แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
- อ่อนซ่อนศิลป์
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 1
เรื่องนี้เคยอ่านนานมากเมื่อยังเด็ก ได้มีโอกาสอ่านใหม่อีกครั้ง รู้สึกนับถือความเข้มแข็งทางจิตใจของ ดร และแม่ของ ดร มาก มากครับ หวังว่าใครที่กำลังท้อแท้หมดหวังจากเรื่องอะไรลองหามาอ่านครับ
วันนี้ไปค้นกองหนังสือเก่า พบการ์ตูนอยู่เล่มหนึ่งสภาพโทรมสุดๆ ชื่อ ดร.โนงูจิ ด้วยใจนักสู้ เขียนโดย อ. โตชิยูกิ มุสึ ผลิตโดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ จำได้ว่าเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว เป็นการ์ตูนเรื่องเยี่ยมที่ยังอยู่ในดวงใจ อยากจะให้ใครๆ ได้ลองอ่านบ้างแล้วจะรู้เลยว่า ความสุขในชีวิตนี้มันอยู่ไม่ไกลเกินมือเอื้อมเลย
ดร. โนงูจิ ด้วยใจนักสู้ เป็นการ์ตูนที่สร้างจากเรื่องจริง เมื่อตอนที่อ่านครั้งแรกนั้นจำได้ว่าเช่ามาจากร้านแค่ ๓ เล่ม อ่านจบอย่างรวดเร็วแล้วรีบไปยืมมาอีกจนครบ ๑๗ เล่ม อ่านรวดเดียวจบเช่นเคย เป็นการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่ซึ้งกินใจมากๆ ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าเขียนจากเรื่องจริงหรือไม่ จนเมื่อทราบในเวลาต่อมาว่าเป็นเรื่องจริงก็ยิ่งซาบซึ้งมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวี
การ์ตูนเรื่องนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น สำคัญถึงขนาดที่มีรูปท่านผู้นี้ปรากฎในธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ เยน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน ดร. โนงูจิ เดิมชื่อ โนงูจิ เซซากุ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น โนงูจิ ฮิเดโยะ (แปลว่าดวงอาทิตย์หรือในความหมายที่ว่าผู้ส่องแสง ผู้มีความเจิดจ้า) ท่านเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่จังหวัดฟุคุชิมะ กำพร้าบิดาแต่เล็ก มีคุณแม่ชิกะเป็นผู้เลี้ยงดูมาตลอด เมื่อท่านยังเด็กได้ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในเตาหลุม (เตาไฟสำหรับหุงหาอาหารและสร้างความอบอุ่น มักตั้งอยู่บริเวณกลางบ้าน พบในบ้านแบบโบราณของชาวญี่ปุ่น) เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มือซ้ายของท่านโดนไฟลวกจนพุพองและไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งทำให้คุณแม่ชิกะโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่เป็นต้นเหตุทำให้ลูกชายต้องพิการแต่เล็ก คุณแม่ชิกะจึงตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะเลี้ยงดูท่านอย่างดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
ครอบครัวของท่านอาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้าน โชคดีที่สังคมในยุคเก่ายังคงมีการเจือจานแบ่งปันกันตามประสังคมชนบท ตัวท่านเองแม้จะพิการแต่น้อยแต่ก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาด มีแววเก่งตั้งแต่เด็ก ท่านมักจะช่วยเหลืองานคุณแม่ชิกะอยู่เสมอ แต่คุณแม่มักจะปรามด้วยเหตุผลที่ว่า “ลูกทำงานหนักแบบชาวนาไม่ไหวดอก ดังนั้นลูกต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ” คุณแม่ชิกะทำงานหนักอย่างไม่ยอมพักเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่ทำให้ท่านต้องเสียมือซ้ายไป แต่กระนั้นก็ห้ามมิให้ท่านแสดงความกตัญญูด้วยการแบ่งเบาภาระไม่ได้อยู่ดี
ท่านโนงูจิเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เมื่อเริ่มโตขึ้น ความพิการก็เริ่มส่งผล ท่านมักจะถูกเพื่อนๆ ล้อเลียนอยู่เสมอและมันก็ยังเป็นอุปสรรคต่อการเรียนด้วย ความลำบากทางกายนั้นพอทนได้ แต่ความลำบากใจนั้นยากเกินจะทน ท่านถูกเพื่อนๆ กลั่นแกล้งจนทนไม่ไหว จึงหนีโรงเรียนแต่แสร้งว่าไปโรงเรียนทุกๆ เช้า จนเมื่อคุณชิกะรู้ความจริง แทนที่จะโกรธ กลับรู้สึกเห็นใจลูกชายและยังคงโทษตัวเองว่าเป็นคนผิดเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ท่านรู้สึกผิดและสัญญาว่าจะไม่หนีเรียนอีกไม่ว่าจะถูกกลั่นแกล้งสักเพียงใดก็ตาม จากวันนั้นเป็นต้นมาผลการเรียนของท่านก็ดีขึ้นและไม่เคยสอบได้ต่ำกว่าที่ ๑ เลยสักครั้ง
แม้จะยากจนและลำบากมากเพียงใด แต่ท่านก็ยังโชคดีที่ได้พบแต่คนดีๆ เมื่อผ่านชั้นประถมปลาย ท่านได้พบกับคุณครูโคบายาชิ ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้มีพระคุณต่อท่านมากที่สุดคนหนึ่ง คุณครูโคบายาชิทึ่งในความสามารถด้านการเรียนของท่านและรู้สึกเห็นใจในชะตาชีวิตของครอบครัวโนงูจิ จึงอาสาเป็นผู้อุปการะส่งเสียให้เรียนจนถึงชั้นมัธยม ต่อมาคุณครูโคบายาชิได้ร่วมมือกับเพื่อนๆ เรี่ยไรเงินเพื่อใช้เป็นค่ารักษาในการผ่าตัดมือซ้ายของท่านจนหายดีเป็นปรกติ นับเป็นจุดเริ่มต้นในการอุทิศตนเพื่อเป็นแพทย์ผู้คอยช่วยเหลือผู้ยากไร้ตลอดจนวาระสุดท้ายในชีวิตของท่าน
หลังจากจบมัธยมปลายด้วยผลการเรียนดีเยี่ยม ท่านขอร้อง ดร. คานาเอะ วาตานาเบ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดมือของท่านให้รับท่านเข้าทำงานที่โรงพยาบาลไคโยะในตำแหน่งนักการภารโรง แลกกับการได้ศึกษาวิชาแพทย์ไปด้วย เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กยากจนอย่างท่านจะได้รับการศึกษาในระดับสูงตามโรงเรียนทั่วไป ท่านได้ทุ่มเทชีวิตให้การศึกษาวิชาแพทย์อย่างหนัก แต่ก็ยังคงทำงานในฐานะภารโรงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และยังศึกษาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันด้วยตนเองอีกด้วย!
ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นทำสงครามกับจีน ดร. วาตานาเบ จึงต้องทิ้งโรงพยาบาลไคโยะเพื่อไปประจำการที่ประเทศจีน ท่านได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ดูแลโรงพยาบาลแทนทั้งที่อายุยังไม่ครบ ๒๐ ปีด้วยซ้ำ ระหว่างนี้เองที่ท่านได้มีโอกาสพบปะกับนายแพทย์เก่งๆ ที่ล้วนแต่ชื่นชมในความกระตือรือร้นของท่าน และได้ถ่ายทอดความรู้ทางการแพทย์ให้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นความโชคดีอย่างที่สุด
ท่านได้รับโอกาสดีอีกครั้งเมื่อติดตาม ดร.ชิวากิ มายังโตเกียวเพื่อเตรียมสอบคัดเลือกเป็นแพทย์ (ในสมัยนั้นยังไม่มีสถาบันการศึกษาวิชาแพทย์อย่างเช่นมหาวิทยาลัยต่างๆ เหมือนปัจจุบัน แต่มีการทดสอบความรู้สำหรับวิชาแพทย์จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) ระหว่างที่รอการสอบท่านได้ทำงานที่โรงเรียนทันตแพทย์ทาคายามะ โดยทำหน้าที่เป็นภารโรงและร่ำเรียนเพิ่มเติม ในช่วงนั้นท่านต้องอาศัยอยู่ในโรงเรียนเนื่องจากไม่มีเงินพอที่จะหาที่อยู่ข้างนอกได้
ความยากจนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในชีวิตของท่าน ท่านยังคงสวมเสื้อผ้าเก่าซอมซ่อเพราะมีอยู่ชุดเดียว แม้กระทั่งวันสอบ ท่านไม่มีแม้กระทั่งชุดหูฟัง (Stethoscope) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับแพทย์ จนต้องยืมเอาจากผู้คุมสอบ ผลการสอบนั้น จากจำนวนผู้เข้าสอบ ๘๐ คน มีผู้ผ่านเพียง ๔ คน และท่านก็เป็นหนึ่งในนั้น หมายความว่าท่านเป็นแพทย์อย่างเต็มตัวเมื่ออายุเพียง ๒๐ เศษเท่านั้น
เมื่อกลับมายังโรงเรียนทันตแพทย์ทาคายามะ ท่านได้รับการเลื่อนชั้นเป็นอาจารย์ผู้สอนท่ามกลางความงงงวยของบรรดานักเรียน ที่จู่ๆ ภารโรงก็กลายมาเป็นอาจารย์ แต่ท่านก็แสดงความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของนักเรียนทุกคน
ท่านยังคงศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาควบคู่ไปกับความก้าวหน้าในอาชีพ แม้ว่าท่านก็ยังได้รับการดูถูกเหยียดหยามเหมือนเมื่อครั้งวัยเยาว์อยู่เสมอ แต่ท่านก็หนักแน่นพอที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองด้วยการกระทำจนเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ท่านเริ่มสนใจสาขาวิชาระบาดวิทยาและทำการวิจัยอย่างจริงจัง และได้รับโอกาสให้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อทำวิจัย
แม้ว่าที่ญี่ปุ่น ท่านจะได้รับการยอมรับในฐานะแพทย์ผู้มีเกียรติ แต่ที่อเมริกา ท่านกลับได้รับแต่การดูแคลน เนื่องด้วยความรังเกียจของชาวอเมริกันที่มีต่อชาวเอเชียว่าเป็นชนชาติที่ต่ำต้อย ไร้วัฒนธรรม ท่านก็ยังคงใช้วิธีเดิม คือนิ่งเฉยและตอบโต้ด้วยผลงานจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
ท่านได้รับเลือกจาก ดร. เฟลกซ์เนอร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการแพทย์คนแรกของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ให้เป็นผู้ช่วย โดยขณะนั้นท่านมีอายุเพียง ๒๘ ปี ท่านได้กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในระดับโลกไปเสียแล้ว
จากเด็กพิการยากจนในชนบทที่บ้านเกิด บัดนี้ท่านได้กลายเป็นนายแพทย์ผู้มีผลงานวิจัยในระดับโลก แต่ท่านก็ไม่เคยลืมเลือนอดีต ในปี ๒๔๕๘ เป็นเวลากว่า ๑๕ ปีที่ท่านจากประเทศญี่ปุ่น ท่านได้เดินทางกลับแผ่นดินเกิดอีกครั้งในฐานะผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ที่แรกที่ท่านเดินทางไปคือที่บ้านโกโรโกโสหลังเดิม ที่มีคุณแม่ชิกะเฝ้ารอในชุดเก่าซอมซ่อเหมือนเดิม แม้ว่าในระหว่างที่ท่านประสบความสำเร็จยังต่างประเทศ แต่คุณแม่ชิกะก็ยังคงทำงานหนักเหมือนเช่นเดิม ท่านให้เหตุผลว่า ตอนนี้ เซซากุ กำลังทุ่มเททำงานอย่างลำบาก ตัวฉันเองก็ต้องทุ่มเททำงานเท่าที่ฉันจะทำได้เหมือนกัน
คุณแม่ชิกะเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ขณะที่ ดร. โนงูจิ กำลังทำงานวิจัยอยู่ที่ปานามา ก่อนจะสิ้นลมท่านยังเพ้อถึง ดร. โนงูจิ ให้พยายามต่อสู้ต่อไป ห้ามสิ้นหวังอย่างเด็ดขาด นับเป็นการปลดปล่อยตัวเองจากความผิดที่ท่านโทษตัวเองมาตลอดชีวิตที่ทำให้ลูกชายต้องผจญกับความยากลำบาก
ที่ทวีปแอฟริกาเกิดการระบาดของโรคไข้เหลือง ดร. โนงูจิ ได้เดินทางไปเพื่อทำการวิจัยและผลิตวัคซีน ท่ามกลางเสียงทัดทานจากหลายฝ่าย เพราะนอกจากจะยังไม่มีวัคซีนป้องกันแล้วยังมีโอกาสติดเชื้อสูง ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิต แต่ท่านก็ยืนยันที่จะเดินทางไป จนที่สุดแล้วท่านก็เสียชีวิตที่แอฟริกานั่นเอง ด้วยวัย ๕๒ ปี
http://janghuman.wordpress.com/2009/08/ ... %E0%B8%99/
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 2
ถึงเเม้จะชอบดูการ์ตูน เเต่ผมไม่ชอบอ่านการ์ตูน ทว่าการ์ตูนเรื่องนี้ผมมีครบชุด จำได้ว่าซื้อสะสมตอน ม.ปลาย...
เป็นการ์ตูนที่ทำให้ผมร้องให้ โดยเฉพาะฉากที่ โนงูจิคุยกับเเม่เรื่องมือที่เป็นอุปสรรคในการเรียนเเพทย์ ที่สำคัญการ์ตูนเล่มนี้ได้สร้างเเรงบันดาลใจให้ผมมากมาย...
...ตอนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนเเพทย์ อาจารย์หมอถามผมว่ามีเเพทย์ในดวงใจไหมผมตอบไปว่า"ดร.โนงูจิ"
เป็นการ์ตูนที่ทำให้ผมร้องให้ โดยเฉพาะฉากที่ โนงูจิคุยกับเเม่เรื่องมือที่เป็นอุปสรรคในการเรียนเเพทย์ ที่สำคัญการ์ตูนเล่มนี้ได้สร้างเเรงบันดาลใจให้ผมมากมาย...
...ตอนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนเเพทย์ อาจารย์หมอถามผมว่ามีเเพทย์ในดวงใจไหมผมตอบไปว่า"ดร.โนงูจิ"
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- อ่อนซ่อนศิลป์
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 3
อ่านแล้วสงสารแม่ของ ดร จริงๆ ยิ่งรู้ว่าเป็นชีวิตจริงแล้วยิ่ง
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
- 1154
- Verified User
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณมากที่แนะนำครับ ผมต้องหามาอ่านให้ได้เลย
ช่วงนี้แรงบันดาลใจฝ่อๆลงไปบ้าง
ช่วงนี้แรงบันดาลใจฝ่อๆลงไปบ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 983
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 6
สุสานหิ่งห้อยปะครับarica เขียน:เรื่องนี้ รันทด และสนุกมาก ครับ พอๆ กับเรื่องอะไรน้า ที่เด็กพี่น้องสองคนโดนประมาณูที่ฮิโรชิมา
เริ่มนับหนึ่ง...
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 7
ผมก็เคยอ่าน แอบร้องไห้เหมือนกันครับ
และ ดร. ก็ให้แนวคิดดีๆเยอะมากเลยครับ
และ ดร. ก็ให้แนวคิดดีๆเยอะมากเลยครับ
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 8
มีครบชุดเหมือนกันครับ เห็นรูปปกแล้วก็คิดถึง
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- kritar
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 10
เข้ามาระลึกความหลังด้วยคนครับ น่าจะเกือบ15ปีแล้วกระมัง ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเรื่องนี้อีกครั้ง
จำได้ว่าเป็นหนังสือที่ผมเดินไปอ่านไประหว่างวันที่จะไปสอบเอนทรานซ์เพราะวางไม่ลง
การ์ตูนที่มีตัวเอกเป็นแพทย์ที่สร้างแรงบันดาลใจในสมัยนั้น ก็มีด็อกเตอร์K แบล็คแจ็ค คุณหมอที่รัก
แต่มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่มีตัวเอกมาจากชีวิตจริง และเรียกน้ำตาผมได้ทุกครั้งที่อ่าน
ถ้าสนใจประวัติของท่าน รู้สึกจะมีเป็นหนังสือชีวประวัติต่างหาก ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท.เยาวชน ชื่อคุณหมอนักสู้ โนกุจิ ฮิเดโยะ
จำได้ว่าเป็นหนังสือที่ผมเดินไปอ่านไประหว่างวันที่จะไปสอบเอนทรานซ์เพราะวางไม่ลง
การ์ตูนที่มีตัวเอกเป็นแพทย์ที่สร้างแรงบันดาลใจในสมัยนั้น ก็มีด็อกเตอร์K แบล็คแจ็ค คุณหมอที่รัก
แต่มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่มีตัวเอกมาจากชีวิตจริง และเรียกน้ำตาผมได้ทุกครั้งที่อ่าน
ถ้าสนใจประวัติของท่าน รู้สึกจะมีเป็นหนังสือชีวประวัติต่างหาก ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท.เยาวชน ชื่อคุณหมอนักสู้ โนกุจิ ฮิเดโยะ
ถึงไม่ได้แต่ชอบธรรม ยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม
...พุทธศาสนสุภาษิต...
...พุทธศาสนสุภาษิต...
- kritar
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 11
เนื่องจากประทับใจในหนังสือเรื่องนี้มาก ขอแลกเปลี่ยนอีกนิดนะครับ
ช่วงที่เรียกน้ำตาผมอย่างมากมายเป็นช่วงในวัยเด็กของท่านก็จริง
แต่บทที่กินใจผมมากที่สุด คือคำถามในตอนสุดท้ายครับ บทนี้มีเฉพาะในการ์ตูน ในสารคดีไม่ได้กล่าวถึง
คำถามที่ว่า ที่ดร.โนกุจิไขว่คว้าหาความสุขมาตลอดชีวิตนั้น สุดท้ายแล้วท่านได้พบความสุขนั้นหรือไม่
และหากมองจากวงการแพทย์แล้ว ที่ท่านต่อสู้กับโรคไข้เหลืองแล้วกลับเสียชีวิต โดยที่ยังหาทางรักษาไม่ได้นั้น เป็นความพ่ายแพ้หรือไม่
...คำตอบคงอยู่ในใจของคนที่อ่านแล้วทุกคน
...หนังสือเรื่องนี้ ผมถือว่าเป็นโชคดีของผม ที่ได้มีโอกาสได้อ่านในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
ได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องละอายและไม่มีสิ่งค้างคาใจนั้นเป็นอย่างไร
...ขอสดุดีในจิตใจที่งดงามทั้งในฐานะมนุษย์และแพทย์ของดร.ครับ
ช่วงที่เรียกน้ำตาผมอย่างมากมายเป็นช่วงในวัยเด็กของท่านก็จริง
แต่บทที่กินใจผมมากที่สุด คือคำถามในตอนสุดท้ายครับ บทนี้มีเฉพาะในการ์ตูน ในสารคดีไม่ได้กล่าวถึง
คำถามที่ว่า ที่ดร.โนกุจิไขว่คว้าหาความสุขมาตลอดชีวิตนั้น สุดท้ายแล้วท่านได้พบความสุขนั้นหรือไม่
และหากมองจากวงการแพทย์แล้ว ที่ท่านต่อสู้กับโรคไข้เหลืองแล้วกลับเสียชีวิต โดยที่ยังหาทางรักษาไม่ได้นั้น เป็นความพ่ายแพ้หรือไม่
...คำตอบคงอยู่ในใจของคนที่อ่านแล้วทุกคน
...หนังสือเรื่องนี้ ผมถือว่าเป็นโชคดีของผม ที่ได้มีโอกาสได้อ่านในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
ได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องละอายและไม่มีสิ่งค้างคาใจนั้นเป็นอย่างไร
...ขอสดุดีในจิตใจที่งดงามทั้งในฐานะมนุษย์และแพทย์ของดร.ครับ
ถึงไม่ได้แต่ชอบธรรม ยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม
...พุทธศาสนสุภาษิต...
...พุทธศาสนสุภาษิต...
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำหนังสือ(การ์ตูน)-ดร โนงูจิ ด้วยใจนักสู้
โพสต์ที่ 12
เห็นแล้วคิดถึงเลยครับ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนเด็กๆอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ในรายสัปดาห์หรืออะไรนี่แหละ จำได้ว่าตอนนั้นอ่านแล้วรู้สึกอินมากเลยครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"