เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 91
รอชม ผ่านยูทูปด้วยคนครับ
แต่ ผมสงสัยมาแต่ต้นละ
เงินเดือนราชการ บ่องตงๆ นะครับมาถึง 10 ล้าน ก่อน อายุ 40-50 นี่ ยากมาก
แต่ตอนนี้เครียแล้วว่า เป็นงานด้านพยาบาลการแพทย์
บวกกับ เงินจากงานนอก และ แฟนที่ทำงานด้านวิศวกร
พองานราชการผมก็พลอยนึกถึงอาชีพประมาณครู อะไรยังงั้น เกษีณ กันที่ ประมาณ 30000 บาท
มองยังงัย 10 ล้านก็สำหรับเทพเท่านั้น
เป็นแรงบันดาลใจให้ ชาววีไออีกกระทู้ครับ
แต่ ผมสงสัยมาแต่ต้นละ
เงินเดือนราชการ บ่องตงๆ นะครับมาถึง 10 ล้าน ก่อน อายุ 40-50 นี่ ยากมาก
แต่ตอนนี้เครียแล้วว่า เป็นงานด้านพยาบาลการแพทย์
บวกกับ เงินจากงานนอก และ แฟนที่ทำงานด้านวิศวกร
พองานราชการผมก็พลอยนึกถึงอาชีพประมาณครู อะไรยังงั้น เกษีณ กันที่ ประมาณ 30000 บาท
มองยังงัย 10 ล้านก็สำหรับเทพเท่านั้น
เป็นแรงบันดาลใจให้ ชาววีไออีกกระทู้ครับ
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
-
- Verified User
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 93
ขอเสริมคับ เพื่อนแฟนผมเป็นครู มีเงินฝากสหกรณ์แปดล้าน เพราะเก็บออมและสอนพิเศษครับ ดังนั้นเป็นไปได้เหมือนกันที่จะมี 10 ล้านcanuseeme เขียน: พองานราชการผมก็พลอยนึกถึงอาชีพประมาณครู อะไรยังงั้น เกษีณ กันที่ ประมาณ 30000 บาท
มองยังงัย 10 ล้านก็สำหรับเทพเท่านั้น
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 95
โห... สงสัยต้องขอให้ศรีภรรยา เข้ามาอ่านกระทู้นี้ครับ อิอิ
เท่าที่อ่าน ผมว่าเจ้าของกระทู้ ..
นอกจากประหยัดอดออมแล้ว ต้องขยันทำโน่นทำนี่ด้วยครับ ทำทุกอย่างเพื่อหารายได้เสริม
การขยันเฉพาะการลงทุนในช่วงเงินต้นน้อยคงไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้
ผมว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ควรจะต้องเอาเป็นแบบอย่างด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ กระทู้ดีมากมายครับ
เท่าที่อ่าน ผมว่าเจ้าของกระทู้ ..
นอกจากประหยัดอดออมแล้ว ต้องขยันทำโน่นทำนี่ด้วยครับ ทำทุกอย่างเพื่อหารายได้เสริม
การขยันเฉพาะการลงทุนในช่วงเงินต้นน้อยคงไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้
ผมว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ควรจะต้องเอาเป็นแบบอย่างด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ กระทู้ดีมากมายครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- shanghaigeny
- Verified User
- โพสต์: 3530
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 97
นับถือ เจ้าของกระทู้เลยครับ ที่เงินเดือนแสนจะน้อยนิด กว่าจะได้เงิน 7 หลัก เลือดตาแทบกระเด็น ( ทำงานมา 10 ปี เงินเดือนเพิ่งจะ 19110 บาท ยังดีที่มีรายได้อย่างอื่น รวมค่าเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ก็ประมาณ 3 หมื่น) ยิ่งพอได้รู้ว่าเป็นข้าราชการเหมือนกัน ยิ่งรู้สึกมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น เริ่มเห็นแสงรำไร แห่งอิสรภาพทางการเงิน
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 98
ddoo7 เขียน:ขอเสริมคับ เพื่อนแฟนผมเป็นครู มีเงินฝากสหกรณ์แปดล้าน เพราะเก็บออมและสอนพิเศษครับ ดังนั้นเป็นไปได้เหมือนกันที่จะมี 10 ล้านcanuseeme เขียน: พองานราชการผมก็พลอยนึกถึงอาชีพประมาณครู อะไรยังงั้น เกษีณ กันที่ ประมาณ 30000 บาท
มองยังงัย 10 ล้านก็สำหรับเทพเท่านั้น
คีย์ หลักคือสอนพิเศษงัยครับ
หากคิดจากเงินเดือน ราชการ ล้วนๆ ยาก ครับ
สามารถคำนวณได้ ง่ายๆหน่อยก็จาก Excel ครับ ราชการ เริ่มก็หมื่น จบอายุ60 เต็มที่ ก็ 5-6 หมื่น
ขั้นเงินเดือนราชการไม่ต่างกันมาก ตรวจสอบได้จากราชการที่เกษียณ เงินเดือนท้ายก็ประมาณนี้
คิดทำงานทั้งชีวิตจะได้ สิบล้าน ต้องไม่กินไม่ใช้ละครับ
ไม่ใช่ว่าผม อยาก จะมาดับฝันหลายๆท่านนะครับ
แต่ อย่างที่บอก ต้องขยัน
หา
รายได้ ทางอื่นเสริม
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 99
อย่าอายเลยค่ะ การที่เข้ามาอ่าน web นี้ หรือ web ที่ให้สาระในเรื่องการพัฒนาชีวิตในด้านต่างๆAleAle เขียน:สุดยอดมากเลยครับ ผมยิ่งอ่านแล้วยิ่งอายตัวเองเลย
นี่ต้องถือว่าเราได้ใช้เวลาไปในทางที่เป็นประโยชน์ และเชื่อแน่ว่ากำลังต้องการพัฒนาตนเองแน่นอน
ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีแล้วค่ะ
ถ้าอายที่ยังทำได้ไม่เท่านั้นยิ่งไม่ต้องอายใหญ่เลย เพราะทุนชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน
บริบทในชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่าง พี่เองอาจจะโชคดีกว่าใครหลายคนที่สามีที่อาชีพการงานที่ดีเป็นฐาน
ทำให้เป็นข้อได้เปรียบ
ขอให้เราวัดความสำเร็จในสิ่งที่เราทำจากทุนที่ตัวเรามี ขอให้ได้รู้ว่าเรามีเป้าหมาย
ได้ลงมือทำ และก้าวหน้าไปบ้าง ก็จงภูมิใจ เพราะถ้าเรารู้สึกภูมิใจเราจะมีพลังที่จะลุยต่อค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 100
oatty เขียน:ยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ
ผมว่าคนที่โชคดีกว่าพี่คือ สามีของพี่ครับ ทำบุญมาดีจริง ๆ ได้เมียเป็นแม่ยอดศรีเรือนแบบนี้
จริงๆ แล้วตัวเองไม่เหมาะสมกับคำว่าแม่ศรีรือนเอาซะเลยค่ะ
ถนัดเป็นเรื่องๆ ไป แต่เรื่องที่ควรมีในตัวศรีภรรยาอีกหลายเรื่องสอบไม่ผ่านค่ะ
เช่น การทำอาหาร เรื่องการการเลือกเสื้อผ้า+แต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี อะไรพวกนี้คะแนนตกสุดๆค่ะ
ถนัดงานหนักๆ ค่ะ เช่น ถู้บาน ปีนป่ายตัดแต่งกิ่งไม้ งานพวกปรับระดับพื้นสวน ปลูกต้นไม้ ขุดดิน
(หลังน้ำท่วมช่วยกันปรับปรุงสวนกันเองค่ะ)
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 102
ชอบตรงนี้มากเลยค่ะคุณนุช เพราะตัวเองก็ชอบต้นไม้เหมือนกัน2. ดูแลบ้านอย่างดี เวลาทำความสะอาดห้องครัวและห้องน้ำจะขัดผนังด้วยเสมอ
ชอบปลูกต้นไม้บังแดดกว่าจะถึงเวลาขายต้นไม้ร่มครึ้มบรรยากาศรวมๆ จะค่อนข้างร่มเย็นค่ะ
เวลาไปตามหมู่บ้านที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แม้บ้านจะสวยแค่ไหนก็ไม่รู้สึกอยากอยู่
อยากให้ผู้ประกอบการเข้าใจจุดนี้จัง เห็นส่วนใหญ่ตัดต้นไม้ออกหมดเลย เอาต้นนิดเดียวมาปลูกแทน
-
- Verified User
- โพสต์: 1112
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 104
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ มันสุดยอดมากครับ ต้องอดทน และช่วยกันในครอบครัวจริงๆ นับถือครับtheenuch เขียน:สรุปเส้นทางใช้ชีวิตและการลงทุนของที่บ้านอย่างคร่าวๆ นะคะ
(เราว่าคล้ายๆ กับชีวิตของใครหลายคนแน่นอนค่ะ)
หลังแต่งงานเช่าหอพักอยู่แถว ม.เกษตร ค่าเช่า 2,800 บาท (รถบริษัทสามีผ่าน)
ย้ายมาอยู่หอแถวๆ หลัง ปตท. 3,200 บาท/เดือน
(รถบริษัทผ่าน+ใกล้ที่ทำงานเรามากขึ้นทำงานที่กระทรวงสาธารณสุขค่ะ)
ยืมเงินเตี่ยมาซื้อรถนิสสันมือสอง (ไม่มีดอกเบี้ย-ทยอยคืนจนหมดอย่างเร็ว) เพื่อความสะดวกในการรับงานพิเศษ
(รับอยู่เวรห้องพยาบาลโรงงานแถวนวนคร+และต่อมารับไข่ไก่มาส่งขายให้ร้านอาหาร
บรรทุกไข่แผงไข่เต็มท้ายรถและในตัวเบาะคนนั่งด้านหลังเท่าที่จะบรรทุกได้ค่ะ)
เริ่มต้นผ่อนทาวนเฮาส์เพื่ออยู่อาศัยย่านรังสิต 8.2 แสน (มีลูกตอนอยู่บ้านนี้ค่ะ)
มีเงินอะไรพิเศษมาก็โปะบ้านเพิ่มตลอด ต่อมาขายได้ 9.8 แสน
เปลี่ยนไปซื้อบ้านเดี่ยวหลังแรก 80 ตรว. ที่จริงทางโครงการกำหนด spec เป็นบ้านหลังใหญ่
แต่ขอร้องเค้าเอาบ้านหลังเล็กลง เจ้าของโครงการเกรงว่าจะน้อยเนื้อต่ำใจหรือเปล่าหลังเล็กกว่าใคร
ตอบไปว่าอยู่กันแค่ 3 คน หลังเล็กก็พอ อยากได้ที่ดินมากไว้ก่อนเผื่อมีเงินค่อยต่อเติมก็ได้
เจ้าของโครงการกรุณามากๆ ตกลงให้ แต่ขอให้เป็นแปลงท้ายๆ ซอย
ราคารวมต่อเติม 1.7 ล้าน ต่อมาขายได้ 2.4 ล้าน
ซื้อคอนโดใกล้ ม.บูรพาจากผู้ที่ผ่อนดาวน์แล้วกู้ไม่ผ่าน 3.8 แสน
(กู้สหกรณ์ที่ทำงานสามีบางส่วน) ให้นักศึกษาเช่าประมาณ 3 ปี (ผ่อนหมดภายใน 3 ปี) แล้วขายต่อ 4.5 แสน
ลงทุนในหุ้นครั้งแรกด้วยเงินจากการขายคอนโด
ช่วงแรกยังไม่ใช่แนว VI แต่ก็ซื้อหุ้นแล้วถือรอบใหญ่
โชคดีที่เลือกหุ้นถูกตัว มี story แตกพาร์ จาก 10 เป็น 1
ซื้อไว้ก่อนที่คนอื่นๆ จะไล่ราคาถือไว้จนแตกพาร์
แล้วก็ถือจนราคาขึ้นไปอีกแล้วค่อยขาย port โตขึ้นเยอะค่ะ
ที่ดินเปล่าซื้อมา 6.5 แสน (กู้ BBL 5.2 แสนเหมือนเดิมผ่อนมากเท่าที่จะมากได้)
ขายต่อ 8.2 แสน หักคืน BBL เหลือเท่าไหร่เอาลงทุนเพิ่มค่ะ
เปลี่ยนไปซื้อบ้านหลังใหม่(ติดถนนหลัก+สภาพแวดล้อม+ระบบรักษาความปลอดภัยดีขึ้น)
หลังนี้ลงตัวมากตอนนี้ต้นไม้ร่มครึ้มเลย ธนาคารให้ผ่อน 17,000 บาท/เดือน แต่ผ่อนจริง 50,000 บาท
รีไฟแนนซ์ไปใช้ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ 9 เดือน (ยอดกู้ตอนรีไฟแนนซ์เหลือ 1.82 ล้าน)
ครบ 9 เดือน ที่ต้องเสียดอกเบี้ยนำเงินที่ได้จากการ ออกจากงานของสามีมาจ่ายเพิ่มอีก 1 ล้าน
ปัจจุบันเหลือยอดหนี้ 5.8 แสนบาท (ถ้าปิดก่อน มี.ค. 58 ต้องเสียเบี้ยปรับ 3% ของยอดกู้)
ปัจจุบันไม่มีหนี้บัตรเครดิต ไม่ได้ผ่อนรถค่ะ
ทุกครั้งที่ขายบ้านได้กำไรเสมอค่ะ เพราะ
1. ตอนต่อเติมบ้านเลือกใช้วัสดุราคาไม่สูง เช่นเลือกกระเบื้องที่ราคาถูกไม่มีลาย
แล้วใส่ลูกเล่นสลับไปมาสลับให้เก๋ๆ (ช่างปวดหัวกับเรามากเลย)
2. ดูแลบ้านอย่างดี เวลาทำความสะอาดห้องครัวและห้องน้ำจะขัดผนังด้วยเสมอ
ชอบปลูกต้นไม้บังแดดกว่าจะถึงเวลาขายต้นไม้ร่มครึ้มบรรยากาศรวมๆ จะค่อนข้างร่มเย็นค่ะ
การทำงานเสริม
รับอยู่เวรห้องพยาบาลตามโรงงาน (เวร 12 ชม.) หลังจากซื้อรถเก่าๆ มาคันแรก
ทำให้สามารถแขวนชุดสำรองไว้ในรถได้ เวลาพี่ๆ เพื่อนๆ ไม่ว่าง
(เช่นเราอยู่คืนวันศุกร์ พอเสาร์อาทิตย์บางคนที่มีชื่อตามตารางเวรไม่ว่าง
ก็จะโทรมาถามว่า “อยู่ต่อได้มั้ย” รับทันทีไม่มีอิดออดค่ะ
บางทีอยู่ติดกัน 48 ชั่วโมงเลย (4 เวรติด) ก็มีค่ะ....)
รับไข่ไก่มาส่งให้ร้านผัดไทย , ซื้อขนมแพคใหญ่มาแบ่งให้เป็นแพคเล็ก เอาไปฝากขาย
เป็นอย่างไรบ้างคะ เส้นทางไม่ได้สบายเลย
ที่สำคัญที่สุดคือการทยอยเปลี่ยนแนวการลงทุนมาเป็นแบบ VI ค่ะ
ใครหลายคนที่ลำบากตอนนี้ก็อดทน และสู้ๆ นะคะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 105
ชวนกันลงทุนช่วยหมุนโลก (ดีสำหรับคนมีลูกด้วยนะคะ)
หลายคนคงคุ้นหูกับประโยค “ความรักทำให้โลกหมุนไป”
.......................................................
แต่วันนี้อยากเสนอมุมมองเรื่องความรักที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในคู่รักค่ะ
เคยอ่านหนังสือ “เราทั้งผองพี่น้องกัน” ของอาจารย์เกียรติวรรณ อมาตยกุล
แล้วรู้สึกประทับใจแอบเก็บเอาคำนี้มาใช้ในใช้ชีวิตประจำวันและการสอนลูกด้วย
.........................................................
ชีวิตเราเกี่ยวข้องกับผู้คนตลอดทั้งวันตั้งแต่ตื่นเช้า จนเข้านอน
ยกตัวอย่างใกล้ตัว....เวลาขับรถ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม....เราสื่อสารกับเพื่อนร่วมทางอยู่
โดยการ เปิด (หรือไม่เปิด) ไฟเลี้ยว การให้ทาง (หรือไม่ให้ทาง) แก่ผู้อื่น
การชะลอให้คนข้ามถนน .....หรือแม้แต่การผงกศีรษะขอบคุณ
……………………………………….
เราสามารถทำได้มากกว่านั้นอีกค่ะ...ลองทำระหว่างรถติดหรือเคลื่อนตัวช้าจะได้ไม่เบื่อ
ถ้ามีลูกอยู่ในรถ ก็บอกสอนลูกได้ด้วย ฝึกนิสัยใส่ใจในสิ่งรอบตัว และความเอื้ออาทรแก่ผู้อื่น แทนที่จะก้มหน้าก้มตาอยู่กับ smart phone หรือ Tablet ทั้งหลาย....เสียสายตาและเสียทักษะการสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยค่ะ
- ลองเหลือบมองกระจกหลัง+กระจกข้างว่า... มีเพื่อนมอเตอร์ไซค์ ด้านข้างหรือด้านท้ายรถเราที่พยายาม
เดินหน้าถอยหลัง ยึกๆ ยักๆ เพื่อที่จะผ่านช่องเล็กๆ ระหว่างรถแต่ละคันไปให้ได้อยู่บ้างหรือไม่?
บางทีเราช่วยขยับนิดเดียวเค้าสามารถไปต่อได้ และคันอื่นๆ ก็จะตามกันไปเป็นสาย (เหมือนมด)
คือ...ถึงแม้ตัวเราไปไม่ได้ ....แต่เพื่อนร่วมทางไปได้เร็วขึ้น.....แถมไม่ต้องกังวลว่าจะมาเฉี่ยวรถเราอีกด้วย
- ช่วงฝนตกน้ำเจิ่งนองหมั่นตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ทำน้ำกระเด็น (แรงๆ)
ใส่รถมอเตอร์ไซค์หรือผู้ที่รอรถเมล์อยู่
- ที่ลานจอดรถของห้าง สมมติว่าเรายังไม่กลับ แค่เอาของมาเก็บในรถก่อน
บังเอิญของเยอะต้องเก็บนานหน่อย...อย่าลืมเหลือบดูสักนิดว่า
มีรถมารอเข้าจอดแทนเราหรือไม่ ถ้ามีช่วยบอกให้เค้ารู้นิดนึงว่าเราไม่ได้ออก เค้าจะได้ไม่ต้องรอเก้อ
หรือจะสื่อสารระดับลึกไปกว่านั้นหากมีโอกาส (ยกตัวอย่างที่เราเคยทำนะคะ)
................................................................
วันฝนตกพรำๆ รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขายก๋วยเตี๋ยวมี 3 พ่อแม่ลูก (สภาพเก่ามากๆ)
(ลูก 2-3 ขวบสวมถุงก๊อบแก๊บที่หัวด้วย....ร่มรถเก๋ยวเตี๋ยวมีอยู่แต่คุ้มได้ไม่หมด).......
สะพานนี้เป็นสะพานข้ามทางรถไฟเลยค่อนข้างสูง... ฝนตกรพรำๆ ต่อเนื่อง ถนนลื่นกว่าปกติ
เนื่องจากสภาพเก่ามาก รถก็เลยดับ....อยู่ตรงเชิงทางขึ้นสะพาน
จะ start ใหม่ก็คงไม่ได้เดี๋ยวรถไหลลง พ่อและแม่ก็ลงมาเข็น
รถเก๋งคันนึงตามหลังอยู่ บีบแตรเกรี้ยวกราด ใส่ไป 1 ครั้ง
คนพ่อหันหน้ามาผงกหัวเชิงขอโทษ หลายครั้ง
จังหวะไม่มีรถสวน รถคันนั้นจึงแซงไป
.......................................................
คันต่อมาคือรถเรา (ระหว่างนี้ถ้ามีโอกาสรถคันหลังเราก็ค่อยๆ แซงขึ้นไปเหมือนกัน)
แต่เราไม่ได้แซง บอกลูกว่า....คุณแม่ตั้งใจจะช่วยกันเค้าไว้ ไม่อยากให้เค้าถูกบีบแตรไล่อีก
แต่เราก็เว้นระยะห่างมากขึ้น...เพราะดูแล้วอาจไหลลงได้...และจะได้ไม่กดดันเค้าด้วย
ช้าจริงแหละ แต่เค้าพยายามอยู่....เค้าก็หันมาผงกๆ หัวให้เราเป็นช่วงๆ
เราก็พยักหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร... ดูเค้ากดดันน้อยลง
พอถึงกลางสะพานทั้งคู่ก็กลับขึ้นนั่งประจำที่ (start รถด้วยขา...อยู่พักนึง)
ลงสะพานไป....ระหว่างที่เค้าค่อยเบี่ยงออกซ้าย เป็นจังหวะที่เราแซงขึ้นไป....
ทั้งสองคนมีรอยยิ้ม...ก้มหัวมากกว่าปกติเพื่อแสดงความขอบคุณ
เราก็ยิ้มตอบและพยักหน้า.....เพื่อจะบอกเหมือนเดิมว่า.....ไม่เป็นไร
.....................................................................
ลูกชายชมว่า “คุณแม่ทำดีจัง” ก็สอนไปว่า....เราโชคดีกว่าเค้าหลายเท่า ไม่เปียก ไม่เหนื่อย
เราไม่รู้ว่าวันนี้เค้าขายดีหรือไม่.... ถ้าเป็นวันที่ขายไม่ดี แล้วอาจกำลังเหนื่อย
หรอมีภาระหนักใจอื่นๆ เค้าอาจมีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ต้องสะสางและ อีก ฯลฯ ที่เราไม่รู้
เสียงแตรเกรี้ยวกราดครั้งเดียวนี้.....อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนที่กำลังอยู่ในภาวะแย่
กลับไปตัดสินใจชั่ววูบทำสิ่งที่น่าเสียใจก็ได้นะ
อย่างข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เคยเห็น พิษเศรษฐกิจรุมเร้า พ่อกรอกยาพิษแม่ลูกหนีปัญหา อะไรทำนองนี้
อยากให้เราตรวจสอบตัวเองเสมอๆ......ให้แน่ใจว่า...เราไม่ได้เป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของใคร
..........................................................................
พยายามทำเท่าที่มีโอกาส ชดเชยกับบางสิ่งที่เราทำไม่ได้
เช่น ไม่สามารถกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดไกลๆ...
เนื่องจากชีวิตการทำงานที่ต้องอยู่ใกล้แหล่งงาน
ไม่ต้องรอร่วมทำดีในกิจกรรม CSR ที่หน่วยงานอาจจะจัดขึ้นปีละครั้ง
ไหนๆ รถราก็ติดและเราไม่สามารถหนีไปไหนได้
ก็อาศัยทำดีเล็กๆ น้อยๆ กันในรถเนี่ยแหละค่ะ
สอนลูกว่า...เราไม่ได้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ กลับ
แค่แอบหวังว่าจะมีคนที่เคยเป็นผู้รับที่รู้สึกดีที่ได้รับ
แล้วตั้งใจว่าจะตอบแทนกลับโดยเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นบ้าง
แค่คนละ 1 ครั้ง 2 ครั้ง ก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยหมุนโลกไปได้เรื่อยๆ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการลงทุนล่ะ?
เชื่อแน่ว่าที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อชีวิตที่ดีและมีความสุข
ซึ่งความสุขไม่น่าหมายถึงแค่การมีเงินซื้อวัตถุที่เราอยากได้
ถ้าเรารวยแต่สังคมรอบตัวแย่ลงทุกวัน หันไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนเครียด
เตรียมจะโมโหใส่กันได้เสมอ ไม่มีน้ำใจต่อกันมันจะมีประโยชน์อะไร
อยากชวนเพื่อนๆ มาลงทุนช่วยหมุนโลก เพื่อให้เกิดแรงหมุนส่งต่อๆ กันไปนะคะ
หลายคนคงคุ้นหูกับประโยค “ความรักทำให้โลกหมุนไป”
.......................................................
แต่วันนี้อยากเสนอมุมมองเรื่องความรักที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในคู่รักค่ะ
เคยอ่านหนังสือ “เราทั้งผองพี่น้องกัน” ของอาจารย์เกียรติวรรณ อมาตยกุล
แล้วรู้สึกประทับใจแอบเก็บเอาคำนี้มาใช้ในใช้ชีวิตประจำวันและการสอนลูกด้วย
.........................................................
ชีวิตเราเกี่ยวข้องกับผู้คนตลอดทั้งวันตั้งแต่ตื่นเช้า จนเข้านอน
ยกตัวอย่างใกล้ตัว....เวลาขับรถ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม....เราสื่อสารกับเพื่อนร่วมทางอยู่
โดยการ เปิด (หรือไม่เปิด) ไฟเลี้ยว การให้ทาง (หรือไม่ให้ทาง) แก่ผู้อื่น
การชะลอให้คนข้ามถนน .....หรือแม้แต่การผงกศีรษะขอบคุณ
……………………………………….
เราสามารถทำได้มากกว่านั้นอีกค่ะ...ลองทำระหว่างรถติดหรือเคลื่อนตัวช้าจะได้ไม่เบื่อ
ถ้ามีลูกอยู่ในรถ ก็บอกสอนลูกได้ด้วย ฝึกนิสัยใส่ใจในสิ่งรอบตัว และความเอื้ออาทรแก่ผู้อื่น แทนที่จะก้มหน้าก้มตาอยู่กับ smart phone หรือ Tablet ทั้งหลาย....เสียสายตาและเสียทักษะการสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยค่ะ
- ลองเหลือบมองกระจกหลัง+กระจกข้างว่า... มีเพื่อนมอเตอร์ไซค์ ด้านข้างหรือด้านท้ายรถเราที่พยายาม
เดินหน้าถอยหลัง ยึกๆ ยักๆ เพื่อที่จะผ่านช่องเล็กๆ ระหว่างรถแต่ละคันไปให้ได้อยู่บ้างหรือไม่?
บางทีเราช่วยขยับนิดเดียวเค้าสามารถไปต่อได้ และคันอื่นๆ ก็จะตามกันไปเป็นสาย (เหมือนมด)
คือ...ถึงแม้ตัวเราไปไม่ได้ ....แต่เพื่อนร่วมทางไปได้เร็วขึ้น.....แถมไม่ต้องกังวลว่าจะมาเฉี่ยวรถเราอีกด้วย
- ช่วงฝนตกน้ำเจิ่งนองหมั่นตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ทำน้ำกระเด็น (แรงๆ)
ใส่รถมอเตอร์ไซค์หรือผู้ที่รอรถเมล์อยู่
- ที่ลานจอดรถของห้าง สมมติว่าเรายังไม่กลับ แค่เอาของมาเก็บในรถก่อน
บังเอิญของเยอะต้องเก็บนานหน่อย...อย่าลืมเหลือบดูสักนิดว่า
มีรถมารอเข้าจอดแทนเราหรือไม่ ถ้ามีช่วยบอกให้เค้ารู้นิดนึงว่าเราไม่ได้ออก เค้าจะได้ไม่ต้องรอเก้อ
หรือจะสื่อสารระดับลึกไปกว่านั้นหากมีโอกาส (ยกตัวอย่างที่เราเคยทำนะคะ)
................................................................
วันฝนตกพรำๆ รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขายก๋วยเตี๋ยวมี 3 พ่อแม่ลูก (สภาพเก่ามากๆ)
(ลูก 2-3 ขวบสวมถุงก๊อบแก๊บที่หัวด้วย....ร่มรถเก๋ยวเตี๋ยวมีอยู่แต่คุ้มได้ไม่หมด).......
สะพานนี้เป็นสะพานข้ามทางรถไฟเลยค่อนข้างสูง... ฝนตกรพรำๆ ต่อเนื่อง ถนนลื่นกว่าปกติ
เนื่องจากสภาพเก่ามาก รถก็เลยดับ....อยู่ตรงเชิงทางขึ้นสะพาน
จะ start ใหม่ก็คงไม่ได้เดี๋ยวรถไหลลง พ่อและแม่ก็ลงมาเข็น
รถเก๋งคันนึงตามหลังอยู่ บีบแตรเกรี้ยวกราด ใส่ไป 1 ครั้ง
คนพ่อหันหน้ามาผงกหัวเชิงขอโทษ หลายครั้ง
จังหวะไม่มีรถสวน รถคันนั้นจึงแซงไป
.......................................................
คันต่อมาคือรถเรา (ระหว่างนี้ถ้ามีโอกาสรถคันหลังเราก็ค่อยๆ แซงขึ้นไปเหมือนกัน)
แต่เราไม่ได้แซง บอกลูกว่า....คุณแม่ตั้งใจจะช่วยกันเค้าไว้ ไม่อยากให้เค้าถูกบีบแตรไล่อีก
แต่เราก็เว้นระยะห่างมากขึ้น...เพราะดูแล้วอาจไหลลงได้...และจะได้ไม่กดดันเค้าด้วย
ช้าจริงแหละ แต่เค้าพยายามอยู่....เค้าก็หันมาผงกๆ หัวให้เราเป็นช่วงๆ
เราก็พยักหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร... ดูเค้ากดดันน้อยลง
พอถึงกลางสะพานทั้งคู่ก็กลับขึ้นนั่งประจำที่ (start รถด้วยขา...อยู่พักนึง)
ลงสะพานไป....ระหว่างที่เค้าค่อยเบี่ยงออกซ้าย เป็นจังหวะที่เราแซงขึ้นไป....
ทั้งสองคนมีรอยยิ้ม...ก้มหัวมากกว่าปกติเพื่อแสดงความขอบคุณ
เราก็ยิ้มตอบและพยักหน้า.....เพื่อจะบอกเหมือนเดิมว่า.....ไม่เป็นไร
.....................................................................
ลูกชายชมว่า “คุณแม่ทำดีจัง” ก็สอนไปว่า....เราโชคดีกว่าเค้าหลายเท่า ไม่เปียก ไม่เหนื่อย
เราไม่รู้ว่าวันนี้เค้าขายดีหรือไม่.... ถ้าเป็นวันที่ขายไม่ดี แล้วอาจกำลังเหนื่อย
หรอมีภาระหนักใจอื่นๆ เค้าอาจมีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ต้องสะสางและ อีก ฯลฯ ที่เราไม่รู้
เสียงแตรเกรี้ยวกราดครั้งเดียวนี้.....อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนที่กำลังอยู่ในภาวะแย่
กลับไปตัดสินใจชั่ววูบทำสิ่งที่น่าเสียใจก็ได้นะ
อย่างข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เคยเห็น พิษเศรษฐกิจรุมเร้า พ่อกรอกยาพิษแม่ลูกหนีปัญหา อะไรทำนองนี้
อยากให้เราตรวจสอบตัวเองเสมอๆ......ให้แน่ใจว่า...เราไม่ได้เป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของใคร
..........................................................................
พยายามทำเท่าที่มีโอกาส ชดเชยกับบางสิ่งที่เราทำไม่ได้
เช่น ไม่สามารถกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดไกลๆ...
เนื่องจากชีวิตการทำงานที่ต้องอยู่ใกล้แหล่งงาน
ไม่ต้องรอร่วมทำดีในกิจกรรม CSR ที่หน่วยงานอาจจะจัดขึ้นปีละครั้ง
ไหนๆ รถราก็ติดและเราไม่สามารถหนีไปไหนได้
ก็อาศัยทำดีเล็กๆ น้อยๆ กันในรถเนี่ยแหละค่ะ
สอนลูกว่า...เราไม่ได้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ กลับ
แค่แอบหวังว่าจะมีคนที่เคยเป็นผู้รับที่รู้สึกดีที่ได้รับ
แล้วตั้งใจว่าจะตอบแทนกลับโดยเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นบ้าง
แค่คนละ 1 ครั้ง 2 ครั้ง ก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยหมุนโลกไปได้เรื่อยๆ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการลงทุนล่ะ?
เชื่อแน่ว่าที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อชีวิตที่ดีและมีความสุข
ซึ่งความสุขไม่น่าหมายถึงแค่การมีเงินซื้อวัตถุที่เราอยากได้
ถ้าเรารวยแต่สังคมรอบตัวแย่ลงทุกวัน หันไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนเครียด
เตรียมจะโมโหใส่กันได้เสมอ ไม่มีน้ำใจต่อกันมันจะมีประโยชน์อะไร
อยากชวนเพื่อนๆ มาลงทุนช่วยหมุนโลก เพื่อให้เกิดแรงหมุนส่งต่อๆ กันไปนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 106
ยังอาจจะเป็นไปได้ครับ แต่ผมคิดว่าต้องเป็นข้าราชการระดับสูง เพราะพวกนี้จะมีเบี้ยเยอะแยะไปหมดครับ เบี้ยบางอย่างเยอะมาก บางอย่างมีเป็นครั้งคราว บางอย่างมีอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้าเป็นกระทรวงบางกระทรวงอย่างที่เราเห็น ๆ ดีไม่ดียังไปนั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจได้อีกต่างหาก อีกอย่างพอเกษียณไปข้าราชการระดับสูงบางกระทรวงก็ไปนั่งเป็นกรรมการในบ.ต่าง ๆ อีกไปจนอายุ 70-80 ปีก็ยังมี แต่ปัญหาก็คือมีคนจำนวนน้อยที่จะไปได้จนถึงจุดนั้น ส่วนหนึ่งก็มักจะมีแบ็คมีพื้นฐานทางบ้านรวยอยู่แล้ว ที่สำคัญรายได้พวกนี้มันมาเยอะเอาตอนอายุมาก จะรอไหวไหมเท่านั้นcanuseeme เขียน:
หากคิดจากเงินเดือน ราชการ ล้วนๆ ยาก ครับ
สามารถคำนวณได้ ง่ายๆหน่อยก็จาก Excel ครับ ราชการ เริ่มก็หมื่น จบอายุ60 เต็มที่ ก็ 5-6 หมื่น
ขั้นเงินเดือนราชการไม่ต่างกันมาก ตรวจสอบได้จากราชการที่เกษียณ เงินเดือนท้ายก็ประมาณนี้
คิดทำงานทั้งชีวิตจะได้ สิบล้าน ต้องไม่กินไม่ใช้ละครับ
ไม่ใช่ว่าผม อยาก จะมาดับฝันหลายๆท่านนะครับ
แต่ อย่างที่บอก ต้องขยัน
หา
รายได้ ทางอื่นเสริม
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 108
คนชอบเหมือนกันเลยค่ะ....แมวตัวกลมๆ เขียน:ชอบตรงนี้มากเลยค่ะคุณนุช เพราะตัวเองก็ชอบต้นไม้เหมือนกัน2. ดูแลบ้านอย่างดี เวลาทำความสะอาดห้องครัวและห้องน้ำจะขัดผนังด้วยเสมอ
ชอบปลูกต้นไม้บังแดดกว่าจะถึงเวลาขายต้นไม้ร่มครึ้มบรรยากาศรวมๆ จะค่อนข้างร่มเย็นค่ะ
เวลาไปตามหมู่บ้านที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แม้บ้านจะสวยแค่ไหนก็ไม่รู้สึกอยากอยู่
อยากให้ผู้ประกอบการเข้าใจจุดนี้จัง เห็นส่วนใหญ่ตัดต้นไม้ออกหมดเลย เอาต้นนิดเดียวมาปลูกแทน
จริงๆ แล้วต้นไม้นี่ทำเงินเพิ่มได้ง่ายๆ เลยนะคะ....
เคยลองไปถามร้านต้นไม้ว่าจะเอาต้นไม้ไปฝากขายได้มั้ย
เค้าบอกว่าได้ ...แต่กลายเป็นเรายังไม่พร้อมเอง
บ้านใครมีเฟิร์นข้าหลวงเตรียม กาบมะพร้าว กระถางเปล่า และดินปลูกไว้ให้พร้อม
ถ้าความชื้นมากพอ จะมีเฟิร์นข้าหลวงไปขึ้นเป็นวัชพืชตรงโน้นตรงนี้เอง
เราก็ถอนมาแยกปลูกได้เลย รอให้โต (ก็เอาไปส่งตามร้านต้นไม้) ทำเป็นงานอดิเรกได้ค่ะ
กลุ่มกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่ายๆ เช่นหวายแคระ ก็สามารถเอามาเพิ่มมูลค่าโดยการยึดติดกับขอน
ที่บ้านทำไว้เยอะค่ะ....กะว่าจะเอาไปขายค่ะ พอออกดอกเก่งๆ แล้วรักทุกต้น
เก็บไว้เองหมดเลยค่ะ 5555
บ้านคุณแมวตัวกลมๆ ต้องมีแมวเยอะด้วยใช่มั้ยคะ....
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 110
คุณนุชเดาเก่ง มีแมวเยอะค่ะ แต่ก่อนเยอะกว่าตอนนี้อีกบ้านคุณแมวตัวกลมๆ ต้องมีแมวเยอะด้วยใช่มั้ยคะ....
เก็บมาบ้าง มาฝากเนื้อฝากตัวที่บ้านเองบ้าง
เป็นความรู้ดีจังเรื่องฝากต้นไม้ขาย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ต้นไม้ราคาแพงมากจริงๆ อย่างต้นโมก เราเคยตอนเองง่ายๆ เอาคัทเตอร์ขูดๆเปลือก เอากาบมะพร้าว+ดินหุ้มด้วยพลาสติก จากกิ่งแค่ประมาณฟุตเดียว พอลงดินก็โตเร็ว เดี๋ยวนี้ต้นโมกขนาดสูง 120 เซนต์ รถขายต้นไม้ขายต้นละ 100 เชียว ถ้าไปซื้อตามแหล่งอาจถูกหน่อย
อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ นึกได้เรื่องนึง ต้นกกหางแมวที่มีมากตามชานเมืองนั่นก็เอามาตากแห้งขายได้นะคะ(เคยเอามาขายที่จตุจักร แต่นานมากแล้ว) นอกจากนั้นก็พวกต้นข้าว ต้นข้าวโพด ดอกหญ้าต่างๆ ตากแห้ง ทำเป็นอาชีพได้ เด็กๆก็ทำได้ สนุกด้วยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 111
ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ....แต่จริงแล้วไม่อาจรับคำชมไว้ได้เองคนเดียวนะคะsangjun เขียน:ติดตามอ่านค่ะ ให้กำลังใจได้อย่างดี นักลงทุนชวนกันหมุนโลก ซึ้งมากค่ะ คุณเป็นคนที่ใจงามมากจริง ๆ รับราชการสาธารณสุขแต่ยังทำไม่ได้เช่นนี้เลย เข้ามาโพสเรื่อย ๆ นะคะมีประโยชน์มากจริง ๆ
จริงอยู่ว่าพื้นฐานจิตใจที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิม (จากการปลูกฝังของครอบครัว)
แต่ต้องขอบคุณครูดีรอบตัวที่ไม่สามารถนำมากล่าวถึงได้หมดในที่นี้ค่ะ
ที่ผ่านมาโชคดีที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ต้นแบบที่ดีตลอดทาง
(ทางที่ค่อนข้างยาวด้วย เพราะผ่านมาค่อนชีวิตแล้วค่ะ)
ประกอบกับการขยันเก็บเกี่ยวจึงพอจะได้สิ่งดีมาตกผลึกอยู่ในตัวมากพอสมควร เท่านั้นเองค่ะ
ขอยกตัวอย่างที่ทำงานปัจจุบัน ผอ.ท่านก็พยายามปลูกฝังให้เกิดความดีงาม
ขึ้นในตัวบุคลากร ได้มอบหมายให้พวกเราแบ่งกลุ่มกันไปทำกิจกรรม CSR
แล้วกลับมา present ให้คณะกรรมการตัดสินว่ากิจกรรมไหนดีที่สุดด้านไหน
จริงๆ แล้วเป็นกุศโลบายเพื่อให้ทุกคนกระตือรือร้นที่จะออกแบบกิจกรรม
การทำดีของกลุ่มตัวเองให้สร้างสรรค์และได้ประโยชน์ที่สุด
พอถึงวันที่แต่ละกลุ่มเอาผลงานมานำเสนอมีการใส่เพลงประกอบภาพกิจกรรม
แต่ละกลุ่มทำได้ดีมากดูแล้วน้ำตาซึมกันไปเลย
นี่ก็เป็นสิ่งที่ตกผลึกเพิ่มเข้ามาในตัวเองล่าสุด และคงตกผลึกอยู่ในตัว
บุคลากรในโรงพยาบาลที่เราทำงานอยู่ทั้งหมดด้วย
ส่วนเรื่องการเลี้ยงลูก การมุ่งมั่นเป็นคนดีของสังคม
การรักสิ่งแวดล้อมก็ยังมีอีกหลายครอบครัวที่เป็นต้นแบบให้ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 112
ผมว่ากระทู้นี้ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ลงทุนในหุ้นหรือแนววีไอแล้วมีอิสรภาพทางการเงินนะครับ เพราะมันเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น อาจจะไม่หวือหวาแบบเรื่องราวของเซียนที่กำไรจากหุ้นเป็นเด้งยกกำลังเด้งโดยใช้เงินลงทุนเพียงน้อยนิด แต่เท่าที่ตามอ่านมาผมว่าแก่นของมันคือ การดำเนินชีวิต ทัศนคติการมองโลกและสังคม อันนี้สำคัญกว่ามากครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- SawScofield
- Verified User
- โพสต์: 236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 114
กระทู้น้ำดีที่มีครบรสจริงๆครับ ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจและมิติที่หลากหลายนอกจากการลงทุนและผลตอบแทนครับ
Respect, Persistence then Deserve
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 115
มาเรื่องการลงทุนกับใช้ชีวิตคู่บ้างดีกว่าค่ะ
.....................................................
อืม....มันเกี่ยวกับการลงทุนตรงไหนเนี่ย
.............................................................
จะว่าไปแล้วทุกๆ เรื่องในชีวิตเราล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งสิ้น
การลงทุนในด้านการเงินก็คือการทำเงินให้งอกเงย
การลงทุนด้านอื่นๆ ก็น่าจะหมายถึงเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง
และการพัฒนาตัวเองให้เจริญงอกงามในด้านนั้นๆ
ถ้างั้น...การใช้ชีวิตคู่นี่ก็น่าจะพอเข้าข่ายได้เช่นกัน
...................................................
เตี่ยเราเองเคยบอกไว้ว่า ....การใช้ชีวิตคู่เปรียบเหมือนการประคองไข่ไว้ในฝ่ามือ
(ฟังดูเหมือนไม่น่าจะยากอะไร ตอนแรกเราก็คิดอย่างงั้นแหละ)
แล้วมันยากตรงไหนล่ะเตี่ย? เตี่ยตอบ “ลืมบอกไปว่า...มันคือไข่ที่ตอกแล้วน่ะสิ”
นึกภาพตาม....หืม...ไข่ที่ตอกแล้วเหลวๆ เนี่ยนะ...
อืม...ถ้าโจทย์เป็นแบบนี้มันน่าจะยากจริงๆ นั่นแหละ
........................................................
ขอย้ำว่าอันนี้มาจากความรู้สึกของเตี่ยเราล้วนๆ ...ไม่ได้มาจากทฤษฎีไหน
แต่มันคงเป็นความรู้สึกที่พอจะเชื่อถือได้อยู่มากทีเดียว
เพราะชีวิตคู่ของเตี่ยกับแม่เราไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่
ที่สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการแยกทางกัน
...............................................................
เตี่ยบอกว่า ถ้าจะให้ไข่อยู่ได้โดยไม่ไหลออกคงต้องทำมือเป็นอุ้ง
เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะต้องเอียงอุ้งมือไปมาด้วย...จะล้นไปทางโน้น..ก็เอียงกลับมาทางนี้
เอียงมากไปก็ไม่ได้ เมื่อยขนาดไหนก็แบมือไม่ได้....ไหลออกหมดแน่
ถ้าเป็นของอื่นยิ่งอยากยื้อ ให้อยู่กับเรานี่ยิ่งต้องจับหรือกำเอาไว้ให้แน่น.....
แต่ไข่ที่ตอกแล้วในมือนี่.....ยิ่งกำยิ่งไหลออก...
ยิ่งกำแน่นมาก....ก็จะทะลักออกตามง่ามนิ้ว....ลงเอยด้วยการเละเทะ
พอเรามีครอบครัวเราก็จำเอามาใช้ในชีวิตคู่เหมือนกัน....ผลตอบรับดีค่ะ
......................................................................
ขอค้างประเด็นการลงทุนในชีวิตคู่ไว้เท่านี้ก่อน แล้วค่อยมาเล่าต่อ
เพราะพอนึกเรื่องการลงทุนในหุ้น เปรียบเทียบกับการดำเนินไปของชีวิตคู่
การเลี้ยงดูลูก และการลงทุนในหุ้น เราพอจะนึกจุดบอดร่วมกันได้อยู่เรื่องนึง
ที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมอารมณ์
ขอไปเรียบเรียงก่อน....แล้วจะมาเล่าต่อนะคะ
(พอดีเคยมีคนมาปรึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกและการใช้ชีวิตคู่อยู่บ้าง
ไม่ได้เก่งหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่อาจจะพร้อมรับฟังก็เลยมีคนมาเล่าให้ฟังบ้าง)
.....................................................
อืม....มันเกี่ยวกับการลงทุนตรงไหนเนี่ย
.............................................................
จะว่าไปแล้วทุกๆ เรื่องในชีวิตเราล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งสิ้น
การลงทุนในด้านการเงินก็คือการทำเงินให้งอกเงย
การลงทุนด้านอื่นๆ ก็น่าจะหมายถึงเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง
และการพัฒนาตัวเองให้เจริญงอกงามในด้านนั้นๆ
ถ้างั้น...การใช้ชีวิตคู่นี่ก็น่าจะพอเข้าข่ายได้เช่นกัน
...................................................
เตี่ยเราเองเคยบอกไว้ว่า ....การใช้ชีวิตคู่เปรียบเหมือนการประคองไข่ไว้ในฝ่ามือ
(ฟังดูเหมือนไม่น่าจะยากอะไร ตอนแรกเราก็คิดอย่างงั้นแหละ)
แล้วมันยากตรงไหนล่ะเตี่ย? เตี่ยตอบ “ลืมบอกไปว่า...มันคือไข่ที่ตอกแล้วน่ะสิ”
นึกภาพตาม....หืม...ไข่ที่ตอกแล้วเหลวๆ เนี่ยนะ...
อืม...ถ้าโจทย์เป็นแบบนี้มันน่าจะยากจริงๆ นั่นแหละ
........................................................
ขอย้ำว่าอันนี้มาจากความรู้สึกของเตี่ยเราล้วนๆ ...ไม่ได้มาจากทฤษฎีไหน
แต่มันคงเป็นความรู้สึกที่พอจะเชื่อถือได้อยู่มากทีเดียว
เพราะชีวิตคู่ของเตี่ยกับแม่เราไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่
ที่สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการแยกทางกัน
...............................................................
เตี่ยบอกว่า ถ้าจะให้ไข่อยู่ได้โดยไม่ไหลออกคงต้องทำมือเป็นอุ้ง
เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะต้องเอียงอุ้งมือไปมาด้วย...จะล้นไปทางโน้น..ก็เอียงกลับมาทางนี้
เอียงมากไปก็ไม่ได้ เมื่อยขนาดไหนก็แบมือไม่ได้....ไหลออกหมดแน่
ถ้าเป็นของอื่นยิ่งอยากยื้อ ให้อยู่กับเรานี่ยิ่งต้องจับหรือกำเอาไว้ให้แน่น.....
แต่ไข่ที่ตอกแล้วในมือนี่.....ยิ่งกำยิ่งไหลออก...
ยิ่งกำแน่นมาก....ก็จะทะลักออกตามง่ามนิ้ว....ลงเอยด้วยการเละเทะ
พอเรามีครอบครัวเราก็จำเอามาใช้ในชีวิตคู่เหมือนกัน....ผลตอบรับดีค่ะ
......................................................................
ขอค้างประเด็นการลงทุนในชีวิตคู่ไว้เท่านี้ก่อน แล้วค่อยมาเล่าต่อ
เพราะพอนึกเรื่องการลงทุนในหุ้น เปรียบเทียบกับการดำเนินไปของชีวิตคู่
การเลี้ยงดูลูก และการลงทุนในหุ้น เราพอจะนึกจุดบอดร่วมกันได้อยู่เรื่องนึง
ที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมอารมณ์
ขอไปเรียบเรียงก่อน....แล้วจะมาเล่าต่อนะคะ
(พอดีเคยมีคนมาปรึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกและการใช้ชีวิตคู่อยู่บ้าง
ไม่ได้เก่งหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่อาจจะพร้อมรับฟังก็เลยมีคนมาเล่าให้ฟังบ้าง)
- marcus147
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 116
เปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนมากเลยครับ
การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่มีทางลัด อยากเก่ง ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 117
พอดีคุณ theenuch พูดถึงเรื่องชีวิตคู่กับการลงทุน เลยทำให้ผมนึกถึงบทความของดร.นิเวศน์เมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ เป็นบทความที่ผมคิดว่าเขียนได้เห็นภาพมากครับ เอามาย้อนอีกทีครับ
Monday, 20 August 2007
ภาพใหญ่-ภาพเล็ก
เวลามองหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ผมชอบเริ่มจาก “ภาพใหญ่ ” หรือภาพรวมทั้งหมดของสิ่งนั้นก่อน ถ้าดูแล้วน่าสนใจ ผมถึงจะมองต่อไปถึงรายละเอียดหรือ “ภาพเล็ก” ที่อยู่ในภาพใหญ่นั้น เช่นเดียวกัน การคิดที่จะหาหรือกำหนดแนวทางในเรื่องต่าง ๆ ผมก็จะเริ่มจากยุทธศาสตร์ใหญ่ก่อน ส่วนกลยุทธ์ย่อย ๆ นั้นจะตามมาภายหลัง เหตุผลของผมก็คือ ผมเชื่อว่าถ้า “ภาพใหญ่” ถูกมองหรือกำหนดถูกต้องแล้ว “ภาพเล็ก” หรือกลยุทธ์ย่อยอาจจะผิดพลาดบ้าง ผมก็ยังจะได้รับผลดีอยู่แม้จะน้อยไปบ้าง ตรงกันข้าม ถ้า “ภาพใหญ่” ผิดเสียแล้ว ถึงเราจะดูหรือทำ “ภาพเล็ก” ถูกต้องสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ก็จะยังไม่ดีพออยู่ดี บางที การมองที่ “ภาพใหญ่” นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่อาจจะยากกว่าก็คือ อะไรคือ “ภาพใหญ่”
อย่างเรื่องปัจจัยของความสำเร็จในอนาคตของคนหนุ่มสาวอายุ 25-30 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้น คุณคิดว่าภาพใหญ่คืออะไร? คนทั่วไปอาจจะคิดว่า การทุ่มเททำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตการงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น เขาจึงทุ่มเทให้กับการทำงานมากมายจนลืมไปว่า แท้ที่จริงภาพที่ใหญ่กว่า โดยเฉพาะของผู้หญิง ก็คือ การมีชีวิตคู่หรือครอบครัวที่ดี ดังนั้น ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตคู่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความสุขในอนาคตมากกว่าเรื่องงาน เราก็ต้องทุ่มเทให้ความสำคัญกับการหาคู่เท่า ๆ กับหรือมากกว่าการทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนลืมไปว่า มันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสุขมากกว่าถ้าเราได้คู่ที่เหมาะสม บางที การได้แต่งงานกับคนที่ถูกต้องเพียงครั้งเดียวอาจจะทำให้คน ๆ หนึ่งสบายไปทั้งชาติได้แม้ว่าเขาหรือเธอจะทำเรื่องอื่น ๆ ไม่ค่อยได้เข้าท่าเลย เหตุผลก็เพราะว่า เรื่องอื่น ๆ นั้นเป็น “ภาพเล็ก” แต่การแต่งงานนั้น เป็น “ภาพใหญ่”
ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเรามีประเด็นของ “ภาพใหญ่” มากมายหลายเรื่อง และถ้าเรากำหนดได้ว่าอะไรเป็นภาพใหญ่ได้ชัดเจนและถูกต้อง โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนก็จะมีสูง เพราะการปฏิบัติของเราจะอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง ลองมาดูว่าภาพใหญ่บางส่วนที่ผมคิดมีอะไรบ้าง
เรื่องแรกก็คือ เราต้องคิดว่าภาพใหญ่ในการลงทุนของเราคืออะไร? สำหรับผมแล้ว การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น มันคือการเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของธุรกิจ ผมไม่เคยมีเป้าหมายว่าซื้อหุ้นแล้วจะขายเมื่อไรหรือจะกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาสั้น ๆ การคิดว่าเรากำลังเป็นเจ้าของหรือทำธุรกิจในหุ้นที่เราซื้อลงทุนนั้น ช่วยให้ผมคิดถึงสินค้าที่บริษัทผมจะขาย ยอดขาย กำไร และปันผลที่ผมจะได้รับ ความเข้มแข็งของบริษัทและการเจริญเติบโตของธุรกิจ ผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ฯ ล ฯ ผมคิดว่าเหล่านี้คือภาพใหญ่ ในขณะที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์และการที่บริษัทจะมีข่าวดีหรือกำไรจะเพิ่มขึ้นในไตรมาศหรือปีหน้าเท่าไร เหล่านี้เป็น “ภาพเล็ก” ที่เราไม่ควรเริ่มต้นมองและหมกมุ่นกับมันมากเกินไปก่อนที่จะดูที่ “ภาพใหญ่” ว่า นี่คือธุรกิจที่เราต้องการเป็นเจ้าของหรือไม่?
“ภาพใหญ่” เรื่องที่สองก็คือ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการลงทุนของเราคืออะไร? ในความคิดผมก็คือ การลงทุนของเราน่าจะเพื่อให้เม็ดเงินของเราเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงโดยที่ความเสี่ยงในการที่เงินต้นจะลดลงมีน้อยมาก เป้าหมายหลักก็คือการสร้างความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินในระยะยาวของเรา เพราะด้วยวัตถุประสงค์หลักแบบนี้ จะทำให้เราเพิ่มพอร์ตโฟลิโอของหุ้นตลอดเวลาในขณะที่จะมีการกระจายการถือครองหุ้นอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่นเดียวกับการเลือกถือหุ้นที่มีความเสี่ยงในการลดค่าลงต่ำ ตรงกันข้ามถ้าเราไม่มี “ภาพใหญ่” ของวัตถุประสงค์ของการลงทุน เราก็อาจจะเข้ามาซื้อขายหุ้นลงทุนเป็นครั้งคราวและพยายามทำกำไรเป็น “ค่าขนม” หรือเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในลักษณะของการเก็งกำไรเป็นช่วง ๆ ซึ่งลักษณะนี้เป็นเรื่องของการมอง “ภาพเล็ก” ของภาวะตลาดหุ้นและการซื้อขายในช่วงสั้น ๆ ซึ่งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะมีน้อย
ภาพใหญ่เรื่องที่สามก็คือเรื่องของความเชื่อและการปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น ตัวอย่างของความเชื่อมีมากมาย เช่น ภาพใหญ่ของผมก็คือ ผมไม่เชื่อการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้น ดังนั้น ผมไม่ศึกษาวิธีการที่จะหาจังหวะเข้าออกจากตลาดเพราะนี่คือ “ภาพเล็ก” หรือความเชื่อที่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ผลตอบแทนในระยะยาวสำหรับพอร์ตที่มีขนาดใหญ่พอสมควรจะไม่สามารถทำได้เกินปีละ 20-25% โดยเฉลี่ย นี่ก็คือภาพใหญ่สำหรับผม ดังนั้น ถ้าผมลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนปีละ 15-20% ผมจะรู้สึกว่าประสบความสำเร็จสูงมาก ว่าที่จริง 10-15% ต่อปีผมก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนแล้ว ผมจะไม่พยายามฝืน “ภาพใหญ่” โดยการพยายามหาหุ้นที่อาจจะกระโดดทีเดียวหลายเท่าแต่มีความเสี่ยงสูงเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนสูงกว่าที่ผมจะทำไหว
ภาพใหญ่เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ เรื่องของสไตล์ในการลงทุน ผมคิดว่า ตัวเราเองก็ควรจะมี “ภาพใหญ่” นั่นหมายความว่า เมื่อมองตัวเราเองจากภายนอก ควรจะรู้หรือบอกได้ว่าเราเป็นนักลงทุนแบบไหน พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ เรามีสไตล์การลงทุนแบบไหน ชอบลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อคหรือแบบก้นบุหรี่ที่ชอบหุ้นที่มีราคาถูกมาก หรือเราชอบหุ้นประเภทวัฎจักรหรือหุ้นที่กำลังฟื้นตัว นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องของสไตล์การกระจายการถือครองหุ้นและอื่น ๆ อีกร้อยแปด ประเด็นก็คือ ถ้าเรามีสไตล์ชัดเจน การลงทุนของเราก็มักจะสามารถคาดการณ์ได้ ตัวอย่างเช่น ผมเองนั้น จะไม่สนใจหุ้นหลาย ๆ บริษัทที่มีผลการดำเนินงานไม่แน่นอนในอดีตที่ผ่านมา 4-5 ปี แม้ว่าในช่วงปัจจุบันบริษัทจะมีกำไรดีและดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงปีหรือสองปีข้างหน้าและหุ้นวิ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นมากและ “น่าจะ” โดดเด่นต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยเป็นปี สาเหตุก็เพราะมันไม่ใช่สไตล์ของผม มันเป็น “ภาพเล็ก” ที่แม้ว่าผมอาจจะทำกำไรได้ แต่มันก็จะไม่เปลี่ยน “ภาพใหญ่ ” ในเรื่องการลงทุนและผลตอบแทนของพอร์ตของผม
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 119
รอฟังแนวคิดชีวิตคู่อยู่ครับ..
เผื่อเอาไปใช้บ้าง
กระทู้นี้สร้างแรงบันดาลใจและให้แนวคิดดีมากๆเลยครับ
ไปเสริจกระทู้เก่าๆที่เคยคุยเรื่องการประหยัด
อ่านไปอดยิ้มไปไม่ได้ เราก็ผ่านมาแล้วเหมือนกัน..
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=22071
เผื่อเอาไปใช้บ้าง
กระทู้นี้สร้างแรงบันดาลใจและให้แนวคิดดีมากๆเลยครับ
ไปเสริจกระทู้เก่าๆที่เคยคุยเรื่องการประหยัด
อ่านไปอดยิ้มไปไม่ได้ เราก็ผ่านมาแล้วเหมือนกัน..
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=22071
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 120
เคยมีเพื่อมาเล่าให้ฟัง (ทั้งน้ำตา) ว่า....
ตวาดลูกและตีลูกไปแล้วรู้สึกผิด....ตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก ไม่นานหลังจากนั้นก็ทำอีกแล้ว
รู้สึกเสียใจและโมโหตัวเองมาก….แล้วก็วนกลับมารู้สึกผิด
พอลูกหลับไปนั่งดูลูกแล้วร้องไห้ เสียใจ
..............................................
ฟังดูคล้ายๆ กับอีกหลายๆ เหตุการณ์ เช่น
......................................................
คนที่ลดน้ำหนักยอมอดอาหารแบบสิ้นเชิงได้หลายวัน...น้ำหนักเริ่มลด
แต่....อยู่ๆ ก็กลับมากินมากเหมือนเดิม กินมากกว่าเดิมอีก
แล้วก็รู้สึกผิด เครียด เครียดเสร็จก็ กิน กินแล้วก็อ้วนอีก
.......................................................
สาวๆ ที่ช้อบปิ้งแล้วกลับมารู้สึกผิด แล้วก็เครียด เครียดแล้วก็ไปเผลอช้อปอีก
.......................................................
ไล่ราคาหุ้น แล้วผิดทาง เลย cut loss ไปปุ๊บ....ราคาขึ้นปั๊บ
เสียใจว่าขายหมู ตั้งใจว่าจะไม่ไปซื้อหุ้นตัวเดิมอีกแล้ว
แต่อดไม่ได้แอบเปิดดูราคาซะหน่อย....ว๊าว (ใครมาไล่) ราคาขึ้นอีกแล้ว
อดไม่ได้ซื้อมั่งดีกว่า.....กะว่าถอนทุนคืน ซื้อปุ๊บ...ตกปั๊บ
(โธ่ไม่น่าเล๊ย......เมื่อวานเพิ่งอ่าน thaivi ตั้งใจว่าจะถือยาวซะหน่อย
หนังสือของ ดร.นิเวศน์ที่เพื่อนให้ยืมมาก็เพิ่งอ่านจบไปเมื่อต้นเดือนแต่ก็....)
รู้สึกผิด โมโหตัวเอง
ปัญหาหรือจุดบอดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ความไม่รู้...แต่น่าจะอยู่ที่การควบคุมอารมณ์มากกว่า
................................................
อยากบอกว่า ในทุกๆ วันที่ผ่านมาและที่ต้องพบเจอภายหน้า
มีเรื่องของการต้องเลือกมาเกี่ยวข้องเสมอ
ถ้าจัดกลุ่มเรื่องที่คนเรามักจะต้องเลือกอย่างหยาบๆ ไว้ 2 ด้าน
อาจแบ่งได้เป็น "ทางเลือกด้านบวก" และ "ทางเลือกด้านลบ"
ขออนุญาตอธิบายวงจรให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้นะคะ
.....................................................
“อาหารทางเลือกด้านบวก” คือ “อารมณ์ด้านบวก” ใครมีบ่อยๆ
ก็มักจะชักนำไปสู่การเลือก ทางเลือกด้านบวกได้บ่อยๆ
ส่วน “อาหารของทางเลือกด้านลบ” นั้นก็คือ “อารมณ์ด้านลบ” นั่นเอง
เช่นกัน ถ้าเกิดบ่อยๆ ก็มักจะนำไปสู่การพลาดไปเลือกทางเลือกด้านลบได้บ่อยกว่า
........................................................
หนึ่งในอารมณ์ด้านลบตัวสำคัญท่ำให้เกิดวงจรด้านลบที่สำคัญ คือ “ความรู้สึกผิด”
แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไรดีล่ะ?
.......................................................
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า...ที่เป็นสีน้ำเงินด้านบน คือ ตัวอย่างของวงจรด้านลบ
ถ้าใครทำไปคือคนไม่ดีใช่หรือไม่? ........คำตอบคือ “ไม่ใช่”
คนดีๆ เคยทำข้อผิดพลาดดังกล่าวหรือไม่?.... คำตอบคือ “บ่อยไป”
ดังนั้น การทำผิดพลาดไปบ้างนั่นเป็นเรื่องธรรมดามากๆ
เราจะก้าวข้ามมันไปได้ถ้าเรารู้จัก “ให้อภัย” ตัวเอง
..........................................................................
อยากให้ลองฝึกดูนะคะ ถ้ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะกับเรื่องการลงทุน หรือการเลี้ยงลูกนี่
เจตนาของเราในภาพรวมๆ หรือ “ภาพใหญ่” ....ต้องเป็นบวกและเป็นภาพที่ดีแน่นอน
(ดังที่ ดร.นิเวศน์กล่าวไว้....ในบทความที่คุณหมอ leky ได้นำมาแบ่งปันไว้ด้านบน)
เพียงแต่ระหว่างทางของการจะเดินไปสู่ภาพใหญ่นั้น
อาจมีบางครั้งคราวที่เราได้ทำพลาดไปบ้าง (คนอื่นๆ ก็เคยทำพลาด...มันเป็นธรรมดา)
ถ้าเรารู้เท่าทัน......เราก็จะให้อภัยตัวเองได้.....เมื่อเรารู้สึกดีขึ้น
จิตใจก็จะพร้อมที่จะเรียนรู้แนวทางที่จะนำไปสู่ "ภาพใหญ่"
ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.........................................................
บางคนมีบททดสอบที่ทำให้ชีวิตยุ่งยากกว่า
ก็อาจวิ่งวนไป วนมาอยู่หลายรอบหน่อย...ก็ไม่เป็นไร
เพราะบริบทของคนเราไม่เหมือนกัน
บางครั้งคราว ช่วงที่อยู่ในอารมณ์ด้านลบแล้วหาทางออกยังไม่ได้
ก็อาจต้องหาตัวช่วย เช่น หาคนรับฟัง การได้พูด ได้ระบายออกมาบ้าง
จะทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจนขึ้น
เมื่อจิตใจและอารมณ์ดีขึ้นก็พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าได้....
โดยที่ไม่ต้องมีใครมาแนะนำอะไรเลย
เรีบกว่าพบทางสว่างด้วยตัวเองโดยแท้จริง
......................................................................
การ “ไม่ให้อาหารอารมณ์ด้านลบ” เป็นการตัดวงจรด้านลบ
พอเราทำได้ คิดว่า “มันเป็นธรรมดา” ได้ “ให้อภัย” ตัวเองได้
จะเกิดอารมณ์ด้านบวกเช่น “ภูมิใจ” “สบายใจ” “ผ่อนคลาย”
ซึ่งป็นอาหารของทางเลือกด้านบวกแทน
และแน่นอนวงจรด้านบวกจะเกิดซ้ำๆ จะทำเวลาเราทำอะไรก็ตาม
ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองทำดู....แล้วมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
ตวาดลูกและตีลูกไปแล้วรู้สึกผิด....ตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก ไม่นานหลังจากนั้นก็ทำอีกแล้ว
รู้สึกเสียใจและโมโหตัวเองมาก….แล้วก็วนกลับมารู้สึกผิด
พอลูกหลับไปนั่งดูลูกแล้วร้องไห้ เสียใจ
..............................................
ฟังดูคล้ายๆ กับอีกหลายๆ เหตุการณ์ เช่น
......................................................
คนที่ลดน้ำหนักยอมอดอาหารแบบสิ้นเชิงได้หลายวัน...น้ำหนักเริ่มลด
แต่....อยู่ๆ ก็กลับมากินมากเหมือนเดิม กินมากกว่าเดิมอีก
แล้วก็รู้สึกผิด เครียด เครียดเสร็จก็ กิน กินแล้วก็อ้วนอีก
.......................................................
สาวๆ ที่ช้อบปิ้งแล้วกลับมารู้สึกผิด แล้วก็เครียด เครียดแล้วก็ไปเผลอช้อปอีก
.......................................................
ไล่ราคาหุ้น แล้วผิดทาง เลย cut loss ไปปุ๊บ....ราคาขึ้นปั๊บ
เสียใจว่าขายหมู ตั้งใจว่าจะไม่ไปซื้อหุ้นตัวเดิมอีกแล้ว
แต่อดไม่ได้แอบเปิดดูราคาซะหน่อย....ว๊าว (ใครมาไล่) ราคาขึ้นอีกแล้ว
อดไม่ได้ซื้อมั่งดีกว่า.....กะว่าถอนทุนคืน ซื้อปุ๊บ...ตกปั๊บ
(โธ่ไม่น่าเล๊ย......เมื่อวานเพิ่งอ่าน thaivi ตั้งใจว่าจะถือยาวซะหน่อย
หนังสือของ ดร.นิเวศน์ที่เพื่อนให้ยืมมาก็เพิ่งอ่านจบไปเมื่อต้นเดือนแต่ก็....)
รู้สึกผิด โมโหตัวเอง
ปัญหาหรือจุดบอดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ความไม่รู้...แต่น่าจะอยู่ที่การควบคุมอารมณ์มากกว่า
................................................
อยากบอกว่า ในทุกๆ วันที่ผ่านมาและที่ต้องพบเจอภายหน้า
มีเรื่องของการต้องเลือกมาเกี่ยวข้องเสมอ
ถ้าจัดกลุ่มเรื่องที่คนเรามักจะต้องเลือกอย่างหยาบๆ ไว้ 2 ด้าน
อาจแบ่งได้เป็น "ทางเลือกด้านบวก" และ "ทางเลือกด้านลบ"
ขออนุญาตอธิบายวงจรให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้นะคะ
.....................................................
“อาหารทางเลือกด้านบวก” คือ “อารมณ์ด้านบวก” ใครมีบ่อยๆ
ก็มักจะชักนำไปสู่การเลือก ทางเลือกด้านบวกได้บ่อยๆ
ส่วน “อาหารของทางเลือกด้านลบ” นั้นก็คือ “อารมณ์ด้านลบ” นั่นเอง
เช่นกัน ถ้าเกิดบ่อยๆ ก็มักจะนำไปสู่การพลาดไปเลือกทางเลือกด้านลบได้บ่อยกว่า
........................................................
หนึ่งในอารมณ์ด้านลบตัวสำคัญท่ำให้เกิดวงจรด้านลบที่สำคัญ คือ “ความรู้สึกผิด”
แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไรดีล่ะ?
.......................................................
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า...ที่เป็นสีน้ำเงินด้านบน คือ ตัวอย่างของวงจรด้านลบ
ถ้าใครทำไปคือคนไม่ดีใช่หรือไม่? ........คำตอบคือ “ไม่ใช่”
คนดีๆ เคยทำข้อผิดพลาดดังกล่าวหรือไม่?.... คำตอบคือ “บ่อยไป”
ดังนั้น การทำผิดพลาดไปบ้างนั่นเป็นเรื่องธรรมดามากๆ
เราจะก้าวข้ามมันไปได้ถ้าเรารู้จัก “ให้อภัย” ตัวเอง
..........................................................................
อยากให้ลองฝึกดูนะคะ ถ้ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะกับเรื่องการลงทุน หรือการเลี้ยงลูกนี่
เจตนาของเราในภาพรวมๆ หรือ “ภาพใหญ่” ....ต้องเป็นบวกและเป็นภาพที่ดีแน่นอน
(ดังที่ ดร.นิเวศน์กล่าวไว้....ในบทความที่คุณหมอ leky ได้นำมาแบ่งปันไว้ด้านบน)
เพียงแต่ระหว่างทางของการจะเดินไปสู่ภาพใหญ่นั้น
อาจมีบางครั้งคราวที่เราได้ทำพลาดไปบ้าง (คนอื่นๆ ก็เคยทำพลาด...มันเป็นธรรมดา)
ถ้าเรารู้เท่าทัน......เราก็จะให้อภัยตัวเองได้.....เมื่อเรารู้สึกดีขึ้น
จิตใจก็จะพร้อมที่จะเรียนรู้แนวทางที่จะนำไปสู่ "ภาพใหญ่"
ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.........................................................
บางคนมีบททดสอบที่ทำให้ชีวิตยุ่งยากกว่า
ก็อาจวิ่งวนไป วนมาอยู่หลายรอบหน่อย...ก็ไม่เป็นไร
เพราะบริบทของคนเราไม่เหมือนกัน
บางครั้งคราว ช่วงที่อยู่ในอารมณ์ด้านลบแล้วหาทางออกยังไม่ได้
ก็อาจต้องหาตัวช่วย เช่น หาคนรับฟัง การได้พูด ได้ระบายออกมาบ้าง
จะทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจนขึ้น
เมื่อจิตใจและอารมณ์ดีขึ้นก็พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าได้....
โดยที่ไม่ต้องมีใครมาแนะนำอะไรเลย
เรีบกว่าพบทางสว่างด้วยตัวเองโดยแท้จริง
......................................................................
การ “ไม่ให้อาหารอารมณ์ด้านลบ” เป็นการตัดวงจรด้านลบ
พอเราทำได้ คิดว่า “มันเป็นธรรมดา” ได้ “ให้อภัย” ตัวเองได้
จะเกิดอารมณ์ด้านบวกเช่น “ภูมิใจ” “สบายใจ” “ผ่อนคลาย”
ซึ่งป็นอาหารของทางเลือกด้านบวกแทน
และแน่นอนวงจรด้านบวกจะเกิดซ้ำๆ จะทำเวลาเราทำอะไรก็ตาม
ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองทำดู....แล้วมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ