มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4471

โพสต์

ไม่ใช่ค้าปลีกทุกรายจะประสบความสำเร็จในแต่ละตลาด แม้จะมี Business Modael ที่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนตลาดที่ใช้่...มันก็ไม่แน่ว่าทุกครั้งจะสำเร็จ
เทสโก ซึ่งเพิ่งประกาศแผนขายทิ้งเฟรช แอนด์ อีซี เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่ามา เผยด้วยว่า ยูไคปา จะเข้าครอบครองสาขาของเฟรช แอนด์ อีซี มากกว่า 150 สาขา รวมถึงศูนย์จัดจำหน่าย และโรงงานผลิต ส่วนพนักงานของเชนซูเปอร์เก็ตแห่งนี้ราว 4,000 คน จะถูกย้ายโอนไปสู่ธุรกิจใหม่

อย่างไรก็ดี กรรมการผู้จัดการยูไคปา "นายรอน เบอร์เกิล" ให้คำมั่นถึงการสร้างแบรนด์ เฟรช แอนด์ อีซี ให้ผงาดขึ้นมาเป็นร้านสะดวกซื้อรุ่นใหม่ จัดหาบริการให้กับผู้บริโภคที่มีธุรกิจวุ่นวายได้เข้าถึงสินค้าที่มีความเป็นท้องถิ่น และดีต่อสุขภาพมากขึ้น

เทสโกประเมินด้วยว่า ค่าใช้จ่ายในการปิดร้านค้า เงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่นๆอาจพุ่งขึ้นถึง 150 ล้านปอนด์ โดยบริษัทคาดว่า กระบวนการขายกิจการครั้งนี้ ที่ต้องรอการตรวจสอบอย่างเป็นทางการก่อนนั้น จะเสร็จสิ้นภายในเวลา 3 เดือน

ขณะที่นายฟิลิป คลาร์ก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริการ เทสโก กล่าวเสริมว่า การตัดสินใจครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถควบคุมการถอนตัวออกจากตลาดสหรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยคุ้มคองตำแหน่งงานที่เฟรช แอนด์ อีซีไว้ได้

การเคลื่อนไหวข้างต้น ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เทสโกเพิ่ง รายงานรายได้หายไป 1,200 ล้านปอนด์จากกิจการเฟรช แอนด์ อีซี่ และครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ยอดกำไรประจำปีของเทสโก้ดิ่งลงในช่วงเกือบ 20 ปี

ทั้งนี้ เทสโก ซึ่งทำรายได้ได้ประมาณ 2 ใน 3 ในอังกฤษ ต้องดิ้นรนมากกว่าบริษัทคู่แข่งหลายราย ส่วนหนึ่งเนื่องจากบริษัทขายสินค้าอุปโภคในสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ค้าปลีกรายอื่น และยังเป็นเพราะมีการลงทุนต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาหลายปี เห็นได้จากที่เทสโก้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งอย่าง "เจ เซนส์บิวรี" และ "แอสดา"

ธุรกิจ : Global Corporate
วันที่ 12 กันยายน 2556 03:31
เทสโก้ขายทิ้งธุรกิจในสหรัฐ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4472

โพสต์

เอามาฝาก เป็นVdo ย้อนหลัง การจัดงานมีตติ้ง thaivi ในอดีต

เป็นอะไรที่น่าดูเป็นความรู้มากๆครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=56167
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4473

โพสต์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 13 ก.ย. อ้างอิงผลสำรวจจากธนาคารยูบีเอส ของสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมกับบริษัทวิจัยความมั่งคงด้านสินทรัพย์และที่ปรึกษาด้านธุรกิจ "เวลธ์-เอ็กซ์" ของสิงคโปร์ ปรากฏว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนเศรษฐีพันล้านเกิดใหม่ ที่เรียกว่ากลุ่ม "อภิมหาเศรษฐี" ( Ultra high net worth ) หรือบุคคลซึ่งถือครองทรัพย์สินเกิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1 พันล้านบาท ) เพิ่มมากที่สุด โดยอันดับ 1 ได้แก่ ประเทศไทย มีจำนวนเศรษฐีพันล้านเกิดใหม่ในปีนี้มากถึง 720 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว 95 คน หรือ 15.2%

ปัจจุบัน กลุ่มเศรษฐีพันล้านของไทยถือครองทรัพย์สินรวมกัน 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.5 ล้านล้านบาท ) เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.02 ล้านล้านบาท )

ขณะที่อันดับ 2 และ 3 คือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีจำนวนเศรษฐีพันล้านคนใหม่เพิ่มขึ้น 14.7% และ 10.2% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงสถิติมีเศรษฐีพันล้านมากที่สุดในภูมิภาค คือ 865 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว 80 คน แต่ถือครองทรัพย์สินรวมกันมากถึง 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 4.1 ล้านล้านบาท )

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ไทยมีจำนวนเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่ามาจาการขยายตัวทางการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น และการที่ต่างประเทศยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนทั้งในภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

http://www.dailynews.co.th/world/232816
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4474

โพสต์

[quote="Paul VI"]ประเทศไทย มีจำนวนเศรษฐีพันล้านเกิดใหม่ในปีนี้มากถึง 720 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว 95 คน หรือ 15.2%
720 คน นี่ ดูเหมือน จะเป็นสมาชิกไทย VI หลายสิบคนเหมือนกัน นะครับ อิๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4475

โพสต์

Dr.Jfk เขียน:
Paul VI เขียน:ประเทศไทย มีจำนวนเศรษฐีพันล้านเกิดใหม่ในปีนี้มากถึง 720 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว 95 คน หรือ 15.2%
720 คน นี่ ดูเหมือน จะเป็นสมาชิกไทย VI หลายสิบคนเหมือนกัน นะครับ อิๆ
ผมก็ว่างั้นล่ะครับ :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4476

โพสต์

“กสทช.” ปิดซื้อซองประมูล “ทีวีดิจิตอล” เผยตลอด 3 วัน (10-12 ก.ย.) เอกชนแห่ซื้อซอง 33 ราย ขายซองไป 49 ซอง รวมมูลค่าเหยียบ 52 ล้านบาท โดยประเภททั่วไป SD แห่ซื้อมากสุด ตามด้วยช่องข่าว-ประเภททั่วไป HD ส่วนช่องเด็กขายซองได้น้อยสุด “ไตรรัตน์” ระบุกรณีช่อง 7 ถือว่าผิดกฎ แนะไปเคลียร์กันเอง

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองเลขาธิการ กสทช.) ภารกิจยุทธศาสตร์และกิจการองค์กร รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ภายหลัง กสทช.เปิดให้จำหน่ายเอกสารการประมูลขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ จำนวน 24 ช่อง (ซองประมูล) ตั้งแต่วันที่ 10-12 ก.ย. 2556 นั้น โดยตลอดระยะเวลา 3 วันของการจำหน่ายซองประมูลมีจำนวนผู้ประกอบการเอกชนที่สนใจเข้ามาซื้อซองรวมจำนวน 33 ราย ขายซองประมูลไปได้ 49 ซอง ตกซองละ 1,070,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ดังนั้นรวมมูลค่าการจำหน่ายซองอยู่ที่ 52,430,000 บาท โดยประเภทช่องที่มีการซื้อซองมากที่สุด คือ ประเภททั่วไป SD 17 ซอง, ประเภทข่าวสารและสาระ 12 ซอง, ประเภททั่วไป HD 12 ซอง และ ประเภทช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว 8 ซอง

ทั้งนี้ การจำหน่ายเอกสารประมูลดังกล่าวนั้นเริ่มเปิดหน่ายมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งในวันแรกมีผู้ประกอบการเอกชนที่สนใจเข้าซื้อซอง 8 ราย 11 ซอง ได้แก่ 1. บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ หรือสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 โดยได้ยื่นซื้อซองประมูลทีวีดิจิตอลประเภททั่วไป (วาไรตี้) ความคมชัดสูง (HD) 2. บริษัท บีบีทีวี แซทเทลวิชั่น ในเครือ ช่อง7 ยื่นซื้อซองประเภททั่วไป (วาไรตี้) ความคมชัดมาตรฐาน(SD) 3. บริษัท โรสมีเดียแอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ยื่นซื้อซองประมูลช่องเด็ก เยาวชนและครอบครัว 4. บริษัท ทัช ทีวี ในเครือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น กลุ่มอินทัช ยื่นซื้อซองประเภททั่วไป SD 5. บริษัท โพสต์ ทีวี ในเครือบริษัท โพสต์ พลับลิชชิ่ง เจ้าของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ยื่นซื้อซองประเภทข่าวสารและสาระ 6. บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี ในเครือจีเอ็มจีเอ็มแกรมมี่ ยื่นซื้อซองประเภททั่วไป HD 7. บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอสดี ดิจิทัล ทีวี ในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ยื่นซื้อซองประเภททั่วไป SD และ 8. บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย หรือกลุ่มสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เดินทางมายื่นซื้อซองประมูลทั้งหมด 4 ซองได้แก่ประเภททั่วไป SD, ประเภททั่วไป HD, ประเภทข่าวสารและสาระ และประเภทช่องเด็กเยาวชน และครอบครัว

ส่วนในวันที่ 2 วันที่ 11 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการจำหน่ายซองประมูลกลับคึกคักกว่าในวันแรกโดยมีผู้ประกอบการแห่เข้ามาซื้อซองประมูลมากถึง 16 ราย 23 ซอง ประกอบไปด้วย 1. บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ซึ่งเข้ามาซื้อ 2 ซองได้แก่ประเภทข่าวสารและสาระ และประเภททั่วไป SD 2. บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด (เครือ บริษัท เวิร์คพ้อยท์ จำกัด (มหาชน) ซื้อ 2 ซองคือประเภททั่วไป SD และประเภททั่วไป HD 3. บริษัท สปริงส์นิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด ซื้อซองประเภทข่าวสารและสาระ 4. บริษัท ไทยทีวี จำกัด (เครือนิตยสารทีวีพูล) ซื้อ 3 ซอง คือ ประเภทช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว ,ประเภทข่าวสารและสาระ และประเภททั่วไป SD 5. บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซื้อ 3 ซอง ได้แก่ประเภทเด็ก เยาวชน และครอบครัว ,ซองประเภททั่วไป SD และประเภททั่วไป HD 6.บริษัท บางกอกมีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (กลุ่มปราสาททองโอสถ : บางกอกแอร์เวย์ส) ซื้อ 2 ซอง คือ ช่องประเภททั่วไป SD และประเภททั่วไป HD

7. บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด กลุ่มบริษัท จัสมิน จำกัด (มหาชน) ซื้อซองช่องประเภททั่วไป SD 8. บริษัท โมโน เจนเนอเรชั่น จำกัด ซื้อซองช่องข่าว 9.บริษัท โมโน ทีวี จำกัด ซื้อซองช่องประเภททั่วไป HD 10. บริษัท เนชั่น คิดส์ จำกัด ซื้อซองช่องเด็ก 11.บริษัท เอ็นบีซี เน๊กซ์ วิชั่น จำกัด ซื้อซองช่องข่าว 12. บริษัท แบงคอก บิสสิเนส บรอดแคสติ้ง จำกัด ซื้อซองช่องประเภททั่วไป HD 13. บริษัท ไอ-สปอร์ต มีเดีย จำกัด (สยามกีฬา) ซื้อซองช่องข่าว 14. บริษัท 3เอ.มาร์เก๊ตติ้ง จำกัด ซื้อซองช่องข่าว และ 15. บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด บริษัทในเครือหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซื้อซองข่าวสารและสาระ และ 16. บริษัท ทัช ทีวี จำกัด ซื้อซองช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว

ขณะที่ในวันสุดท้ายของการเปิดจำหน่ายการซื้อซองประมูลนั้น มีผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาซื้อซองเพิ่มอีกจำนวน 10 ราย จำนวนซองประมูลที่ขายไปอีก 15 ซอง โดยในช่วงเช้ารายแรกที่เข้ามาซื้อ คือ บริษัท ทรู ดีทีที จำกัด ได้เข้ามาซื้อ 3 ซอง ได้แก่ ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว, ประเภททั่วไป SD และประเภททั่วไป HD 2. บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทรู โดยเข้ามาซื้อซองประเภทช่องข่าวสารและสาระเพิ่มอีก1ซอง 3. บริษัท อาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด ซื้อซองประเภททั่วไป SD และ 4.บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ซื้อ 2 ซองคือประเภททั่วไป SD และประเภททั่วไป HD

และในช่วงบ่ายมีบริษัทที่ 5 คือ บริษัท จันทร์ 25 จำกัด ซึ่งมีนางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ เป็นเจ้าของบริษัท โดยเข้ามาซื้อ 1 ซองประเภททั่วไป HD 6. บริษัท ทริปเปิ้ล วี บรอดคลาส (ไทยรัฐทีวี) ซื้อซอง 3 ซอง ได้แก่ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว ,ประเภททั่วไป SD และประเภททั่วไป HD 7. บริษัท พีเอ็มกรุ๊ป จำกัด ซื้อซองประเภททั่่วไป HD 8. บริษัท โฟนวันเอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซื้อประเภททั่วไป SD และช่องทั่วไป HD 9. บริษัท แอ๊คทีฟโพสต์ จำกัด ซื้อช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว 10. บริษัท เอ็นทีซี จำกัด ซื้อซองประเภททั่วไป SD

อย่างไรก็ดี ขั้นตอนต่อไปหลังจากการจำหน่ายเอกสารการประมูลแล้วทางสำนักงาน กสทช.จะดำเนินการจัดประชุมชี้แจงหลังจำหน่ายเอกสารการประมูลในวันที่ 15 ต.ค. 2556 จากนั้นในวันที่ 28-29 ต.ค. กสทช.จะเปิดให้ผู้ประกอบการเข้ามายื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อไป และโดยหลังจากนั้นภายใน 45 วันจะประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการประมูล โดยทาง กสทช.ประมาณการณ์เอาไว้ว่าจะสามารถเริ่มเปิดได้ประมูลในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2556 นี้

นอกจากนี้ นายไตรรัตน์กล่าวถึงกรณีที่บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (ช่อง 7) และบริษัท จันทร์ 25 จำกัด เข้ามาซื้อซองประเภททั่วไป HD ประเภทเดียวกันถึง 2 ซอง ทั้งที่นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ ในฐานะเป็นเจ้าของบริษัท จันทร์ 25 และยังคงมีการถือหุ้นช่อง 7 อยู่ 21% นั้นซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฎการประมูลโดยตรงอยู่แล้ว ทั้งนี้คงต้องรอให้ทั้งสองบริษัทไปตกลงกันเองต่อไป

“สำหรับกรณีผิดกฎการประมูลนั้นมีอยู่ 3 ข้อ คือ 1. บริษัทเดียวกันห้ามซื้อซองประมูลประเภทเดียวกัน 2. ห้ามถือหุ้นไขว้เกิน 10% 3. ห้ามผู้ประกอบการรายเดียวเข้าประมูลประเภท HD และประเภทข่าวสารและสาระ”

ขณะเดียวกัน ในวันขายซองประมูลวันสุดท้าย นายสุวิทย์ มิ่งมล ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นหนังสือ ถึง กสทช. โดยมีนายไตรรัตน์ วิริยะกุล รองเลขาธิการ กสทช. ต่อกรณีการประชุมใหญ่สามัญภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของสหพันธ์สหภาพแรงงานโลกภาคอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และการบันเทิงสากล หรือยูนิเม (UNI MEI) ที่มีการประชุมร่วมกับผู้แทนสหภาพแรงงานจากสาขาสื่อมวลชน และผู้แทนสหภาพแรงงานจากสาขาสื่อสารมวลชน รวม 18 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งการประชุมดังกล่าวแสดงความกังวลกับกระบวนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่ทีวีดิจิตอลในประเทศไทย ที่กำลังจะมีการประมูลทีวีดิจิตอลภายใต้การดำเนินงานของ กสทช.เนื่องจากการดำเนินการขาดความเท่าเทียม ทั้งในส่วนของทีวีสาธารณะ และทีวีภาคธุรกิจ ทำให้ผู้ให้บริการโทรทัศน์ต้องเน้นไปที่การลงทุนกับเทคโนโลยี

อีกทั้งช่องสาธารณะมีการร่างกฎระเบียบที่เอื้อให้เกิดการผูกขาด เจาะจงให้กับผู้ดำเนินการจำนวนหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งในต่างประเทศหลายๆ ประเทศใช้วิธีเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนได้เสนอเนื้อหาและผังรายการ โดยไม่ต้องใช้วิธีการประมูล

อย่างไรก็ดี อสมท เองก็ซื้อซองประมูล และมีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมประมูลเนื่องจาก กสทช.เลือกวิธีการเปลี่ยนผ่านอนาล็อคสู่ดิจิตอลเป็นการประมูล และกสทช.ให้ความสำคัญในเรื่องของใบอนุญาตที่มีราคาแพงมากกว่าสิทธิประโยชน์ของผู้ให้บริการ ในขณะที่ต่างประเทศทั่วโลกไม่ใช้การประมูลแต่ใช้การบิวตี้คอนเทสต์ ประกวดคุณสมบัติแทน

“เราไม่มีความตั้งใจที่จะล้มการประมูล แต่หาก กสทช.ยังมีจุดยืนที่จะประมูลก็จะนำไปสู่การขอความเป็นธรรมในชั้นศาล ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะยื่นฟ้อง”

ปิดซื้อซองประมูลทีวีดิจิตอลชิงเดือด 33 ราย 49 ซอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2556 19:46 น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4477

โพสต์

ไรมอน แลนด์ เปิดผลวิจัย คอนโดในเมือง 65% ราคาเกิน 1 แสน/ตร.ม. พัทยาน่าห่วงโอเวอร์ซัพพลาย

บริษัท ไรมอน แลนด์ ได้วิจัยสภาพตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และพัทยา ในรายงาน “Condominium Focus Thailand” โดยระบุว่า ราคาห้องชุดในเมืองยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกว่า 60% ของโครงการที่เปิดตัวใหม่จะมีราคาสูงกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) และมีอีก 5% ที่ราคาสูงกว่า 2 แสนบาทต่อ ตร.ม.

นอกจากนี้ จากราคาขายห้องชุดที่สูงขึ้นได้ทำให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าลดลงได้ โดยปัจจุบันผลตอบแทนจะอยู่ที่ระดับ 4-7% สำหรับโครงการที่ก่อสร้างเสร็จ

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 โครงการ จำนวน 1.4 หมื่นยูนิต โดยส่วนใหญ่เป็นห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน ในพื้นที่ย่านกลางเมือง ซึ่งมีอัตราการขายห้องชุดยังอยู่ในระดับดีที่ 74% สำหรับโครงการใหม่

สำหรับใน 2-3 ปี ข้างหน้าคาดว่าจะมีห้องชุดกว่า 2.4 หมื่นยูนิต ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดตัวออกสู่ตลาดในทำเลพระราม 9 รัชดาฯ ลาดพร้าว พหลโยธิน และตามเส้นทางส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลมและสุขุมวิท

นายไซม่อน เดอร์วิลเล่ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไรมอน แลนด์ กล่าวว่า พื้นที่ใจกลางเมืองยังคงมีศักยภาพสำหรับการพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ เนื่องจากห้องชุดที่มีพื้นที่กว้างยังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่วนในทำเลอื่นๆ ในพื้นที่ตัวเมืองกรุงเทพฯ นั้น จะยังเห็นโครงการใหม่ๆ เปิดตัวเพิ่มขึ้น

ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมที่พัทยา ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานั้น มีห้องชุดก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นจำนวน 1.3 หมื่นยูนิต และมีอัตราการขายสูงถึง 87% โดยห้องชุดใหม่ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในย่านพัทยากลาง และพัทยาใต้ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 7.1 หมื่นบาทต่อ ตร.ม. เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 21.2% จากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น

“ภายในช่วงสามปีข้างหน้านี้จะมีห้องชุดก่อสร้างแล้วเสร็จถึง 2.5 หมื่นยูนิต ในพัทยา และการที่ห้องชุดเปิดตัวใหม่ขายไปได้จริงๆ แค่ 48% ถือว่าเป็นประเด็นที่น่ากังวลทีเดียว แต่ในทางกลับกัน ก็อาจมองได้ว่า ตลาดยังคงมีความต้องการห้องชุดอยู่ แต่ปัญหาก็คือจำนวนโครงการใหม่ที่มีมากเกินไป”นายเดอร์วิลเล่ กล่าว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4478

โพสต์

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 11 กันยายน 2556 15:08:14 น.

การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปีพ.ศ. 2563 หรือ Olympic 2020 อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ IOC ได้เคยใช้สิทธิ์ลงคะแนน แต่ถึงกระนั้นก็ดี โตเกียวก็สามารถคว้าชัยชนะอย่างสวยงาม ท่ามกลางความตื้นตันใจและความหวังของชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ



โตเกียวสามารถเบียดเอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง มาดริด และอิสตันบูล ไปได้อย่างท่วมท้นในการประชุมคัดเลือกรอบสุดท้ายที่บัวโนสไอเรส หลังจากที่อิสตันบูลได้คะแนนเท่ากับเมืองหลวงของสเปนในการคัดเลือกรอบแรก โดยโตเกียวได้รับคะแนนเสียงสูงกว่าอิสตันบูล 60 ต่อ 32 เสียง ส่งผลให้โตเกียวกลายเป็นเมืองลำดับที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพครั้งแรกในปีพ.ศ. 2507 (1964)

ผลการคัดเลือกเป็นยิ่งกว่าความสุขสำหรับชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่นที่กล่าวว่า เขาดีใจมากกว่าที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก พร้อมกลับกล่าวสั้นๆว่า “ผมยิ่งกว่าดีใจ และขอแบ่งปันความรู้สึกนี้ร่วมกับชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ"

ทั้งนี้ การพิจารณาคัดเลือกเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีขึ้นทั้งหมด 3 รอบ การได้รับเสียงสนับสนุนเท่ากันระหว่างมาดริดและอิสตันบูลส่งผลให้ต้องมีการออกเสียงคัดเลือกใหม่ ซึ่งอิสตันบูลสามารถเบียดเอาชนะไปได้อย่างเฉียดฉิวที่ 49 ต่อ 45 เสียง ก่อนที่จะมาพ่ายแพ้ให้กับโตเกียวในรอบสุดท้าย

สมาชิกอาวุโสของ IOC แสดงความเห็นต่อชัยชนะของโตเกียวว่า เป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบกับมาดริดและอิสตันบูล ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งสองเมืองต่างก็สร้างความสงสัยให้กับคณะกรรมการในเรื่องของความพร้อม

ทีมงานเบื้องหลังของญี่ปุ่นพร้อมใจกันทำงานหนัก
สำหรับทีมงานญี่ปุ่น การคาดการณ์เกี่ยวกับผลการคัดเลือกของ IOC ในที่ประชุมสามัญนับเป็นส่วนสำคัญในแผนเพื่อให้ได้รับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2563 และทีมงานได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด จวบจนกระทั่งถึงการลงคะแนนเสียงในรอบสุดท้าย

ทีมงานของญี่ปุ่นที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงจากความล้มเหลวในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปีกในปี 2559 (2016) ได้ใช้กลยุทธ์การล็อบบี้เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงในฝ่ายบริหารซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยชี้คอาหมัด อัล-ฟาฮัด อัล-ซาบาห์ ผู้ทรงอิทธิพลจากคูเวตที่ผลักดันให้นายโธมัส แบคช์ รองประธาน IOC จากเยอรมนี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานแทนนายฌาคส์ ร็อกก์ ในการประชุมเลือกตั้งครั้งล่าสุด

นายอัล-ซาบาห์ ซึ่งเป็นประธานสภาโอลิมปิกเอเชียและเป็นที่รู้จักกันในบรรดาสมาชิกคณะกรรมการ IOC ว่าเป็น “ผู้แต่งตั้งพระราชา" นับเป็นบุคคลที่มีสายสัมพันธ์อย่างแนบแฟ้นกับบรรดาคณะกรรมการคนสำคัญ ซึ่งที่ปรึกษาทีมงานญี่ปุ่นรายหนึ่งระบุว่า “การเลือกตั้งประธาน IOC คนใหม่และประเทศเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วล่วงหน้า"

เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนอย่างแน่นอน นายสึเนคาซู ทาเคดะ หัวหน้าทีมญี่ปุ่นระบุว่า ญี่ปุ่นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก IOC อย่างน้อย 40 เสียง ในการลงคะแนนลับในรอบแรก โดย 1 วันก่อนการออกเสียง ญี่ปุ่นคาดว่าจะได้รับเสียงสนับสนุน 41 เสียงแต่ก็มั่นใจว่าจะได้มากถึง 43 เสียง และได้มาทั้งหมด 42 เสียงจากคณะกรรมการทั้งหมด 94 คน ยังขาดอีก 6 เสียงในการได้รับชัยชนะเกินกึ่งหนึ่ง

“เรามีความพร้อมด้านการเงิน" นายมาซาโตะ มิซูโน ประธานทีมงานเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020 (Tokyo 2020) และอดีตประธานบริษัทมิซูโน โค. ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาระดับโลกกล่าว “เรามีประสบการณ์จากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในปี 2559 และได้ทำการศึกษาเพื่อให้มั่นใจว่าเราได้ใช้ความได้เปรียบตามแผนที่วางไว้ของทีมญี่ปุ่น"

หัวใจสำคัญก็คือ การได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิก IOC ที่เคยโหวตให้กับญี่ปุ่นในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกในปี 2559 และสิ่งที่สำคัญ ต้องทำให้ชี้คจากอาหรับจนมุม โดยก่อนหน้านี้ ผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากชี้คอัล-ซาบาห์ในการเลือกตั้ง IOC 2 ครั้งก่อนหน้านี้ต่างก็ได้รับชัยชนะทั้ง 2 คน

มีกระแสข่าวลือในเดือนสิงหาคมว่า ชี้คอัล-ซาบาห์ระบุว่ามาดริดเป็นคู่แข่งที่สำคัญในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2563 ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นมอบหมายให้นายโยชิฮีโร โมริ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นตัวแทนดำเนินการล็อบบี้ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และนายทาเคดะทำหน้าที่ล็อบบี้ในกลุ่มประเทศแถบยุโรป

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นกล่าวว่า เจ้าหญิงฮิซาโกะของญี่ปุ่น นายโมริ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้หารือเป็นการส่วนตัวร่วมกับนายลามีน ไดแอค ประธานสหพันธ์กรีฑานานาชาติในโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมสามัญของ IOC นับเป็นครั้งแรกที่เชื้อพระวงศ์ญี่ปุ่นได้ประชุมร่วมกับ IOC

ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งของ IOC จะปิดเป็นความลับจนกว่าประธาน IOC จะประกาศอย่างเป็นทางการ

ชาวญี่ปุ่นยิ่งกว่าดีใจ
ชาวญี่ปุ่นหลายพันคนที่อดนอนตลอดทั้งคืนเพื่อรอดูผลการคัดเลือกเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกต่างก็แสดงความดีใจที่โตเกียวได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพในปี 2563 ซึ่งนักกีฬาญี่ปุ่นกล่าวว่า ผลการลงคะแนนดังกล่าวเป็นเรื่อง “ในฝัน" ในขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวทั้งน้ำตา

ทีวีเกือบทุกช่องของญี่ปุ่นได้ถ่ายทอดสดผลการคัดเลือกในเวลา 05.20 น. ตามเวลาในประเทศ ในขณะที่สถานี NHK ของรัฐบาลญี่ปุ่นเกาะติดสถานการณ์มาตั้งแต่ 7 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น

ทันทีที่นายฌาคส์ ร็อกก์ ประธาน IOC ประกาศผลการตัดสินใจของคณะกรรมการ ทีมงานญี่ปุ่นต่างก็กระโดดขึ้นจากเก้าอี้พร้อมสวมกอดกันและกันและตะโกนอย่างยินดี ขณะที่ประชาชนราว 1,200 คนที่รวมตัวกันที่หอการค้าโตเกียวเพื่อรอลุ้นผลการคัดเลือกต่างก็แสดงความดีใจในทำนองเดียวกัน ส่วนประชาชนที่รวมตัวกันที่สวนสาธารณะโคมาเซวะ โอลิมปิก ปาร์ค ในโตเกียวพากันฉลองชัยด้วยการจุดพลุริบบิ้นและปล่อยลูกโป่ง

ตลาดหุ้นโตเกียวพุ่งแรง ขานรับข่าวดี
นักลงทุนคาดว่า ชัยชนะเหนือมาดริดและอิสตันบูลของโตเกียวในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกในปี 2563 จะส่งผลให้มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นในวงเงินประมาณ 3 ล้านล้านเยน (1.92 หมื่นล้านปอนด์) ในช่วง 7 ปีข้างหน้า

ผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันทีภายหลังการทราบผลการคัดเลือกก็คือ ค่าเงินเยนได้ปรับตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เมื่อตลาดเปิดทำการในเช้าวันจันทร์ ในขณะที่ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 2.5% ทำสถิติสุงสุดในรอบ 1 เดือน

การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยังได้รับปัจจัยหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ขยายตัวในจังหวะที่รวดเร็วขึ้นกว่าที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้านั้น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสำหรับไตรมาสเดือนมกราคม-มีนาคมจาก 3.8% เป็น 4.1%

นอกจากนี้ สำนักงานคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นยังยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญีปุ่นขยายตัว 3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสเดือนเมษายน-มิถุนายน

เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นรายหนึ่งระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะก่อสร้างสนามกีฬา สนามฝึกซ้อม และโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคในเขตเมืองในวงเงิน 4.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่โตเกียวได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2020 จะช่วยกระตุ้นภาคการก่อสร้างและการท่องเที่ยวของประเทศ รวมถึงกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ รวมทั้งความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์หลังจากที่ประเทศได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม 2554

“การเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกในปี 2507 (1964) ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น และคาดว่าการเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกอีกครั้งในปี 2563 จะแสดงให้เห็นถึงการกลับมาของญี่ปุ่น" นักวิเคราะห์ระบุ

โดราเอมอนรับหน้าที่ทูตโอลิมปิก 2020
โดราเอมอน ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของญี่ปุ่นได้รับคัดเลือกให้เป็นทูตกีฬาโอลิมปิก 2020 และกีฬาพาราลิมปิก 2020 นับเป็นครั้งแรกที่การ์ตูนแอนิเมชั่นได้รับคัดเลือกให้เป็นทูตโอลิมปิก

เจ้าหุ่นยนต์แมวอ้วนกลมสีฟ้าที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคตโดยเหลนชายเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือแก่โนบิตะเมื่อถูกแกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋าสี่มิติได้ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในปี 2515

โดราเอมอนเคยได้รับคัดเลือกให้เป็นทูต “การ์ตูนแอนิเมชั่น" โดยกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นในปี 2551 แต่ก็เป็นข่าวที่เงียบมาก

และเฉกเช่นเดียวกับการแข่งขันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก การตัดสินใจคัดเลือกโดราเอมอนให้เป็นมาสคอตโอลิมปิกนับเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากของทีมงาน เนื่องจากมีคู่แข่งที่สำคัญอย่างเฮลโล คิตตี้ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตองค์การยูนิเซฟมาตั้งแต่ปี 2526 และยังเป็นทูตการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นสำหรับจีนและฮ่องกงในปี 2551 รวมถึงเจ้ากระต่ายน้อยน่ารักอย่าง My Melody ที่โด่งดังในระดับโลกเช่นเดียวกัน

ทีมงานโตเกียว 2020 กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกโดราเอมอนเป็นทูตโอลิมปิกว่า ความนิยมในโดราเอมอนเป็นตัวแทนที่ทรงพลังที่ช่วยให้ตระหนักถึงคุณค่าที่สำคัญของญี่ปุ่น นั่นก็คือ การนับถือและมิตรภาพ ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญสำหรับโอลิมปิกเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ โดราเอมอนยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในเรื่องการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้ทำตามความฝันและความหวังของตนเองผ่านทางกีฬา

ทั้งนี้ ทีมงาน In Focus ขอแสดงความยินดีกับญี่ปุ่นที่ได้เป็นตัวแทนของเอเชียในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พร้อมทั้งเป็นกำลังใจในความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประเทศ หลังจากที่ต้องต่อสู้กับภาวะเงินฝืดมาอย่างยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4479

โพสต์

หลีกเลี่ยงหายนะจากวิกฤติตลาดหุ้น
กันยายน 15, 2013 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์

สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ “วิกฤติตลาดหุ้น” เพราะวิกฤติทำให้หุ้นตกลงมามาก ผมเองนิยามว่าถ้าดัชนีตลาดลดลงตั้งแต่ประมาณ 40% ขึ้นไปภายในระยะเวลาหนึ่งปี แบบนี้ผมถือว่าเป็นวิกฤติ และถ้าเราถือหุ้นไว้เต็มพอร์ต เราก็อาจจะขาดทุนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ได้ทั้ง ๆ ที่หุ้นที่เราถืออยู่อาจจะมีพื้นฐานและผลประกอบการที่ยังดีอยู่ อย่างไรก็ตาม บางครั้งวิกฤติตลาดหุ้นก็ฉุดให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปและการขาดทุนของเราก็อาจจะหนักจนแทบจะเป็น “หายนะ” ดังนั้น หน้าที่หลักอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผมก็คือ การพยายามหลีกเลี่ยง “หายนะ” ซึ่งรวมถึงหายนะจากภาวะตลาดหุ้น ว่าที่จริง ถ้านักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติตลาดหุ้นได้แล้วละก็ ผมคิดว่าเขาแทบจะไม่ต้องเลือกหุ้นเก่งกาจอะไรเลย แค่ซื้อกองทุนรวมหุ้น ถือไว้ แล้วก็ขายหน่วยลงทุนทิ้งเมื่อเห็นว่าตลาดหุ้นจะวิกฤติในระยะประมาณหนึ่งปีข้างหน้า ทำได้แบบนี้ผลตอบแทนของเขาก็จะดีมากในระดับ “เซียน” ผมลองศึกษาคร่าว ๆ ดูถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นว่าถ้าเราสามารถเลี่ยงหายนะที่เกิดจากวิกฤติตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดมาจนถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนของเราจะเป็นอย่างไร?

เริ่มตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ในเดือนเมษายน 2518 จนถึงสิ้นปี 2521 เป็นเวลาประมาณ 3 ปีแปดเดือนนั้น ดัชนีตลาดเพิ่มขึ้นจาก 100 จุดเป็นประมาณ 258 จุด หรือเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 160% เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 29.5% ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่หุ้นบูมอย่างหนักโดยเฉพาะในช่วงปี 2520 ถึง 2521 ส่วนหนึ่งจากการปั่นหุ้นและการใช้เงินกู้จากบริษัทเงินทุนบางแห่งเช่นราชาเงินทุนมาซื้อหุ้นของตนเองดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงเกินพื้นฐานไปมากในช่วงที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมธุรกิจหลักทรัพย์ ในช่วงปลายปี 2521 นั้น ถ้านักลงทุนตระหนักว่าตลาดหุ้นกำลังก้าวเข้าสู่วิกฤติและขายหุ้นออกไปหมด เขาก็จะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2522 ที่ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาประมาณ 42% เหลือเพียง 149 จุดในตอนสิ้นปีได้ ในช่วงเกือบ 4 ปีแรกของตลาดหุ้นนั้นเรายังไม่มีกองทุนรวมให้ลงทุนแต่นักลงทุนที่ลงทุนในช่วงนั้นต่างก็ได้กำไรกันโดยไม่ต้องเลือกหุ้น เขาเพียงแต่อยู่ในตลาดก็พอแล้ว

สมมุติว่าหลังจากปีวิกฤติ 2522 นักลงทุนนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ในตอนสิ้นปี 2522 หรือต้นปี 2523 ที่ดัชนี 149 จุด และเขาก็ถือมันไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังไม่มีสัญญาณวิกฤติรอบใหม่แม้ว่าในช่วงปีแรก ๆ ตลาดหุ้นจะซบเซามาก ดัชนีตลาดหุ้นแทบจะไม่ขยับเลยเป็นเวลาติดต่อกันประมาณ 6 ปี แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ทะยานขึ้นในปี 2529 และพุ่งขึ้นอย่างแรงในปี 2530 ตามตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนถึงเดือนตุลาคมที่เกิดเหตุการณ์ Black Monday ที่ตลาดหุ้นถล่มทะลายทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แบล็กมันเดย์นั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจไทยเลย ตลาดไทยเองก็ยังเป็นตลาดปิดที่ต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้ ตลาดตกลงมาสั้นมากไม่กี่เดือนก็ปรับขึ้นไปใหม่ และผมคิดว่าหุ้นไทยน่าจะตกไม่ถึง 40% ไม่ถือว่าเป็นวิกฤติตลาดหุ้น ดังนั้นเราก็ถือหุ้นต่อไปจนถึงสิ้นปี 2532 ที่ดัชนีปรับขึ้นไปเป็น 770 จุด เราตัดสินใจขายหุ้นไปเพราะเราเชื่อว่าตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติหลังจากที่มันปรับตัวขึ้นไปเกือบ 100% ตั้งแต่ต้นปี 2532 ผลตอบแทนที่เราได้คือประมาณ 17.9% ทบต้นเป็นเวลาถึง 10 ปี

ตลาดหุ้นไทยวิกฤติและตกลงมาถึงเกือบ 50% ในช่วงปี 2533 ผลจากการที่อิรักเข้ายึดคูเวตซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันสำคัญของโลก พอถึงสิ้นปี 2533 เราก็เริ่มกลับเข้าไปลงทุนที่ดัชนี 613 จุด ในช่วงต้น ๆ เราก็ประสบกับปัญหาทางการเมืองมากมายเช่นการปฏิวัติและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 อย่างไรก็ตามเราไม่คิดว่ามันจะกระทบกับตลาดหุ้นมากมายอะไร แต่ข้อดีหลังจากนั้นก็คือ ประเทศไทยหลังจากนั้นเราได้นายกที่มาจากการเลือกตั้งที่เน้นทางด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นปีละกว่า 10% ติดต่อกันถึง 3 ปี ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น “ฟองสบู่” เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 1750 กว่าจุดในปี 2537 แต่เราก็ยังไม่ขายเนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังดีอยู่มากประมาณไม่ต่ำกว่า 7-8% ต่อปี อานิสงค์จากการลงทุนของเอกชนที่กู้เงินต่างประเทศเข้ามามากมาย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลงมา 25- 30% ในช่วงปี 2537-2538 พอถึงสิ้นปี 2538 เราก็เริ่มเห็นว่าเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะไปต่อได้เนื่องจากการขาดดุลการค้าที่สูงมาก สินค้าส่งออกของไทยไม่สามารถแข่งขันได้เนื่องจากค่าเงินบาทที่ถูกผูกติดกับเงินดอลลาร์ เราจึงขายหุ้นไปที่ดัชนี 1281 จุด เพื่อเลี่ยงภาวะวิกฤติ ผลตอบแทนที่ได้คือ 15.9% ต่อปีแบบทบต้นในเวลา 5 ปี

ในปี 2539 และ 2540 เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ เงินสำรองของประเทศหมดและเราต้องเข้าขอความช่วยเหลือจาก IMF ต้องบอกว่าเรา “ล้มละลาย” ผลจากการใช้เงินเกินตัวของภาคธุรกิจเอกชนและความผิดพลาดของหน่วยงานการเงินของรัฐโดยเฉพาะแบงค์ชาติ ปี 2539 ดัชนีตกลงไปจากจุดสูงสุดประมาณ 41% ปี 2540 ที่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ดัชนีตกลงไปอีก 55% พอถึงสิ้นปี เราตัดสินใจเข้าไปลงทุนในหุ้นอีกครั้งที่ดัชนี 373 จุด ภายในเวลา 2 ปี หุ้นฟื้นขึ้นมาเป็น 482 จุด แต่เราก็รู้สึกว่าปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบสถาบันการเงินยังไม่สามารถแก้ไขได้ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากหายนะ เราจึงขายไปได้ผลตอบแทน 13.7% ทบต้น วิกฤติตลาดหุ้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงในปี 2543 ทำให้ดัชนีลดลงจาก 482 เป็น 269 เมื่อสิ้นปี 2543 เป็นการลดลงถึง 44% และเช่นเคย เราคิดว่าเป็นโอกาสที่จะลงทุนในยามที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด

เริ่มต้นจากปี 2544 ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว การแก้ปัญหาของบริษัทต่าง ๆ และสถาบันการเงินคืบหน้าไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น พอถึงปี 2546 ไทยก็ประกาศใช้หนี้คืน IMF ก่อนกำหนด ทุกอย่างดูสดใสทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่มีความมั่นคงเนื่องจากเราได้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนสูง ดัชนีในปีนั้นปรับขึ้นไปถึง 117% แต่หลังจากนั้นเพียง 2-3 ปี ประเทศไทยก็เกิดปัญหาการชุมนุมประท้วงเรียกร้องทางการเมืองอย่างรุนแรงซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 อย่างไรก็ตาม หุ้นก็ไม่ได้ถูกกระทบอะไรมากนักเช่นเดียวกับทุกครั้งจนมาถึงปี 2551 ที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐและลามไปทั่วโลกทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมา 47.5% แต่นี่เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดได้แน่เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีปัญหาอะไร ราคาหุ้นเองก็ไม่แพงเลย ดังนั้น เราไม่ได้ขายหุ้นเลยและยังคงถือมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ดัชนีประมาณ 1400 จุด คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณ 13.9% ในช่วงเวลา 12 ปี 8 เดือน นับเป็นผลตอบแทนของตลาดที่ดีเยี่ยมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย

จาก “ตุ๊กตา” ที่ผมตั้งขึ้นว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงหายนะส่วนใหญ่ของวิกฤติตลาดหุ้นได้ ถ้านำภาพเหล่านั้นมาต่อกัน ก็คำนวณได้ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนจะได้ผลตอบแทนทบต้นสูงถึงประมาณ 17% ต่อปี เป็นเวลาลงทุนประมาณ 33 ปี เงินต้น 100 บาทจะกลายเป็น 19,500 บาท ถ้าคิดรวมปันผลปีละประมาณ 3% ต่อปี จะได้ว่าผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นเท่ากับ 20% เงิน 100 บาทจะกลายเป็นประมาณ 43,000 บาท หรือโตขึ้น 430เท่า ในเวลาประมาณ 33 ปี โดยไม่ต้องเลือกหุ้นลงทุนเลย

ในชีวิตจริงคงไม่ง่ายที่จะหลีกเลี่ยงจากหายนะของวิกฤติตลาดหุ้นได้ง่ายนัก อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะคนที่เลือกจะเป็นนักลงทุนผู้มุ่งมั่นที่จะเลือกหุ้นเองนั้น หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่เรามักจะไม่ค่อยพูดถึงก็คือ การหลีกเลี่ยงหายนะจากการลงทุน โดยเฉพาะจากวิกฤติตลาดหุ้น เพราะเรา “ไม่สามารถคาดการณ์ตลาด” ได้ อย่างไรก็ตาม การตระหนักว่านี่คือความเสี่ยงจะช่วยให้เราเลือกการลงทุนได้ดีขึ้น นั่นก็คือ หากเกิดวิกฤติตลาดหุ้นขึ้น พอร์ตของเราจะเป็นอย่างไร? หายนะตามตลาดหรือไม่? ถ้าใช่ เราก็อาจจะต้องเปลี่ยนตัวหุ้นลงทุน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4480

โพสต์

ไพรัช มณฑาพันธุ์ นายกสมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย กล่าวว่า การพัฒนาของเมืองจะเปลี่ยนไป ตามแผนการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เฟสแรก 4 สายทาง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-โคราช, กรุงเทพฯ-ระยอง และกรุงเทพฯ-หัวหิน เป็นปัจจัยสำคัญผลักดันมูลค่าที่ดินเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอยู่ระหว่างก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 10 สาย

"รถไฟความเร็วสูง ทำให้เกิดชุมชนใหม่ สถานีที่เป็นเซ็นเตอร์ ที่ดินรัศมี 5 กม. ราคาปรับขึ้นกว่า 30% แต่หากเลยระยะนี้อาจไม่ได้อานิสงส์มากนัก อย่างรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่เกิดขึ้น อยุธยาจะเป็นจังหวัดเป้าหมายในการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองจากกรุงเทพฯ และปริมณทล"

อย่างไรก็ดี ผู้พัฒนาที่ดินต้องรอความชัดเจนของเส้นทาง และไม่ควรประเมินราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าสูงเกินจริง จากตัวอย่าง "แอร์พอร์ตลิงค์" ไม่มีสถานีไหนที่ราคาที่ดินขยับขึ้น 20-30% หากเป็นแค่ทางผ่านหรือไม่มีจุดจอดราคาที่ดินก็ไม่ขยับ

กุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร แผนการลงทุนและที่ดิน บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเกิดขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าในรอบกรุงเทพฯ ทำให้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มีทำเลเด่นเกิดขึ้นแทนพื้นที่ย่านสุขุมวิท สีลม เช่น เพชรบุรีตัดใหม่ พหลโยธิน พระราม 3 และรัชดาภิเษก โดยราคาที่ดินขยับสูง 20-30% ในรอบ 10 ปี

"บางแห่งราคาที่ดินดีดขึ้นเป็นเท่าตัว ราคาไม่ต่ำกว่า 6 แสน-1.5 ล้านบาทต่อตร.ว. อาทิ เอกมัย จาก 3 แสนขึ้นมาเป็น 6 แสนบาทต่อตร.ว. หรือพญาไทจากปี 2547 ราคาไม่ถึง 2 แสน ขึ้นมาเป็น 6 แสนบาทต่อตร.ว. เพราะผู้ประกอบการเน้นซื้อพัฒนาคอนโด"

ขณะที่ย่านสุขุมวิท ราคาที่ดินสูง 50% ในรอบ 10 ปีและเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบย่านธุรกิจ สีลม ลุมพินี สาธร ส่วนย่านเพชรบุรี ที่ดินคู่ขนานกับอโศก แต่ราคาแตกต่างกันมาก

ชี้เทรนด์พัฒนาเกาะแนวรถไฟฟ้า

กุลวดี มองเทรนด์การพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ใน 10 ปีข้างหน้า ยังคงเกาะกลุ่มแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก เน้นพัฒนาที่พักอาศัยอาคารชุด 70-80% ของโครงการใหม่ ขณะที่สำนักงานให้เช่า สร้างผลตอบแทนในการทำกำไรต่ำเพียง 5-7% ทำให้ผู้ประกอบไม่นิยมพัฒนา ทั้งราคาที่ดินสูง และเก็บรายได้จากค่าเช่าปรับราคาได้เพียง 15-20%

เมื่อเทียบอาคารชุดขายได้ดีกว่าจาก 5-6 หมื่นบาทต่อตร.ม. บางแห่งขายได้ถึง 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ม. โดยเฉพาะกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี ราคาขึ้นถึง 2 แสนบาทต่อตรม.

อุทัย แสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อเกิดการขยายโครงการรถไฟฟ้าจะทำให้การพัฒนาบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม เกิดขึ้นรอบกรุงเทพฯ

"ราคาที่ดินดีดตัวสูงขึ้นจากหลักแสนบาทต่อตร.ว. จนถึงล้านบาทต่อตร.ว. ทำให้ผู้ประกอบการมองการพัฒนาบ้านเดี่ยวไม่คุ้มค่าที่จะสร้างในกรุงเทพฯชั้นในอีกต่อไป โครงการแนวราบจึงเริ่มขยับออกพื้นที่ชานเมือง ส่วนคอนโดเน้นเกาะแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก เพราะความต้องการยังสูง"

โครงการที่เกิดขึ้นตามแนวรถไฟฟ้าทำให้ราคาที่ดินปรับสูงเท่าตัว เช่น แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ ตั้งแต่เตาปูน ไปถึงรัตนาธิเบศร์ ช่วงเริ่มก่อสร้างราคาที่ดินอยู่ที่ 1 แสนบาทต่อตร.ว. ขยับขึ้นเป็น 2 แสนบาทต่อตร.ว. ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา

แห่เปิด 35 โครงการเกาะสายสีม่วง

อธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นับตั้งแต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มก่อสร้าง พบว่าราคาที่ดินปรับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงรัตนาธิเบศร์ ใน 1 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินปรับขึ้น 15-20% หรือ 1.5-2 แสนบาทต่อตร.ว. หากโครงการแล้วเสร็จในปี 2559 ราคาที่ดินจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกจนไม่สามารถพัฒนาโครงการได้

โดยที่ดินที่เหมาะสมกับการพัฒนาโครงการมีน้อยลง ส่งผลให้ราคาขายคอนโดสูงขึ้นในอนาคต จากปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 4-7 หมื่นบาทต่อ ตร.ม. เป็น 5-8 หมื่นบาทต่อตร.ม.

จากการสำรวจตลาดคอนโดและทาวน์เฮาส์ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ระยะทาง 23 กม. รวม 16 สถานี ตั้งแต่สถานีคลองไผ่-สถานีบางซื่อ พบว่าตั้งแต่สถานีบางซื่อ จนถึงสะพานพระนั่งเกล้า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2553-2556) มี 35 โครงการใหม่ โดยสถานีที่มีการพัฒนาโครงการมาก คือ ย่านรัตนาธิเบศร์ ติวานนท์ กรุงเทพนนท์-บางซื่อ สถานีที่ผู้ประกอบการนิยมพัฒนาโครงการ ได้แก่ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรีและสถานีสะพานพระนั่งเกล้า

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4481

โพสต์

ประกันภัยจับตาโค้งสุดท้าย หลัง"ตลาดรถ-บ้าน"ส่งสัญญาณวูบ เบี้ยทั้งระบบครึ่งปีหลังขยายตัวได้เพียง 4 หมื่นล้าน ด้านกรุงเทพประกันภัย ออกแพ็กเกจขายผ่านโบรกเกอร์-เมืองไทยประกันภัย ปรับทัพหันรุกตลาดรถขนส่งหวังช่วยดันเบี้ยครึ่งปีหลังโต 10% "เคเอสเค" เร่งพัฒนาระบบหลังบ้านรองรับตลาดปี 57

แหล่งข่าวจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ" ถึงทิศทางธุรกิจประกันภัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า จะมีการแข่งขันเพื่อเก็บเบี้ยประกันภัยรถยนต์อย่างหนัก เนื่องจากประกันภัยกลุ่มอื่นไม่มีการแข่งขันสูง ขณะที่บริษัทประกันเริ่มกังวลถึงเบี้ยประกันภัยสำหรับรถใหม่จะมียอดตกลงไม่ต่ำกว่า 20-30% จากช่วงครึ่งปีแรก เช่นหากครึ่งปีแรกมีเบี้ยประกันภัยเข้าสู่ระบบอยู่ที่ 5-6หมื่นล้านบาทแล้ว ครึ่งปีหลังมีโอกาสสูงที่เบี้ยจะลดลงมาอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

นายอานนท์ วังวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยถึงการรับประกันภัยรถยนต์ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ว่า ปี 2556 มีโอกาสหดตัวอย่างรุนแรง หลังจากยอดขายรถยนต์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ลดลงอย่างชัดเจน พร้อมทั้งยอมรับว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากสภาพตลาดที่หดตัว แม้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะมีอัตราการเติบโตกว่า 30% แต่ในครึ่งปีหลังมีโอกาสสูงที่การเติบโตไม่ถึง 10%

ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องเร่งปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยหาตลาดใหม่เข้ามาทดแทนรถยนต์บ้าน โดยกลุ่มที่เข้ามาเพิ่มเติมส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถขนส่งสินค้า รถบรรทุก รวมถึงรถปิกอัพ เน้นขยายการรับประกันภัยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเข้ามาทดแทนรถบ้านที่ลดลง อัตราเบี้ยก็อยู่ในระดับหมื่นบาทขึ้นไป น่าจะมีเบี้ยเพิ่มขึ้นตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันล้านบาท โดยเน้นทำตลาดผ่านช่องทางโบรกเกอร์ หรือบริษัทนายหน้าเพิ่มขึ้น ในลักษณะของการออกแพ็กเกจ

ด้านแหล่งข่าวอาวุโส จากบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) กล่าวว่าที่ผ่านมาเริ่มเห็นแนวโน้มการขยายตัวของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่หดตัวและจะชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และจากปัญหาหนี้ครัวเรือน การถูกยึดรถจากผู้ที่ไม่สามารถผ่อนหรือขาดผ่อนส่งต่อเนื่องแล้วไม่ต่ำกว่า 2 งวด ทำให้ไตรมาสสุดท้ายจะมีกลุ่มรถที่สร้างเบี้ยเพิ่ม และรถในกลุ่มที่เบี้ยหดตัวคือกลุ่มประกันภัยชั้น 1 แต่กลุ่มขยายตัว คือ ประกันภัยชั้น 2-3 แบบพิเศษ ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น 500-1พันล้านบาท"

ส่วนนายเลิศชาย ประภาศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เคเอสเค ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทาง พร้อมแผนการดำเนินงานทางธุรกิจ ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ว่า อยู่ระหว่างพัฒนาระบบการให้บริการและระบบการทำงานหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการขยายตลาดประกันภัยในปี 2556-57 ด้วยงบลงทุน 100 ล้านบาท ผ่านระบบGable คาดเสร็จพร้อมให้บริการไม่เกินไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ สำหรับผลการรับประกันภัย 7 เดือน พบว่า บริษัทมีเบี้ยประกันภัย 568 ล้านบาท ขยายตัว 21% เป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (motor) 82% และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (non motor) 18% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1.2 พันล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,879 วันที่ 15 - 18 กันยายน พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4482

โพสต์

สินค้าคอนซูเมอร์ครึ่งปีหลังยังน่าห่วง คาดเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรกแม้ค่ายยักษ์แห่ปรับกลยุทธ์ "ส.ขอนแก่น" เผยยอดขายสแน็กลดฮวบ 37% ขณะที่เครือสหพัฒน์ ยังไม่เห็นปัจจัยบวก "ไลอ้อน" รับสภาพยอดครึ่งปีแรกโตแค่ 10% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ประเมินภาพรวมธุรกิจโตได้เต็มที่ 5-6% ชี้กลยุทธ์โปรโมชันไม่ช่วยเพิ่มยอดขาย เน้นพัฒนาสินค้าสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน

กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นปี เพราะมีแรงฉุดกำลังซื้อจากปัจจัยค่าใช้จ่ายกับรถยนต์คันแรก และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เงินในกระเป๋าที่มีอยู่ลดลง ส่วนเงินที่เหลือมูลค่าก็น้อยลงเมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่ขยับเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ภาพรวมครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของหลายบริษัทในกลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักต์ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ บางรายยอดขายกลับลดลงด้วยซ้ำ
นายนรินทร์ พุ่มวิวัฒน์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ส.ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาเศรษฐกิจถดถอย กำลังซื้อหดตัวลง ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบในด้านการเติบโตที่วางเป้าหมายไว้ 10-15% แต่ผลประกอบการที่ออกมาเติบโตเพียง 7.3% เท่านั้น ซึ่งยอดขายที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นกลุ่มสแน็ก แบรนด์ออง-เทร่ ที่ลดต่ำลงถึง 37% จากการที่ผู้บริโภคนำเงินไปใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็นต่อการดำรงชีพมากกว่า แม้แต่ผู้จัดจำหน่ายอย่างดีทแฮล์มก็ยังระบุว่า สินค้าหลายรายการยอดขายลดลง หรืออย่างดีทำได้เพียงเสมอตัวเท่านั้น หรือแม้แต่เนสท์เล่เองก็ยอมรับว่ายอดขายของบริษัทไม่ได้เพิ่มมากขึ้น อยู่ในภาวะทรงตัว

ด้านนายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย)จำกัด บริษัทในเครือสหพัฒน์ กล่าวยอมรับเช่นกันว่า ขณะนี้บรรดาร้านค้าต่างๆ พบปัญหากำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ทำให้ยอดขายของผู้ประกอบการหลายรายไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้แต่บริษัทเองก็มียอดขายเติบโต 10% จากเป้าหมาย 15% แต่ที่ยังคงมีการเติบโตได้นั้น เป็นเพราะสินค้าอุปโภคบริโภค ได้รับผลกระทบน้อยกว่าสินค้ากลุ่มอื่น และในปีนี้เป็นการเติบโตที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความต้องการที่แท้จริง จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าด้วยแรงกระตุ้นของโปรโมชันหรือการส่งเสริมการขายนั้นก็ลดปริมาณลงไปมาก เรียกได้ว่ากลยุทธ์การส่งเสริมการขายไม่ได้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น แต่เป็นการซื้อด้วยความจำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า

ผู้บริหารของไลอ้อนยังวิเคราะห์ตลาดสินค้าคอนซูเมอร์อีกว่า โดยปกติในช่วงครึ่งปีแรกสัดส่วนยอดขายของจะมีน้อยกว่าช่วงครึ่งปีหลัง แต่ปีนี้ทิศทางอาจจะกลับด้านกัน เพราะแนวโน้มในช่วงเวลาที่เหลือยังไม่เห็นปัจจัยด้านบวกที่จะเข้ามาส่งเสริมตลาดให้เพิ่มขึ้น และเป็นไปได้ว่าตลอดทั้งปีนี้ตลาดของสินค้าอุปโภคบริโภค จะเติบโตได้เพียง 5-6% จากปกติเติบโตกว่า 8% เท่านั้น โดยเป็นผลกระทบจากเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคที่ถูกแบ่งไปใช้ในด้านอื่น โดยเฉพาะกับรถยนต์คันแรก และสินค้ากลุ่มอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงดูเหมือนว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

หากมองถึงแนวโน้มและทิศทางในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นช่วงของฤดูกาลขายสินค้า แต่หลายฝ่ายก็ยังมองไม่เห็นว่าแนวโน้มกำลังซื้อจะกลับมาพลิกฟื้น หรือส่งเสริมให้ตลาดเติบโตได้อย่างไร สอดคล้องกับนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่าช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะไตรมาสสุดท้าย ยังไม่มีสัญญาณที่จะบ่งชี้ถึงปัจจัยบวกต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคแต่อย่างใด ขณะที่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็มีการปรับเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซ ที่ล้วนแต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้แต่นายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) อีกหนึ่งบริษัทในเครือสหพัฒน์ ก็กล่าวว่า ยังไม่เห็นว่านับจากนี้จะมีปัจจัยด้านบวกอะไรที่ทำให้กำลังซื้อฟื้นตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ตลอดทั้งปีนี้จึงต้องยอมรับกับสภาพกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง การดำเนินธุรกิจปัจจุบันคงไม่ได้คำนึงว่าจะมีเป้าหมายการเติบโตต่ออย่างไร เพียงแต่รักษาระดับผลการดำเนินงานให้ไม่ลดลง และรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าแทน เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรปกำลังฟื้นตัว ที่จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้า

กลยุทธ์ทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการขาย หรือการโปรโมชันต่างๆ ที่หลายคนมองว่าจะถูกหยิบมาใช้มากขึ้นเพื่อสร้างการเติบโตนั้น ผู้บริหารจากค่ายไลอ้อน ประเมินว่าปัจจุบันเป็นเรื่องของภาวะการแข่งขันทางการตลาด ที่สินค้าแต่ละค่ายต่างต้องแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกับภาวะตลาดที่มีกลุ่มลูกค้ามีอยู่จำกัด ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าตามความจำเป็นมากกว่า ซึ่งทุกค่ายต่างก็ยังคงใช้กลยุทธ์ต่างๆ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มสินค้าสำหรับกลุ่มอุปโภคบริโภค จะไม่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่จะหันมาเน้นในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพของสินค้า และการบริหารต้นทุน เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะแนวโน้มของผู้บริโภคจะมุ่งเน้นในการเลือกซื้อสินค้าด้วยคุณภาพเพิ่มมากขึ้น ส่วนราคาสินค้าที่ว่ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจะเป็นกลุ่มสินค้าอาหารมากกว่า โดยเฉพาะประเภทอาหารสดหรืออาหารปรุงสำเร็จ ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนสินค้าด้านการเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนจากค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ลดลงตามมาด้วย

อย่างไรก็ดี แม้ผู้ประกอบการในธุรกิจคอนซูเมอร์รายใหญ่จะพยายามดิ้นรน ด้วยการปรับลดไซซ์ เพื่อให้สินค้ามีราคาถูกลง และผู้บริโภคสามารถซื้อได้ง่ายขึ้น หรือการเพิ่มปริมาณในราคาเท่าเดิมเพื่อสร้างความคุ้มค่า แต่ดูเหมือนกลยุทธ์นี้จะไม่ได้ผลเหมือนในอดีต ขณะที่ผู้ประกอบการบางรายอย่าง "ยูนิลีเวอร์" เลือกที่จะหันพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่สูง (พรีเมียม) ขึ้น เพื่อขยายฐานไปยังกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพน้อยกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่จะพยุงธุรกิจในรอดวิกฤตครั้งนี้ไปได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,880 วันที่ 19 - 21 กันยายน พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4483

โพสต์

ช่วงนี้ไม่สบายครับ ติดหวัดมาจากคนไข้ ขนาดระวังแล้วนะเนี่ย

เวลาป่วย ขออย่างเดียวให้แข็งแรงเร็วๆ ลืมคิดเรื่องหุ้นไปซักพักทีเดียว

แต่นอนพักไป เห็นหุ้นเด้งมาร่วม 50 จุด ก็ทำเอามีแรงขึ้นมาดูหุ้นได้ :mrgreen:

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ตอนนี้เป็นไงกันบ้างครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Yod
Verified User
โพสต์: 167
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4484

โพสต์

หวัดดีครับ พี่หมอมุก
ไม่ได้คุยกันนานเลยครับ
ขอให้หายเร็ว ๆ นะครับ
pipatc
Verified User
โพสต์: 5826
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4485

โพสต์

ขอบพระคุณครับ ติดตามอ่านบ่อยๆครับ ขอให้หายไวไว(vi vi)ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4486

โพสต์

Yod เขียน:หวัดดีครับ พี่หมอมุก
ไม่ได้คุยกันนานเลยครับ
ขอให้หายเร็ว ๆ นะครับ
หวัดดีครับน้องยอด

เจอกันที่งาน 10 ปี Thaivi คราวที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้คุยด้วยเลย พอดีพี่ยุ่งๆเรื่องงานนิดหน่อย

สงสัยเป็น Flu น่ะครับ เป็นมาตั้งแต่วันจันทร์เย็นๆแล้ว แต่โชคดี treat เอง และก็พอจะกินได้เลย ok อยู่หน่อย แต่ก็ต้องนอนทั้งวัน

ดีนะที่ลงทุนหุ้นแบบ VI ขืนเล่น daytrade ล่ะก็นอนไม่หลับแน่ ๆ :wink:

ไว้มีโอกาสเราคงจัดมีตติ้งของกลุ่มหมอ VI กันอีกที หลังจากไม่ได้จัดกันมานาน 3 ปีแล้วมั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4487

โพสต์

pipatc เขียน:ขอบพระคุณครับ ติดตามอ่านบ่อยๆครับ ขอให้หายไวไว(vi vi)ครับ
ขอบคุณครับ ขอหายแบบ vi เดียวละกันนะครับ คุณ pipatc :mrgreen:

ไม่ค่อยถนัด vi vi ครับ :wink:
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4488

โพสต์

หายไวๆ ครับคุณหมอ

ผมเองหนีมาเยี่ยมลูกสาวที่ sydney เด๋วกลับ อังคาร ครับ
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4489

โพสต์

หายป่วยเร็วๆน๊ะครับคุณหมอ

ปล.หิ้วกระเช้ามาเยี่ยมไข้ด้วยครับ...ฮ่า.. :D
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4490

โพสต์

Dr.Jfk เขียน:หายไวๆ ครับคุณหมอ

ผมเองหนีมาเยี่ยมลูกสาวที่ sydney เด๋วกลับ อังคาร ครับ
ขอบคุณครับพี่ JFK

ลูกสาวไปเรียนเหรอครับ หรือว่าไปทำงานแล้ว

ผมมี plan ว่าจะไปเที่ยว sydney เอง เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ว่าปีไหนดี

จะว่าไป plan เรื่องเที่ยว อยู่ในหัวเยอะไปหมด วันๆ เอาแต่อยากเที่ยว

แต่ช่วงนี้คงต้องเน้นหนักกับการทำซุ่มทำอะไรบางอย่างอยู่ครับ เอาไว้ใกล้ๆเปิดเผยได้แล้วจะ จะเฉลย :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4491

โพสต์

saichon เขียน:หายป่วยเร็วๆน๊ะครับคุณหมอ

ปล.หิ้วกระเช้ามาเยี่ยมไข้ด้วยครับ...ฮ่า.. :D
ขอบคุณมากครับ คุณสายชล

ได้กำลังใจจากพี่ๆน้องๆ เยอะเลย ทั้งจากที่นี่ จาก Line FB ทำให้หายไวขึ้นเยอะ (เกี่ยวมั้ยเนี่ย... :mrgreen: )

ขอบคุณมากๆครับ มีโอกาสจะไปรับใช้ทางใต้นะครับ :wink: แต่มีนายกโจ อยู่แล้ว คงไม่ต้องใช้อุปนายก หรอกมั้ง อิอิ :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4492

โพสต์

ใกล้ปีใหม่แล้ว

วางแผนไปเที่ยวไหนกันบ้างครับ พี่น้องชาว Thai VI
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4493

โพสต์

Paul VI เขียน: ขอบคุณมากครับ คุณสายชล

ได้กำลังใจจากพี่ๆน้องๆ เยอะเลย ทั้งจากที่นี่ จาก Line FB ทำให้หายไวขึ้นเยอะ (เกี่ยวมั้ยเนี่ย... :mrgreen: )

ขอบคุณมากๆครับ มีโอกาสจะไปรับใช้ทางใต้นะครับ :wink: แต่มีนายกโจ อยู่แล้ว คงไม่ต้องใช้อุปนายก หรอกมั้ง อิอิ :mrgreen:
คราวที่แล้วตอนคุณหมอให้เกียรติลงมาให้ความรู้นักลงทุนที่สุราษฎร์ฯ
วันนั้นมีคนสนใจฟังกันล้นห้องประชุมเชียวครับ
มีโอกาสลงมาอีกน๊ะครับ
พวกเรายินดีต้อนรับด้วยความยินดียิ่งครับ

ปล.ส่วนช่วงปีใหม่ ผมกับแฟนวางแผนไว้ว่า ถ้าลูกชายคนเล็กวัน11เดือนเดินได้ด้วยตนเอง
เราจะพาไปเยี่ยมบ้านคุณตา-คุณยาย ที่เมืองกาญจฯกันครับ
แต่ถ้ายังเดินไม่ได้ก็พาเที่ยวแถวๆสฎ.นี่แหละครับ
ครอบครัวลูก(2)อ่อนจะไปไหนไกลๆ ก็ไม่สะดวกเหมือนคนไม่มีลูกหรือครอบครัวที่ลูกโตแล้วครับ :D
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4494

โพสต์

ขอสารภาพว่าทีแรกไม่กล้าเข้ามากระทู้นี้เลยค่ะ

เพราะคำว่า "แบบชาวหมอ VI"
เนื่องจากจบมาทางด้านสาธารณสุขก็จริง...แต่ก็เป็นสายเล็กจิ๋วที่สุดในวงการเลยค่ะ

ถ้าเทียบในสายของข้าราชการเอง...แรกบรรจุก็แทบจะต่ำสุดในสายงาน เพราะเริ่มจาก ซี 2
แล้วค่อยเรียนต่อและสอบเทียบมาเปลี่ยนเป็นสายงานที่เริ่มจาก ซี 3 ในภายหลัง

ได้ติดตามอ่านความเห็นของอาจารย์หมอ Paul VI จากกระทู้อื่นๆ
รับรู้ได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น ซึ่งมีผู้น้อยนับถือมากมาย รวมทั้งตัวเองด้วย

พอเข้ามากระทู้นี้...พบว่าการรับรู้ของตนเองเกี่ยวกับอาจารย์หมอ Paul VI นั้นถูกต้องแล้ว...
และดีใจที่ได้ทราบว่าตัวเราที่เล็กๆ แค่นี้ สามารถอยู่ในกลุ่มชาวหมอ VI ได้
ตามที่อาจารย์ได้บอกไว้ในหน้าแรกของกระทู้
ขอฝากเนื้อฝากตัวกับชาวหมอ VI ด้วยนะคะ

อ่านกระทู้นี้แล้วได้ประโยชน์มาก...แบบไม่สามารถแจกแจงได้ว่าได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ขอขอบคุณ และขอให้อาจารย์หมอ Paul VI หายป่วยเร็วๆ นะคะ

...............................................

ขออนุญาตเรียก "พี่หมอมุข" ด้วยคนนะคะ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4495

โพสต์

หายไวๆครับพี่หมอมุข :B
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4496

โพสต์

romee เขียน:หายไวๆครับพี่หมอมุข :B
ขอบคุณมากครับ น้องโรม ไม่ได้เจอกันนานเลย :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4497

โพสต์

theenuch เขียน:ขอสารภาพว่าทีแรกไม่กล้าเข้ามากระทู้นี้เลยค่ะ

เพราะคำว่า "แบบชาวหมอ VI"
เนื่องจากจบมาทางด้านสาธารณสุขก็จริง...แต่ก็เป็นสายเล็กจิ๋วที่สุดในวงการเลยค่ะ

ถ้าเทียบในสายของข้าราชการเอง...แรกบรรจุก็แทบจะต่ำสุดในสายงาน เพราะเริ่มจาก ซี 2
แล้วค่อยเรียนต่อและสอบเทียบมาเปลี่ยนเป็นสายงานที่เริ่มจาก ซี 3 ในภายหลัง

ได้ติดตามอ่านความเห็นของอาจารย์หมอ Paul VI จากกระทู้อื่นๆ
รับรู้ได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น ซึ่งมีผู้น้อยนับถือมากมาย รวมทั้งตัวเองด้วย

พอเข้ามากระทู้นี้...พบว่าการรับรู้ของตนเองเกี่ยวกับอาจารย์หมอ Paul VI นั้นถูกต้องแล้ว...
และดีใจที่ได้ทราบว่าตัวเราที่เล็กๆ แค่นี้ สามารถอยู่ในกลุ่มชาวหมอ VI ได้
ตามที่อาจารย์ได้บอกไว้ในหน้าแรกของกระทู้
ขอฝากเนื้อฝากตัวกับชาวหมอ VI ด้วยนะคะ

อ่านกระทู้นี้แล้วได้ประโยชน์มาก...แบบไม่สามารถแจกแจงได้ว่าได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ขอขอบคุณ และขอให้อาจารย์หมอ Paul VI หายป่วยเร็วๆ นะคะ

...............................................

ขออนุญาตเรียก "พี่หมอมุข" ด้วยคนนะคะ :D
รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเช่นกันครับ

ผมเป็นคนซื่อๆตรงๆครับ รู้สึกยังไงก็เขียนไปตามนั้นครับ มีอะไรก็พยายามบอกครับ

แต่ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยมีอะไรจะเขียนเพิ่มเลยไม่ได้ update กระทู้นี้ คุณนุช มีอะไรก็มา update ที่กระทู้นี้ได้เลยครับ ยินดีมากครับ

คุณนุช ได้ดูรายการ VI สายดำ หรือเปล่าครับ ทาง กรุงเทพธุรกิจทีวี รายการนี้ กรรมการของสมาคมเรา คือ น้องหลินจือ Linchi กับ น้องกานต์ Mario เป็นคนคอยดูแล ออกอากาศวันอาทิตย์ตอนเย็น 17.25 น โดยประมาณ

อาทิตย์ เป็นคิวที่ผมเคยไปบันทึกเทปไว้ได้ซักเกือบ 2 เดือนแล้วครับ เชิญคุณนุช และเพื่อนๆน้องๆดูได้นะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4498

โพสต์

ประสบการณ์การลงทุนวีไอ กว่า 20 ปี ของ นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ ให้เคล็ดลับการลงทุนไว้ว่า หัวใจของ VI มี 2 ข้อหลักๆ คือ 1. เราต้องลงทุนเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ 2. เราต้องซื้อหุ้นให้มีความปลอดภัย ติดตามชมสไตล์การลงทุนของคุณหมอท่านนี้ได้ ในวันอาทิตย์ที่ 22 ก.ย.56 เวลา 17.30 น. ทางกรุงเทพธุรกิจทีวี

https://www.facebook.com/photo.php?v=247444105403450
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4499

โพสต์

Paul VI เขียน: ลูกสาวไปเรียนเหรอครับ หรือว่าไปทำงานแล้ว

ผมมี plan ว่าจะไปเที่ยว sydney เอง เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ว่าปีไหนดี

จะว่าไป plan เรื่องเที่ยว อยู่ในหัวเยอะไปหมด วันๆ เอาแต่อยากเที่ยว

แต่ช่วงนี้คงต้องเน้นหนักกับการทำซุ่มทำอะไรบางอย่างอยู่ครับ เอาไว้ใกล้ๆเปิดเผยได้แล้วจะ จะเฉลย :mrgreen:
ลูกสาวผม มาต่อ โท บัญชี ที่ ซิดนี่ย์ ครับ

ทีนี่ตอนนี้อากาศดี ครับ เย็นสบายๆ เมื่อวันก่อน ขับรถไป เที่ยวแถว อช.บลูเมาท์เท่น มรดกโลกทาง ธรรมชาติ

เมื่อวาน ขับเลาะหาดไป Wollongong และ ขับขึ้นไปเที่ยว บนเขา Moss Velle ดูทุ่งหญ้าสวยๆ

วันนี้ ขับรถออกนอกเมือง ไปเที่ยวไร่องุ่นและดูเทศกาลจัดสวนที่ Cessnock เพิ่งกลับเข้ามา

ผมว่า เป็นเมืองที่อากาศดี สบายๆ น่าเที่ยวดีครับ คุณหมอ

รอติดตาม งานที่อุบไว้ อย่าลืมมาส่งข่าวที่นี่ด้วยนะครับ :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนอย่างเพียงพอ แบบชาวหมอ VI

โพสต์ที่ 4500

โพสต์

ชีวิตสไตล์ พี่ JFK เป็นชีวิตที่น่า copy มากครับ

เป็นชีวิตที่ Balanced ทั้งเรื่องชีวิต การงาน ความสุข และครอบครัว

ตอบโจทย์ทั้งความสุขของส่วนรวมและส่วนตัวอย่างลงตัวมากครับ

มีโอกาสคงได้คุยกับพี่ JFK เยอะๆ ถือว่าได้ประสบการณ์ครับ

ที่แน่ๆ รู้แล้วว่าจะไปขับรถเที่ยว Sydney มี พี่ JFK เป็นที่ปรึกษาได้ล่ะครับ :D