ ระบบการซื้อเงินผ่อนยังไม่เกิดขึ้น คนชั้นกลางต้องค่อย ๆ เก็บสะสมเงินจนได้เป็นล้านบาทขึ้นไปถึงจะมีปัญญาซื้อบ้านหรือรถได้ ซึ่งนี่ทำให้การบริโภคน้อยลงไปมากเทียบกับเศรษฐกิจที่มีระบบนี้ เรื่องสินค้าเงินผ่อนนี่ก็เช่นกัน ก่อนหน้าที่เมืองไทยจะมีระบบนี้แพร่หลาย ผมก็จำได้ว่าการซื้อบ้านหรือการมีรถยนต์นั้น เป็นเรื่อง “ไกลเกินเอื้อม” ในช่วงที่ผมเพิ่งทำงานหลังจบปริญญาตรีใหม่ ๆ สิ่งที่คนเวียตนามมีปัญญาซื้อค่อนข้างมากในขณะนี้ก็คือมอเตอร์ไซต์ ที่มีอยู่เต็มท้องถนนและทำให้รถยนต์ต้องแล่นช้ากว่าปกติมาก ชั่วโมงละประมาณ 20 กิโลเมตรในเมือง และอาจจะ 30-40 ก.ม. นอกเมือง ทำให้ประสิทธิภาพในด้านของโลจิสติกต่ำมาก การเดินทางเพียง 100 ก.ม. ออกไปยังเมืองท่าหรือเมืองตากอากาศอาจต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง

ปัญหาที่ฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจโตได้เร็วไปกว่าปีละ 6-7% ที่เป็นอยู่ในช่วงนี้นั้น ที่สำคัญที่สุดในความเห็นของผมน่าจะอยู่ที่ระบบของความคิดและการปกครองของรัฐบาลที่ยังติดอยู่กับระบบสังคมนิยมที่รัฐควบคุมอยู่พอสมควร ความไม่แน่นอนของแนวทางการควบคุมระบบการเงินซึ่งทำให้ตลาดการเงินไม่มีเสถียรภาพเห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงลิ่วระดับอาจจะ 7-8% ต่อปี และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินด่องกับเงินเหรียญสหรัฐผันผวนมากและลดลงมาต่อเนื่องเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นหรือตราสารการเงินขาดทุนทั้ง ๆ ที่ราคาหุ้นอาจจะสูงขึ้นในแง่ของเงินด่อง

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจเวียตนามก็ยังร้อนแรงมากในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา และแล้วมันก็ “ระเบิด” ขึ้นในช่วงปีสองปีนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำลงอย่างหนัก เศรษฐกิจมหภาคดูไม่ดีเนื่องจากมีภาวะขาดดุลการค้าสูงและเงินทุนสำรองที่เป็นดอลลาร์สหรัฐต่ำ เศรษฐกิจภายในประเทศก็ชะลอตัวลงอย่างแรง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมามาก สำหรับคนเวียตนามแล้วดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิกฤติ แต่สำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนแล้ว มันอาจจะเป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนัก

ประการแรกก็คือ อัตราเงินเฟ้อดูเหมือนจะลดลงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้มากขึ้นอานิสงค์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นก็ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพขึ้น ซึ่งก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเมื่อค่าเงินด่องลดลงมามากแล้ว มันจะลดกันลงไปได้อีกแค่ไหน! เช่นเดียวกัน ดัชนีหุ้นก็ลดลงมามากมายและคนเล่นหุ้นในเวียตนามซึ่งมีจำนวนเป็นล้านคนและมากกว่านักลงทุนรายย่อยในบ้านเรานั้นต่างก็ “เลิกเล่น” เนื่องจากขาดทุนกันอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ว่าที่จริง Market Cap. หรือมูลค่าตลาดหุ้นของโฮจิมินนั้นลดลงเหลือน้อยมาก ประมาณ 400,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3-4% ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ในขณะที่ขนาดของเศรษฐกิจเวียตนามนั้นเท่ากับ 30-40% ของไทย ดังนั้น โอกาสที่ตลาดหุ้นเวียตนามจะโตขึ้นจึงน่าจะมีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นก็คือเมื่อเศรษฐกิจของเวียตนามฟื้นจากภาวะ “วิกฤติ” เล็ก ๆ ในช่วงนี้ ระยะยาวก็คือ เมื่อเศรษฐกิจเวียตนามมีการพัฒนาขึ้นตามศักยภาพที่ควรเป็นของประเทศที่มีทรัพยากรมากประกอบกับการที่มีประชากรสูง ยิ่งไปกว่านั้น คนเวียตนามเอง จากการสำรวจขององค์กรระหว่างประเทศพบว่าเป็นคนที่มีระดับ IQ สูงระดับต้น ๆ ของเอเชีย ดังนั้น เมื่อระบบการปกครองและบริหารเศรษฐกิจของประเทศลงตัวแล้ว ประเทศก็ควรจะก้าวหน้าและเติบโตต่อไปได้มาก และแน่นอน มูลค่าของบริษัทจดทะเบียนก็ต้องสูงขึ้นตาม

ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นโฮจิมินนั้นน่าสนใจมากด้วยเหตุผลที่กล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคในการลงทุนก็ยังมีอยู่มาก ข้อแรกก็คือ ความน่าเชื่อถือของการบริหารงานของบริษัทรวมถึงระบบบัญชีต่าง ๆ ที่อาจจะยังไม่ได้มาตรฐาน ว่าที่จริง กลต. เวียตนามเองก็เพิ่งตั้งขึ้นเข้าใจว่าปีที่แล้วนี่เอง อีกข้อหนึ่งก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งมักจะถือหุ้นและควบคุมโดยรัฐที่มีผลประกอบการดีนั้น ดูเหมือนว่าจะถูกต่างชาติซื้อจนเต็มเพดาน ถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเป็นบล็อกและจ่ายราคาพรีเมียมอย่างน้อย 20% และราคาหุ้นก็ไม่ถูก และสุดท้ายก็คือ ข้อจำกัดของแบ็งค์ชาติของไทยเองที่ไม่อนุญาตให้คนไทยเอาเงินออกไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามอาจจะเนื่องจากดูว่ามัน “อันตราย” ซึ่งสำหรับประเด็นหลังนี้ ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจมากว่า ทำไมเจ้าหน้าที่จึงต้องมาห่วงแทนผมซึ่งเป็นเจ้าของเงิน?
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4563

โพสต์

[quote="Paul VI"]บทความตอนล่าสุด ของดร . นิเวศน์ เรื่องตลาดหุ้นเวียดนาม

ประโยคท่อนสุดท้าย เขียนไว้น่าคิดต่อเลยทีเดียว ...

[quote]
ขอบคุณ อาจารย์ ดร.นิเวศน์ และพี่หมอมุขมากค่ะ
แอบคิดต่อด้วยคนค่ะ :B
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4564

โพสต์

theenuch เขียน:
Paul VI เขียน:บทความตอนล่าสุด ของดร . นิเวศน์ เรื่องตลาดหุ้นเวียดนาม

ประโยคท่อนสุดท้าย เขียนไว้น่าคิดต่อเลยทีเดียว ...
ขอบคุณ อาจารย์ ดร.นิเวศน์ และพี่หมอมุขมากค่ะ
แอบคิดต่อด้วยคนค่ะ :B
แต่ดร. นิเวศน์ ก็พูดตรงดีนะครับ คุณนุข ชัดเจนดี :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4565

โพสต์

ทะเลสาบฮามานาหรือฮามานาโกะ

ทะเลสาบที่เพราะพันธุ์ปลาไหลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

แวะซื้อผลิตภัณฑ์จากปลาไหลนานาชนิด เช่น พายปลาไหลที่ขึ้นชื่อ ตอนแรกผมนึกว่าจะคาวจัด ที่ไหนได้ อร่อยจริงๆ หอมมากเลย น่าจะอัดนมเนยมาเต็มที่เลย กลบกลิ่นเรียบ
แต่เท่าที่รู้น่าจะทำจากกระดูกปลามาบดมากกว่าครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4566

โพสต์

วันที่ 8 ตุลาคม 2556 09:09
อสังหาฯผวาหนี้ครัวเรือน บุกคอนโดไฮเอนด์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รูปภาพ

ปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัย (รีเจ็กต์) ที่ขยายตัวสูงขึ้นมากในช่วงไตรมาส 2 ตามแนวโน้มหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นไปถึง 80% ของจีดีพี จากการก่อหนี้สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อเช่าซื้อจากโครงการรถคันแรก พบว่ายอดการปฏิเสธสินเชื่อของบางธนาคารขณะนี้อยู่ที่ 50% โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่า ทำให้บรรดาผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์ มุ่งเป้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ในพื้นที่แนวรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง แม้ "ราคาที่ดิน" จะขยับตัวแรง!! จนมีผลให้ราคาคอนโดขยับสูงขึ้นมาก แต่ผู้ประกอบการมองว่าเป็นทำเลที่มีความต้องการสูง ทั้งกลุ่มผู้ซื้ออยู่อาศัย และนักลงทุน

สะท้อนจากผลวิจัยของ บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า การพัฒนาโครงการคอนโดเพิ่มมากขึ้นในเขตเมืองชั้นในตามแนวรถไฟฟ้าปัจจุบันและส่วนต่อขยาย ทั้งมีราคาสูงขึ้น ขณะที่คอนโดเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก "ลดลง" ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้จำนวนคอนโดที่เปิดขายในกรุงเทพฯ ชั้นนอกไตรมาสที่ 3 ยังน้อยที่สุดเทียบหลายไตรมาสที่ผ่านมา

สุรเชษฐ กองชีพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดส่วนใหญ่ที่เปิดขายในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา 58% มีราคา 60,001 - 80,000 บาทต่อตร.ม. หรือห้องราคา 1.5 ล้านบาท ขนาด 25 ตร.ม. ต้องผ่อนชำระเดือนละ 10,000 บาท หมายความว่าต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 25,000 บาทต่อเดือน

"ภาวะหนี้ครัวเรือนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ ธนาคารต่างๆ เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อบางส่วนไม่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อ ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่จะซื้อจากผู้ประกอบการได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ"

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงหันมาพัฒนาโครงการในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบันมากขึ้นในระดับราคาที่สูงขึ้น บางส่วนหันไปพัฒนาโครงการราคาไม่แพง ระหว่าง 4.5 แสนบาท ถึง 1.5 ล้านบาท นอกเขตพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ยังคงเป็นพื้นที่ที่ติดต่อ หรือไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เช่น รังสิต

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดคอนโดยังคงได้รับความนิยมสูง และกลับเข้ามาเปิดตามแนวรถไฟฟ้าในเมืองอีกครั้ง หลังจากที่ดินราคาแพงขึ้น ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยขยับออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า หรือเกาะแนวถนนชั้นนอกของกรุงเทพฯ เนื่องจากปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการจราจร และค่าใช้จ่ายการเดินทางเพิ่มสูงขึ้น ทำให้คอนโดตั้งอยู่ในทำเลแนวของรถไฟฟ้าในเมืองจะขายดี เพราะตอบโจทย์เรื่องการเดินทาง ที่สำคัญคอนโดพัฒนาได้หลากหลายโมเดลและราคา ตั้งแต่ 4 หมื่นบาทไปถึง 1.8 แสนบาทต่อตร.ม. แต่ต้องเลือกโมเดลให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด ไม่ใช่แค่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน กลาง และล่างเท่านั้น แต่ยังมีเซกเมนท์แยกย่อย เจาะกลุ่มนักศึกษา แรงงาน เป็นต้น

"หลายคนอาจตั้งคำถามว่า รถไฟฟ้าขยายไปชานเมืองแล้ว ทำไมทำเลใจกลางเมืองยังน่าสนใจ ก็เพราะสถานีรถไฟฟ้าชานเมืองไม่ได้ใกล้แหล่งชอปปิงเหมือนโครงการใจกลางเมืองสถานีอยู่ติดศูนย์การค้า"
ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สู้ดี ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น ผู้ประกอบการจะยังคงพัฒนาคอนโดในช่วงราคา และรูปแบบนี้ต่อไปหรือไม่ หรือกลับมาเน้นลูกค้าระดับกลาง-ล่างเหมือนเดิม

แนวรถไฟฟ้าทำเลทอง 'ซื้อ-เช่า'

ข้อมูลของฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ระบุถึงความร้อนแรงของตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้ายังคงมีต่อเนื่อง จากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถใต้ดินเอ็มอาร์ที รวมกว่า 50 สถานี จะเพิ่มเป็น 100 สถานีใน 3 ปีข้างหน้า ทำให้คอนโดต่างมุ่งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ไปที่บริเวณแนวรถไฟฟ้า

ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีคอนโดในตลาดรวม 75,161 ยูนิต เป็นคอนโดเปิดขายใหม่ 40,082 ยูนิต อยู่ระหว่างรอขาย 35,079 ยูนิต เฉพาะคอนโดติดแนวรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิท (นานา-เอกมัย) รัศมี 500 เมตรจากสถานี เดือน มิ.ย. 2556 มีจำนวน 3,111 ยูนิต มียอดขายกว่า 1,523 ยูนิต คิดเป็น 49% ปัจจุบันทำเลที่ตั้งของคอนโดติดแนวรถไฟฟ้านับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ รวมถึงการลงทุนเพื่อปล่อยเช่า

สำหรับกลุ่มผู้เช่าหลักโดยเฉพาะคอนโดระดับพรีเมียม พบว่าผู้เช่าชาวญี่ปุ่นยัง "ครองแชมป์" โดยโซนรถไฟฟ้าหรือกลุ่มพื้นที่หลักที่ชาวญี่ปุ่นสนใจเช่าห้องชุด คือ บริเวณสุขุมวิทตอนต้น หรือสถานีรถไฟฟ้าสุขุมวิทเรื่อยไปจนถึงสถานีพระโขนง อนาคตพื้นที่เหล่านี้จะยังคงได้รับความนิยมเช่นเดิม เนื่องจากผู้เช่าชาวญี่ปุ่นมักอาศัยอยู่รวมกันแบบชุมชน
-
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4567

โพสต์

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 9 ตุลาคม 2556 10:43:32 น.

แหล่งข่าวจาก บมจ.อมตะนคร(AMATA) ปฏิเสธข่าวน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี จนโรงงาน 200 โรงต้องหยุดทำการ โดยยืนยันว่า ไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมโรงงานในนิคมฯ จนต้องปิดโรงงาน มีเพียงน้ำท่วมพื้นผิวถนนหน้าโรงงานเท่านั้น

"น้ำไม่ได้ท่วมตามข่าว ข่าวต้องปิด 200 โรงงานก็ไม่จริง แม้แต่โรงงานเดียวก็ไม่มีปิด มาดูสถานที่ได้เลย น่าจะรับข้อมูลกันมาผิดๆ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ความจริง"แหล่งข่าว กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"



ด้านนายปณิธาน จินดาภู ผู้อำนวยการ ศูนย์ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันกับ"อินโฟเควสท์"ว่า น่าจะเป็นการเข้าใจผิด จากกรณีที่มีน้ำสูงขึ้นจากวานนี้ที่ระดับ 10 ซม.เป็น 20 ซม.ที่ถนนหน้าโรงงานเฟส 7 และเฟส 8 ส่วนเฟส 9 ไม่มีโรงงาน มีแต่พื้นที่เปล่า

"ยังไม่มีน้ำท่วมโรงงานในนิคมฯอมตะนครชลบุรี มีแค่ท่วมถนนเฟส 7 และ เฟส 8 ส่วนเฟส 9 ไม่มีโรงงาน มีแต่พื้นที่เปล่าๆ ท่วมถนนเหมือนเมื่อวานยังไม่มีเข้าโรงงาน"นายปณิธาน กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

ผอ.ศูนย์ติดตามสถานการณ์น้ำฯ กล่าวต่อว่า เป็นผลกระทบจากน้ำที่มาจากพนัสนิคม ตอนนี้กำลังทะลวงถนน พร้อมทั้งลอกคลองใกล้ๆโรงงาน และเคลียร์ท่อเพื่อระบายน้ำ โดยมีเรือจากกองทัพเรือ 3 ลำไปช่วยผลักดันน้ำในบริเวณดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) และทุกฝ่ายยังเฝ้าระวังสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากจะมีฝนตกลงมาแถวชลบุรี ระยอง จึงยังไม่แน่ใจว่าปริมาณน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นมากน้อยแค่ไหน

"ยืนยันครับว่าอมตะนครชลบุรียังไม่มีน้ำท่วม และเฝ้าระวังกันอยู่ตลอด การนิคมฯไปตั้งวอร์รูมอยู่ที่อมตะนครชลบุรี แต่ยอมรับว่ากลัวฝนจะมาซ้ำ และน้ำจะมาตามทางเดินน้ำ อีกอย่างแม่น้ำบางปะกงค่อนข้างแน่น น้ำทะเลหนุนด้วย แต่ถ้าน้ำมามากๆ ก็ต้องเร่งระบายออก"นายปณิธาน กล่าว

ผบห รีบออกข่าวแก้ไขกันเลยทีเดียว เมื่อ 2 ปีก่อน อมตะเอง น้ไม่ท่วม
มีคนย้ายไปเพราะมั่นใจประเด็นนี้มาก
ตอนนี้ชักไม่แน่ใจซะแล้วว่า ระยะยาวจะยังไงอีก

สรุปมันอยู่ที่ พายุเข้าที่ภาคไหน ส่วนไหนมากเป็นพิเศษมากกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4568

โพสต์

ติดตามข่าวน้ำท่วม ปี 2556 ได้ที่นี่ครับ

http://www.thaiflood.com
http://news.kapook.com/topics/ข่าวนํ้าท่วม%202556

รู้สึกมันหลอนๆถึงปี 2554 ยังไง ไม่รู้ครับ
เอาใจช่วยคนที่น้ำท่วมครับ
ผมว่าถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมายอมรับว่า มันท่วมแน่แล้วหาทางป้องกัน แก้ไข ยังดีกว่า ออกมาตอบแต่ว่า "เอาอยู่" อย่างเดียว แล้วก็ท่วมเรียบร้อย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4569

โพสต์

นำเที่ยวต่อครับ ผ่านจากการเที่ยวและชอปปิ้งอย่างเพลิดเพลินที่ทะเลสาบ ฮามานะ
ชิมและซื้อของฝากทีทำจากปลาไหลญี่ปุ่น
เพิ่งดูสารคดีมาไม่นานนี้ ก็เพิ่งทราบว่า ปลาไหลญี่ปุ่น ตอนนี้น้อยลงเรื่อยๆ เลี้ยงกันไม่ทันและราคาแพงขึ้นมากพอควร จนญี่ปุ่นต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เกาหลี และจีน

จริงๆหน้าตาแบบนี้ไม่น่ากินเลยนะครับ :?

รูปภาพ

หลังจากนั้นก็ไปหม่ำกันต่อ ตามสไตล์กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แน่นอนว่าเมนูเด็ดต้องมี ปลาไหลแน่นอน

ร้านนี้คนเยอะมาก และน่าจะต้องมีนักท่องเที่ยวคนไทยมาเยอะแน่ๆ สังเกตจากมีป้ายภาษาไทยเสร็จสรรพ :mrgreen:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4570

โพสต์

มาดูเมนู อาหารญี่ปุ่นแท้ๆกันว่าเป็นไงบ้างนะครับ หน้าตาใช้ได้เลย :ep: กำลังหิวพอดี

หลังเมนูเราจะเดินทางไป ลานสกีที่ภูเขาไฟ ฟูจิกันครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4571

โพสต์

เปิดดูเรื่อยๆ ลงมา เวลาก็เที่ยงพอดี....ท้องร้องจ๊อกๆ เลยค่ะ

แต่ไม่กล้าย้อนขึ้นไปดูซ้ำบนๆ กลัวเจ้าปลาไหลยั้วเยี้ยยิ้มให้เดี๋ยวจะหิวไปมากกว่านี้ :mrgreen:

เจ้าปลาไหลมาจากทะเลสาปนั้นหรือเปล่าคะ?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4572

โพสต์

theenuch เขียน:เปิดดูเรื่อยๆ ลงมา เวลาก็เที่ยงพอดี....ท้องร้องจ๊อกๆ เลยค่ะ

แต่ไม่กล้าย้อนขึ้นไปดูซ้ำบนๆ กลัวเจ้าปลาไหลยั้วเยี้ยยิ้มให้เดี๋ยวจะหิวไปมากกว่านี้ :mrgreen:

เจ้าปลาไหลมาจากทะเลสาปนั้นหรือเปล่าคะ?
เจ้าปลาไหลในโต๊ะอาหารกินข้าวมื้อนั้น คงมาจากทะเลสาบล่ะครับ คุณนุช

ส่วนเจ้ายั้วเยี้ยข้างบน ผมเอารูปมาประกอบครับ วันนั้นมัวแต่ชอป เลยลืมถ่ายตัวจริงมาครับ :B
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4573

โพสต์

ไปอ่านกระทู้ VI บ้านๆ เห็นที่คุณ NB โพสต์ถึงเพลง พี่เต๋อ เรวัติ

อดคิดถึงไม่ได้เลยเอามาโพสต์ที่นี่ด้วย

ยิ่งสูง ยิ่งหนาว

ความเป็นจริงของชีวิตหลายๆคนเลย

[youtube]OCH76B5u0zI[/youtube]

ก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา
หมอกจางตา ฟ้าร่วมกันท้าทาย
ขุนเขายิ่งใหญ่ ทางเดินห่างลับไกล
บุกเดินไปไม่เคยหวั่น

เขาสูงล้ำค้ำฟ้าตระหง่าน
เหล่าภัยพาลคืบคลานเป็นเงา
ยิ่งสูงยิ่งหนาวยอดเขายังห่าง
อยู่บนทางนึกหวั่นนึกพรั่นความหนาว

เขาสูงล้ำค้ำฟ้าตระหง่าน
เหล่าภัยพาลคืบคลานเป็นเงา
ยิ่งสูงยิ่งหนาวยอดเขายังห่าง
อยู่บนทางนึกหวั่นนึกพรั่นความหนาว

เปรียบคนเราเหมือนดั่งขึ้นภูเขา
ฝ่าไปเอาหมายตัวเราก้าวไกล
สูงๆ ขึ้นไป ใครจะอยู่ข้างเรา
กิเลสยุเย้าให้ปีนป่าย

ไร้มิตรแท้ถึงแม้ยิ่งใหญ่
ใหญ่เกินไปไม่มีใครเอา
ยิ่งสูงยิ่งหนาวยิ่งเหงายิ่งห่าง
อยู่บนทางนึกหวั่นนึกพรั่นความหนาว....
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4574

โพสต์

อีกเพลงที่ "อิน" มากๆที่ได้ฟัง

คงจะมีสักวัน

[youtube]PPtHQ92jkEY[/youtube]

คงจะมีสักวัน ( G )
เรวัต พุทธินันทน์
G

ดนตรี 4 Bars..2...3...
4.คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

ดนตรี 3 Basr..2...
3...หาก ใจ ท้อ
ขอจงอดทน หนทางที่เดิน ไป
เหนื่อย เพียง ไหน
ไม่กลัวสิ่งใด ก้าวไป ให้มั่น คง

คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

ดนตรี 10 Bars..8...9...
10.คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

หาก ใจ ท้อ
ขอจงอดทน หนทาง ที่เดินไป
เหนื่อย เพียง ไหน
ไม่กลัวสิ่งใด ก้าวไป ให้มั่นคง
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4575

โพสต์

http://pantip.com/topic/30280484 ร้านปลาไหลในไทย ที่ผมว่าคุ้มสุดๆ

ส่วนเพลงฮึกเหิม ผมชอบ ตะกายดาว ของคุณเต๋อ เรวัติ

[youtube]www.youtube.com/watch?v=erFNQN53MPk [/youtube]
แต่อยากให้ดูเพลงนี้ครับพี่หมอมุข ช่วงท้ายร้องเพลงแบบไม่ใข้ไมค์ ดังทั่วฮอล และเกือบทุกคน Standing Ovation ให้กับเขา :B
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4576

โพสต์

[youtube]erFNQN53MPk[/youtube] แก้ตัวครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4577

โพสต์

Paul VI เขียน:อีกเพลงที่ "อิน" มากๆที่ได้ฟัง

คงจะมีสักวัน

[youtube]PPtHQ92jkEY[/youtube]

คงจะมีสักวัน ( G )
เรวัต พุทธินันทน์
G

ดนตรี 4 Bars..2...3...
4.คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

ดนตรี 3 Basr..2...
3...หาก ใจ ท้อ
ขอจงอดทน หนทางที่เดิน ไป
เหนื่อย เพียง ไหน
ไม่กลัวสิ่งใด ก้าวไป ให้มั่น คง

คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

ดนตรี 10 Bars..8...9...
10.คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

หาก ใจ ท้อ
ขอจงอดทน หนทาง ที่เดินไป
เหนื่อย เพียง ไหน
ไม่กลัวสิ่งใด ก้าวไป ให้มั่นคง
มาแอบนำเนื้อเพลงนี้..จากกระทู้พี่หมอมุขไปใส่ไว้คู่กับ MV ที่กระทู้บ้านๆ ด้วยค่ะ
ใส่ไปแล้วเพิ่งมาขออนุญาตค่ะ....ขอบคุณมากนะคะ :bow: :bow: :bow:
ชอบเพลงแนวๆ เดียวกันเลยค่ะ

เมื่อก่อนน้องๆ ลูกลุง เล่นกีตาร์ แต่เค้าไม่ชอบร้องเพลงเอง
มาตามเราไปนั่งร้องเพลงให้ ไอ้เราก็ร้องไม่ได้เรื่อง
น้องก็บ่น ว่าผิดคีย์มั่ง เสียงหลงมั่ง

งอน......ขู่จะเลิกร้อง น้องไม่ยอมค่ะ บอกให้ร้องไปตามถนัด
เดี๋ยวเค้าเปลี่ยนคีย์กีตาร์ตามให้ค่ะ
นักเพลงเก่งจนนักดนตรีต้องเปลี่ยนคีย์ตามเลย :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4578

โพสต์

romee เขียน:http://pantip.com/topic/30280484 ร้านปลาไหลในไทย ที่ผมว่าคุ้มสุดๆ

ส่วนเพลงฮึกเหิม ผมชอบ ตะกายดาว ของคุณเต๋อ เรวัติ

[youtube]www.youtube.com/watch?v=erFNQN53MPk [/youtube]
แต่อยากให้ดูเพลงนี้ครับพี่หมอมุข ช่วงท้ายร้องเพลงแบบไม่ใข้ไมค์ ดังทั่วฮอล และเกือบทุกคน Standing Ovation ให้กับเขา :B
สวัสดีน้องโรม ไม่ได้คุยกันนานเลยครับ
ขอบคุณที่เอาเพลงดีๆมาฝาก เพลงนี้พี่ก็ชื่นชอบมากเหมือนกันครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4579

โพสต์

theenuch เขียน:
Paul VI เขียน:อีกเพลงที่ "อิน" มากๆที่ได้ฟัง

คงจะมีสักวัน

[youtube]PPtHQ92jkEY[/youtube]

คงจะมีสักวัน ( G )
เรวัต พุทธินันทน์
G

ดนตรี 4 Bars..2...3...
4.คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

ดนตรี 3 Basr..2...
3...หาก ใจ ท้อ
ขอจงอดทน หนทางที่เดิน ไป
เหนื่อย เพียง ไหน
ไม่กลัวสิ่งใด ก้าวไป ให้มั่น คง

คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

ดนตรี 10 Bars..8...9...
10.คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ชื่นใจ
คงจะมีสักวัน คงเป็นวัน ที่ยิ่งใหญ่
อยู่บนทางที่เธอ เคยหวั่น
แต่เป็นวันที่คอยเธออยู่ ไม่ไกล

หาก ใจ ท้อ
ขอจงอดทน หนทาง ที่เดินไป
เหนื่อย เพียง ไหน
ไม่กลัวสิ่งใด ก้าวไป ให้มั่นคง
มาแอบนำเนื้อเพลงนี้..จากกระทู้พี่หมอมุขไปใส่ไว้คู่กับ MV ที่กระทู้บ้านๆ ด้วยค่ะ
ใส่ไปแล้วเพิ่งมาขออนุญาตค่ะ....ขอบคุณมากนะคะ :bow: :bow: :bow:
ชอบเพลงแนวๆ เดียวกันเลยค่ะ

เมื่อก่อนน้องๆ ลูกลุง เล่นกีตาร์ แต่เค้าไม่ชอบร้องเพลงเอง
มาตามเราไปนั่งร้องเพลงให้ ไอ้เราก็ร้องไม่ได้เรื่อง
น้องก็บ่น ว่าผิดคีย์มั่ง เสียงหลงมั่ง

งอน......ขู่จะเลิกร้อง น้องไม่ยอมค่ะ บอกให้ร้องไปตามถนัด
เดี๋ยวเค้าเปลี่ยนคีย์กีตาร์ตามให้ค่ะ
นักเพลงเก่งจนนักดนตรีต้องเปลี่ยนคีย์ตามเลย :mrgreen:
555 ครับ ยินดีครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4580

โพสต์

โลกในมุมมองของ Value Investor       13 ตุลาคม 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นน่ากลัว

   การที่ลงทุนในตลาดหุ้นมานานมากและได้เห็นเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ  ของผู้บริหารจำนวนมากในตลาดทำให้ผมพบความ “ไม่โปร่งใส”  ในการบริหารงานในบริษัทจำนวนมาก  บางเรื่องก็เป็น  “ความจำเป็น”  ทางธุรกิจ  บางเรื่องก็เป็นการกระทำของผู้บริหารที่เอาเปรียบหรือโกงบริษัท    บริษัทที่มีอาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้มักจะมีลักษณะหรือโครงสร้างของการทำธุรกิจที่ “เอื้ออำนวย”  ให้เกิดการโกงได้ง่าย  การโกงนั้น  บางทีก็ทำให้บริษัทถึงกับล้มละลาย  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ทำให้ผลประกอบการไม่ดีหรือลุ่ม ๆ  ดอน ๆ   ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  การลงทุนในหุ้นเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่  “น่ากลัว”  และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ   และถ้าหุ้นไม่ถูกจริงหรือมีประเด็นที่น่าสนใจจริง ๆ  แล้ว  ผมก็จะไม่ลงทุน  และต่อไปนี้คือบางส่วนของหุ้นที่ผมคิดว่า  “น่ากลัว”   หุ้นกลุ่มแรกก็คือ   หุ้นของบริษัทที่รับงานจากหน่วยงานของรัฐเช่น  งานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่าง ๆ   เหตุผลก็เพราะว่างานเหล่านี้มักจะต้องมี  “รายจ่ายพิเศษ”  ที่เราคาดการณ์ไม่ได้  รายจ่ายนี้คือรายจ่ายที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อให้  “ได้งานและเพื่อที่จะสามารถส่งมอบงานอย่างไม่ติดขัด”   จริงอยู่  บริษัทมักจะรวมค่าใช้จ่ายนี้ไว้แล้วเวลาเสนอราคา   แต่การเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่กำลังทำงานก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ซึ่งอาจทำให้บริษัทขาดทุนได้    นอกจากนั้น  การที่บริษัทมีรายจ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายออกไปให้คนอื่นโดย  “ไม่มีใบเสร็จ”  อยู่แล้ว  การที่บริษัทจะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้กับผู้บริหารหรือคนที่ทำเรื่องจ่ายจึงเป็นเรื่องง่ายและตรวจสอบไม่ได้   ผลก็คือ  กำไรของบริษัทอาจจะไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่ารายจ่ายพิเศษจะมีมากน้อยแค่ไหน  และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหลาย ๆ  บริษัทที่มียอดขายมากมายแต่กลับไม่มีกำไรอยู่บ่อย ๆ     หุ้นกลุ่มที่สองที่ “น่ากลัว”  คือบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านดีลเลอร์รายใหญ่ ๆ  หรือตัวแทนที่ผู้บริหารเป็นเจ้าของ   ประเด็นก็คือ  ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น  มักมียอดขายที่สูงมากแต่มีมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำ  หากผู้บริหารต้องการทำกำไรให้ตนเองสูงสุด   เขาก็สามารถลดราคาขายให้กับดีลเลอร์ที่เป็นบริษัทส่วนตัว  อาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยแต่เขาก็จะได้เงินมาก   และนั่นก็ทำให้บริษัทเสียหายและกำไรน้อยลงหรือไม่ได้กำไรเลย  ดังนั้น    การลงทุนในหุ้นแบบนี้  นักลงทุนจึงคาดผลประกอบการได้ยากและมีโอกาสเสียหายหนักถ้าเจ้าของหรือผู้บริหารไม่โปร่งใส   หุ้นกลุ่มที่สามที่ผมรู้สึกไม่สบายใจและกลัวว่าผู้บริหารอาจจะไม่โปร่งใสก็คือ  บริษัทที่ซื้อกิจการหรือทรัพย์สินขนาดใหญ่จากบริษัทหรือคนที่  “ตรวจสอบไม่ได้”  หรือเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือพอ  ประเด็นก็คือ  ราคาที่จ่ายไปนั้นอาจจะสูงเกินไปมาก  หรือกิจการมีคุณสมบัติที่แย่หรือกำลังจะย่ำแย่ลง   แต่เหตุผลที่ซื้อในราคาแพงนั้น   อาจจะเป็นเพราะซื้อแล้วมี  “เงินทอน”  ให้กับผู้บริหารจากคนที่ขายซึ่งตรวจสอบไม่ได้เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชนหรือเป็นบุคคลธรรมดา   ในกรณีแบบนี้  ในที่สุดแล้ว  บริษัทก็จะเสียหายเนื่องจากกิจการหรือทรัพย์สินที่ซื้อมาไม่สร้างผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับเงินที่บริษัทจ่ายไป   หุ้นกลุ่มที่สี่ที่ผมรู้สึกกลัวตลอดเวลาถ้าต้องถือหุ้นไว้ก็คือ  หุ้นของบริษัทที่มีลูกหนี้มากเมื่อเทียบกับยอดขายหรือขนาดทรัพย์สินหรือขนาดของเงินทุนของบริษัท  โดยเฉพาะถ้าลูกหนี้นั้นไม่ได้เป็นบริษัทหรือกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่มีเรทติ้งที่ดีมาก  เหตุผลก็คือ  ลูกหนี้นั้นอาจจะเบี้ยวหนี้หรือกลายเป็นหนี้เสียและทำให้บริษัทเสียหายหนัก  บางครั้งอาจจะล้มละลายได้   การที่ลูกหนี้กลายเป็นหนี้เสียนั้นก็อาจจะมีได้หลายสาเหตุซึ่งรวมถึงภาวะทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงอย่างหนัก  หรือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้บางรายที่เป็นลูกค้ารายใหญ่มาก  หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ  เป็นลูกหนี้ที่เป็นกิจการของผู้บริหารที่ตั้งขึ้นเพื่อที่จะ  “โกงบริษัท”  ตั้งแต่แรกก็เป็นไปได้   หุ้นกลุ่มที่ห้าที่ไม่ใช่เรื่องของการโกง  แต่เป็นบริษัทที่มีหนี้มากในขณะที่กิจการมีความไม่แน่นอนของผลประกอบการสูงเนื่องจากเป็นกิจการที่ขายสินค้าที่เป็นวัฏจักรหรือสินค้าที่มีความเป็นโภคภัณฑ์สูง  ประเด็นก็คือ  ในยามที่เกิดความยากลำบากขึ้น  บริษัทอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ซึ่งทำให้บริษัทมีปัญหาทางการเงินหนัก  บางทีอาจจะถึงกับล้มละลายได้  หรือในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาก  ผลกำไรของบริษัทก็อาจจะถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้   หุ้นกลุ่มที่หกที่บ่อยครั้งคนในวงการนักเล่นหุ้นชอบมากเพราะเป็นหุ้นกลุ่มที่อาจจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นหวือหวา   แต่สำหรับผมที่เน้นการลงทุนในพื้นฐานและเป็นการลงทุนระยะยาวแล้ว  กลับเป็นหุ้นที่น่ากลัว  เนื่องจากผมไม่ใคร่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดี  หลายครั้งผมรู้สึกด้วยว่ามันเป็น  “เกมปั่นหุ้น”  ที่อาจจะไม่ผิดกฎหมาย  แต่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้มาก  และทำให้คนที่รู้ขายทำกำไรไปก่อน  แล้วทิ้งให้คนที่มาทีหลังหรือคนไม่รู้รับความเสี่ยงไป   และนี่ก็คือหุ้นของบริษัทที่มี  “วิศวกรรมการเงิน”  หรือการ  “ปรับโครงสร้าง”  ใหญ่ ๆ  ของบริษัทตลอดเวลา  โดยที่ผลิตภัณฑ์หรือการดำเนินการหลักของบริษัทนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนอะไรที่สำคัญและก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเลิศอะไรนัก   บริษัทที่น่ากลัวในกลุ่มที่หกก็เช่น  บริษัทที่เปลี่ยนแปลงหรือมีธุรกิจใหม่ ๆ  ที่มีนัยสำคัญสูงอยู่เรื่อย ๆ   บางทีนอกจากธุรกิจใหม่แล้ว  ชื่อของบริษัทก็ถูกเปลี่ยนไปตามแนวของธุรกิจใหม่จนเราจำไม่ได้ว่าเดิมบริษัทชื่ออะไร  ความน่ากลัวอยู่ที่ว่า  ธุรกิจใหม่นั้นอาจจะไม่ดีและทำให้ผลประกอบการเลวลงเนื่องจากบริษัทอาจจะไม่มีความสามารถหรือประสบการณ์พอในการทำงาน  เหนือสิ่งอื่นใด  ถ้าของเดิมบริษัทก็ทำไม่ได้ดีอยู่แล้ว  ของใหม่จะทำได้เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร!   นอกจากเรื่องของการเปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อย ๆ  แล้ว    บริษัทที่  “ใช้เครื่องมือทางการเงิน”  อย่างพร่ำเพรื่อ  โดยที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ  ก็เป็นสิ่งที่ผมมักจะกลัว  ตัวอย่างเช่น  การแตกพาร์จาก 1 บาทเหลือ 25 สตางค์ เพื่อ  “เพิ่มสภาพคล่อง”  ของหุ้น  ทั้งที่ราคาหุ้นก็ไม่ถึง 10 บาทอยู่แล้ว   หรือการออกวอแรนต์แจกให้ผู้ถือหุ้นมากมายหลาย ๆ  ชุดต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ  จนวอแรนต์นั้นมีสัดส่วนอาจจะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งบริษัท  แบบนี้ผมก็ถือว่าไม่สมเหตุผล    ประเด็นก็คือ  ผมคิดว่าผู้บริหารไปเน้นการ “บริหารหุ้น”  มากกว่าการบริหารกิจการ  และดังนั้น  การเข้าไปซื้อหุ้นที่มีคนบริหารนั้น  จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว  เพราะเราอาจจะเข้าไปซื้อที่ราคาแพงเกินไปมากได้   หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่  “กินก่อน  จ่ายทีหลัง”  ตัวอย่างเช่น  สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่กิจการธุรกิจ    สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการแบบเงินผ่อน  บริษัทประกันภัย  เป็นต้น  บริษัทเหล่านี้นั้น   เมื่อขายบริการหรือผลิตภัณฑ์ของตน  พวกเขาก็จะกำไรทันทีในระยะสั้น  แต่ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน  ขึ้นอยู่กับลูกค้าหรือเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริษัทจะได้รับเงินคืนหรือไม่  แต่โดยธรรมชาติของคนก็คือ  เราอยาก  “กินก่อน”  อนาคตไม่แน่นอนอย่าไปคิดมาก   เหนือสิ่งอื่นใด  ถ้าลูกค้าเสีย  เจ้านายก็อาจลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนทำ  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  ธุรกิจแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว  เพราะเราอาจจะคิดว่าบริษัทกำลังโต  กำลังดีขึ้น  ทั้งที่อาจจะไม่จริงเพราะในที่สุด  บริษัทอาจจะต้อง  “จ่ายหนักทีหลัง” นั่นก็คือ  บริษัทเสียหายอย่างหนัก   ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุ้นที่น่ากลัวสำหรับผม  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงทุนไม่ได้  เพียงแต่ว่าเราจะต้อง Discount หรือลดมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นลง  นั่นก็คือ  หุ้นจะต้องมีราคาต่ำพอที่จะคุ้มสำหรับการลงทุนบทความใหม่ ดร.นิเวศน์ครับ
แต่ละประโยคโดนๆทั้งนั้นครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4581

โพสต์

เอามาฝากพวกเราครับ




“โพสต์ทูเดย์” สัมภาษณ์พิเศษ “วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาจังหวะและโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้น!!!
วิศิษฐ์ กล่าวว่า สหรัฐยังมีเวลาพิจารณาขยายเพดานหนี้สหรัฐ แม้ว่าวันที่ 17 ต.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะมีเงินเหลืออยู่เพียง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่สามารถกู้ยืมได้อีก 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
วันที่ 24 ต.ค. 2556 นี้ นักลงทุนควรจับตาให้ดี หน่วยงานงบประมาณสหรัฐคาดว่ากระทรวงการคลังหมดความสามารถทุกวิถีทางในการระดมเงิน และวันที่ 31 ต.ค. ยังถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยพันธบัตร 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่ายังสามารถใช้เงินปันผลหรือเงินล่วงหน้ามาจ่ายก่อนได้ จุดสำคัญอยู่ที่วันที่ 15 พ.ย. จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากถึง 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

“ช่วงวันที่ 31 ต.ค.-15 พ.ย.นี้ เป็นเขตอันตราย ถ้าเพดานการก่อหนี้ถูกขยายก่อนวันที่ 24 ต.ค. โอกาสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้จะมีน้อย”
“วิศิษฐ์” มั่นใจว่าถึงเวลานี้ยังคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงถึง 95% ที่เพดานหนี้จะถูกยกได้ทันก่อนวันที่ 1 พ.ย. แต่จะเกิดขึ้นในการเจรจาต่อรองวินาทีสุดท้ายเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสองพรรคต่างใช้นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำมาทำงานอย่างขะมักเขม้น ชิงไหวชิงพริบ ถ้าหากไม่มีการยกเพดานหนี้ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงทางการเมืองของแต่ละพรรคเป็นอย่างมาก

ฝ่ายวิจัยได้คาดการณ์สถานการณ์นี้ไว้ 4 กรณี คือ 1.เพดานหนี้ถูกยกสูงขึ้นก่อนวันที่ 1 พ.ย. และหน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป อันดับเครดิตจะไม่ถูกปรับลดลง ซึ่งมีความเป็นไปได้ 50% ค่าเงินสหรัฐจะอ่อนตัว ในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั้งโลกจะแกว่งตัวรุนแรง เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนจะมองข้ามช็อต หันไปให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า

กรณีที่ 2 มีความน่าจะเป็น 40% ที่เพดานหนี้สามารถยกขึ้นก่อนวันที่ 1 พ.ย. ขณะที่หน่วยงานราชการกลับมาเปิดตามปกติ สหรัฐไม่ถูกลดเครดิต กรณีนี้ดีที่สุด ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง

กรณีที่ 3 คือ เพดานหนี้ถูกยกหน่วยงานราชการยังคงปิดต่อไป แต่สหรัฐถูกลดอันดับเครดิตซึ่งมีความเป็นไปได้แค่ 5% เท่านั้น หากเกิดในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลดลง และเงินจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น เงินฟรังก์สวิส เงินเยนญี่ปุ่นและทองคำ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะเป็นเหมือนปี 2554 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงประมาณ 17% รวมถึงหุ้นไทยก็จะลดลงในทิศทางเดียวกันด้วย คือ 15-20%

กรณีที่ 4 เพดานหนี้ไม่สามารถถูกยกขึ้นได้ทันวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งมีโอกาสเกิดแค่ 5% เท่านั้น หน่วยงานราชการปิดต่อ และสหรัฐถูกลดเครดิต กรณีนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุด และจะเป็นจุดเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้นทั้งโลก เพราะจะเป็นโอกาสเดียวที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ แต่หุ้นจะปรับฐานในช่วงแรกและจะยืนได้ เพราะนักลงทุนรู้ว่าการผิดนัดชำระหนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้ทั้งหมด การซื้อขายพันธบัตรจะถูกแบ่งแยกเป็นส่วนที่ปกติ และส่วนที่ถูกเลื่อนการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งกรณีนี้ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้

“เพดานหนี้สหรัฐจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนกับปี 2554 และตลาดหุ้นจะไม่ตกรุนแรงเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป จีดีพีสหรัฐในปี 2554 โตเพียง 1.4% แต่ขณะนี้จีดีพีสหรัฐโตในระดับ 1.7-2% แม้มีการประเมินว่าการปิดหน่วยงานรัฐในหนึ่งสัปดาห์จะทำให้จีดีพีลดลง 0.1-0.2% ก็ตาม นอกจากนี้การขาดทุนงบประมาณปัจจุบันอยู่ที่ 4-5% ของจีดีพี ต่ำกว่าเมื่อปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 9-10% จึงประเมินว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดทุนจะไม่รุนแรง

วิศิษฐ์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดทุนหลังเพดานหนี้จบจะสดใสมาก เนื่องจากมีปัจจัยบวกทั้งในต่างประเทศสนับสนุนอย่างน้อย 9 เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสภาพคล่องของโลกยังคงสูงอยู่ จึงเชื่อว่าเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแสนล้านบาท จะเห็นเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนี้ก็มีโอกาสที่จะเห็นดัชนี 1,700 จุด ในปี 2557 และอาจจะมีสิทธิขึ้นไปทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1,753.73 จุดได้ เพราะฉะนั้น นักลงทุนอย่าตื่นตระหนกหรือกลัวปัญหาครั้งนี้มากจนเกินไป มิเช่นนั้นอาจจะพลาดโอกาสทองไป
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4582

โพสต์

ขอบคุณค่ะ :P
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4583

โพสต์

theenuch เขียน:ขอบคุณค่ะ :P
ยินดีครับ แต่ตอนนี้ ขอติดการบ้านที่จะอัพรูปเที่ยวญี่ปุ่นไว้ก่อนนะครับ

ตอนนี้ต้องรับส่งลูกเรียนพิเศษช่วงปิดเทอม
แถมยังมีภารกิจอื่นอีกหลายอย่างครับ :D

มีโอกาสจะขอเติมพวกความรู้และบทความไปก่อนครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4584

โพสต์

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์


รูปภาพ

ชีวิตมนุษย์ทุกคนมิได้เดินไปบนถนนที่เป็นเส้นตรงดังที่เคยนึกไว้ ถนนมีทั้งโค้งและหักงออย่างคาดไม่ถึงหลายครั้งในชีวิต การเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันจะทำให้เดินบนถนนนี้ได้อย่างปลอดภัยขึ้น

เป็นเวลานับร้อยๆ ปีที่มนุษย์เชื่อว่าหงส์มีแต่สีขาว เพราะไม่เคยมีใครเห็นสีอื่น แต่การที่ไม่เคยเห็นมิได้หมายความว่ามันไม่มี คนสมัยนั้นคิดว่าหงส์ดำ (Black Swan) เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะกี่ร้อยปีที่ผ่านมาก็มีแต่หงส์ขาวเท่านั้น

โลกตกตะลึงในปี ค.ศ. 1697 เมื่อ William de Vlamingh พบหงส์ดำในออสเตรเลียตะวันตก เชื่อกันว่าพบในบริเวณที่เรียกว่า Swan River ในปัจจุบันซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง Perth ของรัฐออสเตรเลียตะวันตก และ The University of Western Australia (มหาวิทยาลัยเก่าของผู้เขียน ทั้งสององค์กรมีหงส์ดำปรากฏอยู่บนตราสัญลักษณ์)

ในหนังสือชื่อ The Black Swan (2007) เขียนโดย Nassim Nicholas Taleb เรียกเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิต อาชีพ การประกอบธุรกิจ บริษัท ประเทศ ฯลฯ ทั้งในทางบวกและลบว่า Black Swan (ขอเรียกย่อๆ ว่า BS ถึงแม้จะเป็นตัวย่อที่ไม่ค่อยดีนักก็ตาม)

ถ้าเป็นภาษาสมัยใหม่ BS เป็นสิ่งที่เรียกว่า outlier ซึ่งหมายถึงคนหรือสิ่งที่อยู่ “ข้างนอก” (เช่น พวก “ข้าวนอกนา” ของอาจารย์คึกฤทธิ์) ซึ่งในที่นี้คือสิ่งที่อยู่ข้างนอกการคาดคะเนทั้งปวง ถ้าจะเป็น BS ก็ต้องมี 3 ลักษณะคือ (1) เป็น outlier (2) ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างแรง และ (3) เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สามารถย้อนกลับไปพิจารณาเพื่อหาคำอธิบายและคำพยากรณ์ต่อไปได้

ตัวอย่างของ BS ก็ได้แก่ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, การประดิษฐ์ทรานซิสเตอร,์ internet, Google, การล่มสลายของสหภาพโซเวียต, เหตุการณ์ 9/11, เศรษฐกิจการเงินของโลกผันผวนครั้งใหญ่ (2007-2008), สินค้าของ Apple, การเกิดขึ้นของ facebook, การเกิดขึ้นของ Line application ฯลฯ

Donald Rumsfeld อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐบอกว่า ในโลกนี้มีอยู่ 3 สิ่งที่ต้องแยกให้ออก กล่าวคือ สิ่งที่เรารู้ข้อเท็จจริง (known facts) สิ่งที่เรารู้ว่าไม่รู้ (known unknowns) และมีสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ (unknown knowns)

อิหร่านมีระเบิดนิวเคลียร์? Social Media ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้นหรือเขลาขึ้น? ผู้นำเกาหลีเหนือมีแผนน่ากลัวอะไรบ้าง? สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรารู้ว่ายังไม่รู้หรือ known unknowns ซึ่งถ้าเราค้นหาข้อมูลและหลักฐานวันหนึ่งเราก็จะรู้ได้ แต่สำหรับสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ (unknown knowns) นั้นเรามองไม่เห็นมันเลยในปัจจุบัน เช่น เมื่อ 10 ปีก่อน เราไม่เคยรู้ว่าโลกจะบ้าคลั่ง facebook และ Line สิ่งเหล่านี้คือ Black Swan

ในยุคปัจจุบันเราเห็น BS โผล่ขึ้นมาจากน้ำบ่อยมาก และส่งผลกระทบต่อเนื่อง ไม่ว่าเราจะวางแผนในอนาคตไว้ดีอย่างไร ไอ้นกดำนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาทำให้แผนการของเราต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ​และโลกในปี 2007-2008 หนี้ครอบครัวไทยท่วมหัว smartphone social media ฯลฯ

200,000 ปีก่อนจนถึงมีปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 200 ปีก่อน โลกเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เทคโนโลยีอยู่คงตัว ชีวิตในแต่ละวันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อหันมาดูปัจจุบันก็จะเห็นว่าโลกผันผวนตลอดเวลา ผู้คนสามารถรวยข้ามคืนได้กันเป็นว่าเล่น ดังกรณีของ J.K.Rowling (ผู้สร้าง Harry Potter),​George Soros, Jeffrey Bezos (เจ้าของ Amazon), Mark Zuckerberg (ผู้ก่อตั้ง facebook) ฯลฯ

คำถามที่น่าสงสัยก็คือ BS เกิดขึ้นได้อย่างไร? Taleb อธิบายว่าเหตุที่มนุษย์ประสบสิ่งที่ไม่คาดคิดเลยจนตั้งหลักไม่ติดนั้นก็เพราะมนุษย์มีทางโน้มที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีของตัวเองไปใช้ในการพยากรณ์อนาคต อย่างไรก็ดี ความรู้และประสบการณ์ของเราที่มีนั้นมีพื้นฐานมาจากความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่คนอื่น “ประดิษฐ์” ให้เรา ซึ่งสิ่ง “ประดิษฐ์” นี้มักไม่ถูกต้องจนทำให้เราคาดมองอนาคตผิด มองไม่เห็นสิ่งที่น่าจะมองเห็น

Taleb บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นชิ้นๆ แยกจากกัน เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ก็พยายามถักทอเชื่อมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อหาคำอธิบาย นานวันเข้าเมื่อมีคนเชื่อมากขึ้น “เรื่องแต่ง” นั้นก็จะกลายเป็น “เรื่องจริงแท้” แน่นอนขึ้นทุกที

สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงนั้นอาจไม่ใช่บทเรียนจริง เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่อง “ประดิษฐ์” ขึ้นโดยอยู่พื้นฐานของการตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เชื่อมโยงถึงกัน (นโปเลียนบอกว่าประวัติศาสตร์คือ “ เรื่องโกหกที่เห็นพ้องกัน” History is a set of lies agreed upon)

ตราบที่มนุษย์พยายามหาเหตุและผลอธิบายหลายเหตุการณ์ในอดีตโดยโยงใยให้เป็นเรื่องราวที่อธิบายได้และนำมาใช้พยากรณ์ได้สำหรับอนาคต โดยไม่มีใครบอกได้ว่าเรื่องเล่านั้นถูกหรือผิด เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะมีโอกาสผิดพลาดในการพยากรณ์อนาคตจนพบกับ BS อยู่เสมออย่างไม่ได้เตรียมตัว

Black Swan จะเตือนใจให้ผู้ลงทุน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ผู้นำ ฯลฯ ไม่ประมาทและเข้าใจโลกได้ดียิ่งขึ้น ตระหนักว่าสิ่งที่ยังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยเกิดขึ้น มิได้หมายความว่าไม่มีและจะไม่เกิดขึ้น อีกทั้งเพื่อให้เตรียมพร้อมรับด้านบวกของเจ้านกดำตัวนี้ด้วย

หากท่านผู้อ่านย้อนนึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ผู้เขียนมั่นใจว่าชีวิตของท่านถูกกระทบทั้งด้านบวกและลบโดยหงส์ดำหลายตัวในชีวิตจนไม่เป็นไปดังที่เคยคาดหวังไว้ คนที่คิดว่า Black Swan เป็น BS (คำย่อที่เราคุ้นกันนั้น) ระวังเถอะวันหนึ่งจะถูกมันจิกเอา

สิ่งที่ไม่รู้จักและไม่คาดว่าจะเกิดแต่ก็เกิดขึ้นคือ Black Swan และสิ่งที่เราไม่รู้ว่าไม่รู้นั้นมีมากมายนัก ดังนั้น หงส์ดำจะไม่มีวันสูญพันธุ์ สิ่งที่เราควรทำก็คือดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังไม่ประมาทไม่ว่าในเรื่องส่วนตัวหรือนโยบายเศรษฐกิจของประเทศก็ตาม

ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 8 ต.ค. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4585

โพสต์

ผู้เชี่ยวชาญมองตลาดหุ้น-ตราสารหนี้ ยังผันผวนต่อ เตือนรับมือดัชนีหุ้นไทยเหวี่ยงขึ้น-ลง 100 จุด มองสหรัฐฯขยายเพดานหนี้แค่ยืดเวลาเส้นตาย วันเดียวเงินทะลักเข้าบอนด์หมื่นล้าน ประธานสภาฯตลาดทุน คาดเงินไหลกลับหุ้นไทยแสนล้าน ลุ้นปีหน้า 1,650-1,700 จุด บล.เอเซีย พลัสฯ ย้ำกลยุทธ์เดิม ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น 40 %

alt เงินไหลเข้าซื้อหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ตอบรับข่าวดีเรื่องการขยายเพดานหนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ผ่านการอนุมัติจากทั้งสองสภาไปแล้ว ทำให้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะไม่ผิดนัดชำระหนี้
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเล็กน้อยที่ 197 ล้านบาท ด้านตลาดตราสารหนี้พลิกกลับมาซื้อสุทธิถึง 1.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ก่อนหน้านั้นขายติดต่อกัน 5 วัน รวม 9.3 พันล้านบาท โดยเป็นยอดซื้อสุทธิที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 1 เดือน ซึ่งในยอดซื้อก้อนนี้แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะยาว (อายุเกิน 1 ปี) ถึง 3.7 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 31.02 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในเช้าวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา (แข็งค่ากว่า 1.3% ในรอบ 1 สัปดาห์)
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จากนี้ไปผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจะมีความผันผวนจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) โดยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนกล่าวว่า จากแรงผลักของเงินต่างชาติดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น และคาดว่าปี 2557 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,650-1,700 จุด คิดเป็นอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี เรโช) ที่ 15 เท่า โดยมี 5 ปัจจัยที่สนับสนุนทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นไทย หนึ่งในนั้น คือ ปัญหาการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ในรอบนี้ที่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะเป็นเพียงการขยายเพดานหนี้ชั่วคราวก็ตาม
นอกจากนี้ตลาดเกิดใหม่ยังน่าสนใจ และเชื่อว่าจะมีเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนแน่นอน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ก่อนหน้านี้เงินทุนต่างชาติไหลออกไปจำนวนมาก เหลืออยู่เพียง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท) ดังนั้นเชื่อว่าจากนี้ไปเงินทุนจะไหลกลับเข้าไทย (ดูตารางประกอบ)
อย่างไรก็ตามประธานสภาธุรกิจตลาดทุนกล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้น คือ ปัญหาการคลังสหรัฐฯ ที่ยังกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวน เพราะเมื่อใกล้ช่วงเวลาที่มีการพิจารณาทั้งเรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯ มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง(QE)รอบที่ 3 ก็จะมีกระแสข่าวเข้ามากระทบเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในประเทศ ยังเป็นเรื่องการเมืองที่ทำให้นักวิเคราะห์ต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และยังต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการมากระตุ้นการบริโภคที่ชะลอตัวลงให้ฟื้นตัวได้หรือไม่ ซึ่งหากว่ารัฐบาลสามารถทำได้ตามเป้าหมาย ตลาดหุ้นไทยก็จะร้อนแรงอย่างแน่นอน โดยกลุ่มที่ได้รับผลดี คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่จะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวสามารถซื้อสะสมได้ แต่นักลงทุนที่เก็งกำไรระยะสั้นให้รอช่วงดัชนีอ่อนตัวลง
บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัสฯ ระบุว่าขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยระยะสั้นขึ้นมายืนเหนืออัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี เรโช)ที่ระดับ 15 เท่า ทำให้มีแนวโน้มผันผวนสูง ท่ามกลางแรงหนุนต่างชาติน้อยลง ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน ยังแนะนำให้ยึดแนวทางเดิมคือ ให้ถือหุ้น 40% และให้เลือกหุ้นรายตัวที่ได้ประโยชน์จากความคืบหน้าของการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ หรือหุ้นที่ยังมีผลกำไรเติบโตสูงในงวดครึ่งปีแรกของปี 2556 เช่น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ( STEC) บมจ.ไพลอน( PYLON) และบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง( BTS)
ทั้งนี้แม้ว่าสหรัฐฯจะรอดพ้นจากปัญหาใหญ่ 2 เรื่อง แต่ก็เป็นเพียงระยะชั่วคราวเท่านั้น และรัฐบาลก็จะต้องกลับมาเจรจากันอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เป็นการยืนยันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) น่าจะขยายเวลามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ออกไป จนกว่าการแก้ไขปัญหาหลักได้ผ่านพ้นไป ซึ่งเชื่อว่ายังเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นโลกอีกระยะหนึ่ง บล.เอเซีย พลัสฯ ระบุอีกว่า ความคาดหวังว่าจะมีการยืดใช้ QE3 ออกไป น่าจะกดดันให้ค่าเงินสหรัฐฯอยู่ในทิศทางอ่อนค่าต่อไป ตรงข้ามกับค่าเงินยูโรที่แข็งค่า และเช่นเดียวกับค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยังคงอยู่ในทิศทางแข็งค่า ประกอบกับเป็นฤดูกาลส่งออก แม้จะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกค่อย ๆ ฟื้นตัวก็ตาม แต่น่าจะมีน้ำหนักทำให้ค่าบาทยังเคลื่อนไหวอยู่กรอบของการแข็งค่าระดับ 31-30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อภาคส่งออกมากนัก และทำให้ภาคส่งออกน่าจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในงวดไตรมาส 4/56 ท่ามกลางกำลังซื้อและการลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอตัว ขณะที่การลงทุนในสาธารณูปโภคของภาครัฐ ยังต้องรอให้สภา ผ่านการพิจารณางบ 2 ล้านล้านบาทไปก่อน ซึ่งน่าจะมีความคืบหน้าในช่วงปลายปีนี้
ส่วนนายบัณฑิต นิจถาวร ประธานสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดเงินและตลาดทุนไทยยังคงผันผวนต่อไป แม้ว่าสหรัฐฯมีข้อตกลงขยายเพดานหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นการพิจารณานโยบายQE ของสหรัฐฯที่ยังไม่ชัดเจนด้วย
เช่นเดียวกับนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่าตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวนต่อไป เหมือนช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯมีโอกาสปรับขึ้นและปรับตัวลงในระดับ 100 จุด จนกว่าสถานการณ์ในสหรัฐฯจะได้ข้อสรุปชัดเจนและได้ข้อสรุป แม้จะมีการเลื่อนกรอบระยะเวลาของเพดานหนี้และมีการยกเลิกการปิดสำนักงานรัฐบาลแล้ว แต่เป็นเพียงการยืดเวลาเท่านั้น ความไม่แน่นอนยังกระทบในเชิงจิตวิทยากับนักลงทุนอยู่

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,889 วันที่ 20-23 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4586

โพสต์

วันอาทิตย์ที่ 27 ตค นี้ ที่บูธ กรุงเทพธุรกิจ เนชั่น
M17 Zone C เชิญพบนักเขียน ดรีมทีมวีไอ ไทยแลนด์

มีสัมภาษณ์ นายกโจ อนุรักษ์ ด้วยครับ ที่ Meeting room4
15.30 -17.00 น ครับ
ขอเรียนเชิญพวกเรานะครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4587

โพสต์

Paul VI เขียน:วันอาทิตย์ที่ 27 ตค นี้ ที่บูธ กรุงเทพธุรกิจ เนชั่น
M17 Zone C เชิญพบนักเขียน ดรีมทีมวีไอ ไทยแลนด์

มีสัมภาษณ์ นายกโจ อนุรักษ์ ด้วยครับ ที่ Meeting room4
15.30 -17.00 น ครับ
ขอเรียนเชิญพวกเรานะครับ
พี่หมอมุขไปด้วยใช่มั้ยคะ
อยากไปมากเลย แต่ลงชื่อสัมมนา money talk@set ไว้ค่ะ
ตรงกันพอดีเลย....แต่นุชก็ฝากเพื่อนไปซื้อให้แล้วค่ะ

พี่หมอมุขยุ่งๆ อยู่ แต่ก็ยังกรุณานำบทความมาแบ่งปัน
มาติดตามอ่านด้วยความขอบคุณเสมอเลยค่ะ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4588

โพสต์

มาส่งการบ้านก่อนครับ ระหว่างเดินทางไป สกีรีสอร์ท ที่เชิงเขาฟูจิ

ก็เริ่มมองเห็นวิว ภูเขาไฟฟูจิสวยๆบ้างล่ะครับ
ยอมรับว่า วิว 2 ข้างทางสร้างความสุขได้ดีจริงๆ

การได้เที่ยวไปอย่างมีความสุขกับครอบครัว เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องหุ้น 10 เด้งซะอีก :mrgreen:

ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะไปเที่ยวไหนต่อดีระหว่าง ลุยฮอคไกโด หรือไป นิวซีแลนด์ หรือไปรัสเซีย ขอให้รางวัลชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆตลอดเส้นทางนี้ล่ะครับ :wink:

ขอกลับไปปฎิบัติภารกิจและหาเวลาไปเตรียมรูปที่เหลือครับ bye
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
เกล้า
Verified User
โพสต์: 1165
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4589

โพสต์

สวยมากครับพี่หมอ....ช่วงนี้พี่ๆวีไอเราไปเที่ยวญี่ปุ่นกันพอสมควรเลย...ล่าสุดพี่ simpleBE
เก็บภาพมาไม่แพ้พี่หมอเลยครับ... :D
ควรทุ่มเทเจริญให้มาก..ในงานที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง..
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4590

โพสต์

เกล้า เขียน:สวยมากครับพี่หมอ....ช่วงนี้พี่ๆวีไอเราไปเที่ยวญี่ปุ่นกันพอสมควรเลย...ล่าสุดพี่ simpleBE
เก็บภาพมาไม่แพ้พี่หมอเลยครับ... :D
น้องเกล้า ไปเที่ยวที่ไหนมา ก็เอาภาพสวยๆมาฝากเพื่อนๆที่กระทู้ได้นะครับ

เอามากระตุ้นต่อมอยากเที่ยวกัน

ลงทุนได้กำไร ก็ต้องหากำไรให้ชีวิตกันด้วยครับ

ไม่รู้คุณ simple BE ไปที่ไหนบ้างนะครับ

เอารูปสวยๆมาฝากที่กระทู้นี้บ้างนะครับ

ตอนนี้กำลังสนใจตลุย Hokkaido อยู่ครับ