มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4291

โพสต์

เอามาฝากเพื่อนๆหมอครับ

ผมอ่านแล้ว ยังคิดว่าบางครั้งผมก็ยังตกบ่วงหลุมพรางเหมือนที่คุณหมอท่านนี้กล่าวไว้เช่นกัน

เอามาแบ่งปันครับ
ข้างล่างนี้คือคำบรรยายของ Dr. Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี ซึ่งพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขาได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิตในกับชั้นเรียนของนักศึกษาทันตแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2012
(ยาวครับ นั่งพิมพ์อยู่ 2 ชั่วโมง ได้ข้อคิดมากทีเดียว)

สวัสดีครับทุกท่าน เสียงผมจะแหบเล็กน้อย ได้โปรดอดทนกับเสียงผมหน่อยแล้วกัน ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อ Richard เป็นแพทย์ครับ ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม ต้องขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ที่เชิญผมมาพูดในวันนี้. ผมหวังว่ามันคงจะช่วยให้พวกคุณได้คิดถึงเรื่องอื่นๆ บ้างในเส้นทางของการ train เป็นทันตแพทย์ศัลยกรรมช่องปาก

ตอนผมยังเด็ก ผมเป็นตัวอย่างผลผลิตของสังคมในปัจจุบัน เป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตามที่สังคมต้องการ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมมาจากครอบครัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน, ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆ ตัวว่าความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่าก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขัน อยู่เสมอตั้งแต่เป็นเด็ก

ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด, ผมต้องประสบความสำเร็จในทุกสนามแข่งขัน ในทุกกลุ่มที่สังกัด ในถนนทุกสาย ผมต้องได้ถ้วยรางวัล ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง ผมเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ จบมาเป็นแพทย์ พวกคุณบางคนอาจจะพอรู้ว่าในบรรดาสาขาต่างๆ นั้น จักษุวิทยา (Opthalmology) เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียนมากที่สุด ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิทยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน แถมยังได้ทุนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เพื่อพัฒนาเลเซอร์สำหรับรักษาตาอีกด้วย

ในช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้น ผมได้สิทธิบัตร 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเลเซอร์ แล้วพวกคุณรู้มั้ย, บรรดาความสำเร็จทางวิชาการพวกนี้ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย ดังนั้นหลังจากหมดพันธะกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันนานเกินไปแล้ว การฝึกฝนทางจักษุวิทยามันใช้เวลานานเกินไป. ผมน่าจะทำเงินได้มากโขในภาคเอกชน. พวกคุณคงพอรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องของเวชศาสตร์ความงามบูมมาก แถมยังทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคันและหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง

พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จากแพทย์ทั่วไป (GP) หรือแพทย์ครอบครัว (family physician) พวกเขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสียเงิน 20 เหรียญเพื่อพบแพทย์ทั่วไป แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื่น ๆ ดอลล่าร์สำหรับการดูดไขมันหรือเสริมเต้านมหรืออะไรก็แล้วแต่ ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่ามั้ยครับ แล้วพวกคุณจะเป็น GP ไปทำไมกัน เป็นแพทย์ความงามดีกว่า ดังนั้น, แทนที่ผมจะรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย ผมตัดสินใจที่จะเป็นผู้ดูแลความงาม คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี ดีจริงๆ ผ่านไป 1 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ 1 เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริงๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่ม จาก 1 คน เป็น 2 คน 3 คน และสุดท้าย 4 คน ภายในปีแรก ผมทำเงินเป็นล้านๆ นั่นแค่ปีแรกนะ ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ผมขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซียเพื่อให้บริการกับคนไข้ชาวอินโดนีเซียผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ชีวิตมันช่างสวยงามจริง ๆ

ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้มากมายก่ายกองนั่นยังไง? วันสุดสัปดาห์ผมใช้ชีวิตยังไง? ผมสังกัดกลุ่มคนรักรถ supercar ผมชอบสะสมรถครับ ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง นั่นละครับชีวิตของผม เงินยังเหลืออีกเยอะ ทำอะไรอีก? ผมซื้อ Ferrari ครับ ตอนนั้น รุ่น 458 ยังนิยมมาก เปิดประทุนได้ด้วย (ชี้ใน slide) นี่เพื่อนสมัยมัธยมของผมครับ เป็นนายธนาคาร คันของเขาสีแดง ผมก็เลยต้องเลือกสีเงิน

พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมเที่ยวหาทำเลสร้างบ้าน และก็สร้างบ้าน (slide แสดงรูปคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขา) ดูผมใช้ชีวิตสิครับ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนนี้เป็น Miss universe ผมไปดื่มไปเที่ยวกับคนพวกนี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook มหาเศรษฐีพันล้านเชียวนะครับ ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น

ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพของผม นี่คือรูปผมเมื่อปีก่อน กำลังเล่น Gym อยู่ หล่อล่ำเลย ตอนนั้นผมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผมและผมถึงยอดเขาแล้ว

แต่...ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล พบเพื่อนผม ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า. เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า “กระดูกสันหลังของนายดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะ” ผมตอบไปว่า “ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?” อันที่จริงผมรู้ความหมายดี แต่ไม่ยอมรับความจริง “พูดจริงหรือเปล่า” ตอนที่คุยนั้น ผมยังวิ่งอยู่ใน Gym อยู่เลยคุณรู้หรือเปล่า วันถัดมาผมทำ scan ต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง PET scan ด้วย สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ตอนนั้นผมคิดในใจว่า “มันมาจากไหนกันวะ” มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที

อยากให้ดูรูป CT scan ปอดผม ลองดูดีๆ ทุกๆ เม็ดในนั้นคือมะเร็งครับ เราเรียกมันว่า Miliary tumor จริงๆ แล้วผมมีมันเป็นหมื่นๆ เม็ดในปอด ผมได้รับคำอธิบายว่า ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผมมั้ยครับ ใครจะไม่เป็นบ้างล่ะ ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว

น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆ เอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เลย และความคิดที่ว่าผมนอนกอดรถ Ferrari แล้วจะทำให้ผมหลับตาลงได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้เลยแม้แต่นิดเดียวตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง 10 เดือนสุดท้ายกลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ที่ผมมี ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง สิ่งต่างๆ ที่ผมเคยเหมาเอาว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่เปล่าเลย ถ้ามันทำได้จริง เวลาที่ผมคิดถึงมัน ผมควรจะมีความสุข แต่มันกลับทำให้ผมแย่ลงไปอีก

ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมทำอะไรรู้มั้ย ผมมักจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำอวดรวย ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบนี้เสียด้วย แต่มานึกแล้วเพื่อนๆ ของผม ญาติๆ ของผมคงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอยากจะให้ผมกลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า พวกเขาจะร่วมยินดีไปกับผมหรือ? ไม่มีทาง เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม และคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ คงอยากให้ผมลองนั่งรถเมล์ดูมั่ง จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาสิ่งที่ผมมี และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้วย

นั่นแหละที่เรียกว่า “ตัวสร้างความอิจฉาริษยา” ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตาและความยะโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่นเลย ทั้งเพื่อน ทั้งญาติของผม ผมคิดไปเองว่าพวกเขาจะมีความสุขไปกับผม

ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุเท่าพวกคุณ ผมพักอยู่ที่หอ Edward VII Hall ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปลก เธอชื่อ Jennifer ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ ถ้าเธอเห็นหอยทากคลานอยู่ในทางคนเดิน เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวางในสนามหญ้าให้พ้นจากทางเดิน ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่าๆ มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจหอยทากได้ ความรู้สึกที่ว่าถูกเหยียบบี้แบนจนตายนั้น เธอรับรู้ได้ แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะเกิดมาเป็นคนได้ คุณก็สมควรโดนเหยียบตาย นั่นเป็นกฎของวิวัฒนาการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

ที่ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย. ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมาน ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด และผมมีหน้าที่ให้ Morphine แก่พวกเขาเพียงเพื่อระงับอาการปวด ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมไปที่ตึกผู้ป่วย เจาะเลือด ให้ยาแก่พวกเขา แต่มันมีความหมายอะไรกับผมหรือเปล่า? ไม่เลย มันก็แค่งาน ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ แล้วก็ออกจาก ward ไป แต่ละวันผมแทบจะรอกลับบ้านแทบไม่ไหว
ความเจ็บปวดคืออะไรหรือครับ? ความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยต้องประสบมันมีความหมายอะไร? ไม่มี แน่ละ เรามีศัพท์เทคนิคต่างๆ ในการนิยามในการวัดความปวด ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้ซึ้งจริงๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าผมจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่าถ้าผมกลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้จากของจริง

แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเรียนปีแรก และเข้าสู่เส้นทางของการเป็นศัลยแพทย์ช่องปาก ผมอยากจะลองท้าทายคุณ 2 เรื่อง

ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในที่นี้จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพันๆ ดอลลาร์แล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วยไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้

ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เหมือนกับที่ผมได้พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งหมดที่ผมทำก็คือสะสม ๆ ๆ เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้จนถึงหยดสุดท้าย

นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายรับ เราหลงลืมเสียสนิทว่าเราแทบจะไม่ได้ให้ใครเลยเว้นแต่ตัวเราเอง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์, วงการทันตแพทย์ ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้งเราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วยเพื่อให้รับการรักษาหรือการผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผมอย่างแท้จริง และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยการเสนอ “ความหวัง” ให้ผมอยู่ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money

ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพของเรากันเอง เสมือนเป็นคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เราแทบไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้เลย ถ้าเราสามารถจะกดคนอื่นลงเพื่อให้เราได้ผลประโยชน์แล้วละก็ เราก็จะทำมันทันที นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งในวงการแพทย์ ทันตแพทย์ และทุกๆ วงการ สิ่งที่ผมจะเตือนคุณก็คือ อย่าทิ้งเข็มทิศทางจริยธรรมไปเป็นอันขาด ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก และหวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น

ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเราในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน คราวที่ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและต้องสรุปแฟ้มประวัติผู้ป่วยเป็นตั้งๆ ผมจะรีบจัดการเจ้าแฟ้มเหล่านั้นไปโดยเร็วที่สุด, ผมจะรีบตรวจคนไข้และให้เขาออกไปจากห้องของผมโดยเร็วที่สุด เพราะคนไข้มันช่างมากมายเหลือเกิน นั่นคือเรื่องจริง เพราะมันเป็นแค่งาน งานที่ซ้ำซากจำเจมากๆ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง ถามว่าผมรู้ไหมว่าคนไข้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร? ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่างๆ ที่พวกเขามี ที่พวกเขาประสบอยู่ ผมรู้มั้ย? ไม่เลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับผมเอง และผมคิดว่านั่นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในระบบสาธารณสุขของเรา

เราถูกสอนมาให้เป็นผู้ให้บริการสาธารณสุข เป็นมืออาชีพ แต่ทั้งหมดทั้งเพ เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนไข้รู้สึกจริงๆ เช่นไร ผมไม่ได้ให้ขอให้พวกคุณเข้าอกเข้าใจคนไข้อย่างลึกซึ้งอะไรมากมาย ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้เราเป็นมืออาชีพหรอก แต่จริงๆ แล้วเราได้พยายามที่จะเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาหรือยัง? พวกเราส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไรครับแต่อย่าละเลย สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ จงพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา (put yourself in your patient’s shoes)

เพราะความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความหวาดกลัว สำหรับคนไข้แล้วมันเป็นของจริงครับแม้ว่ามันอาจจะดูไม่จริงสำหรับคุณ ดังนั้นจงอย่าละเลยมัน พวกคุณรู้มั้ยครับ ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอบที่ 5 อยู่ ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณไม่อยากจะประสบ ต่อให้กับศัตรูของคุณก็เถอะ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง เหมือนถูกโดดเดี่ยว กินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เลวร้ายจริงๆ และถึงตอนนี้ ยามที่ผมพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ผมพยายามที่จะปลอบประโลมผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ เพราะผมเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมันเป็นอย่างไร. แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปและยังไม่เพียงพอ

พวกคุณทั้งหลายมีอนาคตที่สดใสรออยู่เบื้องหน้า ตัวคุณเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมกำลังจะบอกให้คุณไปหาคนไข้คนถัดไปของคุณ มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน อย่าได้คิดว่าคนยากจนเท่านั้นที่จะทุกข์ นั่นไม่จริงเลย คนยากคนจนทั้งหลายจริงๆ แล้วเขาพอใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ พวกคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขามีความสุขมากกว่าคุณและผมเสียอีก ยังมีผู้คนอีกมากที่กำลังทุกข์ทรมาน ทั้งทางจิตใจ ทางร่างกาย ทางอารมณ์ และอื่นๆ อีกมาก และนั่นเป็นของจริง เราเลือกที่จะมองข้ามพวกเขา หรือเพียงไม่อยากรับรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่

ลองกลับไปคิดดูนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือทันตแพทย์ ลองสัมผัสถึงผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งต้องการคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณทำลงไปจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่กับพวกเขา สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม รูปที่เห็นคือผมหลังได้รับการรักษาเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และนั่นทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่และสามารถมาพูดคุยกับพวกคุณได้ในวันนี้

ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว

Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that.
The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.

เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อยสำหรับเช้าวันนี้ แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา

อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่างให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย

ผมขอขอบคุณทุกท่าน ถ้ามีคำถามอะไรที่จะถามผม ยินดีครับ ขอบคุณ

(Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู่สุขคติ)


นี่คือบันทึกการบรรยายข้างต้น
http://www.youtube.com/watch?v=umLkfADe ... ata_player

นี่คือต้นฉบับที่แปล
http://www.facebook.com/notes/laugh-now ... 1357760200

นี้คือ website TCS clinic ของ Dr. Richard Teo
http://www.cosmeticsurgery.sg/
RIP ครับ คุณหมอ ขอบคุณที่แบ่งปันให้เพื่อนแพทย์ด้วยกันได้เข้าใจชีวิตมากขึ้นครับ
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4292

โพสต์

ขอบคุณมากครับ สำหรับ เรื่อง คุณหมอ ริชาร์ด

ผมเองมองว่าเค้าเลือกทางเดินชีวิตของเค้าได้ดี

เค้าประสพความสำเร็จในชีวิตระดับนึง

ไมไ่ด้ทำให้ใครเดือดร้อน

แต่เพียงเค้าโชคร้าย ที่ต้องจากไปไว

และ ทำประโยชน์ตอบแทน คืนสังคม น้อยไปกว่าสิ่งที่เค้าได้รับจากสังคม น้อยไปนิด


RIP ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4293

โพสต์

เอามาฝากครับ

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 01:00

นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มนุษย์เศรษฐกิจ 2.0"

งานแบบไหนดี

โดย : นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
Godin บอกว่า งานใดๆ ที่คุณกำลังทำอยู่นั้นจะจัดอยู่ในจำพวกใดจำพวกหนึ่งในสามจำพวก คือ The Dip ทางตัน และเหว

ถ้าเป็นเหว ทุกอย่างดูดีไปหมดตั้งแต่แรกเลย ยิ่งเดินทางนี้ก็ยิ่งชอบ เพราะว่าสบาย พอสบายก็ยิ่งติดใจถล่ำลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น แต่พอวันที่รู้ว่า มันคือเหว ทุกอย่างก็สายเกินกว่าที่จะหันหลังกลับได้แล้ว ต้องก้มหน้ารับเคราะห์กรรมจากความมักง่ายที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเราเอง

ตัวอย่างของ เหว ก็เช่น การสูบบุหรี่ ยิ่งสูบก็ยิ่งสบาย เพราะคลายเครียด ยิ่งสบายก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งสูบมากขึ้น สุดท้ายพอหมอมาบอกว่า คุณเป็นมะเร็งปอด ให้คุณเปลี่ยนตัวเองหันมาดูแลสุขภาพแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับเคราะห์ไป

สำหรับทางตัน นั้นจะเป็นทางเดินที่เดินแล้วรู้สึกว่าง่ายเช่นเดียวกับเหว แต่ยิ่งเดินต่อไปก็จะยิ่งรู้สึกว่าเราไม่ได้พัฒนาอะไรขึ้นเลย (แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้แย่ลงด้วย) เราจะค่อยๆ เสพติดกับความคิดที่ว่าอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็ดีแล้วนี่ จะไปดิ้นรนทำไม สุดท้ายแล้ว แม้ว่าเราจะไม่ได้ถึงกับตกเหว แต่เราก็จะหยุดอยู่นิ่งกับที่ กลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานอะไรเลยสักอย่างไปจนเกษียณ

คุณคงนึกตัวอย่างออกนะครับว่างานอะไรบ้างที่เป็นทางตัน เพราะงานพวกนี้พร้อมจะให้คุณเข้ามาทำได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ไม่ได้หายากอะไร ส่วนใหญ่มักเป็นงานที่ไม่มีใครแย่งกันทำ

แต่ถ้าเป็นทางเดินแบบสุดท้ายที่เรียกว่า Dip นั้น ให้คุณนึกถึงทางขึ้นเนินเตี้ยๆ แล้วกลายเป็นทางลงที่ลากยาวและไกลกว่าขาที่ขึ้นมา ก่อนที่จะกลับมาเป็นทางขึ้นอีกครั้งแบบขึ้นภูเขาสูงไปเลย

งานแบบ The Dip นี้ ตอนแรกๆ จะรู้สึกสนุกและได้พัฒนาตนเองเช่นกัน แต่ยิ่งเดินต่อไปเรื่อยๆ จะค่อยๆ รู้สึกว่ามันเริ่มเดินยากขึ้นๆ ทุกที คล้ายๆ กับว่าเรากำลังแย่ลง เพราะเรารู้สึกว่าทำไมมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้ ตอนนี้แหละที่คนจำนวนมากที่ลองเดินทางนี้จะเริ่มตีจากไปเรื่อยๆ เพราะสัญชาตญาณที่บอกว่า อะไรที่ยากลำบาก มันน่าจะไม่ดี หรือมีอันตรายอยู่

แต่จะมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังเลือกที่จะเดินทางนี้ต่อไป ด้วยความตั้งใจจริงที่จะเป็นเลิศในเส้นทางนี้ให้ได้ และเมื่อเขาสามารถอดทนจนผ่านหุบเขาที่แทบไม่เหลือใครที่อดทนมากพอที่จะเดินตามมาได้แล้ว หลังจากนี้ไปมันคือ ทางขึ้นอย่างเดียว เพราะเขาได้กลายเป็นของหายากที่มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่แข่งกันเขาได้ รางวัลที่เขาจะได้รับหลังจากจุดนี้ไปจะมากเกินคุ้มกับความยากลำบากที่ได้เผชิญมาทั้งหมดในตอนต้น


Godin กล่าวว่า ถ้าเราพบว่า ทางที่เรากำลังเดินอยู่เป็นเหวหรือทางตันก็ให้รีบหยุดเดินทันที (ต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวในการหยุดด้วย) เพราะทางที่ควรเดินมากที่สุดคือทางแบบ The Dip เท่านั้น อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ไปกับทางอีกสองแบบเลยเป็นอันขาด

ตัวอย่างในชีวิตจริงของ The Dip นั้นมีอยู่มากมาย กีฬาทุกชนิดถ้าเริ่มต้นเล่นแบบขำๆ มันจะสนุกทั้งนั้น เพราะกีฬาเป็นกิจกรรมบันเทิงอย่างหนึ่ง แต่คนที่จะเล่นจนกลายเป็นนักกีฬาทีมชาติได้นั้นมีน้อยมาก เพราะมันต้องผ่านช่วงเวลาของการฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งไม่ใช่ของสนุกอีกต่อไป จึงมีคนจำนวนน้อยมากๆ ที่จะผ่านระดับนี้ขึ้นไปได้ และกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ผ่านมันไปได้สำเร็จ ย่อมได้รับผลตอบแทนเป็นทวีคูณที่มากกว่าคนอื่นๆ

วิชาชีพอย่างเช่น แพทย์ หรือผู้พิพากษา ก็เป็นตัวอย่างของ The Dip เช่นเดียวกัน ก่อนที่พวกเขาจะมีวันนี้ พวกเขาต้องผ่านการนั่งอ่านหนังสือมาอย่างมหาศาล ต้องยินดีสละเวลาในช่วงชีวิตวัยรุ่นไปส่วนหนึ่งแทนที่จะได้เที่ยวเล่นมากเท่ากับคนอื่นๆ ต้องสอบแข่งขันกับคนจำนวนมากด่านแล้วด่านเล่า กว่าจะได้เป็นหมอหรือผู้พิพากษาเต็มตัวส่วนใหญ่ก็ต้องเข้าสู่วัยที่เกินครึ่งหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาได้แล้ว พวกเขาจึงได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าคนทั่วไปในภายหลัง

มีการวิจัยพบว่า นักขายส่วนใหญ่มักจะล้มเลิกความพยายามเมื่อถูกปฏิเสธติดต่อกัน 4-5 ครั้ง แต่นักขายมักจะได้ออเดอร์จากลูกค้าคนที่ 7-8 การทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน นักธุรกิจส่วนใหญ่มักไม่ได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจแรกสุดที่ทำ แต่มักจะต้องเคยล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง กว่าจะได้เจอโอกาสที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ คนที่ใช้ความรู้สึกตัดสินงานทุกอย่าง อะไรที่รู้ว่ามันยากก็จะตัดสินว่ามันไม่ดี และล้มเลิกไปทันที พวกเขาจะพลาด The Dip ไปทุกๆ ครั้งที่พวกเขาได้เจอมัน เพราะว่าไม่เคยใช้ความพยายามกับเรื่องไหนมากพอที่จะถึงที่มันดีพอที่จะเริ่มต้นประสบความสำเร็จได้ และจะวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เพราะมัวหาแต่ทางลัดทางสบาย

ถือเป็นวิธี "เลือกงาน" ในแบบที่น่าสนใจทีเดียว

Tags : นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
kritar
Verified User
โพสต์: 30
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4294

โพสต์

เพิ่งจะเจอห้องนี้ครับ

ตอนแรกว่าจะอ่านเงียบๆ เพราะรู้สึกแปลกๆกับชื่อกระทู้

แต่พอได้อ่านแล้ว เห็นบทความที่มีประโยชน์มากมาย (ไม่ใช่เฉพาะกับคนที่เป็นหมอครับ)

เลยขอมาแสดงความขอบคุณ คุณ Paul VI ครับ และขอฝากตัวด้วยครับ
ถึงไม่ได้แต่ชอบธรรม ยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม

...พุทธศาสนสุภาษิต...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4295

โพสต์

kritar เขียน:เพิ่งจะเจอห้องนี้ครับ

ตอนแรกว่าจะอ่านเงียบๆ เพราะรู้สึกแปลกๆกับชื่อกระทู้

แต่พอได้อ่านแล้ว เห็นบทความที่มีประโยชน์มากมาย (ไม่ใช่เฉพาะกับคนที่เป็นหมอครับ)

เลยขอมาแสดงความขอบคุณ คุณ Paul VI ครับ และขอฝากตัวด้วยครับ
ยินดีต่อนรับครับ เชิญตามสบายครับ :welcome:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4296

โพสต์

เสาร์ที่แล้ว ที่งานสังสรรค์ Thai VI มีโอกาสได้เจอเพื่อนหมอหลายคนเลย

ทั้งหมอยอด Yod หมออิ๋ว และก็พี่ JFK

ต้องขอโทษที่คุยด้วยน้อยนะครับ พอดีต้องช่วยน้องๆทีมงานรับมือกับฝนตกอย่างหนัก

ผมกลัวสมาชิกที่ไปจะผิดหวีง เลยต้องแก้สถานการณ์อย่างหนักเลย

ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4297

โพสต์

Paul VI เขียน:เสาร์ที่แล้ว ที่งานสังสรรค์ Thai VI มีโอกาสได้เจอเพื่อนหมอหลายคนเลย

ทั้งหมอยอด Yod หมออิ๋ว และก็พี่ JFK

ต้องขอโทษที่คุยด้วยน้อยนะครับ พอดีต้องช่วยน้องๆทีมงานรับมือกับฝนตกอย่างหนัก

ผมกลัวสมาชิกที่ไปจะผิดหวีง เลยต้องแก้สถานการณ์อย่างหนักเลย

ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ
ีดีใจครับ ที่เจอคุณหมอ Paul VI

ตอนแรกนึก คลับคล้ายคลับคลา ว่าเคยเห็นชื่อนี้ ในหัวข้อหุ้นตัวไหน นึกตั้งนานกว่าจะนึกได้ว่า หัวข้อนี้นี่เอง

แต่โหงวเฮ้งคุณหมอนี่บอกเลย ครับ ว่า น่าจะเป็นหมอ เห็นแล้วนึกเดาได้

ไม่เหมือนผม ใครเห็น นึกว่าแป๊ะขายขวด :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorn adis
Verified User
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4298

โพสต์

Paul VI เขียน:เสาร์ที่แล้ว ที่งานสังสรรค์ Thai VI มีโอกาสได้เจอเพื่อนหมอหลายคนเลย

ทั้งหมอยอด Yod หมออิ๋ว และก็พี่ JFK

ต้องขอโทษที่คุยด้วยน้อยนะครับ พอดีต้องช่วยน้องๆทีมงานรับมือกับฝนตกอย่างหนัก

ผมกลัวสมาชิกที่ไปจะผิดหวีง เลยต้องแก้สถานการณ์อย่างหนักเลย

ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ
อยากไปประชุมบ้างจัง ติดที่อยู่ไกล

หวังว่าสักวันคงได้ไปช่วยงานพี่มุขบ้าง

ปีใหม่นี้พี่มุขและเพื่อนๆวางแผนไปเที่ยวที่ไหนกันคับ

เห็นรูปในโปรไฟล์พี่เจเอฟเคแล้วแอบอิจฉาไลฟ์สไตล์พี่เค้าเนอะ

ปีหน้าผมจะลดเวลาทำงานลงจาก 13 ชม. เป็น 8ชม. ต่อวันแล้วคับ

จะได้มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

สุขสันต์วันพ่อและวันปีใหม่แด่พี่มุขและเพื่อนทุกคนล่วงหน้าคับ
คาถาลงทุน
BuVaPiCaMos
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4299

โพสต์

sorn adis เขียน: อยากไปประชุมบ้างจัง ติดที่อยู่ไกล

หวังว่าสักวันคงได้ไปช่วยงานพี่มุขบ้าง

ปีใหม่นี้พี่มุขและเพื่อนๆวางแผนไปเที่ยวที่ไหนกันคับ

เห็นรูปในโปรไฟล์พี่เจเอฟเคแล้วแอบอิจฉาไลฟ์สไตล์พี่เค้าเนอะ

ปีหน้าผมจะลดเวลาทำงานลงจาก 13 ชม. เป็น 8ชม. ต่อวันแล้วคับ

จะได้มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

สุขสันต์วันพ่อและวันปีใหม่แด่พี่มุขและเพื่อนทุกคนล่วงหน้าคับ
สวัสดีวันพ่อเหมือนกันครับ หมอศร

วันนี้พี่ไปงานวันพ่อ ที่โรงเรียนลูกๆมา เฝ้าดูการเติบโตของพวกเค้าแล้วก็มีความสุข นึกถึงตั้งแต่วันที่เค้าเกิดจนมาถึงวันนี้

เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ อย่างที่พี่ชอบพูดถึงเรื่องเวลา

เวลา เปรียบเสมือนสายน้ำ

ไหลผ่าไปแล้วไม่ไหลย้อนกลับ

แต่ละคนก็มี Lifestyle ที่แตกต่างกันไปครับ พี่ JFK ก็มีความสุขสไตล์ของพี่เค้า ซึ่งน่าจะเป็น role model สำหรับหลายๆคน

ดีใจที่ หมอศร ได้เวลาส่วนตัวกลับคืนมาแล้วนะครับ ของพี่ก็เริ่มหยุดทำงานวันอาทิตย์วันนึงแล้ว

ขอพักผ่อน ขี่จักรยานกับลูกๆ นั่งอ่านหนังสือริมระเบียงชิลๆ จิบกาแฟตอนเช้า

ปีนึงก็ไปเที่ยวไกลๆ ทั้งครอบครัวซัก 2-3 ครั้ง

หม่ำของที่อยากหม่ำแต่ต้องระวังสุขภาพด้วยนะ อายุเริ่มเยอะแล้ว แหะๆ

มีโอกาสหมอศร ก็มาช่วยงานของสมาคมได้นะครับ พี่ยินดีเสมอ :D

มีโอกาสคงได้เจอกันนะ :D
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4300

โพสต์

สุขสันต์วันพ่อทุกๆคนครับ

ผมเองจริงๆ แล้วเป็นคนทำงานหนักมากเลย

ยี่สิบปีที่แรกที่ทำงาน เรียกว่าทำงานปีละ 365 1/4 วันเลย

เพิ่งจะเริ่มวางมือ พักได้บ้างตอน รพ.อยู่ตัวแล้ว และเริ่มทำกิจกรรมต่างๆจริงจังได้ซัก 5 -6 ปี

ตอนนี้กำลังรอขึ้นเครื่อง ไปมนิลาแล้วต่อ เครื่องไปดำน้ำ ที่osalob cebu

แจ๊คพอตพอดี super typhoon กำลังถล่มฟิลลิปินส์พอดี

ระหว่างไม่อยู่ฝากดู bland กับ thre ผมให้ด้วยนะ :B
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorn adis
Verified User
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4301

โพสต์

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ พี่มุข ยอดคุณพ่อตัวอย่าง :mrgreen:

ต้องหาโอกาสไปเยี่ยมพี่แน่นอน เตรียมกาแฟอึชะมดรอได้เลยครับ

จะสิ้นปีแล้ว การลงทุนของพี่ปีนี้น่าพอใจมากๆๆๆใช่ไหมครับ

ของผมพอใช้ได้ เกินเป้าหมายที่วางไว้ แต่เริ่มเสียวๆ ที่ตลาดโดยรวมขึ้นมามาก

และวางแผนการออก ตามที่อาจารย์นิเวศน์แนะนำในบทความแล้วครับ

ส่วนพี่หมอเจ ไปเที่ยวให้น้องๆอิจฉาอีกแล้ว ไปช่วยกันทุบ bland, thre ของพี่เจกันดีกว่า 555
คาถาลงทุน
BuVaPiCaMos
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorn adis
Verified User
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4302

โพสต์

ดูข่าวข้นคนเนชั่นวันนี้ ได้ใจผมไปเต็มๆ

เด๋วช่วยซื้อหุ้นของพี่มุขดีกว่า :B
คาถาลงทุน
BuVaPiCaMos
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4303

โพสต์

Dr.Jfk เขียน:สุขสันต์วันพ่อทุกๆคนครับ

ผมเองจริงๆ แล้วเป็นคนทำงานหนักมากเลย

ยี่สิบปีที่แรกที่ทำงาน เรียกว่าทำงานปีละ 365 1/4 วันเลย

เพิ่งจะเริ่มวางมือ พักได้บ้างตอน รพ.อยู่ตัวแล้ว และเริ่มทำกิจกรรมต่างๆจริงจังได้ซัก 5 -6 ปี

ตอนนี้กำลังรอขึ้นเครื่อง ไปมนิลาแล้วต่อ เครื่องไปดำน้ำ ที่osalob cebu

แจ๊คพอตพอดี super typhoon กำลังถล่มฟิลลิปินส์พอดี

ระหว่างไม่อยู่ฝากดู bland กับ thre ผมให้ด้วยนะ :B

เดินทางปลอดภัยนะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4304

โพสต์

sorn adis เขียน:ดูข่าวข้นคนเนชั่นวันนี้ ได้ใจผมไปเต็มๆ

เด๋วช่วยซื้อหุ้นของพี่มุขดีกว่า :B
555 ตอนนี้จะซื้อก็รีบซื้อนะ กำลังอยู่ในช่วง On Sale :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4305

โพสต์

เอาข้อมูลมาฝากเพื่อนๆโดยเฉพาะ หมอศร :mrgreen:

ไอที-นวัตกรรม : ไอทีไร้พรมแดน
วันที่ 3 ธันวาคม 2555 13:00
ทีวีดาวเทียม-สื่อดิจิทัล เทรนด์แรงโกยงบโฆษณา

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิทัศน์สื่อ (Media Landscape) ทั้งจากปัจจัยเทคโนโลยี การเติบโตของอุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งนโยบายการก้าวสู่ระบบดิจิทัลในกิจการบรอดแคสต์ ประการสำคัญพฤติกรรมการเสพคอนเทนท์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปในหลายแพลตฟอร์มที่ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ส่งให้ "สื่อใหม่" ที่ตอบโจทย์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย กลายเป็นสื่อที่มีแนวโน้ม "เติบโต" ในปี 2556

สื่อในกลุ่ม เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม เป็น "ดาวเด่น" มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

โดย สินธุ์ เภตรารัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอจีบี นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช จำกัด ให้มุมมองว่าเป็นเพราะกฎหมายสื่อที่เปิดโอกาสให้สามารถโฆษณาได้ ขณะเดียวกันจานและกล่องรับสัญญาณดาวเทียมที่มีราคาต่ำลง เช่นเดียวกับเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ราคาลดลง ทำให้ครัวเรือนไทยหันมาติดตั้งจานดาวเทียมและเป็นสมาชิกเคเบิลทีวี ที่เสนอราคาแพ็คเกจหลากหลายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของผู้ชมเคเบิลและทีวีดาวเทียมเติบโต "สองหลัก"มาอย่างต่อเนื่อง

จากการสำรวจของนีลเส็นปีนี้ จำนวนครัวเรือนไทยทั่วประเทศ 22.6 ล้านครัวเรือน มีการรับชมเคเบิลและทีวีดาวเทียม 64% หรือ 14.5 ล้านครัวเรือน อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตในปีหน้า จากการพัฒนาคอนเทนท์ช่องรายการใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ ทั้งจากฝั่งเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม

เมื่อเป็นสื่อที่เข้าถึงฐานผู้ชมจำนวนมาก จึงกลายเป็น "สื่อ"กระตุ้นความสนในกลุ่มผู้ลงโฆษณาและมีเดีย เอเยนซี่ อีกทั้งหากพิจารณา "ราคา" โฆษณาในช่องทีวีดาวเทียมยังถือว่า "ห่าง"จากราคาสปอตโฆษณาทางฟรีทีวี จึงเป็นสื่อที่ผู้ลงโฆษณาให้ความสนใจเกาะกระแสความนิยมในปีหน้า

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.อาร์เอส เจ้าของ "ทีวีดาวเทียม" 5 ช่อง ประเมินว่าภาพรวมโฆษณาผ่านสื่อทีวีดาวเทียมยังเติบโตได้อีกมาก

แม้ก่อนหน้านี้จะขยายตัวในอัตราสูงก็ตาม โดยสิ้นปีนี้คาดว่าเติบโตราว 50-60% มูลค่าราว 4,200 ล้านบาท สัดส่วนราว 7% ของงบโฆษณาฟรีทีวี ขณะที่ปี 56 คาดว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% หรือมูลค่าราว 9,000 ล้านบาท

อาร์เอส จึงมีความมั่นใจลงทุนพัฒนาคอนเทนท์ใหม่ๆ ในช่องทีวีดาวเทียมทั้ง 5 ช่อง ทั้งการลงทุนใน "ช่อง 8" ราว 150 ล้านบาท, ปรับโฉมช่องใหม่ "สตาร์แม็กซ์" อีก 150 ล้านบาท และเตรียมขยายธุรกิจเพย์ทีวีผ่านกล่องซันบ็อกซ์ เพื่อรับชมฟุตบอล "ลาลีกา สเปน" ในปีหน้า ด้วยเป้าหมายผลักดันรายได้จากธุรกิจทีวีดาวเทียมทะลุ 1 พันล้านบาทในปี56 จากรายได้ 550 ล้านบาทในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นเกือบ "เท่าตัว"

อีกสื่อที่อยู่ในกระแสการเติบโตปีหน้า คงต้องยกให้ "ดิจิทัล มีเดีย" ที่ตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในการเสพสื่อแบบ "ทุกที่ ทุกเวลา" ผ่านสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต ที่กลายเป็นอุปกรณ์ติดตัวคนรุ่นใหม่ และผู้บริโภควัย 25-35 ปี

ศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) บอกว่าจากการจัดทำตัวเลขมาตรฐานการใช้งบโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล ใน 6 ประเภท ประกอบ ดิสเพลย์ หรือโฆษณาแบนเนอร์บนเว็บไซต์ ,เสิร์ช ทั้ง SEO SMO และโมบาย เสิร์ช, โซเชียล มีเดีย คือ การบริหารเพจ บล็อกเกอร์ Influencer, ครีเอทีฟ คือการสร้างเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค แอพ และการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลในกลุ่มสื่อนอกบ้าน, โมบาย การโฆษณาทางมือถือ โมบาย แอพ เอสเอ็มเอส และ อื่นๆ

สมาคมฯได้สรุปตัวเลขการใช้งบโฆษณาสื่อดิจิทัลในปีนี้คาดมีสัดส่วน 2.47% ของภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณา หรือมีมูลค่า 2,968 ล้านบาท เติบโตกว่า50% และปีหน้าประเมินขยายตัวต่อเนื่อง 50% หรือมีมูลค่า 4,500 ล้านบาท ถือว่าเติบโตกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อหลัก

โดยเครื่องมือทั้ง 6 ประเภทมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา "สองหลัก" ด้วยปัจจุบันสินค้าและบริการเกือบทุกประเภทมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ผ่านสื่อดิจิทัลในอัตรา"เพิ่มขึ้น" ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับต่างประเทศ

จากแนวโน้มที่ผู้บริโภคยัง "เท" เวลาอยู่กับสื่อดิจิทัลเพิ่มขึ้น และจะยิ่งสูงขึ้นอีกหากประเทศไทยสามารถเปิดให้บริการ 3G หรือโมบาย บรอดแบนด์ที่จะช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในวงกว้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4306

โพสต์

เอามาฝากเพื่อน อ่านแล้วก็ "โดน" อีกแล้ว

บทความของคุณ สุมาอี้ ครับ
งานที่ใช่

คนที่รู้ตัวเองมาตั้งแต่ต้นว่าตัวเองชอบทำงานอะไรนั้น นับว่าเป็นคนส่วนน้อยมากๆ ในโลกใบนี้

ถ้าสังเกตจากคนรอบข้าง ผมพบว่า ช่วงอายุ 20-30 ปีของคนส่วนใหญ่ จะเป็นช่วง soul-searching กล่าวคือ ก็ทำงานประจำอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่นั่นแหละ แต่ลึกๆ ในใจจะสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า เราเหมาะกับงานที่เรากำลังทำอยู่แน่หรือ เรากำลังมาผิดทางอยู่รึเปล่า ฯลฯ

บางคนถึงขั้นเปลี่ยนงานบ่อยมากๆ ในช่วงวัยนี้ แต่ก็พบว่าไม่ว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปทำงานไหน มันก็ยังไม่ใช่เลยสักอย่างเดียว พออายุ 30 ก็เลยยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน บางคนใช้วิธีหนีไปเรียนต่อเพื่อหลีกเลี่ยงชีวิตทำงานที่มีแต่งานที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าชอบ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้แน่ใจด้วยว่าสายงานที่ไปเรียนต่อนั้น คือสายงานที่เราชอบจริงๆ แต่เรียนต่อเพื่อซื้อเวลาที่จะต้องตัดสินใจให้เลื่อนออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น บางคนเรียนต่อปริญญาโทจนจบแล้วก็มาพบอีกว่า สิ่งที่เรียนไปก็ไม่ใช่อยู่ดี แต่ตอนนี้แก่กว่าเดิม กลายเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งยากลำบากมากขึ้น

กว่าคนส่วนใหญ่จะเริ่มพอจะบอกได้ว่า ตัวเองเหมาะกับงานอะไรกันแน่ ส่วนใหญ่อายุก็จะปาไปประมาณ 30-40 ปี แต่ทว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่เริ่มมีครอบครัว หรือบางคนก็มีแล้ว ถ้าจะผันตัวเองไปสู่สายงานที่อยากทำจริงๆ เดิมผันจะเริ่มสูง อาจต้องยอมเสียเวลาเรียนต่อโทในคณะที่ตรงเพื่อเป็นใบเบิกทางให้สามารถสมัครงานในสายใหม่ที่ต้องการนั้นได้ ซึ่งต้องยอมทั้งเสียเวลาและทิ้งประวัติการทำงานในสายอาชีพเดิมไปเลย แต่ถ้าใครลังเลหรือเสียดาย career path เดิมก็อาจจะเปลี่ยน field ไม่ทันในช่วงนี้

พอเข้าวัย 40 ปี ตอนนี้ความชอบจะเริ่มไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ความมั่นคงทางการเงินจะเริ่มเข้ามาเป็นประเด็นสำคัญมากกว่า คนที่เบนเข้าหาสายอาชีพที่ตัวเองชอบไม่ทันก่อนจะถึงช่วงนี้ มักต้องล้มเลิกความฝันไปเลย เพราะอายุมากขึ้น เปลี่ยนงานยากมากแล้ว ความมั่นคงของรายได้ต้องมาก่อน ตอนนี้งานอะไรก็ได้ที่มั่นคงและตอบสนองเรื่องรายได้ได้ดีที่สุดคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ถ้างานที่ทำอยู่ไม่ได้ชอบ ก็ต้องพยายามหาเหตุผลที่จะชอบมันให้ได้ อะไรที่เคยใฝ่ฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะทำก็เป็นอันสรุปได้ว่า ชีวิตนี้คงไม่ได้ทำแน่ๆ แล้ว ก้มหน้าก้มตาทำงานปัจจุบันต่อไปให้ดีที่สุดแทน

ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้นะครับ ไม่มีอะไร “เป๊ะ” เลยสักอย่างเดียว ออกแบบไม่ได้ ไม่มีเส้นทางง่ายๆ ให้เดินเป็นเส้นตรงแบบม้วนเดียวจบตั้งแต่เริ่มแรก

สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผมนึกถึงคำแนะนำของ สตีฟ จ๊อบส์ มากที่สุด เค้าบอกว่า ถ้าเรามีโอกาสได้ทำอะไรก็ให้ทำๆ ไปเยอะๆ เลย สุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เราเคยทำจะกลับมามีประโยชน์ต่อเราได้เองอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดไว้ก่อนเมื่อเวลาของมันมาถึง

ถ้าเรามัวแต่คิดว่าเรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วเราจะทำอะไร เราก็เลยยังไม่ยอมทำอะไรเลยสักอย่างเพื่อกลัวจะผิดทาง หรือกลัวจะเปลืองแรง กลายเป็นคนที่เกี่ยงงาน สุดท้ายแล้วเราจะปล่อยช่วงเวลาทำงานในชีวิตของเราให้ผ่านไปเฉยๆ โดยไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถ้าเราพยายามทำงานได้มากที่สุด ไม่ปล่อยโอกาสที่เข้ามาตรงหน้าพอดีให้ผ่านเลยไปเฉยๆ สุดท้ายแล้ว ความที่เราได้ผ่านอะไรมาเยอะ มันจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราประสบความสำเร็จได้เอง

อีกอย่างหนึ่งคือ ผมคิดว่าคนเราควรตั้งเป้าหมายอะไรสักอย่างหนึ่งไว้เสมอ ตัวอย่างเช่น อีกสามปีข้างหน้าเราจะไปอยู่ตรงไหนให้ได้ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเป้าหมายที่เราตั้งไว้มักจะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่เราจะได้ทำ แต่ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายอะไรเลย เราจะเป็นคนหลักลอย ทำงานก็ไม่เต็มที่ การตั้งเป้าหมายเป็นเพียงอุบาย ที่ช่วยให้เรามีแรงผลักดันในการทำงาน สุดท้ายถึงแม้เราไม่ได้บรรลุเป้าหมายนั้น แต่มันมักจะเป็นสิ่งที่่ที่นำพาเราไปสู่อย่างอื่นที่ใช่มากกว่าได้
http://www.dekisugi.net/blog/archives/26819
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4307

โพสต์

เตือนกันนิดครับ

หมอๆทั้งหลาย อย่าลืมใช้สิทธิ์เลือกตั้งแพทยสภานะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4308

โพสต์

พี่น้องชาวหมอ VI มีใครไปเที่ยวไหนช่วงปีใหม่บ้างครับ

หรือติดเวร

ผมจำได้ช่วงเปลี่ยนทศวรรษจากปี 1999 ไปเป็น 2000 มีกระแสว่าจะมีปัญหา Y2k คืนสันที่ 31/12/1999

อยู่เวรพอดี เลยได้อยู่เวรข้ามทศวรรษกันเลยทีเดียว :mrgreen:
Dr.Jfk
Verified User
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4309

โพสต์

หวัดดีครับ หมอมุก และเพื่อนๆ

ผมเอง เพิ่งกลับจากสำรวจถ้ำกองลอ ที่แขวงคำม่วน ที่ลาว กับแวะไปเดินเสียว บนสะพานไม้ที่ ภูท่อกบึงกาฬ กลับมา

http://www.facebook.com/Dr.JfkThai/photos_albums

ส่วนปีใหม่นี้28-1มค. แพลนกระทันหันเมื่อวานซืน จัดกรุ๊ป ครอบครัวและเพื่อนๆ สนิท บินไปไซง่อน แล้ว ต่อรถไปมุยเน่ กับ ดาลัด แล้วย้อนกลับมาขึ้นเครื่องบินกลับ

แต่เมื่อเย็น บริษัททัวร์ แจ้งมาว่า โรงแรมเวียดนามตอนนี้ ทั้ง สามดาว สี่ดาว ห้าดาวเต็มหมดหาห้องไม่ได้

วันนี้เลยฝากให้ลองกลัีบไปหาใหม่ กี่ดาวก็เอา โฮมสเตย์ก็ไม่เกี่ยง

ถ้าไม่ได้จริงคงเปลี่ยนแผน ขัีบรถ เข้าเวียงจันทร์ แล้วเลยไปเล่นน้ำ ที่วังเวียง แทน

ขอให้เพื่อนๆ ชาว VI ทุกคน มึความสุขรับปีใหม่ทุกท่านครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4310

โพสต์

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ

ผมอยู่ในช่วงเดินทางท่องเที่ยวครับ

ขออำนวยพรให้พี่น้องชาวชมรมหมอ VI มีสุขภาพดีแข็งแรง มีความสุข พอร์ตใหญ่ขึ้นตามดังใจหมายทุกท่านครัย

กลับเมืองไทยแล้วจะเอารูปสวยๆไปฝากครับ
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4311

โพสต์

เเอบดูในFACEBOOKพี่มุขเเล้ว อิ อิ...ที่ญี่ปุ่นคงปีใหม่ไปเเล้วนะครับ

ส่วนทางนี้ยังไม่ถึงปีใหม่เเต่ขออวยพรเพื่อนๆล่วงหน้าให้มีความสุขในปีใหม่2013นะครับ :D
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
birthboro
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 458
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4312

โพสต์

สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน มีความสุขมากๆทุกคนนะครับ :D
หมอวิ
Verified User
โพสต์: 272
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4313

โพสต์

สวัสดีปีใหม่เพื่อนแพทย์ทุกท่าน มารายงานตัวครับ เพ่ิงได้เห็นกระทู้เม่ือวาน อ่านเพลินเลย
"อย่ากลัวตกรถ" ...ถึงจะดี ถ้าไม่ถูก ก็ไม่ซื้อ
"อย่ากลัวติดดอย" ...ถ้าถูกพอ ก็ซื้อ ไม่รอราคาต่ำสุด
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4314

โพสต์

birthboro เขียน:สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน มีความสุขมากๆทุกคนนะครับ :D
ขอโทษครับ คุณbirthboroจิ้มผิด ใช้มือถืออะครับ...+1ครับ :oops:
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
WABISABI
Verified User
โพสต์: 103
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4315

โพสต์

ขอเป็นน้องใหม่ด้วคนครับ ฝากเนื้อฝากตัวพี่ๆ
ผมเริ่มสนใจ Value Investing เมื่อสามสี่เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ
เพราะไปงานเลี้ยงรุ่น เจอเพื่อคนนึงทักผมว่าน่าจะคิดถึงการลงทุน การออมไว้
เพราะทำงานหนัก ได้เงินเบี้ยเลี้ยงมา ค่าอยู่เวร เงินตกเบิกต่างๆ มากก็จริงแต่แก่ตัวจะลำบาก
เพราะทำงานหนักๆไม่ไหวเหมือนตอนนี้

จากเดิมที่เป็นคนไม่เคยวางแผนการออม ก็ได้กลับมาคิดครับ จากที่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วก็เลยหาหนังสือมาอ่าน
จนเจอแนวทางแบบ VI ก็เลยคิดว่าใช่ และเหมาะกับตัวผมเองที่สุด
ก่อนหน้านั้น ตอนที่เข้าร้านหนังสือ ก็เริ่มสังเกตว่ามีหนังสือหุ้นเต็มไปหมด เอะใจนิดนึงว่าเราคงมาช้าไป แล้วก็จริงฮะ
ตอนนี้หุ้นดีก็มีราคาแพงไปเกือบหมดแล้ว(เท่าที่หาหุ้นในบริษัทที่ผมรู้จักและชอบ)


ตอนนี้ตั้งเป้าหมาย ถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งลงทุนในกิจการที่สนใจ
เป้าหมายของผมในปีนี้คือ
1 อ่านหนังสือให้มากขึ้นอีก
2 ฝึกแกะงบการเงิน
3 คิด valuation โดย DCF ให้เป็น
4 หวังผลตอบแทนปีนี้ น้อยตามความรู้ที่มี และ MOS ที่เหลือน้อย ให้เอาชนะกองทุน ถึงเท่าตลาดก็ดีครับ


ฝากเนื้อฝากตัวไว้ปรึกษาพี่ๆด้วยนะครับ
ซาบิ ; ความงามที่ผ่านคุณค่าของกาลเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4316

โพสต์

detachment เขียน:สวัสดีปีใหม่เพื่อนแพทย์ทุกท่าน มารายงานตัวครับ เพ่ิงได้เห็นกระทู้เม่ือวาน อ่านเพลินเลย
Welcome kub :D :welcome:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4317

โพสต์

WABISABI เขียน:ขอเป็นน้องใหม่ด้วคนครับ ฝากเนื้อฝากตัวพี่ๆ
ผมเริ่มสนใจ Value Investing เมื่อสามสี่เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ
เพราะไปงานเลี้ยงรุ่น เจอเพื่อคนนึงทักผมว่าน่าจะคิดถึงการลงทุน การออมไว้
เพราะทำงานหนัก ได้เงินเบี้ยเลี้ยงมา ค่าอยู่เวร เงินตกเบิกต่างๆ มากก็จริงแต่แก่ตัวจะลำบาก
เพราะทำงานหนักๆไม่ไหวเหมือนตอนนี้

จากเดิมที่เป็นคนไม่เคยวางแผนการออม ก็ได้กลับมาคิดครับ จากที่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วก็เลยหาหนังสือมาอ่าน
จนเจอแนวทางแบบ VI ก็เลยคิดว่าใช่ และเหมาะกับตัวผมเองที่สุด
ก่อนหน้านั้น ตอนที่เข้าร้านหนังสือ ก็เริ่มสังเกตว่ามีหนังสือหุ้นเต็มไปหมด เอะใจนิดนึงว่าเราคงมาช้าไป แล้วก็จริงฮะ
ตอนนี้หุ้นดีก็มีราคาแพงไปเกือบหมดแล้ว(เท่าที่หาหุ้นในบริษัทที่ผมรู้จักและชอบ)


ตอนนี้ตั้งเป้าหมาย ถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งลงทุนในกิจการที่สนใจ
เป้าหมายของผมในปีนี้คือ
1 อ่านหนังสือให้มากขึ้นอีก
2 ฝึกแกะงบการเงิน
3 คิด valuation โดย DCF ให้เป็น
4 หวังผลตอบแทนปีนี้ น้อยตามความรู้ที่มี และ MOS ที่เหลือน้อย ให้เอาชนะกองทุน ถึงเท่าตลาดก็ดีครับ


ฝากเนื้อฝากตัวไว้ปรึกษาพี่ๆด้วยนะครับ
Welcome krub :D :welcome:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4318

โพสต์

เอามาฝากครับ

หลังจากที่ต้องลุ้นตัวโก่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่าสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขนาดมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี ) เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากยูโรโซน จะสามารถเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังหรือ Fiscal Cliff สำเร็จหรือไม่ ก่อนที่สภาคองเกรส (1 มกราคม 2556 )

มติวุฒิสภา 89 :8 เสียง และสภาผู้แทนราษฎร 257:167 จะคลอดร่างกฎหมาย Fiscal Cliff ด้วยการขึ้นภาษีคนรวยที่มีรายได้สูงกว่า 4.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี เป็น 39.6% จากเดิมที่ 35% พร้อมให้คงอัตราภาษีเงินได้บุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่า 4 แสนดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี และครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 4.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีต่อ ทั้งยังให้ชะลอการลดรายจ่ายงบประมาณออกไปอีก 2 เดือน

มติดังกล่าวทำให้โลกถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะ หาไม่แล้ว การเดินหน้ามาตรการขึ้นภาษีและการปรับลดงบประมาณรายจ่ายขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นเงินกว่า 6.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้ หรือรวม 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 10 ปี จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยอย่างรุนแรงในปีนี้ ซึ่งเปรียบเปรยเหมือนตกหน้าผาการคลัง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกสะบักสะบอมตามไปด้วย

ผลจากการคลอดร่างกฎหมายฉบับนี้ จึงทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ยังมีกำลังซื้อ และขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้ระดับ 1.5-2.0% ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคส่งออกของไทย ประเทศคู่ค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดรวม 10.7% ของมูลค่าตลาดส่งออกรวม
*สศช.ลุ้นส่งออกโต 12%

กับผลต่อเศรษฐกิจไทย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ร่างกฎหมาย Fiscal Cliff รวมถึงการดำเนินนโยบายเพิ่มปริมาณเงินในระบบ (QE3/4 ) อย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯถึงเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับนโยบายของประเทศผู้นำในเอเชียอย่างจีนหรือญี่ปุ่น ต่างให้ความสำคัญการเติบโตเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายอัดฉีดเงินเช่นกัน ส่งผลดีต่อภาคส่งออกไทย ซึ่งน่าจะโตได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์วางไว้ที่ 9% หรืออาจขยายตัวถึง 12% ในปีนี้

เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่าผลจากการคลอดร่างกฎหมาย Fiscal Cliff จะสร้างความมั่นใจ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตปีนี้ที่ 1.9% ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาคส่งออกไทยไปสหรัฐฯ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกของไทยอาจขยายตัวเร่งขึ้นไปที่ 10-15% หรือค่ากลางที่ 12.5% ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในระดับประมาณ 5.0%

*ผลต่อภาคการเงิน

นอกจากนี้การเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง ยังทำให้นักเศรษฐศาสตร์ฟันธงกันว่าผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกในรอบปี ( 9 มกราคม 2556) กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรืออาร์/พีต่อที่ 2.75% โดยผลหลักคือ ความเสี่ยงลดลง โดยบทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ฯ ระบุว่า ปัจจัยความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและภายนอกประเทศมีแนวโน้มลดลง และการผ่านร่างกฎหมาย fiscal cliff ส่งผลทำให้จิตวิทยาการลงทุนทั่วโลกดูดีขึ้น ส่งผลให้การประชุม กนง.นัดแรกของปีนี้ คาดว่าธปท. จะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อที่ 2.75%

*ยังมีอีก 3 หน้าผาการคลัง

อย่างไรก็ดีแม้ตลาดเงินจะรับข่าวดีจากความคืบหน้าแผนการแก้ฐานะการคลังสหรัฐฯในเบื้องต้น แต่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องลุ้นกับการรับมืออีก 3 หน้าผา ในอีก 2 เดือนข้างหน้า กล่าวคือ 1.การเจรจาขยายเพดานหนี้สาธารณะในช่วงปลายเดือน กุมภาพันธ์ หากล้มเหลวจะส่งผลให้สหรัฐฯผิดชำระหนี้ทันทีซึ่งเปรียบเหมือนหุบเหวหนี้สาธารณะที่รออยู่ข้างหน้า 2.การเจรจาตัดลดงบประมาณรายจ่ายอัตโนมัติ วงเงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 10 ปีที่จะเริ่มตั้งแต่ปีนี้ โดยเริ่มเจรจาเดือนมีนาคมนี้ และ 3.การเลื่อนพิจารณาอนุมัติงบประมาณของประเทศ ที่จะหมดอายุลงช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังห่วงว่า การผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ยิ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงซ้ำเติมยอดขาดดุลงบประมาณสหรัฐฯให้เพิ่มยิ่งขึ้นอีก หลังสำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) ระบุว่ารัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในระยะเวลา 10 ปี จากผลของการขยายมาตรการภาษีต่ำให้กับชนชั้นกลางถึงล่างเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ต่อเรื่องนี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าวหลังการประชุมกับคณะกรรมการกลั่นกรองด้านเศรษฐกิจเพื่อติดตามแผนการเลี่ยงภาวะการคลังสหรัฐฯเมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา ว่าประเทศต่างๆหรือไทยเอง คงจะไปหวังผลระยะสั้นจากสหรัฐฯ ว่าจะเป็นกลจักรทางเศรษฐกิจของโลกคงไม่ได้ ทุกประเทศต้องหันมาดูแลความพร้อมของตัวเองด้วย

โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2555 หรือขยายเกินกว่า 5% ตามที่สศช.คาดการณ์จีดีพีปี 2556 ไว้ที่ 5.5% ซึ่งแรงขับเคลื่อนจะมาจากการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก ตามด้วยการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว
"จะต้องเน้นดูแลในส่วนอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนที่มากจนเกินไป" กิตติรัตน์ ย้ำ

สอดคล้องกับ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าการผ่านร่างกฎหมาย Fiscal Cliff ส่งผลต่อบรรยายการเชิงบวกระยะสั้นต่อตลาดการเงินโลกและไทย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามอีก 2 เดือนข้างหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเองยังมีอุปสรรคอีกหลายเรื่องให้ต้องแก้ไขในระยะยาว

ส่วนมุมของนายธนาคาร ตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า "ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดโดยรวมน่าจะได้รับผลบวกจากกฎหมาย Fiscal Cliff แต่การันตีไม่ได้ว่าจะเกิดผลบวกระยะยาวจนถึงปลายปีหรือไม่ อีกทั้งต้องจับตาผลกระทบจากการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป การเปลี่ยนผู้นำของญี่ปุ่นและจีน ที่ส่งผลให้ตลาดเงินและตลาดทุนผันผวนอยู่เป็นระลอก โดยเฉพาะการไหลเข้าของเงินทุนและภาคการส่งออก"
ขณะที่ บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง บมจ.ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย แสดงความเป็นห่วงว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาสถดถอย เนื่องจากรัฐบาลยังเป็นตัวถ่วงซึ่งต้องติดตามเดือนมีนาคมว่า การแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สาธารณะและตัดลดงบประมาณรายจ่ายเป็นอย่างไร

มุมมองดังกล่าวชี้ชัดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่น่าวางใจเพราะยังมีอีก 3 หน้าผาการคลังที่ต้องลุ้นกันอีก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,807 วันที่ 6 - 9 มกราคม พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4319

โพสต์

กลุ่มบริษัทอเด็คโก้เผยผลสำรวจอาชีพในฝันเด็กพบ "แพทย์" อันดับ1 "วิศวกร"มาอันดับ2 มองการอยู่กับครอบครัวสำคัญกว่าการหาเงินมากๆ

กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจหัวข้ออาชีพในฝันของเด็กไทย ครั้งที่ 4 โดยถามคำถามง่ายๆ 6 คำถามกับเด็กอายุ ระหว่าง 7-14 ปีพบว่า อาชีพในฝันยอดฮิต 4 ปีซ้อนของเด็กคือ การเป็นแพทย์ ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากช่วยเหลือผู้คน และช่วยรักษาคนไข้ และสมาชิกในครอบครัว โดยมีความต้องการด้านรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100 ถึง 10,000,000 บาท อย่างไรก็ตามในปีนี้ อาชีพ ครู ตกอันดับลงไปเป็นอันดับที่ 5 รองจากอาชีพ วิศวกร ตำรวจ นักธุรกิจ ซึ่งได้มาแทนที่อาชีพ ทนายความ พ่อครัว ซึ่งเป็นอาชีพในฝันอันดับรองลงมาในปีที่แล้ว

ผลการสำรวจยังพบว่าเด็กๆมีความแตกต่างทางความคิดเป็นอย่างมากในเรื่องของอาชีพในฝัน ในขณะที่เด็กบางส่วนอยากทำงานเพื่อช่วยสังคม โดยเลือกเป็น “คุณหมอ” ก็ยังมีเด็กบางคนชอบสนุก ชอบออกกำลังโดยเลือกเป็น “นักเต้นบีบอย”
นอกจากนี้ เด็กๆ ยังแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขัน เช่นเด็กส่วนหนึ่งกล่าวว่าอยากเป็นตำรวจ จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับ หรือ เด็กอีกคนหนึ่งกล่าวว่าอยากเป็นนักเขียนโปรแกรมเนื่องจากจะได้เขียนโปรแกรมเกมส์สำหรับตนเองได้เล่นสนุกได้อย่างใจคิด

ผลจากการสำรวจในปีนี้พบว่า “ทหาร” ยังเป็นอาชีพที่เท่ห์ที่สุดเช่นเดียวกับปีที่แล้ว ส่วนอันดับรองลงมา คือ ตำรวจ และ แพทย์
สำหรับการสอบถามเด็กๆว่า ถ้าหากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทย 3 สิ่งที่ต้องการทำคืออะไร? เด็กๆส่วนใหญ่ให้คำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความรับผิดชอบสูง อาทิเช่น ปกป้องดูแลประชาชน, พัฒนาประเทศ และพัฒนาระบบการศึกษาให้กับประชาชนในเขตทุรกันดาร, สร้างความสามัคคี, ลดปัญหาเรื่องยาเสพติดและการเล่นการพนัน, พัฒนาระบบสาธาณูปโภคของท้องถิ่น เช่น ถนน ขนส่งมวลชน โรงพยาบาล เป็นต้น, รักษ์โลกด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อม, ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น

สำหรับคำถามที่ถามเด็กๆว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว หรือ การหาเงินได้มากๆ ผลการสำรวจพบว่า เด็กๆผู้เป็นอนาคตของชาติมากกว่าร้อยละ 94 บอกว่า การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสำคัญกว่าการหาเงินให้ได้มากๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวได้ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีในการเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านี้ ทำให้เด็กๆเหล่านี้ เห็นความสำคัญของครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง

ผลการสำรวจยังพบอีกว่า เด็กๆ ยังคงให้ความสำคัญกับการเรียน โดยจะพยายามตั้งใจเรียนให้มากขึ้น และเรียนให้เก่งขึ้นในปี2556 เด็กๆหลายคน ก็ยังอยากใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนให้มากยิ่งขึ้น และ บางส่วนก็อยากทำงานช่วงวันหยุดเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัว

http://www.posttoday.com/สังคม/สังคมทั่ ... ฝันเด็กไทย
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4320

โพสต์

แล้วพวกหมอๆตอนนี้ ตอนเด็กอยากเป็นอะไรกันบ้าง?

ผมก่อนเลย อยากเป็นบุรุษไปรษณีย์ จะได้ซอกแซกไปทุกที่ส่งจดหมาย
กะเป็นนักขับรถแข่ง


อีกอย่าง อยากรู้อีกเหมือนกันว่า
พวกลูกหมอ อยากเป็นหมอมั้ย
พวกหมอ อยากให้ลูกเป็นหมอป้ะ?
samatah