เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 151
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ขออนุญาตบรรยายด้วยภาพนะคะ
ลูกซ่อมรองเท้าเอง....เราเพิ่งเห็น
เค้าบอกมันขาดตอนไปปากช่อง
กับคุณครูนักเขียนนิทานเด็กท่านนึง
เราลองทดสอบว่า.....คนเดินตามหลังเราเค้าเห็นนะว่ามันขาด
ลูกตอบว่า แล้วแต่จะคิดเค้าเชื่อว่าคงมีคนมองลบ
แต่ก็เชื่อว่ามีคนมองบวกด้วย
ในสถานการณ์นี้เค้าสนใจฝั่งคนมองบวกมากกว่า
เพราะเราทำสิ่งที่ดี ประหยัด และใช้ของคุ้มค่า
เค้ามั่นใจว่ามันไม่น่าอายเลย
รู้สึกดีใจ....อยากมาเล่าค่ะ
ขออนุญาตบรรยายด้วยภาพนะคะ
ลูกซ่อมรองเท้าเอง....เราเพิ่งเห็น
เค้าบอกมันขาดตอนไปปากช่อง
กับคุณครูนักเขียนนิทานเด็กท่านนึง
เราลองทดสอบว่า.....คนเดินตามหลังเราเค้าเห็นนะว่ามันขาด
ลูกตอบว่า แล้วแต่จะคิดเค้าเชื่อว่าคงมีคนมองลบ
แต่ก็เชื่อว่ามีคนมองบวกด้วย
ในสถานการณ์นี้เค้าสนใจฝั่งคนมองบวกมากกว่า
เพราะเราทำสิ่งที่ดี ประหยัด และใช้ของคุ้มค่า
เค้ามั่นใจว่ามันไม่น่าอายเลย
รู้สึกดีใจ....อยากมาเล่าค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 152
คนที่ไม่มีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์จะไม่มีทางเข้าใจความน่ากลัวของโรคนี้ครับ เพราะมันไม่ใช่แค่ปัญหาของผู้ป่วยเท่านั้น แต่สามารถทำให้ครอบครัวมีปัญหา คนรอบตัวมีปัญหาได้หมด จะว่าไปโรคนี้ฟังดูเหมือนไม่น่ากลัวเพราะฟังดูไม่รุนแรงถึงตายเหมือนมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่ปัญหาของโรคนี้มันจะเป็นอีกแบบ เช่น ผู้ป่วยไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหา บางคนทะเลาะกับคนในบ้านเพราะความหลงลืม เช่น ลืมว่าวางเงินไว้ตรงไหน หาไม่เจอก็คิดว่าคนอื่นขโมยไป ลืมว่ากินข้าวไปแล้ว ๆ บอกคนในบ้านว่ายังไม่ได้กิน พอคนในบ้านบอกว่ากินไปแล้วก็กลายเป็นทะเลาะกัน บางคนกินข้าวซ้ำไปซ้ำมาเพราะจำไม่ได้ว่ากินข้าวไปแล้ว บางคนมีอาการหวาดระแวงคล้าย ๆ มีอาการทางจิต บางคนวันดีคืนดีเดินออกไปจากบ้านแล้วกลับบ้านไม่ถูก ตามตัวไม่เจอก็มี ถ้าอาการมาก ๆ ก็กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ถ้าแย่จนถึงขีดสุดก็นอนติดเตียง กินอาหารไม่ได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง สมองไม่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ สุดท้ายก็อาจจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่ระบบต่าง ๆtheenuch เขียน: ....................................................................
ปัจจุบัน ด้วยวัยเพียง 73 ปี แม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ชนิดที่สมองฝ่อยุบอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านของตัวเองที่ต่างจังหวัด...มีพี่สาวเราซึ่งไม่ได้ทำงานอยู่เป็นเพื่อน
และยังต้องจ้างคนดูแล (เป็นชาวเวียตนาม) อีก 1 คน ด้วย
เมื่อ 2-3 วัน ก่อน....คนดูแลลากลับเวียตนามชั่วคราว เราเลยรับแม่มาอยู่ที่บ้านด้วย
พอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม...ส่งผลให้แม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ครั้งที่แล้วที่มาบ้านเรา....แม่ยังกดชักโครกเป็นอยู่เลย
แต่ครั้งนี้.....แม่ก่อวีรกรรมในห้องน้ำ สภาพเกินบรรยาย....ตอนนี้ชักโครกยังกดไม่ลงอยู่เลย
แต่แม่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำใหเกิดเรื่อง.....แถมพอเราเข้าไปเจอสภาพในห้องน้ำ
แม่ยังบอกว่าไม่ต้องห่วงนะ.....เดี๋ยวจัดการให้....ว่าแล้วก็ล้วงมือลงไปในชักโครกอีก
ต้องห้ามปรามกันจ้าละหวั่น เหนื่อยไป...ขำไป
.................................................................
ที่สำคัญยาที่ใช้รักษากันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำให้โรคหาย เหมือนแค่ประคองให้อาการมันแย่ช้าลงเท่านั้น โรคนี้ส่วนหนึ่งมีผลจากกรรมพันธุ์ ถ้าใครมีคนในครอบครัวเป็นก็ต้องระวังไว้มาก ๆ ครับ ถ้าเป็นโรคสมองเสื่อมจากสาเหตุบางอย่างเช่นจากโรคหลอดเลือดสมองอาจจะพอป้องกันได้จากการรักษาโรคที่เป็นความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองให้ดี แต่ถ้าเป็นโรคสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์โดยตรงจะว่าไปวิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคสำหรับคนที่มีความเสี่ยงก็แทบจะไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลอย่างชัดเจน ผมเคยถามหมอระบบประสาทว่าคนที่มีความเสี่ยงเช่น มีคนในครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ จะมีวิธีป้องกันอย่างไรได้บ้าง แกตอบผมสั้น ๆ ว่า "ให้ทำบุญมาก ๆ" ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 153
ขอบคุณมากค่ะ...สำหรับข้อมูลซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อ่านเจอด้วย...leky เขียน:คนที่ไม่มีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์จะไม่มีทางเข้าใจความน่ากลัวของโรคนี้ครับ เพราะมันไม่ใช่แค่ปัญหาของผู้ป่วยเท่านั้น แต่สามารถทำให้ครอบครัวมีปัญหา คนรอบตัวมีปัญหาได้หมด จะว่าไปโรคนี้ฟังดูเหมือนไม่น่ากลัวเพราะฟังดูไม่รุนแรงถึงตายเหมือนมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่ปัญหาของโรคนี้มันจะเป็นอีกแบบ เช่น ผู้ป่วยไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหา บางคนทะเลาะกับคนในบ้านเพราะความหลงลืม เช่น ลืมว่าวางเงินไว้ตรงไหน หาไม่เจอก็คิดว่าคนอื่นขโมยไป ลืมว่ากินข้าวไปแล้ว ๆ บอกคนในบ้านว่ายังไม่ได้กิน พอคนในบ้านบอกว่ากินไปแล้วก็กลายเป็นทะเลาะกัน บางคนกินข้าวซ้ำไปซ้ำมาเพราะจำไม่ได้ว่ากินข้าวไปแล้ว บางคนมีอาการหวาดระแวงคล้าย ๆ มีอาการทางจิต บางคนวันดีคืนดีเดินออกไปจากบ้านแล้วกลับบ้านไม่ถูก ตามตัวไม่เจอก็มี ถ้าอาการมาก ๆ ก็กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ถ้าแย่จนถึงขีดสุดก็นอนติดเตียง กินอาหารไม่ได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง สมองไม่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ สุดท้ายก็อาจจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่ระบบต่าง ๆtheenuch เขียน: ....................................................................
ปัจจุบัน ด้วยวัยเพียง 73 ปี แม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ชนิดที่สมองฝ่อยุบอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านของตัวเองที่ต่างจังหวัด...มีพี่สาวเราซึ่งไม่ได้ทำงานอยู่เป็นเพื่อน
และยังต้องจ้างคนดูแล (เป็นชาวเวียตนาม) อีก 1 คน ด้วย
เมื่อ 2-3 วัน ก่อน....คนดูแลลากลับเวียตนามชั่วคราว เราเลยรับแม่มาอยู่ที่บ้านด้วย
พอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม...ส่งผลให้แม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ครั้งที่แล้วที่มาบ้านเรา....แม่ยังกดชักโครกเป็นอยู่เลย
แต่ครั้งนี้.....แม่ก่อวีรกรรมในห้องน้ำ สภาพเกินบรรยาย....ตอนนี้ชักโครกยังกดไม่ลงอยู่เลย
แต่แม่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำใหเกิดเรื่อง.....แถมพอเราเข้าไปเจอสภาพในห้องน้ำ
แม่ยังบอกว่าไม่ต้องห่วงนะ.....เดี๋ยวจัดการให้....ว่าแล้วก็ล้วงมือลงไปในชักโครกอีก
ต้องห้ามปรามกันจ้าละหวั่น เหนื่อยไป...ขำไป
.................................................................
ที่สำคัญยาที่ใช้รักษากันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำให้โรคหาย เหมือนแค่ประคองให้อาการมันแย่ช้าลงเท่านั้น โรคนี้ส่วนหนึ่งมีผลจากกรรมพันธุ์ ถ้าใครมีคนในครอบครัวเป็นก็ต้องระวังไว้มาก ๆ ครับ ถ้าเป็นโรคสมองเสื่อมจากสาเหตุบางอย่างเช่นจากโรคหลอดเลือดสมองอาจจะพอป้องกันได้จากการรักษาโรคที่เป็นความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองให้ดี แต่ถ้าเป็นโรคสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์โดยตรงจะว่าไปวิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคสำหรับคนที่มีความเสี่ยงก็แทบจะไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลอย่างชัดเจน ผมเคยถามหมอระบบประสาทว่าคนที่มีความเสี่ยงเช่น มีคนในครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ จะมีวิธีป้องกันอย่างไรได้บ้าง แกตอบผมสั้น ๆ ว่า "ให้ทำบุญมาก ๆ" ครับ
เตรียมใจไว้พอสมควรเลยค่ะ
ตอนนี้แม่จำอะไรไม่ได้เลยคุยกันเรียกตัวเองพี่อีกต่างหาก
พาไปรับยาคุณหมอให้ทำ test ซ้ำ ผลคือแย่ลงอีกค่ะ
ตอนนี้ก็จำลูกไม่ได้เลยซักคน จากวันที่เริ่มรู้ว่าเป็น
แค่ ๑ ปี ทรุดลงฮวบฮาบเลย
แต่อ่านหนังสือได้นะคะ วันก่อนพาไปเที่ยวอ่านป้าย "สระบุรี" "นครราชสีมา"
แต่อ่านแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่รู้ความหมายเลยค่ะ
ตอนนี้ก็บอกลูกชายไว้ว่า....คุณแม่มีโอกาสเป็นแบบนี้นะ
ให้ลองใจเย็นๆ เวลาที่ยายจ๋าพูดไม่รู้เรื่อง
เผื่อคุณแม่เป็นบ้างลูกจะได้ดูและเป็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 154
จะว่าไปผมเคยได้ข้อมูลมาว่า การ "บริหารสมอง" สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ดีขึ้นหรือแย่น้อยลงได้ครับ เช่น ถ้ายิ่งปล่อยผู้ป่วยทิ้งไว้ ไม่พูดคุยด้วย ไม่ให้เค้าหัดคิด แบบนี้จะยิ่งแย่ลงครับ แต่ถ้าเราทำให้เค้าได้คิดอยู่เรื่อย ๆ เช่น ญาติพี่น้องหมั่นชวนคุย มีนาฬิกา ปฏิทินติดในบ้านให้เค้ารู้เวลา เอาภาพถ่ายสมัยเก่า ๆ มาให้ดูแล้วถามก็อาจจะช่วยให้โรคชะลอลงได้ครับ จะว่าไปคนที่ทำงานที่ต้องคิดตลอดเวลาเทียบกับคนที่ไม่ต้องคิด ความเสี่ยงของคนกลุ่มแรกจะน้อยกว่าครับ ถ้าปัจจัยเรื่องอื่นเหมือนกันหมด ผมว่าที่สำคัญอันหนึ่งคือ ควรมีป้ายเขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ติดไว้กับตัวครับ ถ้าเอาชัวร์ ๆ ก็ทำคล้าย ๆ พระห้อยคอไว้เลยครับ เผื่อว่าเกิดหลงออกไปคนที่เจอจะได้ติดต่อญาติได้ครับ เพราะเคยมีคนแถวบ้านเก่าผมเป็นโรคแบบนี้แล้วหายออกไปจากบ้าน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็พบว่าเสียชีวิตในอีกที่หนึ่งที่ไกลออกไปพอควรครับtheenuch เขียน:
ขอบคุณมากค่ะ...สำหรับข้อมูลซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อ่านเจอด้วย...
เตรียมใจไว้พอสมควรเลยค่ะ
ตอนนี้แม่จำอะไรไม่ได้เลยคุยกันเรียกตัวเองพี่อีกต่างหาก
พาไปรับยาคุณหมอให้ทำ test ซ้ำ ผลคือแย่ลงอีกค่ะ
ตอนนี้ก็จำลูกไม่ได้เลยซักคน จากวันที่เริ่มรู้ว่าเป็น
แค่ ๑ ปี ทรุดลงฮวบฮาบเลย
แต่อ่านหนังสือได้นะคะ วันก่อนพาไปเที่ยวอ่านป้าย "สระบุรี" "นครราชสีมา"
แต่อ่านแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่รู้ความหมายเลยค่ะ
ตอนนี้ก็บอกลูกชายไว้ว่า....คุณแม่มีโอกาสเป็นแบบนี้นะ
ให้ลองใจเย็นๆ เวลาที่ยายจ๋าพูดไม่รู้เรื่อง
เผื่อคุณแม่เป็นบ้างลูกจะได้ดูและเป็น
โรคนี้ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดมากครับ ถ้าคนยิ่งอายุยืนก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น บรรดาอดีตผู้นำของประเทศมหาอำนาจที่เสียชีวิตไปแล้วส่วนหนึ่งก็ป่วยด้วยโรคนี้ครับ
ส่วนโรคสมองเสื่อมที่มีต้นเหตุเกิดจากโรคหลอดเลือดสมองที่เราเรียกว่าอัมพาตนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่เราอาจจะป้องกันได้ครับ ปัจจัยเสี่ยงพวกนี้เช่น โรคบางอย่างเช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน รวมถึงการสูบบุหรี่ ซึ่งโรคพวกนี้ทำให้หลอดเลือดแดงทั้งร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ นำมาซึ่งโรคอัมพาต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน คนที่สูบบุหรี่ก็ควรเลิกครับ หรือถ้าเป็นโรคที่กล่าวข้างต้นไปแล้วก็ต้องควบคุมให้ดีครับ ความเสี่ยงก็จะลดลงได้ครับ
Ronald Reagan
From Wikipedia, the free encyclopedia
Born in Tampico, Illinois, and raised in Dixon, Reagan was educated at Eureka College, earning a Bachelor of Arts degree in economics and sociology. After graduating, Reagan moved first to Iowa to work as a radio broadcaster and then, in 1937, to Los Angeles where he began a career as an actor, first in films and later television. Some of his most notable films include Knute Rockne, All American (1940), Kings Row (1942), and Bedtime for Bonzo (1951). Reagan served as President of the Screen Actors Guild and later as a spokesman for General Electric (GE); his start in politics occurred during his work for GE. Originally a member of the Democratic Party, his positions began shifting rightward in the 1950s, and he switched to the Republican Party in 1962.[1]
After delivering a rousing speech in support of Barry Goldwater's presidential candidacy in 1964, he was persuaded to seek the California governorship, winning two years later and again in 1970. He was defeated in his run for the Republican presidential nomination in 1968 and in 1976, but won both the nomination and general election in 1980, defeating incumbent Jimmy Carter.[1]
As president, Reagan implemented sweeping new political and economic initiatives. His supply-side economic policies, dubbed "Reaganomics", advocated reducing tax rates to spur economic growth, controlling the money supply to reduce inflation, deregulation of the economy, and reducing government spending. In his first term he survived an assassination attempt, took a hard line against labor unions, announced a new War on Drugs, and ordered an invasion of Grenada. He was re-elected in a landslide in 1984, proclaiming that it was "Morning in America". His second term was primarily marked by foreign matters, such as the ending of the Cold War, the 1986 bombing of Libya, and the revelation of the Iran–Contra affair. Publicly describing the Soviet Union as an "evil empire",[2] he supported anti-communist movements worldwide and spent his first term forgoing the strategy of détente by ordering a massive military buildup in an arms race with the USSR. Reagan negotiated with Soviet General Secretary Mikhail Gorbachev, culminating in the INF Treaty and the decrease of both countries' nuclear arsenals.
Reagan left office in 1989. In 1994, the former president disclosed that he had been diagnosed with Alzheimer's disease earlier in the year; he died ten years later at the age of 93. A conservative icon, he ranks highly in public opinion polls of U.S. Presidents and is credited for generating an ideological renaissance on the American political right.
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 155
ต้องขอขอบคุณ คุณหมอ Leky ด้วยนะคะ
ที่กรุณานำความรู้เรื่องอัลไซเมอร์มาแบ่งปัน
จะนำไปปฏิบัติตามในการดูแลแม่ค่ะ
และคิดว่าเพื่อนๆ ที่มีคนในครอบครัวเป็นอัลไซเมอร์
จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ต่อเป็วงกว้างด้วยเช่นกันค่ะ
ที่กรุณานำความรู้เรื่องอัลไซเมอร์มาแบ่งปัน
จะนำไปปฏิบัติตามในการดูแลแม่ค่ะ
และคิดว่าเพื่อนๆ ที่มีคนในครอบครัวเป็นอัลไซเมอร์
จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ต่อเป็วงกว้างด้วยเช่นกันค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 156
ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับสมองหลายเรื่อง แล้วอยากรู้ว่าสมอง ทำงานและ จำได้อย่างไร
ส่วนใหญ่ของบีบีซี ที่อาจหาดูในยูทูปได้ครับ
พอสรุปได้ว่าอัลไซเมอร์ อาจเกิดจาก ความจำที่ลืมไป ที่รื้อฟื้นได้ กับเซลส่วนที่จำเรื่องนั้นๆ เสื่อมสภาพไปที่ต้องรักษาด้วยยาเพื่อบำรุง หรือผ่าตัด
ทั้งนี้คงต้องปรึกษาหมอ ผมไม่แน่ใจว่าหมอเฉพาะเรื่องนี้ของไทยมีที่ไหน
สาเหตุแรกเราคงทำได้ แต่เราต้องค่อยทดสอบ เพื่อรื้อฟื้นความจำ หรือเรียนและฝึกเชื่อมโยง เรื่องราว เพื่อจดจำสิ่งจำเป็นต่างๆอีกครั้ง
ผมเคย สมัยเด็กๆ คุณย่า-คุณยายที่อายุมาก ต้องทะเลาะกันประจำเรื่องกินข้าว อาบน้ำ เพราะท่านลืมทานข้าว อาบน้ำ แล้วท่านก็บอกทำแล้ว แล้วก็บอกตัวเองจำได้
เราคงต้องใจเย็นๆ และต้องมีคนดูแล เราจะเห็นคุณค่าของคนดูแลก็ตอนนี้แหละ ยิ่งเราต้องทำงานประจำเต็มเวลา
ทำให้ต้องคิดเลยว่าจะทำอย่างไรกับชิวิต การงาน ถ้าแฟนเรา ลูกเรา พ่อแม่เราเจ็บป่วย หรือดูแลตัวเองไม่ได้และเราต้องมาดูแลตลอดเวลา
ขอเอาใจช่วยครับ
ส่วนใหญ่ของบีบีซี ที่อาจหาดูในยูทูปได้ครับ
พอสรุปได้ว่าอัลไซเมอร์ อาจเกิดจาก ความจำที่ลืมไป ที่รื้อฟื้นได้ กับเซลส่วนที่จำเรื่องนั้นๆ เสื่อมสภาพไปที่ต้องรักษาด้วยยาเพื่อบำรุง หรือผ่าตัด
ทั้งนี้คงต้องปรึกษาหมอ ผมไม่แน่ใจว่าหมอเฉพาะเรื่องนี้ของไทยมีที่ไหน
สาเหตุแรกเราคงทำได้ แต่เราต้องค่อยทดสอบ เพื่อรื้อฟื้นความจำ หรือเรียนและฝึกเชื่อมโยง เรื่องราว เพื่อจดจำสิ่งจำเป็นต่างๆอีกครั้ง
ผมเคย สมัยเด็กๆ คุณย่า-คุณยายที่อายุมาก ต้องทะเลาะกันประจำเรื่องกินข้าว อาบน้ำ เพราะท่านลืมทานข้าว อาบน้ำ แล้วท่านก็บอกทำแล้ว แล้วก็บอกตัวเองจำได้
เราคงต้องใจเย็นๆ และต้องมีคนดูแล เราจะเห็นคุณค่าของคนดูแลก็ตอนนี้แหละ ยิ่งเราต้องทำงานประจำเต็มเวลา
ทำให้ต้องคิดเลยว่าจะทำอย่างไรกับชิวิต การงาน ถ้าแฟนเรา ลูกเรา พ่อแม่เราเจ็บป่วย หรือดูแลตัวเองไม่ได้และเราต้องมาดูแลตลอดเวลา
ขอเอาใจช่วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 157
ผู้สูงอายุที่มีปัญหาสมองเสื่อมจะจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ในอนาคตจะเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้นแน่ครับ ในประเทศที่รัฐสวัสดิการดี เค้าจะมีการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ดีมาก แต่ก็จะต้องสิ้นเปลืองงบอย่างมากเช่นกัน จึงไม่แปลกที่เค้าจะเก็บภาษีประชาชนของเค้าสูงมาก เพราะต่อให้ไม่มีลูกหลานดูแล รัฐก็จะดูแลให้ แต่ถ้ามองมาที่ประเทศของเราต้องบอกว่ายังห่างไกลประเทศเหล่านั้นมากครับ ส่วนใหญ่ญาติของผู้ป่วยก็ต้องดูแลกันเอง ยิ่งบ้านไหนลูกหลานต้องไปทำงาน ตรงนี้จะเป็นปัญหาอย่างมาก คนที่ดูแลถ้าไม่มีความเข้าใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็มักจะทนไม่ไหวครับ จำนวนผู้ป่วยกลุ่มนี้ลองดูตามนี้ครับ อ้างอิงจากในอังกฤษและของไทยตามนี้
มันอาจจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราทำผลตอบแทนต่อปีได้เป็น "เด้งยกกำลังเด้ง" แต่อายุสั้น บางครั้งผลตอบแทนในระดับปานกลางแต่เรามีเวลาลงทุนได้ยาวเพราะสุขภาพแข็งแรงนั้นอาจจะดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่โดนค่ารักษาพยาบาล "กิน" เงินเราจนหมดและยังสามารถอยู่ดูโลกที่สวยงามใบนี้แบบมีความสุขด้วยครับ
http://www.alzheimers.org.uk/site/scrip ... mentID=412
Prevalence and incidence
When talking about demography it is important to distinguish between prevalence - the frequency with which dementia occurs in the population, and incidence - the number of new cases of dementia in a given time period.
The well established prevalence rates for dementia in the UK are:
40-64 years: 1 in 1400
65-69 years: 1 in 100
70-79 years: 1 in 25
80+ years: 1 in 6
กลับมาที่เรื่องของการลงทุน มันก็มีมิติอีกมิติหนึ่งที่เราจะมองได้เช่นกัน การที่วอร์เรน บัฟเฟตต์สามารถทำผลงานจนเป็นตำนานได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับด้วยว่า เพราะปู่บัฟเฟตต์มีสุขภาพที่แข็งแรงมาก นั่นแปลว่าระยะเวลาที่บัฟเฟตต์สามารถลงทุนนั้นต่อเนื่องยาวนานบวกกับผลตอบแทนต่อปีที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ผลของสองปัจจัยนี้ทำให้ผลตอบแทนรวมอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์http://www.moph.go.th/ops/thp/images/st ... 9%88_2.pdf
สํานักงานสํารวจสุขภาพประชาชนไทยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขได้
ทําการสํารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการสัมภาษณ์และตรวจร่างกายครั้งที่ 4 พ.ศ.
2551-2552 โดยได้ทําการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมโดยใช้แบบทดสอบสภาพสมอง
เบื้องต้นของสถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขผลการ
ทดสอบพบความชุกของภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุร้อยละ 12.3 หรือประมาณ 880,000
คนโดยพบว่าความชุกของภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นตามอายุ กล่าวคืออายุ 60-69 ปี
พบร้อยละ 7.1 (ร้อยละ 5.6 ในผู้สูงอายุชายและร้อยละ 8.3 ในผู้สูงอายุหญิง) และมีถึง
1 ใน 3 ของผู้สูงอายุในกลุ่ม 80 ปีขึ้นไปที่มีภาวะสมองเสื่อม (ร้อยละ 22 ในผู้สูงอายุชาย
และร้อยละ 40 ในผู้สูงอายุหญิง)
มันอาจจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราทำผลตอบแทนต่อปีได้เป็น "เด้งยกกำลังเด้ง" แต่อายุสั้น บางครั้งผลตอบแทนในระดับปานกลางแต่เรามีเวลาลงทุนได้ยาวเพราะสุขภาพแข็งแรงนั้นอาจจะดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่โดนค่ารักษาพยาบาล "กิน" เงินเราจนหมดและยังสามารถอยู่ดูโลกที่สวยงามใบนี้แบบมีความสุขด้วยครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 158
ขอบคุณมากค่ะ...ถึงได้อยากเตือนเพื่อนๆ ด้วยว่าddoo7 เขียน:ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับสมองหลายเรื่อง แล้วอยากรู้ว่าสมอง ทำงานและ จำได้อย่างไร
ส่วนใหญ่ของบีบีซี ที่อาจหาดูในยูทูปได้ครับ
พอสรุปได้ว่าอัลไซเมอร์ อาจเกิดจาก ความจำที่ลืมไป ที่รื้อฟื้นได้ กับเซลส่วนที่จำเรื่องนั้นๆ เสื่อมสภาพไปที่ต้องรักษาด้วยยาเพื่อบำรุง หรือผ่าตัด
ทั้งนี้คงต้องปรึกษาหมอ ผมไม่แน่ใจว่าหมอเฉพาะเรื่องนี้ของไทยมีที่ไหน
สาเหตุแรกเราคงทำได้ แต่เราต้องค่อยทดสอบ เพื่อรื้อฟื้นความจำ หรือเรียนและฝึกเชื่อมโยง เรื่องราว เพื่อจดจำสิ่งจำเป็นต่างๆอีกครั้ง
ผมเคย สมัยเด็กๆ คุณย่า-คุณยายที่อายุมาก ต้องทะเลาะกันประจำเรื่องกินข้าว อาบน้ำ เพราะท่านลืมทานข้าว อาบน้ำ แล้วท่านก็บอกทำแล้ว แล้วก็บอกตัวเองจำได้
เราคงต้องใจเย็นๆ และต้องมีคนดูแล เราจะเห็นคุณค่าของคนดูแลก็ตอนนี้แหละ ยิ่งเราต้องทำงานประจำเต็มเวลา
ทำให้ต้องคิดเลยว่าจะทำอย่างไรกับชิวิต การงาน ถ้าแฟนเรา ลูกเรา พ่อแม่เราเจ็บป่วย หรือดูแลตัวเองไม่ได้และเราต้องมาดูแลตลอดเวลา
ขอเอาใจช่วยครับ
เวลาวางแผนการเงินเราคงต้องเตรียมสำหรับการดูแลผู้สูงอายุไว้ด้วย
เพราะสมัยนี้ผู้สูงอายุมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น....ถ้ามีกรรมพันธุ์โรคเรื้อรังในครอบครัว
จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ตามมาอีกมาก
ตอนนี้ของแม่รักษากับคุณหมอเฉพาะทางคลินิกรักษ์สมองที่ รพ.ธรรมศาสตร์ ฯ รังสิตค่ะ
คุณหมอก็แจ้งแล้วว่าไม่มีโอกาสหาย โอกาสฟื้นคืนก็แทบไม่มี
แต่ก็แนะนำให้พยายามทำตามวิธีการที่คุณหมอ leky และคุณ ddoo7
ได้นำมาแบ่งปันเนี่ยแหละค่ะ ก็พยายามกันอยู่
ขอบคุณมากนะคะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 159
มันอาจจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราทำผลตอบแทนต่อปีได้เป็น "เด้งยกกำลังเด้ง" แต่อายุสั้น บางครั้งผลตอบแทนในระดับปานกลางแต่เรามีเวลาลงทุนได้ยาวเพราะสุขภาพแข็งแรงนั้นอาจจะดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่โดนค่ารักษาพยาบาล "กิน" เงินเราจนหมดและยังสามารถอยู่ดูโลกที่สวยงามใบนี้แบบมีความสุขด้วยครับ[/quote]
เห็นด้วยอย่ายิ่ง....ขอบคุณค่ะ
เห็นด้วยอย่ายิ่ง....ขอบคุณค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 160
คุณtheenuchครับ
เรื่องคุณแม่
ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
คิดเสียว่า ดูแลแม่คนอื่นมามากแล้ว ได้โอกาสดูแลแม่ตัวเองล่ะ
เพราะที่สังเกตุมา แม่ที่มีลูกเป็นหมอ พยาบาล ลูกมักจะต้องไปดูแลคนอื่น
ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูแลพ่อแม่ตัวเอง
จะว่าไปคุณแม่ก็มีบุญมากนะครับ คุณtheenuchก็ได้บุญเยอะด้วย
เรื่องบ้านสว.
ผมไปฟัง อ.ไตรรัตน์ อ.ยอดเยี่ยม
ไปประชุมงานผู้สูงอายุแห่งชาติ
ไปดูที่บางปู (ที่บางไทรหาไม่เจอ)
ได้ไอเดียมาระดับนึง
เชื่อว่าคุณtheenuchน่าจะมีความคิดดีๆอยู่เยอะพอสมควร
ออกมาเป็นรูปร่างเมื่อไรมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ
จะได้ไปทำตาม หรืออาจมาขอเป็นลูกค้า ลูกบ้านด้วยก็ไม่แน่
เรื่องคุณแม่
ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
คิดเสียว่า ดูแลแม่คนอื่นมามากแล้ว ได้โอกาสดูแลแม่ตัวเองล่ะ
เพราะที่สังเกตุมา แม่ที่มีลูกเป็นหมอ พยาบาล ลูกมักจะต้องไปดูแลคนอื่น
ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูแลพ่อแม่ตัวเอง
จะว่าไปคุณแม่ก็มีบุญมากนะครับ คุณtheenuchก็ได้บุญเยอะด้วย
เรื่องบ้านสว.
ผมไปฟัง อ.ไตรรัตน์ อ.ยอดเยี่ยม
ไปประชุมงานผู้สูงอายุแห่งชาติ
ไปดูที่บางปู (ที่บางไทรหาไม่เจอ)
ได้ไอเดียมาระดับนึง
เชื่อว่าคุณtheenuchน่าจะมีความคิดดีๆอยู่เยอะพอสมควร
ออกมาเป็นรูปร่างเมื่อไรมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ
จะได้ไปทำตาม หรืออาจมาขอเป็นลูกค้า ลูกบ้านด้วยก็ไม่แน่
samatah
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 161
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะdr1 เขียน:คุณtheenuchครับ
เรื่องคุณแม่
ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
คิดเสียว่า ดูแลแม่คนอื่นมามากแล้ว ได้โอกาสดูแลแม่ตัวเองล่ะ
เพราะที่สังเกตุมา แม่ที่มีลูกเป็นหมอ พยาบาล ลูกมักจะต้องไปดูแลคนอื่น
ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูแลพ่อแม่ตัวเอง
จะว่าไปคุณแม่ก็มีบุญมากนะครับ คุณtheenuchก็ได้บุญเยอะด้วย
เรื่องบ้านสว.
ผมไปฟัง อ.ไตรรัตน์ อ.ยอดเยี่ยม
ไปประชุมงานผู้สูงอายุแห่งชาติ
ไปดูที่บางปู (ที่บางไทรหาไม่เจอ)
ได้ไอเดียมาระดับนึง
เชื่อว่าคุณtheenuchน่าจะมีความคิดดีๆอยู่เยอะพอสมควร
ออกมาเป็นรูปร่างเมื่อไรมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ
จะได้ไปทำตาม หรืออาจมาขอเป็นลูกค้า ลูกบ้านด้วยก็ไม่แน่
จริงๆ แล้วคนที่เหนื่อยกว่าคือพี่สาวและคนดูแล
เพราะผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะอารมณ์ขึ้นลงเร็วมาก
ตัวเองแค่ไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว
พาแม่ไป รพ. รับทั้งหมดออกไปห้าง
หรือไปเปลี่ยนบรรยากาศที่ต่างๆ
ซึ่งจะเป็นช่วงที่แม่อารมณ์ดีเพราะได้เปิดหูเปิดตาค่ะ
เกรงว่าคุณ dr1 จะเข้าใจผิดค่ะ
ไม่ได้มีโครงการทำบ้าน สว แต่อย่างใดค่ะ
เพียงแต่เตือนเพื่อนๆ แต่ละบ้านให้วางแผนการเงิน
รับสถานการณ์เผื่อต้องดูและผู้สูงวัยค่ะ
ประเมินตนเองแล้วถ้าเปิดกิจการอะไร
ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับเด็กและผู้สูงวัยด้วยนี่คงจะขาดทุนค่ะ
เคยแต่ทำอะไรที่ไม่คิดมูลค่าค่ะ
ทำมาหลายอย่างตั้งแต่วัยรุ่น
อยากบอกเพื่อนๆ ว่าบางทีตัวคนเดียว
ก็สามารถทำสิ่งดีได้หลายเรื่องนะคะ
ขอแค่เราตั้งใจ เราอาจแค่เป็นตัวกลาง
เชื่อมโยงพาผู้ให้กับผู้รับมาเจอกัน
หรือไม่เจอแต่เราเป็นคนดำเนินการให้ก็ได้
ยกตัวอย่างที่เคยทำนะคะ
พาพี่หัวหน้าฝ่ายเภสัช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอ่างทอง
ไปแวะเยี่ยมเด็กๆ ที่บ้านเด็กใกล้วัด (ปัจจุบันปิดไปแล้ว)
หลังจากนั้นางบ้านเด็กก็ได้รับการสนับสนุนยาพื้นฐาน
พวกยาลดน้ำมูก ลดไข้ รักษาหิดเหา และโรคผิวหนัง
หลังจากนั้นก็จะไปช่วยดูแลสอนการใช้ยา
และคอยดูว่าต้องเบิกใหม่หรือยัง
ตอนอยู่สถานีอนามัยขี่มอเตอร์ไซค์ไปกลับ
เห็นกลุ่มบ้าน 2-3 ครอบครัว อยู่ไกลจากแหล่งน้ำ
ก็รวบรวมเงินจากเพื่อนๆ ไปขุดบาดาลหัวโยกให้
เพื่อนๆ ก็ช่วยกันออกเงินกันคนละนิดละหน่อย
หลังจากนั้นกลุ่มบ้านตรงนั้นก็ไม่ต้องเดินไปหาบน้ำไกล
(ไปกลับกิโลเมตรกว่าค่ะ ดูเหมือนไม่ไกลมากแต่ขากลับมีน้ำมาด้วยนี่แย่เหมือนกัน)
นอกจากแค่น้ำใช้แล้วเค้ายังสามารถปลูกผักกินเองได้ด้วย
ลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก (ยายแก่ๆ กับหลานเล็ก ลูกไปทำงานกรุงเทพฯ)
เนื่องจากเป็นคนช่างสังเกตค่ะ
ช่างคิด และ อาจจะ hyper active เล็กน้อย
ชอบทำอะไรแบบนี้มาตลอด
ก็แค่เป็นตัวกลางค่ะถ้าไม่ได้เพื่อนๆ พี่ๆ ที่มีน้ำใ่จช่วยกันบริจาค
ก็คงไม่สำเร็จอย่างที่เล่ามาหรอกค่ะ
เชื่อแน่ว่าถ้าตั้งใจ เราสามารถทำได้ทุกเรื่องแหละค่ะ
ที่เรามาได้คุยแลกเปลี่ยน
และไดรับความรู้การลงทุนที่ถูกวิธี
บางท่านก็มีโอกาสได้ไปสัมมนา
ได้รับความรู้จากครูบาอาจารย์ที่ตั้งใจมาถ่ายทอด
เรื่องราวการลงทุนโดยไม่คิดมูลค่า
จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีทั้งท่านอาจารย์ทั้งทีมงาน
ที่มีความตั้งใจดี อยากเห็นสังคมนักลงทุนไทย
มีความรู้ทีถูกต้อง และประสพความสำเร็จจากการลงทุนเป็นวงกว้าง
คิดว่าการส่งต่อความปรารถนาดี
เป็นสิ่งที่เราช่วยกันทำได้ค่ะ คนละไม้ละมือ
ทำเรื่องที่ตนเองถนัดก็สามารถสร้างสิ่งดีได้มากค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 162
พาลูกสำรวจโลก
..................................................
เคยดูจากสารคดีนึง.....มีการทดลองติดตั้งกล้องในมุมมองสายตาของเด็กเล็ก….ขณะอยู่ในฝูงชน
พบว่าช่างเป็นมุมมองที่น่าอึดอัดมาก.....เวลาจะมองผู้ใหญ่...เด็กต้องแหงนคอตั้งบ่า
จึงมีข้อแนะนำว่าถ้าอยากให้เด็กเล็กๆ มีทัศนวิสัยกว้างไกล....ให้อุ้มเด็กให้สูงๆ เข้าไว้
โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องการชี้ชวนให้เค้าดูโน่น ดูนี่ แบบที่สายตาเราเห็น
.......................................................
ในทางกลับกัน ถ้าเด็กเล็กเรียกให้เราไปดูอะไรก็ตาม
ทางที่ดีเราควรย่อตัว....หรือนั่งลงไป....ให้ได้มุมมองที่ใกล้เคียงกัน
........................................................
นอกเหนือจากเรื่องมุมมองที่ควรใกล้เคียงกันแล้ว
ความสนใจก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ และสำรวจโลกของเด็กเล็ก
........................................................
ที่สวนสาธารณะ
คุณแม่ “ดูดอกไม้นี่สิคะ ลูกรู้มั้ยว่าสีอะไร”
แต่ระหว่างที่ลูกกำลังจะมองตามที่คุณแม่ชี้
กลับเหลือบไปเห็น “กิ้งกือ” ตัวนึง จึงถามคุณแม่ว่า “นี่ตัวอะไร....”
เราจะยังอธิบายเรื่องดอกไม้หรือไม่? หรือจะเปลี่ยนเป็นเรื่องกิ้งกือดี
ถ้าให้ตอบตอนนี้....หลายคนต้องตอบว่า “ไม่”
.............................................................
แต่ในความเป็นจริงมีพ่อแม่....และคนเลี้ยงเด็กหลายคนทำสิ่งนี้
“อย่าไปยุ่ง....สกปรก” “ดูนี่ดีกว่า ดอกไม้สีขาว ....white flower” (สองภาษาอีกต่างหาก)
ลูกยังคง “ตัวอะไร..ขาเยอะจัง”
“บอกว่าอย่าไปสนใจไง....มันสกปรกจะตาย....”
“นี่ดูดอกนี้สิ......สีอะไรรู้มั้ย.....สีเหลือง yellow” (ถามเอง....ตอบเอง)
.......................................................................
หากิ่งไม้มาเขี่ยกิ้งกือไปให้พ้นดีกว่า........
กิ้งกือลอยละลิ่วตกห่างไปจากจุดเดิมฟุตกว่า (นึกกระหยิ่มใจเล็กๆ)
.......................................................................
ลูกเดินตามไปนั่งยองๆ จ้องกิ้งกือตาเขม็ง “ว๊าว...มันม้วนตัวด้วย”
.....................................................................
คุณแม่จูงมือลูกให้ลุกขึ้น “กลับบ้านเลย...ถามเรื่องสีก็ตอบไม่ได้เลย...
คุณครูยังไม่สอนอีกเหรอ.....ถ้าเป็นอย่างงี้ครั้งหน้าไม่พามาแล้ว”
ลูก “....?....?....?”
.............................................................
มีจริงๆ นะคะ...แบบนี้.........
ไม่แปลก....เพราะพ่อแม่มีความตั้งใจและปรารถนาดีที่จะสอน...แต่แค่ลืมอะไรบางอย่างไป
ในโรงเรียนเองก็นะคะเหตุการณ์แบบนี้
...............................................................
แต่.....จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าครูและพ่อแม่ของเด็กในข่าวนี้.....เป็นอย่างกรณีข้างต้น
http://www.manager.co.th/Science/ViewNe ... 0000078991
สรุป.......การเรียนรู้ถ้าจะให้ดี......ต้องมีความสนใจ (ของเด็ก) เป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย
ในบางครั้ง.......ควรเปิดโอกาสให้เด็กนำได้บ้าง
ถ้าเด็กเล็กมากยังพูดไม่ได้...อาจใช้วิธีสังเกต “ตาดำ” เลยก็ได้ค่ะ
................................................................
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนตรงไหน
อยากบอกว่าการลงทุนในการศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของลูก
จะช่วยให้พ่อแม่สามารถ.....สนับสนุนการเรียนรู้ของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะเด็กเล็กเริ่มสำรวจโลกก่อนเข้าโรงเรียนเสียอีก
การจะช่วยเติมสิ่งใหม่ๆ ลงไปในพื้นที่ว่างเปล่าของสมองนั้น...พ่อแม่คือคนสำคัญที่สุด
และหากทำได้ดี.....จะมีผลต่อรูปแบบการเกี่ยวข้องกับโลกของลูกไปตลอดชีวิตด้วยค่ะ
..................................................
เคยดูจากสารคดีนึง.....มีการทดลองติดตั้งกล้องในมุมมองสายตาของเด็กเล็ก….ขณะอยู่ในฝูงชน
พบว่าช่างเป็นมุมมองที่น่าอึดอัดมาก.....เวลาจะมองผู้ใหญ่...เด็กต้องแหงนคอตั้งบ่า
จึงมีข้อแนะนำว่าถ้าอยากให้เด็กเล็กๆ มีทัศนวิสัยกว้างไกล....ให้อุ้มเด็กให้สูงๆ เข้าไว้
โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องการชี้ชวนให้เค้าดูโน่น ดูนี่ แบบที่สายตาเราเห็น
.......................................................
ในทางกลับกัน ถ้าเด็กเล็กเรียกให้เราไปดูอะไรก็ตาม
ทางที่ดีเราควรย่อตัว....หรือนั่งลงไป....ให้ได้มุมมองที่ใกล้เคียงกัน
........................................................
นอกเหนือจากเรื่องมุมมองที่ควรใกล้เคียงกันแล้ว
ความสนใจก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ และสำรวจโลกของเด็กเล็ก
........................................................
ที่สวนสาธารณะ
คุณแม่ “ดูดอกไม้นี่สิคะ ลูกรู้มั้ยว่าสีอะไร”
แต่ระหว่างที่ลูกกำลังจะมองตามที่คุณแม่ชี้
กลับเหลือบไปเห็น “กิ้งกือ” ตัวนึง จึงถามคุณแม่ว่า “นี่ตัวอะไร....”
เราจะยังอธิบายเรื่องดอกไม้หรือไม่? หรือจะเปลี่ยนเป็นเรื่องกิ้งกือดี
ถ้าให้ตอบตอนนี้....หลายคนต้องตอบว่า “ไม่”
.............................................................
แต่ในความเป็นจริงมีพ่อแม่....และคนเลี้ยงเด็กหลายคนทำสิ่งนี้
“อย่าไปยุ่ง....สกปรก” “ดูนี่ดีกว่า ดอกไม้สีขาว ....white flower” (สองภาษาอีกต่างหาก)
ลูกยังคง “ตัวอะไร..ขาเยอะจัง”
“บอกว่าอย่าไปสนใจไง....มันสกปรกจะตาย....”
“นี่ดูดอกนี้สิ......สีอะไรรู้มั้ย.....สีเหลือง yellow” (ถามเอง....ตอบเอง)
.......................................................................
หากิ่งไม้มาเขี่ยกิ้งกือไปให้พ้นดีกว่า........
กิ้งกือลอยละลิ่วตกห่างไปจากจุดเดิมฟุตกว่า (นึกกระหยิ่มใจเล็กๆ)
.......................................................................
ลูกเดินตามไปนั่งยองๆ จ้องกิ้งกือตาเขม็ง “ว๊าว...มันม้วนตัวด้วย”
.....................................................................
คุณแม่จูงมือลูกให้ลุกขึ้น “กลับบ้านเลย...ถามเรื่องสีก็ตอบไม่ได้เลย...
คุณครูยังไม่สอนอีกเหรอ.....ถ้าเป็นอย่างงี้ครั้งหน้าไม่พามาแล้ว”
ลูก “....?....?....?”
.............................................................
มีจริงๆ นะคะ...แบบนี้.........
ไม่แปลก....เพราะพ่อแม่มีความตั้งใจและปรารถนาดีที่จะสอน...แต่แค่ลืมอะไรบางอย่างไป
ในโรงเรียนเองก็นะคะเหตุการณ์แบบนี้
...............................................................
แต่.....จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าครูและพ่อแม่ของเด็กในข่าวนี้.....เป็นอย่างกรณีข้างต้น
http://www.manager.co.th/Science/ViewNe ... 0000078991
สรุป.......การเรียนรู้ถ้าจะให้ดี......ต้องมีความสนใจ (ของเด็ก) เป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย
ในบางครั้ง.......ควรเปิดโอกาสให้เด็กนำได้บ้าง
ถ้าเด็กเล็กมากยังพูดไม่ได้...อาจใช้วิธีสังเกต “ตาดำ” เลยก็ได้ค่ะ
................................................................
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนตรงไหน
อยากบอกว่าการลงทุนในการศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของลูก
จะช่วยให้พ่อแม่สามารถ.....สนับสนุนการเรียนรู้ของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะเด็กเล็กเริ่มสำรวจโลกก่อนเข้าโรงเรียนเสียอีก
การจะช่วยเติมสิ่งใหม่ๆ ลงไปในพื้นที่ว่างเปล่าของสมองนั้น...พ่อแม่คือคนสำคัญที่สุด
และหากทำได้ดี.....จะมีผลต่อรูปแบบการเกี่ยวข้องกับโลกของลูกไปตลอดชีวิตด้วยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 163
เปิดโลกกว้างด้วยการเดินทางท่องเที่ยว
ถึงแม้ที่บ้านเราจะค่อนข้างประหยัด
แต่เราให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกและการท่องเที่ยวมาก
เมื่อตอนลูกอยู่ ป.1 ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น
มีเพื่อนใจดีกรุณาให้ที่พัก...๑๐ วัน ญี่ปุ่นจึงใช้เงินไปไม่มากนัก
เนื่องจากหลายวันคุณพ่อไม่สามารถลางานได้
เลยไปกัน ๒ คน แม่ลูก เพื่อนมารับที่สนามบิน
เนื่องจากลูกเพื่อนยังไม่ปิดเทอม
เพื่อนสามารถพาเราเที่ยวได้แต่ต้องกลับเร็วทุกวันเพื่อมารอรับลูกที่กลับจากโรงเรียน
เนื่องจากญี่ปุ่นมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีและปลอดภัย
ในบางวันเราจึงวางแผนท่องเที่ยวกันเองโดยนั่งรถ JR สลับกับการเดิน
(และเพื่อนก็ใหความเชื่อมั่นว่าพวกเราทำได้ ให้ยืมมือถือด้วย ก็มั่นใจขึ้น)
มีอยู่วันึง ขากลับจาก "ปราสาทฮิเมจิ"
เราจะแวะซื้อของกินที่ Jusco ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนถึงบ้านเพื่อน
ต้องอำเพื่อนว่าอยากเดินซื้อของ. จริงๆ แล้ว จะช่วยเค้าซื้อพวกนมและอาหาร
ไม่งั้นไม่รู้จะช่วยออกค่าใช้จ่ายได้อย่างไร เพื่อนไม่ยอมคิดค่าอะไรสักอย่าง
แต่....ลูกอยากกลับเร็วเพื่อไปเล่นกับลูกเพื่อน
ลูกมีข้อเสนอว่าเค้าสามารถเดินทางกลับเองคนเดียวได้
เราก็สังเกตว่า 2-3 วันแรกที่เพื่อนพาเดินขึ้นลงเขา และมาขึ้นรถ JR
ไปสถานที่เที่ยวใกล้ๆ พอปล่อยให้ลูกเดินนำหน้าเค้าสามารถจำทางได้แม่นยำ
ก็โทรปรึกษาเพื่อน เพื่อนบอกว่าญี่ปุ่นปลอดภัย ถ้าลูกเรากล้าก็ให้เค้าลองได้
เค้า "เชื่อ" ว่าลูกเราทำได้ เราก็ "เชื่อ" อย่างนั้นเหมือนกัน
ก็เลยตกลง ให้ลูกลองทวนให้ฟังว่าเค้าต้องเปลี่ยนจาก JR rapid
ไปเป็น JR local ที่สถานีไหน ลูกทวนได้ ก็เลยให้โอกาสเค้าได้ลอง
1 ชม ผ่านไเพื่อนโทรมาบอกว่าลูกเราถึงบ้านเรียบร้อยแล้วนะ
..............................................
นึกถึงนิทานที่เล่าต่อๆ กันมา....เรื่องกบที่ต้องแข่งกระโดดสูง (จำได้ไม่แม่นนัก)
เหมือนว่ามันสูงมากเพื่อนกบที่มาเชียร์ต่างฟันธงว่าทำไม่ได้
และกบที่มาแข่งก็ทยอยล้มเลิกไป เนื่องจากเหนื่อยและได้ยินแต่เสียงบอกว่า "ทำไม่ได้"
ที่ตอนหลังมีกบอยู่ตัวนึงสามารถทำสำเร็จเพราะกบตัวนั้น "หูหนวก"
นิทานเรื่องนี้คงพอจะเปรียบกับเรื่องลูกที่เราเล่ามา
ต้องขอบคุณเพื่อนด้วย....อยากเอ่ยชื่อจังเผื่อพี่เค้ามีโอกาสได้อ่าน
ขอขอบคุณครอบครัว "พี่กบ พี่โมท และน้องกาย"
ที่สร้างทั้ง "โอกาส" และ "ความเชื่อมั่น"
รวมทั้ง "ความคิดด้านบวกและการแบ่งปัน"
ที่ยิ่งมีมากขึ้นเมื่อได้รู้จักกับครอบครัวของพี่กบ
......................................
ถ้ามีโอกาสอยากให้พาลูกท่องกกว้าง (ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องไปกับทัวร์ก็ดีค่ะ)
การเดินทางท่องเที่ยวในที่แปลกใหม่ให้ประสบการณ์มากมาย
โดยเฉพาะกับเด็กๆ การไปญี่ปุ่น 2 ครั้งนั้นส่งผลต่อ
ทัศนคติของลูกมากๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะครั้งที่ ๒
ที่เราไปสร้างวีรกรรมเล็กๆ (รึเปล่าไม่รู้)
ทำให้ได้มีโอกาสเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน
เพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และยังทำให้ลูกเราเห็นว่า
ภาษาต่างประเทศใีความสำคัญเพียงใด
จะทยอยมาเล่าไปเรื่อยๆ นะคะ
ถึงแม้ที่บ้านเราจะค่อนข้างประหยัด
แต่เราให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกและการท่องเที่ยวมาก
เมื่อตอนลูกอยู่ ป.1 ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น
มีเพื่อนใจดีกรุณาให้ที่พัก...๑๐ วัน ญี่ปุ่นจึงใช้เงินไปไม่มากนัก
เนื่องจากหลายวันคุณพ่อไม่สามารถลางานได้
เลยไปกัน ๒ คน แม่ลูก เพื่อนมารับที่สนามบิน
เนื่องจากลูกเพื่อนยังไม่ปิดเทอม
เพื่อนสามารถพาเราเที่ยวได้แต่ต้องกลับเร็วทุกวันเพื่อมารอรับลูกที่กลับจากโรงเรียน
เนื่องจากญี่ปุ่นมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีและปลอดภัย
ในบางวันเราจึงวางแผนท่องเที่ยวกันเองโดยนั่งรถ JR สลับกับการเดิน
(และเพื่อนก็ใหความเชื่อมั่นว่าพวกเราทำได้ ให้ยืมมือถือด้วย ก็มั่นใจขึ้น)
มีอยู่วันึง ขากลับจาก "ปราสาทฮิเมจิ"
เราจะแวะซื้อของกินที่ Jusco ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนถึงบ้านเพื่อน
ต้องอำเพื่อนว่าอยากเดินซื้อของ. จริงๆ แล้ว จะช่วยเค้าซื้อพวกนมและอาหาร
ไม่งั้นไม่รู้จะช่วยออกค่าใช้จ่ายได้อย่างไร เพื่อนไม่ยอมคิดค่าอะไรสักอย่าง
แต่....ลูกอยากกลับเร็วเพื่อไปเล่นกับลูกเพื่อน
ลูกมีข้อเสนอว่าเค้าสามารถเดินทางกลับเองคนเดียวได้
เราก็สังเกตว่า 2-3 วันแรกที่เพื่อนพาเดินขึ้นลงเขา และมาขึ้นรถ JR
ไปสถานที่เที่ยวใกล้ๆ พอปล่อยให้ลูกเดินนำหน้าเค้าสามารถจำทางได้แม่นยำ
ก็โทรปรึกษาเพื่อน เพื่อนบอกว่าญี่ปุ่นปลอดภัย ถ้าลูกเรากล้าก็ให้เค้าลองได้
เค้า "เชื่อ" ว่าลูกเราทำได้ เราก็ "เชื่อ" อย่างนั้นเหมือนกัน
ก็เลยตกลง ให้ลูกลองทวนให้ฟังว่าเค้าต้องเปลี่ยนจาก JR rapid
ไปเป็น JR local ที่สถานีไหน ลูกทวนได้ ก็เลยให้โอกาสเค้าได้ลอง
1 ชม ผ่านไเพื่อนโทรมาบอกว่าลูกเราถึงบ้านเรียบร้อยแล้วนะ
..............................................
นึกถึงนิทานที่เล่าต่อๆ กันมา....เรื่องกบที่ต้องแข่งกระโดดสูง (จำได้ไม่แม่นนัก)
เหมือนว่ามันสูงมากเพื่อนกบที่มาเชียร์ต่างฟันธงว่าทำไม่ได้
และกบที่มาแข่งก็ทยอยล้มเลิกไป เนื่องจากเหนื่อยและได้ยินแต่เสียงบอกว่า "ทำไม่ได้"
ที่ตอนหลังมีกบอยู่ตัวนึงสามารถทำสำเร็จเพราะกบตัวนั้น "หูหนวก"
นิทานเรื่องนี้คงพอจะเปรียบกับเรื่องลูกที่เราเล่ามา
ต้องขอบคุณเพื่อนด้วย....อยากเอ่ยชื่อจังเผื่อพี่เค้ามีโอกาสได้อ่าน
ขอขอบคุณครอบครัว "พี่กบ พี่โมท และน้องกาย"
ที่สร้างทั้ง "โอกาส" และ "ความเชื่อมั่น"
รวมทั้ง "ความคิดด้านบวกและการแบ่งปัน"
ที่ยิ่งมีมากขึ้นเมื่อได้รู้จักกับครอบครัวของพี่กบ
......................................
ถ้ามีโอกาสอยากให้พาลูกท่องกกว้าง (ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องไปกับทัวร์ก็ดีค่ะ)
การเดินทางท่องเที่ยวในที่แปลกใหม่ให้ประสบการณ์มากมาย
โดยเฉพาะกับเด็กๆ การไปญี่ปุ่น 2 ครั้งนั้นส่งผลต่อ
ทัศนคติของลูกมากๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะครั้งที่ ๒
ที่เราไปสร้างวีรกรรมเล็กๆ (รึเปล่าไม่รู้)
ทำให้ได้มีโอกาสเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน
เพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และยังทำให้ลูกเราเห็นว่า
ภาษาต่างประเทศใีความสำคัญเพียงใด
จะทยอยมาเล่าไปเรื่อยๆ นะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 164
ผมเข้ามาอ่านและนำสาระดีๆไปใช้กับลูกๆของผมเสมอเลยครับ
ล่าสุดเรื่องการปรับมุมมองและการให้ความสนใจกับสิ่งที่เด็กอยากรู้...
ผมว่าดีมากทั้งลูกและผมเลยครับ
ทำง่ายๆแต่ดูเหมือนจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นครับ
จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆน๊ะครับ
ล่าสุดเรื่องการปรับมุมมองและการให้ความสนใจกับสิ่งที่เด็กอยากรู้...
ผมว่าดีมากทั้งลูกและผมเลยครับ
ทำง่ายๆแต่ดูเหมือนจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นครับ
จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆน๊ะครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 165
ถ้ามีใครที่แวะมาอ่านแล้วพอจะได้ประโยชน์บ้าง ก็ยินดีค่ะsaichon เขียน:ผมเข้ามาอ่านและนำสาระดีๆไปใช้กับลูกๆของผมเสมอเลยครับ
ล่าสุดเรื่องการปรับมุมมองและการให้ความสนใจกับสิ่งที่เด็กอยากรู้...
ผมว่าดีมากทั้งลูกและผมเลยครับ
ทำง่ายๆแต่ดูเหมือนจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นครับ
จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆน๊ะครับ
พี่อยากดึงเอาทฤษฏีทางจิตวิทยาพัฒนาการ
จิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิตยาการศึกษา มาถ่ายทอดให้เข้าใจได้ง่ายๆ
ไม่อยากให้สิ่งดีมีประโยชน์ เป็นแค่ทฤษฏีที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง หรือเข้าถึงยาก
ขอให้ saichon มีความสุขกับการเลี้ยงลูกและการลงทุน
และขอให้ทั้งสองสิ่งเจริญเติบโตควบคู่กันไป ทั้ง port หุ้นและลูกน้อยทั้งสอง
การมีลูกที่ต้องดูแลตั้งสองคนอาจทำให้การเติบโตของ port ช้าลงไปบ้าง...ก็อย่าได้กังวลนะ
เวลาสำหรับการเลี้ยงลูกผ่านแล้วผ่านเลย เราย้อนเวลากลับไม่ได้
แต่กับ port หุ้นนี่เรายัง speed ตอนหลังได้นะ
-
- Verified User
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 166
เข้ามาอ่านกระทู้คุณนุช ได้ความรู้ มุมมองที่เยี่ยมเช่นเคย
ขอสนับสนุนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ จะให้มุมมอง โลกทัศน์กับเราและลูกเรามากมาย
และไปเที่ยวด้วยการพักบ้านเพี่อนนี่ไปทีเดียวได้หลายต่อ ลดค่าใช้จ่าย ได้เที่ยวดูจนจุใจ ลูกก็ได้มีปฎิสัมพันธ์กับลูกเจ้าของบ้านด้วย อันนี้หายากที่สุด
ปีก่อนผมเองไปประเทศเพื่อนบ้านลาว เขมร เวียดนาม ปีนี้กะจะไปพม่า อาจขอไปพักบ้านเพื่อนบ้าง เพื่อได้ประสบการณ์เจ้าบ้าน
เสียดายลูกผมโตจนออกไปท่องโลกเองแล้ว
ขอสนับสนุนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ จะให้มุมมอง โลกทัศน์กับเราและลูกเรามากมาย
และไปเที่ยวด้วยการพักบ้านเพี่อนนี่ไปทีเดียวได้หลายต่อ ลดค่าใช้จ่าย ได้เที่ยวดูจนจุใจ ลูกก็ได้มีปฎิสัมพันธ์กับลูกเจ้าของบ้านด้วย อันนี้หายากที่สุด
ปีก่อนผมเองไปประเทศเพื่อนบ้านลาว เขมร เวียดนาม ปีนี้กะจะไปพม่า อาจขอไปพักบ้านเพื่อนบ้าง เพื่อได้ประสบการณ์เจ้าบ้าน
เสียดายลูกผมโตจนออกไปท่องโลกเองแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 167
ขอบคุณที่แวะมาคุยกันอยู่เรื่อยๆ นะคะddoo7 เขียน:เข้ามาอ่านกระทู้คุณนุช ได้ความรู้ มุมมองที่เยี่ยมเช่นเคย
ขอสนับสนุนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ จะให้มุมมอง โลกทัศน์กับเราและลูกเรามากมาย
และไปเที่ยวด้วยการพักบ้านเพี่อนนี่ไปทีเดียวได้หลายต่อ ลดค่าใช้จ่าย ได้เที่ยวดูจนจุใจ ลูกก็ได้มีปฎิสัมพันธ์กับลูกเจ้าของบ้านด้วย อันนี้หายากที่สุด
ปีก่อนผมเองไปประเทศเพื่อนบ้านลาว เขมร เวียดนาม ปีนี้กะจะไปพม่า อาจขอไปพักบ้านเพื่อนบ้าง เพื่อได้ประสบการณ์เจ้าบ้าน
เสียดายลูกผมโตจนออกไปท่องโลกเองแล้ว
ขออนุญาตมาชวนเพื่อนๆ ไปคุยกันต่อที่ ห้องเรื่องทั่วไป/นั่งเล่น นะคะ
เพราะเรื่องที่มาชวนเพื่อนๆ คุยหลังๆ มา น่าจะไปอยู่หมวดนั้นมากกว่าค่ะ ตาม link นี้ไปเลยค่ะ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=56294
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 168
ลืมอธิบายเหตุผลค่ะtheenuch เขียน:ขอบคุณที่แวะมาคุยกันอยู่เรื่อยๆ นะคะddoo7 เขียน:เข้ามาอ่านกระทู้คุณนุช ได้ความรู้ มุมมองที่เยี่ยมเช่นเคย
ขอสนับสนุนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ จะให้มุมมอง โลกทัศน์กับเราและลูกเรามากมาย
และไปเที่ยวด้วยการพักบ้านเพี่อนนี่ไปทีเดียวได้หลายต่อ ลดค่าใช้จ่าย ได้เที่ยวดูจนจุใจ ลูกก็ได้มีปฎิสัมพันธ์กับลูกเจ้าของบ้านด้วย อันนี้หายากที่สุด
ปีก่อนผมเองไปประเทศเพื่อนบ้านลาว เขมร เวียดนาม ปีนี้กะจะไปพม่า อาจขอไปพักบ้านเพื่อนบ้าง เพื่อได้ประสบการณ์เจ้าบ้าน
เสียดายลูกผมโตจนออกไปท่องโลกเองแล้ว
ขออนุญาตมาชวนเพื่อนๆ ไปคุยกันต่อที่ ห้องเรื่องทั่วไป/นั่งเล่น นะคะ
เพราะเรื่องที่มาชวนเพื่อนๆ คุยหลังๆ มา น่าจะไปอยู่หมวดนั้นมากกว่าค่ะ ตาม link นี้ไปเลยค่ะ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=56294
เวลา post อะไรใหม่แต่ละครั้ง กระทู้จะขึ้นมาอยู่หน้าแรกๆ ข้างๆ กระทู้คุณภาพของห้อง value investing เสมอ
จึงทำให้รู้สึกเกรงใจทาง web ThaiVI มาก เนื่องจากเนื้อหาที่ชวนคุยช่วงหลังๆ มา
ออกแนวเป็นเรื่องทั่วไป ประเมินด้วยตนเองเบื้องต้นแล้วพบว่าไม่เหมาะที่อยู่หมวด value investing ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 170
ขอบคุณมากครับ
มาเป็นกำลังใจและติดตามบทความเช่นเคยครับ ^__^
มาเป็นกำลังใจและติดตามบทความเช่นเคยครับ ^__^
สโลแกน ลงทุนอย่างมีความสุข
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 171
ดูเหมือนเพื่อนๆ ถนัดติดตามอ่านที่กระทู้เดิมมากกว่าtheenuch เขียน:ขอบคุณที่แวะมาคุยกันอยู่เรื่อยๆ นะคะddoo7 เขียน:เข้ามาอ่านกระทู้คุณนุช ได้ความรู้ มุมมองที่เยี่ยมเช่นเคย
ขอสนับสนุนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ จะให้มุมมอง โลกทัศน์กับเราและลูกเรามากมาย
และไปเที่ยวด้วยการพักบ้านเพี่อนนี่ไปทีเดียวได้หลายต่อ ลดค่าใช้จ่าย ได้เที่ยวดูจนจุใจ ลูกก็ได้มีปฎิสัมพันธ์กับลูกเจ้าของบ้านด้วย อันนี้หายากที่สุด
ปีก่อนผมเองไปประเทศเพื่อนบ้านลาว เขมร เวียดนาม ปีนี้กะจะไปพม่า อาจขอไปพักบ้านเพื่อนบ้าง เพื่อได้ประสบการณ์เจ้าบ้าน
เสียดายลูกผมโตจนออกไปท่องโลกเองแล้ว
ขออนุญาตมาชวนเพื่อนๆ ไปคุยกันต่อที่ ห้องเรื่องทั่วไป/นั่งเล่น นะคะ
เพราะเรื่องที่มาชวนเพื่อนๆ คุยหลังๆ มา น่าจะไปอยู่หมวดนั้นมากกว่าค่ะ ตาม link นี้ไปเลยค่ะ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=56294
ถ้าอย่างนั้น ขออนุญาตกลับมาเขียนต่อที่กระทู้เดิมดีกว่านะคะ
เพราะดูเหมือนจะง่ายแก่ผู้อ่านมากกว่าค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 172
สอนลูกให้รู้คุณค่าของเงิน (ภาคต่อค่ะ)
อย่างที่เคยชวนคุยไปว่าควรให้ลูกนำเงินเก็บของเค้ามาใช้ซื้อของบ้าง
ไม่ใช่เก็บในออมสินหรือ ในบัญชีอย่างเดียว
มีการสมทบให้ มีการยืดเวลาการตัดสินใจ
วันนี้จะมาเล่าต่อถึงอีกด้านนะคะ
นอกจาก "รับเงิน" และ "เงินสมทบ" แล้ว
ลูกควรยังรู้จัก "การให้" และ "การจ่ายเงินเพื่อรับผิดชอบต่อบางสิ่งบางอย่าง" ด้วย
เช่น ทำแว่นตาว่ายน้ำหาย ครั้งที่ 1 เตือน
ครั้งที่ 2 ต้องซื้อใหม่ด้วยเงินตัวเองแล้วหละ
มีโอดครวญเล็กน้อยว่า "อันที่ทำหายใช้มาตั้ง ๓ เดือนแล้วนะ คิดแค่ 50-75% ได้มั้ยคุณแม่"
คำตอบคือ "เวลาซื้อใหม่เราไปซื้อมือหนึ่งนี่ ไม่ได้ไปซื้อของที่ใช้มา 3 เดือน"
"ดังนั้นต้องคิดเงินเเต็ม ถ้าไม่อยากจ่ายอีก ครั้งหน้าต้องมีสติ ตรวจข้าวของให้เรียบร้อย"
ได้ผลค่ะ แว่นตาว่ายน้ำไม่เคยหายอีกเลย
.......................................
"การให้" เคยพาลูกไปบ้านเด็กพิการตาบอดซ้ำซ้อน
แถวรามอินทรา 34 (ซอยอยู่เย็น)
ให้เค้าเตรียมเงินส่วนของเค้าเองไปบริจาคด้วย
เจ้าตัวก็ตื่นเต้นจัดเงินบริจาคจำนวนมาก (เมื่อเทียบกับเงินเก็บขณะนั้น)
พอไปถึงจริงๆ มีแอบมาต่อรองขอลดจำนวนลงเล็กน้อย
ก็แล้วแต่เค้าค่ะ สอนไปว่าถ้าจะให้เราต้องไม่ลำบากใจ
จำนวนเท่าไหร่นั้นไม่สำคัญเท่าการรู้จักที่จะให้ออกไป
เค้าก็ภูมิใจที่ได้แบ่งปันเงินส่วนที่ตัวเองเก็บออมมา
อยากเล่าถึงการช่วยเหลือกลุ่มเด็กด้อยโอกาสนะคะ
ตอนที่เคยเข้าไปช่วยสอนเรื่องการใช้ยาที่ "บ้านเด็กใกล้วัด"
ของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ปัจจุบันที่แห่งนี้ปิดไปแล้ว แต่ที่อื่นๆ ก็ยังอยู่ค่ะ
วันนึงมีเด็กที่เพิ่งมาอยู่ใหม่มีอาการไข้สูงนอนซมอยู่
คุณครูอาสาเลยให้ช่วยดูว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาหรือไข้เลือดออก
แล้วควรทำอย่างไรต่อดี
พอเข้าไปดู และเอามือจับหน้าผาก ลูบหัว และจับตามคอ เพื่อดูว่าไข้สูงแค่ไหน
ระหว่านั้นก็ถามไปด้วยว่า ปวดหัวมั้ย เจ็บคอมั้ย
เด็กไม่ตอบ .....เอามือทำท่าคล้ายการก่ายหน้าผาก แต่ก่ายไปที่ตาค่ะ
(ปิดตาไปเลยด้วยท่าคล้ายมือก่ายหน้าผาก....นึกภาพออกเนอะ)
เราก็นึกในใจว่า อืม....เด็กที่เข้ามาใหม่ก็อย่างนี้แหละ
อาจจะยังแข็งกร้าวอยู่และไม่อยากให้ใครมายุ่ง เพราะเค้ายังไม่ไว้ใจ
แต่......................
น้ำตาเค้าไหลพรากลงมาจากหางตา....จนแขนที่เอาไปปิดตานั้นปิดไม่อยู่
เราก็น้ำตาไหลไปด้วย เด็กคนอื่นก็วิ่งไปบอกครูอาสาว่าสงสัยเพื่อนเค้าอาการหนักแน่
เพราะเราน้ำตาไหล ครูก็มาดู ไถ่ถามว่าเป็นมากแล้วเหรอ
เราขอเดินออกมาจากห้องก่อนแล้วเล่าให้ครูฟังถึงสิ่งที่เราเห็น
ครูอาสาบอกว่า เข้าใจแล้ว เค้าเคยเป็นเหมือนกันตอนมาเริ่มทำงานใหม่ๆ
เด็กชายคนนี้ประวัติคือ...พ่อแม่พาไปนั่งรถไฟไปเชียงใหม่บอกว่าจะพาไปเที่ยว
แล้วทิ้งไว้ที่เชียงใหม่เลย เด็กเร่ร่อนขอทานอยู่ที่เชียงใหม่พักนึง
แล้วนั่งรถไฟเข้ามาหัวลำโพง และมาเร่ร่อนต่อที่หัวลำโพง
ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กมีโครงการ "ครูข้างถนน"
ที่ไปทำความรู้จักเด็กๆ กลุ่มนี้แล้วพามาอยู่ที่มูลนิธิ
พยายามติดต่อครอบครัวเพื่อส่งคืนถ้าทำได้
หลายกรณีครอบครัวไม่เอา หรือเด็กเองไม่ยอมกลับ
ก็จะขอหลักฐานต่างๆ มาดำเนินเรื่องให้เด็กได้กลับเข้าสู่ระบบโรงเรียน
ใกล้ๆ กับที่ตั้งของบ้านแต่ละแห่งของมูลนิธิ
เคยมีบางคนบอกว่าเด็กสร้างปัญหาให้ตัวเอง
อยากหนีออกจากบ้านมาทำไม
อยากบอกว่าถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงเด็กๆ อยากมีพ่อแม่
อยากอยู่กับครอบครัวทั้งนั้นแหละค่ะ
แต่ในบางครอบครัวที่เราเห็นตามข่าว
เด็กถูกทารุณจากพ่อ แมเลี้ยง หรือพ่อแม่แท้ๆ ที่เมาเหล้า
อยู่ในครอบครัวก็ไม่ได้เรียนหนังสือ
แถมบางคนต้องออกไปขอทานบ้าง ขายพวงมาลัยบ้าง
เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกด้วย
ด้วยวัยแค่นั้นบางทีเค้าก็คิดไม่ได้หรอกค่ะ
สู้หนีออกมา ขอทาน แล้วได้เงินใช้เองดีกว่า
อย่างเด็กคนที่เล่าถึงนั้นจริงๆแล้ว
ต้องสู้ชีวิตด้วยตัวเอง เร่ร่อน ขอทาน เก็บของตามขยะกินมาพักนึงแล้ว
นี่ถือว่าแกร่งพอสมควรและบุคลิกก็คล่องตัวและและดูกร้านมากเมื่อดูจากภายนอก
แต่แค่มีคนมาจับเนื้อจับตัว ไถ่ถามว่าปวดหัวมั้ย เจ็บคอมั้ย
ถึงกับน้ำตาไหลพรากนี่ แสดงว่าจิตใจเค้ายังไงๆ ก็ยังเป็นเด็ก
ที่ต้องการความรัก ความอบอุ่น เหมือนๆ ลูกของเรานี่แหละ
จริงๆ แล้วสิ่งที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และมูลนิธิอื่นๆ ทำอยู่นี่
นอกจากช่วยเหลือเด็กโดยตรงแล้ว
ยังช่วยเหลือสังคมและช่วยเหลือพวกเราในทางอ้อมด้วย
เพราะช่วยลดจำนวนเด็กเร่ร่อน ดมกาว ฉกชิงวิ่งราว พวกเราก็ปลอดภัยขึ้น
เคยมีเพื่อนของเพื่อนโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า
ได้มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบ ป.ตรี และได้ทำงานที่สำนักพิมพ์ที่มีเสียงแห่งหนึ่ง
โตมาแล้วตัวเค้าก็กลับไปช่วยงานของทางมูลนิธิด้วย
เลยได้ถือโอกาสเล่าถึงเรื่องที่อาจไกลตัวใครหลายคน
ตัวเองหลังจากมีครอบครัวและมีลูกแล้วก็ไม่ได้ไปช่วยเหมือนเคย
ก็แค่มีโอกาสไปบริจาคเงินและของใช้บ้าง
(ของพวก ข้าวสาร อาหารแห้ง วัตถุดิบปรุงอาหาร ไข่ แชมพู ผ้าอนามัย ฯลฯ ก็สามารถบริจาคได้นะคะ)
ถ้ามีโอกาสลองแวะไปเยี่ยมเยียนมูลนิธิเหล่านี้ดูบ้างก็ได้นะคะ
แล้วเราอาจจะใช้ชีวิตประหยัดไปเองเลย ลูกก็ด้วย
เป็นสถานที่ที่ใช้สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และของอื่นๆ ที่ดีเลยค่ะ
อย่างที่เคยชวนคุยไปว่าควรให้ลูกนำเงินเก็บของเค้ามาใช้ซื้อของบ้าง
ไม่ใช่เก็บในออมสินหรือ ในบัญชีอย่างเดียว
มีการสมทบให้ มีการยืดเวลาการตัดสินใจ
วันนี้จะมาเล่าต่อถึงอีกด้านนะคะ
นอกจาก "รับเงิน" และ "เงินสมทบ" แล้ว
ลูกควรยังรู้จัก "การให้" และ "การจ่ายเงินเพื่อรับผิดชอบต่อบางสิ่งบางอย่าง" ด้วย
เช่น ทำแว่นตาว่ายน้ำหาย ครั้งที่ 1 เตือน
ครั้งที่ 2 ต้องซื้อใหม่ด้วยเงินตัวเองแล้วหละ
มีโอดครวญเล็กน้อยว่า "อันที่ทำหายใช้มาตั้ง ๓ เดือนแล้วนะ คิดแค่ 50-75% ได้มั้ยคุณแม่"
คำตอบคือ "เวลาซื้อใหม่เราไปซื้อมือหนึ่งนี่ ไม่ได้ไปซื้อของที่ใช้มา 3 เดือน"
"ดังนั้นต้องคิดเงินเเต็ม ถ้าไม่อยากจ่ายอีก ครั้งหน้าต้องมีสติ ตรวจข้าวของให้เรียบร้อย"
ได้ผลค่ะ แว่นตาว่ายน้ำไม่เคยหายอีกเลย
.......................................
"การให้" เคยพาลูกไปบ้านเด็กพิการตาบอดซ้ำซ้อน
แถวรามอินทรา 34 (ซอยอยู่เย็น)
ให้เค้าเตรียมเงินส่วนของเค้าเองไปบริจาคด้วย
เจ้าตัวก็ตื่นเต้นจัดเงินบริจาคจำนวนมาก (เมื่อเทียบกับเงินเก็บขณะนั้น)
พอไปถึงจริงๆ มีแอบมาต่อรองขอลดจำนวนลงเล็กน้อย
ก็แล้วแต่เค้าค่ะ สอนไปว่าถ้าจะให้เราต้องไม่ลำบากใจ
จำนวนเท่าไหร่นั้นไม่สำคัญเท่าการรู้จักที่จะให้ออกไป
เค้าก็ภูมิใจที่ได้แบ่งปันเงินส่วนที่ตัวเองเก็บออมมา
อยากเล่าถึงการช่วยเหลือกลุ่มเด็กด้อยโอกาสนะคะ
ตอนที่เคยเข้าไปช่วยสอนเรื่องการใช้ยาที่ "บ้านเด็กใกล้วัด"
ของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ปัจจุบันที่แห่งนี้ปิดไปแล้ว แต่ที่อื่นๆ ก็ยังอยู่ค่ะ
วันนึงมีเด็กที่เพิ่งมาอยู่ใหม่มีอาการไข้สูงนอนซมอยู่
คุณครูอาสาเลยให้ช่วยดูว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาหรือไข้เลือดออก
แล้วควรทำอย่างไรต่อดี
พอเข้าไปดู และเอามือจับหน้าผาก ลูบหัว และจับตามคอ เพื่อดูว่าไข้สูงแค่ไหน
ระหว่านั้นก็ถามไปด้วยว่า ปวดหัวมั้ย เจ็บคอมั้ย
เด็กไม่ตอบ .....เอามือทำท่าคล้ายการก่ายหน้าผาก แต่ก่ายไปที่ตาค่ะ
(ปิดตาไปเลยด้วยท่าคล้ายมือก่ายหน้าผาก....นึกภาพออกเนอะ)
เราก็นึกในใจว่า อืม....เด็กที่เข้ามาใหม่ก็อย่างนี้แหละ
อาจจะยังแข็งกร้าวอยู่และไม่อยากให้ใครมายุ่ง เพราะเค้ายังไม่ไว้ใจ
แต่......................
น้ำตาเค้าไหลพรากลงมาจากหางตา....จนแขนที่เอาไปปิดตานั้นปิดไม่อยู่
เราก็น้ำตาไหลไปด้วย เด็กคนอื่นก็วิ่งไปบอกครูอาสาว่าสงสัยเพื่อนเค้าอาการหนักแน่
เพราะเราน้ำตาไหล ครูก็มาดู ไถ่ถามว่าเป็นมากแล้วเหรอ
เราขอเดินออกมาจากห้องก่อนแล้วเล่าให้ครูฟังถึงสิ่งที่เราเห็น
ครูอาสาบอกว่า เข้าใจแล้ว เค้าเคยเป็นเหมือนกันตอนมาเริ่มทำงานใหม่ๆ
เด็กชายคนนี้ประวัติคือ...พ่อแม่พาไปนั่งรถไฟไปเชียงใหม่บอกว่าจะพาไปเที่ยว
แล้วทิ้งไว้ที่เชียงใหม่เลย เด็กเร่ร่อนขอทานอยู่ที่เชียงใหม่พักนึง
แล้วนั่งรถไฟเข้ามาหัวลำโพง และมาเร่ร่อนต่อที่หัวลำโพง
ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กมีโครงการ "ครูข้างถนน"
ที่ไปทำความรู้จักเด็กๆ กลุ่มนี้แล้วพามาอยู่ที่มูลนิธิ
พยายามติดต่อครอบครัวเพื่อส่งคืนถ้าทำได้
หลายกรณีครอบครัวไม่เอา หรือเด็กเองไม่ยอมกลับ
ก็จะขอหลักฐานต่างๆ มาดำเนินเรื่องให้เด็กได้กลับเข้าสู่ระบบโรงเรียน
ใกล้ๆ กับที่ตั้งของบ้านแต่ละแห่งของมูลนิธิ
เคยมีบางคนบอกว่าเด็กสร้างปัญหาให้ตัวเอง
อยากหนีออกจากบ้านมาทำไม
อยากบอกว่าถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงเด็กๆ อยากมีพ่อแม่
อยากอยู่กับครอบครัวทั้งนั้นแหละค่ะ
แต่ในบางครอบครัวที่เราเห็นตามข่าว
เด็กถูกทารุณจากพ่อ แมเลี้ยง หรือพ่อแม่แท้ๆ ที่เมาเหล้า
อยู่ในครอบครัวก็ไม่ได้เรียนหนังสือ
แถมบางคนต้องออกไปขอทานบ้าง ขายพวงมาลัยบ้าง
เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกด้วย
ด้วยวัยแค่นั้นบางทีเค้าก็คิดไม่ได้หรอกค่ะ
สู้หนีออกมา ขอทาน แล้วได้เงินใช้เองดีกว่า
อย่างเด็กคนที่เล่าถึงนั้นจริงๆแล้ว
ต้องสู้ชีวิตด้วยตัวเอง เร่ร่อน ขอทาน เก็บของตามขยะกินมาพักนึงแล้ว
นี่ถือว่าแกร่งพอสมควรและบุคลิกก็คล่องตัวและและดูกร้านมากเมื่อดูจากภายนอก
แต่แค่มีคนมาจับเนื้อจับตัว ไถ่ถามว่าปวดหัวมั้ย เจ็บคอมั้ย
ถึงกับน้ำตาไหลพรากนี่ แสดงว่าจิตใจเค้ายังไงๆ ก็ยังเป็นเด็ก
ที่ต้องการความรัก ความอบอุ่น เหมือนๆ ลูกของเรานี่แหละ
จริงๆ แล้วสิ่งที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และมูลนิธิอื่นๆ ทำอยู่นี่
นอกจากช่วยเหลือเด็กโดยตรงแล้ว
ยังช่วยเหลือสังคมและช่วยเหลือพวกเราในทางอ้อมด้วย
เพราะช่วยลดจำนวนเด็กเร่ร่อน ดมกาว ฉกชิงวิ่งราว พวกเราก็ปลอดภัยขึ้น
เคยมีเพื่อนของเพื่อนโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า
ได้มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบ ป.ตรี และได้ทำงานที่สำนักพิมพ์ที่มีเสียงแห่งหนึ่ง
โตมาแล้วตัวเค้าก็กลับไปช่วยงานของทางมูลนิธิด้วย
เลยได้ถือโอกาสเล่าถึงเรื่องที่อาจไกลตัวใครหลายคน
ตัวเองหลังจากมีครอบครัวและมีลูกแล้วก็ไม่ได้ไปช่วยเหมือนเคย
ก็แค่มีโอกาสไปบริจาคเงินและของใช้บ้าง
(ของพวก ข้าวสาร อาหารแห้ง วัตถุดิบปรุงอาหาร ไข่ แชมพู ผ้าอนามัย ฯลฯ ก็สามารถบริจาคได้นะคะ)
ถ้ามีโอกาสลองแวะไปเยี่ยมเยียนมูลนิธิเหล่านี้ดูบ้างก็ได้นะคะ
แล้วเราอาจจะใช้ชีวิตประหยัดไปเองเลย ลูกก็ด้วย
เป็นสถานที่ที่ใช้สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และของอื่นๆ ที่ดีเลยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 173
ถ้าไม่งอกเงยก็อย่าให้ลดลง
ช่วงนี้เห็นคนบ่นเรื่องของแพงกันมาก...ส่วนตัวก็รู้สึกเช่นกัน
แล้วเอาจะทำยังไงดีเนี่ย?
เรื่องนี้...เหมาะสำหรับครอบครัวที่ยังกำลังสร้างฐานะและมีเป้าหมายลงทุนไปด้วย
(port ยังไม่โต....จะมีมั้ยเนี่ย ห้องนี้น่าจะรวยๆกันระดับนึงแล้ว
จนบางคนอาจรู้สึกว่าการจะมานั่งประหยัดมันไร้สาระไปแล้ว...เอาเป็นว่าเผื่อมีก็แล้วกันนะคะ)
โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน เพราะถ้าเราไม่เหลือเงินออม...ก็คงไม่ต้องพูดถึงเงินลงทุน
มีวิธีมาแนะนำ คือต้องหมั่นวิเคราะห์ "ห่วงโซ่การบริโภค" ของเรา
(ตั้งเองสดๆ ร้อนๆ เลยคำนี้) ยกตัวอย่างเช่น....
การสระผม ใช้แชมพู ตามด้วย ครีมนวดผม
"ทำไมต้องใช้ครีมนวดผม?"....ตอบ "ป้องกันผมเสีย"
"ทำไมผมถึงเสีย?" .... "ความร้อนจากไดร์เป่าผม ดัดผม ยืดผม"
"ต้องทำสิ่งเหล่านั้นบ่อยแค่ไหน?"....."ลดลง หรือตัดออกบ้างได้หรือไม่?"
มันอาจทำให้เราตัดขั้นตอนการนวดผมออกได้เลยนะ...
.....................................................
ที่จุดขายอาหารของห้างบางแห่ง
ขายน้ำเปล่า 7 บาท ตามกฎหมายกำหนด...แต่ไม่แช่เย็นนะ
ถ้าแช่เย็น 10 บาท น้ำแข็งเปล่า 2 บาท
3 คน (น้ำแข็ง 2*3=6 น้ำเปล่า 10 เป็น 16 บาท)
เลือกน้ำเปล่าแช่เย็นแล้วกัน น้ำแข็งไม่ต้อง ประหยัดได้ 6 บาท
แต่ ถ้าไม่ต้องแช่เย็นล่ะ หัดดื่มน้ำไม่เย็นเสียบ้าง
ไปไหนมาไหนก็อยู่ง่าย ดูแลง่าย
ผลคือ.....ประหยัดได้ถึง 9 บาทเลยนะ
...........................................
มาหมวดของเด็กๆ บ้าง
ไอศครีม.....ไม่ใช่อาหารหลัก....แต่บางทีต้องจ่ายแพงกว่าอาหารจานเดียว 1 จาน อีก
"ทำไมต้องแพง?" ถ้าจะกินไอศครีมลูกควรกินหลังอาหารอยู่แล้วใช่หรือไม่?
ดังนั้นไม่ได้กินแก้หิวแน่นอน (เรียกว่ากินแก้อยาก....น่าจะได้)
แบบโคนของบางยี่ห้อ 10 - 12 บาทเอง อร่อยไม่แพ้กัน
ลูกเคยขอจุ่มชอคโแลตดิป....จุ่มทีเดียวเพิ่ม จาก 10 เป็น 15 บาท
ครั้งแรกให้...สัปดาห์ต่อมาติดใจขอ 15 บาทอีก (ชักจะลืมๆ ว่ามีแบบ 10 บาท ด้วย)
ลองตั้งคำถาม....ให้ลูกคิดและตอบ เช่น
1. 5 บาท เป็นกี่ % ของ 10 บาท? (50% ตอบได้)
2. คิดว่าได้รับความพอใจจากการกินไอศครีมนี้เพิ่มขึ้นถึง 50 % หรือไม่?
3. จริงๆ แล้ว. อยากกินอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง "ไอศครีม" กับ "ช๊อคดิป" ?
("ไอศครีมสิคุณแม่...ถามได้" )
มีข้อเสนอว่า....ให้งบ 15 บาท สำหรับไอศครีม
ถ้าดิปก็หมดเลย...ได้ความพอใจเพิ่มมูลค่าไม่น่าถึง 5 บาท
แต่ถ้าไม่ดิป เหลือเงิน 5 บาท สมทบให้ทันที อีก 5 บาท
มีสิทธิเลือก ไม่ได้บังคับ....แต่แค่มีทางเลือกให้
ทายซิคะเค้าเลือกอะไร?
มีแค่ 2 ใน 10 ครั้ง ที่เลือกจุ่มช๊อคโกแลตดิป
ไม่มีการงอแงใดๆ เพราะได้เลือกเอง
สอนไปว่า....แต่ละอย่าง แต่ละเรื่องที่เราจะจ่ายเงินออกไป
อยากให้พิจารณาว่า อะไรคือ "เปลือก" อะไรคือ "แก่น(สาระสำคัญ)" ของมัน
ลองจินตนาการว่า ถ้าลอกเปลือกออก มันยังตอบโจทย์อยู่มั้ย
ถ้าตอบโจทย์ แต่ความพอใจลดลงบ้าง ก็อาจลองฝึกเลือกดู
แล้วมาดู "ผลสุดท้าย" ถ้าเป็นเรื่องวัตถุ สิ่งของ...เราอาจมีเงินออมเพิ่ม
ถ้าเป็นเรื่องเวลา..... เราอาจมีเวลาเพิ่ม
สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกค่ะ แล้วมาลองอภิปราย "ผล" และ "ความรู้สึก" กัน...เป็นช่วงๆ
ถ้าการใช้วิธีดังกล่าวทำให้สามารถสะสมเงินได้มากขึ้น....รู้สึกอย่างไร
แน่นอนดีใจ ภูมิใจ มีเงินก้อนซะที....
หลายๆครั้ง ในชีวิตของใครหลายคน
เราอาจจะอยู่กับความเคยชิน จนคิดว่ามันไร้สาระ
ที่จะมาคิดวิเคราะ์อะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
เราจึงเห็นหลายๆ คนรอบตัวที่มีข้ออ้างไปวันๆ ว่าจะเก็บเงินแต่ก็เก็บไม่ได้ซักที
หรืออยากหาเวลาอ่านหนังสือดีๆ เพิ่ม...แต่ก็ยังไม่ได้อ่านเสียที
ไม่รู้ว่า "เงินทอง" หรือ "เวลา" มันหายไปไหนหมด
รุ้สึกตัวอีกทีก็ปาเข้าไปเลยวัยกลางคนแล้ว
เรื่องทำนองนี้ต้องฝึกนะคะ ทั้งเราและลูก
(ฝึกลดความ "อยากได้....อยากมี" ลง)
เคยเห็นหลายบ้านใช้ชีวิตประหยัด "เขียมๆ" แต่เพื่อให้ลูกสบาย
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้าสิ้นเราไปแล้วลูกจะรักษาทรัพย์ที่เราหาไว้ได้
ถ้าไม่ฝึกให้ลูกหัดหักห้ามใจให้เป็นตั้งแต่วัยต้นๆ โตไปจะฝึกยาก
ทางที่ดีเพ่ือให้มั่นใจได้ว่า ถ้าทิ้งทรัพยย์สินไว้ให้ ลูกคงหาเพิ่มได้
หรือถ้าไม่ได้ อาจจะด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ down ลง ในบางช่วง
ลูกก็จะ "จมลง" ได้ ฝึกให้ได้ก่อนตาย...แล้วจะตายตาหลับหละค่ะ
(ฝึกให้ได้ยิ่งเร็วยิ่งดี...เพราะเราอาจตายเร็วก็ได้....ใครจะรู้)
ช่วงนี้เห็นคนบ่นเรื่องของแพงกันมาก...ส่วนตัวก็รู้สึกเช่นกัน
แล้วเอาจะทำยังไงดีเนี่ย?
เรื่องนี้...เหมาะสำหรับครอบครัวที่ยังกำลังสร้างฐานะและมีเป้าหมายลงทุนไปด้วย
(port ยังไม่โต....จะมีมั้ยเนี่ย ห้องนี้น่าจะรวยๆกันระดับนึงแล้ว
จนบางคนอาจรู้สึกว่าการจะมานั่งประหยัดมันไร้สาระไปแล้ว...เอาเป็นว่าเผื่อมีก็แล้วกันนะคะ)
โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน เพราะถ้าเราไม่เหลือเงินออม...ก็คงไม่ต้องพูดถึงเงินลงทุน
มีวิธีมาแนะนำ คือต้องหมั่นวิเคราะห์ "ห่วงโซ่การบริโภค" ของเรา
(ตั้งเองสดๆ ร้อนๆ เลยคำนี้) ยกตัวอย่างเช่น....
การสระผม ใช้แชมพู ตามด้วย ครีมนวดผม
"ทำไมต้องใช้ครีมนวดผม?"....ตอบ "ป้องกันผมเสีย"
"ทำไมผมถึงเสีย?" .... "ความร้อนจากไดร์เป่าผม ดัดผม ยืดผม"
"ต้องทำสิ่งเหล่านั้นบ่อยแค่ไหน?"....."ลดลง หรือตัดออกบ้างได้หรือไม่?"
มันอาจทำให้เราตัดขั้นตอนการนวดผมออกได้เลยนะ...
.....................................................
ที่จุดขายอาหารของห้างบางแห่ง
ขายน้ำเปล่า 7 บาท ตามกฎหมายกำหนด...แต่ไม่แช่เย็นนะ
ถ้าแช่เย็น 10 บาท น้ำแข็งเปล่า 2 บาท
3 คน (น้ำแข็ง 2*3=6 น้ำเปล่า 10 เป็น 16 บาท)
เลือกน้ำเปล่าแช่เย็นแล้วกัน น้ำแข็งไม่ต้อง ประหยัดได้ 6 บาท
แต่ ถ้าไม่ต้องแช่เย็นล่ะ หัดดื่มน้ำไม่เย็นเสียบ้าง
ไปไหนมาไหนก็อยู่ง่าย ดูแลง่าย
ผลคือ.....ประหยัดได้ถึง 9 บาทเลยนะ
...........................................
มาหมวดของเด็กๆ บ้าง
ไอศครีม.....ไม่ใช่อาหารหลัก....แต่บางทีต้องจ่ายแพงกว่าอาหารจานเดียว 1 จาน อีก
"ทำไมต้องแพง?" ถ้าจะกินไอศครีมลูกควรกินหลังอาหารอยู่แล้วใช่หรือไม่?
ดังนั้นไม่ได้กินแก้หิวแน่นอน (เรียกว่ากินแก้อยาก....น่าจะได้)
แบบโคนของบางยี่ห้อ 10 - 12 บาทเอง อร่อยไม่แพ้กัน
ลูกเคยขอจุ่มชอคโแลตดิป....จุ่มทีเดียวเพิ่ม จาก 10 เป็น 15 บาท
ครั้งแรกให้...สัปดาห์ต่อมาติดใจขอ 15 บาทอีก (ชักจะลืมๆ ว่ามีแบบ 10 บาท ด้วย)
ลองตั้งคำถาม....ให้ลูกคิดและตอบ เช่น
1. 5 บาท เป็นกี่ % ของ 10 บาท? (50% ตอบได้)
2. คิดว่าได้รับความพอใจจากการกินไอศครีมนี้เพิ่มขึ้นถึง 50 % หรือไม่?
3. จริงๆ แล้ว. อยากกินอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง "ไอศครีม" กับ "ช๊อคดิป" ?
("ไอศครีมสิคุณแม่...ถามได้" )
มีข้อเสนอว่า....ให้งบ 15 บาท สำหรับไอศครีม
ถ้าดิปก็หมดเลย...ได้ความพอใจเพิ่มมูลค่าไม่น่าถึง 5 บาท
แต่ถ้าไม่ดิป เหลือเงิน 5 บาท สมทบให้ทันที อีก 5 บาท
มีสิทธิเลือก ไม่ได้บังคับ....แต่แค่มีทางเลือกให้
ทายซิคะเค้าเลือกอะไร?
มีแค่ 2 ใน 10 ครั้ง ที่เลือกจุ่มช๊อคโกแลตดิป
ไม่มีการงอแงใดๆ เพราะได้เลือกเอง
สอนไปว่า....แต่ละอย่าง แต่ละเรื่องที่เราจะจ่ายเงินออกไป
อยากให้พิจารณาว่า อะไรคือ "เปลือก" อะไรคือ "แก่น(สาระสำคัญ)" ของมัน
ลองจินตนาการว่า ถ้าลอกเปลือกออก มันยังตอบโจทย์อยู่มั้ย
ถ้าตอบโจทย์ แต่ความพอใจลดลงบ้าง ก็อาจลองฝึกเลือกดู
แล้วมาดู "ผลสุดท้าย" ถ้าเป็นเรื่องวัตถุ สิ่งของ...เราอาจมีเงินออมเพิ่ม
ถ้าเป็นเรื่องเวลา..... เราอาจมีเวลาเพิ่ม
สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกค่ะ แล้วมาลองอภิปราย "ผล" และ "ความรู้สึก" กัน...เป็นช่วงๆ
ถ้าการใช้วิธีดังกล่าวทำให้สามารถสะสมเงินได้มากขึ้น....รู้สึกอย่างไร
แน่นอนดีใจ ภูมิใจ มีเงินก้อนซะที....
หลายๆครั้ง ในชีวิตของใครหลายคน
เราอาจจะอยู่กับความเคยชิน จนคิดว่ามันไร้สาระ
ที่จะมาคิดวิเคราะ์อะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
เราจึงเห็นหลายๆ คนรอบตัวที่มีข้ออ้างไปวันๆ ว่าจะเก็บเงินแต่ก็เก็บไม่ได้ซักที
หรืออยากหาเวลาอ่านหนังสือดีๆ เพิ่ม...แต่ก็ยังไม่ได้อ่านเสียที
ไม่รู้ว่า "เงินทอง" หรือ "เวลา" มันหายไปไหนหมด
รุ้สึกตัวอีกทีก็ปาเข้าไปเลยวัยกลางคนแล้ว
เรื่องทำนองนี้ต้องฝึกนะคะ ทั้งเราและลูก
(ฝึกลดความ "อยากได้....อยากมี" ลง)
เคยเห็นหลายบ้านใช้ชีวิตประหยัด "เขียมๆ" แต่เพื่อให้ลูกสบาย
แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้าสิ้นเราไปแล้วลูกจะรักษาทรัพย์ที่เราหาไว้ได้
ถ้าไม่ฝึกให้ลูกหัดหักห้ามใจให้เป็นตั้งแต่วัยต้นๆ โตไปจะฝึกยาก
ทางที่ดีเพ่ือให้มั่นใจได้ว่า ถ้าทิ้งทรัพยย์สินไว้ให้ ลูกคงหาเพิ่มได้
หรือถ้าไม่ได้ อาจจะด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ down ลง ในบางช่วง
ลูกก็จะ "จมลง" ได้ ฝึกให้ได้ก่อนตาย...แล้วจะตายตาหลับหละค่ะ
(ฝึกให้ได้ยิ่งเร็วยิ่งดี...เพราะเราอาจตายเร็วก็ได้....ใครจะรู้)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 174
ลืมบอกไปว่า
ประหยัดและฝึกตนให้ประหยัด
แต่ไม่ใช่จ้องจะไม่จ่ายส่วนของตัวเองจนต้องไปเอาเปรียบผู้อื่นหรือสังคมนะคะ
เคยนั่งอยู่จุดบริการของห้างที่เค้าจัดให้มีที่นั่งรอ
มีทีวีให้ดู มีมุมกาแฟ มีน้ำดื่มเป็นแก้วๆ ที่ใช้หลอดเจาะดื่มแช่ตู้เย็นไว้บริการฟรีด้วย
เคยเจอ....มีคนเตรียมถุงทึบๆ มาเลย
หยิบน้ำดื่มใส่ถุงเกือบสิบแก้ว (ไม่นับที่เจาะดื่มกัน 2 คนด้วย)
สัปดาห์ต่อมาไปนั่งที่จุดเดิม (รอลูก...ลูกเรียนมายากล)
ก็เจอสามีภรรยาคู่เดิมมาทำแบบนั้นอีก
ที่ลืมบอกไปคือเค้าแต่งตัวดีเลยหละ....ลักษณะเสื้อผ้าน่าจะแพงทีเดียว
อย่างนี้ไม่เหมาะ.....ถ้าเราทำแบบนี้
เราอาจจะสอนลูกให้เก็บเงินได้ แต่สอนความซื่อสัตย์ไม่ได้
ต้องระวังการจะทำดียิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดๆ บางทีจะอยู่ใกล้เส้นแบ่ง
ที่จะข้ามไปเป็นทางตรงข้ามได้ ต้องระวังจุดนี้ให้มากค่ะ
และเรื่องการ "สมทบ" กรณีที่ลูกไม่จ่ายเงินออกไปนั้น
สามารถ "สมทบ" ให้กับตัวเอง หรือ สามี ภรรยาได้ด้วยนะคะ
ถ้าเราหรือเค้าสามารถตัดสิ่งไม่จำเป็นใดๆ แล้วส่งผลให้เกิด "เงินเหลือ"
สมทบไปเถอะค่ะ จะสร้างนิสัยถาวรให้เกิดขึ้นได้ค่ะ
ประหยัดและฝึกตนให้ประหยัด
แต่ไม่ใช่จ้องจะไม่จ่ายส่วนของตัวเองจนต้องไปเอาเปรียบผู้อื่นหรือสังคมนะคะ
เคยนั่งอยู่จุดบริการของห้างที่เค้าจัดให้มีที่นั่งรอ
มีทีวีให้ดู มีมุมกาแฟ มีน้ำดื่มเป็นแก้วๆ ที่ใช้หลอดเจาะดื่มแช่ตู้เย็นไว้บริการฟรีด้วย
เคยเจอ....มีคนเตรียมถุงทึบๆ มาเลย
หยิบน้ำดื่มใส่ถุงเกือบสิบแก้ว (ไม่นับที่เจาะดื่มกัน 2 คนด้วย)
สัปดาห์ต่อมาไปนั่งที่จุดเดิม (รอลูก...ลูกเรียนมายากล)
ก็เจอสามีภรรยาคู่เดิมมาทำแบบนั้นอีก
ที่ลืมบอกไปคือเค้าแต่งตัวดีเลยหละ....ลักษณะเสื้อผ้าน่าจะแพงทีเดียว
อย่างนี้ไม่เหมาะ.....ถ้าเราทำแบบนี้
เราอาจจะสอนลูกให้เก็บเงินได้ แต่สอนความซื่อสัตย์ไม่ได้
ต้องระวังการจะทำดียิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดๆ บางทีจะอยู่ใกล้เส้นแบ่ง
ที่จะข้ามไปเป็นทางตรงข้ามได้ ต้องระวังจุดนี้ให้มากค่ะ
และเรื่องการ "สมทบ" กรณีที่ลูกไม่จ่ายเงินออกไปนั้น
สามารถ "สมทบ" ให้กับตัวเอง หรือ สามี ภรรยาได้ด้วยนะคะ
ถ้าเราหรือเค้าสามารถตัดสิ่งไม่จำเป็นใดๆ แล้วส่งผลให้เกิด "เงินเหลือ"
สมทบไปเถอะค่ะ จะสร้างนิสัยถาวรให้เกิดขึ้นได้ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 175
เรื่องอัลไซเมอร์ เคยได้ฟังว่าการทำสมาธิน่าจะช่วยป้องกันได้เพราะจะทำให้สมองผ่อนคลาย คิดอะไรเป็นระบระเบียบ
ประสบการณ์ส่วนตัว การทำสมาธิแก้เรื่องนอนไม่ไหลับได้ชงัด และทำให้สมองแจ่มใสมาก คิดอะไรได้รอบด้าน ใจเย็นมากขึ้น
ประสบการณ์ส่วนตัว การทำสมาธิแก้เรื่องนอนไม่ไหลับได้ชงัด และทำให้สมองแจ่มใสมาก คิดอะไรได้รอบด้าน ใจเย็นมากขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 176
เรื่องการสมทบเงินให้เพิ่มในกรณีที่เด็กไม่ต้องการซื้อของ ผมคิดว่าควรสอนควบคู่ไปกับเรื่องความซื่อสัตย์ด้วยนะครับ เพราะอาจจะมีเด็กบางคนที่อาจจะต้องการเงินสมทบมากกว่า อาจจะหาข้ออ้างเรื่องซื้อของขึ้นมาครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 177
ขอบคุณค่ะ ไม่เคยนั่งสมาธิ เคยแต่แมวตัวกลมๆ เขียน:เรื่องอัลไซเมอร์ เคยได้ฟังว่าการทำสมาธิน่าจะช่วยป้องกันได้เพราะจะทำให้สมองผ่อนคลาย คิดอะไรเป็นระบระเบียบ
ประสบการณ์ส่วนตัว การทำสมาธิแก้เรื่องนอนไม่ไหลับได้ชงัด และทำให้สมองแจ่มใสมาก คิดอะไรได้รอบด้าน ใจเย็นมากขึ้น
มีสมาธิตอนถูบ้าน รถน้ำต้นไม้ คือมีสมาธิในระดับแค่จดจ่อกับกิจกรรมที่ทำน่ะค่ะ
แต่ที่คุณแมวตัวกลมๆ แนะนำมาก็น่าจะดีนะคะ...ว่าจะลองศึกษาดูบ้าง
อย่างน้อยกช่วยเรื่องหลับง่ายก็ดีมากแล้วค่ะ เพราะปกติค่อนข้างหลับยากมาก
และถ้ามีผลป้องกันอัลไซเมอร์ด้วยก็จะดีมากเลยค่ะ ...จะลองเริ่มศึกษาดูนะคะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 178
คือปกติจะเลือกใช้เฉพาะกับเวลาที่เค้าต้องการและมันจะต้องสมเหตุสมผลด้วยค่ะleky เขียน:เรื่องการสมทบเงินให้เพิ่มในกรณีที่เด็กไม่ต้องการซื้อของ ผมคิดว่าควรสอนควบคู่ไปกับเรื่องความซื่อสัตย์ด้วยนะครับ เพราะอาจจะมีเด็กบางคนที่อาจจะต้องการเงินสมทบมากกว่า อาจจะหาข้ออ้างเรื่องซื้อของขึ้นมาครับ
อืม....แต่มุมที่คุณหมอแนะนำให้มองนี่ก็เป็นมุมมองที่ดีมากเลยนะคะ
เพราะพอเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่นเค้าอาจคิดซับซ้อนขึ้น ถ้าเราลืมมองตามมุมที่คุณหมอบอก
เด็กอาจจะเจ้าเลห์ได้จริงๆ นั่นแหละค่ะ ขอบคุณที่ share นะคะ
เพื่อนๆ ที่อยากลองนำเรื่องการสมทบ ไปใช้ อย่าลืมมองในมุมที่คุณหมอ leky แนะนำด้วยนะคะ
รบกวนปรึกษาคุณหมออีกเรื่องค่ะ
ตรวจสุขภาพประจำปี พบ Osteolytic lesion of the left 1st rib
มันคืออะไร และต้องทำยังไงต่อดีคะ
พอดีคุณหมอที่อ่านผลบอกว่าจะปรึกษาเพื่อนที่ รพ.โรคทรวงอก ให้ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 179
พอดีหลังจากคุณหมอบอกและบอกว่าจะส่งไปตรวจที่อื่นต่อเพราะที่ รพ. ไม่มีเครื่อง CT scan
รบกวนปรึกษาคุณหมออีกเรื่องค่ะ
ตรวจสุขภาพประจำปี พบ Osteolytic lesion of the left 1st rib
มันคืออะไร และต้องทำยังไงต่อดีคะ
พอดีคุณหมอที่อ่านผลบอกว่าจะปรึกษาเพื่อนที่ รพ.โรคทรวงอก ให้ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
และให้รอใบส่งตัวและจะให้แผ่น CD ไปด้วย
รู้สึกกังวลก็มา post ถามคุณหมอ leky เลย
หลังจากนั้น พอมีเวลาก็ค้นหาอ่านจาก google เลย
ปรากฏว่าสิ่งอ่านเจอน่าตกใจมากและทำให้ถึงกับปวดหัวจะอาเจียนเลย
แต่คุณหมอที่ตรวจคงพอเดาได้ว่าต้องไปหาอ่านแน่และคงกำลังปวดหัวอยู่
เพราะคุณหมอเองก็พยายามจะหาคำตอบเช่นกัน
หลังจากไปเปรียบเทียบฟิล์มปีที่แล้วและคาดว่าน่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งไม่ค่อยพบเจอบ่อยนักแต่ไม่อันตรายคือเป็นมาแต่กำเนิด
คุณหมอได้กรุณาโทรมาบอกเองเลยค่ะ
หลังจากนั้นก็ลองค้นใน google ใหม่
ในประเด็นของการเป็นมาแต่กำเนิด
ประกอบกับคำแนะนำที่คุณหมอ leky และ คุณหมอ dr1
กรุณาให้มาเรื่องเกี่ยวกับการเป็นมาแต่กำเนิดด้วยนั้น
ตอนนี้โล่งใจไปเลยค่ะ
เปรียบเทียบกับความรู้สึกเมื่อวานตอนเย็นๆ กับตอนนี้นี่คนละเรื่องเลยค่ะ
ขอขอบคุณ คุณหมอ leky และคุณหมอ dr1 มากๆ เลยนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 180
เรื่องความเจ็บป่วยนั้น อย่าได้ประมาทเด็ดขาดครับ บางครั้งความเจ็บป่วยนั้นไม่ว่าจะเกิดกับเราหรือกับใครในครอบครัว มันก็สามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้
บางครั้งคนที่ "กลัว" เรื่องความเจ็บป่วย กลัวว่าจะเป็นโน่นนี่ กลับไม่ค่อยเป็นอะไร เพราะความกลัวจึงมักไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ มีอะไรผิดปกติก็ไปพบแพทย์ ในขณะที่บางครั้งคนที่แข็งแรงดี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรได้ กลับเจอว่าเป็นโน่นเป็นนี่ คล้าย ๆ กับความ bias นั่นเอง ด้วยความที่บางคนแข็งแรงมาตลอด ก็อาจจะรู้สึกว่าถ้าไม่มีอาการอะไรก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพ หลายคนจึงพลาดที่จะได้รับการวินิจฉัยโรคที่เป็นในระยะเริ่มแรกซึ่งไม่มีอาการไป
บางครั้งคนที่ "กลัว" เรื่องความเจ็บป่วย กลัวว่าจะเป็นโน่นนี่ กลับไม่ค่อยเป็นอะไร เพราะความกลัวจึงมักไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ มีอะไรผิดปกติก็ไปพบแพทย์ ในขณะที่บางครั้งคนที่แข็งแรงดี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรได้ กลับเจอว่าเป็นโน่นเป็นนี่ คล้าย ๆ กับความ bias นั่นเอง ด้วยความที่บางคนแข็งแรงมาตลอด ก็อาจจะรู้สึกว่าถ้าไม่มีอาการอะไรก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพ หลายคนจึงพลาดที่จะได้รับการวินิจฉัยโรคที่เป็นในระยะเริ่มแรกซึ่งไม่มีอาการไป
"Become a risk taker, not a risk maker"