เขามีเหตุผลอย่างไร ถึงให้ สว. ไม่สังกัดพรรค เหมือนของ สหรัฐ

[ครรชิต ไพศาล]

เขามีเหตุผลอย่างไร ถึงไม่ให้ สว. สังกัดพรรค เหมือนของ สหรัฐ

เพราะสุดท้าย สว. ที่โวตเสียงไปทางฝ่ายพรรคไหน ก็ถูกหาว่าเป็นฝ่ายพรรคนั้นอยู่ดี

ผมเห็น
ผู้สมัคร สว. แต่ละพื้นที่  ส่วนมากก็เป็นเพื่อนเป็นญาติ ของ สส. ในพื้นที่ กันทั้งนั้น

เพราะฉนั้น ทำไมไม่ให้สังกัดพรรคการเมือง เสียให้รู้แล้วรู้รอด
จะได้ไม่ต้องมามัวกล่าวหากันอยู่อีก

[ครรชิต ไพศาล]

หรือจะ  สังกัดพรรคการเมืองก็ได้ ไม่สังกัดก็ได้ ตามใจแล้วแต่ผู้สมัคร

[WaveRider965]

นั่นสิ
แต่เข้าไม่เข้า จะมีประโยชน์อะไร จะมีความแตกต่างอย่างไรหรือ
แต่รัฐบาลเก่งๆและใสสะอาดแบบนี้ วุฒิคงไม่ค่อยมีความหมาย
เข้าไม่เข้า มีไม่มี คงไม่แตกต่าง
เปลี่ยน สว เป็น สส เลยก็ชัดเจนดีมากกว่า

[มดง่าม]

ที่นี่  
ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)
เราไม่ได้ใช่ระบบประธานาธิบดี เหมือนเมกา  น่าจะเปรียบกับ อังกฤษ หรือญี่ปุ่นนะครับ

วันนี้อำนาจบริหาร  แข็งโป้ก (และ นาย ก นำมาอ้าง)  และแทรกแซงควบคุม อำนาจนิติบัญญัติ องค์กรอิสระ(ซึ่งวุฒิสภา ทำหน้าที่เลือกสรร)  จนเอียงสุดๆ เข้าข้างอำนาจบริหาร แล้วมันไม่ถ่วงดุล(นาย ก ไม่พูดถึง)  

นี่แหละครับ ปัญหาใหญ่มากๆ  

ที่มาของปัญหาตอนนี้

ระบบตรวจสอบ และองค์์กรอิสระ ถึงถูกครอบงำ  เมื่อทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจบริหารไม่ได้  ก้ อัครมหาโกง
อย่าว่าแต่เปิดอภิปรายเลยครับ นาย ก ไม่ยอมแม้แต่ตอบกระทู้ในสภา ไม่เคยมาให้ข้อมูลกรรมาธิการของสภา

เออ..นักลงทุนครับ  บลจ. เขามีกรรมการอิสระไว้ทำไมล่ะครับ  กรรมการอิสระต้องไม่มีส่วนได้เสีย รักษาผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น ใช่ไหม  ถ้า บลจ.ไม่มีกรรมการอิสระ ไม่หน่วยงานตรวจสอบภายใน หรือมีแต่ทำงานไม่ได้ล่ะ คุณจะลงทุน หรือขายทิ้งไหม

ประเทศเราตอนนี้ก้คล้ายๆ  
แต่นักลงทุนรายย่อย ขายทิ้งไม่ได้   ก้ต้องเปิดประชุมวิสามัญครับ

ให้ผู้บริหาร ตอบคำถามเราบ้าง  ไม่ใช่จ้อคนเดียว ชวนเชื่อ กล่าวหาผู้อื่น โทษผู้อื่น  

ปัญหาอยู่ที่ผู้บริหารครับ

ความเห้นแตกต่าง คงไม่ถูกถอดนะ

[terati20]

คุ้นๆว่า สว USA สังกัดพรรคการเมืองนะครับ  


 Hilary Clinton  เป็น Senator ,NYC ของ พรรค Democrat

[bsk(มหาชน)]

ท่านครรชิตก็หมายความเช่นนั้นล่ะคับท่านterati20

ในบรรทัดแรก ที่ถามว่า

เขามีเหตุผลอย่างไร ถึงไม่ให้ สว. สังกัดพรรค เหมือนของ สหรัฐ

คือ สว. สหรัฐฯสังกัดพรรคการเมือง ทำไมสว.ไทยไม่สังกัดพรรคไปเลย

เพราะพฤตินัยมีบางส่วนสังกัดหรืออาศัยฐานเสียงพรรคการเมือง รวมทั้งกระสุนทุกรูปแบบ



เข้าใจว่าเจตนารมณ์ของรธน.เป็นอย่างนี้คับ...

รธน.ต้องการให้สว.มีความคล่องตัว มีอิสระในการพิจารณากิจการในสภา

เป็นที่ปรึกษารัฐบาล เป็นพี่เลี้ยง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด  มีความโปร่งใส มีคุณธรรม ฯลฯ

ความสำคัญของสว.ในรธน. นี้ และเป็นที่มาแห่งปัญหาในปัจจุบัน คือ..

เป็นผู้เสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ  และ

เป็นผู้ลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งนายกฯได้ด้วย


ผู้ที่สมัครเพื่อเป็นสว. หาเสียงเองก็ไม่ได้ เพราะกฎหมายห้ามไว้

ส่วนหนึ่งจึงต้องอิงกับฐานเสียงของพรรคการเมือง รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่พรรคอุปถัมภ์ด้วย

เป็นที่มาของการตอบแทนพระคุณ หรือคุณขอมา เราจัดให้

ไม่แปลกที่สภาสมัยหน้าจะถูกเรียกขานว่า สภาผัวเมีย

เมื่อ สว.จำนวนหนึ่งถูกกวาดเข้าสังกัดพรรคการเมือง และรับเงินเดือนประจำจากพรรค

คงเข้าใจได้ไม่ยากว่า

ไม่มีทาง ที่การเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระจะปราศจากอิทธิพลของฝ่ายการเมือง

เราจึงได้ยินได้ฟังเรื่องโผหรือบัญชีรายชื่อ หรือสเป๊คที่ถูกล็อค...


นั่นก็จึงผิดไปจากเจตนารมณ์ของสสร.แล้วคับ...



เท่านี้ก่อนคับ....

[ครรชิต ไพศาล]

แล้ว คุณ bsk(มหาชน) เห็นว่า

รัฐธรรมนูญควรคงเดิม
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว. ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
แต่โดยธรรมชาติจริงๆแล้ว ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ก็จริง
แต่ก็ต้องเอนเอียงไปพรรคใดพรรคหนึ่งอยู่ดี

หรือว่า

รัฐธรรมนูญควรเปลี่ยนเป็น
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว. เป็นหรือไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ได้
เราจะได้รู้ไปเลย ว่าใครเป็น ฝ่ายพรรคไหน กันแน่
แล้วมีจำนวนที่ยืนอยู่ตรงกลางที่พร้อมจะ เทคะแนนไปฝั่งไหนก็ได้ อยู่จำนวนเท่าไร

ความเห็นของผม ผมว่า ควรเปลี่ยนเป็น
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว. เป็นหรือไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ได้

[ครรชิต ไพศาล]

อีกอย่างหนึ่ง

ถ้าบอกว่า สว. ต้องเป็นกลาง นี้ เท่ากับ สว. ต้องไม่ตัดสินใจอะไรเลย.
ยืนอยู่ตรงกลางจริงๆเหมือน ในหลวง ของเรา

คือยืนดูอยู่เฉยๆ ให้ฝ่ายค้าน กับ ฝ่ายรัฐบาลเถี่ยงกัน

พอเขามาถามว่าจะเอาข้างไหน ก็บอกเขาไปว่า
ฉันตัดสินไม่ได้ เพราะฉันเป็นกลาง
ถ้าฉันตัดสินไปเมื่อไร ฉันก็ขาดความเป็นกลางเมื่อนั้น

ถ้าฉันตัดสินว่า เห็นด้วยกับข้างฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็ว่า สว. เข้าข้างฝ่ายค้าน
ถ้าฉันตัดสินว่า เห็นด้วยกับข้างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านก็ว่า สว. เข้าข้างฝ่ายรัฐบาล

เพราะฉะนั้นฉันไม่ตัดสิน อะไรทั้งสิ้น ซึ่งทำอย่างนี้ก็ไม่ได้
เพราะปัญหาบ้านเมือง ต้องตัดสินใจ ว่าจะไปข้างไหนกันแน่

คิดแล้วก็ให้เวียนหัว กับปัญหา ความเป็นกลาง ของ สว. :lol:

[bsk(มหาชน)]

แล้ว คุณ bsk(มหาชน) เห็นว่า

รัฐธรรมนูญควรคงเดิม
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว. ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
แต่โดยธรรมชาติจริงๆแล้ว ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ก็จริง
แต่ก็ต้องเอนเอียงไปพรรคใดพรรคหนึ่งอยู่ดี

หรือว่า

รัฐธรรมนูญควรเปลี่ยนเป็น
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว. เป็นหรือไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ได้
เราจะได้รู้ไปเลย ว่าใครเป็น ฝ่ายพรรคไหน กันแน่
แล้วมีจำนวนที่ยืนอยู่ตรงกลางที่พร้อมจะ เทคะแนนไปฝั่งไหนก็ได้ อยู่จำนวนเท่าไร

ความเห็นของผม ผมว่า ควรเปลี่ยนเป็น
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว. เป็นหรือไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ได้

เรื่องนี้น่าปวดหัวดีเหมือนกันคับ  เพราะมันเกี่ยวโยงกับองค์กรอิสระด้วยน่ะคับ

ถ้าจะแก้ไขเรื่องที่มาของสว. ก็ต้องไปแก้ไขที่มาของคณะกรรมการองค์กรอิสระทั้งหมดเลยคับ

ผมเองก็สงสัยอย่างหนึ่งว่า ทำไมสว.ต้องมี 200 คน เพราะประเทศสหรัฐฯ ก็มีแค่ 100 คนเอง บางคนก็เสนอว่า ไม่ต้องมีสว.หรอกถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่

แต่คิดว่าสว.จำเป็นต้องมี แต่อยากให้ลดจำนวนลง      สส.ก็เช่นกันคับ

บางคนก็ว่า สว.ควรจะมาจากการแต่งตั้ง+เลือกตั้งในสัดส่วนตามแต่จะไปคิดกันมาในร่างฯ

แต่ยังไม่ค่อยเจอข้อเสนอว่าสว.ต้องสังกัดพรรคการเมือง

เพราะอาจจะติดล็อคเรื่องมติพรรคประการหนึ่ง เรื่องการกลั่นกรองกฎหมาย การทูลเกล้าฯ  เรื่องการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ


ประเด็นความเป็นกลางนั้น คงไม่ใช่เช่นนั้น..

แต่หมายถึงการไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองหรือรับผลประโยชน์ตอบแทนทางการเมืองมากกว่าคับ


เห็นว่าควรลดจำนวนลงทั้ง 2 สภา

ส่วนการสังกัดพรรคของสว. คงต้องแก้ไขควบคู่กับที่มาขององค์กรอิสระด้วยคับ

ก็กำลังศึกษาประเด็นอยู่น่ะคับ


อันนี้ สำหรับท่านที่อยากเสนอแก้ไขรธน. หมวดไหน มาตราใด รัฐบาลเปิดเว็บให้แล้วคับ


http://202.47.237.175/webpoll/home/home.aspx

แต่คาดว่าถ้ารอฟังทุกความเห็นก็คงจะอีกนาน แม้กระทั่งงานวิจัยของอธิการมหาวิทยาลัยต่างๆ

ควรดูว่า ตอนนี้ปัญหาอยู่ตรงไหนมากกว่า...

[ครรชิต ไพศาล]

แต่หมายถึงการไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองหรือรับผลประโยชน์ตอบแทนทางการเมืองมากกว่าคับ

คำว่า รับผลประโยชน์ตอบแทนทางการเมือง
อันนี้เอาผิดกันได้อยู่แล้ว เพราะมันเห็นเป็นตัวเงิน

แต่คำว่า การไม่ฝักใฝ่พรรคการเมือง นี้มันเป็นไปไม่ได้เลย
ผมว่ามันอยาก...อยาก... มันอยู่ที่ใจของแต่ละบุคคล
ในเมื่อ ผู้สมัครเลือกตั้ง สว. โดยส่วนมาก ก็พวกญาติมิตรเพื่อนฝูงของพวก สส. ในแต่ละเขตทั้งนั้น

หรือว่าเราก็ต้องทำใจ อีกนะครับ  เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง  :lol: