สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1471

โพสต์

รูปภาพ
สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
21 ธ.ค.--ไทยรัฐ

Distributor -- Bisnews AFE


'ทักษิณ'ยอดซีอีโอ พล.อ.ประยุทธ์ได้ภาครัฐ 'เสี่ยตัน'ที่สุดของเอกชน
เผยผลสำรวจสุดยอด CEO ไทยปี 2555 "ตัน-ทักษิณ-ประยุทธ์" ครองตำแหน่งในภาคเอกชน กลุ่ม
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยและภาครัฐ ขณะที่สุดยอดวาทกรรมทางการเมืองแห่งปีได้แก่ลีฮอต
"การเมืองคือละคร" ของตู่-จตุพร ตามด้วย "โกหกสีขาว" ของกิตติรัตน์ ณ ระนอง และวลีแสบถึงกึ๋น
"มีวันนี้เพราะพี่ให้" ของเดอะแจ้ด-คำรณวิทย์

ทุบหัวแทงพรุนล่าโจ๋โหดอาละวาดฆ่าชิงเงิน หวดพ่อค้าลูกชิ้นกะโหลกยุบหลังฟาดหัวคนขายก๋วยเตี๋ยวแฉเดน
นรกเป็น2วัยรุ่นจยย.

ฆ่าโหดชิงทรัพย์พ่อค้าลูกชิ้นทอด แทงยับ 12 แผลไม่พอ ใช้ไม้หน้าสามหวดท้ายทอยจนกะโหลกยุบ
ตายสยองคาถนนบางขุนเทียนชายทะเล ตำรวจสงสัยคนร้ายเป็นวัยรุ่น 2 คน ที่เพิ่งก่อเหตุชิงทรัพย์และทำ
ร้ายเจ้าทรัพย์พ่อค้าขี่รถเครื่องขายก๋วยเตี๋ยวด้วยการใช้ไม้หน้าสามฟาดหัว บาดเจ็บปางตายเมื่อครึ่งชั่วโมง
ก่อนหน้า ที่ปากซอยสะแกงาม 12 ห่างจุดพบศพประมาณ 1 กิโลเมตร

ม็อบสวนปาล์มเลิกปิดถนน รัฐบาลยอมรับซื้อแล้วกิโลกรัมละ 4-4.35 บาท สมาคมโต้ราคาไม่ขยับ
ม็อบสวนปาล์มน้ำมันที่รวมตัวปิดถนนเพชรเกษมเรียกร้องให้รัฐบาลแทรกแซงราคารับซื้อปาล์ม กก.ละ
5 บาท ในที่สุดยอมสลายตัวหลัง ผวจ.ชุมพรชี้แจงรัฐบาลยอมรับซื้อในราคา 4-4.35 บาทต่อกิโลกรัมและ
จะหามาตรการให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ทำให้ผู้ชุมนุมยอมสลายตัว ขณะที่นายกสมาพันธ์สมาคมชาวสวน
ปาล์มแห่งประเทศไทย อัดกลับราคารับซื้อปาล์มยังไม่ขยับเพราะรัฐไม่มีขั้นตอนใดๆ มารองรับ เชื่อราคายัง
ไม่ขยับขึ้นจนพ้นปีใหม่

แม่-พี่ 'ราเมศ'ยังไม่ให้สอบเตรียมแจ้งป.
"เฉลิม" บอกถาม "แจ้ด" แล้วคดีราเมศ ออกปากการันตีตำรวจบู๊ลิ้ม ไม่คิดเล็กคิดน้อย ขณะที่
ตำรวจยกทัพสอบปากคำเหยื่อโหดที่อาการดีขึ้นถึงโรงพยาบาล แต่ญาติยังไม่ยอมให้สอบปากคำ รอง
ผบช.น.คนนำทีมบอกอยากถามราเมศวันเกิดเหตุไปไหนมาบ้างเพราะกล้องวงจรปิดส่วนใหญ่มีระยะบันทึก
ภาพแค่ 7 วันก่อนลบอัตโนมัติ ด้าน โฆษกพรรคประชาธิปัตย์บอกญาติราเมศเตรียมเข้าแจ้งกองปราบปราม
เพราะไม่มั่นใจคู่กรณีเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนสูงสุดของนครบาล พร้อมทิ่มหมัดตรงคนทำร้ายราเมศเป็น
อดีตตำรวจชั้นประทวน 2 นาย เคยรับราชการอยู่ที่เมืองนนท์ด้วย

ไทยได้ที่3โลกคนมีความสุขมองโลกแง่ดี
เผยไทยเป็นชาติที่คนมีความสุขและมองโลกในแง่ดีอันดับ 3 ของโลก จากการสำรวจของสำนักโพ
ลในสหรัฐฯ เป็นรองปานามาที่คนมีความสุขที่สุดในโลก แม้เศรษฐกิจจะย่ำแย่ เช่นเดียวกับกัวเตมาลา
ที่ผู้คนสุขมากในระดับแถวหน้า ทั้งที่ประเทศชาติเผชิญสงครามกลางเมืองยาวนานหลาย 10 ปี และเต็มไป
ด้วยคดีอาชญากรรมรุนแรงสูงสุดของโลก แต่ที่น่าแปลกใจคือกาตาร์ผู้คนรวยล้นเหลือชนิดคาบช้อนทองมา
ตั้งแต่เกิด แต่ความรวยกลับไม่ได้ช่วยให้มีความสุข

เมียไม่ให้กอดแขวนคอตายผู้ต้องหาวิ่งราวเครียดหนัก
ผู้ต้องหาคดีวิ่งราวทรัพย์เครียดจัด แขวนคอตายในห้องขัง สน.สามเสน หลังถูกจับได้พร้อมของกลาง
ด้านผู้กำกับหัวหน้าโรงพักบอก คนตายก่อคดีมาไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง เตรียมนำตัวไปให้เจ้านายแถลงข่าว
ที่ บช.น.แต่กลับชิงแขวนคอตายก่อน ขณะญาติเผย น่าจะมาจากความเสียใจที่เมียไม่ให้กอดก่อนเข้าห้องขัง
วอนเจ้าทุกข์อโหสิกรรมให้ด้วย

'ปู'รับห่วงประชามติ พระไทยในอินเดียอวยพรนายกฯนั่งในหัวใจคนไทย
"ยิ่งลักษณ์" ยอมรับห่วงจำนวนเสียงประชามติ แต่หวังให้เป็นทางออกที่ลงตัวได้ "ขุนค้อน" ชม
นายกฯไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่ฟันธงเป็นไปได้ยากที่คนจะออกมาใช้สิทธิเกินครึ่งแนะถ้าประชามติไม่ผ่าน
ให้ยื่นแก้ไขรายมาตราแต่ถ้าผ่านให้โหวตวาระ 3 ต้นเดือน ส.ค.56 "เหลิม" ตอกย้ำฝืนลุยต่อก็เหนื่อยเปล่า
"อภิสิทธิ์" สอนรัฐบาลตั้งหลักใหม่ แนะทุกพรรคร่วมถกหาทางออกต้องเลิกคิดช่วยล้างผิดให้ "นายใหญ่"
ศาลอาญามีคำสั่งคดีไต่สวนชันสูตรศพเด็กชายวัย 14 ที่ตายในช่วงเหตุการณ์กระชับพื้นที่ม็อบเสื้อแดง ระบุ
เสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนจากปืนของทหาร "ก่อแก้ว" ได้เฮศาลออกหมายปล่อยตัวมีผลวันที่ 21 ธ.ค.
อนุญาตให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แต่ต้องกลับมาติดคุกอีกหลังปิดสมัยประชุมสภา

สรุปข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ทัพนักธุรกิจไทยบุกเมียนมาร์ สภาหอการค้าจับจ้องกฎหมายใหม่ดึงนักลงทุน
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพาคณะนักธุรกิจดูลู่ทางการค้า การลงทุน ในสหภาพเมียนมาร์
สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมาร์ชี้รัฐบาลเพิ่งคลอดกฎหมายว่าด้วยการลงทุนของต่างชาติ ชักชวน
ธุรกิจไทยร่วมลงทุน ด้านนักธุรกิจไทยย้ำให้จับตามองกฎหมายลูกหรือกฎกระทรวงที่จะออกตามมาในเดือน
ก.พ.2556 ว่าจะกำหนดให้สัดส่วนการร่วมทุนของชาวต่างชาติกับคนในประเทศในสัดส่วนเท่าใด

ทุบสถิติ! ยอดนำเข้าน้ำมันพุ่งทะลัก
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่ายอดนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
(น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซหุงต้ม) ของไทยปีนี้ คาดว่าจะอยู่ระดับกว่า 929,000 บาร์เรลต่อวัน
คิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่านำเข้าทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากปี
2554 เคยทำสถิตินำเข้าไว้ที่ 837,000 บาร์เรลต่อวันมูลค่านำเข้าอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท เนื่องจาก
ความต้องการเพิ่มขึ้นรวมถึงราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐฯต่อตันและก๊าซหุงต้ม
(แอลพีจี) เฉลี่ย 800 เหรียญฯต่อตัน ถือเป็นราคาที่สูงเช่นกัน

ธปท.ชี้เงินนอกไหลเข้าไทยเกาะทางแก้หน้าผาการคลัง
นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติได้
ขายทำกำไรหุ้นไทยออกไปช่วงหนึ่งเมื่อช่วงสิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่าน แม้ว่าตลาดการเงินในขณะนี้จะอยู่ในภาวะ
ที่เข้าสู่ช่วงวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่แล้ว ขณะที่ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาส 3 แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
แต่ถือว่ายังไม่มีอะไรผิดปกติหรือน่าเป็นห่วง ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง
บ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับภูมิภาค เงินทุนนอกไม่ได้ไหลเข้าไทยมากที่สุด ประเทศที่มีเงิน
ไหลเข้ามาคือ เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินเดีย ซึ่งค่าเงินแข็งค่าขึ้นมาก ค่าเงินบาทยังถือว่าเป็นไปตามภูมิภาค
และไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

ดัชนีความเชื่อมั่นทรุด!
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน พ.ย.ที่สำรวจผู้ประกอบการ 1,025 ราย ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม
42 กลุ่ม พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ 95.2 ลดลงจากเดือน ต.ค.ปีนี้ที่ค่าดัชนีอยู่ระดับ 93.0 เป็นค่าดัชนีที่ปรับขึ้น
ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีนี้ โดยมีปัจจัยบวก จากยอดคำสั่งซื้อ ยอดขายประมาณการ
ผลิตและผลประกอบการดีขึ้นแต่ค่าดัชนีที่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงว่าระดับความเชื่อมั่นยังไม่ปกติ ขณะที่ผู้
ประกอบการกังวลเกี่ยวกับ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก การเมืองในประเทศ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ
300 บาท ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานสูงขึ้น

ธปท.สำรองเงิน 6 แสนล้านรับปีใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานการ
สำรองธนบัตรเพื่อรองรับการใช้จ่ายในช่วงเดือนธ.ค.2555 ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปี
ใหม่ปี 2556 โดยระบุว่าธปท.ได้เตรียมสำรองธนบัตรชนิดราคาต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการเบิกจ่าย
เงินไว้อย่างเพียงพอ โดยมีธนบัตรสำรองไว้ประมาณ 600,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการสำรองธนบัตร
เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าจากในเดือนปกติ

โตชิบาปรับแผนรับปีงูเล็ก ประกาศเข้มบุกสินค้านวัตกรรมเต็มสูบ
โตชิบาประกาศเข้มปรับแผนปี 56 บุกสินค้านวัตกรรมใหม่ สินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้าเพื่อความงาม
เต็มสูบ หวังสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและเตรียมตั้งรับเออีซี ลั่นปิดรอบบัญชีปี 55 รายได้โตทะลุ 25%
แน่นอน

ปั้น"เมืองราชประสงค์"ดึงทัพนักท่องเที่ยวเพิ่ม
นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรืออาร์เอสทีเอ เปิด
เผยว่า ในช่วง 2 ปีนับจากนี้สมาคมฯต้องการให้บริเวณย่านราชประสงค์ทั้งหมดที่มีพื้นที่มากกว่า 100 ไร่
ให้กลายเป็น "เมืองราชประสงค์หรือมหานครราชประสงค์" ที่มีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม ที่อยู่อาศัย และ
สวนสาธารณะ รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 58 พร้อมผลักดันให้เป็นแหล่ง
ช็อปปิ้งระดับโลก "ราชประสงค์มีจุดเด่นเหนือกว่าแหล่งช็อปปิ้งชื่อดังในเอเชีย ทั้งสิงคโปร์และฮ่องกง
เชื่อมั่นว่าปี 58 ราชประสงค์จะกลายเป็นมหานครใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการจำนวนมากและเป็น
เมืองที่เติบโตเทียบเท่านิวยอร์ก ลอนดอนและโตเกียวแน่นอน"

รถคันแรกดันยอดผลิตนิวไฮ 51 ปี
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ค่ายรถยนต์ทุกแห่งสามารถผลิตรถยนต์รวมกันได้
256,581 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์ขึ้นในประเทศไทย โดยยอมรับว่าส่วนหนึ่งมา
จากนโยบายส่งเสริมรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ที่จะสิ้นสุดอายุโครงการในสิ้นปีนี้ ทำให้ประชาชนแห่ไปใช้
สิทธิจองซื้อรถยนต์คันแรกจำนวนมาก ทำให้ค่ายรถยนต์ต้องเร่งผลิตรถยนต์ให้ทันกับความต้องการของลูกค้า

ดีแทคระดมลุยวางโครงข่าย 3 จี ลั่นปีแรกสร้างฐาน 6,500 ไซต์!
นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด
(มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคจะเปิดให้บริการ 3 จีบนใบอนุญาต 2.1 GHz หลังจากได้รับใบ
อนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ภายในไตรมาส 2 ปีหน้า โดยมีเป้าหมายวางโครงข่ายครอบคลุม 50% ของประชากรในปีแรก ด้วยจำนวน
สถานีฐาน 6,500 แห่งภายใต้วงเงินลงทุน 25,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี "ดีแทคตั้งเป้าขยายโครงข่าย
ให้ครอบคลุม 50% ของจำนวนประชากรในปี 2556 ซึ่งจะเร็วกว่ากำหนดของ กสทช.ที่มีเงื่อนไขให้ผู้รับใบ
อนุญาตขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมตามจำนวนดังกล่าวภายใน 2 ปี อย่างไรก็ดี เป้าหมายที่ 6,500 สถานี
ดังกล่าวนั้น จะมาจากจำนวนสถานีฐาน 2 จีที่ดีแทคปรับเปลี่ยนโครงข่าย (สวอป) เสร็จแล้วเพียงแค่ดีแทค
ใส่การ์ด 3 จีเข้าไปก็สามารถให้บริการได้เลย"

ธุรกิจดาวเด่น-ดาวร่วงปี 56 ความงามศัลยกรรมแรงสุดคว้าแชมป์อันดับ 1
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิด
เผยถึงการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวเด่น-ดาวร่วงปี 56 ว่า ธุรกิจที่คาดว่ามีโอกาสเติบโตมากที่สุดอันดับ 1
คือ ธุรกิจทางการแพทย์และความงามได้ 91.4 คะแนน จาก 100 คะแนน เพราะได้รับผลดีจากกระแส
รักษาสุขภาพและความงามมากขึ้น ประกอบกับบริการทางการแพทย์และความงามของไทยมีคุณภาพดีและ
ราคาไม่แพง ทำให้คนไทยหันมาทำศัลยกรรมเสริมความงามเพิ่ม

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1472

โพสต์

หรอยแรงอาหารปักษ์ใต้ ซีฟู้ดสดรสโดนใจ ที่ “กันเอง 2”

รูปภาพ
บรรยากาศนั่งสบายริมทะเล


เมื่อฤดูกาลท่องเที่ยวทะเลไทยฝั่งอันดามันมาถึง หลายๆ คนคงอยากลงใต้ไปสัมผัสหาดทรายสวยและน้ำทะเลใสๆในภาคใต้ของบ้านเรา โดยเฉพาะที่ จ.ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวทางทะเลอันดับต้นๆของบ้านเรา ซึ่งหากใครไปภูเก็ตแล้วอยากหาร้านอาหารบรรยากาศดี ติดริมทะเล นั่งชิลล์ ชิลล์ กินอาหารอร่อยๆ ร้าน “กันเอง 2” ที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ถือเป็นหนึ่งในร้านชั้นนำของภูเก็ตที่แต่ละวันมีลูกค้ามานั่งกินอาหารกันแน่นร้าน

รูปภาพ
บริเวณด้านหน้าร้าน


ร้าน “กันเอง 2” เป็นร้านอาหารชื่อดังที่อยู่คู่กับเมืองภูเก็ตมาหลายสิบปี โดยมีคุณประชัน ปจันทบุตร หรือ โกชัน เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งร้านนี้ขายทั้งอาหารไทย ซีฟู้ด และอาหารพื้นเมืองปักษ์ใต้ให้เลือกลองชิม

บรรยากาศนั้นก็ช่างเข้ากับชื่อร้านเสียจริง เพราะมีให้เลือกนั่งทั้งแบบริมทะเลรับลมเย็นสบาย และในห้องปรับอากาศแบบจัดเลี้ยง แถมด้วยความเป็นกันเองของพนักงานในร้าน ที่บริการกันด้วยใจ ทำให้อาหารมื้ออร่อยเต็มไปด้วยความรื่นรมย์

รูปภาพ
เบือทอด


ออกสตาร์ทจานแรกกันด้วยเมนูเบาๆ เบือทอด (จานเล็ก 100 บาท จานใหญ่ 150 บาท) ที่ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูหลายๆคนเท่าไหร่ แต่ความอร่อยนั้นถือว่าเด็ดถูกใจจริงๆ เบือ (หรือ หญ้าช้องนาง) เป็นสาหร่ายน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่นำมาชุบแป้งสูตรพิเศษของทางร้าน แล้วทอดจนกรอบ มาคู่กับกุ้งขาวเล็กชุบแป้งทอดกรอบ กินกับน้ำจิ้มปรุงรสพิเศษ ชิมเฉพาะเบือทอดให้ความกรอบมาๆ ส่วนน้ำจิ้มก็รสหวานเข้ากันดี กินไปเพลินๆ แป๊บเดียวก็หมดจาน

รูปภาพ
น้ำพริกกุ้งเสียบ


ต่อด้วยเมนูปักษ์ใต้ของแท้ น้ำพริกกุ้งเสียบ (ชุดเล็ก 100 บาท ชุดใหญ่ 150 บาท) ที่จะเป็นรสชาติสไตล์คนภูเก็ต โดยใช้กุ้งเสียบที่คัดตัวใหญ่พิเศษ นำไปเสียบไม้แล้วย่าง จากนั้นนำมาตำกับกะปิ พริก กระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาล และมะนาว กินคู่กับผักสดผักดองหลากหลายชนิด ทั้งแตงกวา ขมิ้นขาว ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมันปู สะตอ ถั่วฝักยาว ถั่วงอกหัวโตดอง และยำแย้ (ผักพื้นบ้านหน้าตาคล้ายผักชี) ผักสดๆ กินคู่กับน้ำพริกรสจัดเปรี้ยว เผ็ด หวาน คลุกข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเหาะ

รูปภาพ
ปลามงเผา


ส่วนซีฟู้ดสดๆ ทางร้านก็มีให้ลองชิม อย่างเช่น ปลามงเผา (กิโลกรัมละ 450 บาท) ที่เป็นปลาทะเลทางฝั่งอันดามัน ปลามงสดๆ นำมาเผาด้วยกาบมะพร้าวให้กลิ่นหอม กินคู่กับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เกลือ ซีอิ๊วขาว น้ำมะขาม หอมแดง และพริกขี้หนู เนื้อปลาสดแน่นหวานนุ่ม คล้ายๆ กับปลาสำลีแต่มีก้างน้อยกว่า ส่วนน้ำจิ้มก็จะออกหวานอมเปรี้ยว แต่ใครชอบจัดจ้าน จะขอน้ำจิ้มซีฟู้ดมาด้วยก็ได้

รูปภาพ
ปูม้าผัดพริกไทยดำ


กินปลาแล้วก็ต้องกินปู เมนู ปูม้าผัดพริกไทยดำ (กิโลกรัมละ 500 บาท) ใช้ปูม้าสดๆ มาทอดกับเนย พริกไทยดำ และกระเทียม ปรุงรสให้ได้ที่ ก่อนจะนำไปอบอีกครั้ง ได้ออกมาเป็นเมนูปูม้าผัดพริกไทยดำที่เนื้อปูแน่นหวาน ได้รสเข้มข้นและความหอมจากพริกไทยดำ

รูปภาพ
กุ้งมังกรซาซิมิ


ปิดท้ายมื้อร่อยด้วยกุ้งสดๆ ที่สดของจริงเพราะมีชื่อว่า กุ้งมังกรซาซิมิ (ขีดละ 350 บาท กิโลกรัมละ 3,500 บาท) ทางร้านจะใช้กุ้งมังกรธรรมชาติจากทะเลภูเก็ต สดๆ เป็นๆ นำมาลาเป็นชื้นๆ แล้วแช่น้ำแข็งให้เนื้อกุ้งเย็นจัด กินกับวาซาบิและโชยุแบบญี่ปุ่น เนื้อกุ้งกรอบหวานเพราะสดมาจากทะเลจริงๆ ใครที่นิยมชมชอบเมนูนี้ก็มากันได้เลยเพราะมีให้ชิมตลอด

รูปภาพ
ที่นั่งแบบซุ้มศาลา


นอกจากเมนูที่ว่ามาแล้ว ร้าน “กันเอง 2” ก็ยังมีของเด็ดของดีให้ลองลิ้มกันอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น กุ้งลายเจี๋ยนตะไคร้ (กิโลกรัมละ 2,200 บาท) หมูแช่น้ำปลาทอด (100 บาท) ยำหัวปลี (100 บาท) ห่อหมกภูเก็ต (20 บาท) แกงกะทิปูเส้นหมี่ (120 บาท) เป็นต้น

เห็นแค่ชื่อเมนูก็น้ำลายไหล ใครจะไปถิ่นภูเก็ตต้องไม่พลาดที่จะไปลองชิมให้ได้ แต่ต้องขอแนะนำว่าถ้าจะไปวันไหนควรโทรไปจองโต๊ะล่วงหน้า เพราะร้านอร่อยบรรยากาศกันเองแบบนี้ ต้องมีคนไปต่อคิวเยอะแน่นอน


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ร้าน “กันเอง 2” ตั้งอยู่ที่ 9/3 หมู่ 9 ถ.เจ้าฟ้า ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต การเดินทางถ้ามาจากตัวเมืองภูเก็ต ตรงมาก่อนถึง 5 แยกอำเภอฉลอง จะผ่านสวนสัตว์ ผ่านวัดใต้ แล้วจะเห็นร้านกันเอง 2 จะอยู่ด้านซ้ายมือ ก่อนถึงหาดราไวย์ มีป้ายร้านและป้ายบอกทางไปร้านกันเอง 2 ให้เห็นอย่างชัดเจน หรือจากตัวเมืองมาที่ร้านระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร มีที่จอดรถภายในร้าน เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น.โทร.0-7638-1694, 0-7638-1323, 0-7638-1695

รูปภาพ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1473

โพสต์

SET:ปัจจัยจับตาการลงทุนวันนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ-ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--รอยเตอร์


**ต่างประเทศ


*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดเมื่อวานนี้ดีดตัวขึ้น หลังร่วงลงในช่วงแรก โดยดัชนีดาวโจนส์

ปิดบวก 0.45% หลังจากนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐระบุว่า

เขาจะยังคงดำเนินการเพื่อหาทางออกสำหรับภาวะ fiscal cliff ขณะที่ตำหนิ

แนวทางของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต่อการเจรจาเรื่องงบประมาณด้วย

*วานนี้ ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับขึ้น โดยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปรับขึ้นเป็น

วันที่ 3 ติดต่อกัน หลังสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) สถาบันจัดอันดับ

ความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศได้ปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์

สู่เชิงบวก ขณะที่ตลาดอื่นๆ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคปรับขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางการซื้อขายที่

เบาบาง โดยมีแรงซื้อหุ้นที่ปรับตัวล้าหลังตลาด

*ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนก.พ. ปิดวานนี้ ปรับขึ้น 15 เซนต์ หรือ

0.2% มาที่ 90.13 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขอัตราการเติบโตทาง

เศรษฐกิจของสหรัฐที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 3 ขณะที่การเจรจา

ต่อรองด้านงบประมาณของสหรัฐ ยังคงดำเนินต่อไป

*ดัชนีค่าระวางเรือ(Baltic Dry Index)ปิดวานนี้ (20 ธ.ค.) ลบ 12 จุด หรือ

1.67% สู่ระดับ 708 ระดับสูงสุดของปีนี้อยู่ที่ 1624 และระดับต่ำสุดของปีนี้อยู่ที่ 647

*ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐยอมรับว่า ไม่มีเสียงสนับสนุนมากพอสำหรับร่างกฎหมาย

ภาษีของเขา ในการผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ โดยร่างกฎหมายนี้

มีจุดประสงค์เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงภาวะ fiscal cliff หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้น

ภาษีและปรับลดงบรายจ่ายขนาด 6 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ อาจจะเริ่มมี

ผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า

*สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐผ่านร่างกฏหมาย เพื่อปรับลดการใช้จ่ายในประเทศ ด้วยคะแนน

เสียงฉิวเฉียด 215 ต่อ 209 คะแนน พรรครีพับลิกันเสนอร่างกฏหมายดังกล่าวเป็น

แผนสำรองหรือ Plan B หากการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ fiscal cliff กับ

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประสบความล้มเหลว

*กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เผยตัวเลขประมาณการครั้งที่สามของผลิตภัณฑ์ มวลรวม

ภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 3/2012 เพิ่มขึ้นจาก

ตัวเลขประมาณการครั้งที่สองที่ 2.7%

*Conference Board เปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐลดลงเล็กน้อยในเดือนพ.ย.

ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวที่ชะลอลงในระยะใกล้ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจลดลง 0.2% สู่ 95.8

ในเดือนที่ผ่านมา หลังจากเพิ่ม ขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.

*สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ เผยยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 5.9%

สู่ระดับ 5.04 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์

คาดไว้ว่า ยอดขายบ้านมือสองจะอยู่ที่ 4.87 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจาก

4.79 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.

*กระทรวงแรงงานสหรัฐ เผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์

เพิ่มขึ้น 17,000 ราย สู่ 361,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ธ.ค.

นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการ

ว่างงานครั้งแรก จะอยู่ที่ 357,000 ราย

*ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ

เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.1 ในเดือนธ.ค. จากระดับ -10.7 ในเดือนพ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่า

กิจกรรมการผลิตในเขตมิด-แอตแลนติกของสหรัฐขยายตัวในเดือนธ.ค.


**เศรษฐกิจทั่วไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1474

โพสต์

SET:คาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวขึ้น แรงซื้อต่างชาติหนุน,จับตา fiscal cliff

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--รอยเตอร์


*นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสแกว่งตัวขึ้น จากแรงซื้อของ

นักลงทุนต่างชาติที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนการลงทุนให้ขนาดใหญ่ให้ปรับ

ขึ้น แต่ยังต้องจับตาความคืบหน้าการแก้ปัญหา fiscal cliff ของสหรัฐด้วย

*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดเมื่อวานนี้ดีดตัวขึ้น หลังร่วงลงในช่วงแรก โดยดัชนีดาวโจนส์

ปิดบวก 0.45% หลังจากนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐระบุว่า

เขาจะยังคงดำเนินการเพื่อหาทางออกสำหรับภาวะ fiscal cliff ขณะที่ตำหนิ

แนวทางของประธานาธิบดีบารัค โอบามาต่อการเจรจาเรื่องงบประมาณด้วย

*ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนก.พ. ปิดวานนี้ ปรับขึ้น 15 เซนต์ หรือ

0.2% มาที่ 90.13 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขอัตราการเติบโต

ทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 3 ขณะที่การ

เจรจาต่อรองด้านงบประมาณของสหรัฐ ยังคงดำเนินต่อไป

*วันพฤหัสบดีต่างชาติซื้อสุทธิ 1.65 พันลบ.จากวันพุธซื้อสุทธิ 1.74 พันลบ.

*เช้านี้บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 30.63/66 เมื่อวันพฤหัสบดีอยู่ที่ 30.61/65

*นักวิเคราะห์มองแนวรับที่ 1,367 ส่วนแนวต้านที่ 1,385 จุด


"fund flow ยังคงเข้ามาต่อเนื่อง เข้ามาเลือกซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่ม domestic

play พวกวัสดุก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากงบภาครัฐ ,กลุ่มแบงก์ กลุ่มพลังงานก็ขยับขึ้นตาม

ราคาน้ำมัน การปรับขึ้นของ 2-3 กลุ่มนี้ก็ช่วยประคองดัชนีได้" นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์

ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 7.1 หมื่นล้านบาท

เขา เห็นว่าหากมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้น 2-3 กลุ่มดังกล่าว ก็จะทำให้ดัชนีมีโอกาส

ปรับขึ้นไปทดสอบระดับแนวต้านที่ 1,385 จุด แต่ยังคงต้องจับตาการลงทุนจากต่างชาติ

ว่าจะลดลงหรือไม่ ในช่วงใกล้วันหยุดเทศกาลคริสต์มาส เพราะตามสถิติที่ผ่านมาเงินไหล

เข้าจะเริ่มลดลง ขณะที่ยังต้องติดตามการแก้ปัญหาภาวะ fiscal cliff ของสหรัฐด้วย


ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ

*ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดลบ 1.00 จุด หรือ 0.07% มาที่ 1,377.40

ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 41,931.03 ล้านบาท

*ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดบวก 59.75 จุด หรือ 0.45% มาที่

13,311.72 และดัชนีแนสแดค ปิดบวก 6.02 จุด หรือ 0.2% มาที่ 3,050.39

*ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้ ส่วนใหญ่ลบ โดยตลาดหุ้นสิงคโปร์ บวก 0.16%, ญี่ปุ่น

ลบ 0.06%, เกาหลีใต้ ลบ 0.82%, ไต้หวัน ลบ 1.05% และตลาดหุ้นฮ่องกง

ลบ 0.62%


จับตาหุ้น

*DNA เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก หลังขาย IPO หุ้นละ 1.90 บาท

*DTAC ตั้งงบ 2.5 หมื่นลบ.ในปี 56-58 ลงทุนเครือข่าย 3G

*FORTH เผยกิจการร่วมค้าได้งานจากสำนักการจราจรฯ มูลค่ารวม 1.42 พันลบ.

*TRT ตั้งเป้ารายได้ปี 56 โต 20-25%, อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

*SCC จะซื้อธุรกิจกระเบื้องเซรามิกในเวียดนาม 7.2 พันลบ.ใน Q1/56

*ITD ได้งานก่อสร้างโครงการบ้านทิวทะเล มูลค่า 633.25 ลบ.

*PAE ได้งานโครงการให้เช่า Mobile Generator จากกฟภ. มูลค่า 22.68 ลบ.

*GFPT จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน 735 ลบ.ใน"จีเอฟพีที นิชิเร"

*SSI ให้ SSI UK ต่อสัญญากู้ $125 ล้าน,กำหนดชำระไม่เกิน 30 มิ.ย.56

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1475

โพสต์

TOPNEWS:ข่าวเด่นในประเทศวันนี้

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--รอยเตอร์


ข่าวตลาดเงิน-ตลาดทุน


*ทริสฯ คงเครดิตองค์กร"ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งฯ" ที่"A-",แนวโน้ม"คงที่"(9467)

*ฟิวเจอร์ส SET50 พักเที่ยงปิดลบ, ปัญหา fiscal cliff ยังกดดันตลาด(9463)

*หุ้นไทยพักเที่ยงลบ 0.19% แรงขายหุ้นแบงก์-อสังหาฯถ่วง, คาดบ่ายแกว่งแคบ(900)

*PTTGC นิวไฮกว่า 7 เดือน วอลุ่มคึกคัก, โบรกฯคาดรับผลดีราคาน้ำมันดิบขึ้น(9459)

*MODERN สูงสุดกว่า 1 ปี โบรกฯมองมูลค่าหุ้นเพิ่มหลังเข้าถือหุ้น IHL เพิ่ม(9457)

*WORK นิวไฮตั้งแต่เข้าตลท., โบรกฯมองรับผลดีจากปรับโครงสร้างภาษีของรัฐ(9456)

*KTB ลบ 0.51% โบรกฯมองตั้งโฮลดิ้งถือหุ้นธุรกิจประกัน กระทบส่วนแบ่งกำไรลด(9455)

*DNA วันแรกบวกแรง โบรกฯคาดกำไรปี 55-56 โตต่อเนื่อง แต่ราคาเกินพื้นฐาน(9454)

*PAE บวกต่อจากวานนี้ หลังได้งานโครงการให้เช่า Mobile Generator จากกฟภ.

(9453)

*ดีเอ็นเอ 2002 เปิดตลาดที่ 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 85.3% จากราคา IPO(9451)

*ปัจจัยจับตาการลงทุนวันนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ-ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น(9447)


ข่าวตลาดเงิน-เศรษฐกิจ


*ทุนสำรองฯ 14 ธ.ค.ที่ $182.6 พันล้าน, ฟอร์เวิร์ด $23.8 พันล้าน(9466)

*ทองแท่งในปท.ร่วงลงแรง ตามราคาทองตปท., fiscal cliff ยังไม่แน่นอน(9452)

*ผลประมูลพันธบัตร ธปท. 14 วัน ในวันนี้(9449)

*บาท/ดอลลาร์เช้านี้อ่อนค่าเล็กน้อย, ราคาทองร่วงหนุนแรงซื้อดอลล์(901)

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1476

โพสต์

21/12/55 ตอน โลกไม่แตก แบกชีวิตต่อไป
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 21/12/55

รูปภาพ

http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=592
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1477

โพสต์

รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1478

โพสต์

รูปภาพ

“DNA ซื้อขายวันแรก”


กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--ตลท.

จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และประธานที่ปรึกษา ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ร่วมแสดงความยินดีกับ
พลตำรวจตรี ลัทธสัญญา เพียรสมภาร ประธานกรรมการ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด
(มหาชน) พร้อมผู้บริหาร ในโอกาสที่ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ “DNA”
เข้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555

ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1479

โพสต์

***หุ้นโค้งสุดท้าย...คาดแรงซื้อต่างชาติชะลอ

ดัชนี SET ปิดวันนี้อยู่ที่ระดับ 1,373.38 จุด ลดลง -4.02 จุด หรือ -0.29%
ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35,026.41 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ +592.51 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ +499.56 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +200.28 ล้านบาท

- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -1,292.36 ล้านบาท


นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัยและบริการการลงทุน บอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า คาดแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติน่าจะชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะใกล้วันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ ทำให้แรงซื้อของต่างชาติอาจไม่ดีเหมือนช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ นักลงทุนระยะถือได้ มองว่าในช่วงเดือนม.ค.หรือช่วง 2 สัปดาห์แรกของปีหน้าน่าจะเป็นจุดซื้อที่ดี ส่วนระยะสั้น เน้นหุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือหุ้นในSET50-SET100

จากการรวบรวมของ Money Channel บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้กรอบการลงทุนทางด้านเทคนิคและหุ้นแนะนำในสัปดาห์หน้าดังนี้
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,365-1,378 จุด หุ้นเด่น EARTH
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,360-1,385 จุด หุ้นเด่น TOP
บล.ไอร่า ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,360-1,380 จุด
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,365-1,380 จุด หุ้นเด่น NEP

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1480

โพสต์

รูปภาพ

ใกล้คริสต์มาสลงทุนชะลอตัวหุ้นไทยปิดลบ4.02จุด

ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดลบ 4.02 จุด เหมือนภูมิภาค/สัปดาห์หน้าชะลอหลังเข้าเทศกาลคริสต์มาส

วันนี้(21 ธ.ค. 55)ตลาดหุ้นไทยปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,373.38 จุด ลดลง 4.02 จุด(-0.29%)มูลค่าการซื้อขาย 35,026.41 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งในแดนลบเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ลงราว 0.7-0.9% เหตุหลักจากความยืดเยื้อในการเจรจาแก้ปัญหา Fiscal Cliff ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาก่อน และตลาดบ้านเราก็อยู่ในช่วงของการปรับฐานด้วย อย่างไรก็ดีโดยรวมตลาดฯยังมีลุ้นขึ้นได้ จากแรงซื้อของต่างชาติ-เม็ดเงินไหลเข้าจากการออกมาตรการ QE ของหลายประเทศ สัปดาห์หน้าตลาดฯคงชะลอความร้อนแรง-อาจเจอแรงขายทำกำไร หลังตลาดต่างประเทศต่างหยุดทำการเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส แต่ยังคงติดตามการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ต่อไป พร้อมให้แนวรับ 1,360 แนวต้าน 1,385 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,373.38 จุด ลดลง 4.02 จุด(-0.29%)มูลค่าการซื้อขาย 35,026.41 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,375.83 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,368.66 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 249 หลักทรัพย์ ลดลง 331 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 135 หลักทรัพย์

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในแดนลบ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวลงประมาณ 0.7-0.9% ซึ่งหุ้นไทยถือว่ายังมีความแข็งแกร่งกว่าหุ้นต่างชาติ โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนี้ปรับตัวลงมาจากความยืดเยื้อการเจรจาแก้ปัญหา Fiscal cliff จึงทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาก่อน รวมถึงตลาดบ้านเราเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานด้วย

ทั้งนี้ สัปดาห์นี้ตลาดฯยังได้รับแรงซื้อจากองทุน LTF RMF สำหรับกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์ เพื่อสามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าที่วางไว้ก็ได้มีการขายออกมา ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแรงซื้อของกองทุนจึงยังไม่มากเท่าไร อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดโดยรวมยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาหนุน และเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(QE)ของหลาย ๆ ประเทศ แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายสุรชัย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะชะลอความร้อนแรงลง และอาจมีแรงเทขายทำกำไร เนื่องจากตลาดต่างประเทศได้หยุดทำการซื้อ-ขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส อีกทั้งยังต้องติดตามการเจรจาแก้ปัญหา Fiscal Cliff ต่อไป พร้อมให้แนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,385 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 2,069.14 ล้านบาท ปิดที่ 69.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,387.28 ล้านบาท ปิดที่ 197.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,317.40 ล้านบาท ปิดที่ 45.25 บาท ลดลง 1.25 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,250.12 ล้านบาท ปิดที่ 203.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,124.21 ล้านบาท ปิดที่ 438.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1481

โพสต์

สรุปข่าววันที่ 21 ธ.ค.2555 เวลา 06.00 น.-18.00 น.

รูปภาพ

"หลวงพ่อคูณ" ยังไม่ทุเลา เสลดเสมหะมากขึ้น แพทย์ยอมรับอากาศช่วงนี้เปลี่ยน มีแนวโน้มติดเชื้อง่ายขึ้น เผยสัปดาห์หน้าประเมินกลับวัดบ้านไร่ใหม่ คณะทำงานศึกษาการทำประชามติ เตรียมประชุมนัดแรก 24 ธ.ค. ชี้ต้องรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ต้องรอบคอบ คำถามต้องได้รับการยอมรับ "สดศรี" หนุน "เหลิม" แก้ รธน.รายมาตรา ชี้ เดินหน้าทำประชามติ อาจสะดุด...

http://www.thairath.co.th/content/region/314994

รูปภาพ
21 ธันวาคม 2555, 18:00 น.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1482

โพสต์

รูปภาพ

เฮดจ์ฟันด์ทุบราคาทองหนีเที่่ยวคริสมาสต์

นายกสมาคมค้าทองมองทองร่วงแรง! หลังเฮดจ์ฟันด์เทขายทำกำไรก่อนคริสมาสต์ มองแนวโน้มปีหน้าราคาผันผวน เคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,900 ดอลลาร์/ออนซ์

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ให้สัมภาษณ์ในรายการ "ตรงประเด็น ข่าวค่ำ" กรุงเทพธุรกิจทีวี ถึงการที่ราคาปรับตัวลงแรงในช่วงนี้ โดยล่าสุดในเมื่อคืนที่ผ่านมาราคาทองในตลาดโลกปรับตัวลดลงกว่า 21.8 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 1,645.9 ดอลลาร์/ออนซ์ ว่า ส่วนหนึ่งมาจากแรงขายของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ที่ขายทำกำไรในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลคริสมาสต์ก่อนหยุดยาวในช่วงเทศการปีใหม่ เพราะต้องยอมรับว่าราคาทองคำขึ้นลงผันผวนส่วนหนึ่งมาจากการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า

"ผมว่าที่ราคาทองลงแรงในช่วง 2 วันนี้ มาจากแรงขายของเฮดจ์ฟันด์ที่ลงทุนในตลาดล่วงหน้ามีการเทขายทำกำไรออกมา คงต้องดูความชัดเจนในวันพรุ่งนี้ว่า ชอร์ตเซลเยอะมากแค่ไหน"

นายจิตติ ยอมรับว่า ราคาทองที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้ ถือว่าลงมาแรงกว่าที่คาดการณ์

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำเพิ่ม นายจิตติให้ความเห็นว่า ไม่น่าจะมีผลกับตลาดทองคำมากนัก เพราะสัดส่วนการถือทองคำเพิ่มเติมน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายทองคำของเมืองไทยด้วยซ้ำ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้ นายจิตติ แนะนำว่า ให้แบ่งเงินเป็น 2 ส่วน เพื่อรอดักซื้อทองคำเป็น 2 ช่วง โดยแนะนำว่าในช่วงนี้ควรเข้าไปซื้อทองคำเพิ่ม แต่ถ้าหากราคาปรับตัวลดลงอีก ก็เข้าไปซื้อเพิ่มเติม แต่ต้องดูจังหวะก่อนเข้าไปลงทุนด้วย

"ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำว่าควรเข้าไปซื้อทองในช่วงที่หลุดต่ำกว่า 1,700 ดอลลาร์ และขายทำกำไรในช่วงที่กลับมายืนเหนือระดับ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์"นายจิตติแนะนำกลยุทธ์การลงทุนทองคำในระยะสั้น

ส่วนแนวโน้มราคาทองในปี 2556 นายกสมาคมค้าทองคำ มองว่า ทิศทางราคาทองคำยังมีความผันผวน คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,500-1,900 ดอลลลาร์/ออนซ์ และอาจได้เห็นราคาทองกลับมาทำสถิตินิวไฮอีกครั้ง

"ผมมองว่าปีหน้าทองคำขึ้น-ลงผันผวน แต่ก็มีโอกาสได้เห็นนิวไฮ"

สวนความเคลื่อนไหวราคาทองคำในวันที่ 21 ธ.ค.2555 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ เปิดตลาดลดลง 450 บาท อย่างไรก็ตาม ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีการปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 150 บาท ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงเพียง 300 บาท ปิดตลาดราคาทองคำแท่งรับซื้อคืนที่23,900 บาท ขายออก 24,000 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 23,558.64 บาท ขายออก 24,400 บาท

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 21 ธันวาคม 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1483

โพสต์

รูปภาพ

หุ้น “ดีเอ็นเอ 2002” เทรดวันแรก ปิดเหนือจอง 1.20 บาท
หรือเพิ่มขึ้น 63.16% มูลค่าซื้อขาย 1,386.21 ล้านบาท


วันนี้ หุ้น บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA เข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ราคา 3.52 บาท ก่อนจะปรับขึ้นไปเรื่อยสูงสุดที่ 3.80 บาท และต่ำสุดที่ 3.34 บาท เหนือจากราคาจองซื้อที่หุ้นละ 1.90 บาท ก่อนมาปิดตลาดช่วงเช้าที่ราคา 3.46 บาท เพิ่มขึ้น 1.56 บาท หรือคิดเป็น 82.11% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,096.91 ล้านบาท และช่วงบ่ายมาปิดที่ 3.10 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.20 บาท จากราคาจอง คิดเป็นเพิ่มขึ้น 63.16% ระหว่างวันปรับขึ้นสูงสุด 3.80 บาท ต่ำสุดที่ 3.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,386.21 ล้านบาท

สำหรับ DNA ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ ประเภทภาพยนตร์ เพลงที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดี และซีดี รวมถึงสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และพ็อกเกตบุ๊ก ผ่านร้านค้าปลีกกลุ่มบริษัท และร้านค้าร่วมบริการในโมเดิร์นเทรดมากกว่า 1,432 สาขาทั่วประเทศ

โดย DNA มีทุนชำระแล้ว 160 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 480 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 12-14 ธันวาคม 2555 ในราคาหุ้นละ 1.90 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 304 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

รูปภาพ
21 ธันวาคม 2555 18:43 น.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1484

โพสต์

รูปภาพ
นายมานะ ประภากมล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ดิจิตอล พลัส จำกัด

"ทรู ดิจิตอล พลัส" เปิดตัวเกมสามก๊กเทิร์นเบส TY Online ที่นอกจากจะอ้างอิงเนื้อหามาจากวรรณกรรมจีนชื่อดัง ยังใช้ระบบอาชีพแบบเดียวกับ "ไฟนอล แฟนตาซี แท็กติก" เตรียมให้ทดลองเล่นครั้งแรกในงาน GG Party ช่วงวันเด็กต้นปีหน้า หลังจากนั้นจะทำการทดสอบโคลสเบต้าในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

บริษัท ทรู ดิจิตอล พลัส จำกัด เปิดตัว TY Online เกมออนไลน์จากประเทศจีนที่อ้างอิงเนื้อหามาจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ "สามก๊ก" เตรียมเปิดให้ทดลองเล่นได้ภายในงาน GG Party : The World of Games ระหว่างวันที่ 11 - 13 มกราคม พ.ศ. 2556 ที่ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ หลังจากนั้นจะเริ่มทดสอบช่วงโคลสเบต้าในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

นายมานะ ประภากมล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ดิจิตอล พลัส จำกัด ระบุว่า TY Online เป็นเกมฟอร์มยักษ์จากประเทศจีน ตัวเกมใช้เวลาในการพัฒนานานถึง 4 ปี ด้วยฝีมือของทีมงาน Playcool ใช้เงินลงทุนมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท เปิดให้บริการในประเทศจีนโดยค่ายเกม Changyou แถมยังเคยได้รับ 5 รางวัลการันตีคุณภาพ

ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่สองที่ได้รับสิทธิ์ในการเปิดให้บริการ TY Online ถัดจากประเทศจีน ที่ได้เปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 จนได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้เล่นชาวจีน (ที่จีนเกมนี้เปิดให้บริการในชื่อ เต๋าหยวน ซึ่งแปลว่าสวนดอกท้อ)

TY Online เป็นเกมที่มีการต่อสู้เป็นแบบเทิร์นเบสที่ใช้ระบบ ATB (Active Time Battle) แสดงภาพกราฟิก 3 มิติที่สวยงามจากศักยภาพของ Unreal Engine 3 บรรดาตัวละครและเนื้อหาภายในเกมจะอ้างอิงมาจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ "สามก๊ก" ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นได้พบกับบรรดาตัวละครที่มีชื่อเสียง อาทิ ลิโป้ กวนอู เตียวหุย ฯลฯ

ระบบอาชีพภายในเกม ทางผู้พัฒนาตั้งใจทำให้มีลักษณะแบบเดียวกับเกม "ไฟนอล แฟนตาซี แท็กติก" โดยจะเริ่มจากอาชีพพื้นฐาน 4 สายอาชีพ ได้แก่ Warrior , Swordman , Archer , Mage หลังจากนั้นก็จะแตกแขนงกลายเป็นอาชีพอื่นๆ รวมทั้งสิ้นจะมีทั้งหมด 17 อาชีพให้เล่น เมื่อเล่นอาชีพใดก็จะได้ทักษะพิเศษของอาชีพนั้นมาครอบครอง แถมยังสามารถสลับไปเล่นอาชีพอื่นได้ทันทีที่ต้องการ โดยที่ทักษะของอาชีพเดิมก็ไม่หายไปไหน ทำให้สามารถสะสมทักษะได้มากมาย ใช้ประยุกต์สร้างตัวละครให้เป็นแบบที่ต้องการได้




รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1485

โพสต์

รูปภาพ


CEOทรูคว้านักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่น


CEO ทรู รับรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย 2555
เชิดชูเกียรติบุคคลตัวอย่างด้านการพัฒนาคนในองค์กรและสังคม



เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี มอบรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดี
เด่นแห่งประเทศไทย (Thailand Top 100 HR) แก่นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้
จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งได้รับการคัดเลือก
เป็นนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2555 ประเภทประธานและกรรมการ
ผู้บริหาร ในฐานะผู้ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งใน
องค์กรและระดับสังคม สะท้อนจากความสำเร็จของนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมศักยภาพ
และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ปลูกฝังค่านิยมอันดีงามแก่บุคลากร ตลอดจนมีส่วน
ร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินกิจกรรม
เพื่อสังคมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการศึกษา การอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย (Thailand Top 100 HR) จัดขึ้นโดย
สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อยกย่องบุคคลตัวอย่างด้านการ
บริหารงานทรัพยากรมนุษย์ทั้งในและนอกองค์กร โดยได้มอบรางวัลครั้งแรกเมื่อปี
2550 จำนวน 45 รางวัล ครั้งที่ 2 ปี 2552 จำนวน 30 รางวัล และในปีนี้ อีก 25
รางวัล เพื่อให้ประเทศไทยมีนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นครบ 100 ท่าน อันนำไปสู่การ
จัดตั้งสังคมความรู้ด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR Society) ซึ่งพร้อมที่จะถ่ายทอดความ
รู้และประสบการณ์เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มี
ความต่อเนื่องและยั่งยืน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1486

โพสต์

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1487

โพสต์

ประจำวันที่ 21 ธ.ค. 2555
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1488

โพสต์

รูปภาพ

ใหม่ ! ดีวีดี “ป๊ะป๋าแพนด้า ครอบครัวตัวป่วน” แอนิเมชั่นส่งเสริมสถาบันครอบครัวคุณภาพเยี่ยม จากบีบอยด์ ซีจี ในกลุ่มทรู วางแผงแล้ววันนี้ ที่ร้านดีวีดีชั้นนำ และเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--PR FOCUS

บีบอยด์ ซีจี บริษัทในกลุ่มทรู ประเดิมผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่นในรูปแบบ ดีวีดีชุดแรก “ป๊ะป๋าแพนด้า ครอบครัวตัวป่วน” รวม 3 แผ่น ที่กำลังได้รับความนิยมในทรูวิชั่นส์ช่อง 31 (ทรู สปาร์ค) เพื่อส่งเสริมความรักและความเข้าใจในครอบครัว นำแสดงโดย 4 สมาชิกสดใสน่ารักของครอบครัวป๊ะป๋าแพนด้า ได้แก่ ป๊ะป๋า คุณแม่แพนด้า มีมี่ และเปาเปา ที่จะมาสร้างความประทับใจให้ผู้ชมด้วยเรื่องวุ่นๆ พร้อมเสียงหัวเราะ โดยนักแต่งเพลงรักผู้มีหัวใจอบอุ่น บอย โกสิยพงษ์ พากษ์เสียงเป็น “ป๊ะป๋า แพนด้า” พร้อมแต่งเพลง ไตเติ้ล “อย่าลืมนะ” ที่ร้องนำโดยศิลปินชื่อดัง แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข

ยิ่งไปกว่านั้น ในแผ่น ยังมีโบนัสนิทานแพนด้าหรรษาที่สอดแทรกข้อคิด คติสอนใจแก่เด็กๆ พร้อมแถมฟรีสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ภายในกล่องให้น้องๆ เก็บสะสมอีกด้วย โดยขณะนี้ ดีวีดี “ป๊ะป๋าแพนด้า ครอบครัวตัวป่วน” มีจำหน่ายแล้ว 2 แผ่น ที่ร้านดีวีดีชั้นนำ เช่น บูมเมอแรง ช็อป, บีทูเอส, CAP, แมงป่อง ทุกสาขา และร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ และเตรียมพบกับแผ่นที่ 3 ซึ่งจะแถมตอนพิเศษ Panda Girl VS Paolucha ที่ไม่เคยออกอากาศที่ไหนมาก่อน ในเร็วๆ นี้

เกี่ยวกับ บริษัท บี บอยด์ ซีจี

บริษัท บี บอยด์ ซีจี จำกัด ในกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตคอนเทนต์ครบวงจรหลากหลายรูปแบบทั้งงานสร้างสรรค์และผลิตแอนิเมชั่น, งานออกแบบ Creative & Production Solution, รวมถึงงานผลิตคอนเทนต์สำหรับสื่อดิจิตอล (Digital Content) ซึ่งผลงานด้านครีเอทีฟ ของบี บอยด์ ซีจี ทุกชิ้นผ่านการควบคุมดูแลจาก บอย โกสิยพงษ์ ร่วมกับทีมงานที่มีชื่อเสียงและความชำนาญกว่า 50 คน เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน สะท้อนปรัชญาทั้ง 4 ประการ คือ ความรัก (Love) ครอบครัว (Family) สัมพันธภาพ (Relationship) และมิตรภาพ (Friendship) ผลงานของบี บอยด์ ซีจี ที่ผ่านมา อาทิ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนาค ซึ่งบี บอยด์ ซีจี ทำหน้าที่สร้างสรรค์และออกแบบคาแรคเตอร์ แต่งเพลงประกอบ รวมทั้งภาพยนตร์การ์ตูน ซีรี่ส์คุณภาพ 3 เรื่อง ได้แก่ ป๊ะป๋าแพนด้า ครอบครัวตัวป่วน, ต้าเจียห่าว มาเรียนภาษาจีนกันมะ? และเสือน้อยกับเจ้าหุ่นเพื่อนรัก ออกอากาศทางทรูวิชั่นส์ ช่อง 31 (ทรู สปาร์ค)


ข่าวประชาสัมพันธ์บันเทิง-ดารา วันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1489

โพสต์

คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1490

โพสต์

“ไทยสมุทรฯ” งัดแลนด์แบงก์ ผุดคอนโดฯ-คอมเมอร์เชียลใน จ.ขอนแก่น มูลค่า 5 พันล.

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ในเครือไทยสมุทร เดินเกมรุกตลาดอสังหาฯ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากการขาย 50% ในปี 57 หวังดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท/ปี เตรียมงัดแลนด์แบงก์ทั่วประเทศทยอยพัฒนา ประเดิมที่ขอนแก่น ผุดคอนโดฯ-คอมเมอร์เชียล มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท

รูปภาพ

นายธีรวัฒน์ พิพัฒน์ดิฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยภายหลังจากเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ว่า นโยบายด้านการลงทุนของบริษัทหลังจากนี้จะเน้นการพัฒนาทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และให้เช่า โดยจะเน้นการนำที่ดินสะสม (แลนด์แบงก์) ของกลุ่มไทยสมุทรประกันชีวิต ที่มีที่ดินแลนด์แบงก์จำนวนมากทั่วประเทศ เช่น ที่ดินขนาด 39 ไร่ และ 20-30 ไร่ บนถนนมิตรภาพตัวเมืองขอนแก่น ที่ดินขนาด 205 ไร่ ติดจวนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ดินขนาด 19 ไร่ ติดสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ ที่ดินขนาด 400 ไร่ ถนนธนะรัชต์ กม.5 เขาใหญ่ และที่ดินอีกหลายพันไร่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น โดยจะคัดเลือกแปลงขึ้นมาทยอยพัฒนาตามศักยภาพของที่ดินและความเหมาะสม ซึ่งในระยะสั้น จะยังไม่พัฒนาอาคารสำนักงาน แต่จะเน้นการลงทุนด้านที่อยู่อาศัย โรงแรม และคอมเมอร์เชียล

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มโครงสร้างรายได้ (พอร์ต) จากการขาย และค่าเช่าให้อยู่ในระดับ 50:50 จากที่ปัจจุบัน มีพอร์ตรายได้จากการเช่ามากถึง 70% ในขณะที่รายได้จากการขายมีเพียง 30% จากรายได้รวม 400 ล้านบาท โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายได้จากการขายให้เพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปี 56 และ 50% ในปี 57 นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า นับจากปี 56 เป็นต้นไป จากที่ 3 ปีที่ผ่านมามีรายได้ปีละประมาณ 400 ล้านบาท

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2556 เตรียมพัฒนาโครงการรูปแบบผสมผสานขนาดใหญ่ (มิกซ์ยูส) บนเนื้อที่ 31 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยจะแบ่งที่ดินขนาด 30 ไร่ พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมความสูงไม่เกิน 8 ชั้น จำนวน 4-5 เฟส เฟสละ 3-4 อาคาร ราคาขายตั้งแต่ 9 แสนบาท/ยูนิต ถึง 2.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 4,000-5,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 3 ปี 56 ส่วนที่ดินที่เหลืออีกกว่า 10 ไร่ อยู่ระหว่างการพิจารณาเป็น 2 แนวทาง คือ คอมเมอร์เชียล และโรงแรมราคาประหยัด ทั้งโครงการมีระยะเวลาในการพัฒนา 6 ปี

นายธีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับรายได้จากค่าเช่าในปัจจุบันมาจาก อาคารสำนักงานโอเชี่ยนทาวน์เวอร์ 1, 2 ปัจจุบัน มีอัตราการเช่า 96% นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมอัสสรา วิลล่า แอนด์ สวีท หัวหิน ขนาด 96 ยูนิต และโรงแรม โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ทคลับ พัทยา จำนวน 51 ห้อง ปีนี้มีอัตราการพักเพียง 35%

ทั้งนี้ บริษัทแผนที่จะปรับปรุงโรงแรม โดยในส่วนของโรงแรมอัสสราใหม่เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าพัก ส่วนโรงแรมโอเชี่ยน มารีน่าฯ นั้น บริษัทได้นำพื้นที่บริเวณ Wave Breaker ส่วนที่จอดเรือยอชต์ พัฒนาเป็นเมืองค้าขายริมทะเล เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น โดยจะพัฒนารูปแบบฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ (Macau Fisherman's Wharf) ที่ซานฟรานซิโก สหรัฐอเมริกา ขนาด 4,000 ตร.ม. โดยแบ่งพื้นที่ขนาด 1,000 ตร.ม.เป็นร้านค้า และอีก 3,000 ตร.ม.เป็นร้านอาหารชั้นนำ ใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท โดยจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 56

“ปัจจุบัน เราได้พัฒนาพื้นที่ในโครงการโอเชี่ยน มารีน่าฯ ไปประมาณ 20 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 110 ไร่ ซึ่งในอนาคตมีแผนจะนำที่ดินอีกประมาณ 20-30 ไร่ มาพัฒนาในรูปแบบโรงแรม ระดับ 4-5 ดาว ขนาด 200 ห้อง ซึ่งที่ผ่านมา เราจะบริหารงานโรงแรมเอง แต่ถ้ามีจำนวนห้องที่เพิ่มมากขึ้นก็อาจจะจ้างเชนระดับมืออาชีพเข้ามาบริหารงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา”

โดยบริษัทมีคอนโดมิเนียมรอขาย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพอร์โตฟิโน่ คอนโดมิเนียม พัทยา จำนวน 100 ยูนิต มูลค่า 1,600 ล้านบาท จากทั้งหมด 268 ยูนิต และโอทูฮิบ ซ.นายเลิศ จำนวน 29 ยูนิต มูลค่า 200 ล้านบาท จากทั้งหมด 48 ยูนิต ซึ่งบริษัทได้จัดแคมเปญตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุดพร้อมเข้าอยู่ รวมถึงการันตีผลตอบแทน 6% ต่อปี นาน 1 ปี สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อลงทุนปล่อยเช่า รวมถึงบริการบริหารการเช่าให้อีกด้วย

รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 ธันวาคม 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1491

โพสต์

รายงานพิเศษ: ARROW ของขวัญ คริสมาสต์

รูปภาพ


กระแสหุ้นไอพีโอร้อนแรง บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท หรือ ARROW เตรียมมอบของขวัญ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวัน คริสมาสต์ 25 ธันวาคม 2555 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "ARROW" โดยวันที่ 17-19 ธ.ค.นี้ พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 25 ของทุนชำระแล้ว การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 45 ล้านหุ้น และเสนอขายให้แก่พนักงานของบริษัทและบริษัทย่อยจำนวน 5 ล้านหุ้น ซึ่งมีแผนนำเงินจาก IPO ไปใช้ในการสร้างโรงงานและเครื่องจักรสำหรับขยายกำลังการผลิตต่อธุรกิจในอนาคต บางส่วนชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
แถมใจดี แจกส่วนลดให้กับนักลงทุนผู้จองซื้อถึง 45.58% เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งอยู่ที่ 20.27 เท่า โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย 3 แห่ง ประกอบด้วยบล. คันทรี่กรุ๊ป,บล. เคจีไอ และบล. โนมูระ พัฒนสิน

บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “Arrow”) ซึ่งเดิมชื่อ บริษัท เจ.เอส.วี. ฮาร์ดแวร์ จำกัด (“JSVH”) ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2531 โดยนายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ ด้วยทุนจดทะเบียน 4.00 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ กลุ่มครอบครัวนายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กอ่อนร้อยสายไฟ และท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟ ภายใต้เครื่องหมายการค้า Union และ Arrowtite ตามลำดับ ต่อมาได้มีการเพิ่มทุนและขยายสายผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กกล้าร้อยสายไฟและผลิตภัณฑ์ท่อน้ำประปา ภายใต้เครื่องหมายการค้า Arrowpipe และ Arrow PP-R ตามลำดับ จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2552 ได้มีการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยบริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 91.95 ล้านบาท และเข้าถือหุ้นร้อยละ 99.99 ในบริษัท เจ.เอส.วี เทคนิคอล จำกัด (“JVST”) ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้ผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคม 2553 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 131.95 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนในโรงงานใหม่และเครื่องจักร และเมื่อวันที่ 18กรกฎาคม 2555 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 150.00 ล้านบาท โดยบริษัทได้ดำเนินการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 200.00 ล้านบาท (ทุนชำระแล้ว 150.00 ล้านบาท)บริษัท เจ.เอส.วี. เทคนิคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2538 ด้วยทุนจดทะเบียน 2.00 ล้านบาท (ทุนชำระแล้ว 2.00 ล้านบาท) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท่อประเภทต่าง ๆ เช่น ท่อลม ท่อระบายอากาศ ท่อไซโลท่อลำเลียง ท่อสำหรับงานก่อสร้าง (Post-tension Duct) เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ร้อยละ 99.99 ของทุนชำระแล้ว

ลักษณะการประกอบธุรกิจ ARROW
บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อร้อยสายไฟฟ้า ท่อประปา ซึ่งสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ดังนี้
1. ท่อร้อยสายไฟและข้อต่อต่างๆ (Electrical Conduit): ภายใต้เครื่องหมายการค้า “Arrowpipe” และ “Arrowtite” โดยเป็นท่อเหล็กกล้าเคลือบสังกะสีสำหรับใช้ร้อยสายไฟฟ้า มีความทนทานแข็งแรงดัดโค้งได้ง่าย เพื่อป้องกันสายไฟฟ้าจากการขูดขีดและทนทานจากสภาพแวดล้อม ท่อร้อยสายไฟฟ้าดังกล่าวจะผ่านการชุบสังกะสี (Hot-dip galvanized) ทั้งภายนอกและภายในจึงป้องกันสนิมและทนต่อการกัดกร่อนได้ดี ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานสากล UnderwritersLaboratories Inc. (UL) โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก คือ
1) ท่อเหล็กร้อยสายไฟ (White Conduit) ภายใต้เครื่องหมายการค้า “Arrowpipe”
2) ท่อเหล็กอ่อนร้อยสายไฟ (Flexible Metal Conduit: FMC) ภายใต้เครื่องหมายการค้า “Arrowtite”
3) ท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟ (Liquid-tigh Flexible Metal Conduit: LFMC) ภายใต้เครื่องหมายการค้า “Arrowtite”
นอกจากนี้ บริษัทยังผลิตท่อร้อยสายไฟดังกล่าวข้างต้นสำหรับจำหน่ายในระดับราคารองลงมา ภายใต้เครื่องหมายการค้า“Union” ด้วย โดยที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งหมดมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ผู้ติดตั้งงานระบบไฟฟ้าสำหรับโครงการมาตรฐานและใช้ไฟฟ้าในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ อาคาร คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรรโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า และสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น โดยมีการทำการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย (Dealers)และผู้รับเหมาโครงการ

2. ท่อน้ำประปาและข้อต่อต่างๆ: ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ArrowPP-R” เป็นท่อคุณภาพสูงผลิตจากพลาสติกโพลิโพรพิลีน (Polypropylene Random Copolymer: PP-R) สำหรับน้ำดื่ม น้ำประปา น้ำร้อน และน้ำเย็น ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทผลิตขึ้นภายใต้มาตรฐานเยอรมัน (DIN 8077-8078) โดยผลิตภัณฑ์ท่อน้ำประปาดังกล่าวสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ (1) ท่อน้ำชั้นเดียวทนแรงดัน 10 บาร์ (2) ท่อน้ำชั้นเดียวทนแรงดัน 20 บาร์ และ (3) ท่อน้ำ 3 ชั้น ทนแรงดัน 20 บาร์ เพื่อใช้ติดตั้งในอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหารและยา ได้แก่ คอนโดมิเนียมหมู่บ้าน โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาหารและยา เป็นต้น โดยมีการทำการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย และผู้รับเหมาโครงการบริษัท เจ.เอส.วี. เทคนิคอล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย ท่อระบายอากาศหรือท่อลม และท่อสำหรับงานก่อสร้าง เป็นผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กกล้าเคลือบสังกะสี ส่วนใหญ่เป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า โดยสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้

1. ท่อระบายอากาศหรือท่อลม (Duct) มีทั้งแบบท่อวงกลม ท่อวงรี และท่อสี่เหลี่ยม ใช้สำหรับงานระบบปรับอากาศและระบายอากาศในอาคาร เช่น ท่อส่งลมเย็นในอาคารและห้างสรรพสินค้า ท่อดูดฝุ่น งานลำเลียงและงานไซโล เป็นต้น ภายใต้ตราสินค้า“Arrow duct” ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทผลิตตามมาตรฐานสากล SMACNA โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ อาคารต่างๆ ห้างสรรพสินค้าอุตสาหกรรมก่อสร้าง และโรงงานอุตสาหกรรม
2. ท่อสำหรับงานก่อสร้าง (Post-Tension Duct) เป็นท่อที่ใช้ในงานก่อสร้างระบบคอนกรีตอัดแรง ใช้สำหรับงานก่อสร้างหลายรูปแบบ เพื่อเสริมความแข็งแรงของงานรากฐานการก่อสร้าง ท่อนี้ผลิตจากวัสดุเหล็กเคลือบสังกะสี ผ่านการขึ้นรูปเป็นท่อด้วยการรีดตะเข็บเป็นเกลียวยาวแบบเชื่อมซ้อน (Double Seam) ระหว่างเกลียวนั้นจะมีรอยย่นเป็นลูกฟูกอยู่ ซึ่งจะช่วยให้มีความแข็งแรง และทำให้คอนกรีตเกาะติดแน่นขึ้น ท่อ Post-Tension เหมาะกับงานก่อสร้างบ้านเรือน งานสร้างถนน สะพาน งานก่อสร้างฐานราก เป็นต้นโดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ งานโครงสร้างพื้นฐานของอาคาร โครงสร้างพื้นคอนกรีต และงานโครงสร้างสะพาน เป็นต้น โดยมีการทำการตลาดผ่านผู้รับเหมาโครงการ

ภาวะอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมท่อเหล็กร้อยสายไฟ ท่อประปา ท่อระบายอากาศ และท่อก่อสร้าง เป็นวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการติดตั้งสายไฟฟ้าในอาคารประเภทต่างๆ ดังนั้น ปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ของบริษัทจึงเติบโตตามธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ดังนี้

อุตสาหกรรมก่อสร้าง: เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญ โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะสาธารณูปโภค ซึ่งอุตสาหกรรมก่อสร้างมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยในปี 2555นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงเติบโตต่อได้ จากแรงกระตุ้นของโครงการภาครัฐสืบเนื่องจากอุทกภัยในปีที่ผ่านมา ประกอบกับปริมาณก่อสร้างของภาคเอกชนที่มีการกระจายความเสี่ยงไปยังโครงการพาณิชยกรรมและอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดมากขึ้น รวมถึงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในกรุงเทพ และผู้ประกอบธุรกิจบางกลุ่มที่รับงานก่อสร้างโรงงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งทิศทางดังกล่าวจะผลักดันให้มูลค่าตลาดธุรกิจก่อสร้างปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 923,000 – 934,000 ล้านบาท หรือเติบโตที่ร้อยละ 12.2 – 13.5จากปี 2554 อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการก่อสร้างในปี 2555 นั้น มีแรงกระตุ้นมาจากงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำท่วม ซึ่ง
หากไม่รวมงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำท่วมแล้ว อุตสาหกรรมก่อสร้างโดยรวมอาจเกิดการหดตัวจากปี 2554 ประมาณร้อยละ0.5 ถึงร้อยละ 3.1 หรือมีมูลค่าประมาณ 797,000-819,000 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนในโครงการใหม่มีแนวโน้มชะลอหรือเลื่อนออกไป

ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ได้เผยถึงภาพรวมและแนวโน้มสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2555 ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับปี 2554 เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2554 ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อและมีการพิจารณาเลือกซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้ง รวมถึงระบบป้องกันน้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งคาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาประมาณไตรมาส 3 ปี 2555 นอกจากนี้ ผู้ประกอบจะลงทุนในการพัฒนาโครงการอาคารชุดแทนที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น และจะมีการกระจายการพัฒนาไปยังส่วนภูมิภาค เช่น ชลบุรี หัวหิน เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้นทั้งนี้ ราคาที่อยู่อาศัยยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัสดุและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพและปริมณฑลในช่วงต้นปี 2555 ยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ตามตลาดยังคงได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการที่อยู่อาศัยหลังแรก โครงการ Soft Loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคาดว่าตลาดจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยคาดว่าการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2555 จะอยู่ที่ประมาณ 84,500 - 87,500 หน่วย โดยปีนี้ผู้ประกอบการเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ทดแทนการชะลอตัวในตลาดของบ้านแนวราบ โดยกำลังซื้อยังคงมาจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก


มีต่อ....รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1492

โพสต์

รายงานพิเศษ: ARROW ของขวัญ คริสมาสต์ (ต่อ1)

รูปภาพ

สภาพการแข่งขัน

ท่อร้อยสายไฟฟ้า: ขนาดตลาดของท่อร้อยสายไฟฟ้าจะเติบโตตามอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้บริหารของบริษัทคาดว่ามูลค่าตลาดท่อร้อยสายไฟฟ้ามีมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ในการวางระบบไฟฟ้าสำหรับอาคารทุกประเภท ส่วนแบ่งการตลาดของ Arrow และ Union อยู่ใน 1 ใน 3 ลำดับแรกของมูลค่าตลาดทั้งหมด การแข่งขันในตลาดท่อร้อยสายไฟฟ้าอยู่ในระดับปานกลาง โดยการแข่งขันของท่อร้อยสายไฟฟ้าจะเน้นที่คุณภาพของสินค้า ราคาที่เหมาะสม และการให้บริการเป็นสำคัญ Arrow จะใช้เหล็กที่ผ่านกระบวนการชุบสังกะสี (Hot-dipped Galvanized) ซึ่งป็นการเคลือบผิวทั้งภายนอกและภายในทำให้สามารถกันสนิมได้ดี ทั้งนี้ สินค้าทดแทนท่อเหล็กร้อยสายไฟฟ้า ได้แก่ ท่อยูพีวีซี (UPVC) หรือ ท่อพลาสติก ซึ่งมีคุณภาพไม่ดีเท่าเหล็กชุบสังกะสี ปัจจุบันท่อร้อยสายไฟฟ้าจากต่างประเทศที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยมีจำนวนน้อย เนื่องจากการผลิตภายในประเทศมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ทั้งนี้ บริษัทใช้กลยุทธการสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเป็นหลักสำคัญ ประกอบกับความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบ เนื่องจากมีสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณมากทำให้มีอำนาจต่อรองด้านราคา รวมถึงการมีกำลังการผลิตและการเก็บสำรองวัตถุดิบและสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ บริษัทจะไม่ใช้การแข่งขันด้านการตัดราคาท่อประปาประเภท PP-R: ขนาดตลาดของท่อประปา จะเติบโตตามอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นวัสดุอุปกรณ์ในการต่อท่อน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในอาคาร บ้านเรือน โรงแรม โรงพยาบาล ฯลฯ โดยท่อประปาประเภท PP-R จะเข้ามาทดแทนท่อประปาประเภท PVC โดยท่อประปาประเภท PPR ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงและมีคุณสมบัติทนทานและปลอดภัยกว่าวัสดุประเภท PVC ซึ่งท่อประปาประเภท PPR ได้แพร่หลายในต่างประเทศมานานแล้ว ทั้งนี้ การแข่งขันในตลาดท่อประปา PPR ใน
ประเทศไทยอยู่ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่รู้จักประเภทผลิตภัณฑ์มากนัก ผู้ขายจึงต้องเน้นการให้ความรู้และประโยชน์ของการใช้ท่อประปา PP-R เพื่อสร้างมูลค่าตลาดให้เติบโตขึ้น และเพื่อใช้ทดแทนท่อประปาประเภท PVCท่อระบายอากาศ: ขนาดตลาดของท่อระบายอากาศจะเติบโตตามอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้เป็นท่อระบบปรับอากาศ (ระบบแอร์) ท่อลม ท่อระบายความร้อน ท่อลำเลียง(สินค้า) เป็นต้น โดยสัดส่วนของบริษัทผู้ผลิตที่มีโรงงานเป็นของตัวเองคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40 ของการใช้ท่อระบายอากาศทั้งหมด และที่เหลือร้อยละ 60 จะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่ได้มีโรงงานเป็นของตัวเอง ส่วนแบ่งการตลาดของ Arrow Duct อยู่ในลำดับ 1 ใน 3 แรกของผู้ผลิตที่มีโรงงานเอง การเข้ามาแข่งขันในการผลิตท่อระบายอากาศนอกจากจะต้องมีการลงทุนในเครื่องจักรแล้ว จะต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะในการผลิตด้วยท่อก่อสร้าง: เนื่องจากท่อก่อสร้าง (Post tension Duct) เป็นวัสดุประกอบสำคัญของงานก่อสร้างคอนกรีตอัดแรง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งการเกาะติดแน่นขึ้น ตลาดของท่อก่อสร้างจะเติบโตตามอุตสาหกรรมก่อสร้าง สำหรับการก่อสร้างบ้านอาคาร งานสร้างถนน สะพาน ก่อสร้างฐานราก ผนังอาคาร เป็นต้น ผู้ผลิตท่อก่อสร้าง Post Tension ปัจจุบันยังมีน้อยรายที่เป็นผู้ผลิตท่อ Post Tensionเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะผลิตเพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการของตัวเอง ไม่ได้ผลิตเพื่อขาย ทั้งนี้ ความรุนแรงในการแข่งขันยังไม่มากนัก

ความได้เปรียบในการแข่งขัน
บริษัทมีนโยบายที่จะผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยมีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ โดยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้บริษัทมีความพร้อมในด้านต่างๆ ซึ่งผู้บริหารเชื่อว่าบริษัทมีข้อได้เปรียบหรือจุดเด่นในการแข่งขัน ดังต่อไปนี้

• เป็นบริษัท 1 ใน 3 บริษัทผู้นำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กร้อยสายไฟฟ้า ทั้งประเภทท่อแหล็ก ท่อเหล็กอ่อน และท่อเหล็กอ่อนกันน้ำ สำหรับลูกค้าในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และโรงงานอุตสาหกรรม (ข้อมูลจากผู้บริหารของบริษัท)
• มีผลิตภัณฑ์ท่อที่หลากหลาย ทั้งประเภทท่อร้อยสายไฟฟ้า ท่อประปาประเภท PPR ท่อระบายอากาศ และท่อก่อสร้าง ทำให้สามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า
บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) Arrow Syndicate Public Company Limited
• ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และได้รับการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากล เช่นมาตรฐาน UL (Underwriters Laboratories INC.), มาตรฐาน DIN, มาตรฐาน SMACNA เป็นต้น และบริษัทได้รับการรับรองระบบการบริหารคุณภาพ ISO 9001: 2008
• สร้างตราสินค้า (Brand) “Arrow” จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในกลุ่มผู้รับออกแบบระบบไฟฟ้า ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทภายใต้ตราสินค้า “Arrow” เป็นหนึ่งใน Vendor List ของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร
• มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ (Supplier) ซึ่งสามารถคัดเลือกเกรดวัตถุดิบให้ตรงกับการใช้งานของสินค้า และบริษัทมีความได้เปรียบในราคาเนื่องจากมีการสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณมาก
• ได้รับความไว้วางใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยผลงานที่ผ่านมา เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ, สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม, Airport Rail Link, อาคารการบินไทย, ศูนย์ราชการกรุงเทพฯ แจ้งวัฒนะ, ศูนย์การค้าเทสโก้โลตัส (ถ.สุขาภิบาล 1), ศูนย์การค้าบิ๊กซี(ธัญบุรี), อาคารคลังเก็บสินค้าดีทส์แฮล์ม 2, อาคารโรงงานโอสถสภา (จังหวัดอยุธยา), อาคารเอสพานาด, อาคาร Bliss Hotel,องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (TOT), โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง เป็นต้น
• บริษัทมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยลูกค้าหลักของบริษัทเป็นร้านค้าตัวแทนจำหน่ายประมาณกว่า 60 ร้านทั่วประเทศ รวมทั้งเป็นที่รู้จักในวงการรับเหมาก่อสร้าง
• มีเครื่องจักรที่ทันสมัยในสายการผลิต และมีกำลังการผลิตของท่อร้อยสายไฟฟ้ามากถึง 4 สายการผลิต โดยมีสายการผลิตที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 1 สายการผลิต
• ในปี 2554 บริษัทได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการผลิตท่อเหล็กร้อยสายไฟ1 สายการผลิต การผลิตท่อเหล็กอ่อนกันน้ำ และการผลิตท่อประปา PPR โดยเริ่มใช้สิทธิเมื่อต้นปี 2555โครงการในอนาคตบริษัทมีแผนขยายการผลิตสำหรับรองรับการเติบโตของโครงการในปี 2556 โดยใช้เงินจากการเสนอขายหุ้นจากประชาชนในครั้งนี้และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดังนี้

1. โครงการเพิ่มกำลังการผลิตในขั้นตอนตัดเหล็กและเตรียมวัตถุดิบ สำหรับรองรับการขยายตัวของตลาดท่อระบายอากาศและท่อก่อสร้าง โดยในโครงการนี้บริษัทได้ซื้อที่ดินเพิ่มในบริเวณเดียวกับโรงงานเดิมอีกประมาณ 3.5 ไร่ เมื่อเดือนตุลาคม 2555เพื่อใช้ก่อสร้างขยายอาคารโรงงานจากเดิมอีกประมาณ 2,600 ตารางเมตร สำหรับติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการตัดเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาทสำหรับที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้าง และอีกประมาณ 10 ล้านบาทสำหรับเครื่องจักรโดยโครงการลงทุนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตท่อก่อสร้างและท่อระบายอากาศอีกกว่าร้อยละ 50 และเพิ่มช่องทางการขายเหล็กแผ่นหากกำลังการผลิตยังคงเหลือ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2556 และเริ่มผลิตในไตรมาส 4 ของปี2556
2. โครงการผลิตท่ออ่อนชนิดอลูมินัมฟรอยส์ สำหรับงานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยใช้เงินทุนสำหรับเครื่องจักร ประมาณ 5 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2556 และเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคม 2556
3. โครงการขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟ ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศได้รับความเชื่อมั่นทั้งลูกค้าในและต่างประเทศ จำเป็นต้องขยายปริมาณการผลิตเพื่อรองรับตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการลงทุนโดยใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท สำหรับการสั่งซื้อเครื่องจักรในการหุ้ม PVC สำหรับท่อกันน้ำ ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณร้อยละ 25 หรือประมาณ 120 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2556 และเริ่มผลิตในเดือนเมษายน 2556

สรุปผลการดำเนินงาน
กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท่อร้อยสายไฟ (Electrical Conduit) ท่อระบายอากาศ (Duct)ท่อก่อสร้าง (Post-Tension Duct) และท่อประปา PP-R รวมถึงอุปกรณ์ข้อต่อต่างๆ โดยมีการจัดจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศผ่านช่องทางการจำหน่ายทางตรงต่อผู้รับเหมาก่อสร้างและเจ้าของโครงการ และผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทแบ่งเป็น ตัวแทนจำหน่าย (Dealer), ผู้รับเหมาก่อสร้าง (Contractor), และเจ้าของโครงการ (Project Owner) ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทถือเป็นวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น การเติบโตของรายได้จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมดังกล่าว และด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยราคาที่เหมาะสม และมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากสถาบันภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้ใช้ เป็นปัจจัยที่มีส่วนผลักดันให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องผลการดำเนินงานในปี 2552 – ปี 2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวนเท่ากับ 446.17 ล้านบาท531.88 ล้านบาท 681.60 ล้านบาท และ 586.80 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้รวมดังกล่าวแบ่งเป็น (1) รายได้จากการขายในปี 2552– ปี 2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 จำนวนเท่ากับ 435.95 ล้านบาท 513.65 ล้านบาท 667.64 ล้านบาท และ 572.90 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 97.91 ร้อยละ 96.57 ร้อยละ 97.95 และร้อยละ 97.63 ของรายได้รวม ตามลำดับ มีอัตราการเติบโต
คิดเป็นร้อยละ 17.82 ในปี 2553 ร้อยละ 29.98 ในปี 2554 และร้อยละ 11.85 สำหรับงวด 9 เดือนปี 2555 รายได้จากการขายมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเป็นหลักตามการเติบโตของธุรกิจก่อสร้างและโครงการอสังหาริมทรัพย์ (2)รายได้จากการบริการในปี 2552 – ปี 2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 จำนวนเท่ากับ 5.67 ล้านบาท 8.44 ล้านบาท 7.08 ล้านบาท และ4.46 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.28 ร้อยละ 1.59 ร้อยละ 1.04 และร้อยละ 0.76 ของรายได้รวม ตามลำดับ รายได้จากการบริการของกลุ่มบริษัทมีสัดส่วนไม่มาก เนื่องจากธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทคือการผลิตและจัดจำหน่าย โดยรายได้จากการบริการส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการบริการติดตั้งท่อระบายอากาศให้กับลูกค้าของบริษัท JSVT (3) รายได้อื่นในปี 2552 – ปี 2554 และงวด 9เดือนปี 2555 จำนวนเท่ากับ 4.52 ล้านบาท 9.80 ล้านบาท 6.88 ล้านบาท และ 9.43 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.01ร้อยละ 1.84 ร้อยละ 1.01 และร้อยละ 1.61 ของรายได้รวม ตามลำดับ รายได้อื่น ได้แก่ รายได้จากการขายเศษเหล็กเศษวัสดุ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการขายสินทรัพย์ ดอกเบี้ยรับ เป็นต้นกลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2552 – ปี 2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 จำนวน 27.86 ล้านบาท 53.18 ล้านบาท 53.20ล้านบาท และ 74.30 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 6.24 ร้อยละ 10.00 ร้อยละ 7.81 และร้อยละ 12.66 ตามลำดับในปี 2553 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 90.90 จากปี 2552 เนื่องจากค่าซ่อมแซมเครื่องจักรลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงจากที่ไม่มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมจากปี 2552 และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2554 ถึงแม้บริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น แต่ด้วยราคาเหล็กชุบสังกะสีซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทตามสื่อต่างๆ และค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิลดลง สำหรับงวด9 เดือนปี 2555 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 77.91 เนื่องจาก ราคาเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักเริ่มมีการปรับตัวลดลงส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือร้อยละ 23 และบริษัทได้เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI



สรุปฐานะการเงิน
สินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2552 - ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 เท่ากับ 356.07 ล้านบาท 476.65 ล้านบาท 580.77ล้านบาท และ 645.41 ล้านบาท ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ของสินทรัพย์รวมเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน โดยสินทรัพย์หมุนเวียนที่สำคัญประกอบด้วย
(1) ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่น - สุทธิ ณ สิ้นปี 2552 - ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 เท่ากับ 93.42 ล้านบาท119.41 ล้านบาท 143.03 ล้านบาท และ 202.03 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.24 ร้อยละ 25.05 ร้อยละ 24.63 และร้อยละ 31.30ของสินทรัพย์รวม ตามลำดับ ลูกหนี้การค้าของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยลูกหนี้การค้าส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่ยังไม่ครบกำหนดชำระและลูกหนี้เกินกำหนดชำระไม่เกิน 3 เดือน คิดเป็นประมาณร้อยละ 95 ของลูกหนี้การค้ารวม โดยบริษัทมีระยะเวลาในการเก็บหนี้เฉลี่ยในปี 2552 – ปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 เท่ากับ 79 วัน 73 วัน 69 วัน และ 68 วัน ตามลำดับ โดยระยะเวลาในการเก็บหนี้เฉลี่ยดังกล่าวอยู่ในช่วงเครดิตเทอมในการชำระหนี้ที่ทางบริษัทให้แก่ลูกค้าคือ 60-90 วัน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการจัดเก็บหนี้ที่ดีของบริษัท
(2) สินค้าคงเหลือ - สุทธิ ณ สิ้นปี 2552 - ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 มีจำนวนเท่ากับ 92.97 ล้านบาท 195.04ล้านบาท 168.20 ล้านบาท และ 186.92 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.11 ร้อยละ 40.92 ร้อยละ 28.96 และร้อยละ28.96 ของสินทรัพย์รวม ตามลำดับ โดยสินค้าคงเหลือส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 60 ของสินค้าคงเหลือรวมเป็นวัตถุดิบ ได้แก่ เหล็กชุบสังกะสีและเม็ดพลาสติก เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่สั่งซื้อจากต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อให้มีปริมาณวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการใช้ในการผลิต เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองด้านราคา และเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ บริษัทจึงมีการสำรองวัตถุดิบค่อนข้างมากและมีการสั่งซื้อล่วงหน้าอย่างน้อยประมาณ 2 เดือนทั้งนี้ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของบริษัท ณ สิ้นปี 2552 - ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 เท่ากับ 155.77 ล้านบาท158.86 ล้านบาท 259.77 ล้านบาท และ 253.64 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.75 ร้อยละ 33.33 ร้อยละ 44.73 และร้อยละ 39.30ของสินทรัพย์รวม ตามลำดับ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของบริษัทประกอบด้วยสินทรัพย์ คือ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ – สุทธิ ณ สิ้นปี 2552
– ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 มีมูลค่าสุทธิเท่ากับ 124.29 ล้านบาท 104.58 ล้านบาท 208.73 ล้านบาท และ 223.24 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 34.91 ร้อยละ 21.94 ร้อยละ 35.94 และร้อยละ 34.59 ของสินทรัพย์รวม ตามลำดับ โดยสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ ได้แก่ เงินฝากประจำสถาบันการเงินที่ติดภาระค้ำประกัน และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนซึ่งได้แก่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท เป็นต้น

หนี้สิน ณ สิ้นปี 2552 – ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 มีจำนวนเท่ากับ 215.76 ล้านบาท 269.96 ล้านบาท315.28 ล้านบาท และ 357.50 ล้านบาท ตามลำดับ หนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในรูปของหนี้สินหมุนเวียน โดยหนี้สินหมุนเวียนที่สำคัญประกอบด้วย (1) เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 2552 – ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน2555 มีมูลค่าเท่ากับ 110.15 ล้านบาท 204.13 ล้านบาท 239.74 ล้านบาท และ 241.80 ล้านบาท ตามลำดับ เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมีการสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศในปริมาณมาก เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในการผลิต ซึ่งบริษัทจะชำระเงินค่าวัตถุดิบจากต่างประเทศทันทีโดยใช้เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินประเภททรัสต์รีซีท ทำให้บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นประเภทดังกล่าวในสัดส่วนที่สูง (2) เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น ณ สิ้นปี 2552 – ณสิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 มีมูลค่ารวมเท่ากับ 59.64 ล้านบาท 27.25 ล้านบาท 30.93 ล้านบาท และ 42.86 ล้านบาทตามลำดับ เจ้าหนี้การค้าดังกล่าวเป็นเจ้าหนี้การค้าในประเทศ โดยบริษัทได้รับ Credit Term จากเจ้าหนี้การค้าภายในประเทศประมาณ30 วัน สำหรับการสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศจะชำระเงินทันที โดยใช้เงินกู้ยืมประเภททรัสต์รีซีท (TR) เมื่อได้รับเอกสารการส่งสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายครบถ้วน ส่งผลให้บริษัทมีระยะเวลาในการชำระหนี้เฉลี่ยค่อนข้างสั้น (ไม่รวมเงินกู้ยืมประเภท TR) คือ เท่ากับ 36 วัน23 วัน 11 วัน และ 10 วัน ณ สิ้นปี 2552 – ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 ตามลำดับส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2552 – ณ สิ้นปี 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 มีมูลค่าเท่ากับ 140.24 ล้านบาท 206.69 ล้านบาท 265.49 ล้านบาท และ 287.90 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปีประกอบกับการเพิ่มทุนในปี 2553 และปี 2554 เพื่อสร้างโรงงานใหม่และเพิ่มกำลังการผลิต บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลในปี 2552จำนวน 26.09 ล้านบาท และบริษัทไม่มีการจ่ายเงินปันผลในปี 2553 ทั้งนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 เมื่อวันที่ 26 เมษายน2555 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสม ณ สิ้นปี 2554 ให้แก่ผู้ถือหุ้นหุ้นละ 53 บาท เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 69.93ล้านบาท โดยบริษัทได้ดำเนินการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้กับผู้ถือหุ้นแล้วเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2555 เว้นแต่การจ่ายปันผลแก่บริษัทแอล เค ซินดิเคท จำกัด จำนวน 21.2 ล้านบาทเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2555 (ตามรายละเอียดตามส่วนที่ 2 ข้อ 12)

ต่อ..(1)รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1493

โพสต์

รายงานพิเศษ: ARROW ของขวัญ คริสมาสต์ (จบ)

รูปภาพ

ความเสี่ยงที่สำคัญ
1. ความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาวัตถุดิบที่เปลี่ยนแปลงไปตามราคาตลาดโลกวัตถุดิบสำคัญในการผลิต คือ เหล็กกล้าเคลือบสังกะสี ในปี 2552- 2554 บริษัทใช้เหล็กกล้าเคลือบสังกะสีคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92 - 95 ของยอดรวมของการซื้อวัตถุดิบทั้งหมด ดังนั้น ความผันผวนราคาเหล็กซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามราคาตลาดโลกมีผลกระทบต่อรายได้ ต้นทุน และอัตรากำไรสุทธิของบริษัท หากกรณีที่บริษัทไม่สามารถปรับราคาสินค้าเพิ่มตามราคาของวัตถุดิบที่มีการปรับตัวขึ้นได้ ปัจจุบันบริษัทสั่งซื้อเหล็กจากประเทศจีนเป็นหลัก โดยมีนโยบายการสั่งซื้อวัตถุดิบขั้นต่ำในสต๊อกสำหรับการผลิตประมาณ 2 เดือนล่วงหน้า และไม่มีนโยบายการกักตุนเหล็กเพื่อเก็งกำไร บริษัทมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงโดยกำหนดราคาขายให้มีส่วนต่างกำไรในระดับที่จะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหากราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องบริษัทจะพิจารณาปรับราคาเพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบได้ นอกจากนี้ บริษัทจะตรวจสอบราคาเหล็กอย่างใกล้ชิด เพื่อคาดการณ์สถานการณ์และแนวโน้มของราคาและปริมาณความต้องการใช้เหล็กทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทและบริษัทย่อยจะจัดเก็บเหล็กให้น้อยที่สุดเมื่อพบว่าราคาเหล็กมีทิศทางแนวโน้มปรับตัวลดลง และจะสั่งเหล็กมากขึ้นกรณีราคาเหล็กมีทิศทางที่จะปรับตัวสูงขึ้น
โดยอาศัยประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดหาเหล็กในการประกอบการตัดสินใจในการสั่งซื้อวัตถุดิบและวางแผนการผลิตสินค้าได้อย่างเหมาะสม
2. ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงผู้จัดจำหน่ายหรือบริษัท Trader รายใหญ่วัตถุดิบสำคัญของบริษัทและบริษัทย่อย คือ เหล็กกล้าเคลือบสังกะสี ซึ่งบริษัทจะสั่งซื้อจากประเทศจีนเป็นหลักเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าราคาในประเทศ โดยบริษัทได้สั่งซื้อวัตถุดิบจากบริษัทตัวแทนผู้จัดจำหน่าย หรือตัวแทนส่งออก (“ผู้จัดจำหน่าย” หรือ“Trader”) จากประเทศจีนจำนวน 3 รายเป็นหลัก เนื่องจากบริษัท Trader ดังกล่าวมีใบอนุญาตการส่งสินค้าออกและสามารถจัดส่งสินค้าตามความต้องการของบริษัทได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในราคาซื้อที่เหมาะสม และตั้งอยู่ใกล้แหล่งโรงงานผลิตเหล็ก ซึ่งในปี2552 – ปี 2554 และ 9 เดือนของปี 2555 บริษัทได้สั่งซื้อผ่านบริษัท Trader รายหนึ่งจากประเทศจีน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.27 ร้อยละ 53.3 ร้อยละ 70.05 และร้อยละ 68.26 ของยอดสั่งซื้อรวม ตามลำดับ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่อยู่ในระดับของการพึ่งพิงบริษัท Trader รายดังกล่าว บริษัทจึงอาจมีความเสี่ยงจากการพึ่งพิงบริษัท Trader ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนส่งออกเหล็กรายดังกล่าว และอาจขาดแคลนเหล็กในกรณีบริษัท Trader รายดังกล่าวไม่สามารถจัดส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัทได้ตามกำหนด และบริษัทไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบจาก
แหล่งอื่นเข้ามาทดแทนได้ทันแผนการผลิตสินค้าตามที่ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้า
อย่างไรก็ตาม บริษัท Trader รายดังกล่าวมิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกันกับบริษัทแต่อย่างใด และมีประวัติการสั่งซื้อระหว่างกันเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ปี โดยบริษัท Trader ดังกล่าวดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านำเข้า-ส่งออกรายใหญ่ และอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัทที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในเมืองเทียนจิน โดยมีสินค้าหลากหลายมากกว่า 10,000 รายการ โดยเน้นสินค้าอุปโภคบริโภค และของใช้ในครัวเรือนทั่วไป อาทิ เสื้อผ้า เครื่องจานชาม สินค้าตกแต่งบ้าน งานฝีมือ เป็นต้น เป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี ครอบคลุมลูกค้ามากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก นอกจากธุรกิจหลักดังกล่าว บริษัท Trader ยังเป็นตัวแทนในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าวัตถุดิบอื่นๆ จากโรงงานผลิต เช่น เหล็ก ให้แก่ลูกค้าต่างประเทศ และเนื่องจากบริษัท Trader ดังกล่าวมีธุรกิจนำเข้าส่งออกเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทเดินเรือหลายราย และสามารถอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งให้แก่ลูกค้าได้ตามความต้องการและตรงเวลา
ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้มีสัญญาผูกขาดการจัดซื้อวัตถุดิบผ่านบริษัท Trader รายใดรายหนึ่ง เพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน ที่ผ่านมาบริษัทมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตและบริษัท Trader ผู้ส่งออกเหล็กและไม่เคยประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบบริษัทมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการสั่งวัตถุดิบจากบริษัท Trader ดังกล่าว
3. ความเสี่ยงจากการพึ่งพาตัวแทนนายหน้าชาวจีนในการสั่งซื้อวัตถุดิบเหล็กจากประเทศจีน บริษัทพึ่งพิงตัวแทนชาวจีน 2 ท่านในการทำหน้าที่ประสานงานติดต่อคัดเลือกผู้ผลิต
และผู้จำหน่ายวัตถุดิบในประเทศจีน โดยเฉพาะเขตมณฑลเทียนจินและเซี่ยงไฮ้เพื่อนำเสนอราคาให้แก่บริษัท โดยบริษัทจะเปรียบเทียบคุณภาพและราคาที่เหมาะสม และเมื่อบริษัทตกลงสั่งซื้อเหล็กกับโรงงานที่ตัวแทนนายหน้าได้เสนอมา ตัวแทนนายหน้าจะประสานงานให้บริษัท Trader ดำเนินการสั่งซื้อและออกใบยืนยันการขาย (Sale Confirmation) มาให้บริษัท เมื่อบริษัทยืนยันการซื้อกับทางบริษัทTrader แล้วทางบริษัท Trader จะดำเนินการจัดส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัท โดยตัวแทนดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบสภาพวัตถุดิบซึ่งเป็นเหล็กม้วนและการบรรจุก่อนที่จะส่งออกจากประเทศจีน เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงตามคำสั่งซื้อของบริษัท ซึ่งการมีตัวแทนในจีนทำให้บริษัทสามารถเสาะหา (Sourcing) วัตถุดิบได้คล่องตัวในราคาที่เป็นประโยชน์กับบริษัท โดยตัวแทนจะได้รับค่าจัดการเป็นสัดส่วนต่อมูลค่าสั่งซื้อ เหตุผลที่บริษัทเลือกซื้อเหล็กจากประเทศจีนเนื่องจากมีราคาถูกกว่าซื้อภายในประเทศ โดยถึงแม้ว่าจะมีค่าจัดการให้แก่ตัวแทนชาวจีนแต่ต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมยังคงต่ำกว่าราคาเหล็กที่ซื้อผ่านบริษัทจัดจำหน่ายภายในประเท ดังนั้น หากตัวแทนชาวจีน 2ท่านขอยกเลิกการทำหน้าที่ประสานงานติดต่อ คัดเลือกผู้ผลิต และตรวจสอบสภาพวัตถุดิบก่อนส่งให้บริษัท อาจทำให้บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และคุณภาพของเหล็กที่ได้รับไม่ได้มาตรฐานได้ ซึ่งจะมีปัญหาการเคลมสินค้าคืนทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกำไรขั้นต้นของบริษัทลดลง
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนชาวจีนทั้งสองรายซึ่งเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเหล็กเป็นอย่างดี โดยบริษัทมีนโยบายที่จะรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีต่อไป และคณะกรรมการตรวจสอบจะมีการประเมินการทำงานของตัวแทนทุกไตรมาส โดยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนค่าจัดการตามความเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มหาแหล่งวัตถุดิบอื่นนอกเหนือจากประเทศจีน ซึ่งมีคุณภาพทัดเทียมกัน เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศเวียดนาม เป็นต้น

4. ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องเงินทุนหมุนเวียนเนื่องจากตั้งแต่ปลายปี 2553 บริษัทมีแผนการผลิตท่อเหล็กสำหรับโรงงานใหม่ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI ประกอบกับการ
คาดการณ์ว่าจะได้งานเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของโครงการอสังหาริมทรัพย์และงานโครงการรถไฟฟ้า จึงได้สั่งซื้อวัตถุดิบเหล็กเข้ามามากทำให้ปริมาณสินค้าคงเหลือของบริษัทและบริษัทย่อยคงเหลืออยู่ในสต๊อคสูง โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 และณ 30 กันยายน 2555บริษัทมีสินค้าคงเหลือก่อนหักค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลงเท่ากับ 170.91 ล้านบาท และ 188.74 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.46 และร้อยละ 29.24 ของสินทรัพย์รวม ดังนั้น หากบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการสินค้าคงเหลือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับประมาณการยอดขายและกำลังการผลิต อาจส่งผลให้บริษัทประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในเดือนมีนาคม ปี 2555 บริษัทเริ่มเปิดสายการผลิตจากโรงงานใหม่ จึงคาดว่าจะสามารถระบายวัตถุดิบที่ค้างในสต๊อคได้เมื่ออัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยนโยบายการสั่งซื้อวัตถุดิบและสำรองสินค้าคงเหลือของบริษัทจะพิจารณาให้มีความเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบ และปริมาณงานที่ต้องส่งมอบให้แก่ลูกค้า ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทยังไม่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน โดยอัตราส่วนสภาพคล่อง ณ 31 ธันวาคม 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 อยู่ที่ 1.10 เท่า และ 1.21 เท่า ตามลำดับ ซึ่งการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งนี้ จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้การขยายตัวธุรกิจเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีวงเงินสินเชื่อระยะสั้นจากสถาบันการเงินจำนวน 400 ล้านบาท โดยมีวงเงินคงเหลือที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 158.20 ล้านบาท

5. ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเนื่องจากบริษัทสั่งซื้อวัตถุดิบประเภทเหล็กจากประเทศจีนในสัดส่วนประมาณกว่าร้อยละ 90 ของยอดซื้อวัตถุดิบรวม และมีการชำระเงินเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งหากเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงจะทำให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยในปี 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีการสั่งซื้อวัตถุดิบต่างประเทศเป็นจำนวนเท่ากับ 348.55 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92.73 ของมูลค่าสั่งซื้อวัตถุดิบทั้งหมดในปี 2554 และในงวด 9 เดือนปี 2555 บริษัทมีการสั่งซื้อวัตถุดิบต่างประเทศเป็นจำนวนเท่ากับ 310.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92.98 ของมูลค่าสั่งซื้อวัตถุดิบทั้งหมด และบริษัทมีรายได้จากการขายต่างประเทศเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐบางส่วนในปี 2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 เท่ากับจำนวน81.37 ล้านบาท และจำนวน 59.94 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในอดีตบริษัทไม่ได้มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ในปี 2553 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 4.01 ล้านบาทและปี 2554 บริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 5.76 ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 บริษัทเริ่มใช้นโยบายการป้องกันความเสี่ยงโดยการใช้สินเชื่อเพื่อการชำระค่าสินค้า: Trust Receipt (T/R) เป็นเงินบาททั้งหมด และได้ใช้วงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) บางส่วน เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งณ 30 กันยายน 2555 บริษัทและบริษัทย่อยได้รับการอนุมัติการใช้วงเงิน T/R และวงเงินสำหรับใช้ Forward Contract จากธนาคารเท่ากับ 235.00 ล้านบาท เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น โดย ณ 30 กันยายน 2555 บริษัทได้ใช้วงเงินกู้เป็นสกุลเงินบาทและไม่มีหนี้สินที่ไม่ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัททำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า บริษัทยังคงได้รับผลกระทบทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนอันเนื่องมาจากที่รายการซื้อและชำระค่าวัตถุดิบและรายการขายและรับชำระเงินไม่ได้เกิดขึ้นงวดบัญชีเดียวกันกับวันที่บันทึกบัญชีและ/หรือวันที่ชำระหรือได้รับเงิน ทำให้ ณ วันปิดงวดบัญชีจะต้องบันทึกค่าวัตถุดิบและรายได้จากการขายตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันปิดงวดนั้นๆ อาจทำให้เกิดผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนที่บันทึกบัญชีกับอัตราแลกเปลี่ยนจ่ายให้แก่คู่ค้าสำหรับงวด 9 เดือนปี 2555 บริษัทมีผลจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.10 ล้านบาทเนื่องจาก บริษัทมีรายได้บางส่วนเป็นเงินตราต่างประเทศ และยังมีการสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงบางส่วน โดยบริษัทจะติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพื่อจะประเมินสถานการณ์และหาทางป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
6. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยณ 31 ธันวาคม 2554 และ ณ 30 กันยายน 2555 บริษัทมีสินเชื่อระยะสั้นและระยะยาวคงค้างรวมเท่ากับ 261.90 ล้านบาทและ 272.97 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นประเภททรัสต์รีซีท (Trust Receipt) ซึ่งนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและชำระค่าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ส่วนเงินกู้ยืมระยะยาวใช้เพื่อลงทุนในโรงงานและเครื่องจักร โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระ คือตั้งแต่ร้อยละ MLR-1.75% ถึง MOR+1% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวทั้งหมด ดังนั้น หากภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้นด้วยบริษัทจะลดความเสี่ยงโดยติดตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ โดยจะหาแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนภายหลังการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อลดภาระการกู้ยืมเงินของบริษัทได้ในการจ่ายชำระคืนหนี้บางส่วน ที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยผิดนัดชำระดอกเบี้ยกับธนาคาร
7. ความเสี่ยงจากการมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีอำนาจกำหนดนโยบายการบริหารณ วันที่ 1 สิงหาคม 2555 กลุ่มนายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ (รวมบริษัทแอลเค ซินดิเคท จำกัด ซึ่งกลุ่มนายเลิศชัยถือหุ้นร้อยละ97.50) ถือหุ้นรวมกันในบริษัทร้อยละ 76.56 ของทุนชำระแล้ว ถึงแม้ว่าภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือร้อยละ 57.41 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว กลุ่มนายเลิศชัยยังคงสามารถควบคุมมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งกรรมการ หรือการขอมติในเรื่องอื่นที่ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยกเว้นเรื่องที่กฎหมายหรือข้อบังคับบริษัทกำหนดให้ต้องได้รับ 3 ใน 4 ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น เช่น การเพิ่มทุน การลดทุน การขายหรือโอนกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด เป็นต้น ดังนั้น ผู้ถือหุ้นรายอื่นจึงอาจไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลเรื่องที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสนอได้อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งเป็นกรรมการอิสระ จำนวน 3 ท่านจากจำนวนกรรมการทั้งหมด 9 ท่าน เข้าร่วมในการประชุมคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลการทำงานของคณะกรรมการและผู้บริหารบริษัทรวมถึงการพิจารณาอนุมัติรายการต่างๆ ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ถือหุ้นว่าการบริหารงานภายในบริษัทจะเป็นไปอย่างโปร่งใส
8. ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์บริษัทมีความประสงค์จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ก่อนได้รับการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ทั้งนี้บริษัทได้ยื่นคำขออนุญาตนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 และบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินได้พิจารณาคุณสมบัติของบริษัทในเบื้องต้นแล้ว เห็นว่าบริษัทมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอได้ตามเกณฑ์กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ยกเว้นคุณสมบัติการกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนไม่ต่ำกว่า 300 ราย บริษัทจึงยังมีความไม่แน่นอนที่จะได้รับอนุญาตให้เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดรองและอาจไม่ได้รับผลตอบแทนจากการขายหุ้นได้ตามราคาที่คาดการณ์ไว้หากหลักทรัพย์ของบริษัทไม่สามารถเข้าจดทะเบียนได้

สรุปข้อมูลหลักทรัพย์ที่เสนอขาย
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 200 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00บาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว 150.00 ล้านบาทโดยบริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนจำนวน 50 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.00 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้และจะเสนอขายต่อผู้บริหารและพนักงานบริษัทและบริษัทย่อยจำนวน 5.00 ล้านหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.50 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม หากมีหุ้นเหลือจากการเสนอขายต่อผู้บริหารและพนักงานบริษัทและบริษัทย่อย ให้ส่วนที่เหลือทั้งหมดไปรวมเสนอขายต่อประชาชนบริษัทมีความประสงค์ที่จะนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตามเกณฑ์กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ภายหลังจากที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพยแห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้เพื่อการซื้อที่ดินและเครื่องจักรสำหรับขยายกำลังการผลิต เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยหากมีเงินทุนส่วนที่เหลือ บริษัทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป

โครงการในอนาคต
บริษัทกำหนดเป้าหมายการขยายกลุ่มลูกค้าร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั้งค้าปลีกและโครงการ ผู้รับเหมาโครงการ รวมถึงตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยได้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด การส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ตลอดปี มีการจัดระบบการติดตามงานโครงการของตัวแทนขายโครงการ และด้วยข้อมูลจากการติดตามความคืบหน้าโครงการ ในอนาคตอันใกล้มีการก่อสร้างอาคารมาตรฐานทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นจำนวนมากอาทิ โครงการรัฐสภาแห่งใหม่ โครงการศูนย์การแพทย์ชั้นนำแห่งเอเซียโรงพยาบาลรามาธิบดี (บางพลี) สนามบินนานาชาติหลายจังหวัดรวมทั้งส่วนต่อขยายสุวรรณภูมิ โครงการอาคารมหานคร 77 ชั้นโครงการรถไฟฟ้าส่วนขยาย เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และอาคารสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โครงกาคอนโดมิเนียมต่างๆ ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ เป็นต้น โดยแนวโน้มการเติบโตด้านการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ทำให้
บริษัทมีแผนการลงทุนด้านขยายกำลังการผลิตในพื้นที่ส่วนที่เหลือของโรงงานโดยจะพิจารณาจากปัจจัยทางด้านส่วนแบ่งทางการตลาดและความต้องการผลิตภัณฑ์ในตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ส่วนที่ใกล้เต็มกำลังการผลิต ได้แก่ ท่อก่อสร้างและท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟบริษัทมีแผนขยายการผลิตสำหรับรองรับการเติบโตของโครงการในปี 2556 โดยใช้เงินจากกาเสนอขายหุ้นจากประชาชนในครั้งนี้และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังการผลิตในขั้นตอนตัดเหล็กและเตรียมวัตถุดิบ สำหรับรองรับการขยายตัวของตลาดท่อระบายอากาศและท่อก่อสร้าง โดยในโครงการนี้บริษัทได้ซื้อที่ดินเพิ่มในบริเวณเดียวกับโรงงานเดิมอีกประมาณ 3.5 ไร่เมื่อเดือนตุลาคม 2555 เพื่อใช้ก่อสร้างขยายอาคารโรงงานจากเดิมอีกประมาณ 2,600 ตารางเมตร สำหรับติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการตัดเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาทสำหรับที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้าง และอีกประมาณ 10 ล้านบาทสำหรับเครื่องจักรโดยโครงการลงทุนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตท่อก่อสร้างและท่อระบายอากาศอีกกว่าร้อยละ 50 และเพิ่มช่องทางการขายเหล็กแผ่นหากกำลังการผลิตยังคงเหลือ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2556 และเริ่มผลิตในไตรมาส 4 ของปี2556
2. โครงการผลิตท่ออ่อนชนิดอลูมินัมฟรอยส์ สำหรับงานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยใช้เงินทุนสำหรับเครื่องจักร ประมาณ 5 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2556 และเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคม 2556
3. โครงการขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟ ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศได้รับความเชื่อมั่นทั้งลูกค้าในและต่างประเทศ จำเป็นต้องขยายปริมาณการผลิตเพื่อรองรับตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการลงทุนโดยใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท สำหรับการสั่งซื้อเครื่องจักรในการหุ้ม PVC สำหรับท่อกันน้ำ ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณร้อยละ 25 หรือประมาณ 120 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2556 และเริ่มผลิตในเดือนเมษายน 2556


การวิจัยและพัฒนา
เป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาของบริษัท คือ การผลิตสินค้าให้มีต้นทุนลดลง โดยจะใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนมากขึ้น(Automation) และมีแผนในการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และโรงงานอุตสาหกรรม โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน สามารถติดตั้งง่าย สะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลา และสวยงาม เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มขายผลิตภัณฑ์ท่อประปา PP-R ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่และเริ่มมีรายได้เชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2555

นโยบายการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม
บริษัทมีนโยบายลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการที่เป็นส่วนสนับสนุนกิจการของบริษัทอันจะทำให้บริษัทมีผลประกอบการหรือผลกำไรเพิ่มมากขึ้น หรือธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ (Synergy) ให้กับบริษัท โดยสามารถสนับสนุนการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทให้มีความครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 บริษัทมีเงินลงทุนใน บริษัท เจ.เอส.วี.เทคนิคอล จำกัด คิดเป็นร้อยละ 99.99 ทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาททั้งนี้การลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมจะอยู่ภายใต้การควบคุมและตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบ และในการกำกับดูแลบริษัทย่อยและบริษัทร่วม บริษัทจะส่งกรรมการของบริษัทหรือคัดเลือกผู้บริหารที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นตัวแทนในการบริหารงาน เพื่อกำหนดนโยบายที่สำคัญและควบคุมการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมดังกล่าว


นโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจกำหนดให้การจ่ายเงินปันผลมีอัตราน้อยกว่าอัตราที่กำหนดข้างต้นได้หากบริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินกำไรสุทธิจำนวนดังกล่าวมาใช้เพื่อขยายการดำเนินงานของบริษัททั้งนี้ บริษัทย่อย และ/หรือ บริษัทร่วมมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทในอัตราร้อยละ 100 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม บริษัทย่อย และ/หรือ บริษัทร่วมอาจกำหนดให้การจ่ายเงินปันผลมีอัตราน้อยกว่าอัตราที่กำหนดข้างต้นได้หากบริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินกำไรสุทธิจำนวนดังกล่าวมาใช้เพื่อขยายการดำเนินงานของบริษัท



ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
12.1 งบการเงิน
12.1.1 สรุปรายงานการสอบบัญชี
สำหรับงบการเงินงวดปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552
ตรวจสอบโดยนายวิชัย รุจิตานนท์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขทะเบียน 4054 บริษัท เอเอ็นเอส ออดิท จำกัด ซึ่งได้แสดงความเห็นว่างบการเงินของบริษัทแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป แต่ให้ข้อสังเกตเรื่องการมิได้ตรวจสอบปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จำนวน73.73 ล้านบาท ในงบการเงินของบริษัท เนื่องจาก ณ ขณะนั้นยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สอบบัญชีและไม่สามารถใช้วิธีการอื่นตรวจสอบให้เป็นที่พอใจในปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือดังกล่าวสำหรับงบการเงินงวดปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553ตรวจสอบโดยนายวิชัย รุจิตานนท์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขทะเบียน 4054 บริษัท เอเอ็นเอส ออดิท จำกัด ซึ่งได้แสดงความเห็นว่างบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจกาของบริษัทแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป และให้ข้อสังเกตบริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการแสดงราคาทุนของสินค้าคงเหลือจากวิธีเข้าก่อนออกก่อนเป็นวิธีถัวเฉลี่ยน้ำหนักสำหรับงบการเงินงวดปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554ตรวจสอบโดยนายวิชัย รุจิตานนท์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขทะเบียน 4054 บริษัท เอเอ็นเอส ออดิท ซึ่งได้แสดงความเห็นว่างบการเงินรวมของบริษัทแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป และได้ให้ข้อสังเกตในระหว่างปี 2554 บริษัทฯและบริษัทย่อยได้ใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินที่ออกและปรับปรุงใหม่ซึ่งออกโดยสภาวิชาชีพบัญชีฯ ซึ่งกำหนดให้ถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป เพื่อจัดทำและนำเสนองบการเงินนี้ งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ที่นำมาแสดงเปรียบเทียบได้แสดงตามรูปแบบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการแสดงงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ทั้งนี้ บริษัทฯและบริษัทย่อยได้ปรับปรุงภาระผูกพันที่เกิดจากผลประโยชน์ของพนักงาน ณ วันที่ 1 มกราคม 2554 จากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 19 โดยใช้วิธีปรับกับกำไรสะสม ณ วันที่ 1 มกราคม 2554 นอกจากนี้ ตามหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 2 ในปี 2554 บริษัทฯได้เปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีสินทรัพย์ถาวรจากวิธีราคาที่ตีใหม่เป็นวิธีราคาทุนโดยใช้วิธีการปรับย้อนหลัง และปี 2553 บริษัทฯและบริษัทย่อยได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีในการแสดงราคาทุนของสินค้าคงเหลือจากวิธีเข้าก่อนออกก่อนเป็วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักสำหรับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลา 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555สอบทานโดยนายวิชัย รุจิตานนท์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขทะเบียน 4054 บริษัท เอเอ็เอส ออดิท ซึ่งได้แสดงความเห็นว่าไม่พบสิ่งที่เป็นเหตุให้เชื่อว่าข้อมูลทางการเงินระหว่างการดังกล่าวไม่ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 34 เรื่องงบการเงินระหว่างกาลในสาระสำคัญจากการสอบทาน

กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิและกำไรเบ็ดเสร็จสำหรับปี 2552 – ปี 2554 มูลค่าเท่ากับ 27.86 ล้านบาท 53.18 ล้านบาท และ 53.20ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 6.24 ร้อยละ 10.00 และร้อยละ 7.81 ตามลำดับ ในปี 2553 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 90.90 จากปี 2552 เนื่องจากกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงจากที่ไม่มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมจากปี 2552 และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2554ถึงแม้บริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น แต่ด้วยราคาวัตถุดิบเหล็กที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทตามสื่อต่างๆ และค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้บริษัทมีอัตรกำไรสุทธิลดลงทั้งนี้ กลุ่มบริษัทมีต้นทุนทางการเงินสำหรับปี 2552 – ปี 2554 จำนวน 10.82 ล้านบาท 9.40 ล้านบาท และ 12.66 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยจ่ายของเงินกูยืมจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการจัดซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศและเพื่อการลงทุนขยายการผลิต นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทมีภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี 2552 – ปี 2554 จำนวนเท่ากับ 13.19 ล้านบาท 24.40 ล้านบาทและ 22.74 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับงวด 9 เดือนปี 2555 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 74.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.91 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบเหล็กมีการปรับตัวลดลง ประกอบกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือร้อยละ 23 และบริษัทได้เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12.66 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 7.98การวิเคราะห์ฐานะทางการเงินในปี 2552 – ปี 2554 และณ 30 กันยายน 2555

อดีตที่ ARROW ได้บันทึกไว้ ช่วยสร้างปัจจุบัน และอนาคตให้เติบโตได้อย่างมั่นคง และคริสมาสต์ ARROW พร้อมแล้วที่จะมอบของขวัญให้ทุกคน
---จบ---

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1494

โพสต์

งานแข่งระดับโลกที่จัดในประเทศไทย
นับเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียที่มีโอกาสได้จัดการแข่งขัน ROC
ซึ่งการแข่งขันมี 3 วัน 14-16 ธันวาคมนี้
ภาพที่ลงชุดแรกจะเป็นของวันที่ 14 ครับ
เป็นรอบ Race of champions asia ครับ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


http://forum.khonkaenlink.info/index.ph ... 16984987.0
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1495

โพสต์

ขอแสดงความยินดีงานแต่ง คุณหนุ่ม coconut.ewc
เพื่อนสมสชิก KKL PHOTO 12 เดือน12 ปี 2012 ขอให้มีความรักที่คงมั่นเสมอไป


รูปภาพ



http://forum.khonkaenlink.info/index.ph ... 16983747.0
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1496

โพสต์

สรุปข่าววันที่21-22ธ.ค. เวลา18.00-06.00 น.

รูปภาพ

พระเพลิงโหมอาคาร ไอ ที แกรนด์ บางแค วอด เจ้าหน้าที่หวั่นอาคารทรุดเฝ้าระวังต่อเนื่อง,"มาร์ค" แนะ คว่ำ รธน.ก.ม.ปรองดอง ไปกับวันสิ้นโลก บ้านเมืองถึงเดินหน้าไปได้ ไม่เช่นนั้น ก็ติดหล่มขัดแย้ง แขวะเพื่อไทยยังสับสนแก้ รธน,กรมอุทยานฯ เตรียมจับจระเข้เพศผู้ 2 ตัว ออกจากน้ำตกผากล้วยไม้บนอุทยานฯ เขาใหญ่ก่อนปีใหม่ หลังเริ่มปรากฏตัวบ่อย ทำเอานักท่องเที่ยวหัวใจจะวาย หวั่นอันตรายเพราะตัวโตขึ้นทุกวันไล่งับทั้งคนและสัตว์ป่า โดยเฉพาะ “นาก” เกือบหมดลำน้ำแล้ว...

http://www.thairath.co.th/content/region/315054

รูปภาพ

โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
22 ธันวาคม 2555, 06:30 น.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1497

โพสต์

ตลาดหลักทรัพย์ mai ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี

รูปภาพ

ตลาดหลักทรัพย์ mai ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้ง ทั้งในด้าน mai Index มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด มูลค่าระดมทุน และจำนวนเครื่องมือทางการเงิน พร้อมตั้ง "นพดล ตัณศลารักษ์" รับตำแหน่งที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ mai ...
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า วันนี้ (21 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai Index) ปรับขึ้น 1.01 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 412.58 จุด ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ mai โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ mai Index ปรับขึ้น 56.14% จากระดับปิดสิ้นปี 2554 ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีผลประกอบการที่ดี มีการเพิ่มทุนเพื่อขยายกิจการและใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ 132,537.14 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่เพิ่มขึ้น 71.44% จากสิ้นปี 2554 เป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหลักทรัพย์เดิม 90% และเป็นมูลค่าของหลักทรัพย์ 8 บริษัทใหม่ที่เข้าจดทะเบียนในปีนี้ 10%

“หากพิจารณามูลค่าการระดมทุนจนถึงสิ้นปี 2555 นี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai มียอดระดมทุน รวม 5,391 ล้านบาท แบ่งเป็นการระดมทุนของ 10 บริษัทเข้าใหม่ (นับรวม DNA และ ARROW) 2,482 ล้านบาท และการระดมทุนเพิ่มของบริษัทจดทะเบียนเดิม 2,909 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าระดมทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สอดคล้องกับการใช้เครื่องมือทางการเงิน ซึ่งทำสถิติสูงสุดเช่นกัน โดยในปีนี้มีบริษัทจดทะเบียนใช้ เครื่องมือทางการเงิน 19 แห่ง รวม 28 เครื่องมือ และเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ การจ่ายหุ้นปันผล (Stock Dividend) และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)” นายชนิตร กล่าว

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ mai อย่างต่อเนื่อง จึงได้แต่งตั้ง นายนพดล ตัณศลารักษ์ เข้าเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จากปัจจุบันที่มีที่ปรึกษาจำนวน 11 ท่าน ประกอบด้วย ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ นายฉัตรชัย วีระเมธีกุล นายธนา เธียรอัจฉริยะ นายธีรพงศ์ จันศิริ นายนรรัตน์ ลิ่มนรรัตน์ ดร.นิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ นายวิเชฐ ตันติวานิช นายวิชา พูลวรลักษณ์ และนายสาระ ล่ำซำ โดยมี นายจรัมพร โชติกเสถียร เป็นประธานที่ปรึกษา

ทั้งนี้ นายนพดล ตัณศลารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) ได้รับรางวัลผู้บริหารสูงสุดยอดเยี่ยมในตลาดหลักทรัพย์ mai (Best CEO Awards) จากงาน SET Awards ประจำปี 2555 และ MACO ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ตั้งแต่ปี 2546 ยังได้รับรางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม (Best Company Performance Awards) จากงาน SET Awards ในปีนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2542 และเริ่มคำนวณ mai Index เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2545 ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนรวม 81 บริษัท.


รูปภาพ

โดย ไทยรัฐออนไลน์
22 ธันวาคม 2555, 09:15 น.
HARMONICA
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1498

โพสต์

test
low risk , high return
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1499

โพสต์

รูปภาพ

ยันสื่อสารยักษ์ใหญ่ต้องลดค่าบริการ3G15%

กสทช.ขู่งัดกฎหมายเล่นงานค่ายสื่อสารยักษ์ใหญ่หากไม่ลดค่าบริการ 3 จี ลง 15% ตามเงื่อนไข เผยผู้ประกอบการอยู่ระหว่างการวางโครงข่าย ยังไม่มีค่ายไหนฝ่าฝืน

เงื่อนไขที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องลดค่าบริการ 3 จีให้แก่ผู้บริโภคลง 15% กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาส่งท้ายปี เมื่อ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ทางการสื่อสารซึ่งประมูลโครงข่ายได้ แสดงท่าทีว่าไม่สามารถลดราคาค่าใช้บริการระบบ 3 จีให้แก่ผู้บริโภคได้

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เปิดเผยว่า ดีแทคไม่สามารถลดราคาค่าบริการเป็นตัวเงินลงตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) กำหนด เพราะเป็นแนวทางที่เป็นไปไม่ได้ แต่จะดำเนินการในรูปแบบการบันเดิลแพ็กเกจ เสียง ข้อมูล เอสเอ็มเอส ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่ถูกลงอยู่แล้ว แม้ว่าจะต้องจ่ายค่าบริการเท่าเดิมก็ตาม

ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ก็ให้คำตอบไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการลดค่าบริการ 3 จี โดยบอกว่าขอดูต้นทุนก่อน

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้กำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ใบอนุญาต 3 จี ไว้แต่แรกแล้ว ว่าผู้ที่ได้ประมูลและได้ใบอนุญาตจะต้องลดราคาลง 15% ของอัตราค่าบริการเฉลี่ย ซึ่งคำสั่งของ กทค.ถือเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกตามมาตรา 15 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ฝ่าฝืนมีบทลงโทษอยู่ในมาตรา 64-66

"เลขาธิการ กสทช.จะมีคำสั่งให้เอกชน ปรับปรุง ปฏิบัติตามคำสั่งภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ตรงนี้ เอกชนเขาก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 15 วัน ทาง กสทช.ก็จะมาดูว่า จะยืนตามคำสั่งเดิมหรือไม่ ถ้ายืน แล้วเอกชนยังไม่ทำอีก คราวนี้ เลขาฯ กสทช.ก็จะแจ้งให้เอกชนจ่ายค่าปรับ แต่หากปรับแล้วยังฝ่าฝืนอีก ก็จะทำการพักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ตามที่เราได้บอกแต่แรกแล้วว่า มาตรการที่ กสทช.จะทำนั้นใช้จากเบาไปหาหนัก" นายสุทธิพล ชี้แจง

กรรมการ กสทช. กล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการอยู่ระหว่างการวางระบบ วางเครือข่าย และกสทช.ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีรายใดที่จะฝ่าฝืนคำสั่ง บางรายถึงกับบอกว่า เอาเข้าจริงราคาอาจลดลงไปถึง 50% เสียด้วยซ้ำไป เพื่อจูงใจผู้บริโภคมาใช้บริการ ซึ่งเป็นผลดี เพราะเอกชนแต่ละรายจะทำการแข่งขัน ผลดีจะตกแก่ผู้บริโภคเอง

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 1500

โพสต์

รูปภาพ

จับกระแสทั่วโลก"วันสิ้นโลก"

ผู้นำเผ่ามายาทำพิธีล้างบาปก่อนต้อนรับ"ศักราชใหม่" โดยที่ทั่วโลกจับตากระแส “วันสิ้นโลก แห่ขึ้นภูเขาทรงพีระมิดที่เซอร์เบีย โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ในหลายประเทศคึกคัก ขณะที่ประเทศไทยผลพิสูจน์ "พยัคฆ์ภูเพ็ก" ชี้แกนโลกปกติ ผบ.ตร.ปล่อยแถวรับมือปีใหม่ "7 วันอันตราย"

หลังจากกระแส "วันสิ้นโลก" จากการแปลความหมายของปฏิทินมายาผิดไปว่า จะถึงกาลแตกดับในวันที่ 21-22 ธันวาคมนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า กลุ่มคนที่เชื่อในเรื่องคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกต่างเฝ้ารอด้วยใจระทึกทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ หรือไม่ และที่ไหน แม้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) จะแถลงยืนยันว่าจะไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม

ขณะที่การท่องเที่ยวออสเตรเลีย เกือบต้องปิดตัวเฟซบุ๊คอย่างเป็นทางการลงชั่วขณะ หลังจากมีประชาชนจำนวนมากเข้าไปโพสต์บนกระดานข้อความถามในทำนองเดียวกันว่า มีใครรอดชีวิตจากคำทำนายวันสิ้นโลกบ้างหรือไม่ จนท้ายที่สุดผู้ดูแลเพจต้องตัดปัญหาด้วยการเข้าไปโพสต์ข้อความว่า "ชาวออสเตรเลียทุกคนยังมีชีวิตอยู่"

แห่ขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เซอร์เบีย

สำนักงานการท่องเที่ยวบอลเจวัค ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเซอร์เบีย ห่างจากกรุงเบลเกรด ไปทางตะวันออกราว 250 กิโลเมตร เปิดเผยว่า ชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศส เยอรมนี และออสเตรเลีย หลั่งไหลสู่ยอดเขาอาร์ทานี อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคาร์ปาเทียน ซึ่งมีรูปทรงเหมือนพีระมิดตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา หลังมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่ายอดเขาแห่งนี้มีพลังงานพิเศษที่จะช่วยปกป้องมนุษย์ยามที่โลกถึงกาลอวสาน ทั้งที่ปกติในช่วงเวลานี้ของแต่ละปีไม่เคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือน

ทั้งนี้กลุ่มสาวกผู้เชื่อในเรื่องวันโลกาวินาศเชื่อกันว่า ภูเขาอาร์ทานี ซึ่งมีรูปร่างคล้ายพีระมิด แท้ที่จริงก็คือพีระมิดที่มนุษย์ต่างดาวผู้มาเยือนสร้าง และทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อหลายพันปีก่อน กลุ่มนี้เชื่อว่าภูเขาแห่งนี้จะปล่อยสนามแม่เหล็กกำลังมหาศาลในช่วงวินาทีแห่งการสิ้นโลก เพื่อปกป้องทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น

ฝรั่งเศสป้องหมู่บ้าน-อิตาลีหาของขลัง

ที่ฝรั่งเศสมีการตั้งจุดตรวจและเพิ่มกำลังคุมเข้มหมู่บ้านบูการาช หลังมีข่าวว่าจะมีประชาชนนับพันคน โดยเฉพาะคนที่เชื่อเรื่องของยูเอฟโอจะแห่มาที่หมู่บ้านนี้ ซึ่งซ่อนตัวอย่างเงียบสงบในแถบเทือกเขาปิเรนีสจะรอดพ้นจากการทำลายล้างในวันสิ้นโลก เนื่องจากจะมียูเอฟโอขนาดใหญ่และเอเลี่ยนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ภูเขาโผล่ขึ้นมาปกป้องคุ้มครองผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้

เมืองเนเปิลส์ ซึ่งเป็นเมืองแห่งไสยศาสตร์ของอิตาลี มีการผลิตเขาสัตว์จำลองสีแดงออกมาแจกจ่ายให้ประชาชน เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และเพื่อให้รอดชีวิตเมื่อวันสิ้นโลก โดยบ้านเรือนเกือบทุกหลังจะมีเขาสัตว์สีแดงติดอยู่เหนือประตู เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายมาแผ้วพาน ทำให้พ่อค้าในเมืองเนเปิลส์พากันทำกำไรอย่างมหาศาลจากเขาสัตว์จำลองสีแดงที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ส่วนกลุ่มผู้เชื่อเรื่องวันสิ้นโลกหลายพันคนได้เดินทางไปยังหมู่บ้านซิรินซี ทางตะวันตกของตุรกี เชื่อว่ามีพลังบวกช่วยปกป้องให้รอดพ้นจากหายนะวันสิ้นโลกได้ ซึ่งทางการตุรกีได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้น เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้

รัสเซียหัวใสจัดปาร์ตี้หลุมหลบภัย

ท่ามกลางกระแสตื่นวันสิ้นโลกในประเทศรัสเซีย ปรากฏว่ามีนักธุรกิจหัวใสเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวไปร่วมงานปาร์ตี้ที่บังเกอร์ 42 ซึ่งเป็นหลุมหลบภัยนิวเคลียร์บนเนื้อที่ 7,000 ตารางเมตร ในกรุงมอสโก สร้างขึ้นในช่วงสงครามเย็นเมื่อ 56 ปีที่แล้ว เชื่อว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นหลุมลึกถึง 65 เมตร และมีความแข็งแรงทนทาน ทั้งจากแรงระเบิดนิวเคลียร์ หรือแผ่นดินไหว หนำซ้ำยังสามารถกักตุนอาหาร น้ำดื่ม อากาศบริสุทธิ์ และเชื้อเพลิงเพียงพอรองรับผู้คนหลายร้อยคนให้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้นาน 2-3 เดือน แต่ต้องเสียค่าร่วมงานคนละ 1,000 ดอลลาร์ หรือราว 3 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังมีห้องระดับวีไอพีด้วยราคา 4.9 หมื่นดอลลาร์ หรือ 1.47 ล้านบาท แต่หากโลกไม่แตกทางผู้จัดงานพร้อมคืนเงิน 50% ของราคาตั๋ว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ออกมาฟันธงว่า โลกจะยังไม่แตกจนกว่าจะผ่านพ้นไปอีก 4,500 ล้านปี จึงจะถึงวันสิ้นโลก เนื่องจากดวงอาทิตย์ที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตจะถึงจุดจบเมื่อมีอายุครบ 7,000 ล้านปี หรือ 1.4 หมื่นล้านปี ขณะนี้ได้มาถึงครึ่งทางแล้ว ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า เมื่อดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวแคระในอีก 4,500 ล้านปี เมื่อนั้นทุกอย่างก็จบสิ้น นั่นคือวันสิ้นโลกอย่างแท้จริง

ผู้นำเผ่ามายาทำพิธีล้างบาป

ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวยังแห่ไปชมโบราณสถานชนเผ่ามายาในเมืองทีคัล ประเทศกัวเตมาลา และเข้าร่วมงานพิธีส่งท้ายปีเก่าเพื่อก้าวสู่ศักราชใหม่ของชาวมายา ในโอกาสนี้ผู้นำทางจิตวิญญาณของชนเผ่ามายาได้ประกอบพิธีชำระล้างบาปให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดีและการเฉลิมฉลอง

นอกจากนี้นักท่องเที่ยวหลายพันคนเดินทางไปยังคาบสมุทรยูคาตันในเม็กซิโก เพื่อชมชีเชนอิตซา แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ของชาวมายา และร่วมงานฉลองของชนพื้นเมือง ที่ประกอบพิธีกรรมและเต้นรำหน้าพีระมิดเพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับศักราชใหม่อย่างสนุกสนาน

จีนจับลัทธิกุข่าววันสิ้นโลกนับพัน

ตรงข้ามกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งระดมกำลังกวาดจับสาวกลัทธิอัลไมตี้ก๊อด ผู้เชื่อเรื่องวันสิ้นโลกได้เกือบพันคนโทษฐานเป็นตัวการเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกและมุ่งโค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่โทรทัศน์ซีซีทีวีได้เผยผลการสำรวจพบว่า คนจีน 1 ใน 10 เชื่อในเรื่องวันสิ้นโลก สัดส่วนของผู้เชื่อในเรื่องนี้สูงกว่าประชาชนในประเทศอื่นๆ ผลการสำรวจยังพบว่า มีคนจำนวนไม่น้อยพยายามหาทางเพื่อให้เป็นผู้อยู่รอดในวันสิ้นโลก ส่งผลให้นวัตกรรมใหม่ของนักประดิษฐ์หัวใสที่สร้างยานนิรภัย “เรือโนอาห์” ขายดีจนผลิตไม่ทัน

เช่นเดียวกับ "เรือแอตแลนติส" ของนักธุรกิจหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งสร้างเรือแอตแลนติสขึ้นด้วยงบประมาณ 1.5 ล้านหยวน สามารถทนกับสภาพความร้อนถึง 1,700 องศาเซลเซียส ทนแรงกระแทกกว่า 350 ตัน สามารถบรรทุกเสบียงยังชีพทั้งครอบครัวที่มีอยู่ 3 คน ได้นานถึง 10 เดือน เหมาะที่จะใช้หนีภัยวันโลกแตก ปรากฏว่ามีคนสั่งจองมากมายจนสร้างไม่ทันเลยทีเดียว รายงานข่าวเผยว่า บริษัทแห่งหนึ่งในหูเป่ย ประกาศให้พนักงานทำงานเต็มที่ อย่าวิตกกังวลใดๆ และจะให้หยุดงานยาวไปจนถึงปีใหม่ทันที หากทุกคนยังมีชีวิตอยู่หลังเที่ยงคืนวันที่ 21 ธันวาคมนี้

ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งได้แปลงวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการฉวยโอกาสจัดงานฉลองวันสิ้นโลก กระทั่งถึงรุ่งสางของวันใหม่ โดยสถานบันเทิงรวมทั้งไนต์คลับ และบาร์ในเมืองใหญ่หลายแห่งในมาเลเซีย และอินเดีย ได้ประกาศจัดงานปาร์ตี้ข้ามคืน ด้านภัตตาคาร “อะควา” ในฮ่องกง ได้ประกาศมอบรางวัลเป็นบัตรกำนัลรับประทานอาหาร 6 มื้อ มูลค่าถึง 2,112.12 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 8,463 บาท) ให้แก่ลูกค้าที่สามารถ “รอดชีวิต” จากเหตุการณ์วันสิ้นโลกได้ถึงเวลา 00.00 น.ของวันที่ 22 ธันวาคม

ส่วนเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาของไต้หวัน ได้จัดทำแบบจำลองปฏิทินมายา ที่มีนาฬิกานับถอยหลังติดอยู่ด้านบน เรียกความสนใจจากบุคคลทั่วไปและนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก

กางเต็นท์"ภูเพ็ก"รอพิสูจน์

ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกในเมืองไทย ตั้งแต่เวลา 18.00 น. วันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากทยอยเดินทางไปยังพระธาตุภูเพ็ก ต.นาหัวบ่อ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ตามที่นักพิภพวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ ในนามทีม "พยัคฆ์ภูเพ็ก" ประกาศว่า "โลกจะยังหมุนต่อไป" พร้อมจะพิสูจน์ด้วยการวัดแกนโลก และสังเกตองศาการขึ้นของพระอาทิตย์ในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยผู้ที่เดินทางมาต่างพร้อมใจนุ่งขาวห่มขาว นำเต็นท์และที่นอนมาพักค้างคืนเพื่อรอชมการพิสูจน์ว่าโลกจะแตกหรือไม่

ต่อมาทีมงานพยัคฆ์ภูเพ็ก นำโดย นพ.ศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ นายสรรค์สนธิ บุณโยทยาน นักพิภพวิทยา นายวรวิทย์ ตงศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ และนายบุปผา ดวงมาลย์ ผู้นำท้องถิ่นที่รู้จักปราสาทภูเพ็ก ได้มาร่วมกันทำภารกิจการพิสูจน์แกนโลกที่ปราสาทภูเพ็ก ตั้งแต่เวลา 22.00-02.00 น. วันที่ 21 ธันวาคม เริ่มจากการจับพิกัดดาวเหนือ โดยอิงทิศเหนือแท้จากท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ (ท่อโสมสูตร) ของปราสาทภูเพ็กที่ใช้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ มีการกำหนดมุมเงย 17 องศา ประสานกับการวางตำแหน่งดวงดาว โดยใช้กลุ่มดาวค้างคาว และกลุ่มดาวหมีใหญ่ ผลการปฏิบัติงานพบว่า ขั้วโลกยังคงชี้ที่ตำแหน่งดาวเหนือตามปกติ

ยันแกนโลกปกติ

กระทั่งเวลา 06.00 น. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสกลนคร จากนั้นได้ไปพิสูจน์สุริยะปฏิทินขอมพันปี ที่มีลักษณะแท่งสี่เหลี่ยม ตั้งหน้าปราสาทภูเพ็ก ทำหน้าที่ชี้ตำแหน่งดวงอาทิตย์ตรงที่ราศีแพะ และราศีทะเล ทำมุมกวาดจากทิศเหนือ 115 องศา โดยทีมงานได้ใช้ลูกดิ่งผูกเชือกเพื่อเป็นเครื่องช่วยนำสายตา ผลการพิสูจน์ในเชิงประจักษ์พบว่า ดวงอาทิตย์ยังคงมาตามนัดที่พิกัดดังกล่าว แสดงว่าแกนโลกยังคงปกติ ต่อมาเวลา 07.00 น.เป็นการคำนวณอัตราความเร็วการหมุนรอบตัวเองของโลก โดยใช้นาฬิกาแดด ควบคู่กับสมการแห่งเวลา และนาฬิกาดิจิตอล พบว่าโลกยังคงหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว 15 องศาต่อ 1 ชั่วโมง ตามปกติ สรุปได้ว่า ภาพรวมผลการคำนวณพบว่า แกนโลกยังคงอยู่ที่ 23.4 องศา ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับข้อมูลแกนเอียงของโลกที่อยู่ที่ 23.5 องศา

นายสรรค์สนธิ กล่าวว่า ยังคงปกติทุกอย่าง ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการไม่ประมาทกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ คืนที่ผ่านมาก็ได้มีการจัดบวงสรวง และพิธีแก้อาถรรพณ์ อันเนื่องจากปรากฏการณ์ที่ดาวเคราะห์เรียงตัวเป็นเส้นตรง ได้แก่ ดาวเสาร์ ดาวศุกร์ ดาวพุธ และดาวอังคาร โดยมีร่างทรงจากสำนักต่างๆ มาร่วมด้วย ทั้งนี้จากการคำนวณบ่งบอกว่า โลกใบนี้ยังคงดำเนินไปตามปกติ

"อดุลย์"ปล่อยแถวรับมือ7วันอันตราย

วันเดียวกัน เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานปล่อยแถวระดมพลรองรับเทศกาลปีใหม่ 2556 โดยมีภาคีเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี บริเวณลานพระราชวังดุสิต โดยรัฐบาลกำหนดเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2555-2 มกราคม 2556 เป็นช่วงแห่งการเข้าสู่ปีใหม่อย่างปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งเน้นอำนวยความสะดวกด้านจราจร และลดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะลดพฤติกรรมเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ที่มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงจัดให้ตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งในระดับ ตร., ภาค จว. บูรณาการกำลัง ตั้งจุดตรวจพร้อมทั้งตรวจแอลกอฮอล์ควบคู่กัน และมีการควบคุมการจำหน่ายและการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีโดยเคร่งครัด โดยทุกภาคส่วนร่วมกันดำเนินการอย่างเข้มแข็งในทุกพื้นที่

"ช่วงเทศกาลปีใหม่ปีนี้ยังไม่มีการรายงานการสร้างสถานการณ์ป่วน ส่วนสถานบันเทิงจะมีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดในการตรวจสอบและเตือนภัยให้ประชาชนที่จะออกไปเที่ยว จึงอยากให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่น อุ่นใจได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศจะปฏิบัติหน้าที่เต็มความสามารถเพื่อให้ทุกคนได้เดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัย" พล.ต.อ.อดุลย์กล่าว

ห้ามเหล้าบนทางไม่ทันปีใหม่

หลังจากประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ....ซึ่งมีสาระสำคัญ ห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ยกเว้นที่ส่วนบุคคล 2.เรื่อง กำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.... ห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาอื่น นอกจากตั้งแต่เวลา 11.00-14.00 น. และตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. เว้นท่าอากาศยานนานาชาติ และสถานบริการที่มีการเปิดปิดตามกำหนดเวลาของกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และ 3.เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสวนสาธารณะของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ พ.ศ.... โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ที่มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ยังไม่ได้มีการกำหนดวันในการประชุมนั้น

นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในส่วนของการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางนั้น ขณะนี้พบว่ามีการพยายามออกมาให้ข้อมูลบิดเบือนไปจากความเป็นจริง จากกลุ่มผู้ประกอบการที่เสียผลประโยชน์ โดยให้ข้อมูลว่าจะเป็นการทำร้ายคนจน ทั้งที่ความจริงแล้วร่างประกาศเรื่องนี้ห้ามขายเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น จึงต้องถือว่า การบิดเบือนข้อมูลได้ผล เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ และมีบางกระแสบอกกับตนว่า การพิจารณากฎหมายนี้อาจจะล่าช้าไปเป็นปี

เมื่อร่างประกาศสำนักนายกฯ ในเรื่องนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้นจำเป็นต้องนำกฎหมายฉบับอื่นมาใช้ในการควบคุมการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนถนน ไหล่ทาง ทางเท้า แทนในช่วงปีใหม่แทน ประกอบด้วย กรณีที่ 1 พบการซื้อ ขาย แจกจ่ายสินค้า บนถนน และไหล่ทาง ของทางหลวงทุกประเภท มีโทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 กรณีที่ 2 หากพบการขายสินค้า บนถนน ไหล่ทาง ทางเท้า ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ พัทยา และเขตเทศบาลไม่รวมเขต อบต. มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 และหากพบกรณีที่นอกเหนือจากกรณีที่ 1 และ 2 แต่เป็นการซื้อ ขาย แจกจ่ายสินค้า บนถนน ไหล่ทาง ทางเท้า มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522

รูปภาพ