VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 211

โพสต์

ใจใส เขียน:ใจเรานี่ไม่นิ่งจริงๆเลยค่ะ คิดโน่น นี่นั่น เรื่อยเปื่อย อนาคต อดีต ปนเปไปเรื่อย บางทีอยู่ดีๆก็รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่ทราบสาเหตุ สังเกตุได้ว่าเป็นได้ทุกเดือน ผู้หญิงจะลำบากหน่อยค่ะ ถ้าคุณผู้ชายโดนเหวี่ยงใส่ละก็พยายามเข้าใจหน่อยนะคะ

ช่วงนี้นั่งสมาธิแล้วไม่ค่อยได้เท่าไหร่พอมีอาการซ่า ก็จะรู้ตัวและรู้สึกจั๊กจี้เหมือนในทีวีที่ใช้แป้งตรางู ทีนี้ก็เริ่มคิดไปเรื่อยปรุงแต่งไปเรื่อยๆ สนุกสนานกับการปรุงไปจนออกสมาธิ อุตส่าห์ใช้ชื่อล๊อคอินนี้ เพราะจะได้เตือนตัวเองให้พยายามขัดเกลาจิตใจให้ใสเหมือนแก้วทุกวัน T_T (โธ่เอ๋ย..แค่นี้อิชั้นก็ทำไม่ได้) ปลายเดือนว่าจะไปฝึกวิชาใหม่ค่ะ

ฝันกันแม่นจังค่ะ ถ้าฝันเห็นหุ้นก็บอกๆกันด้วยนะคะ

พอมันปรุงหรือคิดไปเราก็ต้องตามดูมันไปครับ เผลอๆจิตอาจจะรวมตอนที่เราเห็นกระบวนการปรุงเลยนะครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 212

โพสต์

ใจใส เขียน: คุณTum_H ผ่านมาแล้ว จะเดินรอยตามเพื่อจะได้สัมผัสบ้าง
ผมเองก็ยังต้องฝึกอีกมากเช่นกันครับ สิ่งเร้ารอบข้างมีเยอะ เดี๋ยวสงบ เดี๋ยวไม่สงบ
ยังหาความแน่นอนไม่ได้

ทำให้มาก เจริญให้มาก ทำได้ทีละน้อย แต่บ่อยๆ เหนื่อยก็พัก จิตมีพลังก็เริ่มใหม่
สุขวิปัสสโก อาศัยความสุขเป็นบ่อเกิดแห่งความเพียร ไม่ฝืน ไม่ตึง ไม่หย่อน
บางทีขณะภาวนามีความคิดเกิดขึ้น คิดแล้วก็ปล่อยวางไป ปล่อยวางไป

เมื่อคิดมากๆเรื่องเข้า จิตก็เริ่มเมื่อยล้า กลายเป็นความสงบเข้าจนได้ หรือ หาก
คิดในแง่บวกหากจิตไม่สงบ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีของการสั่งสมความเพียร
เพราะหากนั่งหลับตาแล้วคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไป 1-2 ชั่วโมง ก็ถือ
ว่าเป็นการฝึกความอดทนที่ประสบความสำเร็จ เพราะกายจะได้มีความชาชินกับความเมื่อยล้า

บางทีนั่งไปก็ปวดหลัง ท้อ เหนื่อย เพราะจิตมัวแต่ยึดติดกับความอยากสงบ
เมื่อท้อและปล่อยวางไป จิตกลับเข้าสู่ความสงบ กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ
ลมหายใจแผ่วเบา ตัวเบา จิตนิ่ง จนรู้สึกว่าหยุดหายใจ

จิตเกิดความอัศจรรย์ในความบังเกิดของสมาธิ อัศจรรย์ในพระมหากรุณาธิคุณขององค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีใจปลื้มปีติ จนจิตหลุดของมาจากสมาธิ

เมื่อความยึดติดคือความอยากเกิด สมาธิก็ไม่บังเกิด ต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่
อยากสงบแบบนั้นอีก ก็หาความสงบไม่เจอ เมื่อความอยากหาย จิตก็กลับมาสงบอีก
ความอยากเกิด สมาธิก็ดับ

วนเวียนอยู่อย่างนั้น 3 เดือนสงบครั้งหนึ่ง หรือ นานๆที ความท้อย่อมบังเกิดควบคู่กับความ
อัศจรรย์ใจ จนกลายเป็นการสะสมความเพียรโดยไม่รู้ตัว
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Tibular
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 522
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 213

โพสต์

นั่งสมาธิมีสองแบบนะคับ ต้องแยกกัน
ไม่งั้นจะไปติดความว่างสงบกันหมด
ที่ว่า ว่างเบาสบาย สงบ อันนี้นั่งสมาธิเอาสมถะ
ไว้พักผ่อน สร้างกำลังใจ ไม่เกิดปัญญาอะไร
ยิ่งถ้าหลงไปกับสมถะ จะสร้างภพขึ้นมาใหม่ เป็นภพว่างๆนิ่งๆ
เป็นของว่าง ทั้งๆที่มันไม่ว่าง จิตมันไม่ว่างคับ จิตมันวุ่น

อีกแบบคือนั่งสมาธิแล้ววิปัสสนาไปด้วย
จิตตั้งมั่น เป็นแค่คนดู เห็นความปรุงแต่งต่างๆ
ผ่านเข้ามาผ่านไป เกิดขึ้น ดับไป อันนี้ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าให้ฝึกตรงนี้ คือเห็นทุกข์นั่นเอง
วิปัสสนาคืออะไร คือการมองเห็นความใจริงว่า
จิตมันวุ่น เป็นทุกข์ทนไม่ไหว จึงคิดนั่นคิดโน่น
ไม่เที่ยงเพราะผัสสะต่างๆ ความคิดและอารมณ์ก็เปลี่ยนไปตามสิ่งต่างๆ
ที่เข้ามากระทบอายตนะ มันกระทบปุ๊บเปลี่ยนเลย มันเปลี่ยนเพราะจิตบังคับไม่ได้
เป็นอนัตตานั่นเอง สิ่งเหล่านี้เราไม่รู้ตัวเลยคับ แล้วก็
จะทำให้เกิดกรรมการกระทำต่างๆขึ้น กรรมดี กรรมไม่ดี ตามความปรุงแต่งกันไป

ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติภาวนามาจะไม่เห็นตรงนี้ ต้องฝึกสติคับ ให้รู้กายรู้ใจ กายเคลื่อนไหวรู้
จิตไปคิด เกิดความพอใจ ไม่พอใจ เกิดความโลภ โกรธ หลง รู้ทันไป
ฝึกสมาธิให้จิตมีกำลังพอที่จะทันกิเลสเหล่านี้

กิเลสเหล่านี้คือตัวต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าให้ละ
ตัวสำคัญเลย โลภ โกรธ หลง รู้ตัวบ่อยๆจะละได้ ถ้าไม่รู้
เราจะหลงทำตามความโลภ โกรธ ไปไม่ได้ทำด้วยเหตุด้วยผล
นี่คือทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าสอน มันอยู่ตรงนี้
ไม่ได้หมายความว่าให้ทำอะไรกลางๆ ที่ว่าไม่ตึงไม่หย่อน
คือไม่เพ่ง ไม่เผลอ คนทำสมาธิเก่งๆ จะเพ่งจนนิ่งไปหมด
แต่คนที่นั่งสมาธิแล้วฟุ่งซ่านจะท้อไปเลย จริงๆฝึกสมาธิ
ไม่ได้เอานิ่ง เอาสงบ แต่เอากำลังไว้ดูว่าจิตมันวุ่นจริงไหม
เดินจงกลม หรือกายเคลื่อนไหวต่างๆไว้ดูกายว่ามันไม่เที่ยงจริงไหม
กระพริบตาเพราะอะไร หายใจเพราะอะไร นั่งแล้วเมื่อยขยับทำไม
นั่งแล้วคัน มือไปเกาทำไม เกินแล้วเมื่อยรู้ไหม นั่งจนเมื่อยต้องเปลี่ยนท่าทำไม
เวลานอนพลิกตัวทำไม พวกนี้คือ กายเป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์ กายไม่เที่ยง ใจไม่เที่ยง
กายบังคับไมได้ ใจบังคับไม่ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั่นเอง

แล้วจะละทำไมกิเลสต่างๆ ก็เพื่อเราจะได้รู้ตัวอ่ะนะคับ
ถ้ารู้ไม่ทันจะตกอยู่ในสิ่งเหล่านี้ตลอดชีวิตเลยอ่ะคับ
เกิดปุ๊บพาเราเปลี่ยนไปเลย เช่น เห็นสิ่งที่ไม่ชอบปุ๊บ เราเกลียดเลย
เห็นสิ่งที่น่ารักปุ๊บ ชอบเลย เห็นอาหารที่น่าทานปุ๊บ น้ำลายไหลเลย

แล้วมันไม่ดีตรงไหน ก็ตรงที่ว่า ความคิดเราเปลี่ยนปุ๊บ การกระทำ
ทางกาย วาจา ใจ มันเกิดปั๊บ ถ้าเป็นสิ่งดี เราก็ดีไป ถ้ามันไม่ดี เราก็รับไป
แต่คราวต่อไปล่ะ ถ้าเราหลงตามกิเลสไปเรื่อยๆ จะฉุดเราลงต่ำดำดิ่ง
ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งโกรธ ยิ่งโลภ สะสมไม่สิ้นสุดไปตามความอยากนั่นแหละ ไม่มีวันมีความสุข
และความอยากจะไปปรุงแต่งสิ่งอื่นๆอีกมากมาย ปรุงแต่งความคิดเราให้หนีจาก
ความจริงไปอีก ปรุงแต่งความคิดคนรอบข้าง กระทบกันไปเรื่อยๆ
จนเป็นผลใหญ่ที่ไม่ดีในสังคม ประเทศ โลก เดือดร้อนกันไป

หลายๆคนพอรู้ตัวก็แก่ซะแล้ว ใกล้ตายแล้วก็มานั่งเสียใจถึงสิ่งที่เคยทำผิดพลาด
เผลอๆหลายๆคนพอแก่ก็ไม่รู้ตัว ตายไปทั้งไม่รู้ตัวนั่นแหละ
หลงไปตั้งแต่เกิดจนตาย ลองสังเกตุคับ เวลาแก่ๆตัวกันไปยิ่งมีมานะ ยึดมั่นถือมั่น
มีความคิดที่ไม่เชื่ออะไร แถมไม่สนใจเหตุผล เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่

ปฏิบัติไว้ให้มาก
ศีล (เป็นเครื่องอยู่ไม่ให้กาย วาจา ใจ ฟุ้งซ่านตามกิเลสจนกระทบเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น)
สติ สมาธิ (เป็นเครื่องมือให้ทันกิเลส มีกำลังจะหยุดไม่ตามกิเลสไป)
ปัญญา (เป็นเครื่องรู้ตื่น ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ว่ามันทนไม่ไหว ไม่เที่ยง มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับบัญชาไม่ได้)
- ปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความฉลาดในวิชาการทางโลกนะคับคนละอย่างกัน

พวกเราโชคดีมากที่ได้เกิดในแผ่นดินที่มีธรรมดำรงอยู่
เพียงแต่ต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกสมควรแก่ธรรม แล้วชีวิตเราจะดีขึ้นๆตามกำลังความสามารถ
อยู่ในโลกอย่างมีความสุข มีปัญญา มีเป้าหมายในชีวิต เพื่อประโยชน์ตัวเอง และผู้อื่นจริงๆ

ลองดูนะคับแล้วจะทึ่งว่า มันจริงนะ ไม่งมงาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 214

โพสต์

Tibular เขียน:นั่งสมาธิมีสองแบบนะคับ ต้องแยกกัน
ไม่งั้นจะไปติดความว่างสงบกันหมด
ตรงนี้ขอนำคำของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่ท่านได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจดังนี้ครับ

“สมถะ (สมาธิ) เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องเอาให้ได้ เพราะมันเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา อย่าไปกลัวจิตมันจะติดความสงบ ติดสมถะ ขอให้จิตมันมีสิ่งที่ติดเอาไว้ก่อน เวลานี้เราเริ่มต้นภาวนา ก็คล้ายๆ กับว่าเรากำลังเริ่มทำมาค้าขายเพื่อความเป็นเศรษฐี แต่พอเริ่มจะลงมือค้าขายก็กลัวจะเป็นเศรษฐีก่อนแล้ว เมื่อไรมันจะได้เป็นเศรษฐีสักที กำลังจะเริ่มภาวนาแล้วก็กลัวจิตไปติดสมถะ แล้วเมื่อไรจะได้สมถะสักที เพราะฉะนั้น โดยหลักความจริงแล้ว สมาธิคือสมถะ ไม่มีสมาธิก็ไม่มีฌาน ไม่มีฌานก็ไม่มีญาณ ไม่มีญาณก็ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาก็ไม่มีวิปัสสนา ไม่มีวิปัสสนาก็ไม่มีวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริง…”

และท่านยังให้แง่คิดอีกอย่างคือการดูจริตของตนด้วยว่า ควรจะเริ่มจากสมถะ หรือ วิปัสสนา ตามความถนัดแห่งตน

และขอยกพระบาลี เมื่อครั้งที่พระสารีบุตร นำศิษย์ไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครู เนื้อความดังว่า


ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไร ทราบมาว่าลูกศิษย์ของท่านรูปนี้ ในอดีตชาติได้กำเนิดในเรือนช่างทองถึง ๕๐๐ ชาติ อสุภกรรมฐานจึงไม่เหมาะสมแก่ภิกษุรูปนั้นเพราะจิตท่านคุ้นเคยอยู่กับความงามคือทองคำ ๔ เดือนแล้วในกรรมฐาน แต่สัทธิวิหาริกไม่สามารถทำแม้แต่นิมิต พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงไม่รู้อาสยะคืออัธยาศัยและอนุสัยคือกิเลสอันสืบเนื่องอยู่ในสันดานของสัทธิวิหาริกของท่าน เพราะความที่ตนไม่มีอาสยานุสยญาณจึงให้กรรมฐานผิด โดยบอกอสุภกรรมฐานซึ่งไม่เป็นสัปปายะแก่สัทธิวิหาริกของท่าน
พระธรรมเสนาบดีเมื่อไม่สามารถทำลูกศิษย์ให้บรรลุอรหันต์ได้จึงคิดว่า ภิกษุนี้คงเป็นพุทธเวไนย (บุคคลที่พระพุทธเจ้าแนะนำเท่านั้น) จึงนำภิกษุรูปนั้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเนรมิตสระโบกขรณีขึ้นมา ทรงเนรมิตกอปทุมใหญ่และได้ทรงเนรมิตดอกปทุมใหญ่ขึ้น แล้วทรงรับสั่งให้ภิกษุรูปนั้นนั่งพิจารณาดอกปทุมนี้ จากนั้น พระองค์ได้เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี
ภิกษุนั้นนั่งเพ่งพิจารณาดอกปทุม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้พระฤทธิ์บันดาลให้ดอกปทุมนั้นแห้งเหี่ยวและเปลี่ยนสีไป กลีบก็เริ่มร่วงหล่นจนเหลือแต่ฝักบัว ภิกษุนั้นเห็นจึงใคร่ครวญว่า เมื่อครู่ดอกปทุมยังดูสีสวยสดงดงาม ไม่นานก็ดำคล้ำและกลีบเกสรก็ร่วงหล่น โอ้หนอความชรายังปรากฏเกิดได้แม้แก่ดอกปทุมเห็นปานนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฉนชราจะไม่เกิดขึ้นแก่ร่างกายของเราเล่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ท่านเริ่มเจริญวิปัสสนาไปโดยธรรมชาติ

ไม่ได้แย้งนะครับ แต่ก็เป็นการฝึกให้เหมาะกับจริตของแต่ละคน ตามนิสัยวาสนา :D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Tibular
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 522
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 215

โพสต์

สาธุคับที่นำคำสอนของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย มาบอกกล่าว

แต่ขอขยายความนะคับ

ฝึกสมถะสมาธิพอจิตตั้งมั่นแล้ว มีกำลังพอ จิตนิ่งสงบ ให้น้อม
มาดูกาย มาดูใจ ว่ามันเปลี่ยนแปลง ทนไม่ไหว บังคับไม่ได้จริงไหม
อันนี้ให้มันรู้ให้มันเห็นถึงจิตถึงใจจริงๆ จนจิตละตัวอุปาทานขันธ์ได้เป็นระดับๆไปนะคับ

ไม่ได้ว่าการฝึกสมถะไม่ดี แต่อย่าฝึกจนจิตนิ่ง ไม่งั้นจะไม่เกิดปัญญา เพราะว่า
จะว่าง จะนิ่ง จะสงบ จนไม่เห็นความจริงของสภาวะธรรมต่างๆนั่นเอง
ให้ถอยออกมาดูกายดูใจด้วยถึงจะเกิดมรรคเกิดผล

ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
1. อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์
2. ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ

ถ้าจะละกิเกสด้วยการทำสมาธิต้องมีสติกำกับอยู่เสมอ
ไม่เคลิ้ม ไม่เยิ้ม ไม่หลงนิมิต

จากสัมมาสมาธิในมรรค พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้
องค์ฌาณมี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา อุเบกขา

ลักษณะของสัมมาสมาธิ
1. จิตสงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากกรรมที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลาย
เข้าถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก
(เกิดองค์ฌาณขึ้น)

2. เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน
ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ
(รู้เห็นความเกิดดับของวิตกวิจาร)

3. เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ
และเสวยสุขด้วยนามกาย มีสติ อยู่เป็นปรกติสุข เข้าถึงตติยฌาน
(รู้เห็นความเกิดดับของปิติ)

4. เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
(รู้เห็นความเกิดดับของสุข จิตจึงเข้าใจจนละตัวทุกข์ได้ จึงวางอุเบกขาต่อทุกข์)

เมื่อวางตัวทุกข์ได้จิตจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว

หรือถ้าอยากดูต่อก็ทำต่อได้ในขั้นของอรูปฌาณแต่ผลก็เหมือนกันคือ
เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั่นเอง จนจิตยอมรับความเป็นจริงเหล่านี้
คลายความอยาก ความยึดมั่นถือมั่นไปเอง

การทำสมาธิให้ได้รูปฌาณสามถึงสี่หรืออรูปฌาณหาได้ยากมากในเพศฆราวาส
ได้ฌาณหนึ่งหรือสองก็สุดยอดแล้วละคับ

พอได้สมาธิจิตตั้งมั่นพอแล้ว ออกมาดู กาย เวทนา จิต ธรรม ดีกว่า สำหรับฆราวาส

จะได้เกิดมรรค เกิดผลบ้าง คลายความยึดมั่นถือมั่นได้บ้าง

อยากให้อ่านต่อในเวบนี้คับ อธิบายได้ดี
http://www.nkgen.com/367.htm
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 216

โพสต์

ฟังตรงตรงจากพระพุทธเจ้าครับ

[๒๓๓] สมาธิภาวนา ๔ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมมีอยู่ ฯ

๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่ ฯ

๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะมีอยู่ ฯ

๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายมีอยู่ ฯ
ไม่ประมาท
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 217

โพสต์

พุทธวจนะ
“สมาธึ ภิกขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ”
ภิกษุทั้งหลาย เธอจงยังสมาธิให้เกิดเถิด ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง"

"ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เป็นไฉน ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ห้าว่า ดังนี้รูป ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูปดังนี้ความดับแห่งรูป
ดังนี้เวทนา ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา ดังนี้ความดับแห่งเวทนา
ดังนี้สัญญา ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา ดังนี้ความดับแห่งสัญญาดังนี้สังขาร
ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร ดังนี้ความดับแห่งสังขาร
ดังนี้วิญญาณดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลายสมาธิภาวนานี้ อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ฯ"

=============
นั่งสมาธิก็จะเห็นเกิดดับง่ายขึ้น
สมาธิระดับต่างๆไม่ได้วัดความเป็นอริยะบุคคล แต่ช่วยให้เห็นการเกิดดับของขันธ์ 5 ชัดเจน
ไม่ประมาท
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 218

โพสต์

ใจใส เขียน:ใจเรานี่ไม่นิ่งจริงๆเลยค่ะ คิดโน่น นี่นั่น เรื่อยเปื่อย อนาคต อดีต ปนเปไปเรื่อย บางทีอยู่ดีๆก็รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่ทราบสาเหตุ สังเกตุได้ว่าเป็นได้ทุกเดือน ผู้หญิงจะลำบากหน่อยค่ะ ถ้าคุณผู้ชายโดนเหวี่ยงใส่ละก็พยายามเข้าใจหน่อยนะคะ
ความไม่นิ่งถูกต้องแล้วครับ เป็นธรรมชาติ ของ จิต ที่จะเิกิดดับในขันธ์ทั้ง 4
จิต ไม่ใช่เรา เรามานั่งสมาธิ ก็เพื่อให้เห็นว่าจิต เกิด ดับ ไปมา ยืนยันโดยคำตถาคต

"จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
บ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉัน
นั้นแล ฯ"


พอหลุดไปคิดอนาคต (สังขาร)
คิดอดีต (สัญญา)
หงุดหงิด(เวทนา)
ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจ (รูป หรือ กาย)
แล้วเห็นการเิกิดดับของขันธ์ทั้ง 5 ในองค์ฌานนั้นๆ ทำแค่นี้ไปจนนิพพานได้เลย
ไม่ต้องตะกายทำอย่างอื่นนะครับ พระพุทธเจ้าตรัส

"ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ อีกแล้ว ฯ" เห็นแค่ เวทนา เิกิดดับ ก้อไปยันนิพพานได้

"ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึง เห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าว ว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ" อย่าไปตะกายนะครับ ท่านห้ามไว้แล้วด้วย

ท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า เป็น อริยสาวก (ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป) ครับ นี่แหละเป็นความรู้ของโสดาบันครับ เรื่องอสาธารณญาณ ที่จะเห็นว่า วิญญาณไม่เวียนเลยไปจากขันธ์ทั้ง 4

ใจใส เขียน: ช่วงนี้นั่งสมาธิแล้วไม่ค่อยได้เท่าไหร่พอมีอาการซ่า ก็จะรู้ตัวและรู้สึกจั๊กจี้เหมือนในทีวีที่ใช้แป้งตรางู ทีนี้ก็เริ่มคิดไปเรื่อยปรุงแต่งไปเรื่อยๆ สนุกสนานกับการปรุงไปจนออกสมาธิ อุตส่าห์ใช้ชื่อล๊อคอินนี้ เพราะจะได้เตือนตัวเองให้พยายามขัดเกลาจิตใจให้ใสเหมือนแก้วทุกวัน T_T (โธ่เอ๋ย..แค่นี้อิชั้นก็ทำไม่ได้) ปลายเดือนว่าจะไปฝึกวิชาใหม่ค่ะ

ฝันกันแม่นจังค่ะ ถ้าฝันเห็นหุ้นก็บอกๆกันด้วยนะคะ
อาการซ่าเป็น ปิติครับ ยืนยันโดย พระพุทธเจ้า

๑. ภิกษุ ท !ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศล ธรรม
ทั้งหลาย จึงบรรลุ ฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
เธอ ประพรมกายนี้ทำให้ชุ่มทั่ว ชุ่มรอบ เต็มรอบ ด้วยปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก นั้น ,
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกนั้น ไม่ถูกต้อง
แล้ว มิได้มี.
ภิกษุ ท !เปรียบเหมือน นายช่างอาบ ก็ดี หรือลูกมือของเขาก็ดีเป็น คนฉลาด
โรยผงที่ใช้สำหรับถูตัวในเวลาอาบน้ำลงในขันสำริด แล้วพรมน้ำหมักไว้ , ครั้นเวลา
เย็น ก้อนผงออกยางเข้ากัน ซึมทั่วกันแล้ว จับกันทั้งภายในภายนอก ไม่ไหลหยด ฉัน
ใด; ภิกษุ ท !ภิกษุนั้น ประพรมกายนี้ทำให้ชุ่มทั่ว ชุ่มรอบ เต็มรอบ ด้วยปีติและสุข
อันเกิดแต่วิเวก , ส่วนใดส่วนหนึ่ง ของกายเธอ ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก ไม่
ถูกต้องแล้ว มิได้มี , ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุ ท ! นี้คือ การเจริญสัมมาสมาธิ ที่
ประกอบด้วยองค์ห้าอันเป็นอริยะ ประการที่หนึ่ง .

ใจใส เขียน:ใจเรานี่ไม่นิ่งจริงๆเลยค่ะ คิดโน่น นี่นั่น เรื่อยเปื่อย อนาคต อดีต ปนเปไปเรื่อย บางทีอยู่ดีๆก็รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่ทราบสาเหตุ สังเกตุได้ว่าเป็นได้ทุกเดือน ผู้หญิงจะลำบากหน่อยค่ะ ถ้าคุณผู้ชายโดนเหวี่ยงใส่ละก็พยายามเข้าใจหน่อยนะคะ
ให้ทำตามพระสูตรด้านล่างนี้ครับ จะเข้านิพพานได้เลย มาถูกทางแล้วครับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาส
นัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง ฯ
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา
เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิย-
*สังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วย
หญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ
ได้แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล สงัดจากกาม ฯลฯ
บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ ... ว่างเปล่าเป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้น
แล้วย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบ
แห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็น
อุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ข้อที่
เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะ
อาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ
ไม่ประมาท
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 219

โพสต์

http://www.youtube.com/watch?v=iVyaLAEo0Zk[/youtube]

ผมฟังจากพอจ คึกฤทธิ์ครับ ท่านยกคำพระพุทธเจ้า ไม่มีคำสอนของตัวเอง

้http://www.watnapp.com/book

ถ้าอยากได้แต่คำพระพุทธเจ้าล้วนๆ โหลดได้ครับ อ่านเองได้ครับ เปิดหมด ไม่มีกั๊กตำรากันเลยครับ
มีข้อแย้งใดๆ อย่าให้มาบังคำสอนที่ถูกต้องตรงๆจากศาสดาของเราเองเลยครับ

พระธรรม เป็นสิ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ
พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตนดังนี้.



โหลดเล่ม อานาปานสติ ก็ได้ครับ

ศาสดา =ผู้บัญญัติคำสอน
สาวก=ผู้ฟังคำสอน

"ภิกษุทั้งหลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้
เกิดขึ้น ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็น
มรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค)
เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค)
. ภิกษุทั้งหลาย! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้
เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง
.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมาย
ที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมา-
สัมพุทธะกับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตติ"
เครดิต พระพุทธเจ้า
ไม่ประมาท
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 220

โพสต์

วิธีเข้านิพพานคือ อานาปานสติ นี่แหละครับ รู้แค่ลมเข้า ลมออก ไปเรื่อยๆ

http://www.youtube.com/watch?v=AvMTEOx9VRI <- video ลมหายใจไปวิมุตติ์

ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญ
ทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้;
คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน
หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี.

วิธีทำก็นั่งรู้ลมเข้าออก ห้าม พุทธ ห้ามโธ ห้ามยุบ ห้ามพอง เด็ดขาด ให้นั่งรู้ลมเข้าลมออก เกินพอครับ

"อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ
๒ ประการ
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญ
กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้ว
อย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า
หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า
มีสติหายใจออก :
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;"
(มีต่อ) .............

credit: ตถาคต
ไม่ประมาท
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 221

โพสต์

ทางเดินมีหลายทางครับ แล้วแต่จริตของแต่ละคน
บางเส้น อาจเรียบง่าย บางเส้นทางอาจขรุขระ กันดาร ลำบาก แต่อยู่ที่ตัวเราเลือกเดินให้ถูกกับจริตเรา
อย่าไปห้ามคนอื่นเลยว่า ทางแบบนี้อย่าเดิน ทางแบบนี้อย่าไป หากเขาเดินไปแล้วไม่ถูกใจก็อาจหันกลับมาเลือกเส้นทางใหม่ได้เอง

การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน !
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Kop 71
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 222

โพสต์

ชอบ...ไม่ชอบ...

ดี...เลว...

ดำ...ขาว...

ธรรมะ...ธรรมดา...ธรรมชาติ...


เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 223

โพสต์

ใครจะแอดเฟซมาคุยกันได้นะคับ modhuhu คับ
ไม่ประมาท
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 224

โพสต์

"คนเราเกิดมาในเมืองมนุษย์ต้องพบมนุษย์อยู่ร่ำไป
พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ด้วยความสงบวิเวกด้วยใจ
อย่าไปยึดเอาเรื่องของคนอื่นมาไว้เป็นอารมณ์ของใจ
แล้วก็จะวิเวกอยู่คนเดียว
ถ้าใจไม่สงบแล้ว จะอยู่ในป่าคนเดียว มันก็ไม่สงบอยู่ดีๆ นั้นเอง"


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


อ่านแล้วรู้สึกมีพลังในการทำงานและใช้ชีวิตครับ

:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Kop 71
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 225

โพสต์

วิถีพุทธ วิถีแห่งสากลอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าชาวตะวันตกสักคนหนึ่งจะเข้าถึงแก่นแท้แห่งพุทธศาสนา
อาจไม่ใช่เรื่องยากเกินเป็นไปได้
ในเมื่อพุทธศาสนานั้นมิใช่ศาสนาแห่งความเชื่อ
หากแต่เป็นศาสนาแห่งการแสวงหาพระฝรั่งวัดป่ารูปหนึ่งประกาศกล่าวอย่างหนักแน่นไว้ในเบื้องแรกว่า
การได้พบวิถีพุทธ คือความเป็นที่สุดแห่งชีวิตของท่าน เป็นความพอ และความพอดีเวลาผ่านมานานร่วมสามสิบปี
หลังจากเดินทางออกจากประเทศอังกฤษแผ่นดินเกิด มายังประเทศไทยเพื่อบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา

ท่านชยสาโรภิกขุ ได้ปวารณาตนเป็นศิษย์หลวงพ่อชา
ปัจจุบันจำพรรษาเพียงลำพังในที่พักสงฆ์ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
วิถีแห่งพุทธยังคงเป็นที่สุดแห่งชีวิต หากแต่มีรายละเอียดและความหมายใหม่ๆ
ในการเข้าถึงสารัตถะด้วยการไตร่ตรอง เพ่งพินิจ
ท่านประจักษ์แจ้งว่า พุทธศาสนาเป็นระบบการศึกษา
เป็นระบบการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในโลกมนุษย์
เป็นระบบการศึกษาที่พาดิ่งลึกเข้าไปในตัวตนอันกว้างใหญ่แห่งทุกข์
เป็นการศึกษาเพื่อมุ่งพัฒนาชีวิตในทุกๆ
ด้านเมื่อพุทธศาสนาเป็นระบบการศึกษา ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้หรือที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาสมัยใหม่
ท่านได้แสดงทัศนะเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน
พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจมองย้อนกลับไปยังหนทางความรุนแรงของมนุษย์ในประวัติศาสตร์
จุดเริ่มต้นมาจากความเชื่อ มิได้มาจากการไตร่ตรอง การแบ่งแยกจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากจะมีหนทางใดที่พามนุษย์พ้นไปเสียจากความแตกต่างนั้นแนวทางนั้น
ย่อมมีความเป็นสากลอย่างที่สุดในความเป็นสากลแห่งพุทธศาสนา
สำคัญต่อระบบการศึกษา จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ
เกื้อหนุนการพัฒนาชีวิต นำไปสู่สัมมาทิฐิ
ลดความรุนแรงยุ่งเหยิงบนโลกแต่เหตุใดกันเล่า
ผู้คนที่ถือกำเนิดในแผ่นดินที่ความจริงสากลสำคัญนี้หยั่งราก
จึงเคยคิดกังวลแต่เพียงว่าสิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ!!
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 226

โพสต์

เคยอ่านเจอพระฝรั่งหลายรูปเหมือนกันครับ ที่ท่านมาอยู่เมืองไทยและฝึกปฏิบัติที่บ้านเรา
บางท่านก็ว่าที่เปลี่ยนศาสนาก็เพราะที่บ้านเมืองท่านพระเริ่มหายาก หรือ สถานที่ให้ทำกิจกรรม
ก็น้อยลง คงเป็นเพราะความเจริญทางวัตถุที่มากขึ้นทำให้การขยับขยายทำได้ลำบากขึ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่พระอาจารย์หลายท่านกล่าวไว้ตรงกันก็คือ ฝรั่งไม่ได้เก่งแต่ด้านวัตถุอย่างเดียว
แต่เรื่องการฝึกจิตก็ใช่ย่อยซะที่ไหน เพราะการพัฒนาด้านวัตถุให้ดีได้ ก็ย่อมมาจากจิตที่เข้มแข็ง
คือการรู้จักเจริญปัญญานั่นเอง

จึงมักจะได้ยินบ่อยๆว่าในอนาคตข้างหน้า พระศาสนาจะไปเจริญรุ่งเรืองที่แถบโน้น ซึ่งก็คงเหมือน
ในปัจจุบันที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่บ้านเรา


:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 227

โพสต์

tum_H เขียน:เคยอ่านเจอพระฝรั่งหลายรูปเหมือนกันครับ ที่ท่านมาอยู่เมืองไทยและฝึกปฏิบัติที่บ้านเรา
บางท่านก็ว่าที่เปลี่ยนศาสนาก็เพราะที่บ้านเมืองท่านพระเริ่มหายาก หรือ สถานที่ให้ทำกิจกรรม
ก็น้อยลง คงเป็นเพราะความเจริญทางวัตถุที่มากขึ้นทำให้การขยับขยายทำได้ลำบากขึ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่พระอาจารย์หลายท่านกล่าวไว้ตรงกันก็คือ ฝรั่งไม่ได้เก่งแต่ด้านวัตถุอย่างเดียว
แต่เรื่องการฝึกจิตก็ใช่ย่อยซะที่ไหน เพราะการพัฒนาด้านวัตถุให้ดีได้ ก็ย่อมมาจากจิตที่เข้มแข็ง
คือการรู้จักเจริญปัญญานั่นเอง

จึงมักจะได้ยินบ่อยๆว่าในอนาคตข้างหน้า พระศาสนาจะไปเจริญรุ่งเรืองที่แถบโน้น ซึ่งก็คงเหมือน
ในปัจจุบันที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่บ้านเรา


:D

เท่าที่เคยเจอฝรั่งมาผมว่าน่าจะจริงนะครับ เพราะสังเกตุดูหลายๆครั้งเช่นเมื่อประมาณปี45ผมได้ไปเที่ยวที่อินเดียเจอฝรั่งสัญชาติอังกฤษ แกเป็นหมอ นับถือศาสนาพุทธ ดูท่าทางแกจะสนใจการนั่งสมาธิมาก คุยกับผมอยู่สัก2-3วันได้เพราะเราซื้อทัวร์ขี่อูฐไปในทะเลทรายแถวจัลไซเมอร์ด้วยกัน ผมเห็นแกสนใจมากเลยให้ที่อยู่ของวัดป่านานาชาติไปเพราะคิดว่าพระฝรั่งคงสื่อสารกับแกได้ดีกว่าผม
ตอนผมไปเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่บุญฤทธิ์ที่วัดป่าน้ำตกประมาณปี48-49(พระนิมนต์ท่านไป)เจอฝรั่งเยอะมากๆ บางคนก็มาบวชชีหลายๆปีแล้ว บางคนก็มาจากอเมริกาใต้ก็มี
ผมว่าพวกฝรั่งบางคนนี่ถ้าสนใจอะไรแล้วผมว่าเค้าสุดๆจริงๆนะ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 228

โพสต์

ช่วงนี้ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับการสึกของพระชาวต่างชาติรูปหนึ่ง ซึ่งผมเองก็เคยเห็นกิจกรรม
จำนวนมากที่ท่านทำอยู่ ใจหายไปเหมือนกันครับ

แต่ผมเองเคยอ่านเรื่องในสมัยพุทธกาลก็มีเหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้นบ่อยอยู่เหมือนกัน
จึงขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ

มีภิกษุรูปหนึ่งบวชในสมัยสมเด็จพระโคดมพุทธเจ้า แต่เนื่องจากก่อนท่านบวช ท่านเคยมีครอบครัว
มาก่อน ดังนั้นเมื่อท่านบวชแล้ว ภรรยาของท่านก็ยังคงตามมาหาและขอร้องให้ท่านลาสิกขา
ด้วยความสงสารและใจอ่อน ท่านจึงลาสิกขาไป ท่านทำอย่างนี้ถึง 6 ครั้ง คือ บวชแล้วสึกๆ จน
เมื่อวันหนึ่ง ขณะที่ภรรยาท่านหลับ ท่านได้เห็นสภาพที่ไม่น่าดูคือ เสื้อผ้าหลุดรุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง
น้ำลายไหล อ้าปากหวอ ดูแล้วไม่น่าดูชม จึงทำให้ท่านคิดได้ และกลับไปบวชครั้งที่ 7 ซึ่งการบวช
ครั้งนี้ ก็กลายเป็นการบวชครั้งสุดท้ายของท่าน เพราะท่านได้บรรลุอรหันต์ในที่สุด

อีกเรื่องหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง ก่อนบวชเคยเป็นชาวไร่ชาวนามาก่อน เมื่อบวชแล้ว พอถึงฤดูกาลเพาะปลูก
ท่านก็เห็นเมล็ดพันธุ์ที่ท่านเคยเก็บไว้ เกิดความเสียดายเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น เลยลาสิกขาออกมาเพาะปลูก
ตามเดิม ทำอยู่อย่างนี้ 6 ครั้ง 6 ฤดู คือ บวชแล้วสึกๆ จนครั้งที่ 7 ท่านได้เห็นว่า หากยังเป็นอย่างนี้อยู่
คงต้องสึกออกมาเพาะปลูกอยู่เรื่อยๆ ท่านจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ คือ นำเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่เก็บไว้
ไปโยนทิ้งลงในแม่น้ำ แล้วร้องออกมาด้วยความยินดีว่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว หลังจากนั้นท่านจึงกลับ
ไปบวชและได้บรรลุธรรมในที่สุด



:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 229

โพสต์

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เข้าถึงยาก ขนาดคนไทยที่เข้าใจภาษาได้ละเอียดกว่าชาวต่างชาติยังสู้กิเลสแทบไม่ไหวได้ธรรมะกันน้อยมาก ส่วนชาวต่างชาติบวชกว่าจะเข้าใจภาษาและยังต้องสร้างพื้นฐานที่แตกต่างจากภูมิลำเนาของตัวเองยิ่งยากเข้าไปใหญ่ไหนต้องศึกษากันมากกว่าคนไทย ไหนต้องสู้กับกิเลส
ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจที่พระภิกษุชาวต่างชาติบางรูปที่บวชนานๆแล้วต้องสึกออกไป
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 230

โพสต์

ผมกลับมองไปอีกมุมนึงครับ
ถ้าท่าน"สำเร็จกิจ"ของท่านเองแล้ว
แล้วยังมีเมตตาใน"กิจของเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก"
แต่เล็งเห็นว่า"เครื่องแบบและวินัย"อาจทำให้กิจเพื่อส่วนรวมทำได้ไม่เต็มที่กระมังครับ

นอกเครื่องแบบกะนอกรูปแบบ ก็อาจทำประโยชน์ได้มากกว่า
ส่วนเรื่องความบริสุทธ์ของใจ ต่างคนต่างรู้ตัวเองกันดีอยู่
เดาเอาครับ มองผิดๆอาจบาปมากๆ ขอขมาทุกท่านไว้ณ.ที่นี้ด้วย
samatah
Joi
Verified User
โพสต์: 2848
ผู้ติดตาม: 1

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 231

โพสต์

ผมสงสัยอยู่ 2 อย่างยังคาใจครับ รบกวนผู้รู้ด้วยครับ

- เราไม่อยากฆ่าสัตว์ แต่ถ้าปลวกขึ้นบ้าน เราไม่กำจัดมันบ้านเราก็พัง ผมถามเพื่อนมันบอกว่าก็ปล่อยให้มันกินไป อย่าไปฆ่ามัน
แต่สุดท้ายผมก็จำใจกำจัดมันครับ จริงๆควรทำไงไม่บาปครับ

- บ้านเราๆเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แต่คนศาสนาอื่นๆก็เชื่อของเขา ผมสงสัยว่านรก สวรรค์ มีแบ่งแยกตามศาสนา หรือแบ่งตามประเทศ
บ้างไม๊ เพราะต่างความเชื่อกัน

ขอบคุณครับ :B
"การหลอกคนร้อยคนให้เชื่อ นั้นง่ายกว่าการสอนคนหนึ่งคน ให้เข้าใจ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 232

โพสต์

Joi เขียน: - เราไม่อยากฆ่าสัตว์ แต่ถ้าปลวกขึ้นบ้าน เราไม่กำจัดมันบ้านเราก็พัง ผมถามเพื่อนมันบอกว่าก็ปล่อยให้มันกินไป อย่าไปฆ่ามัน
แต่สุดท้ายผมก็จำใจกำจัดมันครับ จริงๆควรทำไงไม่บาปครับ
เป็นคำถามที่ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันครับ

ข้อแรก ถามว่าบาปไหม ก็ต้องตอบว่าบาปครับ เพราะมีเจตนาในการฆ่าชัดเจน แต่ถ้าถามว่าปลวกมันรู้ไหมว่ามันกำลังทำบ้านเราพัง ผมคิดว่ามันไม่น่าจะรู้นะ เพราะมันคงคิดว่ามันกำลังกินอาหารของมัน

ผมก็ไม่รู้ว่ามีพืชสมุนไพรอะไรบ้างที่ปลวกมันไม่ชอบ แล้วเราเอาไปทาตามบ้าน พอจะช่วยไล่มันไปได้ไหม แต่ที่บ้านผมก็มีการทายากันปลวกในตอนสร้างใหม่ๆ จนล่วงเลยมาเป็นสิบปี ยาคงเสื่อม เลยกลายเป็นอาหารของเขาซะงั้น ก็ได้แต่ดูแลรักษาไปเรื่อยๆ แม่บอกว่าถ้าเจอตัวก็จะอันเชิญออกจากบ้านไปครับ

ในสมัยพุทธกาล มีคนถามว่าฆ่าสัตว์เพื่อถวายพระพุทธเจ้าบาปไหม ในพระบาลีกล่าวดังนี้ครับ
“การฆ่าสัตว์เพื่อถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกของพระองค์นั้นบาปมาก คือบาปตั้งแต่สัตว์นั้นถูกนำตัวมาทีเดียว ไม่เพียงแต่ผู้ฆ่าหรือผู้สั่งให้ฆ่าจะเกิดบาปเท่ากัน แม้สัตว์ที่ถูกนำมาฆ่าก็เกิดบาป คือเกิดอกุศลจิตคิดกลัวภัย กลัวตาย ได้รับทุกข์โทมนัสมาก ทั้งในเวลาที่ถูกนำตัวมาและในเวลาที่ถูกฆ่า และด้วยอกุศลจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น อาจทำให้สัตว์นั้นไปเกิดในอบายได้อีกด้วย นับว่าน่าสงสารมาก เพราะฉะนั้นอย่าฆ่าเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเลย ไม่ว่าฆ่าเล่น ฆ่าเอามากิน หรือฆ่าเพื่อทำบุญ เพราะแทนที่จะได้บุญกลับได้บาปมากทีเดียว ชีวิตใครใครก็รัก เรารักตัวกลัวตายกลัวถูกฆ่าอย่างไร สัตว์ทั้งหลายก็รักตัวกลัวตาย กลัวถูกฆ่าอย่างนั้นเหมือนกัน”

มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์หลวงพ่อชา ท่านกล่าวว่า ท่านปล่อยวางจากทุกสิ่ง แม้กุฏิของท่าน หลังคาจะรั่ว ท่านก็ไม่ซ่อม ตรงนั้นรั่ว ท่านก็เปลี่ยนมานอนตรงที่ไม่รั่ว วันหนึ่งหลวงพ่อชาไปเห็นสภาพกุฎิเข้า ศิษย์ของท่านก็รายงานว่า กำลังฝึกการปล่อยวาง และแล้วก็เลยถูกหลวงพ่อชาท่านเทศน์กันฑ์ใหญ่เลย เพราะหากปล่อยวางได้จริง เวลาฝนตก ก็น่าจะนอนตากฝนตรงรูรั่วได้ ไม่เห็นต้องเปลี่ยนที่นอน

เช่นเดียวกับเรื่องบ้าน ก็ต้องหาวิธีดูแลบำรุงรักษากันต่อไปครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 233

โพสต์

Joi เขียน: - บ้านเราๆเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แต่คนศาสนาอื่นๆก็เชื่อของเขา ผมสงสัยว่านรก สวรรค์ มีแบ่งแยกตามศาสนา หรือแบ่งตามประเทศ
บ้างไม๊ เพราะต่างความเชื่อกัน
ข้อที่สอง ผมก็เคยสงสัยเหมือนกันครับ

แต่ถ้าถามว่า คนทุกเชื้อชาติ(ศาสนา)ในโลกนี้ มีเชื้อชาติ(ศาสนา)ไหนบ้างที่ไม่มีหรือไม่รู้จักหรือไม่เคยสัมผัสความสุขและความทุกข์บ้าง

ผมว่าไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักความสุขและความทุกข์ ไม่ว่าเชื้อชาติ(ศาสนา)ใดๆนะครับ

สวรรค์และนรก ก็คือผลของความสุขและความทุกข์จากการกระทำของเรานั่นเองครับ ฉะนั้น สำหรับผมคิดว่า ไม่ว่านรก หรือ สวรรค์ เชื้อชาติ(ศาสนา)ไหนๆ ก็ไม่ต่างกันครับ

มีคนเคยถามพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปนรก ไม่มีศาสนาไหนสอนให้ไปนรก ทำไมถึงถามหานรก ทำไมหลักของศาสนาที่แท้จริง จึงไม่ลงมือปฏิบัติ หากเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือพระนิพพานนั่นเอง

แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับนักบวชนอกศาสนา เช่น ฤาษี ทั้งๆที่ไม่รู้หลักการของศาสนาพุทธ แต่ท่านเหล่านั้น ก็ปลีกวิเวก หาความสงบ จนได้ฌานสมาบัติ ไปเกิดบนพรหมโลกนับไม่ถ้วน ซึ่งก็จะเหมือนพระอนาคามี หากบรรลุธรรมขั้นนี้ เมื่อตายไป ก็ไปอยู่บนพรหมโลกเหมือนกัน แม้จะต่างชั้นกัน ทั้งๆที่ไม่ได้นับถือศาสนาหรือมีศาสนา

ผมเองก็เป็นคนขี้สงสัยเหมือนกันครับ เพราะความอยากรู้ตามปะสาสามัญชนคนทั่วไป ไม่รู้ว่าสองข้อที่ตอบจะตรงประเด็นหรือเปล่านะครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Kop 71
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 234

โพสต์

ปริศนาวันพระ “ธรรมะกลับตาลปัตร”

เรื่อง : พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ

ภาพ : แม่น้อย น้องเพลง น้องฟ้า โรงเรียนทอสี
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 235

โพสต์

ขออนุญาตเข้ามาแสดงความเคารพถึงท่านอ.โกเอนก้า(ผมนับถือท่านเป็นอ.อีกท่านนึง)ที่ได้ผ่านโลกนี้ไปเมื่อ29กย.2556ครับ

ผลงานของท่าน คำสอน ระบบการเรียนรู้จิตใจตัวเองที่ท่านวางไว้
อย่างเป็น"สากล "จะนำพาผู้ยังไม่รู้อย่างผม และอีกหลายท่าน
ผ่านโลกนี้ไปแบบ"ได้อะไรขึ้นมาบ้าง" ไปอีกนานเท่านานครับ
samatah
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 236

โพสต์

เมื่อเดือนก่อนได้มีโอกาสไปสนทนาธรรมกับพระรูปนึงซึ่งสนิทกัน ท่านพูดถึงครูบาอาจารย์ท่านนึงซึ่งได้พูดถึงกรณีที่พระภิกษุต่างชาติท่านนึงที่เพิ่งสึกออกไป (เป็นมุมมองพระที่มองพระด้วยกัน)ท่านบอกสั้นๆว่า คนที่เป็นพระก่อนที่จะไปสอนโยมควรจะสอนตัวเองให้ได้ก่อน ไม่ใช่ออกหนังสือสอนโยมมากมายแต่ตัวเองยังสอนไม่ได้ (เป็นอีกมุมซึ่งพระมองพระด้วยกัน ซึ่งเมื่อก่อนผมผมไม่ได้มองถึงจุดนั้นเลย คือมองแค่ เออ เค้าสึกมาก็ดีแล้ว ดีกว่าไปทำชั่วในผ้าเหลือง พระที่สึกมามีเมียเยอะแยะไม่เห็นจะต้องไปว่ากัน ไอ้คนที่ว่าเค้าเนี่ยลองไปบวชดูบ้างสิ เอาแค่เดือนนึงให้ได้นะ ฯลฯ)
ผมมาลองพิจารณาดูสมัยนี้อย่าว่าแต่พระเลย โยมที่ไปสอนธรรมะมีกันดาษดื่นเต็มไปหมด มีทั้งจำเอาความรู้ในตำรามาสอนกัน(พอพูดถึงสภาวะจริงๆก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยปฏิบัติ) บางคนก็ใช้ความคิดตัวเองใส่เข้าไปด้วยธรรมะก็เลยเพี้ยน บางคนสนใจได้นิดๆหน่อยๆก็พยายามตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนก็มี

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปสนทนาธรรมกันอีกครั้งกับพระรูปเดิม ท่านก็พูดถึงสื่อสมัยนี้ว่ามันมีมาก มากเสียจนทำให้ธรรมะเฝือ(คือมากเกินไป จนเกินพอดี ไปทางไหนก็มีแต่ธรรมะ) คนไหนที่สนใจก็เข้าถึงง่าย ส่วนคนไม่สนใจยังไงมันก็ไม่สนใจอยู่ดี ขนาดที่บ้านมีหนังสือเยอะแยะ ยังไม่เคยอ่าน บางคนอ่านแต่ก็ไม่เข้าใจไม่เอาไปปฏิบัติ

เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 237

โพสต์

ฟังท่านcobain_viเล่าแล้วผมอายตัวเองจัง
ยิ่งนึกถึงบรรทัดล่างของอ.picatosแล้ว
ก็ต้องถามตัวเองอีก ว่า วันๆล่วงไป เราทำอะไรอยู่
แต่ก็ยังขี้เกียจต่อไปอีก ฮ่า..
หวังว่าสักวัน คงมีอะไรมากระแทกแรงๆให้พลิกกลับอีกด้านนึง..

เพิ่งอ่่านกะฟังสัมภาษณ์(พระ)อาจารย์ท่่านที่พลิกกลับอีกด้านนึงไปเมื่อวานนี้
เข้าใจอะไรมากขึ้น(มั้ง)ครับ
ว่าพอถึงขั้นนึงแล้ว "ผู้รู้"เขาคงมองอะไรๆ"เสมอ"กันไปหมด
ตอนเดินกางร่มให้ท่านที่ลี่เจียง ขณะเดินขึ้นกระไดวัดด้านหลังเมือง
อยู่ดีๆ ท่านก็พูดขึ้นมาว่าหลวงปู่ม.เคยอธิษฐานถึงขั้นสูงสุด
ต่อมาลดลงเป็น"พระโพธิสัตว์"จึงจะ"ถึง"ได้

เลยไม่รู้ว่าท่านพูดถึงตัวท่านเอง รึว่าบอกผมว่า
ตั้งเป้าสูงไปโดยไม่ออกเดินทาง กะตั้งเป้าไม่ไกลนักแล้วค่อยๆไปจะดีกว่ามั้ย
(ทริปนั้นไปที่ไหน ผมโลภขอ"บรรลุ"นอกเครื่องแบบไปตลอดทาง)
ย่ิงเล่ายิ่งงงตัวเองครับ แต่ก็ยังดีที่รู้ตัว ว่าไม่รู้อะไรเลย เฮ้อ....
samatah
Newbie168
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 30
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 238

โพสต์

รบกวนช่วยแนะสถานปฏิบัติธรรมหรือครูบาอาจารย์ในจังหวัดสงขลาหรือใกล้เคียงครับ
ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++
" ร่างกายของเธอทั้งหมด จากปลายปีกหนึ่งไปสุดอีกปีกหนึ่ง
ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความคิดของเธอเอง ”
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 239

โพสต์

เออ ความดีความชั่วง่ายๆยังแยกแยะไม่ออก อยากจะปฏิบัติภาวนา ทำให้ตายก็ไม่ได้อะไรหรอก
กิเลสละเอียดกว่านั้นมากจะไปแยกแยะได้อย่างไร
(เคยได้ยินพระท่านพูดนะครับ)
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Kop 71
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 240

โพสต์

เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ
นวชีวัน (ชีวิตใหม่)
โดย รุ่งอรุณณสนธยา

เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดนอกจากการได้มีชีวิต การได้มาซึ่งชีวิตนั้นจำต้องสละความยึดถือในทุกสิ่ง ซึ่งเท่ากับสละตัวเราอันก่อกำเหนิดจากความยึดถือ ชีวิตที่ก่อกำเนิดมาจากความยึดถือเป็นเพียงมายาภาพ หาใช่ตัวชีวิตแท้จริงไม่ ต่อเมื่อมีสติรู้อยู่ถึงการก่อกำเหนิดของความคิด เราจะหยั่งรู้ถึงการเกิดของตัวเราอันเป็นมายาภาพ ทั้งรู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิตอันมีสภาพกลมกลืน และอิสระ การปฏิบัติเพื่อรู้จักธรรมชาติแท้ของเรานั้น ก็โดยบทเรียนง่ายๆ ในการเดิน นั่ง นอน ดื่ม ถ่าย สนทนา ซักผ้า ฯลฯ นี้เองที่ธรรมชาติของเราจะแสดงออกมาควบคู่กับการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ไม่ใช่ว่าต้องอาศัยพิธีกรรมหรือการเรียน ความทรงจำ ความรู้จากพระคัมภีร์หรือท่าทีทางวัฒนะธรรม ซึ่งรังแต่จะก่อกำเนิดตัวตนอันเป็นมายาภาพได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับระเบียบกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีใดๆ แต่ด้วยการมีชีวิตอยู่ และมีสติรู้อยู่ต่อการมีชีวิต มีความรักชีวิต กลมกลืนกับหน้าที่การงานของชีวิต ศีล สมาธิ และปัญญา จะถูกพัฒนาขึ้นเองอย่างเหมาะเจาะ และมันจะมีผลในทางขจัดทุกข์ได้โดยตรง
มันไม่ใช่การรักษาศีลเพื่อตอบสนองข้อบัญญัติทางวัฒนธรรมหรือสังคม และไม่ใช่การเจริญสมาธิเพียงเพื่อได้หลบหลีกปัญหาประจำวันไปอยู่กับโลกในจินตนาการที่ตนสร้างขึ้น ให้เกิดอาการภาคภูมิว่าได้พบความมหัศจรรย์ลึกซึ้งตามทางของวัฒนธรรม และมันไม่ใช่การมีปัญญาเนื่องแต่ทรงจำวัจนะ ศัพท์ศาสนา และการขบคิดอย่างลึกซึ้ง เพื่อตอบสนองต่อความอยากจะได้เป็นนักศาสนากับเขาคนหนึ่งเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น แม้เป็นผู้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเท่าใด ความยึดมั่นถือมั่นต่อชีวิตหาคลายลงได้ไม่ เพราะมันเป็นการเพิ่มมายาภาพให้แก่ชีวิตด้วยท่าทีทางวัฒนธรรม แม้ว่ามันจะได้ปิติสุข หรือเสียงสรรเสริญเช่นไรก็ตาม จนกว่าความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สติ-สัมปชัญญะ) ได้เป็นไปย่างบริสุทธิ ไม่มีความต้องการสิ่งอื่นใดเจือปน ชีวิตมีความกลมกลืนจนหลุดพ้นจากอิทธิพลของวัฒนธรรม จิตเป็นจิตที่รู้แจ้งตามธรรมชาติขึ้นเหนือภาษา เพศ อดีต อนาคต ดี-ชั่ว รวมทั้งความต้องการ รสนิยม ค่านิยมต่างๆ แล้วจะเข้าถึงการตรัสรู้ (สัมโพธิ) หนแรก คือการเห็นแจ้งต่อสังขารธรรมอันบริสุทธิ์ที่เป็นไปเอง ชื่อว่าได้ลุถึงธรรมจักษุ เห็นแล้วซึ่งธรรมแท้บริสุทธิ์ อยู่นอกเหนือสมมุติและบัญญัติใดๆ (อันเป็นท่าทีของวัฒนะธรรมของแต่ละชุมชนเท่านั้น)
การเห็นอันบริสุทธิ์ผุดผ่องนี้ จะลบล้างความเชื่อที่รับมาผิดๆ และหลงยึดถือแต่ถ้อยคำ ท่าทีอันจำและลอกเรียนมาจากผู้อื่น ความหยั่งรู้จะเปิดเผยถึงชีวิตที่แท้จริงของเรา และชีวิตอันเป็นประสบการณ์อันต่อเนื่องอยู่ทุกขณะ เราจะรักชีวิตและไม่กลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ขัดแย้ง ไม่เป็นศัตรูกับชีวิต อีกประสบการณ์ในการเห็นธรรมแท้บริสุทธิ์นี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและวิธีการครองชีวิตอย่างใหญ่หลวง แม้จะต้องกิน ดื่ม ทำงานอยู่อย่างเดิม มันเป็นการเปลี่ยนแปลงภายใน จากความเข้าใจผิต่อชีวิตเป็นเข้าใจถูกต้องตามทางชีวิตเองอย่างไม่ลังเลสงสัย และจากวันนั้น ความเข้าใจอันลึกซึ้งนั้นจะเติบใหญ่ขึ้น ชัดเจนไพศาลแจ้งฉานชนิดไม่มีสิ่งใดยับยั้งมันได้ มันเป็นเมล็ดพันธ์แห่งการตรัสรู้ครั้งสุดท้ายอันยิ่งใหญ่ (อนุตรสัมมาสัมโพธิ) ครั้งเดียว เป็นทวารแห่งวิมุติทางให้ถึงโมกษะ ถึงไกวัลย์ธรรม ทางให้ถึงความเป็นอันเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าและความรักในพระองค์
ชีวิตใหม่ (นวชีวัน) ของคุณตั้งต้นตรงนี้ มันไม่ใช่การได้มีรถยนต์คันใหม่ เสื้อผ้า ชื่อเสียง หรือโชคลาภอันใด แต่ได้มีชีวิตแห่งความรู้แจ้งกลมกลืนและอิสระ ได้ล่วงรู้ถึงความวิสุทธิอยู่เองของชีวิตล้วนๆ ชีวิตแท้ไม่เคยมีมลทินมัวหมอง กิเลสไม่ได้มีอยู่เลยในชีวิตที่แท้ นอกจากในโลกแห่งความคิดนึก และขาดความรู้สึกตัวอันก่อเกิดความยึดถือในทฤษฎี(ทิฏฐิ) ความหื่นกระหาย(ตัณหา) และเชื่อตัวตน(มานะ) ผิดๆ อันเป็นชีวิตที่มีปัญหา ทุกข์ทรมาน
ชีวิตใหม่ คือรุ่งอรุณของดวงตะวันแห่งสัจจธรรม รัศมีสว่างแห่งความรัก มิตรภาพอันฉายออกจากชีวิตที่แท้ย่อมขับความผูกพันด้วยมายาภาพและความมืดมัวให้จางหายไป คุณจะพบความมหัศจรรย์ว่า ชีวิตใหม่ ชีวิตที่แท้ของคุณนั้น ได้ขจัดรากเหง้าของความขัดแย้งและปัญหาทั้งมวล ทั้งที่ผ่านเลยไปแล้วและทั้งที่จะมาถึงในวันหน้า
ด้วยชีวิตใหม่เท่านั้นที่อคติและความรุนแรงจะสิ้นไป และด้วยชีวิตใหม่ของคนส่วนใหญ่เท่านั้นที่สังคมจะดีขึ้นได้ โปรดตั้งสติระลึกรู้และปล่อยวางความยึดถือเพื่อชีวิตของคุณเอง
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี